ตอนที่ 7
Circle of (Boy) Friend
คนเราเวลาจะดูหนังสักเรื่องเราเลือกจากอะไร
เนื้อหา
ชื่อผู้กำกับ
ความหน้าตาดีของนักแสดง
กระแส
หรือเพราะ...รสนิยม
ผมเลือกมันจากความชอบของตัวเอง ไม่ต้องเป็นกระแสก็จะเลือกถ้ารู้สึกว่าเรื่องนั้นเป็นแนวที่ดูมาตลอด ผมมักหลีกเลี่ยงแอนิเมชั่นหรือการ์ตูนปัญญาอ่อน ขณะเดียวกันก็เลือกเสพงานแนว Sci-fi thriller ซ้ำซากมากขึ้นเรื่อยๆ
รุ่นพี่คนหนึ่งเคยบอกว่า การเลือกดูหนังแม่งก็เหมือนกับการเลือกคนรักนั่นแหละ น้อยมากที่เราจะดูแนวที่เราไม่ชอบ อาจเพราะถูกตั้งกำแพงเอาไว้แล้วว่ามันไม่ดี ไม่สนุก และไม่ได้รับการเปิดใจยอมรับ ทั้งที่มันอาจดีก็ได้...
...ถ้าได้ลอง
เรื่องราวมันเกิดขึ้นตอนไหนผมจำก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้เติร์ดนับวันก็ยิ่งแย่ลงทุกที จนกระทั่งมันแตกหักในวันที่เรานั่งจิบเบียร์อยู่ที่ห้องของไอ้โบน แค่จิบเบียร์ ไม่รู้เป็นเหี้ยไรแต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า
“ไอ้ค่าย...” คนตรงหน้าเรียกชื่อผม ไอ้เติร์ดยืนนิ่งๆ อยู่หน้าประตูอย่างเก้ๆ กังๆ ผมเลยทำลายบรรยากาศตึงเครียดลงด้วยการพูดออกไป
“ไอ้โบนเรียกกูมา กินเบียร์กันอยู่เหรอ” ซึ่งมันก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยืนค้างอยู่ที่เดิม ความสัมพันธ์ของเราไม่โอเคเท่าไหร่ จำได้ว่าไอ้เติร์ดเปลี่ยนไปหลังเรากลับมาจากคลับในคืนนั้น และมันก็ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าที่โกรธอยู่เนี่ยเกิดจากอะไรกันแน่
คือกูก็ไม่รู้มั้ย ถามเชี่ยทูกับไอ้ควายโบนมันก็เอาแต่ส่ายหน้า กลายเป็นว่าปัญหาที่แก้ไม่ตกตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข จนกว่าผมจะรู้ว่าได้ทำอะไรผิดไป
“เข้ามาเลย นี่เพื่อนพี่เอง” ผมเลือกสลัดความคิดในหัวออก ก่อนจะคว้าข้อมือขาวของรุ่นน้องคนหนึ่งเข้าไปด้านใน ความจริงผมไม่ได้อยากพาน้องเขามาหรอก แต่ไอ้โบนนี่สิที่โทรมาชวนในช่วงเวลาที่ผมกับเธอกำลังจะกลับพอดี แถมยังเป็นทางผ่านอีก สุดท้ายเลยจำต้องพาแวะมาก่อนกลับจนได้
“โอ๊ยยยยยยคนสวย เชิญครับ เชิญ” เพื่อนผมมันก็เหี้ยไม่ต่างกัน พอเห็นผู้หญิงสวยหน่อยรีบกุลีกุจอหาที่นั่งกันพัลวัน
“ลมอะไรหอบมาวะ” ไอ้ทูถาม
“พาน้องไปกินข้าวเสร็จ เชี่ยโบนก็โทรชวนเลยแวะมา”
“อ๋อ น้องกินเบียร์มั้ยครับ” ระหว่างที่กำลังถามสนุ๊ก ผมก็หันไปมองคนที่ยืนห่างออกไปตรงประตู ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้โบนตะโกนขึ้น
“ไอ้เติร์ดปิดประตู กลับมานั่งนี่”
“คือกูว่า...จะกลับ”
“เหรอ งั้นก็กลับเถอะ มึงคงเมาแล้วเนอะ” เชี่ยไรของมันวะ! เพื่อนบอกจะกลับก็ให้ไปกันง่ายๆ อย่างนี้เหรอ ผมไม่ปล่อยให้ไอ้เติร์ดทำสำเร็จ รีบสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว อย่างน้อย...ก็ขอให้เราได้คุยกันบ้าง
“นั่งด้วยกันก่อนดิ”
และถึงแม้ไอ้เติร์ดจะกลับมานั่งข้างๆ จริง เราก็ยังคงเงียบใส่กันอยู่ บอกตามตรงว่าผมอึดอัดมาก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงทุกอย่างถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ค่ายมึงรู้ยัง โปรเจ็กต์ละครเวทีเริ่มแล้วนะ จองหน้าที่อะไรไว้” ยังดีที่เพื่อนรักสองคนคอยถามไถ่และหาเรื่องคุยอยู่ตลอด การนั่งแดกเบียร์วันนี้เลยไม่กร่อยอย่างที่คิด
“ผู้ช่วยผู้กำกับ”
“โหยยยยยย หน้าที่นี้ปีสี่จองไปแล้วครับ อย่าโง่สิ”
“กูคุมแสงสีเสียงได้” จริงๆ ก็คงเป็นงานหลักที่ผมต้องทำเนี่ยแหละ
“เข้าแก๊บอยู่ กูก็อยากมาทำส่วนนี้ แต่ไอ้เติร์ดนี่หนักกว่าเพื่อนหน่อย”
“ทำไม”
“เขียนบท นั่งคิดไปสิว่าจะให้ใครรักกัน”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูจะเขียนเรื่องความรัก เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้กูไม่ศรัทธาละ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังหันมามองหน้าผมขณะพูดอีกต่างหาก คือยังไงวะ ต้องการกระแทกแดกดันกูเหรอ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยรู้สึกไม่พอใจ สวนกลับไปอย่างรวดเร็ว
“คนอย่างมึงเคยศรัทธาอะไรด้วยเหรอ”
“กูไม่ใช่มึงที่จะศรัทธากับความรักไปทั่ว คั่วไปทั่วเหมือนทุกวันนี้”
“ไอ้เติร์ด!”
“ใจเย็นเพื่อน ใจเย็น...” ยังดีที่เพื่อนคอยเบรกเอาไว้เรื่องเลยไม่ใหญ่โตอย่างที่คิด แม่งอยากตอกกลับไปฉิบหายว่ากูไปมั่วบนหัวมันเหรอ ทุกวันนี้เวลามันต้องการอะไรผมก็ทำให้ตลอด ถ้ามันขอให้ผมไม่พาผู้หญิงเข้าห้องผมก็จะทำ ยอมทุกอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้
แล้วดูมันดิ ไม่แม้แต่จะพยายามยื้อเอาไว้เลย คอยแต่จะทำให้พังลงเรื่อยๆ
เรานั่งดื่มต่อ สนุ๊กเองก็มักคอยเอาใจถามโน่นถามนี่ให้ผมอารมณ์ดีอยู่เสมอ
“พี่ค่ายอย่าดื่มเยอะเป็นห่วง” บอกตามตรงว่าคนนี้คุยไลน์กันได้แค่อาทิตย์เดียว และก็เพิ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อวาน ความสัมพันธ์เราเกิดขึ้นไว และก็จบไวเหมือนกันเพราะผมไม่คิดปักหลักหรือฝากใจไว้ที่ใคร
รักแบบนี้มันดีกว่าเยอะ เอาใจในบางครั้ง ไปกันไม่ได้ก็แยกทาง ต่างคนต่างไม่เสียประโยชน์มันก็จบ
“ไม่เยอะครับ”
“ไม่ให้สูบบุหรี่ด้วย”
“โอเค”
“เชื่อฟังแบบนี้สิ”
“คิดเหรอว่ามันจะเชื่อฟังน้องแค่คนเดียว” จู่ๆ อารมณ์ก็สะดุดกึกอีกหนเมื่อเสียงของใครคนหนึ่งแทรกขึ้น ซึ่งผมก็ไม่รอช้าหันไปมองคนคนนั้นด้วยสายตาเอาเรื่อง ไอ้เติร์ด...นี่มึงต้องการอะไรกันแน่วะ
“พี่หมายความว่าไงคะ”
“ก็ไอ้ค่ายมันมั่วไง เดี๋ยวได้แล้วมันก็ทิ้ง”
“ไอ้เหี้ยเติร์ด!” ผมถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อของมันเพราะทนไม่ไหว ในใจได้แต่เดือดดาลก่นด่ามันไม่หยุดว่าต้องการเหี้ยอะไรซ้ำๆ เออ! แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไร!
“ใจเย็นมึง มึงเมาแล้วใช่มั้ย กลับห้องกันนะ” ไอ้ทูแยกเราทั้งคู่ออกจากกัน ก่อนหันไปถามความเห็นของคนที่หน้าแดงก่ำเพราะแอลกอฮอล์ แต่สภาพนี้ไม่ได้เรียกเมาไม่ได้สตินี่หว่า ดูยังไงก็รู้ว่าต้องการหาเรื่องกันชัดๆ
ไอ้เติร์ดไม่เคยเป็นแบบนี้ สองปีที่เรารู้จักกันมาไม่ว่าผมจะมีใครหรือทำอะไร มันก็เข้าใจและมีเหตุผลเสมอ ผิดกับตอนนี้ที่งี่เง่าฉิบหาย
“กูไม่เมา แม่งพูดความจริงก็ผิดเหรอ” มันพูดออกมาอีก จนผมอดไม่ได้รีบตอกกลับไปอย่างรวดเร็ว
“แล้วไง อย่างน้อยกูก็รักใครเป็น ไม่เหมือนมึงหรอก งี่เง่า ไร้เหตุผลฉิบหาย”
“มึงกล้าพูดจริงๆ เหรอว่าสิ่งที่เป็นอยู่ของมึงมันคือรัก”
“ใช่รัก แล้วกูก็รู้ว่าจะยกมันให้ใครที่ไม่ใช่เพื่อนเหี้ยๆ อย่างมึง” ผมตะคอกใส่อย่างเหลืออด พร้อมกับผลักร่างคนตัวเล็กกว่าอย่างแรงด้วยความโมโห รู้ตัวอีกทีไอ้เติร์ดก็เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นอยู่ก่อนแล้ว
“ไอ้ค่าย เติร์ดมันเมาอย่าถือสามันเลย”
“เมาแต่ปากก็หาเรื่องฉิบหาย”
“แคร์มันหน่อย ช่วงนี้มันไม่โอเค”
“มึงคิดว่ามันเป็นเมียกูหรือไงถึงต้องแคร์!” ไม่เคยให้ประโยชน์อะไรกูเลย แม้แต่คำว่ามิตรภาพยังให้กันไม่ได้ แล้วทำไมผมถึงต้องแคร์มันด้วยวะ
“เฮ้ยกูว่ามึงพูดดีๆ กับมันก็ได้นะไอ้ค่าย”
“ไว้มันมานอนให้กูเอาเมื่อไหร่ กูถึงจะพูดดีด้วย พอใจยัง!!”ผั่วะ!!
เสี้ยววนาทีนั้นภาพในม่านสายตาของผมก็สั่นไหว ร่างกายล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับความเจ็บชาที่ค่อยๆ แผ่ซ่านเข้ามาเรื่อยๆ
ไอ้โบนยืนหอบหายใจไม่ห่างและตั้งท่าเงื้อมืออีกรอบเพื่อซัดผมแรงๆ แต่ไอ้ทูเข้ามาขวางไว้ซะก่อนผมเลยไม่โดนสวนเข้ามาอีกหมัดจนหน้าแหกอย่างที่คิด
“ไอ้ค่ายนี่เพื่อนนะ เพื่อนที่รักมึง”
“...” ผมเงียบ เลือกที่จะไม่ตอบโต้กลับไป แล้วทำไมเพื่อนอย่างมันไม่แคร์กูบ้าง
มันอึดอัดแค่ไหนแต่ไม่เคยมีใครเข้าใจเลย
“ไอ้เติร์ดมัน...มัน...”
“โบนพอเหอะว่ะ”
“...”
“กู...ขอโทษนะ กูไม่ดีเอง”
ไอ้เติร์ดเงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งน้ำตาอาบแก้ม ทำเอาใจคนมองกระตุกวูบด้วยความรู้สึกผิด กูขอโทษนะนี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกออกไปแต่ลิ้นกลับด้านชาเกินกว่าจะขยับ ได้แต่มองดูคนตรงหน้าค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นแล้วเดินจากไปเท่านั้น
ผมถูกเพื่อนลากคอให้ไปคุยกันที่ระเบียงทันทีเพราะไม่ต้องการให้สนุ๊กมาได้ยินปัญหาที่เกิดขึ้นภายในกลุ่ม แต่มันก็ไม่ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเลยหลังจากพูดกันจบ จำได้ขึ้นใจก็แค่เรื่องที่มันสองตัวพยายามออกโรงปกป้องไอ้เติร์ดเท่านั้น แล้วกูล่ะ
ไม่เคยมีใครเข้าใจผมสักคน ไม่มีใครเข้าใจความอึดอัดที่สุมอยู่ในอกและโยนทิ้งไม่ได้ ผมเสียใจที่ทำร้ายไอ้เติร์ด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครพูดออกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วทำไมกูถึงต้องรู้สึกผิดอยู่คนเดียวด้วยวะ
โคตรไม่แฟร์เลย
ทำไมผมถึงเป็นคนเดียวที่รู้สึกโง่ พวกมันมีความลับผมรู้ ผมเห็นแม้กระทั่งวันนั้น...ที่โรงหนัง เห็นไอ้โบนกอดไอ้เติร์ดที่ร้องไห้ไม่หยุด ผมรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ดีลงไป ทว่าสุดท้ายก็ไม่รู้อยู่ดีกว่าสิ่งไม่ดีนั้นคืออะไรกันแน่
เพื่อนทุกคนเลือกมีความลับกับผม จนอดคิดไม่ได้ว่ากู...คงไม่สำคัญกับใครอีกแล้ว
เช้าวันต่อมาไอ้เติร์ดไม่มาเรียน ถามไอ้ทูมันก็ตอบแค่ว่ามันอยากนอนโง่ๆ เท่านั้น ผมจึงไม่สนใจแต่ความรู้สึกผิดเนี่ยสิที่ตีตื้นเข้ามาไม่หยุด สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาอีกฝ่ายที่ห้องหลังเลิกเรียน ผมไม่ได้ถามมันว่าโกรธผมเรื่องอะไร เพราะมันคงไม่บอก
สิ่งเดียวที่พูดได้จึงเหลือแค่ ‘ขอโทษ’ คำเดียวที่ผมพูดออกมาจากใจ
ซึ่งมันได้ผล ความสัมพันธ์เรากลับมาดีขึ้นอีกครั้งและยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไอ้เติร์ดต้องเขียนบทละครเวที เราตัวติดกันเหมือนเดิม ไปไหนไปกันสี่คนตลอด ทั้งการนั่งสังเกตการณ์หอสมุด รวมไปถึงชวนเจ้าตัวออกไปดูหนังหรือซื้อของด้วยกัน
ไอ้เติร์ดช่วยผมเลือกลิปสติกให้สาว มันรู้ดีว่าผมต้องเทคแคร์ผู้หญิงทุกคนที่เริ่มเข้ามามีสัมพันธ์แบบฉาบฉวยอยู่แล้ว แต่ไอ้กำไลแอร์เมสที่ไปเลือกกันน่ะผมซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้พี่สาว ‘พี่เคลียร์’ คือแพงขนาดนี้กูคงลงทุนให้คนอื่นหรอก แต่ก็ไม่ได้บอกมันไป
แปลกมั้ย เพื่อนอย่างไอ้เติร์ดแม่งเสือกเป็นคนเดียวที่ผมอยากให้อยู่ด้วยในทุกช่วงเวลา
ต่อให้เป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหนผมก็จะนึกถึงมันเป็นคนแรกๆ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เราคบกันยาวและกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด
แล้วเย็นวันหนึ่ง...ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...
เราสี่คนยังคงปักหลักอยู่หอสมุดเพราะไอ้เติร์ดพยายามหาไอเดียในการเขียนบท พวกที่เหลือเลยหยิบแล็ปท็อปกับมือถือขึ้นมาเล่น แต่ผมสือกซวยที่แบตมือถือหมด พาวเวอร์แบงก์ก็ไม่เหลือหรอเลยขอยืมแล็ปท็อปของไอ้เติร์ดมาเล่นและฟังเพลงฆ่าเวลา
ตอนนั้นผมนึกพิเรนทร์ด้วยการกดไปที่ชาแนล ‘มูฟวีซี้เว่อร์’ เพื่อดูกระแส ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วที่คนเราเวลาล็อกอินอะไรเอาไว้จะไม่ยอมล็อกเอาท์ออก แน่นอนว่าไอ้เติร์ดคือหนึ่งในนั้น แอคเคาต์ของมันยังคงเด่นหราอยู่ตรงหน้า ผมกดเข้าไปดูเล่นๆ แต่คลิปล่าสุดที่ปรากฏอยู่เนี่ยสิที่ยุให้คนมือบอนอย่างผมกดเข้าไป
ชื่อวิดีโอนั้นใช้ชื่อว่า ‘รีวิวหนัง - โง่..เซ่อ..บ้า เพราะว่าความรัก’ ความยาวไม่กี่นาทีเอง แต่แปลกที่มันกลับถูกตั้งให้เป็นไพรเวทมากกว่าจะเผยแพร่ให้คนติดตามดู
ช่วงเวลาที่วิดีโอถูกเล่น ผมเห็นไอ้เติร์ดยิ้มให้กับกล้องเหมือนทุกที...
“สวัสดีครับสัปดาห์นี้เรากลับมาเจอกันอีกครั้งในช่องมูฟวี่ซี้เว่อร์ แต่นี่อาจจะเป็นวิดีโอสุดท้ายของปีนี้แล้วนะครับที่ผมจะทำ ใจหายเลย ครั้งนี้ผมจะมารีวิวหนังเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ชื่อเรื่องว่า Crazy, Stupid, Love ครับ”
ผมเงยหน้ามองตัวจริงที่นั่งเขียนบทขยุกขยุยลงบนกระดาษ ก่อนจะก้มมองวิดีโอบนจออีกครั้ง โชคดีจริงๆ ที่ใส่หูฟัง ไม่งั้นคงโดนด่าที่ละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของมันแน่ๆ
“ชื่อภาษาไทยคือโง่ เซ่อ บ้า เพราะว่าความรัก”
“...” คนพูดเงียบไปอึดใจหนึ่ง เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา กระทั่งเจ้าตัวถอนหายใจออกมาแล้วเงยหน้ามองกล้องใหม่
“ผมในตอนนี้โง่และก็บ้ามากจริงๆ ผม...รักเพื่อนสนิทของตัวเองข้างเดียวมาตลอด”
ไอ้เติร์ดไม่ได้พูดเกี่ยวกับหนัง!
มือที่เลื่อนอยู่ตรงแป้นพิมพ์กดสเปซบาร์เพื่อหยุดวิดีโอ เลื่อนสายตามองไปยังเพื่อนสองคนที่กดมือถือกันอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ออกซะดื้อๆ แต่ความเสือกไม่อาจหยุดยั้งเลยกดเล่นวิดีโอต่อ
“เราเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน คบกันมาสองปีกว่าแล้ว แต่เพราะความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนทำให้เราไปไกลจากนี้ไม่ได้อีก ผมรู้สึกว่าตัวเองคาดหวังอะไรลมๆ แล้งๆ มากเกินไป บอกว่าจะตัดใจหลายครั้งแต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเพราะต้องเจอกันทุกวัน”
รอยยิ้มของคนพูดนั้นเจือความเศร้า จนผมไม่อยากจินตนาการเลยว่าลึกๆ นั้นมันเศร้าขนาดไหน
“จริงๆ ผมอาจหลีกหนีจากมันได้แต่ผมไม่ทำเอง ไอ้ค่าย...”
หน้าของผมชาไปทั้งซีกเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองดังเข้ามาในหู สายตาของไอ้เติร์ดที่มองมายังกล้องเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“กูขอโทษที่รักมึง” “...!!”
“กูพยายามมาตลอดเพื่อเก็บความลับนี้เอาไว้ แต่กูเหี้ยเอง...แม่งเหี้ยเองที่พอรู้ว่ามึงทำดีกับกูเพราะต้องการพิสูจน์ความจริงกูก็เสือกทนไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วกูรู้สึกดีมากที่มึงทำดีมาตลอด รู้สึกดี...จนรับไม่ได้ถ้าทุกอย่างพังทลายลงมา กูขอโทษนะ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยังทนดูต่อจนจบ
“ขอโทษที่ทำให้มันดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้ กูบอกมึงไม่ได้หรอก เพราะถ้าบอก กูจะไม่เหลืออะไรเลย”
“...”
“...แม้กระทั่งมึง”
ใช่! มันไม่เหลืออะไรแล้วในวันที่รู้ความจริง มึงทำลายความเชื่อใจของกูจนหมด
หน้าของผมชาเหมือนโดนตบ ร่างกายเองก็ชาไปทั้งร่างจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ผมชอบผู้หญิง และรับไม่ได้ที่ไอ้เติร์ดคิดเกินกว่าเพื่อน นี่เหรอวะความลับที่เก็บมาตลอดสองปี เป็นไปได้ผมก็ไม่อยากรับรู้ เป็นไปได้เราก็ไม่ควรเป็นเพื่อนกัน
ผมเงยหน้าขึ้น ไล่สายตามองเพื่อนสนิทสามคนในกลุ่ม ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเดาว่าพวกมันรู้ว่าไอ้เติร์ดคิดไม่ซื่อกับผมแต่ไม่ยอมบอก ทำกับผมเหมือนไอ้โง่ตัวหนึ่งซึ่งก็ใช่ โง่มาตลอดสองปีขนาดนี้ก็หาเขามาใส่หัวให้กูเถอะ
สำหรับไอ้เติร์ดมันคือเพื่อนสนิท ทั้งแคร์และห่วงใย แต่นั่นก็เกิดจากความรู้สึกตามประสาเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น ผมไม่อยากเสียมันไป ขณะเดียวกันก็ไม่พร้อมเปลี่ยนสถานะของเพื่อนเป็นอย่างอื่น เย็นวันนั้นหลังกลับจากหอสมุดผมจึงรีบกลับมาที่ห้อง ครุ่นคิดวิธีต่างๆ ที่ทำให้มันเลิกคาดหวังและตัดใจจากผม
แน่นอนว่าผมยังต้องการมัน ต้องการเพื่อน...
อยากได้เพื่อนคนเดิมกลับมาเหมือนเก่า ผมคิดจนหัวแทบแตก อยู่กับตัวเองด้วยความอึดอัดและฟุ้งซ่าน ผมไม่ได้ชอบผู้ชายและมันจะไม่มีวันนั้น
หนึ่งคืนเต็มๆ ที่ผมใช้เวลาติดต่อหาผู้หญิงที่เคยเข้ามาในชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่เคยมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน เราเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันเมื่อสมัย ม.ต้น และตอนนี้ก็เรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกันด้วย ผมขอร้องเธอถึงจุดประสงค์ที่ต้องการ นั่นคือการอุปโลกน์เพื่อนเก่าอย่างแพรวมาเป็นแฟน
อย่างน้อยก็ช่วยตบตาไอ้เติร์ดให้มันตัดใจจากผมให้ขาดซะ เพราะไม่ว่ายังไงระหว่างเราก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี
โชคดีที่พี่เชนทร์ปีสี่แกเลี้ยงฉลองคนเขียนบทที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมเลยใช้โอกาสนี้สร้างสถานการณ์ซะ คืนนั้นเลยจัดเหล้าไปซะหนัก เรียกได้ว่าแทบไม่หยุดพักตั้งแต่เข้าร้าน อาจด้วยความเครียดที่สะสมมาตลอดสัปดาห์ และการครุ่นคิดแต่เรื่องของไอ้เติร์ดทำให้ผมต้องหาทางออกด้วยตัวเอง
หลังจากดื่มมาอย่างหนักหน่วง ผมหาเวลาปลีกตัวเข้าห้องน้ำและไม่ยอมออกไปไหน รอจนกว่าอีกฝ่ายจะออกมาตาม แน่นอนว่าไอ้เติร์ดคือคนนั้น มันบ่นเหมือนทุกครั้งแต่ที่ไม่เหมือนคือความรู้สึกของคนฟัง
“เยี่ยวนานฉิบหาย”
“อือ”
“รู้ตัวป่ะเนี่ย พูดจะไม่รู้เรื่องแล้วมึง” ผมพยายามรูดซิบกางเกง มือขาวเลยปรี่เข้ามาช่วยพยุงไม่ให้ล่มด้วย ทำไมวะ ทำไมถึงไม่ไปรักคนอื่น
“มึงโอเคมั้ย นี่กี่นิ้ว” มันถาม แต่ผมไม่ตอบทั้งที่ยังพอมีสติอยู่
“...”
“สงสัยจะเมามากจริงๆ เดี๋ยวกูพากลับ รถมึงเดี๋ยวกูบอกผู้จัดการร้านให้ดูแลก่อน ส่วนไอ้สอง...” ไม่รอให้เสียเวลาผมจัดการดันร่างบางของเพื่อนสนิทไปติดตรงกำแพง จนเจ้าตัวโวยวายยกใหญ่ ผมจึงไม่รอช้ากลั้นใจประกบจูบลงไป
“ไอ้ค่าย มึงเมาแล้วนะเว้ย ไอ้...อื้อ!”
ไอ้เติร์ดดิ้นขลุกขลักไปมาสักพัก ไม่นานก็แน่นิ่งยอมให้ผมจูบทั้งเนื้อตัวสั่นเทา สั่น...จนสัมผัสได้และรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ แต่ผมก็ไม่ย่อท้อประกบริมฝีปากอีกฝ่ายไม่ปล่อยโอกาสให้คนตรงหน้าได้หายใจ
พยายามสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของมันอย่างจาบจ้วงเพื่อให้รู้สึกอาย แต่เปล่าเลย เป็นผมต่างหากที่ไม่ละจากมัน แถมยังเอาแต่บดเบียดแลกเปลี่ยนความหวานจนสติแทบขาดผึง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เจ้าตัวดิ้นรนหาอากาศหายใจผมเลยจำต้องปล่อย
“ค่าย...” ไอ้เติร์ดเรียกชื่อผม และผมเสียใจที่ต้องพูดออกไปแบบนี้...
“แพรว”
ผมจูบมันอีกรอบ แต่คราวนี้กลับเป็นจูบที่มีแต่รสขม คนถูกรุกตรงหน้าเนื้อตัวสั่น เสียงสะอื้นดังเล็ดลอดไม่ขาดสาย หัวใจคนฟังเองก็เจ็บตาม น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ายังคงไหลลงมาสัมผัสกับหน้าของผม กูขอโทษที่ทำให้มึงร้องไห้ กูขอโทษ...
“แพรว แพรว...”
ที่เรียกชื่อเขาต่อหน้ามึง แต่เพราะไม่เห็นทางออกแล้ว กูเลยทำได้แค่นี้จริงๆ
เติร์ด...ตัดใจจากกูเถอะนะ
การทำใจยอมรับกับความจริงบางครั้งก็โคตรเจ็บปวด ผมต้องฝืนตัวเองเป็นคนโง่ไม่รู้อะไรต่อไปจนกว่าการแสดงนี้จะจบลง แน่นอนว่าความพยายามหลายครั้งหลายคราของผมทำให้อีกฝ่ายเสียใจ
ผมต้องเห็นน้ำตาของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ยังคงนั่งข้างกัน พูดถึงเรื่องแฟนใหม่ของผม มองเห็นมันส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ด้วยความรู้สึกฝืน ทั้งอึดอัดและเจ็บปวด
หลังประชุมใหญ่ของละครเวทีเสร็จผมจึงตัดสินใจเปิดตัวแพรวกับเพื่อนอย่างเป็นทางการ ก่อนเก็บของบึ่งรถไปซุกหัวอยู่ที่บ้านพักของรุ่นพี่นิเทศฯ คนหนึ่งเพื่อหนีปัญหา
แกชื่อพี่ต้น เรียนอยู่ปีสี่แต่คนละมหา’ลัยกัน ปีนี้แกทำธีสิสแม่งเลยออกมาเช่าบ้านทำสตูดิโอกับเพื่อนอีกสามสี่คนข้างนอก ผมเลยพอมีที่ซุกหัวนอนอยู่บ้าง แน่นอนว่าผมหวังมากกว่านั้น ไม่ได้มองว่าพวกพี่มันจะมาแก้ปัญหาอะไรให้หรอก ขอแค่ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านเรื่องนี้ก็พอ
“จะมาก็ปุบปับเลยนะมึง” ผู้ชายหุ่นผอมหน้าหนวดทักทายขึ้น ผมมากับกระเป๋าเป้ใบเดียว มีไอ้ชาวีเป็นสารถีพามาส่งเหมือนทุกครั้ง
“เครียดว่ะพี่ แดกเหล้าดิ”
“ไอ้เหี้ยค่าย บ้านกูเป็นสตูดิโอไม่ใช่แหล่งซ่องสุม”
“มีหญิงมาแจมป่ะ”
“นี่มึงฟังกูป่ะเนี่ย”
“เข้าไปข้างในเลยนะ แล้วให้ผมนอนห้องไหน”
“ปลายเตียงกูอ่ะ”
“เคๆ”
ผมอยู่ที่นี่หลายวัน ใช้พวกพี่มันเป็นที่ปรับทุกข์ แต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรที่ลึกกว่านั้น แต่ละวันหมดไปกับเหล้าและบุหรี่ เปลืองถึงขนาดเอามาเรียงหน้าบ้านก็ตั้งโรงงานขายของเก่าได้เลย เวลาว่างหลังจากตื่นผมนั่งดูพวกพี่มันตัดต่อหนังและทำคลิปกันสนุกสนาน ตอนเย็นก็ก๊งเหล้ากันเหมือนเดิม
เหมือนกับวันนี้ คืนวันที่ห้าของการอยู่อาศัยแบบมัดมือชก
“เดี๋ยวรุ่นน้องที่มอกูแวะเข้ามานะ” รุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้น ต่างคนต่างก็พยักหน้าเข้าใจ
สิบห้านาทีให้หลัง เสียงรถยนต์ดังขึ้นตรงหน้าบ้านก่อนเสียงเจื้อยแจ้วจากคนด้านนอกจะแว่วเข้าหู พี่ต้นอาสาลุกไปเปิดประตูให้ก่อนผู้หญิงสี่ห้าคนจะเดินเข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ คืนนี้ขอแจมด้วยคนนะ”
และบ้านที่ไอ้พี่ต้นมันบอกตลอดว่าไม่ใช่แหล่งซ่องสุมก็กลายเป็นอย่างที่ปากมันพูดไม่มีผิดเพี้ยน ต่างคนต่างดื่มและสังสรรค์ไปเรื่อยๆ ยิ่งดึกเพลงที่เปิดก็ยิ่งทวีความสนุก ผมมัวเมาไปกับแอลกอฮอล์ รู้ตัวอีกทีน้องผู้หญิงคนหนึ่งก็เข้ามานั่งเบียดด้วยเรียบร้อย
มือของผมปัดป่ายไปบนตัวเธอ เรานัวเนียกันอยู่อย่างนั้นค่อนข้างนานก่อนจะจับหน้าขาวนั้นเอาไว้พร้อมกับประกบริมฝีปากลงไป เราจูบกันเงียบๆ แทนที่จะเหมือนกับที่ผมจูบผู้หญิงคนอื่น ทำไม...
ถึงมีภาพของไอ้เติร์ดฉายชัดขึ้นมา
ปากของเรายังประกบกัน ผมตั้งใจและอดทนเพื่อไปข้างหน้าต่อและดูเหมือนอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายกลับชะงักค้าง
ผมคิดถึงจูบของไอ้เติร์ด นึกถึงหน้าของมันตอนร้องไห้ นึกถึง...ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน
“โธ่เว้ย!!” ความอัดอั้นตันใจที่มีมาตลอดทำให้ผมผละออกจากรุ่นน้องคนนั้น และเอาแต่สบถเสียงดังจนคนโดยรอบหันมามองเป็นตาเดียว
ทำไมวะ! ทำไมถึงกลายเป็นกูที่ลืมไม่ได้!
ผมได้แต่นั่งก้มหน้าเพราะทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวตรงกระบอกตา ไม่หรอก ผมไม่ได้กำลังร้องไห้ ผมแค่เมา...
โลกที่ไม่มีไอ้เติร์ดมันไม่ใช่ไม่ดีหรอก แต่มันเหี้ย เหี้ยมากเกินไป
อ่านต่อด้านล่างค่ะ