ตอนที่ 6
Begin Again
หนังสือเกี่ยวกับการตัดใจเล่มหนึ่งเคยบอกว่า เวลาไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้เราตัดใจได้เร็วขึ้น แต่การทำงานหนักต่างหากที่เป็นตัวกระตุ้นให้เราลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ
เพราะงั้นผมจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งที่เขาให้ทำ หรือสาระแนไปทำเอง งานคณะ รายงาน กิจกรรมพิเศษ อีเว้นท์มหา’ลัยผมจัดหมด อย่างน้อยตอนที่ทุ่มเทกับอะไรสักอย่าง เรื่องของไอ้ค่ายก็ได้หายไปจากสมองของผมบ้าง
สำหรับงานละครเวทีประจำปีก็ใกล้เริ่มแล้ว แถมต้องเข้าประชุมบ่อยขึ้น สัปดาห์หนึ่งก็หลายครั้งเพราะเราต้องดีลงานใหญ่ๆ ให้กับหลายฝ่าย ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ครั้งแรกในอาทิตย์หน้าเพื่อแบ่งงานเฉพาะเจาะจงกับทุกคน
สถานการณ์ของแก๊งโหดเองก็เหมือนกับน้ำนิ่ง ผมไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของใคร นอกจากรับฟังอยู่ห่างๆ ความรักของไอ้ค่ายกับแฟนเป็นไปได้สวย หลายครั้งที่ผมเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เจ็บนะ แต่พอคิดถึงเรื่องงานที่ต้องทำผมก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว
ไอ้ทูออกไปถ่ายภาพภาคสนามกับชมรมบ่อยขึ้น ส่วนไอ้โบนก็ใช้ชีวิตอยู่กับฝ่ายเสียงและผู้หญิงของมัน เราต่างมีหน้าที่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนไม่ได้เข้มข้นเหมือนเมื่อก่อนอีก รักกันแต่ไม่จำเป็นต้องตัวติดกัน เราต่างมีความฝันและแน่นอนว่าคงเป็นคนละเส้นทาง
ในอดีตผมเคยวาดฝันว่าจะได้คบหากับใครสักคนที่ผมรักและใช้ชีวิตคู่ไปจนแก่ แค่ยืนอยู่ระเบียง แชร์บุหรี่หนึ่งมวนในมือ จากนั้นเราก็จูบกัน เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นเพื่อทำงานขณะที่ใครคนนั้นก็กุลีกุจอลุกจากเตียงอย่างรีบเร่ง วันหยุดมีโปรแกรมเที่ยวต่างประเทศหรือต่างจังหวัด เราไม่ต้องมีเงินในบัญชีเยอะๆ ขอแค่ไม่ลำบากในภายภาคหน้าก็พอ
แล้วดูความฝันตอนนั้นสิ เหมือนพวกโลกสวยคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนรู้กับคำว่าเจ็บปวด
ตอนนี้ผมรู้ซึ้งแล้ว ความฝันในอดีตถูกวาดใหม่ ผมใช้เวลาอยู่กับรุ่นพี่มากขึ้นเพื่อพูดคุยกับเขา ผมอยากทำงานเขียนบท อยากลองสร้างหนังสักเรื่อง และเมื่อทำเสร็จแล้วผมก็จะนั่งดูวนซ้ำอยู่อย่างนั้นสักห้าสิบรอบ ก่อนปลีกตัวไปทำเรื่องใหม่อีกเรื่อยๆ พอเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วก็เอาไปเที่ยวรอบโลก
ไม่แน่ สามสิบหรือสี่สิบปีข้างหน้าผมอาจอยู่คนละซีกโลกกับเพื่อนแก๊งโหดก็ได้ เป็นตาแก่คนหนึ่งที่เฝ้ามองความเป็นไปของโลก ไม่กลัวว่าจะตายอย่างโดดเดี่ยวอีก เพราะได้เรียนรู้แล้วว่าการมีความรักเจ็บปวดกว่านั้นหลายเท่านัก
นี่ซีนดราม่าหลังดูลาลาแลนด์เหรอ?!
เอาเถอะ อนาคตยังอีกยาวไกล ตอนนี้คงต้องพาสังขารตัวเองให้พ้นปีสามไปก่อน แถมวันนี้ยังต้องวิ่งวุ่นเก็บของกับไอ้ทูอีกเนื่องจากผมกำลังย้ายที่อยู่เป็นรอบที่สาม
สิ้นเดือนก่อนผมได้ติดต่อเจ้าของคอนโดปล่อยเช่าเอาไว้ และพร้อมที่จะย้ายเข้าไปอยู่หลังทำสัญญาเสร็จ เรื่องห้องก็ไม่ได้ไกลจากเพื่อนพ้องอะไรเลย แค่ขึ้นลิฟต์ไปอีกห้าชั้น ฮัลโหล...
ผมไม่ได้บอกไอ้โบนกับไอ้ค่ายเรื่องนี้ เพราะคิดว่าพวกมันอาจยุ่งกับเรื่องส่วนตัวเลยไม่อยากรบกวน นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้ทูเป็นเจ้าของห้องที่ปล่อยให้ผมอาศัยได้เป็นเดือนๆ ผมก็คงไม่บอกมันด้วย
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ถูกขนย้ายในเวลาไม่นาน ผมมีห้องเป็นของตัวเองอีกครั้ง และเงื่อนไขของไอ้ทูที่เคยรับปากว่าจะไม่พาหญิงเข้าห้องตลอดการอยู่ร่วมกันจึงถือเป็นโมฆะ ดูเหมือนแม่งจะดีใจมาก ออกปากรีบขนย้ายจนกูอยากกระทืบ
“เหนื่อยฉิบหายเลยโว้ยยยยยย” เพื่อนสุดเซอร์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพลางตะโกนเสียงดังลั่นห้อง ผมเลยได้แต่เท้าเอวมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเอือมระอา
“ก็กูบอกแล้วว่าจะขนย้ายเอง”
“มึงเป็นเพื่อนกูมั้ย จะนั่งมองให้มึงเทียวเข้าเทียวออกคนเดียวได้ไง ประสาท”
“ไม่ใช่เพราะรีบเคลียร์ทางให้นางแบบคนใหม่เหรอวะ”
“อย่ามาทำเป็นรู้สันดานกูดี”
“เมื่อไหร่จะเลิกเจ้าชู้” ผมถาม เหมือนเป็นคำถามที่รู้อยู่แล้วว่าคงไม่มีคำตอบให้
“มึงถามสิ้นคิดว่ะ เหมือนคำถามเมื่อไหร่จะเลิกหายใจอะไรแบบนี้” กูว่าแล้ว จะหาสาระอะไรจากคนอย่างแม่งวะ อย่าว่าแต่ไอ้ค่ายเลย แม้แต่ไอ้ทูกับไอ้โบนก็เหี้ยพอกัน คือไม่มีทางหยุดที่ใครคนไหนแน่นอน
“เออกูขอโทษ สมองกูกรองไม่ดีเอง”
“จริงๆ มันจะมีวันนึงเว้ยที่เราเหนื่อย มึงคิดเหรอว่าคนเรามันจะวิ่งสนุกไปเรื่อยโดยไม่มีทางหยุดพัก”
“มึงไง”
“กูคนครับไม่ใช่เดอะแฟลชจะได้วิ่งไม่มีวันเหนื่อย สักวันก็ต้องหยุดอยู่ที่ใครสักคนอยู่ดี”
“ขอเหตุผลของการหยุดหน่อย”
“เวลาและโอกาส เวลาคือกูแก่จนวิ่งไม่ไหวแล้ว แม่งเหนื่อย”
“...”
“ส่วนโอกาสก็เหมือนกับ...ตอนที่มึงเจอใครสักคน เขาตรงสเป็กมึงมาก แต่มึงกับเขาเจอกันผิดเวลาเพราะมึงยังไม่ยอมหยุดตัวเอง สุดท้ายความรักก็ไปไม่รอด ฉะนั้นโอกาสของกูคือใครสักคนที่ตรงใจและเขาเข้ามาในเวลาที่กูเหนื่อยจะวิ่งเล่นพอดี มันก็หยุด แค่นั้น...”
“งั้นถ้าอีกสิบปีเรามาเจอกันแล้วมึงหยุดตัวเองพอดี มึงจะเลือกกูมั้ย”
“งี้ถ้ากูเจอวัวตัวนึง กูไม่ต้องเลือกวัวเป็นเมียเลยเหรอครับ”
“อ้าว”
“มึงพูดเหมือนกูไม่เลือก นมไม่ใหญ่หลบไป” ขอโทษที่ความเจ๋อของกูทำให้มึงหงุดหงิดนะ
ผมไม่รู้ว่าคนเจ้าชู้นี่มีความคิดเหมือนๆ กันมั้ย แต่คิดว่าคนเราเกิดมาต่างความคิด ต่างครอบครัว ยังไงก็คงคิดไม่เหมือนกันหรอก อย่างไอ้ค่ายผมว่ามันคือร่างโคลนของเดอะแฟลชเลยล่ะ วิ่งไปเรื่อยๆ โฉบไปตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่สุดท้ายก็ไม่มีวันหยุดอยู่ที่ใคร
“คิดอะไร” คนที่นอนเกลือกลิ้งอยู่บนเตียงถามเหมือนรู้ทันความคิด
“เปล่า”
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันเลยเนาะ เรียนเสร็จก็ตัวใครตัวมันตลอด”
“กิจกรรมเยอะกูก็เข้าใจ แล้วนี่ไอ้ค่ายกับแฟนเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ไม่เห็นอัพเดตข่าวคราว” เดี๋ยวนี้ผมไม่เจ็บถึงขนาดต้องร้องไห้เวลาพูดถึงเรื่องนี้แล้วล่ะ
“ถ้าตอบแล้วมึงจะเสียใจมั้ยล่ะ”
“กูห่างกับมันมาเยอะพอสมควร ไม่ได้เอาใจไปไว้ที่มันแล้ว”
“อืม ก็เห็นยังรักกันดี”
“เหรอ” ผมตอบเสียงแผ่ว คือถ้าหยุดที่ผู้หญิงคนนั้นได้ผมก็ยินดี เธอแตกต่างจากทุกคน และดูจากการทุ่มเทของเพื่อนรักแล้วคิดว่ายังไงก็ไปได้สวย “มีแฟนน่ารักอย่างนั้นกูเทคแคร์ตายเลย”
“ก็เหมือนที่แม่งเคยทำกับทุกคนนั่นแหละ แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ...เพื่อนเรามันโง่จริงๆ ว่ะ”
“โง่ยังไง”
“ก็ตั้งแต่วันนั้น มันไม่เคยพาใครเข้าห้องอีกเลย” “...”
“ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายมึงก็ไม่มีทางกลับไป” ละครเวทีประจำปีอย่างไลค์บรารี่ใกล้เริ่มขึ้นแล้ว การประชุมใหญ่จัดขึ้นในช่วงหกโมงเย็นหลังเลิกเรียน นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ที่มีส่วนร่วมในการทำละครทุกคนนัดกันมารวมพลอย่างคับคั่ง โดยใช้หอประชุมคณะเป็นที่นัดหมาย เฮดใหญ่คือพี่เชนทร์ซึ่งนั่งตำแหน่งผู้กำกับและทำหน้าที่แจกจ่ายหน้าที่ให้แต่ละคน
ผมนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงพื้นพร้อมกับแก๊งโหด และถึงแม้ว่าผมจะนั่งข้างกับไอ้ค่าย แต่เราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรเลยนอกจากมองหน้ากันนิ่ง จากนั้นก็หันไปสนใจกับคนที่ยืนอยู่ด้านบนเวทีแทน
“ละครเวทีปีนี้กำลังเริ่มขึ้น หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าเราเพิ่งเขียนบทจบไปไม่นาน ผมทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ มีไอ้คุณเนมปีสี่เป็นผู้ช่วย ส่วนทีมเขียนบทได้ย้งยี้กับเติร์ดมาเขียนให้ เอ้า! ปรบมือหน่อย” ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะค้อมตัวเป็นการขอบคุณทันทีที่พี่น้องชาวนิเทศช่วยกันปรบมือให้
“ต่อจากนี้จะเป็นรายชื่อเฮดของแต่ละฝ่าย และต้องไปหาคนเข้าทีมกันเอง เริ่มที่ แบ็กสเต็จก่อน...” จากนั้นรุ่นพี่หุ่นหมีแกก็ร่ายรายชื่อมายาวเหยียดราวกับสวดสรภัญญะ
ฉากใหญ่ของละครเวทีทางคณะจ้างทำเพื่อจะได้ประหยัดเวลางานที่เนี้ยบ ส่วนพร็อพเล็กๆ ก็ให้เด็กในคณะที่มีหัวศิลป์หน่อยมาช่วยทำให้
เมคอัพกับคอสตูมมีรุ่นพี่หลีดและแก๊งสาวประเภทสองออกตัวทำด้วยความเต็มใจจนเสียงกรี๊ดกร๊าดดังไปทั่วห้องประชุม ฝ่ายประสานงานที่ต้องติดต่อสถานที่ต่างๆ ก็ได้ประธานรุ่นปีสามมารับช่วงต่อ สวัสดิการนี่คนเยอะหน่อยเพราะสายแดกแหลกเสนอตัวกันพรึบพรับ
เพื่อนผมอย่างไอ้ทูรับหน้าที่เป็นตากล้องร่วมกับรุ่นน้องอีกสองสามคน ส่วนไอ้ค่ายกับไอ้โบนก็รับทำส่วนของการควบคุมแสงและเสียงไป
“พีอาร์ครับ ได้จุ๊บแจงปีสามมาเป็นเฮด ซึ่งต้องทำเพจรวมถึงประชาสัมพันธ์งานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเลย ตากล้องหรือใครที่มีภาพระหว่างทำกิจกรรมก็ส่งเข้าเพจหน่อย จะได้ช่วยสร้างกระแสในปีนี้ด้วย”
ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ เพราะงานอื่นๆ ได้รับการแจกจ่ายจนหมดแล้ว จะเหลือก็แต่...
“สุดท้ายแล้ว เบิ้ม!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด ไอ้หมี ชื่อใบบัวค่า” รุ่นพี่กะเทยคนหนึ่งหวีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อได้ยินผู้กำกับขานชื่อแกผิดไปไกลโข
ชื่อเล่นอ่ะเบิ้มจริง แต่ชื่อในวงการคือบัว กูจะร้อง
“เออกูขอโทษ ไอ้ใบหนาด เอ๊ย! ใบบัวจะมาเป็นเฮดของทีมคัดนักแสดงและสอนแอคติ้ง อันนี้หนักหน่อยนะและก็อยากให้เร่งทำด้วย กว่าจะเวิร์คช็อปอะไรกันเสร็จ โน่นชาติหน้าถึงได้เล่น” เสียงประชดของพี่เชนทร์ส่งผลให้ทีมคัดนักแสดงส่งเสียงไม่พอใจ กระทั่งใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากแถว
“พรุ่งนี้ประชาสัมพันธ์เลยค่าาาาาา อาทิตย์หน้าได้นักแสดงแน่นอน”
“ให้มันได้อย่างนี้ เลือกคนมาเล่นนะไม่เอากระสือเหมือนพวกมึง”
“ไอ้เชนทร์มึงลงมาตบกับกูข้างล่างเลยค่ะ” ท่ามกลางความขัดแย้งนั้น ผมได้แต่หัวเราะกับความบ้าบอของทีมทำละครจนรู้สึกเหนื่อย เห็นทีปีนี้กองของไลค์บรารี่อาจจะต้องทำงานหนักกว่าปีก่อนๆ หลายเท่า
“มึงเขียนบทก็จบแล้วอ่ะดิ” แล้วเสียงทุ้มของใครบางคนก็ทำให้ผมหยุดหัวเราะ จำได้ดีวันมันเป็นเสียงของใคร แม้เราจะไม่ได้คุยกันบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อนก็ตาม
“เปล่าหรอก ต้องไปช่วยพี่บัวคัดนักแสดงอีก”
“ดีว่ะ งั้นคัดคนสวยๆ เข้ามาด้วยนะ” ผมค้อนขวับใส่อีกฝ่ายทันที
“กูต้องเลือกตามคาแร็คเตอร์ที่เขียนมั้ย มึงก็ห่วงสวยอย่างเดียวเลย ทำไม จะหากิ๊กเพิ่มเหรอ”
“ยังไม่มีกิ๊กเลย จะหาเพิ่มได้ไง”
“รักเดียวใจเดียวเลยล่ะสิ”
“ก็...สำหรับกู แพรวแม่งสวยอยู่คนเดียวเลย” พูดจบมันก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ผมเองก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ได้ยินประโยคที่มันพูด ผมอาจรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ครั้งนี้มันกลับเบาไปเลย จะบอกว่าไม่รู้สึกก็ดูโกหกเกินไป สำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดใจ แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย ในเมื่อวันนี้...
ก็เกือบทำสำเร็จแล้ว
“ไม่ให้เขามาแคสต์ล่ะ”
“ไม่ให้มาหรอก หวง”
“เข้าใจ แฟนใครใครก็ต้องหวง ขอให้รักกันนานๆ นะ กูยินดีด้วย”
“ขอบใจเพื่อน”
“ยังไงเดี๋ยวกูขอตัวก่อนแล้วกัน พอดีต้องคุยกับพี่เชนทร์เรื่องบทอีกนิดหน่อย”
“ตามสบาย” ไอ้ค่ายไม่ได้รั้งผมเอาไว้ ดังนั้นหลังจากทุกคนแยกย้ายผมจึงผละไปอีกทางเพื่อหลีกหนีบทสนทนาชวนอึดอัดใจ พรุ่งนี้ผมคงต้องทำงานหนักเหมือนเดิม เพื่อให้ความรู้สึกเจ็บนั้นหายไปจากใจอย่างคงทนถาวร...
เช้าวันรุ่งขึ้นงานประชาสัมพันธ์เรื่องการแคสต์นักแสดงละครเวทีคืบหน้าไปไกลมาก โปสเตอร์ต่างๆ ถูกติดไว้ตามอาคารเรียนทั่วมหา’ลัย หลังเรียนเสร็จนิสิตที่ว่างงานก็ต้องเข้าฝ่ายโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งผมก็ใช้ช่องว่างตรงนี้ปลีกตัวออกมาจากเพื่อนในกลุ่ม แล้วขลุกอยู่กับมนุษย์หมีอย่างพี่เชนทร์แทน
จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จนตอนนี้หลายวันแล้วที่ผมกับแก๊งโหดไม่ได้กินข้าวหรือไปไหนมาไหนด้วยกันนอกจากเอ่ยทักทายในคลาสเรียน อีกไม่นานต้องเริ่มแคสต์นักแสดงกันแล้ว แต่ละวันที่ว่างเว้นผมใช้มันหมดไปกับการเดินตามไอ้พี่เชนทร์ร่างหมีที่ต้องตรวจดูความเรียบร้อยของฝ่ายต่างๆ อยู่เสมอ
ซึ่งวันนี้ก็เป็นคิวของทีมทำพร็อพประกอบฉาก
ถึงแม้เราจะจ้างทำฉากใหญ่ แต่งบที่ได้จากสปอนเซอร์ก็ไม่เพียงพอขนาดนั้นทำให้เราต้องยืมมือเด็กคณะข้างๆ อย่างสถาปัตย์มาช่วยขึ้นนั่งร้านทาสีให้
“ยังไม่แห้งครับไอ้ควายเติร์ด เขยิบตีนมึงออกไป” ผมหรี่ตามองขวางเพื่อนร่วมสาขาที่กำลังถือแปรงโวยวายใส่
“มานี่ ไม่ต้องไปยืนเกะกะพวกมัน” พี่เชนทร์กวักมือเรียกผมให้ไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งด้านบนกำลังลงสีฉากกันขะมักเขม้น
“สวยดีนะ” ผมพูดขึ้น
“อืม เมื่อวานมะปรางมาดูแม่งยืนปากหวอเลยเว้ย” มะปรางนี่ชื่อแฟนแกครับ ผู้หญิงที่สวยจนผู้ชายในคณะต้องร้องขอชีวิต จะคิดสั้นก็ตรงมาคบผู้ชายหุ่นหมีอย่างพี่มันเนี่ยแหละ
“พี่คบกันมากี่ปีแล้ววะ”
“สาม”
“เจอกันได้ไง จริงๆ แล้วเขาไม่เอาคนเหี้ยๆ อย่างพี่มาเป็นแฟนก็ได้นะเว้ย”
“ตบปากตามอายุตัวเองเดี๋ยวนี้!” ผมรูดซิปปากทันที อย่าว่าแต่ผมเลย ใครเขาก็อยากรู้กันทั้งนั้น หรือว่าตอนเจอกันแรกๆ พี่มันใช้กำลังเพื่อยัดเยียดความเป็นแฟนให้เขากันแน่วะ
“กูรู้นะว่ามึงคิดอะไร แม่งไม่มีตุ๊ยท้องแล้วลากเข้าส้วมแน่นอน”
“รู้ดีไปอีก ฉลาดฉิบหาย”
“กูแอบชอบเขามานานแล้วเว้ย แต่กูไม่กล้าเข้าหาเพราะตอนนั้นคนจีบมะปรางต่อแถวยาวแทบถึงหัวลำโพง แล้วมึงดูหน้ากู ดูหุ่นกูซะ”
“แล้วสุดท้ายทำไมเขาเลือกพี่วะ”
“กูเก่ง” กระทืบกูเถอะ ไม่ได้ช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้ใครเลย “จริงๆ ก็คอยเทคของ คอยดูแลอยู่ห่างๆ แหละ คนเรามันผูกพันกันด้วยเวลาเว้ย กับความรักก็เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาถ้าเขารักก็คือรัก แต่ถ้าเขาไม่รักนั่นหมายความว่าเวลาเหี้ยไรก็ไม่มีผล”
“หมายความว่าใช้ได้กับบางเคสเท่านั้น”
“เออดิ มึงเคยชอบใครมั้ย”
“...” ผมอึกอัก ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธออกไป
“ถ้ามีก็รอเวลาที่เขารักมึงกลับ แต่ถ้าเขาไม่รักมึงก็อย่ารอ มันเสียเวลา”
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าตอนไหนควรรอหรือถอดใจ”
“มันอยู่ที่ตรงนี้เว้ย” รุ่นพี่ปีสี่ใช้นิ้วชี้แตะที่หัวตัวเองเบาๆ
“เส้นผมเหรอวะ”
“สมองครับไอ้เหี้ย”
“โทษๆ”
“ร่างกายคนเรามีกลไกการป้องกันตัวของตัวเอง เหมือนมนุษย์ไงที่มีความแข็งแรงไม่เท่ากัน ทนความเจ็บปวดได้ไม่เท่ากัน ความเสียใจจากการเฝ้ารอเป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้สมองได้รับบาดเจ็บ ทนได้แสดงว่ารอได้ แต่ถ้าทนไม่ได้นั่นคือร่างกายรับไม่ไหว ตอนนั้นแหละที่มึงจะรู้ว่าควรรอต่อไป หรือตัดใจซะ”
“ทำไมต้องใช้สมองวะ คนเราไม่ได้ใช้หัวใจในการตัดสินเหรอ”
“เอาอย่างนี้นะ ถ้าสมมติมีคนจ่อปืนมาที่มึง สมองสั่งการให้มึงวิ่งหนีและมีชีวิตรอด แต่หัวใจไม่ใช่อย่างนั้น มันแค่สั่งการให้สูบฉีดเลือดเร็วขึ้น ขณะที่เท้ามึงยังยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอให้ลูกกระสุนปลิวมาเจาะ”
“...”
“ดังนั้นสมองจึงสอนให้มึง ‘เอาตัวรอด’ จากความเจ็บปวด ขณะที่หัวใจแค่สอนให้มึง ‘รู้จัก’ กับความเจ็บปวดเท่านั้น” “...”
“อย่างไหนเหี้ยกว่ากันล่ะ การรักใครสักคนใช้ใจอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ มึงต้องปกป้องตัวเองด้วยการใช้สมองคิดให้เยอะๆ ด้วย” มือหนาตบลงบนบ่าของผมด้วยแรงอันหนักหน่วงก่อนปลีกตัวออกไปยืนคุมงานอีกด้านอย่างเท่ๆ
ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่มะปรางถึงเลือกผู้ชายหุ่นหมีคนนี้มาเป็นแฟน
บางทีคนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าคนเข้มแข็งที่สามารถปกป้องเราได้ คนที่เข้มแข็งทั้งสมอง และจิตใจ…
ไอ้ค่ายหายไปจากสารระบบตั้งแต่วันพฤหัสฯ มันทิ้งไลน์เอาไว้ว่าต้องการสะสางปัญหาส่วนตัว หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่โผล่มาเรียนอีกเลย และไม่ติดต่อหาใครตลอดสุดสัปดาห์
ผม ไอ้โบน และไอ้ทูเลยได้แต่คาดคะเนไปสารพัด ตอนนี้ความเห็นของเราเอนเอียงไปทางแฟนของมัน บางทีไอ้ค่ายอาจจะติดแฟนจนพากันไปกกอยู่ที่ไหนสักแห่ง
วันจันทร์แม่งก็ยังไม่โผล่ เราเลยโทรไปที่บ้านของตัวปัญหาเพื่อถามไถ่ความเป็นไป ไม่รู้ว่าตายหรือเปล่า แต่แม่ของมันก็ตอบกลับมาแค่ว่าลูกชายสุดที่รักขอลาพักร้อน
จะไปแต่ไม่ยอมไม่บอกเพื่อนเนี่ยนะ!
วันอังคารทั้งวันยังคงไร้ซึ่งวี่แววของมันเหมือนเดิม หลังจากสะสางงานของคณะเรียบร้อยผมเลยลากสังขารกลับมาที่ห้องพร้อมกับบทที่ต้องใช้สำหรับแคสต์นักแสดงในวันพรุ่งนี้ ถามว่าห่วงคนที่หายไปมั้ยก็ห่วง แต่พอคิดว่ามันอาจหนีเที่ยวกับแฟนผมเลยวางใจไปหลายเปราะ
ตั้งแต่เรียนรู้ที่จะใช้สมองให้มากขึ้น เดี๋ยวนี้ผมแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเยอะ แม่งต้องขอบคุณพี่เชนทร์แกจริงๆ
ผมทิ้งตัวลงบนเตียง นอนคว่ำหน้าอย่างหมดแรงจากการเสียพลังที่ทุ่มกับงานที่ทำลงไป ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็มืดหมดแล้ว ไฟในห้องดับสนิท ผมดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าลงจากเตียงเพื่อคลำทางไปยังสวิตช์ไฟ
แกร๊ก!
“เฮ้ย!!” แสงสว่างภายในห้องทำให้ผมร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังนั่งหมุนตัวไปมาอยู่ตรงเก้าอี้ทำงาน
ไอ้ห่า กูนึกว่าชัตเตอร์
“มะ...มาได้ไงวะเนี่ย” ผมถามอย่างลนลาน ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาของไอ้ค่ายไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ด้วยแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้ หรือมันจะมาเป็นสสารที่ทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นได้วะ
“กูยังไม่ตาย ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยวะ” คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่มืออีกข้างก็ยกกระดาษสีขาวปึกหนึ่งขึ้นมา แน่นอนว่ามันคือบทที่จะใช้แคสต์นักแสดงเข้ามาเล่นในละครเวทีปีนี้
“นั่นบทกู”
“มึงเป็นคนคิดคาแร็คเตอร์พระเอกเหรอ”
“ไม่ใช่ พี่เชนทร์ต่างหาก มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย เข้ามาที่ห้องกูได้ยังไงวะ” ผมสาวเท้ากลับมาที่เตียง ทิ้งตัวลงนั่งช้าๆ และพยายามทำตัวให้ใจเย็นที่สุด
“ไอ้ทูให้มา” ไอ้เพื่อนนรก! การที่กูให้คีย์การ์ดอีกอันนึงกับมึงไม่ได้หมายความว่าแม่งจะยกให้ใครก็ได้นะโว้ย!
“แล้วหลายวันมานี้มึงหายหัวไปไหน”
“ทบทวนตัวเอง”
“...” ผมไม่ได้พูดแทรกอะไร นอกจากปล่อยให้ร่างสูงเล่าจนจบประโยค
“เติร์ด นี่เราไม่ได้พูดกันด้วยประโยคยาวๆ มานานเท่าไหร่แล้ววะ” ผมไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ของไอ้ค่ายเท่าไหร่ บางทีมันก็ทำตัวงงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันดีคืนดีก็หายไป แต่บทจะกลับมาก็เป็นอย่างที่เห็น บอกตามตรงว่าเดาอารมณ์ไม่ทันเท่าไหร่
“ไม่รู้ดิ กูจำไม่ได้แล้ว”
“ตั้งแต่ที่กูแนะนำแพรวให้พวกมึงรู้จักใช่มั้ย”
“จริงๆ ก็ไม่หรอก เราต่างมีเรื่องให้ต้องคิดต้องทำเยอะแยะต่างหาก”
“ไอ้เติร์ด...ตอนนี้กู...”
“...”
“เลิกกับเขาแล้วนะ” ประโยคแสนราบเรียบเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป ผมนั่งอึ้ง ยิ่งเห็นคนตัวสูงไม่แสดงท่าทีเสียใจใดๆ ผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ปกติจะต้องลุกไปตบไหล่มันแล้วปลอบใจว่าไม่เป็นไร แต่คราวนี้ผมกลับนั่งเฉยๆ
อ่านต่อด้านล่างค่ะ