ตอนที่ 5
ตัดใจแล้วไปต่อ
คำพูดของไอ้ค่ายวนเวียนในหัวของผมจนสลัดไม่ออก...
แม้วินาทีที่เดินโซเซกลับมายังห้อง สมองของผมก็เอาแต่จดจำได้เพียงประโยคนั้น น้ำเสียงของมัน สีหน้าที่แสดงอารมณ์ของมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจพูดแค่ไหน
ผมสูญเสียมันทั้งหมดแล้ว ทั้งฐานะคนพิเศษ และความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อน ไม่เหลือ...แม้แต่อย่างเดียว
น้ำตามากมายที่ไหลลงมาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ได้แต่สะอื้นอยู่คนเดียวโดยไร้ซึ่งเงาของไอ้ทูและไอ้โบน ผมไม่สนหรอกว่าใครจะปลอบใจหรือไม่ นอกจากสาวเท้าเข้าไปยังห้องน้ำ น้ำตาทำให้ผมมองไม่เห็นแม้แต่ความหวังของตัวเอง เพราะความเสียใจเอาแต่ครอบงำไว้จนหมด
เวลานี้ผมเจ็บจนไม่มีอารมณ์หาเพลงมาเปิดบิวด์อีกแล้ว เมื่อก่อนอาจเป็นเพียงเรื่องตลก แตกต่างจากตอนนี้ที่รู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่า และคงไม่มีหน้ากลับไปคุยกับไอ้ค่ายได้อย่างสนิทใจอีก
สายน้ำเย็นเฉียบจากฝักบัวที่ตกกระทบใบหน้าทำให้ผมกล้าที่จะร้องไห้ อย่างน้อยเสียงน้ำก็ดังพอที่จะกลบเสียงสะอื้นจากความเจ็บปวดไปได้บ้าง
เคยมีคนบอกว่าสักวัน...เราจะเจอคนที่ชอบที่เราเป็นเรา ยอมรับที่เราเป็นตัวของตัวเอง สักวันคนที่มีอะไรเหมือนกันจะโคจรมาพบกัน ผมเชื่ออย่างนั้นมาตลอดถึงแม้ไม่รู้ว่าคนที่เคยบอกนั้นเป็นใครก็ตาม
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รู้จักกับไอ้ค่าย มันแนะนำตัวกับผมว่าขุนพล ส่งยิ้มให้ผม ซื้อขนมมาให้ ชวนกันเข้ามาอยู่ในกลุ่มและหลังจากนั้นผมกับมันก็ตัวติดกันเป็นตังเม เราต่างชอบอะไรคล้ายๆ กัน อ่านใจกันออกทุกเรื่อง มีความลับอะไรก็แชร์กันตลอด เรียกได้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว
แตกต่างก็ตรงที่ไอ้ค่ายมองความสัมพันธ์แบบนี้แค่เพื่อน ขณะที่ผมคิดเป็นอื่น...
เสียงน้ำยังคงชโลมลงมาบนหน้าของผมไม่หยุด ความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาสุดขั้วหัวใจ ร่างกายของผมสั่นเทิ้ม เสื้อผ้าเปียกปอนไปทั้งตัวแต่ก็ไม่คิดพาตัวเองออกมา เอาแต่นั่งคุดคู้และเจ็บปวดเพียงลำพัง
พรุ่งนี้...ผมจะเป็นคนใหม่ได้เหรอ
พรุ่งนี้...จะมองหน้าอีกฝ่ายได้อย่างจริงใจได้เหรอ เพราะแค่เห็นหน้าของไอ้ค่าย คำพูดเสียดแทงใจต่างๆ ก็แล่นเข้ามาในหัวแล้ว ในเมื่อมันไม่แคร์และไม่รู้สึกอะไร ทำไมถึงเป็นผมที่ทรมานอยู่ฝ่ายเดียว
“ไอ้เติร์ด! เติร์ดมึงอยู่ห้องน้ำเหรอ” เสียงไอ้ทูแว่วเข้ามาในโสตประสาท แม้จะไม่ชัดเจนแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงนั้นขยับใกล้เข้ามาทุกที
ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากนั่งเงียบๆ กลางสายน้ำจากฝักบัว
“เติร์ด มึงออกมาคุยกับกูหน่อย”
“...”
“นอนแช่น้ำอย่างนั้นมันเปลือง” ไม่ได้ห่วงกูเลยสักนิด
ซึ่งผมก็เลือกที่จะไม่โต้ตอบอีก ไอ้ทูเงียบไปอึดใจหนึ่ง คิดว่ามันคงปล่อยให้ผมได้อยู่ตามลำพังเพื่อคิดทบทวนเรื่องต่างๆ แต่เปล่าเลย...น้ำหยุดไหลแล้ว ที่สำคัญคืออารมณ์กูชะงักค้างเหมือนยืนอยู่กลางหน้าผา แม่งโมโหจนอดไม่ได้ที่จะโวยวายออกไป
“ไอ้ทู ไอ้ควาย! มึงสับคัตเอาท์ลงทำไม”
ปั้งๆๆ
ไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากเสียงตบประตูห้องน้ำที่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย
“กูอยากอยู่คนเดียว”
“ออกมา กูปวดขี้ รีบออกมา!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดทำให้ผมต้องยันร่างกายให้ลุกขึ้นยืน แอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมพาตัวเองมาด้านหน้า หมุนลูกบิดประตูเพื่อเผชิญหน้ากับคนข้างนอกด้วยจิตใจสั่นไหว
“ท้องเสียเหรอ” ผมพูดทั้งน้ำเสียงติดสั่น ไม่รู้ว่าหน้าตาอยู่ในสภาพทุเรศขนาดไหน แต่ทันทีที่ไอ้ทูเห็นมันก็ดึงผมเข้าไปกอดอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรนะมึง ไม่เป็นไร...”
ตอนแรกก็ว่าจะหยุดแล้ว ไอ้นี่มันดันมาสะกิดต่อมน้ำตาอีกรอบ ผมโชคดีที่มีไอ้ทูกับไอ้โบน ต่อให้ต้องเจอกับความเจ็บปวดแค่ไหนพวกมันก็ยังอยู่เคียงข้างผมเสมอ
“ตัวมึงเปียกหมดแล้วสัด” ผมพูดเสียงอู้อี้
“ก็ใครบอกให้มึงไปยืนเปิดน้ำใส่หัวแบบนี้ล่ะ ควายจริง”
“กูเจ็บ”
“ไอ้ค่ายไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ เจ็บที่มึงด่ากูเนี่ย ขอกูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บ” ผมเปลี่ยนประเด็นเพื่อทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น ไอ้ทูพยักหน้าเข้าใจก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาห้องนั่งเล่นเป็นการฆ่าเวลา กลับออกมาอีกทีเจ้าตัวก็ยังอยู่ที่เดิม แถมถอดเสื้อยืดเน่าๆ ติดชื้นทิ้งไว้กับพื้นอีกต่างหาก
“ดีขึ้นยัง” มันถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่ากำลังห่วงหรือรำคาญกันแน่
“อืม”
“ตาบวมเลยไอ้เหี้ย อุบาทว์”
“เออกูขอโทษ”
“มานั่งนี่ดิ คุยกันหน่อย”
“มีอะไรต้องคุยอีกล่ะ”
“เออน่ะ เพื่อนบอกให้นั่งก็นั่งสิ ลีลาทำไมเยอะแยะ น่ามคาญ” บางทีผมก็เกลียดไอ้ทูนะครับ แต่ก็ไม่อยากเถียงกับมันมากนอกจากทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอย่างจำยอม
“จะพูดอะไรก็พูดมา แต่บอกเลยว่าตอนนี้กูไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะเล่นตลกกับมึง”
“ไอ้ค่ายมันบอกกูว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น...” แค่ได้ยินชื่อของใครอีกคน หัวใจก็เอาแต่บีบรัดจนรู้สึกจุก
“เหรอ”
“มึงแม่งยั่วโมโหมัน”
“กูผิดเอง”
“เติร์ด กูเป็นเพื่อนมึงมั้ย” คำถามนั้นทำให้ผมต้องพยักหน้า “เพราะงั้นฟังกูนะ”
เอาแต่จ้องมองหน้าของคนข้างๆ ไม่กะพริบ คราวนี้ไอ้ทูดูจริงจังกว่าทุกครั้ง จนผมอดหวั่นใจว่าจะรับไม่ได้หากอีกฝ่ายพูดประโยคทำร้ายจิตใจออกมา
“ให้กูฟังอะไร ตอนนี้กูรับไม่ไหวแล้วว่ะ”
“มึงจะผ่านมันไปได้ มึงก็เห็นอยู่ว่าทุกวันนี้คำว่าเพื่อนของเรามันแทบไม่เหลือแล้ว ถ้ามึงไม่ทำใจยอมรับทุกอย่างก็พัง มึงคงไม่อยากให้เราทุกคนต้องพังกันหมดใช่มั้ย” ประโยคก่อนหน้าเสียดแทงใจฉิบหาย ใช่! ไม่ได้มีแค่ผมที่เจ็บ แต่ตัวของไอ้ทูกับไอ้โบนก็ต้องรับผลกระทบนี้ด้วย
“กูขอโทษที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายขนาดนี้”
“ไอ้ค่ายผิดด้วยที่พูดเหี้ยๆ แบบนั้นออกมา แต่มึงก็ผิด...คนโง่อย่างมันไม่รู้หรอกว่าสาเหตุที่มึงโกรธคืออะไร มันยังใช้ชีวิตทุกอย่างที่เป็นตัวเองอยู่เหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่ามึงเปลี่ยนไปอยู่คนเดียว”
“...”
“ยิ่งวันนี้ที่มึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เรื่องถึงได้ลุกลามขนาดนี้ แล้วรู้อะไรมั้ย...นอกจากมึงที่เจ็บ คนพูดมันก็เจ็บไปด้วยนะเว้ย” คำพูดของไอ้ทูทำเอาผมซึมไปเลย ได้แต่นั่งก้มหน้ารับฟังเพียงอย่างเดียว
ความวุ่นวายทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากตัวของผมทั้งสิ้น แรกเริ่มเดิมทีผมคิดว่าจะเก็บความรักข้างเดียวเอาไว้ตลอดไป ถึงได้แอบชอบมาตลอดสองปีและก็อดทนได้เสมอตอนที่เห็นไอ้ค่ายคบหากับผู้หญิงมากมาย ไม่เคยออกตัวห้ามหรือเข้าไปก้าวก่ายในชีวิตของมันสักครั้ง
จนกระทั่งวันที่แอบได้ยินว่าการกระทำหลายอย่างของมันเป็นเพียงการลองใจ ความรู้สึกของผมก็พังไม่เป็นท่า ความเสียใจนั้นไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้คนเดียวอีกแล้ว ผมรู้สึกเหมือนคนโง่ที่โดนเพื่อนสนิทหักหลัง มันเคว้งไปหมด ได้แต่บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ ทั้งที่รู้ว่าอาการตอนนั้นสาหัสแค่ไหน
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้ และเลือกระเบิดมันออกมาอย่างที่เห็น
“มึงจะเอายังไงต่อไป” เสียงขอไอ้ทูดึงสติของผมอีกรอบ
“หมายความว่าไง”
“ความรู้สึกของมึงกับไอ้ค่าย”
“กู...จะเก็บเอาไว้ ไม่พูดออกไปอีก” “ไม่ตัดสินใจบอกเหรอ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก บอกไปก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า มึงก็รู้จักเพื่อนมึงดีหนิ มันเป็นคนมั่นใจในตัวเองและไม่เคยมีใครเปลี่ยนความคิดมันได้ กูอยู่กับมันในสถานะเพื่อนตั้งแต่แรก ต่อไปก็คงเป็นมากกว่านั้นไม่ได้หรอก” เหมือนไฟ อยู่ข้างนอกก็อบอุ่นดีแล้ว จะเดินเข้าไปให้มันเผาใจอีกทำไม
“อืม กูเอาใจช่วย”
“ขอบใจ”
“มึงเป็นคนเดียวในแก๊งโหดที่ไม่ได้โหดเลย ใครเขาก็ต้องมาดูแลมึงเนี่ย เด็กน้อยฉิบหาย” ไอ้ทูยีหัวที่ติดเปียกของผมอย่างรำคาญ ซึ่งผมก็ไม่ได้โวยวายอะไรนอกจากทำหน้ารำคาญใส่
ผมเหมือนเป็นแกะดำของแก๊งโหดจริงๆ คอนเส็ปเราคือต้องโหดและฮอต ทุกคนมีลุคแบดบอยหมดยกเว้นกู...
บางทีสิ่งนี้มั้งที่ทำให้ผมแตกต่างจากไอ้ค่าย
“ดูหนังมั้ย” ไอ้ทูถามต่อ
“เรื่องอะไร”
“แล้วแต่มึงจะจัดเลย มีแผ่นเต็มไปหมด เดี๋ยวคืนนี้กูดูเป็นเพื่อน จัดแบบบุฟเฟ่ต์ไปเลยครับ”
“จริงดิ งั้นดู Her”
“เลือกเองก็เปิดเองสิวะ”
ในค่ำคืนที่รู้สึกถึงความเศร้า เหงา และหนาว ผมมีไอ้ทูคอยอยู่ปลอบใจอยู่ตรงนี้ มันไม่เคยใช้คำพูดสวยหรูอย่างที่เพื่อนร่วมคณะส่งมาให้ แต่การกระทำของมันบ่งบอกทุกอย่าง ในวันที่ผมเสียใจที่สุด ผมมีมัน...กับหนังอีกหลายสิบเรื่องคอยอยู่เป็นเพื่อนไม่ไปไหน
ไอ้ค่ายขอเวลากูหน่อยนะ ต่อไป...กูจะเข้มแข็ง
เลือกที่จะตัดใจจากมึง แล้วเดินหน้าต่อโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก
เสียงผิวปากดังแว่วเข้าหูเป็นระยะ แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านปลุกให้ผมต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนขดอยู่ในกองผ้าห่มผืนหนาราวกับถูกโยนใส่แบบลวกๆ ที่ตู้เสื้อผ้ามีร่างของเพื่อนรักซึ่งกำลังกลัดกระดุมชุดนิสิตอย่างใจเย็นอยู่ ไอ้ทูมองผมผ่านกระจกก่อนจะเปรยขึ้นเบาๆ
“กูไปเรียนแล้วนะ”
“ทำไมไม่ปลุกกู”
“กูปลุกมึงเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนละ แม่งบอกไม่ไปเอง”
“สัด! กูพูดตอนไหนวะ”
“เอาน่า นอนไปเถอะ กว่าจะดูหนังจบก็เกือบตีห้า อีกอย่างมึงคงไม่พร้อมเผชิญหน้ากับมันหรอก ใช่มั้ย” ผมรับฟังนิ่งๆ ตารางเรียนวันนี้มีสองวิชา ไม่ได้หนักหนามาก และที่สำคัญก็คงเป็นอย่างที่ไอ้ทูว่า คือผมยังไม่พร้อมจะเจอกับไอ้ค่ายตอนนี้
“ห่วงแต่กู มึงเถอะ เพิ่งนอนเองไม่ใช่เหรอ”
“เพื่อนครับ กูนัดสาวไว้ด้วย”
รักกูฉิบหาย กับเรื่องผู้หญิงไอ้ทูนี้แหกทุกกฎแห่งความขี้เกียจ ยิ่งเห็นร่างสูงหมุนตัวมาหยิบกระเป๋ากล้องกับสมุดเล็กเชอร์สองเล่มแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้ เป็นแบบมันก็ดีนะครับ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องฝากใจไว้กับใคร เพราะสุดท้ายความรักของคนเราก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันจะยั่งยืนอย่างที่หวัง
“นมอยู่ในตู้เย็น ซีเรียลอยู่ตรงเคาน์เตอร์” สุดเซอร์ของกลุ่มย้ำอีกครั้ง
“เออ ขอบใจ”
“ตอนกลางวันถ้าขี้เกียจลงไปตรงช่องฟรีซมีข้าวกล่อง มึงเอาไปเวฟแดกได้”
“ทำอย่างกับกูเป็นลูกน้อย”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง กูไปแล้วนะ”
“อืม เจอกันเว้ย”
ไอ้ทูโบกมือให้ก่อนจะหอบหิ้วกระเป๋าของมันเดินออกจากห้อง ตอนนี้ก็เหลือผมคนเดียวแล้วที่นอนโง่ๆ อยู่บนเตียง หยิบมือถือมาเลื่อนดูผ่านๆ ราวกับคนไม่รู้จะทำอะไร
ถามว่าเหงามั้ยคงตอบได้ว่าโคตรเหงา แต่คิดว่าเดี๋ยวก็คงเคยชินกับความรู้สึกแบบนี้ ผมไม่ได้รับการติดต่อจากใครอีกตลอดระเวลาหนึ่งวันที่ทำตัวเหมือนคนว่างอยู่ห้องไอ้ทู จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเกือบห้าโมงเย็น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อกๆๆ
ผมที่ตอนนั้นนั่งดูหนังอยู่ตรงโซฟาเลยจึงต้องลุกไปเปิดให้ ในใจก็นึกอยากอ้าปากด่าไอ้ทูที่มีกุญแจแล้วเสือกขี้เกียจไข แต่ความคิดเหล่านั้นก็เป็นอันกลืนหายไปในลำคอ เมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่เจ้าของห้อง แต่เป็นใครอีกคนต่างหาก
“ไอ้ค่าย...” ผมพึมพำชื่อของมันเบามาก เจ้าตัวสวมชุดนิสิตหลุดลุ่ยกำลังส่งสายตาเรียบเฉยมาให้ผม
“เอ่อ”
“เอ่อ คือ...” ต่างคนต่างมึนงงใส่กันอยู่นาน ผมเองก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป เพราะเรียนรู้การปกป้องตัวเองจากการเงียบเรียบร้อยแล้ว
“กูเอาชีทเรียนวันนี้มาให้” สุดท้ายคนที่เอ่ยออกมาก็คือมัน
“ขอบคุณ” ผมยื่นมือไปรับชีทปึกหนึ่งจากมืออีกฝ่าย และหลังจากนั้นสภาวะเดดแอร์ก็เข้าแทรกอีก เราไม่สนิทกันถึงขนาดจะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในหัวแล้ว
“มึงไม่สบายเหรอ”
“เปล่า แค่ขี้เกียจ มึง...เข้ามาข้างในมั้ย” คนตัวสูงพยักหน้า ผมเลยเดินนำมานั่งที่โซฟา ซึ่งด้านหน้ามีทีวีที่กำลังฉายหนังเก่าๆ อยู่ ไอ้ค่ายทิ้งระยะห่างในการนั่งกับผมค่อนข้างมาก ซึ่งผมก็ไม่ได้ทั้งท้วงอะไร
“ที่กูมา ไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีทมาให้มึงอย่างเดียว”
“...”
“กูจะมาขอโทษ ที่เมื่อวานพูดไม่ดีกับมึง กูไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร กูเองก็ขอโทษด้วยนะที่ทำให้มึงโมโห”
คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการขอโทษกันแล้วล่ะ ผมอยากขอบคุณจริงๆ ที่ไอ้ค่ายยอมโอนอ่อนออกตัวพูดกับผมก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าพอจะเผชิญหน้ากันมัน
“เติร์ด มึงกับกู...เรามาเริ่มกันใหม่ได้มั้ยวะ”
ไอ้ค่ายไม่ได้ถามเหตุผลที่ผมโกรธมัน ซึ่งผมเองก็ตั้งใจเก็บไว้เป็นความลับตลอดไป ฉะนั้นเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ
“เอาสิ โกรธกับมึงแม่งไม่สนุกเลย” แต่คงไม่เอาใจตัวเองเข้าไปเจ็บอีกแล้ว
“ถ้ามึงยกโทษให้กูแล้ว เรากลับมาอยู่ด้วยกันได้มั้ย ห้องไอ้ทูมันค่อนข้างอึดอัดเหมือนกันนะ”
“ไม่หรอก ไอ้ทูเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยคิดว่าจะไม่ย้ายไปไหนแล้ว” ในเมื่อบอกว่าจะออกมาผมก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ถ้ากลับไปอยู่กับไอ้ค่ายอีกผมไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องเผชิญกับอะไร ที่แน่ๆ ห้องนั้นต้องมีความเจ็บปวดรออยู่
ใกล้เกินไปก็เจ็บ รักษาระยะห่างแบบนี้อาจจะดีกว่า
“กูไม่ได้เร่งให้มึงย้าย แค่อยากให้กลับไปคิด”
“งั้นกูขอคิดก่อนแล้วกัน”
“เออ แล้วบทละครไปถึงไหนละ” พอเริ่มผ่อนคลายขึ้นเราต่างก็มีหัวข้อใหม่ๆ ผุดขึ้นมา กล้าพูด และกล้าสบตาแถมอาการเกร็งก็ค่อยๆ ลดลงด้วย
“ยังไม่ได้อะไรเลย”
“ตอนกลางวันพี่เชนทร์ถามถึงมึงอยู่”
“ทำไมพี่มันไม่โทรมาหากูวะ”
“กูไม่ให้โทรเองแหละ บางทีมึงอาจอยากอยู่โง่ๆ คนเดียว” เนี่ย ไอ้ค่ายแม่งเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมทุกอย่าง ถ้าต้องเสียมันไป สู้เจ็บอยู่คนเดียวโดยมีมันอยู่ตรงนี้ผมก็จะทำ อย่างน้อยก็ดึงคำว่าเพื่อนกลับมาได้บ้าง
“ไอ้ค่ายขอบคุณนะ”
“มึงเป็นเพื่อนกู”
ขอบคุณที่ยังมองเห็นกูเป็นเพื่อนอยู่ กู...จะตัดใจ
ผมถูกไอ้ทูตีตูดให้กลับมาเรียนในอีกวัน ส่วนไอ้โบนกับไอ้ค่ายก็ผนึกกำลังเกาะติดผมหนึบยิ่งกว่าปลิง นี่ก็เพิ่งได้ฤกษ์งามยามดีแยกตัวออกมาเพราะต่างคนต่างมีธุระของตัวเอง จิตใจของผมดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก แค่คิดว่าแก๊งโหดใกล้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็มีกำลังใจจะทำหลายๆ อย่างต่อไป
ไอ้พี่เชนทร์ รุ่นพี่ปีสี่ร่างหมีที่นั่งเก้าอี้ผู้กำกับละครเวทีเป็นปีแรก แถมยังเข้ามาอยู่ในทีมเขียนบท เป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ผมต้องปลีกตัวออกจากเพื่อน มานั่งหน้ามุ่ยเพื่อแลกเปลี่ยนไอเดียกับพี่มันที่หอสมุดแทน
เราคุยกันเยอะมาก เสนอไอเดียร้อยแปดพันเก้าแต่ก็ถูกปัดตกหมด ดีที่พี่ย้งยี้หนึ่งในทีมเขียนบทอีกคนติดเรียน ไม่งั้นคงวุ่นวายมากกว่านี้แน่
“แซะการศึกษาไทยมั้ย ช่วงนี้กำลังมาแรง” ผมจำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นไอเดียที่เท่าไหร่ แต่ดูจากสีหน้าคนร่างหมีแถมเคราครึ้มคนนี้กูบอกเลยว่าไม่ผ่านอีกแน่ๆ
“มึงเป็นอะไรกับเรื่องพวกนี้มากมั้ย มันไม่แมสต์”
“ก็ทำสายอินดี้ไปเลย”
“คนดูมันเข้าใจยาก เขียนเรื่องความรักดิ”
“ไม่ศรัทธา”
“มึงไม่ศรัทธาคนเดียว แต่คนดูต้องการอะไรที่ไม่ต้องคิดหลายชั้น เราต้องการความฟิน” คนตรงข้ามพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เด็กมหา’ลัยนะเว้ยไอ้เติร์ด ชีวิตประจำวันมันก็เครียดอยู่แล้ว เราไม่ได้จะทำหนังสั้นแต่กำลังทำละครเวทีให้นิสิต เอาแต่ใจตัวเองแล้วใครจะมาดู”
ผมรู้สึกเหมือนมีพ่อคนที่สองกำลังบ่นอยู่ใกล้หู ได้แต่ก้มหน้าขีดเขียนดินสอใส่กระดาษแบบมั่วๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเลือกนำเสนอในด้านไหน
“ขอโทษนะคะ พี่โหด...” แล้วนางฟ้าก็ได้โปรยตัวลงมาอยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่ ส่งผลให้พี่เชนทร์เงียบเสียงลงก่อนหันไปมองคนมาใหม่ทันที
เธอเป็นเด็กปีหนึ่ง ดูได้จากป้ายคล้องคอที่ยังแขวนอยู่ ร่างขาวสวมเสื้อนิสิตโอเวอร์ไซส์ กะแล้วคงใหญ่กว่าตัวประมาณสามไซส์ได้ มัดผมรวบตึง หน้าใสมากเพราะไม่ได้แต่ง และที่สำคัญเธอกำลังยื่นบางอย่างให้กับผม
“ครับ” ผมขานรับอย่างงงๆ
“เพื่อนฝากมาให้ค่ะ อยากให้พี่ฝากให้พี่โบน”
“เพื่อน?”
“ใช่ค่ะ เพื่อนไม่กล้ามาเลยให้หนูเอามาให้ ไปก่อนนะคะ” พูดจบเจ้าตัวก็เผ่นแน่บออกไปทันที ทิ้งให้ผมกับพี่เชนทร์นั่งมองหน้ากันอยู่นาน
“เปิดดิ” เสียงควายๆ ของมนุษย์หมีพูดขึ้น
“ของไอ้โบน”
“เพื่อนสนิทมึงเอง นิดหน่อยน่า” กว่าจะรู้สึกตัวก็เผลอเปิดกระดาษแผ่นเล็กที่พับไปมาเป็นรูปบ้าอะไรก็ไม่รู้ออกมาแล้ว ไอ้โบนกูขอโทษ
พี่โหด ชอบพี่นะคะ ผมแทบขำพรืดออกมาเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดจบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีคนทำแบบนี้ เพราะนอกจากข้อความแล้วบางครั้งผมก็จะได้รับขนมจากรุ่นน้องที่ฝากแจกจ่ายถึงสมาชิกในกลุ่มด้วย คล้ายกับว่าผมเป็นคนกลางที่มองดูไอ้โหดอีกสามตัวกำลังล่าแต้มทำสถิติชิงอันดับหนึ่งของสายกันอยู่
“เด็กสมัยนี้ จีบกันเชยฉิบหาย” รุ่นพี่หน้าหมีพูดติดตลก
“ไอ้โบนแม่งมีโมเมนต์ก๊องแก๊งแบบนี้ด้วยเหรอวะ”
“ขอดูหน่อยดิ” มือหนายื่นมาข้างหน้า ผมเลยวางกระดาษใส่มือของแกแล้วหันมาคิดพล็อตละครต่อ
“มันจะโอเคมั้ยถ้าเราจะเขียนความรักที่เกิดขึ้นในหอสมุด” คำพูดของพี่เชนทร์ทำให้ผมชะงักมือที่กำลังขีดเขียนอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงข้ามอีกครั้ง
ความรักในหอสมุด...
“มันไม่ธรรมดาไปเหรอพี่”
“นี่ไง กูถึงต้องการคนเขียนบทเทพๆ อย่างมึงมาช่วย เรื่องพล็อตธรรมดากูไม่กลัว อยู่ที่ว่าเราจะเขียนให้มันมีความน่าสนใจแค่ไหนมากกว่า”
“นั่นแหละปัญหา”
“มึงคิดดูนะไอ้เติร์ด ปีๆ นึงเด็กมหา’ลัยใช้หอสมุดเยอะมาก อย่างพวกไม่เอาอ่าวเลยหนึ่งปีมันก็ต้องมาสักครั้ง มึงไม่คิดเหรอว่าการมาหอสมุดที่น่าเบื่ออาจมีสีสันขึ้นถ้าเราเล่าเรื่องความรักควบคู่ไปด้วย”
ผมคิดตามสิ่งที่รุ่นพี่ปีสี่แกเสนอ สำหรับผม การมาหอสมุดเป็นเรื่องที่น่าจำเจ เพราะใช้เฉพาะช่วงสอบแถมยังชอบจองห้องติวแบบไพรเวทเอาไว้มากกว่าจะนั่งกองๆ อยู่ด้านนอก มันเลยทำให้ผมไม่ได้เจอกับใครเท่าไหร่นอกจากเพื่อนในคณะ
แต่ถ้าเราลองมองอีกมุม ใช้เวลาว่างมานั่งสังเกตชีวิตของคนกลุ่มอื่นบ้าง บางทีพล็อตแบบนี้อาจจะเวิร์กก็ได้ เห็นบางคนก็ยังเหล่ๆ มองกันอยู่ทั้งที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ
“น่าสนใจ”
“ลองมั้ย แล้วมาแชร์ไอเดียกัน”
“เดี๋ยวช่วงอาทิตย์นี้ผมเซอร์เวย์ก่อนแล้วกัน ส่วนพี่ก็ลองคิดโครงเรื่องคร่าวๆ ไว้ แล้วมาปรับกันอาทิตย์หน้าเพราะมันจะไม่ทันแล้ว” เวลาที่กระชั้นทำให้เราตัดสินใจทำอะไรเร็วขึ้น รีบแบ่งสันปันส่วนหน้าที่ไว้อย่างดี เพราะละครจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องมาจากบทที่ดีด้วย
“ตกลงตามนั้น เดี๋ยวกูบอกย้งยี้เอง อีนี่มันเก่งเรื่องไดอาล็อก”
“...”
“โรแมนติกแต่ไม่มีผัว”
“กับเพื่อนไม่ต้องแซะขนาดนั้นก็ได้”
“มึงก็อย่าบอกมันดิ โอเคสรุปตกลงตามนี้ ส่วนชื่อเรื่องเดี๋ยวรอดูพล็อตโดยรวมอีกที”
“ครับ”
“แยกย้ายๆ” พี่เชนทร์เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว สั่งอะไรเสร็จก็หายหัว แกเป็นรุ่นพี่ที่เก่งมากในสายฟิล์ม หน้าตาไม่หล่อ แต่แฟนโคตรสวย เพื่อนร่วมรุ่นต่างก็อิจฉาเพราะเกิดมาไม่เคยรู้จักคำว่าแห้ว แค่คารมกับความเก่งของแกหญิงก็แทบวิ่งมาสยบตรงปลายเท้าแล้ว
ส่วนกูอ่ะ...ก้มลงมองตัวเองแป๊บ
อยู่แก๊งโหดแต่ไม่โหด ความฮอตระดับเบสิก หน้าตาจะออกตี๋ด้วยซ้ำไป ความเก่งก็ไม่ได้โดดเด่น ติดท็อปลิสต์บุคคลผู้มีปฏิสัมพันธ์ยอดแย่กับคนแปลกหน้า เออ! สมควรที่ไม่มีใครเอา
อ่านต่อด้านล่างค่ะ