“ผมชื่อ มอดนะ เป็นยามอยู่ชั้นทำงานของท่านประธาน”
ตอนที่ผมเดินมานั่ง หนุ่มร่างใหญ่ หน้าตาบ่งบอกว่าเป็นคนบ้านเดียวกันกับผม ก็ชะโงกหน้าข้ามเบาะมาแนะนำตัว ผมยิ้มให้เขา เราสองคนคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน เขาเป็นยามที่เฝ้าอยู่ที่ชั้นทำงานของท่านประธานเคลวิน ส่วนใหญ่จะทำช่วงกลางวัน แต่เสาร์อาทิตย์ จะมียามอีกคนมาเปลี่ยนกะแทน
ปีนี้บริษัทใจดีให้พนักงานประจำ ลูกจ้างชั่วคราว เด็กฝึกงาน แม่บ้าน และยามไปเที่ยวด้วย เรียกว่าปิดบริษัทกันทีเดียว ตอนแรกไม่มีนโยบายนี้ หลายปีที่ผ่านมา บริษัทจะให้แต่พนักงานประจำได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวเท่านั้น
แต่พอคุณเคลวินเข้ามาดูแลบริษัท เขาก็เปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์หลายอย่าง โดยเฉพาะ การให้สวัสดิการให้พนักงานกินดีอยู่ดี และการจัดกิจกรรมเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพนักงานในองค์การ ก็ได้ริเริ่มขึ้นในปีนี้ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานรู้สึกติดองค์กร และมีความรู้สึกจงรักภักดี ทำงานอย่างทุ่มเท ไม่คิดจะหนีหายไปที่อื่น
การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่สนับสนุนส่งเสริมพนักงานที่ทำงานดีเด่น ขยัน ตอบแทนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้พนักงานมีความรู้สึกรักองค์กรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเด็ดขาด ดุดัน ก็ทำให้หลายคนรู้สึกเกรงกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ประธานหนุ่ม เพราะกลัวจะทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วจะโดนว๊ากใส่
ดังนั้นการที่เด็กใหม่อย่างผม ได้โอกาสทำงานใกล้ชิดกับเจ้านายใหญ่ของบริษัท จึงสร้างความคลางแคลงใจให้เกิดขึ้นกับใครๆหลายๆคน จนไม่มีใครอยากยุ่งกับผม แม้แต่เพื่อนที่แผนกเดิมก็ยังมองผมด้วยสายตาไม่ดี ผมจึงกลายเป็นคนที่มีเพื่อนน้อยมาก และมักจะคบกับคนที่อยู่ในระดับชั้นฐานะทางสังคมแบบเดียวกับผม เช่นพวกแม่บ้าน หรือยาม ซึ่งมักจะให้ความเมตตาปราณีกับผม มากกว่าพนักงานที่มีตำแหน่งหน้าที่ดีๆเสียอีก
ผมแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการกับมอดบ้าง เราเคยคุยกันแต่เราไม่รู้จักชื่อของอีกฝ่าย เพราะเวลาอยู่ที่บริษัท เราต่างก็ยุ่งในงานของตัวเอง และความที่ผมพยายามทุ่มเทให้กับงาน เพื่อไม่ให้ถูกคนครหาว่าผมไม่มีความสามารถแต่เล่นเส้น ผมจึงพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็น วันทั้งวันผมก็เลยคลุกอยู่กับกองงาน ไม่ค่อยได้ไปนั่งพูดคุยเล่นกับใครที่ไหน กอร์ปกับผมไม่ชอบสายตาที่มองมาอย่างดูหมิ่น ไม่เป็นมิตร ผมเลยเก็บตัวเงียบๆ อยู่กับงานอย่างเดียว ถ้าไม่มีใครชวนพูดคุยด้วย ผมก็คงไม่คุยกับเขาก่อน เพราะผมไม่รู้ว่า เขาต้องการเป็นมิตรกับผมหรือเปล่า
การมาเที่ยวครั้งนี้ ผมก็เลยได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน มอดอายุแก่กว่าผมสามปี แต่เขาไม่ยอมให้ผมเรียกเขาว่าพี่ เพราะตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาด้อยกว่า กลัวว่าจะเป็นการตีเสมอ มอดเรียนน้อยกว่าผม เขาจบแค่ ป.6 เท่านั้น ความยากจนแร้นแค้น ทำให้เขามุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพ เพื่อหางานทำ
เขาจับมาหมดแล้วทุกอย่างตั้งแต่งานกรรมกรแบกหาม งานรับจ้าง หรือแม้กระทั่งการเป็นหนุ่มโรงงาน จนวันหนึ่งมอดมีโอกาสได้เจอท่านผู้จัดการชาตรี เขาเป็นคนแนะนำให้มอดมาสมัครที่นี่ และเคลวินก็รับไว้ด้วยความสงสาร เห็นว่ามอดท่าทางซื่อๆ ท่าทางขยันไว้ใจได้ เลยให้มอดมาทำงานเป็นยาม
ตอนแรกมอดเฝ้าลานจอดรถก่อน จากนั้นก็ขยับขึ้นมา เฝ้าในอาคาร คอยตรวจตราดูแลตามชั้นต่างๆ ความขยันขันแข็งของมอด ทำให้ท่านประธานพอใจ จึงมีคำสั่งให้มอดขึ้นมาดูแลชั้นที่ท่านทำงานอยู่ จนปัจจุบัน มอดก็ทำงานกับเคลวินมาได้ 2 ปีแล้ว
เราสองคนคุยกันอย่างถูกคอ ท่าทางซื่อๆของเขา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่มีลักษณะนิสัยอย่างเดียวกัน ทำให้ผมสนิทกับเขาโดยง่าย เขาเล่าเรื่องอะไรต่ออะไรให้ผมฟังหลายอย่าง ทั้งเรื่องครอบครัว และเรื่องงาน มอดบอกว่า ในชีวิตของเขา มีคนที่ต้องขอบคุณอยู่สองคน คนหนึ่งคือท่านประธานเคลวิน ที่ใจดีมีเมตตา ให้โอกาสเขาได้ทำงานด้วย และอีกคนที่จะลืมเสียไม่ได้คือคุณชาตรี ผู้แนะนำเขามาทำงานที่นี่ และเป็นผู้ช่วยเหลือดูแลตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผมฟังเขาเล่าถึงนายชาตรีแล้วก็ขำ ไม่นึกว่าเขาจะเป็นคนที่มีใจอ่อนโยนเป็นด้วย เพราะที่ผ่านมา เขาเอาแต่ตีหน้ายักษ์และคอยจ้องจับผิดผมโดยตลอด บางทีบุคลิกภาพที่เห็น กับตัวจริงที่เป็นอาจจะแตกต่างกันก็ได้ สงสัยผมคงต้องหามุมใหม่ๆ เพื่อมองนายชาตรีบ้างแล้ว
--------------------
TBC
ขอบคุณสำหรับ ทุกเม้นท์นะคะ