ผมพยายามจะไม่สนใจมั่นอีก ปล่อยให้มันตั้งโต๊ะญี่ปุ่นกินเหล้าเคล้าเสียงเพลงเบาๆ อยู่ติดกับประตูระเบียงไป จนกระทั่งได้ยินเสียงประโยคคำถามของผู้หญิงคนนึงดังขึ้น เลยดึงดูดความสนใจของผมให้หันไปมอง
แล้วก็พบว่า มันเป็นเสียงมิวสิควีดีโอที่ดังมาจากโน๊ตบุ๊คของมั่น ซึ่งผมเคยฟังมาก่อนแล้ว และมันก็ชวนให้ผมนึกถึงเรื่องราวความเป็นเพื่อนของทั้งผมและมั่น ที่เหมือนว่าจะเผลอใจอยากบอกความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในกันตลอดเวลา
ทั้งที่ในความเป็นจริง แม้ว่าเราสองคนจะดูแลกันและกันมาตลอด แต่เราก็ยังไม่กล้าที่จะพูดความในใจตัวเองออกไปสักที ทั้งมันแหละผมเลย
เย็นมือคล้ายๆ มันสั่น มองเธอแล้วใจยังหวั่น
กอดสักทีได้ไหม แต่ก็ข่มใจไว้
ความจริงฉันคงไม่กล้า ปล่อยให้มันผ่านพ้นไปแม่ง แล้วพอใจมันฟังไปแล้ว ผมก็ไม่อาจที่จะดึงสมาธิของตัวเองให้กลับมาอยู่ที่หนังสือตรงหน้าได้เลย มั่นนะมั่น จะกินเหล้าฟังเพลงก็ฟังไปคนเดียวสิวะ ทำไมมึงต้องเสือกมาทำให้กูอินด้วยก็เนี่ย!
และช่วงเวลา ไม่รู้อะไร
ที่มากดดันให้ฉันได้เฉลยในใจไม่กล้าจะเอ่ย
ให้ฉันได้พูดไปอย่างนั้นหรือมึงต้องการจะเปิดเพลงนี้เพื่อจงใจบอกความรู้สึกในใจของมึงที่มีต่อกูวะ?
ว่าฉันนั้นรักเธอ ก็ปากมันเผลอไป
ในเวลาที่สองเราอ่อนไหว ได้ตัดสินใจพูดคำว่ารัก
และฉันไม่รู้ตัว ได้แต่ยอมรับมัน
เก็บคำบางคำซ่อนไว้ว่าใจฉันนั้นรักเธอ
ฉันเผลอออกไป
โอ๊ยยยย อึดอัดว่ะ! ขนาดนึกตอนนี้ยังรู้สึกเลยว่าตัวเองอึดอัดมากจริงๆ ในตอนนั้น เพราะสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดเลย ก็คืออยากให้มั่นมันกล้าสารภาพความรู้สึกของมันกับผม เหมือนที่พระเอกเอ็มวีโทรไปบอกเพื่อนที่คบกันมานานว่าชอบ แม้ว่าสายจะถูกตัดไปก็ตาม
ไม่ใช่ว่าที่เวิ่นเว้อมาตลอดนี่ผมคิดไปเองนะ ผมเคยพิสูจน์แล้ว เคยให้เพื่อนร่วมสาขาคนนึงที่ชื่อ 'ก้อย' หลอกถามที่ร้านเหล้าตอนมั่นเมาหนักๆ ว่า
"มึง กูถามจริงๆ นะ มึงรู้สึกยังไงกับบุ้งวะ"มั่นหันซ้ายหันขวาทันทีเหมือนต้องการจะมองหาผม แต่ก็ไม่เจอ เพราะผมแอบอยู่ในมุมมืด ค่อนข้างไกลออกมาเล็กน้อย แต่ยังคงได้ยินทุกคำจากปากมัน
"ถ้ากูบอกมึง มึงอย่าบอกบุ้งนะ"
"เออ กูไม่บอกหรอก" ก้อยเล่นเนียนอย่างที่เราเตี๊ยมกันไว้
"กูชอบมันนะ ชอบมาก อยากได้บุ้งเป็นแฟนเลยด้วยซ้ำ"ตึกตัก... ตึกตัก...
ใจผมเต้นแรงมากเลยตอนนั้น เพราะในที่สุดผมก็ได้ยินจากปากของมั่นมันสักที ไม่ต้องคิดเองเออเองอีกต่อไปแล้ว
แต่พอก้อยหลอกถามต่อว่า
"แล้วทำไมมึงไม่บอกบุ้งมันไปวะ กูว่าบุ้งมันก็น่าจะคิดไม่ต่างจากมึงนะ"มั่นก็แค่นหัวเราะ
"ทำไมกูจะไม่รู้ว่าบุ้งมันก็ชอบกู แต่..."
"แต่?"
"เราต่างกันเกินไปว่ะ กูกับมัน...ต่างกันมากเกินไปจริงๆ"
"ยังไงวะ"
"บุ้งแม่งเหมือนดาวบนฟ้า ในขณะที่กูแม่งหมาวัด อย่าไปฉุดบุ้งมันลงมาต่ำเลย"
"..."
"กูขอแค่ได้ดูแลมันไปเรื่อยๆ แค่นี้กูก็พอใจแล้ว"คำตอบของมั่นตอนนั้นทำเอาผมน้ำตาคลอเลยครับ มันแบบ...มันทั้งดีใจทั้งหงุดหงิดใจ สับสนปนเปกันไปหมด!
อะไรของแม่งก็ไม่รู้ บอกกูเป็นดาวบนฟ้า นี่มันยุคไหนแล้วมั่น เขามีแต่ปลาบนฟ้าโน่น! แล้วยังจะมาพูดเหมือนว่าตัวเองต่ำต้อยอีก ละครชิบหาย!
ตอนนั้นผมเดินออกจากเงามืด ตั้งใจจะคุยกับมันให้รู้เรื่อง แต่กลายเป็นว่าพอไปถึงโต๊ะ มั่นก็เมาหลับไปแล้ว ทุกอย่างเลยเหมือนถูกตัดจบลงแค่นั้น เพราะว่าในวันต่อมา... ผมก็ไม่กล้าพูดความในใจของตัวเองเหมือนคืนนั้นแล้ว...
"เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วนะ? เปลี่ยนได้ปะ?"แถมพอผมดึงตัวเองกลับมาจากสิ่งที่คิดในหัว ก็ยังต้องมาเผชิญกับเสียงพูดของนางเอกเอ็มวีในตอนจบที่มั่นเปิดอีก
จนเมื่อคืนผมคิดในใจเลยว่า อยากบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปซะตอนนั้นเลย เอาให้เหมือนกับนางเอกเอ็มวีนั่นแหละ
ทว่า...
แกร๊ก!
มั่นก็ดันลุกไปเข้าห้องน้ำซะก่อน เลยทำให้เสียจังหวะอีกครั้ง จนความไม่กล้าย้อนกลับมาครอบงำผมอีกตามเคย
สุดท้ายก็ต้องปล่อยผ่านเลยไป ปล่อยให้มั่นนั่งกินเหล้าต่อโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนประมาณสักสามทุ่ม คนที่นั่งกินเหล้าอยู่นานสองนาน ก็คลานขึ้นมานอนบนเตียงข้างๆ ผม
"..."กลิ่นเหล้าแรงๆ ทำให้ผมอยากออกปากไล่มั่นไปอาบน้ำ แต่พอหันไปเห็นว่าขวดเหล้าที่วางอยู่ตรงประตูระเบียงหมดเกลี้ยง ก็เปลี่ยนความคิดในทันที เพราะลองดื่มโหดขนาดนี้ เอาช้างมาฉุดมั่นมันก็คงไม่ไปแน่
แล้วพอหันกลับมามองหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก็เป็นอันต้องสะดุ้ง! เพราะจากที่คิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว กลับกลายเป็นว่าดันลืมตา แถมยังมองตรงมาที่ผมซะด้วย
"อะไร" เมื่อคืนนี้ผมทนให้มันจ้องมองอยู่นานเลยแหละ กว่าที่จะถามออกไป เพราะทนสายตาที่เต็มไปด้วยข้อความคู่นั้นไม่ไหวละ
"มอง"
"มองไร"
"บุ้ง"แถมพอได้ยินคำตอบจากมัน ในใจผมนี่ร้องเลยครับว่า 'ตายห่าละ' เพราะลองมันตอบกลับมาไม่เกินสามพยางค์แบบนี้ แสดงว่ามันเมามาก เมาชนิดที่ว่าอาจจะต้องเดาข้อความจากคำที่มันเปล่งออกมากันเลยทีเดียว
"มองไม"
"น่า..."
"น่า?"
"...รัก"เออ เอากับมั่นมันสิ นี่ขนาดมันพูดเมื่อวานนะ แต่พอคิดถึง ความรู้สึกเขินยังกลับมาเล่นงานผมถึงวันนี้เลยอะ!
"บ้าละ ถ้าเมาก็หลับไปเหอะ!" แล้วมันก็ส่ายหน้า
"อยาก"
"อยากไร" ผมจำได้ว่าตัวเองรีบกระเถิบตัวออก เพราะถึงผมจะชอบมันมาก แต่ผมก็ยังไม่พร้อมกับความ 'อยาก' ในแง่ของการมีอะไรกันหรอกนะ!
"ดูแล" แต่พอได้ยินว่าเป็นอยากอย่างอื่น ผมก็เผลอยิ้มออกมา ก่อนจะช่วยเกลี่ยผมที่ทิ่มตามันอยู่ออกให้
"มึงก็ดูแลกูมาตลอดอยู่แล้วนี่" นอกจากพ่อกับแม่ ก็ไม่มีใครดูแลกูได้ดีเท่ามึงแล้วล่ะมั่น
ถ้าไม่มีมึง กูคงไม่ได้กินอะม็อกซีซิลลินตรงเวลาติดต่อกันแบบนี้หรอกนะ : )
"อยาก"
"อะไร อยากอะไรอีก"
"จูบ"
ผมถึงกับอึ้งไปนิดนึงเลย ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเมาต่อหน้าผม แต่นี่คือครั้งแรกเลยที่มั่นกล้าพูดอะไรออกมาแบบนี้ พูดกับผม โดยไม่แม้แต่จะหลบสายตา
"จูบกู?"มันพยักหน้า
ในขณะที่ผมหลุดหัวเราะออกมา ก็ดูสิ หมดสภาพขนาดนี้จะเอาแรงไหนมาจูบผมวะ เลยต้องแกล้งแซวมัน
"ไหวหรอมึงอะ?"เท่านั้นแหละครับ มั่นที่ผมคิดว่าหมดสภาพแล้วเมื่อคืนก็กระโจนขึ้นทับตัวผม ก่อนที่...ปากของมันจะทาบทับลงมา...
กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งเต็มปากผม มันฉุนมาก แต่ไม่รู้ทำไม... ผมกลับมีความสุขที่จะเสพเอาความรู้สึกของอีกฝ่ายเข้ามาในหัวใจ...
นานนับนาทีเห็นจะได้ กว่าที่มั่นจะค่อยๆ ผละออก... หน้าของมันแดงก่ำเลย แต่ตายังคงจ้องผมไม่เลิก...
"ไม่อยาก" ก่อนที่มันจะกลับไปทิ้งตัวลงนอน แล้วพูดสองพยางค์ที่ทำเอาผมถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
"มะ...ไม่อยากอะไร!?"
"เป็นเพื่อน"
"..."
"..."มาถึงตรงนี้ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ทั้งผมและมันหันหน้ามาสบตากัน เนินนานกว่าที่ผมจะถามกลับไปอีกครั้ง ด้วยความอัดแน่นทั้งหมดที่มีอยู่ในหัวใจ...
"แล้วอยากเป็นอะไรล่ะ?"มันยังคงมองหน้าผมนิ่ง... ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลง...
แล้วก็หลับไปเลย!ปึก!
พอนึกย้อนมาถึงตรงนี้ ผมปาหมอนที่เอามาปิดหน้าทิ้งด้วยความหงุดหงิด หงุดหงิดที่จังหวะการพูดความในใจของผมกับมั่นมันไม่ได้จังหวะสักที ส่งผลให้หมอนทั้งสองใบตกลงไปอยู่ที่พื้นปลายเตียง
แกร๊ก!
แต่พอผมจะลุกขึ้นไปเก็บ ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาซะก่อน ทำให้มั่นหันมองผมกับหมอนสองใบนั้นสลับกันด้วยสีหน้างงๆ
"ทำไมหมอนมาตกอยู่นี่ล่ะ"
"อ๋อ..." เอาแล้วไง แถว่าไรดีวะ? "คือ... พอดีว่ากูสลัดผ้าห่มอะ มันเลยตกลงไป กำลังจะเก็บเลย" แต่ความจริงไม่ใช่หรอก กูปาไปด้วยความหงุดหงิดใจต่างหาก ที่กูยังหาจังหวะดีๆ บอกความรู้สึกในใจกูออกไปไม่ได้สักที
แต่ว่าวันนี้แหละ หลังมื้อเช้านี้เลย กูจะพูดให้ได้ กูจะไม่รอจนมึงพูดอีกแล้ว กูจะพูดเอง!
"อ๋อ" โชคดีที่มั่นดูจะไม่ได้ติดใจอะไร ก็เลยหยิบหมอนขึ้นมาส่งให้ผม ผมก็เลยรีบจัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ลุกขึ้นพับผ้าห่มซะเรียบร้อย แล้วมานั่งรอกินมื้อเช้าพร้อมกับมั่นที่โต๊ะญี่ปุ่นข้างเตียง
มั่นเดินไปหยิบชามมาสองใบ ก่อนที่จะเทราดหน้าร้อนๆ ให้ ผมเลยใช้จังหวะนั้นชวนอีกฝ่ายคุย
"กูว่ากูหายแล้วว่ะมั่น ไม่เจ็บคอแล้ว ไม่ไอแล้ว ไข้ก็ไม่มี น้ำมูกก็หมดแล้วด้วย"
"ดีแล้ว แต่ยังไงก็ต้องกินยาฆ่าเชื่อให้หมดตามหมอสั่งนะ"
"อื้อ เหลือมื้อเช้ากับมื้อเย็นวันนี้ก็หมดแล้วล่ะ"
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายลุกบ้าง เพราะเห็นว่ามั่นลืมหยิบมา ก็เลยถือโอกาสหยิบแก้วน้ำกับขวดน้ำในตู้เย็นหนีบมาด้วย
แล้วหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ตั้งหน้าตั้งตากินราดหน้ากันไป มีพูดคุยกันบ้าง แต่ก็ไม่มากหรอก เพราะปกติเราสองคนก็ไม่ใช่สไตล์พูดคุยเล่นกันอยู่แล้ว ส่วนมากจะนั่งข้างกันเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างทำอะไรของตัวเองไป ขอแค่ให้ไหล่ของเราติดกัน หรือไม่ก็แค่รับรู้ว่ายังมีอีกคนนั่งอยู่ด้วยกันใกล้ๆ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
"อะ" แล้วพอราดหน้าหมด มั่นก็ยื่นอะม็อกซีซิลลินสองเม็ดมาให้ เหมือนกับทุกๆ วันที่มันคอยดูแลผม ต่างไปก็แค่ว่าวันนี้มีเพียงอะม็อกซีซิลลินอย่างเดียว เพราะอาการอย่างอื่นหายหมดแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกินยาตัวอื่นอีกต่อไป
"ขอบคุณนะ" ผมรับยามาด้วยรอยยิ้ม พออาการป่วยหายไป ความสดใสร่าเริงมันก็กลับคืนมาด้วย ก่อนที่จะส่งยาสองเม็ดในมือเข้าปาก ดื่มน้ำตาม แล้วลุกขึ้นไปนั่งเล่นต่อบนเตียง ปล่อยให้มั่นเก็บจานไปวางไว้ตรงที่ล้าง แต่ก็ยังคอยมองตามจนมันกลับมานั่งที่พื้นข้างเตียง
"วันนี้จะกลับบ้านเลยเปล่า หรือว่าจะกลับพรุ่งนี้"
"คงพรุ่งนี้แหละ" เพราะถึงวันนี้วันศุกร์จะไม่มีเรียน แต่ว่ายังไงวันนี้กูก็ต้องทำความตั้งใจของกูให้สำเร็จก่อน กูจะไม่ยอมเสียจังหวะไปอีกแล้ว!
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสังเกตว่ามั่นมันจะทำอะไร จนกระทั่งเห็นว่ามันนั่งหันหลังให้ และหยิบงานขึ้นมานั่งทำบนโต๊ะญี่ปุ่นที่เราเพิ่งจะกินข้าวกันไป ผมก็กลั้นใจในวินาทีนั้น แล้วกอดคออีกฝ่ายจากด้านหลังไว้ทันที!
มั่นดูจะตัวแข็งทื่อไปเลยเมื่อถูกผมกอด ไม่รู้เหมือนกันว่าแข็งทื่อไปด้วยความรู้สึกไหน แต่ผมไม่สนแล้ว ผมมีเรื่องที่จะต้องพูด และผมจะพูดเดี๋ยวนี้เลยด้วย
"ขอบคุณนะ"
ด้วยความที่ผมกอดมันไว้หลวมๆ เลยทำให้มั่นมีพื้นที่พอที่จะหันคอมามองผมด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันได้
"ขอบคุณ?"
"อื้อ ขอบคุณที่มึงดูแลกูไง"
"หมายถึงหลายวันที่มึงป่วยเนี่ยน่ะหรอ"
"เปล่า"
"..."
"กูหมายถึงที่มึงดูแลกูมาตลอด"
"..."
"ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน จนถึงวันนี้เลย"
มั่นเหมือนทำหน้าไม่ถูกที่ได้ยินผมพูดแบบนั้น และยิ่งทำหน้าไม่ถูกกว่าเดิมเมื่อผมทำตัวหน้าด้านขโมยจุ๊บแก้มัมนซะดื้อๆ
"บุ้ง..."
"กูไม่สนหรอกนะ ว่ามึงจะมองกูกับมึงต่างกันแค่ไหน ถึงยังไม่ยอมบอกความในใจกับกูสักที"
"..."
"แต่สำหรับกู มึงคือยาอะม็อกซีซิลลินนะ"
"..."
"เพราะว่ามึงคือคนที่ดูแลกูได้ดีและสม่ำเสมอที่สุดแล้ว"
"..."
"และนั่นแหละ ที่ทำให้กูอยากคบกับมึงเหลือเกิน มึงเข้าใจกูมั้ย?"
"..." มั่นเงียบ ทำเพียงแค่มองหน้าผมนิ่งๆ อยู่เกือบนาที จนผมชักจะเริ่มหวั่นใจ... ว่าบางที...ผมอาจจะเข้าใจผิดเรื่องใจของเราสองคนที่ตรงกันก็เป็นได้?
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะค่อยๆ ผละออก มั่นก็คว้ามือของผมไว้ รีบพยักหน้าเหมือนต้องการจะตอบว่ามันเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดแล้ว ก่อนที่หลังจากนั้น มั่นจะเริ่มถามผมด้วยรอยยิ้มอย่างคนกำลังสุขใจระคนเขินอายในเวลาเดียวกัน
"เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วนะบุ้ง?"
"..."
"เปลี่ยนได้ปะ : )"
ทำเอาผมนี่ยิ้มตามทั้งๆ ที่น้ำตาเอ่อขึ้นคลอเบ้า เพราะจำได้ดีว่าคำถามนี้มาจากนางเอกเอ็มวีเพลง 'เผลอไป' ของ 'TATTOO COLOUR' ที่มันเปิดตอนดื่มเมื่อคืนนี้
ประโยคที่ผมตั้งใจว่าจะลอกเอ็มวีมาพูด... แต่กลับถูกมันแย่งพูดไปซะแล้ว...
"ได้ดิ : )"
แล้วผมจะไปตอบอย่างอื่นได้ไงล่ะ ในเมื่อรอที่จะเป็นแฟนมันมานานขนาดนี้แล้ว
ส่งผลให้มั่นกระโจนขึ้นทับบนตัวผม สบตาหวานซึ้งอยู่นานนับนาที ก่อนที่จะประกบจูบลงมาอย่างเงียบเฉียบ ทว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่คนถูกจูบอย่างผมยากจะถอนตัว
มันจะพาผมไปไกลขนาดไหนนะ?
จะหยุดแค่เพียงจูบเดียว หรือไปไกลเกินกว่านั้น?
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
แต่ที่แน่ๆ เลยก็คือ ไม่ว่าต่อจากนี้ผมจะป่วยด้วยอาการเจ็บคออีกสักกี่ครั้ง หรือว่าจะต้องกินอะม็อกซีซิลลินอีกสักที่แผง
ผมมั่นใจ ว่าผมจะมีมั่น ที่คอยดูแลผมเสมอ
และผมก็จะไม่มีวันพลาดการกินยาตามเวลาที่หมอสั่งอย่างแน่นอน
ไม่มีวันเลย : )
❤
- Fin -
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ
หากอ่านแล้วมีคอมเม้นท์ติชมอะไรให้นักเขียนมือใหม่คนนี้
รบกวนเม้นท์บอกกันด้วยนะครับ
เพื่อที่ว่าแฮมสเตอร์จะได้นำไปปรับปรุงผลงานเรื่องต่อๆ ไป
และสำหรับใครที่ต้องการจะพูดคุยถึงเรื่องสั้นเรื่องนี้บนทวิตเตอร์
แฮมสเตอร์ขอความกรุณา
#อะม็อกซีซิลลิน เพื่อง่ายต่อการค้นหาด้วยนะครับ
เพื่อที่แฮมสเตอร์เองก็จะได้ตามไปเม้าท์ถูกที่ด้วย ฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณอีกครั้งครับ : )