➤➤ใจเย็นกับเป็นไท ◑แจ้งข่าวตีพิมพ์หน้า 19 ค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ➤➤ใจเย็นกับเป็นไท ◑แจ้งข่าวตีพิมพ์หน้า 19 ค่ะ  (อ่าน 124844 ครั้ง)

ออฟไลน์ nippy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ใจเย็นคงจะเป็นพวกร้ายตาใส
ร้ายแบบ ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำมันผิด อะนะ
อยากให้ลงนิยายจนจบตอนนี้เลยเนี่ย งอแงๆ
เพราะเราอะชื่อใจร้อนนนนน
คนเขียนเขียนบทบรรยายดีมากเลยอะ
ชื่นชมและเป็นกำลังใจให้นะคะ
รีบๆมาต่อนะ เค้ารอออออออ

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
4 – ไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่



แตกต่างกับใจเย็น เป็นไทไม่ชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น ไม่เคยด้วยซ้ำที่จะเพ่งลึกลงในจิตใจของตนเอง เพราะเขาปิดผนึกมันไว้แล้วด้วยน้ำตาเทียนของค่ำคืนมืดมนอนธการนั้น เพื่อที่จะตัดปัญหาสับสนซับซ้อนในจิตใจ และเพื่อที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติธรรมดาที่สุด

เป็นไทไม่ค่อยยืดหยุ่นต่อสิ่งใดนัก ไม่ค่อยชอบแกะกะเทาะความคิดความรู้สึกของผู้คน ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าทุกสิ่งย่อมมีตื้นลึกหนาบาง แต่เป็นไทก็มักจะมองข้าม แม้แต่สาเหตุของความรู้สึกตนเองเขาก็มองข้ามไปเช่นกัน

เกลียดก็คือเกลียด เป็นไทคิดแค่นั้น

ตั้งแต่เด็ก เป็นไทเกลียดปรายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องตัวเองเข้าไส้ เกลียดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า ตอนนั้นเขาอายุสักเจ็ดขวบได้ ปรายอายุได้สี่ขวบ ตัวเล็ก ยิ้มหวาน และน่ารำคาญ

เป็นไทไม่รู้ว่าทำไมถึงเกลียดปรายนักหนา ทั้งที่ควรจะนับปรายเป็นน้องชายคนหนึ่งแต่เขาก็ทำไม่ได้ ทุกครั้งที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ คนนั้นยิ้ม หัวเราะ ดังก้องกังวาน บางอย่างในใจสั่นสะท้านไหวกระเพื่อม ส่งผลกระทบให้เจ็บปวดรวดร้าวจนเขาไม่อยากเข้าใกล้ สุดท้ายจึงผลักไส ไม่ใยดี และห่างกันไปโดยไม่เคยรู้ถึงสาเหตุที่เกลียดปรายแม้แต่น้อย

จนวนกลับมาพบอีกครั้งเมื่อปรายขาดไร้ทั้งพ่อและแม่ ให้ต้องตกมาอยู่ในอุปการะของแม่เขาเอง เป็นไทก็ยังคงรู้สึกเกลียด แม้จะน้อยลงกว่าเมื่อครั้งเป็นเด็กแต่มันก็ฝังลึกยากจะจางหาย เป็นไทกระทำแต่สิ่งไม่พึงกระทำของการเป็นพี่ชาย และไม่เคยแบ่งปันความรักให้ จนผู้เป็นน้องรู้สึกโหวงว่างในหัวใจ นั่นแหละเป็นไทถึงจะพอใจขึ้นมาบ้าง

โดยไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งขุดหลุมในใจของปรายเท่าไหร่ หลุมในใจของเขาก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้นเท่านั้น

แต่ก็นั่นแหละ นั่นแหละที่เป็นไทไม่เคยสำรวจตรวจค้นลงไปในใจของตนเอง เขาชอบอะไรที่มีคำตอบตายตัว ต่อให้ต้องค้นคิดซับซ้อนแต่ถ้าได้ผลลัพธ์ เขาก็ยังรู้สึกดีกับมัน ไม่ว่าอะไรๆ ก็ดีกว่าการต้องค้นลงไปในจิตใจมนุษย์ที่ซับซ้อน บิดพลิ้ว ผันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

จนในวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ เป็นกุมภาพันธ์ที่อากาศร้อนอ้าวราวกับเดือนเมษา เป็นไทก็ถูกสะกิดแง้มถึงซับซ้อนเล็กๆ ในจิตใจตนเอง

เป็นไทไปงานคอนเสิร์ตที่คลื่นวิทยุออนไลน์แห่งหนึ่งเป็นผู้จัด เป็นงานรวมศิลปินหลากค่ายหลายวงดนตรี เวทีกระจายไปตามจุดต่างๆ ในสวนสนุกร้างที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน ตามสไตล์ของงานดนตรีที่ก้ำกึ่งระหว่างนอกและในกระแส ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากนัก ผู้คนในงานเดินกระจัดกระจายไปตามเวทีนู้นเวทีนี้ ไม่ได้มีมุมไหนกระจุกเบียดเสียด และก็ไม่มีเวทีไหนที่ผู้คนจะเต้นกันเป็นบ้าเป็นหลัง ส่วนใหญ่ก็แค่ยืน ยินดี และโห่ร้องไปตามโอกาสแห่งท่วงทำนองเพลง ซึ่งเป็นไทก็คงเป็นหนึ่งในคนที่ดูเฉยเมยเหล่านั้น เขามาเพียงเพราะเพื่อนชวนมาเปลี่ยนบรรยากาศตอนจิบเบียร์เท่านั้น

ด้วยไม่ได้คลั่งไคล้วงดนตรีไหนเป็นพิเศษจึงนั่งจับกลุ่มกันอยู่บนพื้นอย่างที่เห็นได้ทั่วไปในงาน ให้มีมารยาทหน่อยก็จะไม่เบียดเสียดอยู่หน้าเวที ขยับมาด้านหลังไกลโพ้นเพื่อให้เกียรติศิลปินที่กำลังขึ้นเล่นไม่ให้เห็นแล้วเสียกำลังใจ  และข้อดีอีกอย่างคือเสียงดนตรีจะดังคลอกับบทสนทนาไร้สาระเรื่อยเปื่อย วิพากษ์วิจารณ์สไตล์การแต่งตัวของผู้คนในงาน ทั้งเอิร์ธโทนเรียบง่ายและเสื้อฮาวายสีแสบสันตัดกันสับสนซับซ้อน หุ่นของหญิงสาวที่เดินผ่าน เสียงดนตรีวงที่รู้จักและไม่รู้จัก และเสียงสายลมที่พัดผ่านมาเป็นระยะ ให้บรรเทาอบอ้าวในค่ำคืน แม้สุดท้ายแล้วจะยังเหนียวเนื้อตัวจากเหงื่อไคลก็ตาม

และคืนนั้นก็คงจบลงด้วยดีหากกระป๋องเบียร์กระป๋องสุดท้ายของเป็นไทไม่ได้ถูกเตะล้มจากใครบางคน

ไม่ ถึงเป็นไทจะอารมณ์ร้อนเพียงใดก็ใช่ว่าจะลุกขึ้นไปเอาเรื่องทันที เขายังดูท่าทีของตัวการว่าจะทำอย่างไร แต่ที่เห็นก็มีเพียงยืนหมกมุ่นกับสนทนารื่นเริงของพวกพ้องตัวเอง จนเมื่อสะกิดบอกว่าทำเบียร์หก สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงการหันมอง ยกมือเป็นสัญญาณขอโทษเล็กน้อยและกลับไปคุยกันต่อราวกับมีอะไรสำคัญนักหนา และจังหวะนั้นแหละ ที่อารมณ์เดือดดาลของเป็นไทพุ่งปรี๊ดปรอทแตก

“เฮ้ย มึงจะขอโทษสักคำนี่ตายเหรอวะ”

เขาลุกขึ้น โวยถาม ขึ้นมึงกูไม่เกรงใจใดๆ ในเมื่ออีกฝ่ายก็ดูเป็นแค่พวกเด็ก ม.ปลาย เพื่อนของเป็นไทเห็นท่าไม่ดีก็รีบลุกตาม ไม่ใช่ว่าถ้ามีเรื่องจะช่วยตะลุมบอน แต่หาจังหวะห้ามปรามต่างหาก ด้วยก็รู้ว่าเป็นไทนั้นเลือดร้อน วีรกรรมที่แทบจะแปะอยู่บนหน้าเพื่อนของตนก็คือการอัดหมัดเข้าหน้าพี่ว้ากที่พูดจาไร้เหตุผล จนไม่มีรุ่นพี่คนไหนอยากยุ่งด้วยอีกเลย

“ขอโทษแล้วกัน” และเพื่อนของเป็นไทก็แทบจะปาดเหงื่อเมื่อได้ยินวาจากระด้างกระเดื่องเหล่านั้น แทบจะคว้าตัวเป็นไทล็อกไว้เมื่อได้ยินเสียงพึมพำแผ่วแต่ยินชัดว่าทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ แน่นอนว่ายิ่งโหมกระพือไฟเดือดดาลของเป็นไทให้ยากจะดับมอด และเด็กพวกนั้นก็กลับพูดจาวอนตีนอีกว่าจะให้มีเรื่องก็ได้ กระทั่งพวกของมันอีกสองสามคนเข้ามาสมทบ แต่ไม่ ไม่ได้จะมีเรื่อง หากเข้ามาห้ามปรามและฉุดกระชากให้ถอยห่างจากกัน สถานการณ์ดูเหมือนจะบรรเทาลงบ้าง ก่อนหยุดชะงักเยือกแข็งจากถ้อยคำของเพื่อนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อครู่ และเป็นคนเดียวที่ไม่ได้พาตัวเองเข้ามาดึงรั้งห้ามปราม

“วันเกิดกู ยังจะมีเรื่องกันอีกเหรอ”

แต่ก็แค่นั้น แค่นั้นที่ทำให้เพื่อนสงบความวุ่นวายลง อาจเพราะเห็นแก่วันเกิดของเพื่อน หรืออาจเพราะที่จริงแล้วเป็นหัวโจกของกลุ่ม หากเป็นไทก็ไม่ได้สนใจในจุดนั้น ไฟโกรธของเขายังปะทุกรุ่น ขณะที่เพื่อนก็พยายามดับไฟนั้นให้มอดโดยบีบรั้งไหล่เอาไว้เหมือนเรียกสติ ก่อนจะเล่าอธิบายสาเหตุของเรื่องแทนเขา มีถ้อยถกเถียงจากฝ่ายนั้นบ้าง แต่สรุปแล้วฝ่ายผิดก็ดูจะเป็นคนที่ไม่ยอมขอโทษเต็มปากเต็มคำ

“งั้นเหรอ” แล้วคนฟังความก็ตอบรับสั้นง่ายเช่นนั้น น้ำเสียงเรียบ นิ่ง จนไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับปัญหานี้กันแน่ กระทั่งแววตาที่ดูนิ่งไม่ต่างจากน้ำเสียงหันมาสบตากับเป็นไท และเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ชะงักยิ่งกว่าใดๆ ในเมื่อครู่ “ให้ผมซื้อเบียร์คืนให้เป็นไทก็ได้นะ”

“เดี๋ยว รู้ชื่อกูได้ยังไง” เป็นไทมั่นใจว่าไม่มีใครเอ่ยชื่อเขาในบทสนทนาเมื่อครู่ ความสงสัยพุ่งแซงไฟโกรธที่ดูจะมอดลงชั่วพริบตา

“เราเคยเจอกันนะครับ” เด็กคนนั้นเอ่ยเฉลย “ที่งาน Open House”

เป็นไทคิ้วขมวด พยายามนึกย้อนไปถึงเด็กที่เจอในวันนั้น มากหน้าหลายตาจนอยากเอ่ยปากด่าให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ ถึงโครงหน้า แววตา บรรยากาศนิ่งเย็นทั้งที่ร้อนอบอ้าวไม่ต่างกันไม่ว่าจะบ่ายวันนั้นหรือคืนนี้ เขาก็เริ่มจะนึกออก

และก็มีเด็กเพียงคนเดียวที่ถามชื่อเขา

“ว่ายังไง อยากได้เบียร์คืนไหมครับ” แต่ไม่ให้ทันได้เอ่ยอะไร คนตรงหน้าก็เอ่ยถามประเด็นเดิม

“ในงานไม่มีเบียร์ขาย พวกกูหิ้วเข้ามาเอง”

“งั้นเหรอ” อีกแล้วกับการตอบรับสั้นง่าย และนิ่งเรียบ “เอายังไงดีล่ะ”

“บุหรี่สักซองก็ได้”

“ผมไม่สูบ” อีกฝ่ายตอบมาทันควัน และไม่เว้นระยะให้เป็นไทได้เอ่ยถามถึงเพื่อนคนอื่น เพื่อนที่เป็นตัวการก็ได้ว่ามีไหม คำถามก็เอ่ยมาก่อน “อย่างอื่นในงานได้ไหมครับ แผ่นเพลง เสื้อ หรือว่าของกิน”

“เออๆๆ สักอย่างก็ได้”

เป็นไทตัดบท เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็พยายามจบปัญหาด้วยดี เขาขี้เกียจจะยืดเยื้อมากความ เห็นรอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้า เอ่ยบอกให้เขาไปเลือกดูของ และก่อนจะปลีกตัวจากมาด้วยก็ได้ยินถ้อยคำที่บอกกับเพื่อน ไม่เป็นไร เคลียร์ได้แล้ว รู้จักกัน ทั้งที่จริงแล้วไม่รู้จักเลยสักนิด

“ผมชื่อใจเย็นนะครับ” แต่เหมือนรู้ว่าถูกนินทาอยู่ในใจ ‘ใจเย็น’ จึงเอ่ยแนะนำตัวเองตอนที่เดินตามเขามาที่โซนขายของ อยากจะเอ่ยไปว่าไม่ได้ถาม แต่ชื่อที่ได้ฟังก็ชวนให้ด่าออกไปอีกอย่าง

“ชื่อแหววสัด”

เป็นไทรู้ตัวว่าปากไว ไวพอที่จะก่อให้เกิดเหตุทะเลาะกันได้อีกสักยกสองยก แต่ใจเย็นก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มเบาบางเหมือนกับที่เห็นเมื่อครู่

“เป็นไทอยากได้อะไร”

“มึงจะไม่มีคำนำหน้าชื่อให้กูหน่อยเหรอวะ”

“มันยาวไป” เอ่ยตอบเรียบนิ่งแฝงความเอาแต่ใจ หากก็ดูเป็นเรื่องปกติของเจ้าตัวเมื่อเปลี่ยนเรื่องไปอย่างเนียนสนิท “ชอบวงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“หึ ไม่มี”

“งั้นเหรอ” พลันอยากนับว่ากี่ครั้งแล้วที่ใจเย็นพูดคำนี้ “งั้นของกินไหม”

ดูประจวบเหมาะเจาะพอดีที่ทั้งคู่เดินมาถึงซุ้มของกิน ทั้งจริงจังและกินเล่นปะปนสลับกันไปแบบซุ้มต่อซุ้ม ผู้คนต่อคิวกันยาวยืดในบางร้าน และเงียบเหงาซบเซาในร้านข้างเคียง เป็นไทไม่ได้อยากจะกินอะไรเป็นพิเศษนัก แต่คงดีกว่าซื้อแผ่นเพลงที่ได้มาก็ไม่เปิดฟัง

“ก็ได้”

“ไอติมไหมครับ” และไม่ทันได้เลือกอะไรก็ถูกแนะแนวทางไปอีกครั้ง “ดับร้อน”

เป็นไทไม่ได้ตอบทันที แต่มองป้ายราคาเห็นว่าไอศกรีมหนึ่งสกูปก็แพงกว่าค่าเบียร์แล้วจึงพยักหน้าเออออ อีกครั้งที่ใจเย็นยิ้มบางเบา หากก็เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นยิ้มกวนตีนในเมื่อเขาเอ่ยบอกว่ารสช็อกโกแลต ใจเย็นกลับสั่งกับแม่ค้าว่ารสสตรอเบอร์รี่

“ผมว่าสตรอเบอร์รี่อร่อยนะ” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ “สั่งไซส์แอลให้เลย”

เป็นไทรู้สึกหมดคำพูด จะด่าว่ากวนตีนยังขี้เกียจ เริ่มจับนิสัยเด็กคนนี้ขึ้นมาได้เลาๆ ว่าค่อนข้างเอาแต่ใจ ภายใต้คำพูดคำจาที่ดูมีมารยาทนั่นก็แฝงความกระด้างกระเดื่องเอาไว้เต็มไปหมด ไม่บ่อยนักที่เป็นไทจะสังเกตใครให้ชัดในครั้งแรกที่เจอ ไม่สิ นี่คงเป็นครั้งที่สอง แต่อย่างไรก็จำครั้งแรกได้ไม่ชัดนัก ที่จำได้เห็นจะมีแต่แววตาที่ดูนิ่ง สุขุม ยากคาดเดา ครั้งนี้ที่เพิ่มเติมคือพวกอากัปกริยา การแต่งกาย เสื้อแขนยาวลายขวางเส้นเล็กกับกางเกงขาสั้น สไตล์เหมือนนายแบบของเสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่นที่เห็นบ่อยๆ ตามห้าง หรืออันที่จริงก็เห็นได้ในวัยรุ่นทั่วไปน่ะแหละ แค่ดูโดดเด่นกว่าด้วยหุ่น ผิวพรรณ และบุคลิก

สรุปง่ายๆ คือใจเย็นดูเป็นลูกคนมีเงิน และได้รับการอบรมมาดีพอสมควร กระนั้นเลยก็ปิดความเอาแต่ใจแข็งกระด้างไว้ได้ไม่มิด

“ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะครับ” พลันเด็กเอาแต่ใจคนนั้นก็หันมาพูดกับเป็นไทพร้อมยื่นถ้วยไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่มาให้ “บางครั้งก็ออกจะไม่มีมารยาทไปบ้าง”

“มึงก็ไม่มีมารยาทเหมือนกัน” อีกครั้งที่เป็นไทปากไว ว่าไปทั้งที่ก็เพิ่งรับของมาและลองตักชิมโดยไม่สนอีกคน รสหวานของไอศกรีมสตรอเบอร์รี่แผ่ซ่านบนลิ้น ดับร้อนชุ่มชื่นคอชวนให้นึกว่าก็ไม่เลวนัก

“ทำไมล่ะครับ” หากเงยหน้ามา ก็เห็นใจเย็นเอ่ยถามด้วยสงสัย

“ก็รสไอติมยังเลือกเองเออเองไม่ถามกูสักคำ”

“งั้นเหรอ” ตอบรับแบบที่ดูไม่รู้ตัวตามนั้นจริงๆ “งั้น...เดี๋ยวคราวหน้าผมจะถามแล้วกัน”

คำว่า ‘คราวหน้า’ ทำให้เป็นไทรู้สึกคิ้วกระตุก แต่กระนั้นเลย ประโยคต่อๆ มาก็ส่งผลหนักกว่านั้น

“แต่ผมว่า”

“ว่าอะไร”

“ตอนนี้เป็นไทออกจะพอใจกับรสนี้”

นั่นแหละ ที่เป็นไทรู้สึกว่าเลือกสีหน้าไม่ถูก

“มึงจะรู้ได้ยังไง”

“ผมสังเกตผู้คนเยอะ” ใจเย็นเอ่ย แววตาที่ยากจะคาดเดาในตอนนี้ทำให้คนถูกจ้องรู้สึกเหมือนกำลังถูกล้วงความลับ “เลยคิดว่าดูรู้”

และไม่รู้ทำไม ทั้งที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่เป็นไทรู้สึกเย็นขึ้นมา เย็นแบบที่บอกไม่ถูก เหมือนเย็นอยู่ในบรรยากาศรอบตัวที่แผ่ออกมาจากตัวตนของใจเย็น แต่เขาก็คิดว่าคงเป็นเพราะไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ที่แผ่ซ่านอยู่ในปาก ในกาย แต่พลันบรรยากาศเหล่านั้นก็เลือนหายเมื่อใจเย็นยิ้มออกมา เป็นยิ้มกว้าง สดใส ไม่ได้บางเบาและปรุงแต่งเหมือนที่เคย

“แต่ผมจะไม่คิดเองเออเองแล้วกัน” เอ่ยคำนั้น ให้เป็นไทไม่รู้จะเถียงหรือสนทนาอะไรต่อ “เราหายกันแล้ว ไปแล้วนะครับ”

“เออไปเหอะ”

เป็นไทตอบรับ แทบอยากจะไล่ให้ไปพ้นๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ดีว่าไม่ต้องลงแรงไร้สาระขนาดนั้น เขามองเด็กคนนั้นหันหลังเดินจากไป มองแผ่นหลังที่ห่างออกไปไกลเรื่อยๆ ก่อนจะละสายตา กลับมาสนใจกับไอศกรีมในถ้วย ไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ที่เขาไม่ได้เลือกเอง พลันก็ให้ความรู้สึกเย็นพัดหวนกลับแบบที่ไม่ใช่แค่อุณหภูมิจากไอศกรีม แต่เป็นความเย็นเมื่อนึกถึงถ้อยคำของใจเย็น นึกถึงแววตาที่ดูทะลุทะลวงเข้ามาถึงลึกๆ ในใจและจับความลับได้

ว่าความจริงเป็นไทชอบไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ และชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว

กระนั้นด้วยเพราะกลัวจะขาดไร้เพื่อน กลัวคำที่เพื่อนล้อว่ากินอะไรเป็นผู้หญิง กลัวว่าจะไม่มีสังคมแม้แต่ที่โรงเรียนทั้งที่ที่บ้านก็แย่พออยู่แล้ว เวลาเลือกกินไอศกรีม เป็นไทจึงเลือกแต่รสที่ตัวเองไม่ได้ชอบ อะไรก็ได้ที่จะทำให้ไม่ดูแปลกในสายตาเพื่อน จนกระทั่งที่สุดแล้วเขาก็ลืมเลือนรสและกลิ่นหอมหวานของมันไป และเพิ่งกลับมาย้อนนึกเอาได้ในวันนี้เอง

ฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่เป็นไทรู้สึกว่ามันกระทบกระเทือนสั่นไหว อยากจะรีบกินต่อให้หมดๆ ถ้วย ไม่อยากให้เพื่อนเห็นว่าเขาได้อะไรกลับมาเป็นการชดเชย แต่จนบทเพลงที่แว่วดังมาไกลๆ จากเวทีไหนสักเวทีจบลงแล้วเขาก็ยังไม่อาจกินให้หมดได้ ตอนนั้นเองจึงเริ่มหงุดหงิด เพราะรู้สึกเหมือนถูกงัดแง้มเข้ามาในซับซ้อนของจิตใจ และกลัวว่าจะถูกทะลุทะลวงลึกเข้าไปในทุกๆ เรื่องที่ซ่อนเอาไว้

เรื่องที่เขาเกลียดปรายก็เหมือนกัน ไม่อยากถูกสะกิดบอกให้รู้ตัวเลยว่าที่จริงก็เพราะอิจฉา อิจฉาที่ปรายมีพ่อแม่มอบความรักให้อย่างเปี่ยมล้นแบบที่เขาไม่เคยได้รับเลยตลอดชีวิต













*******************************************************************************************

เหมือนว่าทั้งคู่ไปคุ้ยตะกอนในใจของกันและกันโดยไม่รู้ตัวเลยเนอะ  :ling1:

คงได้เห็นบุคลิกของใจเย็นชัดขึ้น จะชังหรือชอบก็อยากให้บอกสักหน่อย แต่หวังให้ชอบนะคะ 55

*เผื่อใครลืม ใจเย็นชอบไอศกรีมรสนี้อยู่แล้ว ไม่ได้เลือกเพราะรู้ว่าเป็นไทชอบ มารู้ทีหลังค่ะ

สำหรับแท็กเรื่องนี้ #ใจเย็นกับเป็นไท ค่ะ

ขอบคุณคนอ่านทุกคนนะคะ  :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 21:58:08 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ใจเย็นแสดงอำนาจแบบเนียน ๆ

น่ากลัว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ใจเย็น เป็นไท
มีความเหมือนกันนะ
เก็บแอบความลับ ซุกซ่อนภายใน
ใจเย็น อ่านความเป็นไท ออก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ใจเย็นจะใช้วิธีไหนกลบหลุมลึกของใจเป็นไทกันน้อ~~

ออฟไลน์ ravyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
งืออ ขอให้ เจอกันบ่อยๆ ชอบบบบบ ชอบเป็นไทตอนที่อยู่กะใจเย็น :o8:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ใจเย็นรู้ได้ไงอ่ะ ว่าเป็นไทชอบไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


งูยยย ยิ่งอ่านยิ่งชอบ
รักใจเย็นมาก รู้สึกเป็นตัวละครที่เปี่ยมพลังแต่ก็หมิ่นเหม่ใกล้พังได้ทุกเมื่อ
ส่วนเป็นไทนั้น... อืม ไม่รู้แฮะ ยังกลัวอยู่มาก (เพราะติดมาจากปราย ฮ่า ๆๆๆ )
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^
 :กอด1:

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฮู้ยยยย ชอบเรื่องนี้อ่ะ   :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MOMAMi_96

  • เรื่อยๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ชอบอ่ะะ ชอบใจเย็น ชอบเป็นไทท
ติดตามๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Atroce

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมากค่ะ รออ่านต่อเลย ชอบๆแนวนี้

ออฟไลน์ nippy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คนอ่านน่ะ เหมือนเป็นไท>>>>ใจร้อน

ส่วนคนเขียนอะ จะเหมือนใครล่ะ ก็ใจเย็นไง

ใจเย็นๆๆๆๆๆ

เมื่อไหร่จะมา รอน้าาาาา งอแงๆๆๆ

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
5 – คำนวณ



ใจเย็นไม่เก่งวิชาคำนวณ ทั้งไม่สนใจและไม่ชอบจนหมิ่นเหม่ไปทางเกลียดด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ใจเย็นเลือกเรียนสายวิทย์ – คณิตทั้งที่ต้องพบปะกับนายคำนวณมากหน้าหลายตา จึงเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่หลงเหลือจากซากฝันแหลกเละว่าใจเย็นอยากเป็นสัตวแพทย์ เนื่องด้วยสายวิทย์ – คณิตนั้นมีวิชาชีววิทยา

กระนั้น งานอดิเรกของใจเย็นก็ไม่ได้เป็นเหมือนเก่า เขาไม่เสียเวลามานั่งดูสารคดีสัตว์โลกอีก แต่กลับใช้เวลาไปกับการสังเกตพฤติกรรมของผู้คนอย่างไม่เบื่อหน่าย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ใจเย็นเฉยชินกับรถติดแถวห้าแยกลาดพร้าว อโศก สุขุมวิท หรือแยกใดๆ ที่หลับไปห้าตื่นแล้วสัญญาณไฟเขียวก็ยังไม่ฟื้น เพราะในช่วงเวลานรกเหล่านั้นกลับเป็นช่วงที่ใจเย็นใช้สังเกตผู้คนบนบาทวิถีอย่างเย็นใจ เฝ้าเพ่งพิศละเอียดลออผ่านกระจกรถที่ติดฟิลม์ดำไม่ให้ล่วงรู้ว่าถูกเขาเฝ้ามอง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ใจเย็นสังเกตขอทานขาด้วนอยู่นาน นานพอจนรู้แล้วว่าขอทานคนนี้ได้เงินมากพอที่จะไปกินบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อเย็นของวันนี้และวันถัดๆ ไป แต่คำแม่ที่พร่ำสอนว่าคนเรามีความขาดแคลนไม่เท่ากันก็ทำให้ใจเย็นพับเมนูบุฟเฟต์นั้นเก็บ และรื้อคำนึงถึงค่ารักษาพยาบาล ปัจจัยสี่อื่นที่ขอทานคนนี้พึงจะใช้ ก่อนความคิดเหล่านั้นจะถูกบดละเอียดละลายไปกับพื้นถนน

ใจเย็นสะกิดบอกลุงบุญเพิ่มคนขับรถด้วยน้ำเสียงตกใจตอนที่เห็นขอทานยืดขาออกมาและลุกเดินปร๋อหายไปในฝูงชน พยายามกวาดตาตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ราวกับขอทานคนนั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่ ราวกับเรื่องโกหก เช่นเดียวกับเรื่องขาด้วนนั้นเอง

“เรื่องปกติน่ะครับคุณหนู” ลุงบุญเพิ่มหัวเราะ ด้วยเอ็นดูความไร้เดียงสา แต่ใจเย็นไม่เข้าใจว่าลุงบุญเพิ่มหัวเราะอะไร

“ปกติเหรอครับ”

“ใช่ครับคุณหนู”

จนกลับไปใจเย็นก็ยังไม่เข้าใจคำว่าปกติของลุงบุญเพิ่ม เขารู้สึกเหมือนฝันร้ายด้วยซ้ำในคืนนั้นแต่จำไม่ได้ว่าฝันอะไร ตื่นมาในเช้าวันใหม่ใจเย็นก็ยังคงไม่เข้าใจ และเพื่อให้หลุดพ้นการติดค้างทรมานทางความคิด ใจเย็นจึงปฏิวัติพฤติกรรมของตัวเองเสียใหม่

เหมือนกับที่นั่งดูสารคดีสัตว์โลกอยู่เป็นวันๆ และพบว่าทุกพฤติกรรมของเหล่าสัตว์นั้นมีเหตุผล มนุษย์เองก็เช่นกัน

ใจเย็นเริ่มที่จะสังเกตผู้คนอย่างเฝ้าหาเหตุผลในพฤติกรรม ไม่ให้ตนเองสั่นคลอนเมื่อเจออะไรผิดแปลก ใจเย็นสังเกตถึงบริบทแวดล้อมตั้งแต่เพศ วัย อาชีพ ชนชั้นในสังคม กริยาท่าทางที่ทำให้เห็นลุไปถึงแวดล้อมที่หล่อหลอม การเลือกแสดงออกในแต่ละสถานการณ์ที่ทำให้ลุถึงนิสัยและเนื้อแท้แม้อาจไม่ถึงแก่น แต่ที่ใจเย็นเพลิดเพลินจากการเฝ้าสังเกตผู้คนมากที่สุดก็คือได้ล่วงรู้เรื่องของรสนิยมและความชอบ

อย่างพิชญะที่อ่อนน้อมถ่อมตนจนลามเลยไปถึงบุคลิกให้ดูไม่มั่นใจในตนเอง แต่เมื่อไหร่ที่ได้พูดเรื่องรถยนต์ก็จะฉะฉานมั่นใจมีประกายในแววตา ทั้งท่าทีที่จับสัมผัสโมเดลรถแต่ละคันบนชั้นวางก็ดูทะนุถนอมราวแม่แมวเลียทำความสะอาดลูกน้อยอย่างรักใคร่ พริมาเองที่พูดมากน่ารำคาญ นอกจากไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่แล้วก็มีเรื่องอื่นที่ทำให้สงบปากสงบคำเหมือนกัน นั่นคือตอนที่หล่อนได้เริ่มจับเครื่องสำอางและประทินลงบนผิวหน้า ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มเฉิดฉายพร้อมแววตาพราวระยับ

เหล่านี้เองที่ใจเย็นสัมผัสได้ถึงความสุข เขาจึงชอบมองหาสิ่งเหล่านั้นในตัวผู้คน และเมื่อจับทางได้ก็เหมือนว่าสานสัมพันธ์ง่ายขึ้น บางครั้งก็ดูจะควบคุมง่ายขึ้นด้วย แต่แน่นอน ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น

และใจเย็นก็ได้เรียนรู้มันจากเป็นไทเป็นคนแรก

ทั้งที่คิดว่าคนอารมณ์ร้อนนั้นดูออกง่าย ด้วยโผงผางผ่าซากคงค้นลึกลงในใจไม่ยาก ใบหน้าของเป็นไทก็ดูผ่อนคลายลงเห็นได้ชัดเมื่อตักไอศกรีมเข้าปาก ดูชอบใจในรสสตรอเบอร์รี่เมื่อลิ้นลิ้มเลียริมฝีปากที่เลอะเปรอะเล็กน้อย ดูเข้ากันดีกับบทเพลงซินธ์ป๊อบที่แว่วมาแต่ไกลๆ จากเวทีไหนสักเวที แต่เมื่อใจเย็นเอ่ยถึงความชอบรสสตรอเบอร์รี่ของเป็นไท เขาก็เห็นแววตาที่เปลี่ยนไป

เหมือนใจเย็นไปสะกิดอะไรบางอย่างเข้า ไม่แน่ใจว่าอะไร แต่ก็รู้ได้ว่าเป็นไทไม่ชอบใจนัก และเมื่อสนทนาสะดุด เขาก็คร้านจะแก้ไขจึงเพียงยิ้มให้และเอ่ยลา ก่อนมานึกเสียดายภายหลังเมื่อรู้สึกติดค้าง ทั้งเรื่องประโยคที่ได้ยินในงาน Open House ทั้งเหตุผลที่เป็นไทดูไม่สบายใจเมื่อถูกล่วงรู้ถึงความชอบของตนเอง

ถึงจะบอกเอาไว้ว่าจะไม่คิดเองเออเอง แต่ใจเย็นแน่ใจว่าเป็นไทชอบไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่แน่ๆ

และเมื่อพบกันอีกครั้งในปลายเดือนเมษายนของปีเดียวกัน ต่อให้เป็นไทจะมีแก้วโกโก้วางอยู่ตรงหน้า ใจเย็นก็ยังแน่ใจว่าเป็นไทชอบไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่

ไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นความดื้อดึงเอาแต่ใจที่เขาเองก็ไม่ค่อยรู้ตัว

ครั้งนี้ที่พบกันไม่ได้มีบทเพลงซินธ์ป๊อบคลอในบรรยากาศ แต่เป็นเพลงโซลฟังสบายภายในร้านกาแฟ และต่างฝ่ายต่างไม่ได้มีเพื่อนรายล้อม คนกลางที่ทำให้พวกเขามาพบกันอีกครั้งก็คือผู้หญิงของใจเย็น

ใช่ เรียกว่าผู้หญิงของใจเย็นดูจะเหมาะกว่า ในเมื่อเขาก็คบอยู่หลายคน และคนนี้ก็เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่แก่กว่าใจเย็น ปีหน้าหล่อนก็จะขึ้น ม.6 แล้วจึงไม่แปลกอะไรถ้าใจเย็นจะต้องมาหาหล่อนหลังติวพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ ที่แปลกคือพี่ติวเตอร์ของหล่อนน่ะแหละ ใจเย็นไม่คาดคิดแม้แต่นิดว่าจะได้พบอีกเป็นครั้งที่สาม

“โลกกลมจังนะครับ” ใจเย็นเอ่ย ยิ้มให้ ขณะที่เป็นไทดูอยากจะทำหน้าบอกบุญไม่รับแต่ก็ระงับเอาไว้

“กูเริ่มอยากให้มันเป็นสี่เหลี่ยม”

และเอ่ยออกมาทางคำพูดเสียแทน

ขณะที่ใจเย็นตีบตันกับคำตอบโต้ ผู้หญิงของเขาเองก็แทรกสนทนาโพล่งถามว่ารู้จักกันหรือ แน่นอนว่าใจเย็นต้องเป็นฝ่ายตอบ เขาตอบว่าเคยเจอในงานคอนเสิร์ตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ แค่นั้นไม่ใส่รายละเอียด หล่อนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อและชวนเขาออกจากร้านกาแฟ

“วันก่อนไม่ใช่คนนี้นี่”

แต่ดูท่าเป็นไทจะไม่อยากให้เขาได้ออกไปอย่างสงบนัก หันกลับไปมองก็เห็นว่าเจ้าของคำพูดแค่ยักไหล่ใส่ ทำทีไม่รู้ไม่ชี้และง่วนมือลงบนชีทเรียนตรงหน้า และเพราะตีบตันทางคำพูดตั้งแต่เมื่อครู่ใจเย็นจึงโดนเด็กสาวจู่โจมเสียก่อน นั่นแหละทำให้เขาต้องลากหล่อนออกจากร้านไปคุยเคลียร์ให้เข้าใจ อธิบายต่อยอดว่าที่เจอกันในงานคอนเสิร์ต ก็เจอเพราะมีเรื่องกัน ดูไม่ชอบเขานักก็ไม่แปลก แต่พอใจเย็นพูดถึงตรงนี้ ตัวเขาก็สงสัยขึ้นมาเสียเองจนกลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามหล่อน

“ผมดูกวนตีนเหรอ เขาเลยไม่ชอบ”

พอหล่อนได้ฟังก็หัวเราะ ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม จนใจเย็นรู้สึกว่าชีวิตของเขามักจะไม่ได้รับคำอธิบายอะไรที่อยากได้ และก็คงจะเป็นอย่างนี้เสมอ กระนั้นก็ได้แต่ปล่อยความไม่เข้าใจนั้นลอยฟุ้งในอากาศ ปะปนไปในห้วงเวลาที่ใช้เดินเล่นกับหล่อนสองคน ซึ่งใจเย็นก็รู้สึกเหมือนเดินอยู่บนความรู้สึกติดค้าง ทั้งเรื่องประโยคที่ได้ยินในงาน Open House ทั้งเรื่องไอศกรีมรสตรอเบอร์รี่ ทั้งเรื่องที่ดูไม่ชอบขี้หน้าเขา ยิ่งพบก็ดูเหมือนจะยิ่งพูนเพิ่ม คั่งค้างวังวน แต่ก็รู้สึกเหมือนจนปัญญาที่จะกลับไปถามหาคำตอบทั้งมวล

กระทั่งถึงเวลากลับที่ต้องเดินผ่านร้านกาแฟร้านเดิม ใจเย็นไม่แน่ใจว่าโชคชะตาหรือตนเองจงใจ ที่เขาจะมองเข้าไปในร้านกาแฟและพบเป็นไทยังนั่งอยู่ในนั้น

“ยังนั่งอยู่เลย” ใจเย็นมองอยู่นานก่อนจะเอ่ยประโยคนี้กับเด็กสาว ให้หล่อนมองตามและเอ่ยบอก

“อ๋อ รู้สึกว่าพี่เขาชอบนั่งอ่านหนังสือต่อนะ”

“อ่านอะไร”

“ไม่รู้สิ อาจนั่งแก้โจทย์แคลคูลัสก็ได้”

“ที่มีแต่ตัวเลขน่ะเหรอ”

“อือ คงงั้นแหละ”

ใจเย็นไม่ได้ตอบรับอะไรอีก เขาเพียงยืนมองผ่านมุมที่เป็นไทจะไม่รู้ตัว เหมือนกับที่ชอบมองผ่านกระจกรถติดฟิลม์ดำ ใจเย็นเห็นสีหน้าของเป็นไทดูคร่ำเคร่ง คิ้วขมวดเล็กๆ เหมือนแก้โจทย์ปัญหาไม่ออก จนมือของเป็นไทละมาควงปากกาเล่น ใจเย็นก็ถูกเด็กสาวดึงมือเป็นสัญญาณให้ไปกันได้แล้ว เขาจึงเดินออกไปทั้งที่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรหนึบขึ้นมาในใจ แต่จะอะไรเสียอีก ก็เรื่องติดค้างเหล่านั้นน่ะแหละ

และมันก็ดูจะพูนเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง เมื่อใจเย็นหันกลับมาแล้วเห็นว่าเป็นไทหยุดควงปากกาเล่น เปลี่ยนมาเขียนอะไรยุกยิกลงบนกระดาษ พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ เหมือนครึ้มอกครึ้มใจที่แก้โจทย์ปัญหาออก

ใจเย็นไม่มีคำอธิบายว่าทำไมเขาจึงเก็บรอยยิ้มนั้นมาเป็นอีกเรื่องที่คั่งค้างวังวน มันคงเหมือนกับที่รอบตัวเขาก็มีเรื่องไร้คำอธิบายเต็มไปหมด เหมือนกับที่เขาเอ่ยถามหาทางติดต่อเป็นไทจากเด็กสาว เหมือนกับที่บอกกับหล่อนว่าอยากเรียนพิเศษกับเป็นไทให้หล่อนมึนงงเพราะเพิ่งเล่าให้ฟังว่าไม่ค่อยถูกกัน แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้นและไร้คำอธิบาย

“นึกครึ้มอะไรเนี่ยลูก ถึงอยากเรียนพิเศษวิชาเลข”

แม้แต่คุณเกษราก็ยังมึนงงเมื่อใจเย็นนำเรื่องกลับไปบอก ด้วยหล่อนก็รู้ดีว่าลูกชายของตนเองนั้นเหนื่อยหน่ายกับวิชาคำนวณแค่ไหน แต่ใจเย็นก็แค่ยิ้ม ไม่มีคำอธิบาย คุณเกษราจึงยิ้มตอบ เห็นดีเห็นงามไปกับทุกเรื่องที่ลูกชายกระตือรือร้นสนใจขึ้นมา

“สงสัยจะเจออะไรให้เปลี่ยนใจชอบเลขขึ้นมาหรือเปล่า”

หล่อนเอ่ยถาม ดูอารมณ์ดี แต่ใจเย็นก็เพียงยิ้ม และเอ่ยขอให้ติดต่อไปให้หน่อย อยากให้มาสอนที่บ้านเพราะเขาคร้านจะออกไปเรียนข้างนอกที่หนวกหูไม่มีสมาธิ คุณเกษราส่งเสียงร้องหืมในลำคอ แปลกใจกับลูกชายที่ดูเหมือนจะสนใจวิชาคณิตศาสตร์ขึ้นมาเป็นพิเศษ

แต่ไม่หรอก ความจริงแล้วใจเย็นก็ยังคงไม่ชอบวิชาคำนวณอยู่ดี











***************************************************************************************
ตอนนี้เบาๆ เนอะ จริงๆ แล้วใจเย็นเป็นเด็กที่น่าตีคนหนึ่งบอกไม่ถูกค่ะ ไม่ได้ร้ายอะไรหรอก ออกแนวร้ายเดียงสามากกว่า 55

และเหมือนเดิมค่ะ ติดแท็ก #ใจเย็นกับเป็นไท ได้นะคะ รักคนอ่านทุกคนค่ะ :กอด1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 21:59:22 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คนหนึ่งชอบค้นหา
คนหนึ่งเลือกปกปิด ละทิ้ง เพื่อลืมเลือน

ใครจะเปิดแผลใครกันแน่

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ไม่ชอบวิชาเลข แต่ชอบคนที่สอนเลขใช่ปะ
ไม่ดีเลยย เหมือนจะติดเรื่องนี้เเล้วว
พออ่านจบแล้วอยากอ่านต่อ ฮือออ ทรมานชิบ 55555

ออฟไลน์ Atroce

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำไมเป็นไท น่ารักนะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คนหนึ่งชอบค้นหา
คนหนึ่งเลือกปกปิด ละทิ้ง เพื่อลืมเลือน

ใครจะเปิดแผลใครกันแน่

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไม่ชอบวิชาเลข แต่ชอบคนที่สอนเลขใช่ปะ
ไม่ดีเลยย เหมือนจะติดเรื่องนี้เเล้วว
พออ่านจบแล้วอยากอ่านต่อ ฮือออ ทรมานชิบ 55555
ใช่เลย

ออฟไลน์ Viewonohm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 843
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-5
เป็นไทดูใจเย็นกว่าใจเย็นอีก / ขอชื่อย่อทั้ง2ทีค่ะ พลีส พลีส

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2


6 – หวงของ




เป็นไทเป็นคนหวงของ เขาไม่แน่ใจว่าได้นิสัยนี้มาจากไหน มันอาจเป็นตอนที่ดวงตาของเขาได้เห็นภาพเครื่องเรือนของแม่ถูกทำลายแหลกเละไปทีละชิ้น ทีละชิ้น ให้รวดร้าวลึกลงกลางใจ หยั่งรากความเจ็บปวดนั้นไว้จนเติบโตงอกเงยเป็นนิสัยหวงข้าวหวงของไปในที่สุด

ตั้งแต่เด็ก เป็นไทหวงกระทั่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในถุงขนม ในกล่องของเล่น ในกล่องดินสอ แต่เมื่อนิสัยนั้นเริ่มย้อนมาเป็นภัยต่อการมีเพื่อนเหมือนไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่ เขาจึงจัดของไว้ในกล่องดินสอสองชุด ชุดหนึ่งของเขาเอง อีกชุดหนึ่งเป็นของราคาถูกสำหรับหยิบยื่นให้เพื่อนเวลาถูกขอยืม ไม่รู้ทำไมทั้งที่มันเป็นของเขาทั้งหมด แต่แบบนี้เขากลับทำใจยอมรับได้มากกว่า

จนขึ้นมัธยมเป็นไทก็ยังไม่วายพกของพวกนั้นติดกระเป๋า แต่ก็ดูไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรนักในเมื่อเขาเรียนเก่งฉายชัดในวิชาคณิตศาสตร์ และสังคมนักเรียนเมื่อเรียนเก่งแค่วิชาใดวิชาหนึ่งเพื่อนก็พร้อมจะรุมล้อมห้อมตอม ทั้งขอให้สอนหรือลอกการบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแบบหลัง และเป็นไทก็สนิทกับเพื่อนเหล่านั้นมากกว่าพวกที่มาขอให้สอนเสียอีก

แต่นิสัยหวงของก็ใช่ว่าจะหายไป มันกลับเกรี้ยวกราดย้ำชัดก็ในตอนที่ปรายย้ายมาอยู่บ้านเขาตอนเขาขึ้น ม.6 กระทั่งผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปเผชิญโลกใบใหม่ในมหาวิทยาลัยที่ทั้งเหนื่อยและปรับตัวไม่ทันก็ยิ่งสับสนและหงุดหงิด ดังนั้นตอนเห็นปรายแอบเข้ามายุ่งกับกีตาร์ในห้องตน อารมณ์โมโหจึงพลุ่งพล่านแบบยากจะบรรเทา ไม่ฟังใดใดแม้แต่ที่ปรายบอกว่าจะซื้อกีตาร์เอง เขาตวาดลั่นว่าจะพังมันทิ้ง ทั้งที่ก็รู้ดีว่าหัวใจสลายจากการถูกทำลายของรักนั้นเป็นอย่างไร ขนาดกีตาร์ที่เขาไม่ได้ชอบพอมันมากไปกว่าซื้อตามเพื่อนยังทำให้เขาหงุดหงิดเพียงนี้เมื่อถูกยุ่มย่าม

ตอนนั้นเองที่เป็นไทเกลียดตัวเองขึ้นมา แต่ก็ระงับมันไว้ด้วยเหตุผลที่คิดเองเออเองถึงเรื่องเงิน ใช่ ในเมื่อบ้านเขาตอนนี้ขัดสนซ้ำซ้อนเมื่อต้องอุปการะปรายอีกคน ตอนได้ยินว่าปรายจะใช้เงินฟุ่มเฟือยก็ย่อมหงุดหงิดเป็นธรรมดา

โดยก็ไม่เคยยอมรับตรงๆ ว่าที่ทำให้เกลียดตัวเองน้อยลง แท้จริงคือต่อให้ปรายซื้อกีตาร์มา เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่พังมันอย่างคำที่พูดต่างหาก

ทางด้านปราณีก็ไม่เคยจัดการกับนิสัยขี้โมโหของลูกชาย ด้วยคิดว่าเป็นไปตามวัยไม่น่ามีปัญหาอะไรเกินไปกว่าเรื่องชกต่อยที่โรงเรียนในบางครั้ง หล่อนคิดว่าถ้าเป็นไทเห็นหล่อนลำบากลำบนไปพบอาจารย์ฝ่ายปกครองตามคำเชิญบ่อยเข้าก็คงลดละไปเอง และเพราะเป็นจริงตามคิดจึงยิ่งทำให้หล่อนไม่ใคร่สนใจนัก

สิ่งที่หล่อนใส่ใจตั้งแต่หย่าขาดกับนราธิปก็คือเรื่องเงิน และเพราะไม่เคยทำงานเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่เรียนจบด้านภาษาก็ทำให้ชีวิตทุลักทุเล ที่เคยฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตสก็พับเก็บไปตั้งแต่แต่งงาน ครั้นมาตอนนี้อายุอานามก็ล่วงเลย สิ่งที่พอหยิบจับได้จึงเป็นงานแปลจากสำนักพิมพ์ที่พอจะมีคนรู้จักช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่ก็เป็นงานหนักเงินน้อย เงินเก็บและเงินที่ได้จากแบ่งสินสมรสจะเอาไปลงทุนทำอะไรก็ขลาดกลัวจะเจ็บหนักกว่าเดิมด้วยไม่เคยเผชิญโลกความจริง สุดท้ายก็สลายหายไปกับความไม่พอใช้ให้ต้องกู้หนี้ยืมสินไปทั่ว

ที่ดีหน่อยก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ลูกชายหล่อนเรียนดีนั่นแหละ ค่าเทอมถูกตัดจากรายจ่ายเพราะขอทุนให้เปล่าได้ แม้ไม่ใช่ทุนที่จะได้แน่นอนทุกเทอมแต่ก็บรรเทาลง ยิ่งเป็นไทสอนพิเศษหาเงินใช้เองก็ยิ่งจุนเจือ แต่รวมๆ แล้วก็ยังขัดสนอยู่ดีเมื่อมีปรายลูกชายของน้องสาวที่ล่วงลับให้ต้องดูแลอีกคน

จนกระทั่งบ่ายแก่วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม วันที่เป็นไทไม่ได้ออกไปเที่ยวหรือสอนพิเศษที่ไหนนอนหลับอยู่หน้าโทรทัศน์ ปราณีเห็นลูกชายหลับสนิททั้งที่เสียงดังและอากาศร้อนอ้าวก็นึกเอ็นดูสงสาร คงจะเหนื่อย หล่อนคิด และมองลูกชายตัวใหญ่ด้วยความรู้สึกเหมือนเขายังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์ เมื่อพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือของเป็นไทก็ตัดสินใจกดรับแทนไปก่อนเพราะไม่อยากให้ลูกชายถูกรบกวนเวลาพักผ่อน

และเมื่อเป็นไทตื่นมาอีกที เขาก็รู้สึกเหมือนหลงงุนงงอยู่ในสวนของบ้านใครสักคน ต้นไม้ใหญ่ล้อมบ้าน บ่อน้ำตกชอุ่มชื้น และกลิ่นดอกไม้ที่เยอะจนแยกไม่ถูกว่าดอกอะไร ไม่สิ เขาไม่น่าจะรู้จักด้วยซ้ำ

ปราณีแม่ของเขาบอกให้ฟังหลังตื่นว่าหล่อนรับโทรศัพท์แทนเขา ปลายสายเป็นแม่ของเด็กชายที่อยากจะจ้างวานเป็นไทให้สอนพิเศษ และตามประสาผู้ปกครอง คุยกันไปคุยกันมาก็ได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามว่าใครเป็นใคร และก็โลกกลมเหลือเกินที่อีกฝ่ายเคยเป็นรุ่นน้องคนสนิทในชมรมวรรณศิลป์สมัยเรียนมหาวิทยาลัย คุยไปเรื่อยจนรู้สารทุกข์สุกดิบกันและกันซึ่งเป็นไทก็ไม่ค่อยได้สนใจฟังแม่นัก จนมาถึงประโยคที่แม่บอกว่าหล่อนจะช่วยจ่ายค่าเทอมให้นี่แหละ

“แลกกับไปสอนเลขให้ลูกชายเขานะไท เห็นว่ากำลังจะขึ้น ม.5 เอง ไม่ยากหรอกเนอะ”

เป็นไทเห็นแม่ยิ้ม เขาที่แม้จะยังงงๆ กับโชคดีที่วิ่งเข้าหาก็ยิ้มตาม ตอบตกลงก่อนเริ่มจินตนาการไปไกลถึงสิ่งที่อยากได้ และถ้าเทอมนี้ขอทุนให้เปล่ามาสมทบได้อีก เขาก็จะไม่ต้องลำบากเรื่องค่ากินอยู่ค่าเดินทางไปอีกสักพัก

โดยไม่คำนึงเผื่อถึงสิ่งที่ต้องรับมือเลยแม้แต่น้อย

อย่างแรกที่เป็นไทเจอในวันเสาร์วันเริ่มสอนก็คือมีรถมารับ เป็นเมอร์เซเดสเบนซ์สีงาช้างที่แม้จะตกรุ่นไปแล้วแต่ก็ทำให้รู้สึกขนลุกบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะความแพงของมันหรอก แต่ขนลุกตรงที่ว่าทำไมต้องลงทุนสั่งคนขับรถมารับเขาถึงหน้าบ้าน หากคิดไปคิดมาว่าอาจเป็นเรื่องปกติของเศรษฐีเงินเหลือก็พยายามไม่ติดใจอะไร คิดสมทบเข้าไปด้วยว่าเพราะแม่ของเขาเคยเป็นรุ่นพี่แสนดีที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง

อย่างที่สองคือบ้าน เป็นบ้านหน้าตาปกตินั่นแหละแต่แค่รั้วรอบขอบชิดยาวไปนิด และเมื่อประตูรั้วบ้านบานสูงเลื่อนเปิดให้เมอร์เซเดสเบนซ์กลับถิ่น เป็นไทก็รู้สึกแปลกกับแวดล้อมก่อนถึงตัวบ้าน ไม่ถึงกับมีน้ำพุให้รถวนรอบแบบในละคร ไม่มีไม้พุ่ม ไม้ดัด หรือบอนไซพันปีที่คิดว่าคนรวยชอบใช้แต่งสวนให้ดูหรู ทุกอย่างผิดจากที่คิดเพราะเท่าที่เห็นคือสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ เรียกได้ว่าแทบจะล้อมบ้าน ตั้งแต่ไม้เลื้อยรั้วอย่างเล็บมือนางที่ออกดอกสะพรั่ง ชูช่อแข่งกับเฟื่องฟ้า ไล่ไปยันจำปี จำปา จำปูน ลำดวน ประดู่ป่า กันเกรา สารภี จิปาถะอีกมากใกล้แนวกำแพงหน้าบ้าน แต่ก็ไม่ได้สะเปะสะปะ มองดีๆ ก็ยังเห็นสบายตาด้วยจัดแต่งเป็นสามระดับตามสูตรแต่งสวน และตระหง่านกลางสนามหญ้าชอุ่มด้วยกลุ่มชมพูพันธุ์ทิพย์ที่โรยดอกไปแล้วตั้งแต่มีนาคม

ส่วนอีกฟากทางซ้ายเป็นสวนดอกไม้เหมือนหลุดจากนิทาน ยี่โถ กาหลง ผกากรอง โบตั๋น รสสุคนธ์ เบญจมาศ แก้ว อะไรต่อมิอะไรที่เป็นไทไม่รู้ชื่อและไม่เคยเห็น และเมื่อล้อรถหยุดหมุน เป็นไทที่เดินตามคนขับรถเข้าไปในสวนดอกไม้นั้นก็เห็นใบโกสนสีจัดจ้านสดสวย เห็นใบเฟิร์นประดับประดาบ่อน้ำตกที่มีปลาคาร์ฟแหวกว่าย เดินผ่านชงโคข้ามสะพานเหนือน้ำไปก็จะเจอซุ้มไม้ที่มีรากอ่อนชมพูของม่านบาหลีห้อยระย้า และเมื่อแหวกม่านเข้าไป เป็นไทก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกอีกใบโดยสมบูรณ์

ไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นหอมดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร หรือว่าเป็นกลิ่นบรรยากาศรอบตัวของคุณเกษราที่นั่งอ่านหนังสือรอเขาอยู่บนเก้าอี้ไม้ระแนงสีขาว หล่อนยิ้มและเอ่ยต้อนรับให้เป็นไทรู้สึกเย็นแบบที่ไม่คิดว่ามีที่แบบนี้กลางกรุงเทพในฤดูร้อน บอกไม่ถูกว่าทำไม ทั้งที่หล่อนแค่ยิ้มแต่เขารู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างดีจนเก้กังกับการยกมือไหว้เพราะกลัวไม่นอบน้อมพอ

“ลูกชายน้าชอบนั่งเล่นตรงนี้ แต่จะไปสอนข้างในบ้านเปิดแอร์เย็นๆ ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ตรงนี้ก็ได้” เป็นไทตอบ ยังคงรู้สึกเกร็งไม่หาย จนกระทั่งคุณเกษราเดินออกไปอีกทางเพื่อไปตามลูกชายข้างในบ้าน เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง มองดอกไม้กลีบกลมหยักสีม่วงในแจกันใสตรงหน้าแล้วพาลคิดว่าแจกันใสนี่มีราคาแพงกว่าที่คิดหรือเปล่า สำรวจรอบๆ มองผ่านรากระย้าสีชมพูก็ยังคงรู้สึกว่าเป็นโลกอีกใบ เสียงน้ำตกไหลเย็น เสียงลมที่หอบไอเย็นจากผิวน้ำพัดมาไล้แก้ม พลันสะดุ้งกับเสียงทุ้มของใครบางคน

“เป็นไท”

แล้วก็รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับโลกใบเดิมเมื่อหันกลับไปแล้วเจอเด็กหนุ่มที่คุ้นหน้าแม้จะเคยเจอแค่สามครั้ง ครั้งนี้ก็ครั้งที่สี่ ซึ่งก็เป็นครั้งที่ดูจะ...ไม่อยากเจอกว่าครั้งไหนๆ ในทั้งหมด

“กินไอติมไหมครับ”

“มึง...” เขารู้สึกเหมือนจนคำพูด ขณะที่ใจเย็นก็แค่ยืนค้ำหัวเขาอยู่อย่างนั้น “มึงเองเหรอวะ”

“แม่ผมไม่ได้บอกเหรอ”

“ไม่อะ ไม่รู้ว่าเป็นมึง”

หากใจเย็นก็แค่ยิ้ม “ตกลงว่ากินไอติมไหมครับ”

“ทำไมต้องไอติมวะ”

“ผมชอบ”

แล้วเหตุผลที่โลกดูหมุนรอบตัวเองก็ออกจากปาก เป็นไทนึกอยากจะด่าแต่ก็ด่าไม่ออก สุดท้ายก็ตอบเออๆ ตัดบทไป

“รสอะไรดีครับ”

“ช็อกโกแลต”

“มีแต่สตรอเบอร์รี่ครับ”

“กวนตีนเหรอวะ”

ทันทีทันใดที่ใจเย็นหัวเราะ “ก็เป็นไทบอกให้ถาม”

ได้ยินแบบนั้นเป็นไทก็นึกได้ว่าเคยพูดไว้จริงๆ แต่ตอนจะด่าว่าถ้าไม่มีก็ไม่ต้องถาม ใจเย็นก็เดินกลับเข้าบ้านไปแล้ว ครู่เดียวเท่านั้นก็ออกมาพร้อมถ้วยไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่สองถ้วย เขาหนึ่ง ใจเย็นหนึ่ง ดูเอ้อระเหยไม่คิดจะเรียนเลยสักนิด

“นึกยังไงให้กูมาสอนวะ” เป็นไทเอ่ยถาม จำได้จากที่แม่เล่าว่าตัวลูกชายนั่นแหละที่อยากเรียนกับเขา ไม่ใช่เพราะผู้ปกครองบังคับอะไร แต่ก็ไม่คิดเลยว่า...ไอ้ลูกชายคนนั้นก็คือใจเย็น ซึ่งเจ้าตัวก็เพียงตักไอศกรีมเข้าปากเงียบๆ ยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำถามอะไรเขา ชวนหงุดหงิดขึ้นมาเล็กๆ “หรือว่าแค้นอะไร”

“จะแค้นอะไรล่ะครับ”

“ไม่งั้นจะเรียกกูมาสอนทำไม คนอื่นก็มีเยอะแยะ สอนดีกว่ากูด้วย” เขาว่า ตักไอศกรีมเข้าปากบ้าง

“ถ้าแค้น จะให้มาสอนเหรอครับ”

อยากจะบีบปากไม่ให้ย้อนตอบด้วยคำถาม แต่เป็นไทก็รู้สึกว่านั่งเงียบๆ กินไปไม่ให้ปวดหัวคงดีกว่า และก็น่าตลกที่ใจเย็นก็ไม่คิดหาอะไรมาชวนคุยเช่นกัน ต่างคนต่างตักไอศกรีมเข้าปากอย่างเงียบๆ เงียบจนรู้สึกแปลกประหลาดและกลับเข้าไปในโลกที่คุณเกษรานั่งอยู่ในตอนแรกอีกครั้ง ได้ยินเสียงน้ำตกไหลเย็น เสียงลม เสียงนกร้องแบบขี้เกรงใจ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว หาเรื่องคุยขึ้นมาเสียเอง และที่คิดออกก็เห็นจะเป็นเรื่องเด็กสาวที่ใจเย็นมารับวันนั้น ก่อนได้รู้ความว่าเลิกกับหล่อนไปแล้ว

“ไม่ใช่เพราะเป็นไทแกล้งผมหรอกครับ” ใจเย็นยิ้มขำเมื่อเป็นไทถามว่าเป็นเพราะคำพูดตนเองหรือเปล่า มือวางช้อนลงเมื่อไอศกรีมหมดถ้วย “เป็นไทชอบดอกไม้ไหม”

“เฉยๆ” เป็นไทตอบ มองคนถามเอียงแจกันบนโต๊ะให้ดอกไม้โน้มเข้าหาจมูกตนเอง

“ดอกสวีทพีหอมนะ” ใจเย็นเอ่ย เลื่อนแจกันมาทางเขาเหมือนอยากให้สัมผัสความหอมของมันเหมือนกัน “ในเดือนพฤษภาคมก็ยิ่งหอม”

“ไร้สาระ” แต่เป็นไทตัดบทการเอ้อระเหยของคนใจเย็นแบบไร้เยื่อใย “ไอติมก็กินหมดแล้ว เรียนเหอะ”

พลันก็เห็นความอิดออดเล็กน้อยในแววตา เงียบเพียงครู่ ก่อนเอ่ยมาตรงๆ “ไม่ต้องเรียนได้ไหมครับ”

“แต่มึงให้กูมาสอนนะ”

“ก็นั่นแหละ ผมขี้เกียจเรียน” ใจเย็นเอ่ยหน้าตาย เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาบอกไม่ถูก ด้วยเขาไม่เข้าใจอะไรคนตรงหน้าเลยสักอย่าง ไอ้ท่าทีเอ้อระเหยเท้าคางแถมยังจ้องหน้าเขานั่นก็ด้วย แล้วยัง... “มานั่งคุยกันเฉยๆ ได้ไหม”

ฟังแล้วก็ยิ่งทวีความหงุดหงิดเข้าไปอีกสามเท่า

แค่ให้มาสอนแต่กลับบอกว่าขี้เกียจเรียน เป็นไทก็อยากอัดหน้าสักหมัดแล้ว ที่สำคัญเขาก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรให้อยากคุยกับคนคนนี้ด้วย สายตาที่จับจ้องมาก็ไม่ชอบ คล้ายอยากจะมองเขาให้ทะลุปรุโปร่งตลอดเวลา

หรืออีกแง่ เป็นไทรู้สึกว่าใจเย็นกวนตีนเขาตลอดเวลานั่นแหละ

“ไม่ได้ เรียน”

“งั้นเหรอ” คำตอบรับแบบนี้ของใจเย็นก็เหมือนกัน ที่เป็นไทรู้สึกว่ามันกวนตีน “ถ้างั้น...ขอยืมปากกาหน่อย ผมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย”

วินาทีนั้นที่เป็นไทรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกระลอกจนอยากจะยกเลิกงานสอนพิเศษนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แล้วที่แย่คือนิสัยหวงของกำเริบขึ้นมาจนได้

แต่ไม่ ไม่ได้หวงปากกาที่ใจเย็นขอยืม

เป็นค่าเทอมที่คุณเกษราโอนให้ตั้งแต่วันที่เขาตอบตกลงต่างหาก





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2017 14:10:24 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ Viewonohm

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 843
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-5
กรี๊ดดดดดดดดดดด ใจเย็นจะชวนเป็นไทกินไอติมแบบนี้ไม่ได้นะคะ คนอื่นเขาคิดลึก  :hao6:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เข้าใกล้กัน แต่ดูจะสนิทกันยาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด