บทที่ 4
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้าน นายตำรวจหนุ่มผู้กำลังหาทางเอาตัวรอดก็กวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาใครสักคนที่พอจะขอให้ช่วยมีส่วนร่วมในการเล่นละคร ในร้านมีพนักงานเก็บเงินเพียงคนเดียว ยืนทำหน้าบึ้งอยู่หลังเคาท์เตอร์ ท่าทางเบื่อโลกยิ่งนัก ด้านในสุดหน้าตู้เครื่องดื่มมีหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งอุ้มเด็กซึ่งกำลังร้องไห้กระจองอแง ส่วนกลางร้าน ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมกะหร่องกำลังยืนเลือกอาหารกระป๋อง
เรียวถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองไม่เห็นว่าจะชวนใครทะเลาะได้จึงเข้าไปด้านในสุดของร้านเพื่อเลือกเครื่องดื่มเย็นๆ สักหนึ่งกระป๋อง รออีกสักครู่ เผื่อจะมีลูกค้าคนอี่นเดินเข้ามาอีก
จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่อาจทราบได้ ใกล้ๆ กับหญิงวัยรุ่นมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ที่พื้นกำลังเลือกเครื่องดื่มจากในตู้แช่ด้วยอาการหงุดหงิด ปากก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“อะไรวะ ไอ้นั่นก็ไม่มี ไอ้นี่ก็ไม่มี อันที่อยากกินก็ไม่เจอ อันที่เจอก็ไม่อยากกิน แย่ฉิบหาย มาทีไรไม่เคยจะได้กินของที่อยากกินเลยให้ตายสิ เดี๋ยวพ่อก็เปิดร้านเซเว่นเองซะเลย”
เรียวชะงักเพราะเสียงนั้นฟังคุ้น ปรายตาไปมองจึงเห็นว่าผู้ชายขี้บ่นคนนั้นกำลังลุกขึ้นช้าๆ มือกดบั้นเอวพร้อมกับบ่นว่าปวดหลัง
“โอย ปวดเอวฉิบหาย รู้ยังงี้ไม่หักโหมซะก็ดี”
...เวรกรรม เจออีกแล้ว อีตาคนพูดมากคนนี้ทำไมชอบอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง...
...แต่เอ๊ะ คนชอบกวนอารมณ์แบบนี้น่าจะเหมาะชวนทะเลาะเป็นที่สุด เหมาะสำหรับแผนการณ์เอาตัวรอดคืนนี้ เผลอๆ ไม่ต้องเสียเงินจ้างใครให้ทะเลาะด้วย เอาให้เอะอะโวยวายจนร้านพังก็คงได้ จากนั้นจะหลอกให้ตามไปเอาเรื่องถึงหน้าร้าน แล้วทำท่าจะต่อยกัน คราวนี้ก็รอดเงื้อมมือพี่ประพจน์...
มือไวเท่าความคิด เรียวเขย่าน้ำอัดลมกระป๋องในมือแล้วเปิดออกทำให้เครื่องดื่มพุ่งออกมาทันใด กระเด็นไปเลอะขากางเกงของคนที่อยู่ข้างหน้าซึ่งรีบกระโดดโหยงทันทีพร้อมกับโวยวายเสียงลั่น
“อ้าว เฮ่ย อะไรวะ ใครวะ ใครทำ”
เรียวไม่รอช้า เดินตรงไปที่ประตูทางออกของร้าน พนักงานเก็บเงินที่ยืนซังกะตายอยู่หลังเคาเตอร์ ‘ตื่น’ ขึ้นมาทันทีเพราะลูกค้าไม่จ่ายเงินจึงร้องเรียกเสียงลั่น
“เก็บเงินกับพี่คนโน้น” เรียวชี้มือไปยังคนที่โดนน้ำอัดลมหกเลอะเทอะ
“ไม่ได้นะพี่ จ่ายเงินก่อนแล้วค่อยออกจากร้าน” พนักงานห้ามเสียงดัง
เรียวไม่สน มือผลักประตูเดินออกไป พนักงานรีบวิ่งตามออกมาพร้อมๆ กับอีกคนที่เอะอะโวยวายไม่แพ้กัน
“เฮ่ย ไอ้น้อง ทำน้ำอัดลมหกรดแบบนี้แล้วเดินหนีเฉยๆ แบบนี้ได้ไงวะ นักเลงหรือเปล่า”
“คุณนี่เอง” เรียวหยุดเดิน หันขวับไปมองแล้วเลิกคิ้ว ทำเป็นตกใจที่เจอคนรู้จัก
“อ้าว เจออีกแล้ว นักหาเรื่อง”
“คุณจริงๆ ด้วย” เรียวเบ้ปาก ทำหน้ากวน
“ก็ผมนี่ล่ะ จะใครที่ไหนถ้าไม่ใช่ศรันย์ ประชาชนตาดำๆ ที่โดนตำรวจรังแก” ศรันย์ชี้หน้าตำรวจที่ชอบรังแกประชาชน
“พี่ จ่ายเงินมาก่อนสิ” พนักงานคว้าแขนศรันย์
“ยังไม่ได้ซื้ออะไรเลยโว้ย จ่ายได้ไง” ศรันย์สะบัดแขน หันไปโวยวายใส่พนักงานเก็บเงินผู้ซึ่งรีบชี้มือไปที่เรียวพร้อมกับบอกว่าฝ่ายนั้นเป็นคนบอก
“อะไรกัน คุณกินคุณก็จ่ายสิ” ศรันย์โวย
“คุณยืมเงินผมห้าร้อย ยังไม่ได้ใช้คืน จำไม่ได้หรือไง” เรียวยกน้ำอัดลมขึ้นดื่มอีกหนึ่งแล้วโยนทิ้ง
“ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง” ศรันย์ตำหนิแล้วหันไปตะคอกพนักงานซึ่งยื่นมือมาดึงแขนเขาไว้ “ไม่จ่ายโว้ย ใครกินก็ไปเก็บกับคนนั้นสิวะ”
“ใจดำ” เรียวผลักศรันย์
“อ้าวๆ หาเรื่อง” ศรันย์ถลึงตาใส่เรียว สะบัดแขนให้หลุดจากมือของพนักงานเก็บเงิน “รังแกประชาชนอีกแล้ว”
“เงินแค่สิบสี่บาท ทำเป็นเหนียว ผมให้คุณห้าร้อยยังไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ เห็นแก่ตัวจริงๆ เลย หน้าตาก็ดี แต่งตัวก็ไม่กระจอก เงินแค่นี้ก็จ่ายไม่ได้”
“ก็ด๊าย” ศรันย์พูดเสียงสูง ล้วงกระเป๋าเงินแล้วยืนธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทให้พนักงาน “น้อง ไม่ต้องทอน พี่ให้ทิป”
“รวยแฮะ” เรียวพูด
“ก็พอตัว” ศรันย์ทำท่าโอ่ “นี่ขนาดหาเงินมาแบบสุจริตนะเนี่ย ถ้าผมรีดไถประชาชนด้วยละก็ คุณเอ๊ย ผมทิปเด็กคนนั้นด้วยใบสีม่วงไปแล้ว”
“คุณหาว่าผมรีดไถงั้นสิ กล่าวหากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้จะมากไปแล้ว รู้ไหม ผมจับคุณเข้าคุกข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานได้นะ” เรียวขู่
“ไหนพยาน” ศรันย์หันซ้ายหันขวา ทำเป็นมองหาคนเป็นพยาน
“พยานน่ะไม่มีหรอก ไม่จำเป็น แต่ถึงไม่มีผมก็สร้างพยานเองได้ไม่เห็นจะยาก” เรียวยักไหล่ ทำท่าไม่ยี่หระ
“อ๋อ แน่น๊อน คุณเป็นตำรวจนี่นา ทำอะไรยังไง กับใคร เมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะพ่อคุณ ผมมันแค่ประชาชนตาดำๆ จะไปมีปากมีเสียงอะไรได้” ศรันย์พูดพร้อมกับยกไม้ยกมือโบกไปมาแสดงอาการไม่สบอารมณ์
เรียวรู้สึกขำ อยากจะหัวเราะกับท่าทางประชดประชันของศรันย์ที่พูดเสร็จแล้วก็ค้อนขวับ สะบัดหน้าอย่างอารมณ์เสีย
“เอาล่ะ ผมขอโทษ” เรียวพูดขึ้น ส่งผลให้คนที่ได้ยินขมวดคิ้ว ทำหน้าแปลกใจที่จู่ๆ ‘คุณตำรวจใจร้าย’ เปลี่ยนท่าทีไปเฉยๆ
“คุณจะมาไม้ไหนอีกละเนี่ย” ศรันย์ไม่ไว้ใจ “เจอหน้าคุณทีไรผมซวยทู๊กที มีเรื่องไม่ว่างไม่เว้น”
“พูดเกินไปแล้ว” เรียวพูดเสียงห้วน “อย่ามาหาเรื่องกันแบบนี้นะ พูดแบบนี้อยากไปนอนสงบสติอารมณ์ในคุกหรือไง”
“อะไรอีกละเนี่ย” ศรันย์โวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ยกมือขึ้นเกาศีรษะเพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ “ใครหาเรื่องใครมิทราบคร้าบคุณตำรวจ ผมจำได้ว่าผมอยู่ดีๆ ก็มีคนมาหาเรื่อง”
“มีพยานหรือเปล่า” เรียวเอียงหน้าถามกวนๆ
“มีสิ เด็กแคชเชียร์คนนั้นไง มาเลย เข้าไปข้างในเลย ไปคุยกันให้รู้เรื่อง” ศรันย์คว้าข้อมือคนชอบหาเรื่องดึงให้ตามเข้าไปในร้าน
“ปล่อย” เรียวสะบัดมือแต่ศรันย์จับเอาไว้แน่น
“ผมไม่ปล่อยตำรวจอันธพาลให้ลอยนวยหรอก” ศรันย์ทำท่าขึงขัง “คุณอยากได้พยานมาชี้ตัวผู้ต้องหาคดีหาเรื่องทะเลาะวิวาทใช่ไหมล่ะ ได้เล๊ย” ศรันย์ออกแรงดึง
“ไม่ปล่อยโดน” เรียวใช้มืออีกข้างชี้หน้าขู่
“กลัวตายล่ะ คุณไม่มีมีปืน ผมรู้” ศรันย์ออกแรงฉุดมากกว่าเดิมเพื่อดึงหมวดหนุ่มจอมกวนเข้าไปในร้าน “ไม่มีปืน ผมไม่กลัว”
“พอๆ พอได้แล้ว” เรียวยกมือห้าม
“พออะไร” ศรันย์สงสัย ระวังตัวเต็มที่เพราะไม่อาจไว้ใจหมวดเจ้าเล่ห์คนนี้ได้
“ผมแกล้งล้อเล่นคุณเฉยๆ ผมกำลังทำงาน รถเบ็นซ์คันที่จอดอยู่ตรงข้างหลังนั่นน่ะเป็นผู้ต้องสงสัย” เรียวเปลี่ยนใจ เพิ่งจะนึกได้ว่าหากศรันย์โวยวายว่าเขาเป็นตำรวจรังแกประชาชนก็จะทำให้เสียเรื่อง “ช่วยทะเลาะกับผมหน่อยเถอะ แต่ไม่ว่จะยังไง อย่าพูดว่าผมเป็นตำรวจ ห้ามเปิดเผย”
“ทำไมผมต้องช่วยคุณ” ศรันย์หรี่ตา
“ไม่อยากเป็นพลเมืองดีหรือไง”
“ผมน่ะเป็นพลเมืองดีมาแต่ไหนแต่ไร แล้วเป็นไงล่ะ โดนรังแกมาตลอด จำไมได้หรือ คุณเอาปืนจี้บังคับให้ผมขับรถพาหนีพวกโจรห้าร้อย”
“เฮ้อ” เรียวแหงนหน้า กรอกตา ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนที่อีกฝ่ายไม่ยอมลืมเรื่องนั้นเสียที “เมื่อไหร่จะเลิกพูดเรื่องนี้นะ”
“ก็จนกว่าคุณจะยอมขอโทษผมเป็นทางการ”
“ขอโทษ ผมขอโทษ” เรียวกระชากเสียง
“ไม่รับคำขอโทษแบบแดกดัน” ศรันย์แบะปาก
“จะให้ทำไง จัดพิธีเป็นทางการ เชิญ ผบ. ตร. มาเป็นพยานหรือไง”
“คุณจ่ายค่าน้ำอัดลมก่อน ร้อยบาท” ศรันย์แบมือรอ
“ไม่จ่าย” เรียวออกแรงดึงแขนกลับแต่ศรันย์ไม่ยอมปล่อย นายตำรวจหนุ่มจึงตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
เรียวย่อตัวลงแล้วมุดตัวลอดใต้แขนของศรันย์ไปทางด้านหลังทำให้ศรันย์ต้องบิดแขนและเอียงตัว นายตำรวจหนุ่มอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเสียการทรงตัวหมุนข้อมือที่ถูกจับอยู่เล็กน้อย และใช้สันมืออีกข้างฟันเข้าที่บั้นเอวของศรันย์จนฝ่ายนั้นสะดุ้ง จากนั้นกระชากข้อมือออกจากมือของผู้ที่จับ ทำท่าจะฟันศอกเข้าที่ใบหน้าของศรันย์ทำให้ ‘ประชาชนที่โดนรังแก’ ต้องรีบยกแขนขึ้นทั้งสองข้างเพื่อตั้งท่าป้องกันตัว
“ไปดีกว่า” เรียวยักคิ้วแล้วรีบเดินหนีไปที่รถของประพจน์เพื่อ ‘ปฏิบัตการขั้นต่อไป’ ศรันย์วิ่งตาม ส่งเสียงโวยวายเช่นเคย
“จะหนีไปไหน”
“เลิกยุ่งกับผมซะที” เรียวตะโกนเสียงดุ และเมื่อเห็นประพจน์ลดกระจกรถจึงรีบดึงคอเสื้อศรันย์เข้ามาใกล้ “บอกไว้ก่อนนะ ห้ามทำให้เขารู้ว่าผมเป็นตำรวจ ไม่งั้นคุณโดนหนักหนาสาหัสจนต้องหยอดน้ำข้าวต้มแน่ๆ”
“คิดว่าผมจะกลัวงั้นสิ” ศรันย์ทำหน้าท้าทาย ผลักเรียวจนเซไปกระแทกรถหรู
“เรื่องอะไรน่ะ” ประพจน์ทำหน้าตาตื่น
“พี่ครับ ผมขอโทษ ผมโดนตื้อ” เรียวหันไปยกมือไหว้ ‘ลูกค้า’ แล้หันมาตวาดคนที่ตาม ‘ตื้อ’ ด้วยเสียงฉุนเฉียว “บอกว่าไปไกลๆ ทำไม ถ้ารับเรื่องนี้ไม่ได้ก็ไม่ต้องมายุ่ง”
“ทำไมจะยุ่งไม่ได้ จะให้พี่ยืนอยู่เฉยๆ มองแฟนตัวเองมาขายตูดขายตัว พี่ยอมไม่ได้” ศรันย์ตวาดกลับ
เรียวสะอึก เผลอกันไปมองรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครมาได้ยินหรือเปล่า แต่ในใจอดคิดไม่ได้ว่านายคนนี้สมอง ‘เร็ว’ ไม่ใช่น้อยเพราะสามารถสร้างเรื่องให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะเหม็ง
“อย่ามากล่าวหาแบบนี้สิวะ” เรียวขึ้นเสียง
“แล้วจะให้คิดยังไง นั่งรถมากับไอ้หน้าวอกแวมไพร์ทไวไลท์แบบนี้ จะให้คิดว่ายังไง จะขายตัวทำไมไม่เตรียมถุงยางกับเควายให้พร้อม ต้องลงมาซื้อในร้านเซเว่น พอแฟนเห็นก็ว่ามาทัศนศึกษานอกสถานที่ยังงั้นหรือ อ๋อ ตอนนี้เห็นรถเบ็นซ์ดีกว่าซูซูกิของพี่แล้วใช่ไหม คิดว่ามันจะเลี้ยงให้สุขสบายไปจนตายหรือไง” ศรันย์ใส่อารมณ์เต็มที่
...เฮ้ย จะตีบทแตกเกินไปแล้ว อีตานี่ไม่เคยพอดีเลยให้ตายสิ...
เรียวขยิบตาให้ศรันย์ลดเสียงลงเพราะคนกำลังหันมามอง แต่ ‘ผู้ให้ความร่วมมือตำรวจ’ คนนี้ไม่ยอมทำตาม หนำซ้ำกลับเข้ายื้อยุดฉุดแขน ‘แฟน’ ของตัวเองเอาไว้
“ที่รักจ๋า พอซะเถอะกับพฤติกรรมแบบนี้ ถึงพี่ไม่รวยเท่าไอ้เสี่ยหน้าปลาจวดตัณหากลับนี่ พี่ก็หาเลี้ยงน้องไม่ให้อดอยากได้ กลับเนื้อกลับตัวนะ พี่ให้อภัย”
“หุบปาก” เรียวเข่นเขี้ยวใส่ศรันย์
“น้องหนุ่ม นี่มันเรื่องอะไรกัน” ประพจน์ถาม เริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะเริ่มมีคนเดินเข้ามามุงดู
“พี่ครับ ผมขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พี่อย่าโกรธหนุ่มนะครับ มันสุดวิสัยจริงๆ” เรียวหันไปทำเสียงอ้อนวอนประพจน์ “พี่ไปก่อนเถอะ ผมไม่อยากให้พี่เสียชื่อเสียง”
“ห่วงมันมากใช่ไหม มันสำคัญมากใช่ไหม นี่คงขายคงขี่กันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วสิถึงได้อาลัยอาวรณ์กันขนาดนี้ ไป กลับบ้าน ซ้อนท้ายซูซูกิคันเก่าๆ เหมือนเคยนี่ล่ะ” ศรันย์ดึงแขนเรียว
“พอได้แล้ว” เรียวหันไปตะคอกศรันย์แล้วหันไปพูดกับประพจน์ “พี่ครับ ผมขอโทษ ไว้โอกาสหน้านะครับ พี่รีบปิดกระจกเถอะ เดี๋ยวคนจะเห็นพี่ ผมเป็นห่วง”
“หน้าด้าน ไร้ยางอาย แก่จนเป็นพ่อคนแล้วยังจะมาเอากับเด็ก” ศรันย์ชี้หน้าประพจน์ซึ่งรีบปิดกระจกรถทันที
“จะไปไหน ออกมาก่อนสิวะ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับเมียกู ไม่รู้จักซะแล้วว่ากูเป็นใคร” ศรันย์หันไปโวยวายเอาเรื่องกับประพจน์
เรียวอาศัยจังหวะที่ศรันย์กำลัง ‘อิน’ กับบทบาทเดินหนีไปเฉยๆ ศรันย์ยังไม่รู้สึกตัวเพราะเอาแต่ชี้หน้าด่าประพจน์ซึ่งกำลังเคลื่อนรถออกไปจากสถานที่เกิดเหตุ
พอโวยวายจนหนำใจแล้วจึงหันกลับมามองข้างๆ แต่ก็ไม่เห็นหมวดเรียวเสียแล้ว
ศรันย์หันซ้ายหันขวา มองไปรอบๆ ครั้นเห็นว่านายตำรวจตัวดีกำลังโบกมือเรียกแท็กซี่จึงรีบวิ่งตาม
เรียวหันไปมองคนที่วิ่งมาพร้อมกับร้องเรียกชื่อเขาไม่ยอมหยุด โชคดีที่มีแท็กซี่คันหนึ่งจอดรับพอดีจึงรีบขึ้นนั่ง และบอกให้คนขับรีบออกรถ ทิ้งให้ศรันย์ยืนตะโกนโหวกเหวกอยู่คนเดียวริมถนน
นายตำรวจหนุ่มอมยิ้มขำๆ กับท่าทางเต้นแร้งเต้นกาของศรันย์ พยายามจินตนาการคำพูดโวยวายของศรันย์ ซึ่งก็คงไม่พ้นอะไรที่ว่า เขาหลอกใช้ เขาหลอกหลวง เขารังแกประชาชน
...ก็ประชาชนกวนๆ อย่างศรันย์นี่มันน่ารังแกจริงๆ นี่นา...
ที่มหาวิทยาลัย เรียวโดนโจโฉตำหนิยกใหญ่ว่าทำให้เสียเรื่อง เรียวแก้ตัวว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น และขอรับรองว่าครั้งต่อไปจะไม่ให้เสียงาน
“พี่ก็ไม่บอกผมเลยว่างานอะไร ไม่ได้เตรียมตัวซักนิด นี่ถ้าไม่ต้องลงไปซื้อถุงยางกับเจลก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น” เรียวบ่น
“เออๆ ช่างเถอะ คราวหลังอย่าซวยแบบนี้อีกล่ะ คืนนี้พี่ประพจน์เขาจองแก เตรียมตัวให้พร้อม” โจโฉพูด
“ฮ้า พี่ประพจน์ยังจะเอาผมอีกหรือ” เรียวอุทาน “แล้วพี่เขาไม่โกรธหรือที่โดนแบบนั้น”
“โกรธก็โกรธอยู่ แต่ความอยากมีมากกว่า อย่าให้เสียชื่อล่ะ”
“ผมไม่มีชื่อจะให้เสียหรอก” เรียวเบ้ปาก
“เสียชื่อแก็งค์โว้ย ไม่ใช่ชื่อแก” โจโฉตบหัวเรียว “ทีนี้ไม่ต้องไปไกล แกไปรอที่โรงแรม...เลย สี่ทุ่มพี่พจน์จะไปหา”
“เอางั้นเลยหรือ” เรียวเกาศีรษะแกรกๆ “ทีนี้ผมต้องเตรียมอะไรบ้าง ถุงกับเจลน่ะมีแน่ ซื้อเอาไว้แล้ว อย่างอื่นพี่ประพจน์บ่นว่าพี่ไม่เตรียมให้พร้อม คืนนั้นพี่ประพจน์จะเอาป๊อปเปอร์ แล้วก็อะไรอีกอย่างน๊า ผมจำชื่อไม่ได้”
“แกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะเอาให้ที่โรงแรม ให้พี่พจน์ถึงก่อน อย่าลืมนะ สี่ทุ่ม ไปก่อนเวลาหน่อย เจอกันตรงข้างๆ ป้ายโรงแรม”
หลังจากแยกกับโจโฉ เรียวก็เดินไปที่โรงอาหารเพราะรู้สึกหิว ตั้งใจว่าทานอาหารอิ่มแล้วถึงจะรายงานผู้กองคมกริช แต่ขณะที่เดินไปใกล้จะถึงโรงอาหารก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังออกมาจากรถที่แล่นเข้าจอดเทียบข้างฟุตบาธ
“แสบจริงๆ เลยนะหมวด คืนนั้นทิ้งกันไปเฉยๆ อุตส่าห์ช่วย”
“บอกว่าอย่าเรียก อย่ามาใกล้ อย่าให้ใครรู้ว่าผมทำงานอะไร ไม่รู้เรื่องหรือไงนะ” เรียวหันขวับไปพูดเสียงห้วนๆ กับคนขับที่ยื่นหน้าออกมาจากรถ
“เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ไม่ให้ใกล้ได้ยังไง”
“ไม่น่าเล๊ย” เรียวยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง
“รู้จักบุญคุณกันหน่อยก็ดีนะ ผมไม่ใช่หรือที่ทำให้คุณหมวดรอดตัวจากไอ้แก่นั่น”
“บอกว่าอย่าเรียกหมวด ไปไกลๆ ได้แล้ว” เรียวโบกมือไล่
“ไล่จริงเลย ช่างไม่นึกถึงตอนช่วยเหลือเกื้อกูลกันบ้าง”
“นี่นาย...” เรียวส่ายหน้า
“ศรันย์ครับ ศรันย์ ชื่อผมคือศรันย์ ศิวะเมธี”
“พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ เลย ผมกำลังทำงานอยู่ เดี๋ยวก็มาทำให้งานผมเสีย”
“งานอะไร เล่าให้ฟังหน่อยสิ ไม่แน่นะ ผมอาจจะช่วยได้ จำไม่ได้หรือ ผมบอกแล้วไงว่าที่นี่ ผมรู้จักทุกซอกทุกมุม” ศรันย์ยักคิ้ว
“คุย” เรียวแบะปาก
“อ๋อ นึกออกแล้ว งานรับจ๊อบขายตัว ใครเป็นนายหน้าล่ะ จะได้ช่วยอุดหนุน หรือว่าฉายเดี่ยว เป็นนักขายอิสระ ไม่ได้นะคุณหมวด มันต้องมีสังกัด ไม่งั้นหาลูกค้าลำบาก กว่าจะสืบหาข่าวได้ ก้นพรุนหมด” ศรันย์แนะนำ ทำหน้าตาเป็นห่วงเป็นใย
“วอนซะแล้ว” เรียวอยากจะกระชากคอเสื้อคนในรถลากออกมาชกนัก จึงขยับเข้าไปหาศรันย์ แต่ทันใดหางตาก็มองเห็นโจโฉกำลังเดินเข้ามาใกล้
“มีอะไรหรือหนุ่ม” โจโฉร้องถาม เรียวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่เมื่อโจโฉเห็นว่าคนในรถเป็นใครก็รีบยกมือไหว้
“หวัดดีครับเฮียศรันย์”
“ว่าไง” ศรันย์พยักหน้าให้แล้วหันไปมองเรียวจากหัวจรดเท้า จากนั้นหันไปส่งสายตาให้โจโฉแล้วกลับมามองเรียวอีกครั้งพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทำประหนึ่งว่าสนใจชายหนุ่มหัวเกรียนผู้ที่เขารู้ว่าเป็นตำรวจปลอมตัวมา
“เด็กผมเองครับ” โจโฉพูดเบาๆ
“เด็ก” ศรันย์เลิกคิ้ว ทำเป็นสงสัย “นี่แฟนนายหรือ มีรสนิยมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เฮ้ย ไม่ใช่ครับ” โจโฉรีบโบกมือปฏิเสธ “ผมหมายความว่า เด็กคนนี้ทำงานกับผม”
“งานอะไร” ศรันย์ทำเสียงกระซิบกระซาบ “งานอย่างที่พี่คิดหรือเปล่า”
“เฮียคิดว่าอะไรล่ะครับ” โจโฉโน้มตัวลงมาใกล้ๆ ศรันย์ พูดกับชายหนุ่มเบาๆ แล้วช้อนตาขึ้นมองเรียวซึ่งยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก
“น่ารักดี” ศรันย์ยิ้มพอใจ
“พาน้องไปคุยไหมครับ” โจโฉยักคิ้ว ยื่นมือไปดึงแขนให้เรียวขยับเข้ามาใกล้ๆ ให้ศรันย์ได้เห็นชัดๆ “น้องหนุ่มคุยเก่ง พูดเพราะ สุภาพเรียบร้อย รับรองว่าทำให้เฮียหายเบื่อแน่ๆ”
“ผมมีเรียน” เรียวพูดขึ้นมาเบาๆ
“เฮ่ย มีเรียนก็โดดสิวะไอ้หนุ่ม” โจโฉหันไปทำเสียงดุใส่ ‘เด็กในสังกัด’
“เดี๋ยวก่อน พี่ต้องไปเก็บเงิน ตอนนี้ไม่ว่าง คืนนี้ดีกว่า พี่จัดปาร์ตี้ที่บ้าน กำลังอยากได้เด็กชงเหล้า” ประโยคสุดท้าย ศรันย์หันไปยักคิ้วใส่นายตำรวจนอกเครื่องแบบ “ว่าไง ชงเหล้าเป็นไหมเราน่ะ”
“เป็นทุกอย่างเลยครับเฮีย” โจโฉรีบตอบแทน “ไม่มีอิดออด เฮียต้องการอะไรน้องหนุ่มทำได้ทุกอย่าง เฮียจะนัดรับที่ไหนบอกผมได้เลย บริการเต็มที่”
“ครบวงจรไหม” ศรันย์ยกมือป้องปาก กระซิบกระซาบราวกับว่ากำลังพูดเรื่องสำคัญ “งานปาร์ตี้มันต้องมีครบถึงจะสนุก”
เรียวยืนนิ่ง ฟังทั้งสองคนนั้นตกลง ‘เรื่องธุรกิจ’ กันจนเสร็จแล้วจึงแยกตัวออกมา ตรงไปยังโรงอาหาร ในใจคิดอะไรหลายเรื่อง
...เอาวะ ขายให้นายศรันย์ปากมากนี่ก็ยังดีกว่าพี่ประพจน์ ไม่ต้องเสี่ยงเสียตัว ตอนแรกยังหนักใจอยู่เลยว่าจะเอาตัวรอดยังไง นายคนนี้ดูๆ ไปก็เหมือนจะช่วยได้อยู่เหมือนกัน...
บ้านของศรันย์คือห้องชุดบนชั้นยี่สิบห้าของคอนโดมีเนียมซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีห้องนอนสามห้อง ห้องนั่งเล่นกว้างขวาง หรูหราไม่ใช่น้อย
“แล้วยังมีหน้ามียืมเงินห้าร้อยจ่ายค่าปรับ รวยไม่ใช่น้อยนะคุณเนี่ย หากินสุจริตหรือเปล่า” เรียวหันไปมองรอบๆ ห้อง
“ทุกบาททุกสตางค์เลยคร้าบ คุณหมวด” ศรันย์เดินไปที่บาร์เหล้า รินเหล้าใส่แก้วสองใบ เดินกลับมาที่กลางห้อง ยื่นแก้วให้เรียว
“ใส่อะไรหรือเปล่า” เรียวหรี่ตามอง
“ยาปลุกเซ็กส์” ศรันย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ส่งสายตาค้อนๆ ให้แล้วพูดต่อว่า “ผมไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องมอมยาคนหรอกคุณหมวด นี่คุณต้องขอบคุณผมนะที่ช่วยเหลือคุณ เห็นไหมว่าทุกอย่างง่ายเข้าถ้าได้ความช่วยเหลือจากเฮียศรันย์”
“ถามจริง คุณไปเก็บเงินอะไรกับเด็กนักศึกษา” เรียวรับแก้วเหล้ามาถือไว้ ยังไม่ยกขึ้นดื่ม
“ค่าแต่งรถ” ศรันย์ตอบแล้วนั่งลงบนโซฟา “ลูกค้าหลักๆ ผมก็พวกนักศึกษานี่ล่ะ มหาลัยนี้ขาซิ่งเยอะนะคุณ รายได้ดีไม่ใช่เล่น เพียงแต่ว่าต้องยอมให้มันผ่อนหน่อย เออ ขอผมถามหน่อยซิ ที่ถึงกับต้องลงทุนปลอมตัวเป็นเด็กขายเนี่ย มันคุ้มหรือ เด็กมันแค่เล่นขายของ สู้เอาเวลาไปล่าพวกตัวใหญ่ๆ ไม่ดีหรือ”
“ผมไม่ได้ปลอมตัวเป็นเด็กขาย ก็แค่ซวยที่ไอ้โจโฉมันเป็นพ่อเล้า ทำไงได้ ต้องเลยตามเลย” เรียวยักไหล่ ยกแก้วเหล้าขึ้นมองแล้วหมุนแก้วไปมา
“สายข่าวพวกคุณนี่ไม่ได้เรื่องเลย” ศรันย์ตำหนิ เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างแล้วพูดว่า “ดื่มสิคุณหมวด ไม่ได้ใส่อะไรหรอกน่า อย่ากลัวไปหน่อยเลย”
“แล้วคุณรู้ดีนักหรือ งั้นบอกมาซิ พวกไอ้โจโฉมันได้ยามาจากไหน”
“โธ่เอ๊ย” ศรันย์ลากเสียงสูง “แค่ไวอากร้า มันซื้อที่ไหนก็ได้ ร้านขายยาแถวสุขุมวิทมีถมเถไป ร้านหน้าศิริราชขายบนเค้าท์เตอร์เหมือนขายยาแก้ปวดเลยนะคุณหมวด”
“ป๊อปเปอร์ ยาไอซ์นี่นะ พูดเป็นเล่น” เรียวแบะปาก ทำหน้าตาไม่เชื่อที่ศรันย์พูด
“เอ่อ สองอันนั้นต้องพิเศษหน่อย” ศรันย์ยักไหล่ “เอ้า ดื่มซะทีสิคุณหมวด หมุนแก้วเหล้าเล่นอยู่นั่นล่ะ”
“ผมไม่ดื่มเหล้าเวลาทำงาน” เรียวยื่นแก้วคืนให้ศรันย์ “ถ้าไม่รู้ว่าพวกไอ้โจโฉมันรับยามาจากไหน คุณก็หมดประโยชน์ ผมจะกลับล่ะ”
“อ๊ะๆ เดี๋ยวก่อนสิ อุตส่าห์เสียเงินตั้งสองพันห้า” ศรันย์ลุกขึ้น แบมือออกมาข้างหน้า “ขอเงินคืนด้วย”
“เงินอะไร”
“อ้าว ก็เงินที่จ่ายค่าตัวคุณไง คุณคิดหรือว่าผมจะจ่ายเงินแทนตำรวจฟรีๆ” ศรันย์โวย
“อ้าว ก็ใครบอกให้คุณเสนอหน้ามาจ่ายเงิน”
“อ้าว พูดอย่างนี้ก็สวยสิคุณหมวด อุตส่าห์ช่วยนะ ถ้าไม่ได้ผม ป่านนี้คุณคงไปนอนถ่างขาให้ไอ้หน้าปลาจวดแวมไพร์อึ๊บไปแล้วล่ะ ผมตัดคิวมันเลยนะเนี่ย ยอมจ่ายมากกว่าราคามาตรฐานถึงห้าร้อยบาท” ศรันย์ยกนิ้วทั้งห้ากางออกต่อหน้าเรียว
“หยาบคาย” เรียวถลึงตาใส่ “แล้วไง ไม่เห็นจะได้ข่าวอะไรเลย โธ่เอ๊ย นึกว่ารู้จริงรู้ลึก ที่แท้ก็ไม่รู้อะไรซักอย่าง เสียเวลา”
“ใจเย็นๆ สิคุณหมวด อะไรกันแค่ไม่กี่วันคุณก็กะจะสาวไปถึงต้นตอเลยหรือ ไอ้พวกนี้มันแค่หางแถว ได้ยามาทีละแค่สิบยี่สิบเม็ด ส่งต่อผ่านๆ กันมาไม่รู้กี่ทอด”
“ทำเป็นรู้อีกแล้ว” เรียวเอียงหน้ามองคนที่ทำเป็นรู้ดี เหยียดปาก แสดงอาการว่าไม่เชื่อที่พูด
“ไม่อยากจะพูด เด็กบางคนที่ไปซ่อมรถอู่ผมมันรับจ๊อบส่งยา คุณมาเสียเวลากับไอ้โจโฉเฉยๆ เผลอๆ จะเสียตัวด้วย เปลืองเนื้อเปลืองตัวเปล่าๆ” ศรันย์ส่ายหน้า “ไปซิ่งรถกับพวกนั้นยังจะได้อะไรกว่ามาขายตัว แต่เอ๊ะ หรือว่าคุณหมวดถนัดงานสบายๆ ไม่ต้องใช้แรง”
“ปากเสีย” เรียวยกมือขึ้น กำหมัด ทำท่าจะต่อยคนปากเสียซึ่งรีบถอยห่างไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว
“ล้อเล่นหน่อยเดียว ทำเป็นโมโห ดุจังเลย” ศรันย์ค้อน “แล้วตกลงจะได้เงินสองพันห้าคืนไหมเนี่ย คุณสำรองจ่ายให้ผมก่อนแล้วค่อยไปเบิกเงินคืน มันเบิกได้ไม่ใช่หรือ ราชการเขาก็ต้องมีเงินทุนในการปฏิบัติงานสำหรับเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว”
“เซ้าซี้จริงเลย เอาไปห้าร้อยก็พอ” เรียวตัดความรำคาญ ยื่นเงินให้อีกฝ่ายซึ่งรีบรับไปทันทีแล้วยกขึ้นส่องกับไฟ ราวกับตรวจสอบว่าเป็นเงินปลอมหรือเงินจริง
“ค้างสองพันนะคุณหมวด” ศรันย์พูดขึ้นเบาๆ แล้วยิ้มทะเล้นให้นายตำรวจซึ่งเดินตรงไปที่ประตู มองตามร่างสูงนั้นด้วยสายตาพึงพอใจ
“ก้นสวยฉิบหาย” ศรันย์พึมพำเบาๆ แต่เรียวกลับได้ยิน หันขวับมาทำหน้าดุใส่ พร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าปราม แต่ศรันย์ไม่หวั่น พูดต่อว่า “ขอบคุณซักนิดก็ไม่มี ใจคอคนเรานี่นะ”
“ขอบคุณ” เรียวพูดเสียงห้วนแล้วเปิดประตูออกไป ปล่อยให้ศรันย์ยืนพิงกรอบประตูมองตามด้วยใบหน้ายิ้มๆ
...ซักวันเถอะคุณหมวด ซักวันเถอะ รู้จักศรันย์น้อยไปแล้ว แบบนี้ต้องเจอดีซักหน่อย...
►จบบทที่ 4◄
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนเลยนะครับ หวังว่าคงทำให้ผู้อ่านได้ยิ้มผ่อนคลายความเครียดได้นะ แล้วเจอกันตอนต่อไป