ดีครับ
ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ
ปล.สำนวนนิยายเรื่องใหม่นี้แหวกแนวมากๆ ก็อยากที่บอกอ่าครับ มันเป็นแบบที่ผมถนัดนะความจริงแล้ว ไม่เหมือนเรื่องเก่าเลย ยังไงช่วยติชมด้วยนะครับ

ปล.ล.ถ้ามีคำไหนผิดขอประทานโทษมา ณ ที่นี้ด้วยเด้อ...

ที่สนามบินลอสแองเจิลลิส เพื่อนๆในโครงการแลกเปลี่ยนยืนออกันอยู่แน่นขนัด เห็นได้จากสีเสื้อที่ใส่เหมือนกัน อมลินได้ยินเสียงพูดเป็นภาษาต่างๆปนเปกันไปหมด ผู้นำกลุ่มซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ยืนแยกนักเรียนที่ต้องไปตามมลรัฐของตัวเองอยู่ อมลินรีบเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ซึ่งทั้งหมดต้องนั่งเครื่องบินภายในประเทศต่อไปยังสนามบินเจเอฟเคอีกรอบหนึ่ง ซ้ำยังต้องนั่งต่ออีกหลายเที่ยวไปตามจุดหมายของแต่ละคน
หลายชั่วโมงต่อมา อมลินที่ทั้งเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง และความวุ่นวายของระบบการจัดประสานงาน…ในที่สุด เขากับเพื่อนชาวฮ่องกงและญี่ปุ่นอีกสี่ห้าคนก็ถึงสนามบินในตัวเมืองบอสตันเป็นที่เรียบร้อย ปรากฏว่าอมลินเป็นเพียงหนุ่มไทยคนเดียวที่โดนเอกเทศมาอยู่ที่รัฐทางตะวันออก ติดชายฝั่งทะเลและแสนจะหนาวเหน็บอย่างบอสตัน
ทุกคนทำความรู้จักกันหมดแล้ว อมลินมีเพื่อนใหม่มากมาย เนื่องจากเด็กหนุ่มเป็นคนสุภาพ อัธยาศัยดี บุคลิคหน้าตาก็ดีโดดเด่นกว่าใคร เขาจึงเป็นคนที่เพื่อนๆต่างพยายามจะจับตัวคุยด้วยอยู่ตลอด ทว่าเขาก็เป็นคนค่อนข้างขี้อาย…จึงได้คุยแต่กับเพื่อนที่เป็นผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้น
มีหลายครั้งที่สาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งแอบเหล่มองมาทางอมลิน ทว่า เขาก็ต้องพบว่าตัวเองหน้าแดงทุกครั้งไป…
เธอชื่อยูมิโกะ หญิงสาววัยสิบหกปีที่สดใสร่าเริง และสวยน่ารักหาตัวจับยากทีเดียว
ปกติแล้วครอบครัวของโฮสต์จะขับรถมารอรับ แต่จนแล้วจนรอดอมลินก็ต้องนั่งแกร่วรอเวลาอยู่กับพี่เลี้ยงผู้ดูแลเพียงสองคน หล่อนชื่อนก พี่นกชวนอมลินคุยได้ไม่เบื่อ เนื่องจากเป็นคนช่างพูด และมีมุกตลกให้อมลินได้ขำอยู่เป็นพักๆ
“โอะ! นั่นมั่งคะน้องเล็ก โฮสต์ของน้องเล็กที่ว่า”
เด็กหนุ่มมองไปตามมือของพรชนก ที่ชี้ไปยังคู่สามีภรรยาท่าทางใจดีคู่หนึ่ง ฝ่ายชายมีรอยยิ้มที่เปิดเผยและดูเป็นชายวัยกลางคนที่มีอารมณ์ขันอยู่ในแววตา และความเรียบง่ายในการใช้ชีวิต
ส่วนฝ่ายหญิงนั้นอยู่ในชุดแม่บ้านขาสามส่วนตามฉบับอเมริกัน รอยยิ้มที่อบอุ่นใจดีนั้นส่งกระแสแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจมายังอมลิน จนเขานึกขอบคุณฟ้า…เขาโชคดีมากที่ได้มาอยู่กับโฮสต์ซึ่งน่ารัก และเป็นกันเองแบบนี้
“มิสเตอร์ กับ มิสซิส ซินแคลล์ใช่มั้ยคะ?”
พรชนกกล่าวเป็นภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ ด้วยสำเนียงที่ไม่ผิดเพี้ยนสักกระเบียด คู่สามีภรรยาพยักหน้า ก่อนจะหันมากล่าวกับอมลินว่า
“เรียกฉันว่าจอห์น ส่วนนี่ลิซ่า ภรรยาของฉันเถอะนะพ่อหนุ่ม”
อมลินยิ้ม เป็นยิ้มที่โล่งใจ ก่อนจะจับมือทักทายกัน แล้วพรชนกที่รอส่งอมลินเป็นคนสุดท้ายอยู่นานก็ร่ำราทั้งสาม แล้วหาโอกาสกลับไปยังโรงแรมที่พักหลังจากทำหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดสองวันเต็มๆ
รถที่ครอบครัวซินแคลล์ใช้เป็นรถแวน กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน และมีกลิ่นอายของครอบครัวโดยแท้จริง…เพราะหมอนใบเล็กมากมายข้างหลังรถ อีกทั้งสติกเกอร์ซึ่งคงเป็นผลงานและร่องรอยของเด็กๆบ้านซินแคลล์ในอดีต
“อมลิน…ชื่อของหนูเรียกยากจัง จะเป็นอะไรมั้ยจ๊ะถ้าฉันจะเรียกชื่อเล่นของเธอ?...”
ลิซ่าถามด้วยท่าทางเป็นกันเอง แต่แฝงด้วยความระวังตัวเมื่อพูดถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างเชื่อชาติ ทว่าอมลินไม่เป็นปัญหาเลย ซ้ำยังแอบสงสัยในใจว่า…ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าสองคนนี้ได้รวดเร็วนักภายในเวลาไม่กี่สิบนาที
“ไม่เป็นไรเลยครับ ชื่อเล่นของผมคือเล็ก”
“เล็ก…” นางลิซ่าพยายามออกเสียง ทว่ายังคงขมวดคิ้วก่อนจะหันไปพูดยิ้มๆติดตลกกับสามีของตน ที่ช่วยขนกระเป๋าอยู่หลังรถ
“ที่รัก มันยังฟังดูยากสำหรับฉันอยู่ดีเลยค่ะ”
จอห์นหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกระโดดขึ้นรถจนตัวถังเอนไปมา
“เอาล่ะ พร้อมกันหรือยัง บ้านของพวกเราอยู่ไกลจากตัวเมืองสักหน่อย แต่รับรองว่าเธอต้องชอบมากแน่ๆ เล็ก”
จริงดังคาด อมลินรักเมืองใหม่ที่เขาต้องมาอยู่เข้าแล้วจริงๆ หลังจากนั่งทนรอเวลาสามชั่วโมงที่รถแล่นไปตามท้องถนน ทั้งสามก็เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองเล็กๆเงียบสงบย่านชานเมือง ออกจะบ้านนอกเลยเสียด้วยซ้ำ…ทว่าเมืองทั้งเมืองนั้นก็รายล้อมด้วยบ้านหลังเล็กน่ารักๆ คฤหาสถ์ก็มีอยู่เยอะเช่นกัน ต้นสนใหญ่สูงตระง่านร่มรื่น และบึงน้ำสวยๆกว้างใหญ่มากมาย
“เข้าเขต Warehame(วาร์แฮม) แล้วล่ะเล็ก…เป็นยังไง เธอชอบมั้ย?”
อมลินตอบอย่างตื่นเต้น ทั้งที่จริงแล้วเขาควรจะเพลียจนหลับไปเสียตั้งนานแล้ว ทว่าบรรยากาศแปลกใหม่รอบๆตัวเขาทำให้เด็กหนุ่มตื่นเต้นเกินกว่าจะกลับตาลงได้
“บ้านของเราอยู่ชนบทแบบนี้ หนูคงไม่แปลกที่มากนะจ๊ะ”
น้ำเสียงของนางลิซ่าเป็นห่วงเป็นใย จนคนนั่งเบาะหลังอดยิ้มไม่ได้ จริงอยู่ ถึงแม้มันจะกันดาน มีรถวิ่งน้อยเหลือเกิน แล้วตอนกลางคืนก็ออกจะมืดไปสักหน่อยเหมือนอยู่ในป่าเช่นนี้ ทว่านี่คือสิ่งที่อมลินต้องการ เขาชอบความสงบ และ…มันคงช่วยได้เยอะเมื่อเขาเพิ่งหนีมาจากชีวิตวุ่นวายแบบนั้นตอนอยู่เมืองไทย
“เธอจะต้องชอบบ้านของเราแน่ ฉันให้ลิซ่าจัดห้องใหม่ไว้ให้เธอโดยเฉพาะเชียว”
“ความจริงแล้วมันเป็นห้องเก่าของลูกชายคนโตของเรา จริงซิ หนูจ๊ะ พวกเราสองคนมีลูกทั้งหมดสามคน คนโตคือเบน เขาเพิ่งย้ายไปอยู่ในหอของมหาวิทยาลัยเมื่อปีก่อน ส่วนลูกชายกับลูกสาวคนเล็กที่เหลือของเรา หนูก็จะได้เจอแล้วจ๊ะ”
จอนห์กล่าวต่อ “ฉันทำอาชีพเป็นทนายให้กับคนในชุมชน ส่วนลิซ่าเธอเป็นแม่บ้านที่แสนจะน่ารัก” อมลินเห็นภาพหวานๆที่จอห์นเอื้อมมือมากระชับมือของลิซ่าแล้วอดยิ้มไม่ได้ “เธอจะต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่า…ในชนบทนี้ล่ะ ที่พวกเศรษฐีบ้านนอกเขาอาศัยอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน”
“แล้วตอนเช้า เธอก็สามารถออกไปวิ่งจ็อคกิ้งที่ถนนหน้าบ้านเรากับจอห์นได้นะจ๊ะ เล็กจ๊ะ หนูจะต้องแปลกใจเมื่อพบว่าอากาศตอนเช้าของที่นี่น่าทึ่งเพียงไหน”
“ว่าแต่ ไม่รู้ว่าที่เมืองไทยตอนนี้ยัง เอ่อ…มีรถควันดำๆวิ่งพล่านไปมาอยู่หรือเปล่า? เมื่อสี่ปีก่อนที่ฉันไปดูงานที่กรุงเทพฯ…ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนในเมืองกรุงจะสูดอากาศแบบนั้นเข้าไปได้ยังไงทุกวัน”
อมลินยิ้ม ฟังสองสามีภรรยาพูดคุยกันไปมา
“อ้อ ก็ยังเป็นอยู่ครับ เพียงแต่เราก็มีเมืองชนบทที่น่าไปเที่ยวดู หรือพักผ่อนอีกมากมายเลยนะครับ”
ฝ่ายสามีพยักหน้า “เล็กพูดถูก ผมว่าหน้าหนาวปีหน้าเราขนกันไปเยี่ยมเล็กที่เมืองไทยบ้างก็ไม่เสียหายนะ”
นางลิซ่ายิ้มบาง ก่อนที่รถแวนจะหักพวงมาลัยแล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่โรงจอด ของตัวบ้านหลังใหญ่สีน้ำตาลทรงสวย สูงสามชั้น รถจอดสนิทพร้อมกับความมืด เสียงสายลมที่หนาวสุดขั้วแล่นเข้าปะทะ ส่งให้เกิดเสียงของใบสนสีกันไปมาอย่างเงียบงัน และเสียงแมลงกลางคืนแว่วให้ได้ยินบางๆเป็นระยะ
“เอาล่ะหนุ่มน้อย ฉันขอเข้าไปเปิดประตูก่อนนะ เธอลงมากับฉันเถอะจ๊ะ เราไปพบกับสมาชิกที่เหลือของบ้านกัน”
จอห์นยืนยันจะขนกระเป๋าให้เด็กหนุ่ม อมลินรู้สึกเกรงใจ ทว่าถูกนางลิซ่าจูงแขนเบาๆไปที่หน้าประตูบ้าน พร้อมทั้งไขกุญแจเข้าสู่ห้องโถงกว้างขวางใหญ่โต ทว่าให้ความรู้สึกผ่อนคลายด้วยแสงสีเหลืองอ่อนนวลตา และความอบอุ่นจากเครื่องฮีตเตอร์ภายในบ้าน
“กลับมาแล้วจ๊ะเด็กๆ”
ช่วงเวลาที่กระอักกระอ่วนใจที่สุด อมลินยืนสงบเสงียมเคว้งคว้างทั้งๆที่นางลิซ่าขนาบข้างเช่นนั้น ตรงกลางห้องโถง…ภายในช่องท้องของเขารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อพากันกระพือปีกบินไปมานับพัน
ไม่ใช่ว่าเขาจะกลัวอะไร…เพียงแต่คาดหวังให้เด็กๆบ้านซินแคลล์ต้อนรับเขา เหมือนดังที่หวังไว้ ไม่ใช่เหมือนในหนังอเมริกันซึ่งวันรุ่ยนั้นทั้ง ‘เฮี้ยว’ และ ‘แสบ’ ไม่มีใครเกิน
นางลิซ่าตะโกนเรียกเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยอีกครั้ง สักพัก เสียงเดินตึงตังจากชั้นบนก็ดังขึ้น ร่างของใครบางคนกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงมาจากบันไดด้วยความรวดเร็ว เธอเป็นเด็กสาววัยรุ่นร่างเล็ก หน้าตาน่ารักจนอมลินเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมสีน้ำตาลเข้มจัดเหมือนบิดาและดวงตาสีเขียวเหมือนมารดาบ่งบอกให้รู้ว่า นี่คือลูกสาวคนเล็กที่นางลิซ่ากล่าวถึง
“ไฮ…”
เด็กสาวกล่าว ท่าทางเขินอายน่ารักตามประสา อมลินยิ้มให้แล้วกล่าวแบบเดียวกัน
“ผมชื่ออมลิน(อะ-มะ-ลิน) ชื่อเล่นๆเล็กครับ”
นางลิซ่ายิ้มพลางก้มลองลูกสาวตนเองสลับกับเด็กหนุ่มจากอีกซีกโลก
“ฉันชื่อเอเวอรีน เรียกสั้นๆว่าอีฟค่ะ”
อมลินยิ้มพลางเอามือถูหลังต้นคอแก้เก้อ ในขณะเดียวกันที่นางลิซ่าถามเด็กสาว
“อีฟ แล้วพี่ชายตัวดีของลูกล่ะ?”
ไม่ทันขาดคำ เสียงทุ้มใหญ่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังเอเวอรีน
“ดีครับแม่ เป็นยังไงบ้าง แล้วก็…เฮ้ ไฮ! สวัสดีเด็กหนุ่มจากเมืองไทย”
ร่างสูงกำยำก้าวเข้ามาภายในห้องโถง ฉีกยิ้มกว้างให้กับอมลินจนเขาถึงกับต้อง…เบิกตากว้างเล็กน้อย เพราะไม่ว่าจะยังไง…เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่ดูดีเหมือนกับแกะออกมาจากนิตยสารมากเท่านี้มาก่อน ร่างที่สูงมาดแมน ไหล่กว้าง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนมารดา คิ้วเรียวเข้มสีเดียวกันเหนือดวงตาสีฟ้าเข้ม เข้มจัด…จมูกที่โด่งรับรูปกับริมฝีปากอิ่มกระจับ ในชุดอยู่บ้านง่ายๆพร้อมทั้งขนมปังแซนวิชในมือและในปาก
“ไฮ ฉันชื่อแอรอน เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนของคุณอยู่ปีหนึ่ง”
ฝ่ายนั้นยื่นมือมา อมลินยืนงงมองตาค้างชั่วอึดใจเดียว ก่อนจะได้สติจากเสียงเรียกและรอยยิ้มมีเสน่ห์นั่น…ทั้งสองจับมือกัน ทว่าอมลินกลับรู้สึกแปลกๆ…หัวใจของเขาเต้นแรง และตรงที่สัมผัสถูกกันก็ร้อนผ่ะผ่าวเหมือนถูกไฟช็อต
“ว้าว! หนุ่มจากเมืองไทย ผมนึกว่าคุณจะต้องดำกว่านี้ซะอีก”
นางลิซ่าตีแขนลูกชายเบาๆและมองมาเป็นการขอโทษ ส่วนเจ้าตัวหัวเราะร่า…อมลินยิ่งหน้าแดง ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนขาวจัด แต่ไม่คล้ำเยี่ยงคนไทย ทว่าเป็นการผสมที่ลงตัวพอดีระหว่างเชื้อสายไทย-จีน สีผิวของเขาจึงออกมาขาวนวลเหมือนสีเนื้อของเปลือกไข่
“เฮ้ ว่าแต่…คุณชื่ออะไร?”
แอรอนถาม อมลินได้แต่ตอบเสียงตะกุกตะกัก
แววตาของเขายิ่งส่องแสง ฟ้าจัดมากยิ่งขึ้น คาดคั้นแกมหยอก
“ผะ…ผมชื่ออมลิน ชื่อเล่นชื่อเล็ก”
“เล็ก เล็กๆ…ว้า ชื่อของคุณเรียกยากจัง คุณจะโกรธมั้ยหากผมขอเรียกคุณว่า…อืม อเล็กซ์แทน?”
อมลินส่ายหน้า
“จะว่าไป…คุณขี้อายชะมัด” แอรอนพึมพำ “เหมือน…เหมือนเจ้าหญิงในซีรี่เกาหลีที่ยืมมาจากเพื่อนในทีมเลย”
นางลิซ่าเอ่ยขัด “แอรอนเขาอยู่ในทีมฟุตบอลที่โรงเรียนน่ะจ๊ะ”
จู่ๆ ทั้งสองก็สบตากันเงียบๆ เพียงครู่เดียว เสมือนแอรอนกำลังมองด้วยแววตาครุ่นคิดพิจารณา…นางลิซ่าพาลูกสาวเดินเลี่ยงจากไปข้างหลังห้องครัว ส่วนอมลินเห็นว่าจอห์นเพิ่งจะหอบหิ้วกระเป๋าของเขาผ่านขึ้นไปยังชั้นสองทางหางตา
“เอ่อ…คุณมองผม มีอะไรติดหน้าผมหรือเปล่า?”
อมลินถามประหม่า แอรอนกลับหัวเราะ
“หา? เปล่าหรอก ผมแค่…ช่างเถอะ แต่ผมคิดว่า…แค่คิดว่าคุณเหมือนเจ้าชายตัวน้อยๆเลย”
อมลินยิ่งหน้าแดง ไม่รู้เป็นอะไร ต่อหน้าร่างสูงที่สูงกว่าหลายนิ้วนัก คำพูดมันเหมือนหนักขึ้นเป็นกิโลฯ
“เอ่อ…”
“ไม่รู้ซินะ ผมมีทัศนคติของ ‘เจ้าชายตัวน้อยๆ’ ในหัวสมองที่ค่อนข้างแปลกจากชาวบ้านเขานิดหน่อย อย่าโกรธผมเลย แต่เอาเถอะ เข้ามากินอะไรอุ่นๆรองท้องไว้หน่อยซิ ผมเพิ่งเตรียมเสร็จก่อนคุณจะถึงบ้านพอดี”
แล้วเขาก็แอบกระซิบข้างๆ
“เปล่าหรอก ความจริงแล้ว…น้องสาวผมต่างหากล่ะครับที่ทำ”
..............................................................................
เขินจัง...นายเอกนี่มันเรานี่หว่า ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

โปรดติดตามตอนต่อไป