( -_-)* ระยะห่างของความรู้สึก ( -_-)
กรกฎาคม 1 ( -_-)*……
“ ครื้นนนน.......................... เปรี้ยงงงงง...................................... ”
“ หน้าฝนนี่มันน่าเบื่อจริงๆเว้ย.... ฝนแม่งก็ตกอยู่ได้ทุกวัน ”
เสียงฟ้าร้องและเสียงโวยวายของใครบางคนดังมาไล่เลี่ยกันจนทำให้ผมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของผมครับ มันเป็นวันที่ผมตื่นเต้นที่สุดในชีวิตอีกวันนึงก็ว่าได้
เพราะมันเป็นวันที่เราได้เริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในชีวิตอีกครั้งนึงหลังจากที่ผมเรียนจบมหาลัย
จากวันนี้ไปผมจะได้เจอคนใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ และชีวิตใหม่ๆ....
เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ... คงเพราะความรู้สึกแย่ๆที่มันก่อตัวขึ้นอยู่ภายในใจผสมกับความตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้น กว่าจะหลับได้ก็ดึกเต็มที เกือบจะตื่นไม่ทันแล้วล่ะสิ
ดีนะ... ที่เสียงฟ้าร้องมันดังมากจนทำให้ผมสะดุ้งตื่น.....
อ้อ... คงเป็นเสียงโวยวายๆนั่นด้วย เลยทำให้ผมตื่นอย่างเต็มตา
เพราะเสียงนั้นมันดังมาจากด้านหลังห้องผมนี่แหละ...
หลังจากที่ผมเรียนจบ ผมก็หางานทำโดยเริ่มจากการสมัครไปที่เอเจนซี่โฆษณาที่นึงซึ่งเป็นที่ที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเรียนว่าอยากทำงานที่นี่มากๆ เพราะเป็นเอเจนซี่โฆษณาที่ค่อนข้างมีชื่อ
ลืมบอกไปว่า..... ผมเรียนจบสายโฆษณามาครับ
วันที่ผมไปสัมภาษณ์งาน ผมตื่นเต้นมากครับ
แต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี คงเพราะผมเตรียมตัวมาดีด้วย
ผมเอาแฟ้มรวบรวมผลงานที่ผมเคยทำมารวมทั้งงานใหม่ๆที่ผมคิดและรวบรวมมันไว้มาให้เค้าดู
ก็ถือว่าโชคดีครับ... เพราะผมได้งานทำเลยหลังจากไปสัมภาษณ์
และมันก็เป็นงานที่บ่งบอกความเป็นตัวผมได้ดีที่สุด....... ART DIRECTOR
หรือจะเรียกให้คนทั่วไปเข้าใจง่ายๆก็คือ ครีเอทีฟโฆษณา
******************************************
หลังจากที่ผมตื่นนอนผมก็เดินไปที่ระเบียง เอามือยืนออกไปสัมผัสกับเม็ดฝนที่มันกำลังหล่นลงมาจากฟ้าอย่างไม่คิดจะหยุด
แค่เม็ดฝนเม็ดเล็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ผมรู้สึกสดชื่นได้มากขนาดนี้
คงเพราะ.. แม้ฝนแต่ละเม็ดจะเล็กแต่มันก็มีอยู่อย่างมหาศาล.... ต่างก็หล่นลงมาจากฟ้ามากมายจนนับไม่ถ้วน
ไอ้สิ่งเล็กๆนี่แหละ.... ที่สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้....
ผมชอบฤดูฝนครับ เพราะฤดูฝนเป็นฤดูที่ทำให้ผมรู้สึกชุ่มฉ่ำ
คงเพราะภายในใจของผมมันแห้งเหี่ยวเต็มที แต่ก็ได้ความชุ่มฉ่ำจากฝนนี่แหละที่มันทำให้ความเหี่ยวแห้งภายในใจผมมันลดน้อยลงไปบ้าง
ผมชอบนอนฟังเสียงฝนตก อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ผมเหงาและมันก็ยังทำให้ผมมีหวัง
ฟ้าหลังฝนไงคับ... ที่ผมรอคอย
ถึงแม้ว่าผมก็ไม่รู้ว่าฟ้าหลังฝนของผมมันจะสวยงามเหมือนของคนอื่นๆรึเปล่า
แต่มันก็คงยังดี เพราะคนเราอยู่ได้ด้วยการมีความหวัง
และผมก็เช่นกัน.....
จากวันนี้ ผมจะเข้มแข็งให้มากกว่าเดิม
ผมคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว... เพราะใจผมมันให้พี่โฟนไปเสียหมดแล้ว
พื้นที่ในใจผมไม่มีที่ว่างเหลือให้ใครอีก....
ผมคิดอะไรเพลินๆพร้อมกับยื่นมือสัมผัสเม็ดฝนอยู่ที่ระเบียงเพื่อปลุกความสดชื่นในตัวให้ตื่นขึ้นมา
แล้วผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากให้ห้องที่มันอยู่ตรงข้ามกับระเบียงห้องผมดังออกมาอีก
“ ฮัลโหลๆ... เฮ้ยได้ยินยัง!!!.... เออเมิง... วันนี้กูไปสายหน่อยนะ พอดีเพิ่งตื่นว่ะ.... ”
“ ฝนแม่งก็เสือกตกอยู่ได้ทุกวัน... รถคงติดเฮี้ยๆว่ะเมิง... กูคงเข้าสายหน่อย ”
“ กูจะรีบไปแล้วกัน... ”
“ เออ... มาแล้วเมิงก็พาเข้ามาหากูได้เลย ”
“ โอเค.. แค่นี้ๆ ”
ไอ้ห้องที่ระเบียงมันอยู่ตรงข้ามกับห้องผมเนี่ยเป็นคอนโดครับ ท่าทางจะแพงหลายตังค์ ผมไม่มีปัญญาอยู่หรอก
ส่วนห้องผมเป็นแค่อพาร์ทเม้นธรรมดาๆ แต่ก็นับว่าโอเคอยู่เพราะห้องก็กว้างพอสมควร
ประกอบกับมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมในตัว.... แค่นี้ก็หรูแล้วสำหรับเด็กจบใหม่ที่เพิ่งทำงานมีเงินเดือนอย่างผม แต่ที่มันไม่ค่อยโอเคก็คือระเบียงห้องที่แหละ เพราะมันอยู่ใกล้กับระเบียงคอนโดห้องตรงข้ามมากเหลือเกิน แถมยังอยู่ในระดับเดียวกันอีก ยิ่งทำให้ความเป็นส่วนตัวมันถูกตัดทอนลงไป
หลังจากยืนชิวอยู่สักพักนึงผมก็เข้ามาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวสำหรับการไปทำงานวันแรก
พอออกมาจากห้องน้ำ สายตาผมมันก็มองไปที่รูปถ่ายของพี่โฟนที่ผมแปะเอาไว้แบบสะเปะสะปะเอาไว้ที่ข้างฝาห้องตรงโต๊ะทำงาน
ผ่านมาแล้วกว่าเจ็ดเดือน...
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าพี่โฟนไม่ได้ไปไหน เหมือนว่าเรายังอยู่ด้วยกันเหมือนแต่ก่อน
ภาพทุกภาพระหว่างเรายังอยู่ในความทรงจำของผม
มันยังคงชัดเจนเสมอทุกครั้งที่ผมกลับไปนึกถึงมัน
“ พี่โฟนครับ... ผมรักพี่นะครับ... ” ผมพูดกับตัวเองแบบนี้ทุกคืน
แม้ว่ามันอาจจะสายเกินไปที่ผมพูดคำนี้
แต่ผมก็มีความหวังอยู่เล็กๆเสมอว่า….. พี่โฟนจะได้ยินเสียงของผม
ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน... แต่พี่ก็ได้ยินเสียงของผมใช่มั้ยครับ???
หลังจากแต่งตัวเสร็จผมก็เดินลงมาที่หน้าอพาร์ทเม้นเพื่อจะไปทำงาน
ตอนนั้นฝนยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ถ้าเดินไปขึ้นบีทีเอสที่อยู่ถัดไปประมาณสองป้ายรถเมล์ผมคงต้องเปียกโชกทั้งตัวแน่ๆ ผมก็เลยตัดสินใจว่าจะนั่งแท็กซี่ไป
ผมยืนรอแท็กซี่อยู่สักพัก พอเห็นว่ามีแท็กซี่มาผมก็เลยเดินออกมาจากชายคาตึกเพื่อจะโบกแท็กซี่
แต่แล้วในตอนนั้นไอ้รถบีเอ็มที่มันวิ่งอยู่หน้าแท็กซี่คันที่ผมกำลังจะโบกมันวิ่งมาค่อนข้างเร็ว
ทำให้ล้อมันกระแทกกับหลุมตรงถนนที่มีน้ำเจิ่งนองอยู่ ทำให้น้ำกระเด็นมาโดนผมแบบเต็มๆ
ทั้งเสื้อยืดทั้งกางเกงยีนส์ตัวโปรดของผมเปียกไปหมด แถมยังเป็นคราบด้วยเพราะน้ำมันโสสุดๆ
คงนึกภาพออกกันนะครับว่าไอ้น้ำที่มันนองอยู่บนถนนเนี่ย.. มันโสขนาดไหน
แค่เวลาเดินยังไม่อยากจะเหยียบเล๊ย....... แต่นี่.. ไอ้น้ำโสๆนั่นมันเปอระเสื้อผ้าผมไปหมด
ผมโมโหสุดๆอ่ะ... หันไปมองไอ้คนขับก็ไม่เห็นหน้ามัน เพราะรถมันติดฟิล์มซะมืดเชียว
จำได้ก็แค่ป้ายทะเบียน....
“ อย่าให้กูเจอตัวเมิงนะ... กูเอาเรื่องเมิงแน่ๆ.... ”
ผมมองดูสภาพตัวเองแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด คนที่ยืนอยู่แถวๆนั้นก็มองผมด้วยความสมเพชเวทนา
บางคนก็ขำกันอย่างไม่คิดจะเกรงใจผมบ้างเลย
ผมก็เลยรีบเดินกลับขึ้นห้องด้วยความเซ็งกับความซวยที่ตัวเองเพิ่งจะได้เจอ
ซวยตั้งแต่เช้าเลยวันนี้... แล้วจะมีอะไรเจี้ยๆ... เกิดกับกรูอีกมั้ยเนี่ย........
ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร็ว.....
ผมมีเวลาเดินทางเหลือแค่ครึ่งชั่วโมงอ่ะ... กังวลสุดๆเพราะผมไม่อยากไปสายตั้งแต่วันแรก
เฮ้อออออออ... เซ็ง โมโหไอ้เจี้ยนั่นด้วย... เจือกขับรถไม่สนใจคนอื่นเล๊ย....
แม่งเจี้ยจริงๆ.... คิดว่ารวยรึไง... ขับรถเจี้ยๆแบบนี้ แม่งไม่สนใจคนธรรมดาเดินถนนเลยรึไงก็ไม่รู้
รวมๆแล้ว... ไอ้นั่นแม่งเจี้ย.....
สรุปแล้ววันแรกของการทำงาน ผมมาสายไปเกือบชั่วโมงเพราะรถติดสุดๆ ฝนก็ตกยังกับฟ้ารั่ว
ผมเดินทำหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมเข้าไปในออฟฟิตและพยายามมองหาพี่บอส
“ สวัสดีคับพี่บอส ” ผมเดินเข้าไปทักทายพี่บอส
พี่บอสเป็นคนที่สัมภาษณ์ผมเองครับแล้วแกก็เป็นหัวหน้าทีมผมด้วย
พี่บอสแกนิสัยดีมากคับ แกอายุมากกว่าผม 5 ปีเองก็เลยคุยกันได้ไม่ยากนัก
“ สายตั้งแต่วันแรกเลยนะ.... ” พี่บอสพูดด้วยท่าทางที่ไม่ได้ซีเรียสเท่าไหร่
“ คับ... พอดีมีปัญหานิดหน่อยนะคับพี่ เลยมาสาย ” ผมพูดด้วยท่าทีเกรงใจ
“ ไม่เป็นไรหรอก... จริงๆพอทำงานที่นี่ไปได้สักพัก จะเข้าไม่เข้าออฟฟิตที่นี่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรหรอกถ้างานเสร็จตามเวลา ” พี่บอสพูด
“ คับ ” ผมพูด
“ ไป... พี่จะพาไปที่โต๊ะ แล้วเดี๋ยวจะได้พาไปแนะนำกับคนอื่นๆด้วย ”
พี่บอสพูดแล้วก็พาผมไปที่โต๊ะทำงานของผมที่เค้าจัดไว้ให้
จากนั้นพี่บอสก็พาผมไปพบกับเจ้าของบริษัท
“ เฮ้ย... ยุ่งอยู่ป่าวว้ะ? ” พี่บอสพูดหลังจากที่พาผมเข้ามาในห้องทำงานของเจ้าของบริษัท
“ อ้าว... เด็กใหม่เมิงมาแล้วเหรอ? ” คนที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของบริษัทพูดทักทายกลับมา
ผมมองเค้าเต็มๆตาก็ตกใจเล็กน้อย เพราะเค้ายังหนุ่มอยู่เลยและดูท่าจะเป็นเพื่อนกับพี่บอสด้วย
เพราะสองคนนี้ท่าทางสนิทกันมาก
“ นั่งเลยน้อง ” เจ้าของบริษัทพูดพร้อมกับผายมือไปที่เก้าอี้ให้ผมนั่งลงข้างๆพี่บอส
“ คับ... ” ผมพูดแล้วก็ลงนั่ง
“ ฟรอย... นี่พี่ฉิน เป็นเจ้าของบริษัท ” พี่บอสพูดแนะนำ
“ เจี้ย... เมิงก็พูดซะเวอร์... นี่มันบริษัทพ่อกูเว้ย ไม่มีตังค์กูสักบาท ” พี่ฉินพูดกับพี่บอส
“ ครับ... ผม.. ฟรอย.. ครับ ” ผมพูดด้วยท่าทางเกร็งๆ
“ เฮ้ย... ไม่ต้องเกร็ง สบายๆ... ที่นี่ไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากหรอก ” พี่ฉินพูด
“ เจ็งดีหนิ... หน่วยก้านดี เคยได้รางวัลมาด้วยหนิ ”
พี่ฉินพูดพร้อมกับหยิบแฟ้มผลงานของผมมาเปิดดู
“ ครับ ” ผมพูดด้วยท่าทางถ่อมตัว
“ อยู่ที่นี่ก็สบายๆนะ... แต่ขอให้งานเจ็งอย่างเดียวก็พอ ” พี่ฉินพูด
“ เมิงพูดแบบนั้นน้องก็ยิ่งเกร็งกันพอดี ” พี่บอสพูด
“ ก็มันจริงนี่หว่า.... ” พี่ฉินพูด
“ เออๆ งั้นกูออกไปเคลียร์งานก่อนนะ... ” พี่บอสพูดแล้วก็เดินออกไปทิ้งผมไว้กับพี่ฉิน
“ เออ.... ส่วน.. นาย... ก็เต็มที่แล้วกัน ปกติผมไม่ค่อยรับเด็กจบใหม่เท่าไหร่ บริษัทผมเป็นไงคุณก็น่าจะรู้ดี ”
พี่ฉินพูด ใช่ครับผมรู้... ว่าบริษัทนี้มีชื่อเสียงอยู่มากทีเดียว ติดท็อปเท็นของเอเจนซี่โฆษณาในเมืองไทยด้วย
เอเจนซี่นี้ พ่อพี่ฉินเป็นคนสร้างมันขึ้นมาครับ
จากเป็นเอเจนซี่เล็กๆโนเนมจนกลายมาเป็นเอเจนซี่ใหญ่ที่เป็นที่ยอมรับจากในประเทศและต่างประเทศ
เพราะผลงานของที่นี่คว้ามาหลายรางวัลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือระดับโลก
และพ่อพี่ฉินก็เพิ่งให้พี่ฉินเข้ามาดูแลบริษัทอย่างเต็มตัว แต่ท่านก็ยังคงไม่ทิ้งไปซะทีเดียว
เพราะท่านก็ยังคอยดูแลและเป็นที่ปรึกษาของพี่ฉินอยู่
“ ครับ... ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ ” ผมพูด
“ ไม่ใช่จะทำ... แต่นายต้องทำให้ดีที่สุดต่างหาก สิ่งที่คุณสมควรจะรู้ก็คือเวลาเรียนกับเวลาที่ทำงานจริงหนะมันต่างกัน เพราะแบบนี้แหละผมถึงไม่ค่อยอยากรับเด็กจบใหม่ แต่นายดูท่าหน่วยก้านดี แล้วไอ้บอสมันก็พอใจ ก็เลยตกลงรับนายเข้ามา ” พี่ฉินพูด
“ ครับ... ผมจะไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังครับ ” ผมพูด
“ ก็หวังว่านายจะทำได้.. ” พี่ฉินพูด
“ ครับ ” ผมพูด
“ เห็นไอ้บอสบอกว่านายเป็นเกย์เหรอ? ” พี่ฉินถามขึ้นมาหน้านิ่งๆ ผมก็ไม่ได้เป็นคนมีความลับอะไรมากมายแต่ก็ไม่ถึงป่าวประกาศให้ใครรู้ว่าผมเป็นเกย์
“ ครับ ” ผมพูด
“ เปิดเผยแบบนี้ไม่อายใครเค้ารึไง? ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางสงสัย
“ ก็ไม่นี่ครับ เพราะผมก็ไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ ผมบอกแต่คนที่ผมควรจะบอกก็เท่านั้น อีกอย่างผมเป็นเกย์นะครับ.... ไม่ใช่เป็นฆาตรกรฆ่าคนตายถึงต้องไปอายใครหรือทำตัวหลบๆซ่อนๆ ”
ผมพูดไปตามที่ผมคิด
“ ผมไม่เข้าใจเลยนะว่าทำไมเดี๋ยวนี้เกย์มันเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เป็นผู้ชายนี่มันไม่ดีนักรึไง?”
พี่ฉินพูดคล้ายจะเป็นการบ่นกลายๆ
“ เรื่องนี้ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ” ผมพูด
“ ผมบอกตามตรงนะว่าผมไม่ค่อยจะชอบพวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ... อย่าให้มันทำให้งานเสียก็แล้วกัน ระหว่างคุณกับผมก็คงทำงานด้วยกันได้ไม่มีปัญหานะ เพราะผมก็เป็นมืออาชีพพอ แล้วที่นี่เค้าก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันอยู่แล้ว ” พี่ฉินพูด
ผมฟังแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ว่าทำไมเค้าต้องมาตั้งแง่กับผมด้วย ถึงเค้าอาจจะไม่ชอบเกย์คงเพราะเคยเจอแบบที่ไม่ดีมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกย์จะไม่ดีเสียทุกคนไปสักหน่อย
“ ครับ... คนเราก็มีทั้งดีและไม่ดีปนกันไปแหละครับ แล้วก็ไม่ใช่ว่าเพศจะเป็นตัวบอกว่าคนเราดีหรือไม่ดีด้วย ” ผมพูดแบบมีอารมณ์ไม่พอใจปนอยู่บ้าง
“ นายก็พิสูจน์ให้ดูสิ ” พี่ฉินพูดอย่างท้าทาย
“ ก็คอยดูสิครับ ” ผมพูดด้วยเสียงหนักแน่น
“ นายท้าเหรอ.... ก็เอาสิ.. อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นไง ” พี่ฉินพูดด้วยท่าทางนึกสนุก
ภายในแววตานั้นของพี่ฉินมันเจือไปด้วยความน่ากลัวเล็กๆที่ผมก็อดใจสั่นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาไม่ได้
หลังจากจบบทสนทนา พี่ฉินก็พาผมมาที่พี่บอส
“ เดี๋ยวเมิงก็พาน้องค้าไปแนะนำด้วยแล้วกัน เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงนึงจะได้ประชุมเรื่องงานตัวใหม่กัน เพราะลูกค้าจะเข้ามาบรีฟงานกับทางเรา ” พี่ฉินพูดกับพี่บอส
“ โอเค.. ได้ ” พี่บอสพูด จากนั้นพี่ฉินก็เดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
หลังจากนั้นพี่บอสก็พาผมไปแนะนำกับแผนกต่างๆในเอเจนซี่
ซึ่งเยอะจนผมจำใครไม่ได้สักคน มันตีกันไปหมด
แล้วพี่บอสก็เริ่มขอไอเดียผม แล้วก็โยนงานมาให้ผมคิด
ซึ่งก็เป็นงานตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเริ่มวันที่ผมเข้ามาทำงานนี่แหละครับ
***********************************************************
ประเดิมไปก่อนสำหรับตอนแรก....
ของซาวเสียงคนอ่านกันก่อน..
ว่าเป็นไงกันบ้าง
แล้วจะแอบเอามาลงอีกนะครับ...