*^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61  (อ่าน 96079 ครั้ง)

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
มาแล้ว เย้ๆดีใจได้อ่านตอนใหม่
เตสับสนในใจเหรอ ระหว่างให้โอกาศดิมกับเลิกจริงๆ แต่อ่านๆดูเหมือนงอนๆเคืองๆกันมากกว่า
หมอดิมเร่งมือเข้า รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ jpjiraporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :ling1:เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆมาแล้ววววววววๆๆๆๆๆๆรักไรท์เลยๆๆมาบ่อยน่าาๆๆๆรออ่านนะคะๆๆจุ๊บฟๆฟๆหมอสู้ๆๆๆเตๆๆใจอ่อนได้แล้วววว :mew1: :mew1: :-[ :impress2: :กอด1: :z3: :impress2: :z2: :hao5: :katai2-1:

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Hเย้ๆๆมานอนใหม่ละๆๆๆ :กอด1: :mew3:
เตๆๆๆใจอ่อนได้แล้วววววสงสารหมอๆๆรักไรท์มาบ่อยน่าๆๆ :L1: :กอด1: :impress2: :mew2:

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
กรี๊ดดดดดดดดดดดด มาต่อไวๆคาาาาาาาาาา ชอบเรื่องนี้มากกกกกก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน อยากให้ไรท์กลับมาต่อเรื่องนี้ไวๆจังค่ะ

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อให้จบน่าๆๆๆรอน่าๆๆคนดีๆๆๆ :katai4: :katai5: :mew1: :mew1: :katai3: :กอด1: :L2:
ชอบมากๆๆๆๆ :mew4:

ออฟไลน์ nixnix

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาต่อนะคะรออยู่คะ :3123:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...ปล่อย

 

 

 

 

            “อาการของผมดีขึ้นมากแล้ว  และผมก็ต้องดูแลข้าวตังตลอด   ไม่กล้าปล่อยให้อยู่คนเดียว   ก็เลยไม่มีเวลาไปหาหมอตามนัด”   นักเขียนหนุ่มตอบเสียงเรียบเรื่อย   ไม่ยอมมองหน้าคนที่ยืนตั้งใจฟังอยู่ข้างๆแม้แต่น้อย   

            “แล้วคุณข้าวตังทราบหรือเปล่า   ว่าทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล    นายไม่ได้ไปเจอหน้าหมอเลย”   คุณหมอถามราวกับคาดเดาเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง   คนที่โกหกภรรยาว่าไปพบแพทย์แล้วทุกครั้งนั้นเผลอกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ   ฝืนยักไหล่เหมือนไม่แคร์อะไร

            “คุณหมอจะบอกเธอก็ได้  เพราะสุดท้ายแล้วถ้าผมไม่อยากไป  เธอก็บังคับผมไม่ได้หรอก  แม้แต่....”  น้ำเสียงแหบขาดหายไปในลำคอ   แววตาที่สื่อออกมาทำให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดเจนดีโดยไม่ต้องพูดจนจบ

            ....แม้แต่คุณ  ก็อย่าหวังว่าจะบังคับอะไรผมได้....

            “แน่ใจเหรอว่า...ไม่ได้?”  รดิศถาม  เลิกคิ้วน้อยๆ  อะไรบางอย่างในแก้วตาสีเข้มเริ่มแพรวพราวคล้ายกับแววตาของพี่ดิมคนเดิมยามที่กำลังคิดอะไรแผลงๆอยู่ในใจ   เตขยับตัวออกห่างทันควัน

            “จะไปไหน  เรายังคุยกันไม่จบ”   แขกผู้มาเยือนคว้าข้อมือของเจ้าของบ้านเอาไว้อย่างรวดเร็ว  ดึงรั้งไม่ยอมให้เดินหนี

          ติณธรพยายามบิดข้อมือออกจากการฝ่ามือแข็งๆปานคีมเหล็กนั้น แต่ยากเต็มที

            “ถ้าพี่ยังพูดไม่จบ   นายก็ยังไปไหนไม่ได้หรอกตั้งเต”   เสียงนุ่มพูดแกมหัวเราะ    อีกฝ่ายเงื้อมือขึ้นสูง  รดิศจึงยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้  “จะตบเหรอ   ก็ตบสิ..ตบเลย   แต่หลังจากตบแล้วพี่ขอเอาคืนนะ”

            ไม่ต้องบอกว่าจะเป็นการ ‘เอาคืน’ แบบไหน   สำหรับพี่ดิมแล้ว  มันมีสารพัดรูปแบบซึ่งเขาไม่พร้อมเสี่ยงทั้งนั้น   เตลดมือลง   อีกฝ่ายจึงยอมปล่อยมืออีกข้างที่ยึดอยู่แต่โดยดี

            “ก็แค่นี้เอง   โตๆกันแล้ว  ทำไมคุยกันดีๆไม่ได้   ชอบวิ่งหนีให้ต้องตามอยู่เรื่อย   ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ  อายุอานามเลย 20 มาหลายปีแล้วด้วย   ถึงพี่จะยังหล่อเหมือนเดิมก็เถอะ....”  คนฟังแอบเบ้ปากอย่างลืมตัว

            “จะพูดเรื่องอะไรก็รีบๆพูดมาเหอะ  ผมอยากเข้าบ้านจะแย่แล้ว”

          “พี่จะพูดว่า   ถ้านายยังดื้อพาทั้งตัวเองและคนไข้ของพี่ไปเที่ยวเกาะนั่นล่ะก็.....พี่ก็จะตามไปด้วย   นายคงรู้นะว่าถ้าพี่ไปด้วย.....มันจะเป็นทริปที่สนุกแค่ไหน”

          “หึ.....เอาเลย  ตามใจ   อยากไปก็ไปสิ   เคลียร์ตารางงานให้ได้ก่อนเถอะนะ  แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้”  เตสะบัดเสียงด้วยความหมั่นไส้เต็มเหนี่ยว   ความใกล้ชิดและท่าทีคุ้นเคยทำให้เขาหลุดท่าทางของ ‘น้องตั้งเตของพี่ดิม’  สมัยก่อนออกมา   มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ตามไปแน่นอน   ก็คุณหมอแบบพี่ดิมน่ะ....งานยุ่งจะตายไป

            “เดี๋ยวก็รู้...นายเลือกแล้วนะ   แล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียใจทีหลังล่ะ”

          “ใครกันแน่...ผมไม่เคยร้องไห้ขี้มูกโป่งนะ   มีแต่พี่นั่นแหละ   เอะอะๆอะไรนิดๆหน่อยๆก็เซนซิทีฟ   น้ำตาไหลพรากแล้ว”   คนพูดย่นจมูก

            “ใช่สิ...ก็พี่แคร์เรามากนี่   คนที่แคร์มากกว่าก็เจ็บมากกว่าอย่างนี้แหละ”     

            “แล้วใครบอกว่าผมไม่เจ็บ...”  น้ำเสียงแหบสวนกลับ...จากนั้นต่างก็นิ่งไปทั้งคู่  คล้ายเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอย้อนความทรงจำครั้งเก่าขึ้นมาพูดอีกแล้ว   ดูเหมือนว่ามันไม่เคยจางหายไปไหนเลย....อดีตในครั้งนั้น

            บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิทนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง   หัวใจทั้งสองดวงเต้นแรงอยู่ใต้แผ่นอก  ถามตอบอยู่ในความเงียบผ่านกระแสตาที่จ้องสบอยู่อย่างเผลอไผล   ไม่มีใครรู้ว่าคนทั้งคู่สื่อสารว่าอะไร  นอกจากดวงจิตของพวกเขาเองที่รู้กันเพียงสองคน..

            “คุณพ่อ   คุณลุง  กลับมาแล้วคร้าบ”   บรรยากาศเงียบงันคล้ายมีมนตร์สะกดถูกทำลายลงด้วยเสียงสดใสของเด็กชายวัยย่างเข้า 9 ขวบ  เต้เดินแกมวิ่งเข้ามาภายในบ้านผ่านประตูรั้วที่ไม่ได้ใส่กลอน   มีภาคย์เดินตามเข้ามาด้วย   ดวงตาเรียวเล็กจับตามองคนทั้งคู่อย่างสนใจ

            เจ้าของบ้านหนุ่มขยับตัวออกห่างจากแขกอีกหนึ่งก้าว

            “กลับมาแล้วเหรอครับ...เป็นไงบ้างเจ้าเต้  ซัดอะไรไปบ้างฮึ”  เตถามภาคย์ ก่อนจะเสหลบสายตาเพ่งพิศของอีกฝ่ายไปถามลูกชายแทน   เด็กชายยิ้มกว้างส่งขวดแก้วบรรจุนมถั่วเหลืองมาให้บิดา

            “กินไปนิดเดียวเอง   นี่เต้ซื้อนมมาฝากคุณพ่อด้วย”

            “รีบเบี่ยงประเด็นเชียวนะ   ไปเรา  เข้าบ้านไปล้างมือก่อน”   นักเขียนหนุ่มรีบรุนหลังเด็กน้อยเข้าไปภายในบ้านทันที    ไม่เหลือบมองมายังใครอีกคนหนึ่งแม้แต่แวบเดียว 

            “คุณเตเผ่นเข้าบ้านไปเสียแล้ว....  นี่ครับคุณหมอ  ผมซื้อมาฝาก”   ภาคย์ส่งกาแฟเย็นมาให้นายแพทย์หนุ่มรับเอาไว้ 

            “ขอบคุณมากครับ”   บอกขอบคุณเรียบๆ  ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ   ความกระอักกระอวนบางอย่างทำให้ทั้งสองคนไม่อาจสบตากันได้เต็มที่นัก

“เรา...ง่า...เข้าไปในบ้านกันเถอะ” 

รดิศลอบถอนหายใจเบาๆ  เดินตามอีกคนเข้าไปภายในบ้านหลังนั้น   เด็กชายเต้เข้ามาชวนเขาขึ้นไปดูของสะสมข้างบนบ้าน    เขามองเจ้าของบ้านเป็นเชิงขออนุญาตอย่างเกรงใจ    หญิงสาวหนึ่งเดียวรีบพูดขึ้น

“คุณหมอขึ้นไปได้เลยค่ะ  ห้องเต้อยู่ติดกับห้องของตังเอง   เอ้อ...เอากาแฟเย็นมาก็ได้ค่ะ  เดี๋ยวตังเอาใส่ถ้วยขึ้นไปให้  จะได้ทานสะดวก”

“ไม่เป็นไรครับ  เกรงใจ”  ถึงเขาจะบอกอย่างนั้น  ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ยังรับถุงกาแฟเย็นไปจัดการเองอยู่ดี  นายแพทย์หนุ่มเดินตามแรงจูงของเด็กชายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างเรียบร้อย  กระจุ๋มกระจิ๋ม  ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหมดทุกมุม

ภายในห้องนอนของเด็กชายเต้ไม่รกรุงรังอย่างที่คิดเอาไว้   เต้เป็นเด็กผู้ชายที่มีระเบียบมากทีเดียว  โมเดลหุ่นถูกวางเรียงเอาไว้แยกกับรถของเล่นและหนังสือการ์ตูนอย่างเป็นสัดส่วน    เตียงเดี่ยวกลางห้องก็ปูผ้าคลุมเอาไว้สะอาดสะอ้านน่านอน    ผนังห้องมีวอลเปเปอร์สีอ่อนและโปสเตอร์การ์ตูนแปะเอาไว้

“โอ้โฮ  นี่เต้จัดห้องเองเลยหรือเปล่า   ห้องสวยมาก”  คุณหมอพูด  เดินไปหยุดที่โต๊ะอ่านหนังสือ   กรอบรูปสามอันวางเรียงอยู่  ภายในนั้นประกอบด้วยบุคคลสามคน  พ่อ  แม่ ลูก  ตั้งแต่เด็กชายตรงหน้ายังเป็นเด็กทารกตัวแดงก่ำในอ้อมแขนของเต    ถัดมาเป็นเด็กน้อยในชุดอนุบาลยืนจับมือแม่เบะปากร้องไห้  และภาพสุดท้ายเป็นภาพเดี่ยวของเจ้าของห้องยืนถือเกียรติบัตรยิ้มร่า

“นี่ได้รางวัลอะไรนะครับ”    เขาก้มลงไปอ่านตัวอักษรบนเกียรติบัตรที่ตั้งอยู่ข้างๆกรอบรูป

“รางวัลเรียงความยอดเยี่ยมฮะ”   เต้พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

“เก่งจัง   ลุงไม่เคยได้รางวัลอะไรแบบนี้เลย”   เขาชมจากใจจริง   “สมกับที่พ่อเตเป็นนักเขียน”

“จริงๆ  พ่อช่วยเต้เขียนนิดหน่อยน่ะ  ฮ่าๆ”   เต้สารภาพ  พลางหัวเราะ  ประตูห้องนอนถูกเคาะเบาๆ  ก่อนที่จะเปิดออก  ใบหน้าเรียวหวานของเจ้าของบ้านฝ่ายชายโผล่เข้ามา

“...เอ่อ   ผมเอาเครื่องดื่มมาให้ครับ”  เตพูดเสียงเบา  ส่งแก้วมาให้แขกรับเอาไว้  มันอุ่นร้อนจนคนรับแปลกใจ  ก้มลงดูก็เห็นเป็นน้ำชาสีสวยไม่ใช่กาแฟเย็นอย่างเดิม  รดิศเลิกคิ้ว....ใครบางคนคงจำได้ว่าเขาไม่ชอบดื่มกาแฟ...

“พอดีกาแฟมันหก  ผมเลยขอเปลี่ยนเป็นชาแทน  คุณคงไม่ว่าอะไรนะครับ”   คนยกมาให้พูดหน้าตาเฉย   อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ  ตอบเสียงเรียบพอกัน

“พอดีผมชอบดื่มชามากกว่ากาแฟเสียด้วย   ขอบคุณสวรรค์ที่คุณบังเอิญทำมันหกพอดี” 

“..................”  เตไม่ตอบ   เขาถอยหลังกลับแล้วปิดประตูห้อง  เดินลงบันไดอย่างใจลอยจนเกือบชนกับร่างสูงโปร่งที่ยืนรออยู่ที่ปลายบันได

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า  หน้าซีดชอบกล  หรือว่าจะเป็นลม?”   ภาคย์ถามด้วยความเป็นห่วง   ติณธรส่ายหน้าส่งยิ้มให้บางๆ

“เปล่าครับ  ไม่ได้เป็นอะไร   คุณภาคย์จะกลับแล้วหรือครับ”   เขามองกุญแจรถในมืออีกฝ่ายงงๆ   ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ครับผม  ขอโทษด้วยนะฮะ  ดันมีประชุมต่ออีกนิดหน่อย  นางแบบที่จะไปด้วยเกิดปัญหาขึ้นมาก็เลยต้องเปลี่ยนตัวกะทันหัน   ผมก็เลยต้องเข้าบริษัทไปคุยเอง   ยังไงเรื่องต้นฉบับของคุณก็ส่งให้คุณโดมเหมือนเคยนะครับ   คอลัมต์ใหม่ที่ผมอยากให้คุณลองเขียนดู  ก็ช่วยรับเอาไว้พิจารณาด้วย   ผมเชื่อมือคุณ”  พูดคุยเรื่องงานอีกนิดหน่อย  เจ้าของบ้านก็ไปส่งแขกที่หน้าบ้าน  โบกมือให้เจ้านายคอยจนไฟท้ายรถลับสายตาจึงเดินกลับเข้ามา 

เวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย  คนทั้งคู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับลงมาจากห้องเสียที  เจ้าของบ้านหนุ่มจึงขึ้นไปตามที่ห้อง  เคาะประตูแล้วเปิดออกอย่างแผ่วเบา   ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้

ร่างสูงสมส่วนของชายหนุ่มนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นข้างเตียง  มีหมอนใบเล็กหนุนศีรษะท่าทางกำลังหลับสนิท  ขณะที่ลูกชายของเขานอนกลิ้งอยู่บนเตียง  ในมือยังถือหุ่นโมเดลค้างเอาไว้....คงจะเล่นกันจนง่วงหลับไปทั้งคู่

เตถอนหายใจยาว  สืบเท้าเบี่ยงหลบร่างที่นอนขวางอยู่เข้าไปหยุดยืนใกล้ๆเตียงนอน  เอื้อมมือไปหยิบหุ่นโมเดลออกจากมือของลูกชาย   พลางจัดท่านอนให้สบายขึ้น   จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่ร่างเหยียดยาวของใครอีกคน 

ใบหน้าคมเข้มดูเหนื่อยอ่อนแม้ยามหลับใหล   รอยย่นระหว่างคิ้วจางหายไปเล็กน้อย  ทว่าก็ยังเห็นได้อยู่   ริมฝีปากบางเฉียบเม้มนิดๆคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่อย่างลึกซึ้ง   เสียงลมหายใจแผ่วๆเป็นจังหวะดังเบาๆพอได้ยิน

เจ้าของบ้านทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  ....อยากปลุก  แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก.... เขานั่งเท้าคางมองหน้าคนหลับอยู่นานทีเดียว   ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยับตัวและลืมตาขึ้น 

เตเห็นภาพเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในแก้วตาใสแจ๋วของอีกฝ่ายชัดเจน

“เอ้อ....ผมกำลังจะปลุกคุณพอดี”   เขาพูดอึกอัก  กระถดตัวถอยห่างไปนิดหนึ่งแล้วรีบลุกขึ้นยืน   อีกฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายเพ่งพิศ   แล้วยื่นมือมาให้เขา พูดเสียงออด

“ช่วยดึงผมลุกขึ้นทีสิ”   เตก้มลงมองฝ่ามือหนาตรงหน้า   นิ่งไปนิดเดียวเท่านั้นก็ส่งมือกลับไป  รดิศกระชับมือของเขาเอาไว้แน่น  ก่อนจะออกแรงดึง   เหนี่ยวตัวลุกขึ้นจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนที่พื้นขึ้นมายืนเต็มความสูง   แรงดึงและน้ำหนักตัวทำให้คนฉุดเซไปเล็กน้อย    วงแขนแข็งแรงจึงโอบเข้ามาแนบอก

“ปล่อยผม”  กระซิบกับไหล่แข็งแรงกำยำนั้น   ได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มๆสั่นสะเทือนผ่านแผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตที่แนบใบหน้าอยู่ 

“.............”   แขนข้างนั้นรัดเอวของเขาแน่นขึ้น แวบเดียวก็คลายออก  ปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ  คุณหมอหนุ่มขยับจะพูดอะไรสักอย่าง   แต่แล้วก็คล้ายจะเปลี่ยนใจ   ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือแทน

“ผมคงต้องขอตัวกลับแล้ว   ขอโทษด้วยที่มาเผลองีบในบ้านคุณ   มัน....เพลียๆเหนื่อยๆบอกไม่ถูก”   คนพูดยกมือขึ้นลูบใบหน้า  แล้วบิดตัวไล่ความเมื่อยขบจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น   ออกเดินนำออกมาจากห้องนอนของเด็กชายโดยมีเจ้าของห้องเดินตามออกมาด้วยเงียบๆ

ร่างบอบบางของน้องสาวนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาชั้นล่างจนชายหนุ่มไม่อยากจะปลุกเธอขึ้นมา   เขาเดินไปส่งแขกที่หน้าบ้าน   ตลอดทางไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มสนิทนั้นเลย 

รดิศลอบมองดูอีกฝ่ายเป็นระยะ    เขาหยุดเดิน  แล้วหันมายืนประจันหน้ากัน   แสงแดดแผดกล้าด้านบนทำให้ต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นบังแดดให้อีกคนด้วยความเคยชิน

“ผมกลับก่อนนะ    อย่าลืมไปหาหมอด้วยล่ะ   ถ้าผมได้ยินว่าคุณเบี้ยวนัดหมออีกล่ะก็....ผมจะเป็นคนพาคุณไปรพ.ด้วยตัวเอง”  พูดเสียงเข้ม   รอยยิ้มในตอนแรกจางหายไปเหลือไว้แต่แววเคร่งขรึมในดวงตา   ดิมเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายเข้ามายืนในร่มต้นไม้

“คุณเต  ผมขอพูดอะไรสักอย่าง ....ผมรู้ว่าที่คุณไม่ดูแลตัวเองเป็นเพราะคุณต้องการประชดผม....”

“ไม่ใช่...”

“อ่ะ  อย่าเพิ่งขัด .... พี่รู้ว่านายโกรธพี่..”  เขาเปลี่ยนมาใช่สรรพนามเดิม “และพี่ก็รู้ว่านายรู้...ว่าพี่ยังรักนายอยู่” คนฟังเม้มปากแน่นกว่าเดิม  รู้สึกใบหน้าร้อนขึ้นมาจากคำพูดที่ออกมาง่ายๆตรงๆของอีกฝ่าย “พี่ไม่ปฏิเสธหรอกนะเพราะพี่ไม่ชอบหลอกตัวเอง....ถ้าพี่รักก็คือรัก  เกลียดก็เกลียด  แต่ก่อนที่พี่ทำรุนแรงกับนายก็เพราะพี่โกรธ...โกรธตัวเองที่ตัดใจจากนายไม่ได้เสียที   พี่ก็เลยไปลงกับนายเอาแบบนั้น   พี่ขอโทษด้วยนะ  ไม่รู้ว่าพูดครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ...”  หัวเราะเบาๆ  คล้ายอ่อนใจตัวเอง

ขณะที่คนฟังยืนนิ่ง  เงียบสนิท

“ถ้านายไม่ยกโทษให้พี่   ก็ไม่เป็นไร  นายจะทรมานพี่ด้วยวิธีไหนก็ได้  พี่ไม่เกี่ยงทั้งนั้น แต่พี่ขออย่างเดียว  อย่าเอาสุขภาพของนายมาล้อเล่นแบบนี้เลย   มันไม่สนุกหรอกนะ...”  เสียงของพี่ดิมแหบพร่าลง   ไหล่ที่เคยตั้งตรงกลับลู่ลงคล้ายคนหมดแรง  “พี่เข้าใจแล้วว่าตอนที่พี่นอนโรงพยาบาลตอนนั้นนายรู้สึกยังไง   พี่เสียใจที่ปล่อยให้นายต้องเผชิญความรู้สึกแบบนั้นเพียงลำพัง   ตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว   เวลาที่เห็นนายเจ็บป่วยไม่สบาย...คนที่รู้สึกเหมือนจะตายมันคือพี่เอง   เต  ใจมันร้อนรุ่มไปหมด...”

“กลับไปเถอะ”  ประโยคแรกที่ลอดผ่านริมฝีปากของคนฟังออกมา  ทำเอาคนพูดชะงัก   แววเสียใจปรากฎขึ้นในดวงตาคมกริบ   “คุณเข้าใจผิด...ผมไม่ได้ใช้ความเจ็บป่วยของตัวเองมาประชดหรือแก้แค้นอะไรคุณ   คุณไม่ได้สำคัญอะไรกับผมมากขนาดนั้นหรอก...คุณหมอ”

“เต...”  รดิศครางในลำคอ

“ถ้าผมทำอะไรลงไปให้คุณเข้าใจผิดว่าผมยังมีความรู้สึกอะไรกับคุณอยู่  ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วย  ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ   และไหนๆเราก็พูดเปิดอกกันมาถึงตอนนี้แล้ว   คุณคงไม่โกรธถ้าผมจะบอกว่าผมไม่อยากให้คุณมาที่นี่อีก”

“ไม่โกรธ....พี่ไม่มีทางโกรธนายได้หรอกเต”   ดิมพูดแผ่วเบา   

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว    อ้อ   ส่วนเรื่องที่คุณหมออยากจะตามไปที่เกาะด้วย  ผมคิดว่าก็คงจะดีเหมือนกัน   ถ้าอย่างนั้นคุณหมอก็รีบเคลียร์งานนะครับ   แล้วพบกันใหม่ครับ”   ติณธรก้มศีรษะลง  แล้วหันหลังเดินจ้ำกลับเข้ามาภายในบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับไปมองอีก   

ได้ยินเสียงประตูรถปิด   ทิ้งช่วงไว้นานราวกับวัดใจก่อนที่รถจะถูกสตาร์ทแล้วขับออกไป...

...อย่าหันกลับไปนะเต   แววตาเจ็บปวดแกมตัดพ้อของเค้าทำให้ใจสั่นจนแทบจะอ่อนยวบ  หลอมละลายลงไปกองกับพื้น   อยากหันกลับไปโผเข้ากอดเสียเดี๋ยวนั้น

‘ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรเต   ประชดพี่เหรอ....พี่เข้าใจแล้วว่าตอนที่พี่นอนโรงพยาบาลตอนนั้นนายรู้สึกยังไง   พี่เสียใจที่ปล่อยให้นายต้องเผชิญความรู้สึกแบบนั้นเพียงลำพัง....’

เสียงนุ่มๆยังตามมาหลอกหลอนแม้ว่าเขาจะกลับขึ้นมาบนห้องของลูกชายแล้วก็ตาม   เอื้อมไปหยิบแก้วเซรามิคที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ขึ้นมาดู    ยังมีน้ำชาเหลือติดก้นถ้วยนิดหน่อย   เขากำหูถ้วยชาเอาไว้แน่น

...ยังก่อน   ยังไม่ถึงเวลา....

ขณะที่ใครอีกคนที่ขับรถจากมาก็กำพวงมาลัยเอาไว้แน่นเช่นกัน   แต่นั่นยังไม่เท่าความรู้สึกในหัวใจของเขา  ที่เหมือนถูกบีบจนเหลือเล็กนิดเดียว 

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  เขาหยิบหูฟังขึ้นมาใส่  เหลือบดูชื่อคนที่โทรมาอีกรอบ  คิ้วเข้มขมวดมุ่น

.....วิรัล.....

เขากดรับสาย

“สวัสดีครับ...รัน”

...................................................................................

“ใครลืมอะไรอีกหรือเปล่า   เต้เอากระเป๋าไปใส่รถเลยลูก   พี่เตล่ะคะ...ขาดอะไรอีกมั้ย”  ข้าวตังหันมาถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงสดใส  มือก็ช่วยจัดของใส่ในท้ายรถเก๋งคันใหญ่ของภาคินที่มาจอดรอรับที่หน้าบ้านตั้งแต่เช้า  เพื่อเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกัน   

“เอ...คิดก่อนนะ  กระเป๋าสองใบ  ขนม...ยา  อ้อ...ยาของเธอเอามาครบแล้วหรือยัง”  หญิงสาวเปิดกระเป๋าที่สะพายอยู่กับตัวให้เขาดู

“เอามาแล้วค่ะ   แล้วยาของพี่เตล่ะคะ”

“เออจริง  พี่ลืมของพี่เองแหละ  คุณภาคย์ครับ  ผมขอกลับขึ้นไปเอายาก่อนนะฮะ  ครู่เดียว”   เขาตะโกนบอกเจ้าของรถที่นั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว 

“ได้ๆ  ผมไม่รีบ  เอาให้ครบนะคุณเต”

ชายหนุ่มกลับเข้าไปภายในบ้าน   ขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตนเอง   หยิบกระเป๋าบรรจุของส่วนตัวรวมทั้งยาที่วางลืมทิ้งเอาไว้บนโต๊ะขึ้นมาถือเอาไว้   เดินสำรวจทั่วบ้านอีกรอบว่าไม่หลงลืมอะไรเอาไว้อีก  ใส่กลอนหน้าต่างประตูทุกบานครบถ้วนจนวางใจก็กลับมาที่รถ

ก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับภาคย์ในตอนหน้า  ให้หญิงสาวนั่งคู่กับเด็กชายด้านหลัง

“ไม่ลืมอะไรแล้วนะ  เต้ลืมอะไรมั้ย  ลุงจะออกรถแล้วนะ”  คนขับหันมาถามย้ำกับทุกคน  จากนั้นออกเดินทางไปยังจุดหมายที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่สามอาทิตย์ที่แล้ว    เตหันไปถามหญิงสาวคนเดียวด้วยเสียงอ่อนโยน

“นั่งสบายไหมตัง  หรือว่าจะมานั่งข้างหน้าได้ปรับเบาะเอนลงได้”  เธอส่ายหน้า  ยิ้มกว้าง

“ตรงนี้สบายดีแล้วค่ะพี่  พี่เตนั่นแหละ  ปรับเบาะถอยลงมาอีกก็ได้ค่ะ  จะได้ไม่แคบไป”

“คุณลุงหมอจะไปกับพวกเราด้วยไหมครับคุณพ่อ”  คนเป็นพ่อชะงักจากการปรับเบาะ   เมื่อลูกชายตัวดีเอ่ยปากถามถึงใครอีกคนที่เขาไม่พบหน้าเลยในช่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา   แม้ว่าจะพาข้าวตังไปพบตามนัดเมื่อวาน  พอหมอตรวจเสร็จก็รีบไปเข้าเคสผ่าตัดต่อทันที   คล้ายกับว่าอีกฝ่ายต้องการหลบหน้าเขา  ไม่ก็ไม่ต้องการพบกันอีกแล้ว

“คุณลุงหมองานยุ่งค่ะลูก  ไปไม่ได้ค่ะ”  มารดาหันไปตอบแทน  ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กชายเบาๆ อย่างเอ็นดู  สบตากับคนที่นั่งข้างหน้าผ่านกระจกก็ขยายความต่อ “หมอดิมบอกตังตอนที่ไปตรวจเมื่อวานค่ะ”   เตพยักหน้าเนิบๆ ท่าทางไม่ใส่ใจมากนัก

“เอ  แล้วแบบนี้คุณหมอดิมอนุญาตให้คุณตังไปใช่ไหมครับ  ผมเริ่มกังวลแล้วนะ”  ภาคย์หันมาถามยิ้มๆ

“อนุญาตสิคะ  หมอบอกว่าตังอาการดีจนแทบจะเป็นปกติแล้วค่ะ   เหลือแค่ต้องกินยาต่อเท่านั้นเอง  ไม่ได้มีอะไรมาก  อ้อ  ได้ยินมาว่า คุณหมอจะกลับอเมริกาแล้วนะคะ   ก็เลยงานยุ่งมากๆเพราะต้องรีบเคลียร์งานก่อนกลับไป”

“อ้าวเหรอครับ   หมายถึงกลับไปแล้วจะไม่มาไทยอีกเลยหรือฮะ  หรือว่าแค่กลับไปเรียนต่อ..”  คนขับถามด้วยความประหลาดใจ  เช่นเดียวกับคนที่นั่งข้างๆที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ...ข้าวตังไม่เคยเล่าให้เขาฟังมาก่อนเลยเรื่องนี้....

“น่าจะไปอยู่เลยนะคะ  อันนี้ตังไม่ได้ถามคุณหมอเอง   ได้ยินคุณพยาบาลเขาเม้าท์กันน่ะค่ะว่าคุณหมอจะเตรียมแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่อเมริกา”

“แต่งงาน?   จริงหรือครับนี่....แต่งกับใครล่ะครับ  หมอรันเหรอ”

“อันนี้ตังก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ   ไม่ได้ถามต่อ   คุณหมอก็บอกตังแค่ว่าจะส่งเคสตังกลับไปตรวจติดตามกับคุณหมอธนพลแทนน่ะค่ะ”

ติณธรหูอื้อไปเสียแล้ว   เขาจ้องเขม็งไปยังถนนเบื้องหน้าทว่าภาพรถราที่ปรากฏแก่สายตาหาได้เข้าผ่านเข้าสู่สมองส่วนรับรู้ไม่   ...พี่ดิมจะแต่งงาน  ย้ายกลับไปอเมริกาแล้ว  พี่ดิมจะแต่งงาน...

แล้วเรื่องของเราล่ะ?  ไหนพี่ดิมเคยบอกว่าอยากอยู่ดูแลเราไง?  ตอนนั้นเขาก็ยกเลิกแพลนกลับอเมริกาไปแล้วนี่

ก็เราเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่า  อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกไม่ว่ากรณีใดๆ  เราดูแลตัวเองได้?

ไม่ใช่!....มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันสักอย่าง   เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนพี่ดิมยังจะเป็นจะตายอยู่เลย  ทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจเสียแล้วล่ะ   เราไม่เชื่อ....

“พี่เต..พี่เตคะ   หน้าเครียดเชียว   ปวดฉี่หรือเปล่า   แวะปั้มน้ำมันข้างหน้ามั้ย”  เตสะดุ้ง  ส่ายหน้าปฏิเสธเร็วๆ

“เปล่าจ้ะ  พี่คิดเรื่องงานเพลินน่ะ    มีใครปวดฉี่หรือเปล่าล่ะ  แวะก็ได้นะ”   เขาหันไปถามลูกชายกับสารถี   ทั้งคู่ปฏิเสธ   จึงขับเลยผ่านปั้มน้ำมันนั้นไปเสีย   

“คุณเตไม่ต้องกังวลเรื่องคอลัมต์ใหม่ที่เราคุยกันไว้นะครับ  ผมสบายๆอยู่แล้ว  ถ้าคุณไม่สบายใจจะไม่เขียนก็ได้นะฮะ  ไม่ว่ากัน”

“ผมขอลองเขียนดูก่อนดีกว่าครับ  ถ้าติดขัดยังไงค่อยคุยกันอีกที   เห็นคุณภาคย์ว่าที่นั่นมีนักเขียนประจำอยู่แล้วด้วยหรือครับ”

“ครับผม  เขาเป็นคล้ายๆนักเขียนของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นน่ะฮะ  เขียนโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวอะไรทำนองนี้  เขาคงจะช่วยแนะนำคุณได้    แต่ถึงอย่างไรงานหลักของคุณก็ยังเป็นการสัมภาษณ์นักอนุรักษ์ปะการังที่เราจะไปเจอกันนะครับ   เรื่องคอลัมต์ท่องเที่ยวผมยังเป็นแค่ไอเดียเฉยๆ”

“ผมก็อยากลองเปลี่ยนแนวเขียนดูบ้างเหมือนกันครับ   เขียนแต่บทสัมภาษณ์มานานแล้ว”   นักเขียนหนุ่มตอบยิ้มๆ   พูดคุยเรื่องงานต่ออีกครู่ใหญ่  หันกลับไปอีกที  ผู้โดยสารทางด้านหลังก็หลับสนิทกันไปทั้งคู่   ภายในรถเงียบจนเขาเกิดความอึดอัดขึ้นมาวูบหนึ่ง 

เจ้าของรถหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ  ทำลายความเงียบนั้นราวกับรู้ใจ

‘....มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง  แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา  ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน...’  เสียงนักร้องคลอดนตรีลอดผ่านเครื่องเสียงชั้นดีของรถออกมาไพเราะ

เตเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนคลื่นวิทยุเป็นช่องอื่นทันควัน   เจ้าของรถเหลือบตามองแทนคำถาม

“อยากฟังเพลงฝรั่ง”  นักเขียนหนุ่มพึมพำ  มือก็กดไล่เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ครู่ใหญ่กว่าจะพบเพลงที่ถูกใจ   เป็นเพลงยุคเก่าสมัยที่เดอะบีทเทิ้ลกำลังดัง   เขาถอนหายใจยาว   เอนตัวไปนั่งพิงพนัก

“ไม่ยักรู้ว่าคุณชอบฟังเพลงแนวนี้ด้วย  เก่ามากทีเดียว”

“ผมฟังได้ทุกแนว  ไม่ได้มีอะไรชอบเป็นพิเศษหรอกครับ”  ตั้งเตตอบเรียบๆ  หลับตาลง  คนขับลอบมองเสี้ยวหน้าเรียวหวานผ่านกระจกมองหลัง    เห็นขนตายาวทาบทับบนผิวแก้มซีด   คิ้วคู่นั้นยังคงขมวดน้อยๆ  ดูเหมือนว่ามันไม่เคยคลายออกได้เต็มที่เลยสักครั้ง

“แล้วคุณเตชอบไปทะเลไหมครับ....เหมือนผมจะเคยถามคุณแล้ว  ตอนที่เรามาประชุมด้วยกันตอนนั้น  แต่คุณยังไม่ได้ตอบ”

เปลือกตาคู่นั้นสั่นเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ลืมตาขึ้นมา  คนฟังเงียบไปนานราวกับคิดใคร่ครวญถึงคำตอบ

“ผมเคยชอบทะเล...ชอบมาก   แต่...นั่นมันเมื่อก่อน”  คำพูดหายไปในลำคอนานจนคนฟังเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะผล็อยหลับไปแล้ว

ภาคย์อาศัยช่วงรถติดไฟแดง เอื้อมมือไปหยิบเสื้อแจ็กเก็ตของตนเองมาคลุมให้คนนั่งข้างๆอย่างอ่อนโยน   ลอบมองใบหน้าของคนหลับเงียบๆ....อีกนานแค่ไหนกัน  เขาจะตัดใจจากผู้ชายคนนี้ได้เสียที   หรือว่ามันไม่มีวันนั้น?.....

หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเดียวกัน  แม้ว่าคนในความคิดคำนึงจะเป็นคนละคน ...เพลงๆนั้นทำให้เขาคิดถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีก   ความคิดของคนเราก็น่าแปลก  ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่  กลับยิ่งจำได้ดีขึ้นเท่านั้น   ไม่ยักเหมือนเวลาที่เราอยากจำ.....บางทีความทรงจำบางอย่างก็ไม่ต้องใช้ความพยายาม   มันเกิดขึ้นและฝังอยู่ตรงนั้นไปอีกนานแสนนานราวกับไม่มีวันจางหาย   คล้ายกับรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าเก่าๆที่ซักไม่ออก

ชายหนุ่มเผลอหลับไปจริงๆด้วยความเหนื่อยอ่อน และตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อคนขับเขย่าตัวปลุกเบาๆ

“ถึงแล้วคุณเต....คุณตัง  เต้ลูก  ตื่นได้แล้ว  ถึงแล้วครับ”




ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk





             ภาพเบื้องหน้าทำให้นักเขียนหนุ่มใจเต้นแรง   สะพานทอดที่มีเรือจอดเรียงอยู่สองฟาก ทอดยาวออกไปยังเวิ้งน้ำทะเลสีฟ้าคราม   คลื่นลมสงบขณะที่แสงแดดจากเบื้องบนสาดส่องลงมาแรงกล้าจนเห็นประกายระยับแดดสะท้อนอยู่บนเกลียวคลื่น   นกนางนวลบินเล่นลมอยู่ไกลๆเห็นเป็นจุดสีขาวกลางท้องฟ้า

“โอ้โห  สวยจังเลยค่ะ”  หญิงสาวหนึ่งเดียวอุทานออกมา  เธอเปิดประตูรถลงไปยืนคนแรก  ตามด้วยลูกชายและเต   

“ที่เกาะสวยกว่านี้อีกครับ  เดี๋ยวเราต้องนั่งเรือข้ามไป”  ภาคย์หันมาพูดกับเธอยิ้มๆ   พลางส่งหมวกให้ใส่บังแดด 

“ขึ้นเรือตรงนี้เลยหรือเปล่าครับ   แล้วเราจอดรถทิ้งเอาไว้หรือเอารถไปด้วยครับ”   นักเขียนหนุ่มหันมาถาม  ปิดแววตื่นเต้นเหมือนเด็กๆเอาไว้ในแววตาไม่มิด  คนเห็นยิ้มกว้าง

“จอดรถเอาไว้ที่ฟากนี้ครับ  มีคนเฝ้าอยู่เป็นคนรู้จักของผมเอง  ส่วนเรือข้ามฟาก เราต้องรอทีมงานก่อนครับ  เขาจะมาบ่ายๆจะได้ข้ามไปด้วยกันทีเดียว  ระหว่างนี้เราหาอะไรทานแล้วก็เดินเล่นกันก่อนได้ฮะ”  ภาคย์พูด   เตหันไปช่วยน้องสาวหิ้วกระเป๋า  อีกมือก็จูงมือลูกชายเอาไว้   เดินตามร่างสูงเพรียวข้ามถนนไปยังอีกร้านอาหารติดชายฝั่งทะเลที่มองเห็นอยู่ใกล้ๆนั้น

อาหารทะเลสดๆทำให้ทุกคนเจริญอาหารมากทีเดียว  แม้แต่เตที่กินไม่ค่อยลง  ก็ยังอุตส่าห์เติมข้าวเป็นจานที่สอง   นั่นทำให้คนพามายิ้มแก้มแทบปริด้วยความดีใจ

“อร่อยไหมครับคุณเต   อิ่มหรือเปล่า  เติมข้าวอีกมั้ย”

“อิ่มมากๆเลยฮะ คุณภาคย์  ของที่นี่สดจริงๆ”  เตพูด  หันไปตักปูใส่จานลูกชาย  “ตังเอาอีกมั้ย”  ไม่ลืมถามน้องสาวที่นั่งอมยิ้มอยู่ตรงข้ามกัน

“อิ่มสุดๆ  ต้องขอบคุณคุณภาคย์มากๆเลยนะคะ  ตังไม่ได้กินมานานแล้ว”

“นี่ถ้าข้ามไปที่เกาะ  ได้ยินว่ามีหอยนางรมสดขึ้นชื่อเลยฮะ   ไม่ทราบว่าคุณตังกับคุณเตทานของดิบหรือเปล่า   แต่ผมรับรองว่าหวานยังงี้เลย  ไม่ควรพลาดเด็ดขาด”  ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งขึ้นมา

“ตังไม่ทานหอยดิบอ่ะค่ะ”  ข้าวตังพูดเสียงอ่อยๆ  เช่นเดียวกับเตที่พยักหน้ารับ

“อ้าวเหรอครับ   กลัวพยาธิใช่มั้ยฮะ  โธ่  เสียดายจัง  แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมเอาไปลวกแล้วกินเป็นยำแทน ดีไหมครับ”

“เยี่ยมเลยค่ะ  ตังอยากกินยำแซ่บๆ....อ้าว  นั่นหมอรันหรือเปล่าคะนั่น”   หญิงสาวอุทานอย่างแปลกใจ  สายตาจดจ้องไปทางด้านหลังซึ่งเป็นทางเข้าของร้านอาหารแห่งนี้   เตเหลียวไปมองตาม  เห็นร่างเล็กบางในชุดลำลองก้าวเข้ามาภายในร้านอาหารพร้อมกับมองซ้ายขวาราวกับหาใครสักคน

เป็นวิรัลจริงๆ ไม่ผิดแน่...

“เอ๋  จริงด้วย  หมอรันมากับใครนะ”  ภาคย์ถามแผ่วเบา   ราวกับพูดกับตนเอง   ประโยคคำถามที่ทุกคนต่างสงสัยถูกเฉลยเมื่อร่างสูงล่ำสันของใครอีกคนเดินตามเข้ามาภายในร้าน   ผู้ชายคนนั้นเดินไปแตะแผ่นหลังของกุมารแพทย์นิดหนึ่ง  ก่อนจะพาเดินเข้าไปยังอีกด้านของร้านคนละฝั่งกับที่พวกเขานั่งกันอยู่   ท่าทางสนิทสนมและบุคลิกโดดเด่นของทั้งคู่ดึงดูดสายตาของคนครึ่งร้านให้หันไปมอง

“หมอดิมนี่นา....ไหนว่าไม่ว่างมา”

คำถามของข้าวตังช่างตรงกับใจของเขาเหลือเกิน ...เตคิดในใจ  พร้อมกับประโยคบอกเล่าที่ดังขึ้นในหัวเองโดยไม่ต้องมีใครพูดซ้ำ

‘.....คุณพยาบาลเขาเม้าท์กันน่ะค่ะว่าคุณหมอจะเตรียมแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่อเมริกา....’


 “เอ๊ะ หรือว่าคู่นี้เขาจะแต่งกันจริงๆคะ”  หญิงสาวพูดขึ้นเบาๆ  เหลือบมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามอย่างเกรงๆ ก็เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยเป็นปกติของพี่ชาย  ไม่แสดงอารมณ์ใดๆเหมือนเคย  ชายหนุ่มเอื้อมมือไปตักปลานึ่งใส่จานให้น้องสาว

“กินอีกหน่อยสิตัง”   เขาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา 

“อิ่มแล้วค่ะพี่เต   เอ้อ  คุณภาคย์ละคะ  ทานอีกมั้ย”  เธอหันไปถามคนนั่งข้างแทน  จำใจละหัวข้อสนทนาเดิมเอาไว้เพียงเท่านั้น เพราะไม่มีใครสานต่อ

เสร็จจากมื้ออาหาร ภาคย์พาทุกคนมาเดินเล่นรับลมที่ริมชายหาดระหว่างรอทีมงานที่เพิ่งเดินทางมาถึงรับประทานอาหารกลางวันให้เรียบร้อยก่อน

“ตอนแรกเห็นกรมอุตุฯบอกจะมีพายุ กลัวว่าจะอดไปแทบแย่  ที่ไหนได้ไม่เห็นจะมีเลย”  หญิงสาวปรารภออกมา  เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  แทบไม่มีเมฆสักก้อนเดียว   “ฟ้าใสดีออก   อุ้ย พี่เตดูฝรั่งตรงนั้นสิคะ.....”

ชายหนุ่มแทบไม่ได้ฟังที่น้องสาวพูด  เขาเดินเคียงข้างเธอไปบนชายหาด พยักหน้ารับคำเออออไปตามเรื่อง  ในใจเขากำลังครุ่นคิดถึงใครบางคนที่คงกำลังรับประทานอาหารอยู่อย่างเอร็ดอร่อยภายในร้านอาหารนั่น...บรรยากาศดีๆกับคนรู้ใจ....หึ

ถ้ามีคนมาถามว่าระหว่างภูเขากับทะเล ชอบอะไรมากกว่ากัน  เขาก็คงจะตอบได้ทันทีแบบไม่ต้องลังเล  เช่นเดียวกับคำตอบของผู้ชายคนนั้น...ห้วงคิดคำนึงย้อนเกลียวคลื่นกลับไปยังอดีต   ภาพนักศึกษาสองคนเดินจูงมือกันบนชายหาดยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา...น่าสมเพชจริงๆ

“พี่เตคะ  คุณภาคย์โบกมือเรียกเราแล้วค่ะนั่น   คงจะเสร็จกันแล้ว  เราไปขึ้นเรือกันดีกว่าค่ะ”  เสียงของหญิงสาวข้างกายทำเอาเกือบสะดุ้ง

“จ้ะ”   เดินตามหลังน้องสาวที่จูงมือเด็กชายย้อนกลับไปยังท่าเรือ  ร่างที่เขาจำแม่นติดใจก็ผ่านแวบเข้ามาในสายตาพร้อมกับคนที่มาด้วย   ทั้งคู่เดินหยุดคุยกับภาคย์อยู่ข้างเรือที่จะใช้ข้ามฟาก   เตชะลอฝีเท้าอย่างจงใจ

“พี่เต เร็วสิคะ  เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าเหนื่อย?”  ข้าวตังหันมาถามอย่างงงๆเพราะจู่ๆพี่ชายก็เดินช้ากว่าปกติ   อีกฝ่ายส่ายหน้า 

“เอ้อ  พี่ลืมกระเป๋าอีกใบเอาไว้ในรถ ขอกลับไปเอาก่อนนะ”  นักเขียนหนุ่มเลี้ยวเปลี่ยนทางเดินเสียดื้อๆ  เขาเดินแยกไปอีกทาง

“อ้าว  ...ก็ได้ค่ะ  งั้นเดี๋ยวตังไปบอกคุณภาคย์ให้รอก่อน”   หญิงสาวทำท่ากังวลเล็กน้อย   เธอมองเห็นพี่ชายเดินลับไปทางที่จอดรถอยู่   

ตั้งเตสาวเท้าเร็วกว่าปกติ   เขาโกหกน้องสาวเรื่องมาเอาของเพราะจู่ๆเขาก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียเฉยๆ  ไม่พร้อมเผชิญหน้ากับทั้งสองคนนั่นตอนนี้   เดินกลับมาถึงรถแล้วจึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่มีกุญแจรถ 

สะบัดมืออย่างหงุดหงิด  เขาไม่อยากยอบรับกับตัวเองเลยให้ตายเถอะว่าตนเองกำลังรู้สึกผิดหวังกับการกระทำของคนๆนั้น   เพราะเขาคาดหวัง...ก็เลยผิดหวัง

ที่พี่ดิมพูดมาว่าอยากดูแลเขา  บางทีมันคงเป็นแค่ความสำนึกผิดของคนที่ยังมีมนุษยธรรมอยู่ก็เป็นได้   มีแต่เขาเองที่คิดเข้าข้างตัวเองไปว่าพี่ดิมยังรักเขาอยู่   เคยนึกอย่างย่ามใจด้วยซ้ำว่าพี่ดิมจะต้องตามมาทะเลด้วยแน่ๆ  ซึ่งอีกฝ่ายก็ตามมาจริงๆ...พร้อมกับผู้ชายคนนั้น

ชายหนุ่มกำมือแน่น เงยหน้าขึ้นสูง  หวังว่าน้ำตาที่เริ่มเอ่อมาที่ขอบตาจะไหลย้อนกลับไปได้บ้าง   สักนิดก็ยังดี

ครู่หนึ่งเขาจึงค่อยเดินกลับมาตามทางเดิม   ที่ท่าเรือยังมีผู้คนเดินขวักไขว่   ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเขาโบกมือเรียกให้  ติณธรกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณเร็วๆ  ไม่พบร่างของนายแพทย์ทั้งสองก็ลอบถอนหายใจ

“คุณเต  ไปไหนมาครับเนี่ย  ไปเร็วครับเรือจะออกแล้ว คุณตังกับน้องเต้ขึ้นเรือไปก่อนแล้วครับ”  ภาคย์พูด  ถือวิสาสะจับที่ข้อศอกของเขาเป็นเชิงพยุงช่วยให้ก้าวข้ามลงไปในเรือ   ก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะกระโดดตามลงมาด้วยอย่างคล่องแคล่ว   เตหันไปช่วยทีมงานอีกคนยกขากล้องเข้ามา  เรือที่โคลงน้อยๆตามระลอกคลื่นทำเอาเขาเสียหลักไปนิดหนึ่ง  คนข้างๆรีบคว้าเอวเอาไว้ทันไม่ให้หงายหลังลงไป

“ระวังครับคุณเต”  ภาคย์พูดยิ้มๆ แล้วปล่อยมือจากช่วงเอวของเขา   เตกล่าวขอบคุณเสียงเบา   รู้สึกแปลกๆกับการตกเป็นเป้าสายตาของทีมงานทั้งหลายที่ร่วมเห็นเหตุการณ์อยู่   เขาขอตัวเข้าไปหาภรรยาและลูกชายที่อยู่ด้านในแทน 

เรือออกจากท่า แล่นสู่ผืนทะเลกว้างโดยมีจุดหมายคือเกาะที่เห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล

หญิงสาวกับเด็กชายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว  ข้าวตังนอนนิ่งหลับตา ดูออกว่าคงจะเมาเรือเข้าแล้ว  ส่วนเด็กชายเต้ก็นั่งจ่อยาดมให้มารดาอยู่ข้างๆ เตตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆน้องสาว ยกมือขึ้นแนบหน้าผากเนียนที่มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มนั้นอย่างเป็นห่วง

“เป็นไงบ้างตัง  ไหวมั้ย”  หญิงสาวพยักหน้า

“ดีขึ้นหน่อยแล้วค่ะ เมื่อกี้อาเจียนเอาอาหารออกมาหมดเลย  เสียดายจังค่ะ” เธอพูดเสียงอ่อย   ชายหนุ่มหัวเราะ

“แน่ะ ยังจะมีอารมณ์เสียดายอีก  เดี๋ยวขากลับเราแวะกินใหม่อีกรอบก็ได้น่า”  ติณธรเสยผมให้น้องสาว  “รอก่อนนะเดี๋ยวพี่จะไปขอยาแก้เมาเรือมาให้”

หญิงสาวยื่นมือมาจับที่ท่อนแขนของเขา  มือของเธอเย็นเฉียบ

“ขอบคุณนะคะพี่เต”

ชายหนุ่มส่งยิ้มให้นิดหนึ่งแล้วผละจากมาตามหา   เขาเจอโดม รุ่นพี่ร่างใหญ่ที่เป็นบก.ของเขา  โดมยิ้มทักเขาอย่างสุภาพกว่าปกติ ก่อนจะแนะนำหญิงสาวข้างกายด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน    ตั้มยิ้มกว้างนึกเดาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้โดมแนะนำว่าสาวน้อยร่างอวบหน้าสวยเก๋คนนี้คือใคร

“ง่า...เต  นี่น้องแพมนะ  เป็นรุ่นน้องพี่เอง  ก็เท่ากับเป็นรุ่นน้องของนายด้วยน่ะนะ...เอ่อ  น้องเขามาฝึกงานกับพี่อยู่   คือ....นั่นแหละ  แฟนพี่เอง”  พี่โดมจบประโยคด้วยใบหน้าแดงจัด  ขณะที่น้องแพมหัวเราะเสียงใสอย่างเขินๆยกมือขึ้นไหว้เขาแบบเด็กดีมีสัมมาคารวะ

เตรับไหว้พลางแนะนำตัวเองบ้าง   แล้วก็ขอตัวจากมาเพราะเดาได้ว่าทั้งคู่คงอยากจะมีเวลาร่วมกันเพียงสองคน   เขาดีใจกับพี่โดมด้วยใจจริง  สายตาของทั้งคู่บ่งบอกถึงความสุขในใจโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นวาจา   ทั้งน่าอิจฉาและน่าชื่นชมไปพร้อมๆกัน 

แววตาที่พี่โดมมองหญิงสาวมันมีแววอะไรอย่างหนึ่งที่เขาเคยเห็นจากในแววตาของพี่ดิมเมื่อหลายปีก่อน   แวววิบวับที่ทำให้ใจละลายเหมือนถูกไฟลนทุกครั้งที่สบตากัน

ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่ทราบ  เขาเดินอ้อมกราบเรือมายังอีกฝั่ง  เจอภาคย์กำลังนั่งคุยกับทีมงานกลุ่มใหญ่กันอยู่อย่างสนุกสนาน   หันมาเห็นเขาเข้าพอดีจึงลุกเดินมาหา

เตรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาอีกเกือบสิบคู่ที่มองมายังตนเองกับ ‘บอส’ ไม่น้อย  ปกติเขาทำงานอยู่ที่บ้าน ร้อยวันพันปีถึงจะเข้าบริษัทร่วมประชุมด้วยสักทีหนึ่ง  นอกจากพี่โดมกับช่างภาพและทีมงานอีกสองสามคนแล้ว  เขาก็ไม่สนิทกับใคร   ส่วนภาคย์....แน่นอนว่าทุกคนต้องรู้จักเขา  ก็เขาเป็นทั้งเจ้าของบริษัท  เป็นคนจ่ายเงินเดือนทุกเดือนแถมยังเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าท่าทางมีเสน่ห์  เป็นที่หมายปองของทั้งสาวใหญ่สาวน้อยและหนุ่มเก้งกวางบ่างชะนีในสำนักพิมพ์ทุกคน   ไม่แปลกที่จะเริ่มมีคนสงสัยปนหมั่นไส้ในความสัมพันธ์ของพวกเขา

“มีอะไรหรือเปล่าคุณเต    หน้าซีดๆ  เอ๊ะ หรือว่าเมาเรือ?”  เจ้านายของเขาถาม  ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกกับสายตาแปลกๆของเหล่าพนักงานที่เริ่มเหล่มองมาเลยสักนิด

“ผมไม่ได้เมาหรอกครับ แต่ตังน่ะสิฮะ  เมาเรือหนักเลย  คุณภาคย์พอจะมียาแก้เมาไหมครับ  ...ผมเอายามาหมดแต่ดันลืมยาแก้เมาเรือเสียได้”

“ผมพอมีติดกระเป๋าอยู่  รอสักครู่นะครับ”  เตไม่ยอมรออยู่ตรงนี้แน่  เขาเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปข้างในด้วย   ภาคย์เดินไปยังที่วางสัมภาระของเขา ก้มลงค้นหาของในเป้ใบใหญ่ครู่หนึ่งก็หยิบถุงซิปล็อคที่ภายในบรรจุยาเอาไว้หลายแผงปนๆกัน  เขาหยิบออกมาดูชื่อยาอย่างมึนงง

“เอ๋  อันไหนละเนี่ย  ผมไม่ได้กินนานแล้วก็เลยใส่รวมกันมั่วๆ  กรรมล่ะ”  เตรับไปดู  เขาอ่านชื่อยาที่เป็นภาษาอังกฤษออก  ทว่าไม่เข้าใจสรรพคุณที่บรรยายอยู่บนนั้นเลยสักประโยคเดียว  ดูเหมือนมันจะเป็นภาษาเฉพาะทางการแพทย์ 

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ  เอ  หรือกินพาราฯไปก่อน”

“พาราฯ ไม่ใช่ยาวิเศษรักษาได้ทุกโรคนะครับคุณตั้งเต...”  เสียงทุ้มกวนประสาทดังขึ้นจากด้านหลังจนคนทั้งคู่สะดุ้ง   เจ้าของเสียงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ส่งยิ้มมาให้ทั้งเขาและภาคย์  เตสบตาคู่นั้นแวบเดียวก็เมินหลบ   นึกหงุดหงิดอยู่ในใจ

“อ้าว  หมอดิม มาพอดีเลยฮะ  คุณตังเมาเรือมากครับ  นี่ผมกับคุณเตกำลังหายาไปให้เธออยู่”

“ผมทราบแล้วครับ  เข้าไปดูอาการให้เธอเมื่อครู่ แล้วก็จัดยาให้เธอทานแล้วเรียบร้อย  ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”  รดิศตอบยิ้มๆ   ภาคย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ขอบคุณมาครับ  โชคดีจริงๆที่คุณหมอมาด้วย  แล้วนี่หมอรันไปไหนเสียแล้วละครับ”  ภาคย์ถามยิ้มๆ  แสร้งเหลียวซ้ายแลขวามองหาผู้ชายอีกคนที่ขึ้นเรือมาพร้อมกับกัน 

รดิศเหลือบมองคนที่ยืนข้างภาคินแวบหนึ่งแล้วยิ้มมุมปาก

“กำลังตามหาอยู่เหมือนกันครับ  ไม่รู้แอบไปเล่นที่ไหน”  น้ำเสียงเอ็นดูที่นายแพทย์หนุ่มใช้ทำให้ใครบางคนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม

“เซอร์ไพรซ์มากเลยที่เจอหมอกันกับหมอรันที่นี่   เห็นคุณตังบอกว่าคุณหมอไม่ว่าง” 

“พอดีเคลียร์งานเสร็จเร็วกว่ากำหนดนะครับ  แล้วรันเขาก็อยากมาเที่ยวทะเลอีกสักครั้งก่อนไปนอก  ผมก็เลยตามใจเขาเสียหน่อย”

“ก่อนไปนอก?   แปลว่าข่าวที่คุณหมอจะย้ายไปอเมริกาก็เป็นความจริงสิครับ”  ภาคย์ย้อนถามอย่างประหลาดใจ   อีกฝ่ายยิ้มรับ

“ครับ  ผมจะกลับอเมริกาแล้ว  ทางโน้นขอให้กลับ  แล้วเขาก็มีทุนให้ผมทำวิจัยต่อด้วย  คงจะอยู่อีกยาว”

“น่าเสียดายจังนะฮะ..คุณหมอเก่งๆแบบคุณ...แต่ผมเข้าใจนะ  ที่ไหนโอกาสดีกว่าก็ย่อมดึงดูดใจมากกว่า  คนเราก็ต้องการความก้าวหน้าในชีวิตอยู่แล้ว”   ภาคย์ลดเสียงลงคล้ายปรารภกับตนเอง   ขณะที่คิ้วเข้มของคนฟังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย   ก่อนที่จะคลายออกกลายเป็นรอยยิ้มที่สร้างความหมั่นไส้ให้แก่คนมอง

“ครับ...คนเราย่อมต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองด้วยกันทั้งนั้น   คุณว่าไหม คุณเต?”  เขาหันไปถามคนที่ยืนฟังการสนทนาอยู่เงียบๆ  เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของทั้งสองสบกัน 

“ก็เป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามอยู่แล้วนี่ครับ”  เขาไหวไหล่นิดหนึ่ง  “...ความจริงถ้าคุณหมออยู่ที่นี่ต่อยังจะแปลกเสียกว่า”

“แปลว่าคุณเห็นด้วยที่ผมจะไปงั้นสิ”  เสียงของคุณหมอเข้มขึ้น  พอๆกับแววตาคมเข้มที่เริ่มขุ่นมัว

“ความเห็นของผมมีผลต่อการตัดสินใจของคุณหมอด้วยหรือครับ   ถ้าไม่...ผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบ”  คิ้วเข้มขมวดฉับ  ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงขึ้นอย่างเก็บอาการไม่อยู่   คนพูดมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย  ต่างตรงที่แก้วตาดำวาววับคู่นั้นกลับวูบไหวน้อยๆคล้ายมีคลื่นอารมณ์ลมพัดผ่าน   เบาบางจนแทบสังเกตไม่เห็น

“ผมขอตัวไปดูอาการของข้าวตังก่อนนะ”  ติณธรหลบสายตาขุดค้นคู่นั้นไปอย่างสงบ  เขาหันหลังเดินออกมาเพื่อกลับไปยังห้องเดิมที่ทิ้งหญิงสาวเอาไว้   ข้าวตังนอนราบอยู่บนเตียงสนาม  มีลูกชายตัวดีนั่งจ๋องอยู่เป็นเพื่อนข้างๆผู้ชายร่างเล็กหน้าหวานอีกคน   เตชะงักไปเล็กน้อย   พอดีกับที่หญิงสาวลืมตาขึ้นมา

“พี่เต....ตังได้ยาแล้วค่ะ  หมอดิมกับหมอรันมาดูให้เมื่อกี้”  เธอเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กุมารแพทย์ที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะเลยมายังเขา

“อ้อ...ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ”  เตพูดเสียงต่ำ   “ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนคุณหมอแล้วล่ะครับ  เชิญพักผ่อนเถอะฮะ  เดี๋ยวผมดูแลแม่เจ้าเต้ต่อเอง”

“ไม่รบกวนอะไรหรอกครับ....นอนหลับสักพักเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเองนะฮะ คุณตัง....ง่า  น้องเต้  อาหมอขอยืมตัวคุณพ่อครู่นึงได้ไหมครับ”   จู่ๆคุณหมอเด็กก็หันไปถามเด็กชายเอาดื้อๆ   เต้พยักหน้ารับทันควัน

“ได้ครับ”

“เดี๋ยวก่อนคุณหมอ  คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือ”   ‘คุณพ่อ’ถามงงๆ

“เรื่องสำคัญน่ะครับ  ผมขอเวลาคุณเตสักครู่ได้ไหมครับ?”   

เตอยากปฏิเสธ  เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณหมอหน้าเด็กคนนี้อีกแล้ว  รังแต่จะทำให้เขาอึดอัด ไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก   ทว่าอีกใจหนึ่ง  เขาก็อยากรู้เหมือนกัน   ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องสำคัญอะไรนักหนาถึงกับต้องขอคุยกับเขาสองคน

รันพาเดินเลาะกาบเรือมายังอีกฝั่งหนึ่งที่มีคนพลุกพล่านน้อยกว่า    ภาพเกาะและชายฝั่งมองเห็นใกล้เข้ามาทุกที   เตจับราวเหล็กเอาไว้  มองเหม่อออกไปยังทะเลกว้าง  ขณะที่คนข้างๆหันหลังให้ภาพวิวทิวทัศน์นั้นเสีย  แล้วมองหน้าเขานิ่งแทน

“มีอะไรหรือคุณหมอ”  นักเขียนหนุ่มทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด

“คุณเต....ผมขอไม่อ้อมค้อมละกันนะ   ผมกับพี่ดิมกำลังจะไปอเมริกากัน  คุณพ่อของผมท่านติดต่อกับทางโน้นด้วยตัวเอง  ขอทุนวิจัยให้พี่ดิมได้สำเร็จ  แต่มีข้อแม้ว่า…พี่ดิมจะต้องแต่งงานกับผม”   วิรัลพูดรวดเดียวจบราวกับกลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนใจ   เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายก็เห็นเพียงปลายขนตายาวงอนที่สั่นพลิ้วตามกระแสลมเท่านั้น 

“แล้วคุณมาบอกผมทำไม?”  เสียงแหบถามขึ้นเบาๆ

“ผม....ผมแค่ไม่มั่นใจ... คุณเต   ผมเคยทำผิดต่อคุณและพี่ดิมมามาก...คิดว่าคุณคงรู้อยู่แล้ว   ผมละอายต่อทั้งพี่ดิมและคุณ ที่พ่อของผมเอาอนาคตของพี่ดิมมาผูกกับเงื่อนไขบ้าๆแบบนี้  คุณเต...”

“คุณก็คุยกับคุณพ่อของคุณสิครับ  ถ้าคุณรู้สึกละอายจริงๆละก็...”   อดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกไปตามที่คิด..

“แต่มันก็เป็นอนาคตของพี่ดิม..ทุนวิจัยที่เขาฝันถึง   งานวิจัยที่จะช่วยต่อชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจ   ไม่รู้สิ...ผมไม่รู้จะทำยังไง”  กุมารแพทย์จบประโยคอย่างอ่อนล้า  เขายกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหน้าของตนเอง

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาตัดสินใจ...หมอดิมเขาว่าอย่างไรบ้างละครับ”  เสียงคนพูดสะดุดนิดหนึ่งคล้ายริมฝีปากแห้งผากขึ้นมากะทันหัน  วิรัลเงยหน้าขึ้น ยิ้มน้อยๆ

“เขาตกลงครับ  ...นั่นแหละที่ทำให้ผมยิ่งไม่สบายใจ   คุณเต   ผมทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่ดิม   ผมถึงลำบากใจ....เอ้อ   จะพูดอย่างไรดี”  รันพึมพำ  บีบมือของตนเองไปมา

“ความจริงไม่เห็นต้องเอาผมเข้าไปเกี่ยวเลยคุณหมอ...ก็ในเมื่อทั้งคุณและหมอดิมตกลงใจแล้ว   ผมก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับการตัดสินใจครั้งนี้  มีแต่จะร่วมยินดีด้วยเท่านั้นเอง  อย่าคิดมากเลยฮะ....จริงอยู่ว่าผมกับคุณหมอดิมเราเคยเป็น...คนรักกันมาก่อน  แต่ผมขอยืนยันนะว่าแค่ ‘เคย’ เท่านั้น”    เตพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

วิรัลมองเขานิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้าง  ยกมือขึ้นตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ

“ขอบคุณนะครับคุณเต...ได้ยินแบบนี้ผมก็สบายใจ   คราวนี้ผมไปคงอีกนานมากๆกว่าจะได้กลับมา  หรือบางทีอาจจะไม่ได้กลับมาเลยนอกจากมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว...แล้วผมจะแวะไปเยี่ยมคุณนะครับ”   

“ครับผม  อ้อ  ยินดีด้วยอีกครั้งนะฮะ...โชคดีครับ”

“แล้วผมจะส่งข่าวมานะ”  วิรัลพูดเป็นประโยคสุดท้าย

นักเขียนหนุ่มรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเดินจากไปแล้ว   เหลือเพียงเขาที่ยืนเกาะระเบียงเรือ จ้องหน้าออกไปมองผืนน้ำสะท้อนแสงแดดระยิบระยับเบื้องหน้า  ...แดดตรงนี้แรงเสียจนแสบตาไปหมด..เขาคิดขณะที่นัยน์ตาทั้งสองข้างเริ่มพร่ามัว

ของเหลวใสหยดหนึ่งร่วงลงต้องหลังมือของเขาที่กำราวระเบียงเหล็กเอาไว้แน่นจนข้อนิ้วซีดขาว   ก่อนที่หยดอื่นๆจะตามมา    ชายหนุ่มเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากลำคอ   ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาแรงๆ

บ้าชะมัด...บ้าที่สุด... อย่าบอกนะว่านี่คือเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่

เพื่อมาบอกเราเรื่องนี้น่ะหรือ?

………………………………………………………………………



มาอัพต่อแล้วจ้าาา  ขออภัยที่หายไปนาน

มีใครรอเรื่องนี้อยู่บ้างคะ

เม้นท์โหวตเป็นกำลังใจให้เราเขียนจบหน่อยเต้อะ  รู้สึกกำลังใจหดหาย555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Peterpanss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราตามเรื่องนี้อยู่นะคะ แต่พอยิ่งตามเรายิ่งรู้สึกเนื้อเรื่องเริ่มหมดความน่าสนใจ คือเราไม่รู้คุณพยายามจะสืออะไรเกี่ยวกับปมความรักของดิม เต รัน รึป่าว เพราะอ่านถึงตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่พัฒนาอะไรขึ้นมาเลย มีแต่วนอยู่ที่เดิมซ้ำไปมา ไม่ได้รู้สึกได้ว่าที่เขียนมาจนถึงตอนนี้มันน่าติดตามต่อ คงต้องขอหยุดตามเรื่องนี้นะคะ ถ้าเห็นคอมเม้นนี้แล้วทำให้เกิดความรู้สึกแง่ลบก็คงต้องขอโทษไว้ตรงนี้นะคะ แค่อยากฝากไว้ ถ้ามันปรับหรือแก้ได้ให้มันไม่ดูพายเรือในอ่างเราก็รู้สึกยินดีด้วยค่ะ เพราะเราเสียดายเนื้อเรื่องที่คุณปูมาช่วงแรกๆจริงค่ะ

ออฟไลน์ Naam3

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :3123: :pig4: :ling1: :mew6: :sad4:รอๆๆสงสารๆๆๆมาต่อน่าๆๆ :katai5: :mew4: :m20:

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
เตเป็นคนที่ย้อนแยงนะ ต้องการอะไรกันแน่นะ พอเขาดีก็ผลักไสพอเขาจะไปก็สาดเสียเทเสียว่าผิดคำพูด ถามจริงต้องการอะไรเหรอ? เราเป็นดิมเราก็ไปนะ จะทนกับคนที่พูดให้เจ็บช้ำตลอดเวลาไม่เห็นแม้กระทั่งความหวังดีไปเพื่ออะไร? สมควรออกจากวังวนนี้เสียทีอาจเจ็บมากแต่คงดีกว่าทนกับคนแบบนี้

ตามมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าเตต้องการอะไร? ทั้งๆที่น้องก็บอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว จะอะไรอีก นิยมความเจ็บปวดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็จมไปคนเดียวเถอะ เรื่องทั้งหมดเราว่าดิมไม่ผิดอะไรเลยนะ เตตัดสินใจเองทั้งนั้น

เฮ้ออ เอาเถอะเราเม้นยาวเลย หวังว่าจะมีหนทางออกจากลูปเดิมๆนี้นะ และเราขอร้องเลย เตจะเป็นยังไงก็ช่าง ให้ดิมออกมาเถอะ ขอบคุณคับ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1006
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตามจ้าตาม..อย่าเพิ่งปล่อยมือกันนะ   :กอด1: :L1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เหมือนใกล้จะเคลียร์กันแล้ว แต่ทำไมต้องห่างกันอีกแล้วล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ยกมือรายงานตัวคนรออ่านพี่ดิมกับเตคร่าาาาา

รอนานนนนนนมากกกกกก.  แต่ก้อยังรออยู่นะ

นึกว่าพี่ดิมจะเดินหน้าง้อเตเดี่ยวๆหนักๆต่อไป

ทำไมวนเอาหมอรันมาผูกติดอีกอ่ะ

แล้วเตจะเข้าใจผิด เสียใจ มีทิฐิต่อไหม

หรือบรรยากาศเกาะสวาทหาดสวรรค์จะเป็นใจให้กลับมาคืนดีกัน

5555 ไม่อยากเดา.  รออ่านต่อเนอะ

 :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:

....

.

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
อย่ามาถาม ความเห็น จำเป็นไหม
ก็แล้วแต่ ตามหัวใจ อยากไปถึง
จะมาถาม เอาอะไร ถ้าดื้อดึง
สุดแต่ใจ ไม่คำนึง คิดถึงกัน

ไม่มีใคร ได้อะไร ไปทุกอย่าง
ต้องได้บ้าง ยอมเสียบ้าง ห่างความฝัน
ถ้าเลือกเขา ก็ต้องทิ้ง ปล่อยมือกัน
เลือกอะไร ได้อย่างนั้น มันความจริง

ถ้าคุณเลือกอนาคตที่คิดว่าจะก้าวไกล
ก็ต้องยอมปล่อยอีกมือ ทิ้งมันไว้..ไม่ต้องแคร์

ไม่มีอะไรที่จะได้อย่างที่ใจเราต้องการไปซะหมด
ได้อย่างก็ต้องเสียอีกอย่างนะ

เข้าใจนะหมอ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง
จะเอาหมดเลย..หราาาาาาาาา
หุหุ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ พ.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากกกกกกกกกกกก มาต่อให้จบด้วยนะคะ จะรอ  :mew1:

ออฟไลน์ nixnix

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รออ่านอยู่นะค่ะ  :3123:

ออฟไลน์ T_TARS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
กว่าตั้งเตจะรู้ตัว มันจะสายเกินไปหรือเปล่า รอติดตามอยู่ฮะ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เห็นบอกรัก จะดูแล  แต่ แล้วก็จะไปเรียนต่อ และแต่งงาน ก่ะจะไป ? งง 55 ตังพอหาย จากป่วย จะตัดใจ ทำไมไม่บอก เต ไปเลย บอกจะช่วย ช่วยตรงไหน นังรัน ไหนว่ายอมแพ้  กลับมา ทำซาก? หรือ ทุกอย่าง คือ แผน ???

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
เพราะหัวใจบอกว่า...เรา

 

 





            “คุณเตอยู่ตรงนี้นี่เอง....เอ๊ะ  นั่นคุณเป็นอะไรไป  ร้องไห้ทำไมครับ”  ภาคย์แกล้งถามด้วยน้ำเสียงตกใจ   ยิ่งผู้ชายตรงหน้ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแรงๆ  เขาก็ยิ่งเป็นห่วง   ชายหนุ่มแตะมือบนไหล่เล็กบางเบาๆ    เตส่ายหน้า

          “ไม่ได้ร้องครับ  ตรงนี้ลมมันแรงเลยแสบตา  เอ่อ...นี่เราใกล้ถึงเกาะแล้วหรือยังครับ”  นักเขียนหนุ่มเปลี่ยนเรื่องทันควัน   เขยิบถอยห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย   เสมองออกไปยังชายฝั่งที่มีเรือจอดเห็นอยู่ไม่ไกลนัก

            ภาคย์ลอบถอนหายใจ   เขาเดินมาทันได้ยินบทสนทนาระหว่างเตกับคุณหมอเด็กเมื่อครู่เข้าพอดี   เห็นเหตุการณ์ตลอดแม้กระทั่งตอนที่ไหล่ลาดตั้งตรงค่อยๆลู่ลงจนเกือบงองุ้ม  คล้ายคนหมดแรง  ก่อนที่ไหล่บางจะสั่นน้อยๆ ใบหน้าก้มต่ำซ่อนหยดน้ำตา  ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้ความเจ็บปวดของอีกฝ่าย  ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

            และเขา...ภาคย์ คนนี้ก็ทำได้เพียงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น....คำปลอบใจของเขา   ไม่มีประโยชน์สำหรับคนๆนี้ 

            “ใกล้ถึงแล้วครับ ไม่เกิน 15 นาที  คุณเตไปเตรียมตัวเถอะครับ  เก็บสัมภาระให้พร้อม  คุณตังก็น่าจะดีขึ้นแล้วล่ะฮะ   พอขึ้นฝั่ง ผมจะพาคุณไปพบกับคุณปกรณ์  เขาเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติและปะการังที่ผมพูดถึง   พักเหนื่อยกันเล็กน้อยแล้วจะได้เริ่มสัมภาษณ์กันเลย”

          “คุณบอกว่าเขาเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากใช่ไหมครับ”  ติณธรถามเบาๆ ดึงสมาธิกลับมาจดจ่อที่งานเหมือนทุกที  การมาสัมภาษณ์ครั้งนี้เขาแทบไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย เพราะไม่มีประวัติ  ไม่เคยลงในหนังสือนิตยสารเล่มใดมาก่อน  มีเพียงคำบอกเล่าของภาคย์เท่านั้น

          “ครับ  ผมเคยเจอคุณปกรณ์ครั้งนึง  เป็นคนสบายๆน่าคบทีเดียว  แต่ตอนแรกเขาจะไม่ค่อยพูดนะครับ ท่าทางขี้อาย  คุณเตคงจะต้องถามนำมากหน่อยนะครับในช่วงแรก  พอคุ้นกันแล้ว เขาก็จะเป็นกันเองมากขึ้น”  คนฟังพยักหน้าเนิบๆ  พวกเขาเดินกลับเข้าไปภายในห้องโดยสาร  รวบรวมข้าวของเตรียมเอาไว้  ไม่ถึงสิบนาทีเรือจอดเข้าเทียบท่าบนเกาะกลางทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ที่กำลังจะเริ่มโปรโมทการท่องเที่ยว

            ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกลุ่มใหญ่มายืนรอรับอยู่แล้ว  รวมถึงร่างสูงผิวสีแทนที่ซ่อนหุ่นแข็งแรงแบบคนออกกำลังกลางแจ้งเอาไว้ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายบางๆ กับกางเกงเลแบบง่ายๆ  ทำเอาสาวๆในคณะซุบซิบและลอบมองใบหน้าหน้าคมกริบนั้นเป็นระยะ   ผู้ชายคนนั้นยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม   เขาเดินตรงเข้ามาหาภาคย์พลางยกมือไหว้

          “สวัสดีครับ  คุณภาคย์ ผมกำลังรออยู่พอดีเลย   เดินทางเป็นอย่างไรบ้าง  มีอะไรขลุกขลักไหมครับ”   เขาทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี

          “คุณปกรณ์  ดีใจที่ได้พบกันอีกฮะ   เดินทางเรียบร้อยดีครับ  นั่งเรือกันมาก็มีเมาเรือกันบ้างนิดหน่อย   นี่พวกผมมารวมกัน 22 คนครับ   อ้อ  ทีมเรามีคุณหมอมาด้วยสองท่านครับ   นี่คุณหมอดิมเป็นคุณหมอด้านโรคหัวใจ ส่วนท่านนี้คือคุณหมอรันเป็นผู้เชี่ยวชาญโรคเด็กนะครับ”   ภาคย์ผายมือแนะนำทีมงานทีละคน ไล่มาจนถึงชายหญิงคู่สุดท้ายพร้อมเด็กชายอีก 1 คน  สายตาของปรณ์มีแววพิศวงเมื่อมองเห็นใบหน้าของผู้ชายร่างเล็กบางที่ขยับมายืนข้างหน้า

          “นี่คุณเตครับ  เป็นคอลัมนิสต์ที่จะมาขอสัมภาษณ์คุณและเขียนโปรโมทเกาะแห่งนี้  คุณเตเป็นมือหนึ่งทางด้านการเขียนบทความเลยครับ   รับรองเลยว่าพอนิตยสารเล่มนี้วางแผงแล้ว   นักท่องเที่ยวจะต้องหลั่งไหลกันมาแน่นอน....ส่วนสุภาพสตรีท่านนี้คือ คุณข้าวตัง  เป็นภรรยาของคุณเต และนี่น้องเต้  ลูกชายครับ”  คนฟังขมวดคิ้วๆน้อยคล้ายแปลกใจ แต่แล้วก็คลายออกเป็นรอยยิ้มกว้าง  ยื่นมือไปข้างหน้านักเขียนหนุ่ม

            ติณธรสบตาคู่นั้นแวบหนึ่ง  แล้วจึงยื่นมือไปสัมผัสกับฝ่ามือหนากระด้างนั้น  ปกรณ์กระชับมือของเขาแน่นก่อนจะปล่อยออก 

            “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเต  คุณข้าวตัง  น้องเต้ ...ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกคนพักผ่อนก่อนครับ  เราเตรียมบังกะโลเอาไว้ให้แล้ว”

          “ขอบคุณมากนะครับ   ถ้าวันนี้งานเดินเร็ว  แสงแดดเป็นใจขนาดนี้   พรุ่งนี้น่าจะเสร็จเรียบร้อยครับ...”  ภาคย์พูดยิ้มๆ   ทีมงานเดินสำรวจที่พัก  แบ่งสรรคนจนลงตัว   บังกะโลหลังสุดท้ายริมสุดติดชายหาด เป็นของเต ข้าวตัง  เต้  และ... “เอ่อ  คุณหมอดิมกับคุณหมอรันอยู่บังกะโลหลังสุดท้ายกับครอบครัวคุณเตด้วยได้ไหมครับ  เพราะเป็นหลังใหญ่ที่สุด และติดทะเลด้วย”

            นักเขียนหนุ่มอึกอัก  คำปฏิเสธมารออยู่แล้วที่ริมฝีปาก  ทว่าไม่กล้าพูดออกไป  เกรงใจเจ้าของบ้าน

          “ได้ครับ  สะดวกดีด้วยเพราะผมจะได้ดูคนไข้ผมด้วย”  รดิศพูดเรียบๆ  เหลือบมองมาแวบหนึ่ง

            “อ้าว  ใครเป็นอะไรหรือครับ”   ปกรณ์ถาม   หันกลับมามองที่นักเขียนหนุ่ม   สายตาคู่นั้นทำให้เตรู้สึกอึดอัดแปลกๆชอบกล   เขาเสหลบตามองไปทางอื่น

            “ผมเป็นแพทย์ประจำ ที่ดูแลรักษาคุณข้าวตังอยู่ครับ”  รดิศตอบสั้นๆ  หางเสียงตวัดเล็กน้อยราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง   พูดจบก็เอื้อมมือไปรับกระเป๋าของคุณหมอรันมาถือเอาไว้เสียเองแล้วเดินนำดุ่มเข้าไปภายในตัวบ้าน

          “ถ้าอย่างนั้น เชิญทุกท่านเก็บของให้เรียบร้อยก่อนนะครับ  แล้วเดี๋ยวผมจะพาเดินชมรอบๆเกาะ  จะได้หาโลเคชั่นเหมาะๆถ่ายรูปกันเลย”

          “ดีเลยครับ  เอ้า ทุกคนเร็วเข้า  ส่วนคุณผู้หญิงพักผ่อนก่อนนะครับ”  ภาคย์บอกนางแบบสองคนที่มาด้วยกัน

            เตหิ้วกระเป๋าของมาตังและของลูกชาย เดินเข้าไปในบังกะโลตามหลังคุณหมอทั้งสองคน   เขาประจันหน้ากับคุณหมอหัวใจที่หน้าประตู  อีกฝ่ายชะงักไปนิดก่อนจะเบี่ยงตัวหลบ  ท่าทางคล้ายไม่อยากเข้าใกล้ของรดิศทำให้อีกคนเม้มปากแน่น

            เขาเลือกเอาห้องนอนอีกฝั่งหนึ่งเป็นที่นอนของครอบครัว   ข้าวตังตามเข้ามาภายหลัง  เธอยิ้มให้เขาอย่างสดใสกว่าทุกวัน   เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาตามไรผมและหน้าผากของเจ้าตัว

            “ตัง  นอนพักก่อนไหม  เดี๋ยวพี่จะไปทำงานก่อน”  ชายหนุ่มพูด รวบรวมสมุดและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาถือเอาไว้  หญิงสาวพยักหน้ารับ

          “ตังขอนอนพักสักงีบก่อนก็แล้วกันค่ะ  ยาที่หมอดิมให้กินเข้าไปง่วงมาก  ลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว”  พี่ชายเข้ามาช่วยห่มผ้าห่มคลุมเอาไว้ให้   ยืนมองน้องสาวหลับครู่หนึ่งจึงค่อยกลับออกมา   ไม่ลืมกำชับลูกชายเข้มงวด

            “เต้  ถ้าพ่อยังไม่กลับมา  ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดประตูให้เขา เข้าใจมั้ยลูก   มีอะไรโทรมานะ  คอยดูแม่เขาด้วย”   ชายหนุ่มกลับออกมา   พบว่าภาคย์กับปกรณ์ยืนรอด้วยกันอยู่แล้ว   สักพักโดมก็ตามมาสมทบพร้อมกับทีมงานอีกสองคน    เจ้าภาพพาเดินชมรอบเกาะจนทั่ว  ทิวทัศน์ของเกาะทำให้เตบอกตัวเองได้ทันทีว่าหลังจากนี้ เห็นทีเกาะแห่งนี้จะกลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวแนวอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นแน่

            “ตรงนี้คือแนวเพาะพันธุ์ปะการังที่ผมดูแลอยู่ครับ   จะเห็นว่าตลอดชายฝั่งฟากนี้ไปจนถึงตรงโน้นจะไม่มีเรือจอดอยู่เลย  เพราะเราห้ามเรือเข้ามา   ทางโน้นจะเป็นจุดดำน้ำ   มีปลาสวยๆเยอะอยู่เหมือนกัน  ถ้าใครสนใจบอกได้เลยนะครับ  ผมจะพามาดำน้ำเล่น  คุณเตชอบดำน้ำไหมครับ”  จู่ๆเขาก็วกกลับมาถามชายหนุ่มผมหยิกสลวยที่กำลังยกกล้องขนาดเล็กในมือขึ้นถ่ายบรรยากาศรอบๆ

            “ผมไม่เคยดำน้ำเลยครับ  เลยไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า”  ตั้งเตตอบตามจริง   คนฟังยิ้มกว้าง

            “งั้นดีเลย  เดี๋ยวผมสอนให้ แบบเบสิค วันเดียวดำเล่นได้เลย”   

            “ขอบคุณมากครับ”

            พวกเขาเดินย้อนกลับมาจนถึงบังกะโลที่เดิม   ตลอดเวลาเตรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆจากสายตาคมเข้มจากไกด์กิตติมศักดิ์ที่ชอบลอบมองมายังเขา   แม้บางครั้งเตเงยหน้าขึ้นสบตากลับตรงๆ   แววตาคู่นั้นก็จะยิ่งเพิ่มแววระยับคล้ายเจ้าตัวกำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาด้วย   บอกไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่  และเขาก็ไม่นึกอยากรู้ด้วย

            “คุณเตพร้อมสัมภาษณ์ผมหรือยังครับ”  ปกรณ์ถามขึ้น  เขาดูร่าเริงและเป็นกันเองมากกว่าที่ภาคย์เล่าไว้   

            “ได้ครับ   ที่ไหนดีครับ” 

          “เชิญทางโน้นดีกว่าครับ”  ปกรณ์ผายมือไปอีกทางหนึ่งตรงข้ามกับทางที่บรรดาทีมงานมุ่งหน้าไป   เตพยักหน้ารับ  ออกเดินตามหลังร่างสูงแข็งแรงนั้นไปเงียบๆ

            ปกรณ์พาเขาเดินวกกลับมายังด้านหลังของเกาะ   บรรยากาศเงียบสงบ  ลมทะเลพัดเย็นสบาย   มีโขดหินตามธรรมชาติวางเรียงอยู่ใต้ต้นมะพร้าวที่ทอดเป็นแนวยาวเลียบชายหาดอย่างเหมาเจาะราวกับมีคนจงใจมาจัดวางเอาไว้   ติณธรคิดว่าเขาจะหาที่นั่งคุยแถวนั้น  แต่เปล่า...อีกฝ่ายพาเขาเดินต่อไปอีกจนถึงชายทะเลตอนหนึ่งที่มีต้นโกงกางและพืชอีกหลายชนิดที่เขาไม่รู้จักขึ้นอยู่เป็นดง

          “คุณเตเคยมาเที่ยวป่าชายเลนไหมครับ”  ชายหนุ่มพูด  เดินนำเขาขึ้นบันได้ไม้เตี้ยๆ ไปบนสะพานไม้ที่ทอดยาวเหนือผืนน้ำกึ่งโคลนเลนด้านล่าง   ปลาตีนโผล่มาให้เห็นเป็นระยะสลับกับปูหลายตัวที่วิ่งอย่างรวดเร็วลอดใต้สะพานไม้เตี้ยๆนั่นไป    เตจับตามองอย่างสนใจ

          “ไม่เคยครับ”  เขาจับมือปกรณ์ที่ยื่นส่งมาให้เพื่อกระโดดข้ามสะพานไม้ตอนหนึ่งที่ไม้แผ่นหลุดหายไป  “สวยดีนะครับ   นี่คุณปกรณ์ดูแลเองหรือเปล่าครับ”   เขาหยุดดูไม้กาฝากที่ทอดพันรอบกิ่งไม้ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองมีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยตามลม

          “ก็ช่วยๆกันดูแลครับ  ร่วมกับชาวบ้านแถวนี้  จริงๆผมอยากทำเป็นโครงการที่เป็นรูปเป็นร่าง  พ่วงกับโครงการอนุรักษ์ปะการังที่ทำอยู่เดิม  แต่งบประมาณที่รัฐให้มันน้อยเหลือเกิน  ก็เลยคิดกันว่าต้องอาศัยการโปรโมทการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นี่แหละ  เผื่อบางทีมีคนสนใจร่วมทุนด้วย  โครงการจะได้สำเร็จซักที”   ชายหนุ่มพูดเรื่อยๆ 

            สะพานไม้แห่งนั้นทอดยาวต่อเนื่องจนมาถึงจุดที่คล้ายชานพักหรือศาลา   มีเก้าอี้ไม้ตัวยาวสองตัววางตรงข้ามกับโต๊ะที่ต่อด้วยไม้หยาบๆเช่นกัน   รอบด้านเป็นป่าไม้โกงกางที่เฉอะชื้น   และเงียบสงบราวกับหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง  ตัดขาดจากโลกข้างนอก

            “นั่งก่อนครับ   คุณเต  พักสักครู่หนึ่ง   คุณ...หน้าซีดมากเลยฮะ  เหนื่อยเกินไปเหรือเปล่า?”  ปกรณ์พูด  จ้องมองใบหน้าเรียวรูปไข่ที่มีหยดเหงื่อเกาะพราวถึงขนตานั้นอย่างเผลอตัว   สบนัยน์ตาดำขลับคู่นั้นแล้ว   ชายหนุ่มก็บอกตัวเองว่า  เขาไม่เคยพบใครที่มีแววตาเศร้าเช่นนี้มาก่อนเลย...เป็นความเศร้าที่น่าค้นหาและน่าดึงดูดอย่างประหลาด

            “เหรอครับ...คงเพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนไกลๆน่ะฮะ  พอดี ข้าวตัง...แฟนผมป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นเดือน”  นักเขียนหนุ่มพูด  ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าทิ้ง 

            “อ้าวเหรอครับ   เธอป่วยเป็นอะไรหรือ  ขอโทษนะครับที่ถามละลาบละล้วงไป”  ปกรณ์รีบออกตัว...หรือนี่จะเป็นที่มาของแววตาเศร้าๆของผู้ชายคนนี้   เพราะภรรยาสุดที่รักป่วย...

            “ไม่หรอกครับ  เธอเป็นโรคหัวใจน่ะฮะ  แต่ผ่าตัดไปแล้ว   ตอนนี้ก็อาการดีขึ้น  เรียบร้อยแล้วครับ”

          “อ้อ  คุณหมอรดิศที่มาด้วยคือคนผ่าตัดให้หรือครับ  ใช่ไหมฮะ”   คนฟังพยักหน้ารับ   อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “มีหมอมาด้วยแบบนี้ค่อยอุ่นใจหน่อยนะครับ”   ..หรือว่าที่อีกฝ่ายมีสีหน้าอมทุกข์นั้นเป็นเพราะเหตุที่ภรรยาป่วยนั่นเอง?  คนฟังคิด

          “ครับ  ก็ดีเหมือนกัน”  นักเขียนหนุ่มพึมพำเสียงเบา   เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น  ถามยิ้มๆ กลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่างในแววตาที่ซ่อนไม่มิด “กลับมาเรื่องโครงการอนุรักษ์ปะการังของคุณปกรณ์ต่อดีกว่าครับ ...ทำไมคุณถึงมาจับงานตรงนี้ได้ฮะ  รู้สึกคุณจะจบทนายมาไม่ใช่หรือครับ”

            “มันเป็นความบังเอิญน่ะครับ  จะเรียกว่าโชคชะตาก็ได้มั้ง....ความจริงคนที่เป็นคนริเริ่มทำเรื่องนี้คือแฟนของผมเองครับ”  คนฟังมีสีหน้าแปลกใจ  เขาจึงพูดต่อ  “เดิมเค้าเป็นคนของเกาะนี้ครับ  ผมมาเจอเข้าตอนที่มาเที่ยวกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย   พอเจอกัน  ผมก็ปิ๊งเลยฮะ   จีบกันอยู่สามวันเราก็เป็นแฟนกัน  ฮ่าๆ  เร็วไปไหมครับ”   เขาหัวเราะ

            “ไม่หรอกฮะ  เรื่องแบบนี้  ไม่งั้นเค้าจะมีคำว่ารักแรกพบหรือครับ”  เตพูดเบาๆ

            “นั่นสินะฮะ  แฟนผมเขาจบทางด้าน environment โดยเฉพาะ  เค้าเป็นคนก่อตั้งโครงการนี้จนเป็นรูปเป็นร่าง   ตอนนั้นผมอยู่ช่วยเค้าเกือบปีนึง  แล้วก็ต้องกลับกรุงเทพฯ  เพราะคุณพ่อของผมเสีย”   ปกรณ์หยุดกลืนน้ำลายนิดหนึ่ง “ผมกลับไปเรียนต่อจนจบปีสุดท้าย  แล้วก็รีบกลับมาที่เกาะนี้  แต่ว่าไม่ทัน...แฟนผมเสียชีวิตไปแล้วครับ”  คนฟังน้ำตาคลอด้วยความสงสาร   ขณะที่คนเล่าทอดสายตามองเหม่อออกไปไกล

            “เขาถูกใบพัดเรือเข้าตอนที่กำลังดำน้ำ  แล้วตอนนั้นบนเกาะนี้ก็ไม่มีหมอ   เค้าเสียเลือดมากสุดท้ายก็เลยจากผมไป ก่อนที่ผมจะกลับมาเพียงอาทิตย์เดียว...”  น้ำเสียงของอีกฝ่ายหายไปในลำคอ   เตถอนหายใจยาว  ยกมือขึ้นแตะไหล่กว้างแข็งแรงนั้นเป็นเชิงปลอบ   รู้สึกจุกแน่นในอกเมื่อได้ยิน

            “คุณคงเฮิร์ตมาก”   อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

            “ครับ  ตอนนั้นผมเสียใจมาก  ถ้าผมกลับมาเร็วกว่านี้อีกสักนิด  บางที..ผมอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง  ...แต่ก็นั่นแหละฮะ  เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มเข้ามาทำงานตรงนี้ต่อ   ...นั่นคุณเตร้องไห้หรือครับ?”  ปกรณ์ถามอย่างแปลกใจปนตกใจเมื่อเห็นคนที่จะมาสัมภาษณ์เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา

            “ผมเสียใจด้วยนะครับ  ไม่นึกเลยว่าที่มาของโครงการนี้จะเจ็บปวดแบบนี้”   คนฟังยิ้ม   รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

            “ไม่หรอกครับ มันผ่านไปเกือบสามปีแล้ว  ตอนนี้ผมก็ทำใจได้แล้วฮะ  ...ความจริง  ตอนที่ผมเห็นคุณครั้งแรก  ผมตกใจมากเลยนะ  คุณมีส่วนคล้ายกับแฟนผมที่เสียไปแล้วมากเลย”

            ...อ้อ  นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เขาชอบมองมาที่เราแปลกๆสินะ  เตคิดในใจ   แต่เดี๋ยวนะ!

            “เอ่อ  แฟนคุณ?”  ติณธรอึกอัก

            “ครับ  แฟนผมเป็นผู้ชาย..”  ปกรณ์รับคำง่ายๆ  “ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือครับ สำหรับเดี๋ยวนี้  หรือคุณเตคิดว่าอย่างไร”  เขาเลิกคิ้ว   ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ  เขาก็พูดต่อ “แล้วคุณเตละครับ   เจอกับคุณข้าวตังได้อย่างไร   แล้วทำไมถึงเลือกเป็นนักเขียนล่ะครับ  เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหม”

            กลายเป็นเขาที่ต้องตอบคำถามแทน   นักเขียนหนุ่มเลือกตอบอ้อมๆ ไม่ลงรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น    ก่อนจะวกกลับมาสู่หัวข้อของการสัมภาษณ์เป็นระยะ

เวลาผ่านไปเร็วพอควร    รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงเต็ม  เตยิ้มกว้างให้ผู้ชายตรงหน้า  ตลอดเวลาที่คุยกันเขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริงใจ   และคุยกันถูกคอจนน่าแปลกใจ

“เวลาผ่านไปเร็วจังแฮะ  ไปฮะคุณเต  เรากลับออกไปทางเดิมดีกว่า   ถ้าเดินต่อไปทางโน่นมันจะไปสุดที่หลังเกาะครับ   ไม่มีอะไร”  ปกรณ์พูดเสริมเมื่อแววคำถามในดวงตาดำขลับคู่นั้น

เขาพาอีกฝ่ายเดินกลับออกมาตามทางเดิม   ลอบสังเกตใบหน้าเล็กๆนั้นเป็นระยะ  อีกฝ่ายดูเหนื่อยกว่าขามาเสียอีก 

“ไหวไหมครับคุณเต..พักก่อนก็ได้นะ”  ชายหนุ่มพูดพลางหยุดเดิน   ท่าทางอีกฝ่ายทรงตัวไม่มั่นคงคล้ายคนจะเป็นลม  เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผากลาดเนียนและปอยผมหยิกที่ตกลงมาปรกหน้า

“ขอพักสักครู่นะครับ”  พูดจบ  เขาก็โงนเงน  ภาพเบื้องหน้าเริ่มหมุนติ้ว   รู้สึกถึงสัมผัสบริเวณต้นแขนทั้งสองข้าง  อีกฝ่ายพยุงให้เขาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นสะพานไม้นั้น 

“ไหวมั้ยครับ เป็นยังไงบ้าง  ...เดี๋ยวผมโทรเรียกใครมาช่วยดีกว่า”  ปกรณ์พูดอย่างร้อนใจ  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด  “บ้าจริง  ตรงนี้ไม่มีสัญญาณอีก  คุณเต..ไหวไหมครับ  ทำใจดีๆไว้นะ”   เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อให้อีกฝ่ายที่เอนพิงศีรษะเอาไว้ที่ซอกไหล่   เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ตัดสินใจขยับตัวลุกขึ้น

“ผมว่าในนี้คงมีออกซิเจนไม่พอ  ผมขออนุญาตพาคุณออกไปข้างนอกนะครับ”  พูดจบก็ก้มลงอุ้มช้อนตัวอีกฝ่ายติดวงแขนขึ้นมาทั้งตัว  ติณธรตกใจลืมตากว้าง  ยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่าย

“เห้ย  วางผมลงเถอะครับ”  เขาพูดตะกุกตะกัก  แล้วหลับตาลงเพราะเวียนศีรษะ

“ไม่เป็นไรครับ  คุณตัวนิดเดียวไม่หนักหรอกครับ....ใกล้ถึงข้างนอกแล้ว”  ปกรณ์พูด  เขาอุ้มอีกฝ่ายพาเดินลัดเลาะออกมาตามทางเพียงไม่นานก็ถึงปากทางเข้า

ผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงต้นมะพร้าวออกอยู่ไม่ห่างไปนัก  ท่าทางราวกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง   พอเห็นคนทั้งคู่  เขาก็เดินตรงเข้ามาหา   ถามเสียงเข้มติดจะขุ่นมัว

“คุณติณธรเป็นอะไรไปหรือครับ ถึงต้องอุ้มกันออกมาแบบนี้”  เจ้าของชื่อลืมตาขึ้น  เขาเห็นใบหน้าของคนที่ไม่อยากพบหน้ามากที่สุด กำลังจ้องเขาตอบกลับมาด้วยดวงตาคมกริบที่อ่านไม่ออก

ปกรณ์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ทว่าก็ยอมตอบโดยดี 

“คุณเตเป็นลมระหว่างทางที่เดินกลับมาครับ  ผมก็เลยช่วยพาออกมา   ในนั้นมีแก๊สบางอย่างจากโคลนเลน   ทำให้หายใจลำบาก  ยิ่งถ้าคนไม่ชินด้วย”   เขาตอบเรียบๆ  ค่อยๆวางร่างของอีกฝ่ายให้ลงยืนบนพื้นทราย   เตเซไปเล็กน้อย   มือแข็งๆของคุณหมอผ่าตัดหัวใจยื่นมารับเอาไว้ทันควัน

“เดี๋ยวผมดูให้เองครับ”  รดิศพูดเรียบๆ  มือกำที่ข้อมือเล็กบางเอาไว้แน่น  ไม่สนใจแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามบิดข้อมือหนี

“ให้ผมช่วยพาคุณเตไปพักที่บ้านพักดีไหมครับ”  ปกรณ์พูดยิ้มๆ

“ไม่เป็นไรครับ  เชิญคุณปกรณ์เถอะฮะ”  คุณหมอหนุ่มไล่อีกฝ่ายเอาดื้อๆ  ไม่สนใจแม้ว่าอีกคนจะเป็นเจ้าบ้านก็ตาม  ใบหน้าเข้มคมบึ้งตึงจนปกรณ์ต้องล่าถอย  เขาเอ่ยปากขอตัวลากับนักเขียนหนุ่มสั้นๆ  เก็บความประหลาดใจเอาไว้แล้วเดินจากมา

เตสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างแรง   แต่ก็ไม่หลุดอีกตามเคย

“ปล่อยผม  ผมจะกลับบ้าน”

“ไม่เห็นจะป่วยตรงไหนเลยนี่....เอ  หรือว่าแกล้งเป็นลม เรียกร้องความสนใจ?”  รดิศพูด  อีกฝ่ายเม้มปาก โกรธจนพูดไม่ออก

“ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม  บอกให้ปล่อยไง”  เขาพูด  พลางกระทืบลงไปบนหลังเท้าของอีกฝ่ายเต็มแรง  คุณหมอหนุ่มที่ชักเท้าหลบอย่างทันกันหัวเราะเบาๆ

“ตอนนี้จะให้ปล่อย   ทีเมื่อกี้ให้ไอ้หมอนั่นอุ้มมาไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลยนี่   ทำไมล่ะ  พอผมโดนตัวแล้วมันคันหรือไง”  เขากำข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีก

“นี่คุณหมอ...พูดอะไรให้มันระวังปากบ้างนะ”

“หึ  ถ้าผมพูดยิ่งกว่านี้ คุณจะทำอะไรผม...จะต่อยปากผมหรือไง   หรือว่าจะตบอีก...เอาสิ  เอาเลย”  เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น  ขณะที่ตั้มพยายามเบนหน้าหนี  “หายเข้าไปในนั้นทำไมตั้งนานสองนาน   ทำอะไรไม่อายชาวบ้านบ้างเหรอ   ใครๆก็รู้นี่นะว่าคุณมากับภรรยา   แถมยังมีคุณภาคย์มาเสียด้วย....ใจคอคุณจะไม่เหลือเอาไว้สักคนเลยเหรอ”  รดิศพูดต่อด้วยความโกรธเกรี้ยว 

เขาตามมาที่นี่เพราะผิดสังเกตที่เห็นอีกฝ่ายหายไปนานเหลือเกิน  พอได้ความว่าทั้งคู่หายเข้าไปในป่าโกงกางนั่นด้วยกันเขาก็ยิ่งร้อนใจ  ต้องยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้เกือบสองชั่วโมง   พอเห็นสภาพที่คนทั้งคู่กลับออกมา  มันกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างระเบิดในหัวของเขาจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

“คุณจะเข้าใจยังไงก็เรื่องของคุณเลย   แล้วคุณมาอยู่ตรงนี้ ไม่ทราบว่าคนที่คุณจะแต่งงานด้วยเขาไม่ว่าเอาหรอครับ”  ติณธรสวนกลับ  อีกฝ่ายเลิกคิ้ว  มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว

“คุณรู้เรื่องแต่งงานแล้วหรือ?”  เขาถามกลับ

“ใช่  หมอรันบอกผมเอง  ว่าพวกคุณจะแต่งงานกันก่อนไปเรียนต่อที่เมืองนอก”  เตบอก   เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่คุณพ่อของรันบอกจะให้ทุนกับรดิศเมื่อแต่งงานกับลูกชายของเขา

“อ้อ....แหม  ทำไมรันรีบบอกจัง  ผมว่าจะเป็นคนบอกกับคุณด้วยตัวเองเสียหน่อย”  รดิศพูด  คล้ายพูดกับตัวเอง   ส่วนคนฟังเผลอยืนนิ่ง  หัวใจหล่นวูบโดยไม่ทันตั้งตัว

....พี่ดิมจะแต่งงานกับหมอรันจริงๆหรือนี่....

“คุณรู้ก็ดีแล้ว...ความจริงผมก็อยากบอกคุณมาหลายวันแล้วแต่ไม่มีเวลาบอก...อ้อ  เรื่องอาการป่วยของคุณ...คุณคงรู้อยู่แล้วสินะ  ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก  แค่เป็นแผลในกระเพาะอาหารเท่านั้น....พอดีพี่ส้มบอกผม   ผมก็หลงตกใจเสียนาน   นึกว่าคุณป่วยร้ายแรงเพราะผม”   เขาพูดแกมหัวเราะ   สีหน้าคนฟังซีดลงเรื่อยๆ  “พอรู้ความจริงก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย  ตอนแรกผมก็รู้สึกผิดต่อคุณนะ  เลยอยากดูแลคุณ  แต่ในเมื่อคุณบอกคุณดูแลตัวเองได้  ผมก็ออกจะเห็นด้วยเหมือนกันว่าคุณคงดูแลตัวเองกับครอบครัวของคุณได้จริงๆ”

....เขารู้แล้ว  พี่ดิมรู้แล้วว่าเขาไม่ได้ป่วยหนักร้ายแรงอะไรอย่างที่เจ้าตัวหลงคิดไปเอง  เค้าก็เลยไม่อินังอิขอบกับเราอีก   แปลว่าทั้งหมดที่ผ่านมาเกิดจากความรู้สึกผิดของเขาอย่างเดียวงั้นหรือ?...แล้วที่เขาพร่ำบอกว่ายังรักเราอยู่ล่ะ?

“หลังจากนี้คุณก็ดูแลตัวเองให้ดีละกัน....นี่คือสิ่งที่ผมจะบอก   เป็นเหตุผลที่ผมตามคุณมาที่นี่”  นายแพทย์หนุ่มจบประโยคด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ   เหลือบมองสีหน้าคนฟังที่ซีดเผือดลงจนแทบไม่มีสีเลือดนั้น  ดวงตาที่เคยหวานแวววับกลับแห้งผากและเหม่อลอยเสียจนเขาตกใจ

“เต...เป็นอะไรหรือเปล่า  หรือว่าไม่สบายตรงไหน?”  รดิศถาม

อีกฝ่ายสั่นศีรษะช้าๆ

“เปล่า...ผมแค่กำลังนึกอยู่ว่า   ผมจะพูดอย่างไรดี....แต่มันก็นึกไม่ออก   เอาเป็นว่าผมดีใจด้วยก็แล้วกันนะครับ  คุณหมอรดิศ”   ติณธรปลดมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายออกจากข้อมือของตน  รู้สึกได้ถึงหัวใจของตนเองที่เต้นอย่างอ่อนแรงอยู่ใต้แผ่นอก   สองขาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตุ้มน้ำหนักเอาไว้ทว่าก็ฝืนก้าวเร็วๆ   เขาอยากออกไปให้พ้นจากตรงนี้เสียที  ไปในที่ๆเขาสามารถแสดงความอ่อนแอในใจออกมาได้เต็มที่

“เต...”  รดิศเดินตามหลังผู้ชายตัวเล็กผมหยิกนั้นมาติดๆ  อีกฝ่ายกลับเดินอ้อมไปอีกทางที่ดิมจำได้ว่าเป็นท่าเรือ  “เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป”   เขาตามไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนี่ครับ  คุณต้องการอะไรกันแน่   ต้องการคำแสดงความยินดีหรือ  ผมก็บอกคุณไปแล้วนี่  หรือว่าต้องการให้ผมร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติกับความรักอันแสนยิ่งใหญ่ของคุณสองคนกัน...คุณต้องการแบบนั้นเหรอ   หรือต้องการอะไรอีกล่ะครับ”   เตหันกลับไปพูดรัวเร็ว   อารมณ์ที่พุ่งขึ้นเอ่อล้นจนกลายเป็นหยาดใสในหน่วยตาทั้งสองข้าง 

“คุณอยากรู้ไหมล่ะว่าผมต้องการอะไร”   รดิศพูดเสียงเข้ม  อีกคนสะบัดมืออย่างแรง   ทว่าฝ่ามือแข็งแรงนั้นกลับยึดเอาไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ 

เตยกเข่าขึ้นหมายจะกระแทกอีกฝ่าย  แต่คุณหมอหนุ่มกลับก้าวเข้าประชิดตัวจนเขาไม่เหลือพื้นที่ให้ขยับตัว   จะดึงตัวถอยหลังก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถูกยึดตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา




ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
“คุณต้องการอะไร?”  เตกัดฟันถาม  ระหว่างที่พยายามบิดข้อมือทั้งสองข้างของตนเองออกจากการเหนี่ยวรั้ง   ชั่วขณะหนึ่งที่นัยน์ตาทั้งสองข้างสบกัน   เกิดความเงียบระหว่างคนทั้งคู่

“ต้องการ....”  สายตาคมเข้มเหลือบมองบางอย่างที่ทำให้ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มเห่อร้อนขึ้นฉับพลัน   ติณธรเม้มปากแน่น  พยายามเบี่ยงหน้าหลบใบหน้าเข้มคมที่ขยับเข้ามาใกล้จนเกินพอดี

คล้ายเวลาหยุดนิ่งไป  แม้แต่เสียงคลื่นทะเลที่ซัดสาดอยู่ในตอนนี้ เขาก็หาได้ยินไม่...มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอกของเขาเองเท่านั้น   

และเป็นเพราะเขาเอาแต่ก้มหน้าหลบ   จึงไม่เห็นแววตาคมเข้มที่ติดจะขุ่นมัวในตอนแรก  ค่อยๆอ่อนแสงลงจนเกือบจะเรียกว่าอ่อนโยน

“...ต้องการจะขอโทษนาย    เต   นี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของเรา   เพราะหลังจากไปอเมริกาคราวนี้  พี่คงไม่กลับมาอีก”  รดิศพูดเสียงเบา

“..................”   ตั้มเงียบ   หัวใจที่เคยเต้นแรงเมื่อครู่กลับเต้นช้าลงกะทันหันจนรู้สึกวูบโหวงในอก

“พี่ไม่อยากให้เราจากกันโดยที่ยังมีอะไรติดค้างกันอยู่   เหมือนเมื่อหลายปีก่อน    เต....ถ้านายยอมรับคำขอโทษของพี่   สี่ทุ่มคืนนี้ ช่วยออกมาพบกันที่นี่นะ  ได้โปรด..พี่จะรอนายอยู่ถึงเที่ยงคืน”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประโยคที่พี่ดิมพูดมา  หรือจะเป็นเพราะความในใจที่ส่งออกมาผ่านทางสายตา   หรือบางทีอาจะเกิดจากอารมณ์หวั่นไหว ไม่มั่นคงของเขาเอง  ที่ทำให้เขาไม่พูดปฏิเสธออกไป  ทั้งที่สมองตะโกนก้องว่า ไม่!

“อ้าว  เต คุณหมดิมมาอยู่ตรงนี้กันนี่เอง   คุยอะไรกันอยู่ครับ  ท่าทางซีเรียสเชียว”   เสียงทักดังขึ้นอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทางด้านหลัง   ดิมไม่ได้พูดอะไรต่ออีก   เขาปล่อยตัวนักเขียนหนุ่มเป็นอิสระ   จากนั้นก็หมุนตัวเดินดุ่มๆ กลับไปทางเดิม   ทิ้งให้เตยืนอยู่กับชายหนุ่มร่างท้วม  บก.ของเขานั่นเอง

“เดินหนีไปเฉยเลยแฮะ  อะไรของเค้า....เต  เป็นอะไรหรือเปล่า   พี่เห็นหายไปนานเลยออกมาตาม”   โดมหันมาถามชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยังคงมองตามแผ่นหลังคนที่เดินจากไปเมื่อครู่นี้

“ไม่ได้เป็นอะไรพี่   ผมสบายดี”  เสียงแหบพึมพำออกมาเบาๆ

โดมไม่เซ้าซี้ถามอีก แม้ว่าเขาจะรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมของคนทั้งคู่มากก็ตาม    จากการที่เขาแอบยืนมองท่าทางทั้งสองคนคุยกันอยู่พักนึงแล้วนั้น  ค่อนข้างมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อากัปกิริยาของคนรู้จักกันธรรมดาเป็นแน่

เห็นแล้วก็อดนึกถึงเมื่อครั้งที่เขากับเตไปเยี่ยมคุณหมอดิมแขนหักที่คอนโดไม่ได้   ตอนนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆกับสายตาที่คนทั้งคู่มองกันหนหนึ่งแล้ว   แต่ตอนนั้นเขาไม่คิดอะไรมาก  คงเป็นเพราะว่าตนเองยังไม่เคยมีความรักด้วยกระมัง  เลยแปลไม่ออกว่า สายตาแบบนั้นแปลว่าอะไร   จนกระทั่งตัวเองมีแฟนนี่แหละ  ถึงเข้าใจว่าความหมายบางอย่างที่แฝงอยู่ในแววตาคมเข้มยามที่มองนักเขียนรุ่นน้องของเขา

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้    ครั้งจะถาม ก็เกรงใจหนุ่มรุ่นน้อง  กลัวว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเขามากไป

 “หิวหรือยัง  ได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะ เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”  เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างนุ่มนวล  ในเมื่อเจ้าตัวไม่เล่า   เขาก็ได้แต่เอาใจช่วยอีกฝ่ายเท่านั้น 

            เตเดินตามมาอย่างว่าง่าย   พวกเขากลับไปรวมกลุ่มกับพวกทีมงานที่เหลือที่ออกมาร่วมวงอาหารเย็นกันที่ชายหาดหน้าเกาะ   มีปกร์เป็นพ่องานจัดการตกแต่งบริเวณรอบด้านเสียสวยงามด้วยดวงไฟวิบวับ   พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว   ท้องฟ้ามืดสนิทไม่เห็นแม้แต่แสงดาว

            “คืนนี้อาจจะมีพายุมั้งครับ  เมฆก็เลยเยอะ  บังดาวหมดเลย   ปกติที่นี่ดาวเยอะมากครับ  ยิ่งมืดยิ่งเห็นชัด”  คนพูดตามมาหยุดยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มร่างบางผมหยิกหยองที่เขาถูกชะตาด้วยตั้งแต่แรกเห็น   

            เตยิ้มนิดๆ  เปลี่ยนสายตาจากแผ่นฟ้าเบื้องบนลงมาสบตาคู่สนทนาแทน

            “ผมไม่ได้มองหาดวงดาวหรอกครับ   ผมเลิกมองหาดาวมานานแล้ว....ผมกำลังคิดอยู่ว่าคืนนี้ฝนจะตกหรือเปล่าตะหากล่ะ”   เขาตอบ  ยกแก้วน้ำเปล่าในมือขึ้นจิบนิดหนึ่ง

            “คุณเลิกมองหาดาวมานานแล้ว..ทำไมถึงเลิกละครับ?”

            “เพราะผมไม่ชอบอะไรที่เป็นอดีตไปแล้ว....คุณคงรู้อยู่แล้วว่าดาวที่เราเห็น ความจริงแล้วนั้นมันเป็นเพียงภาพจากอดีต   ตัวมันเองป่านนี้คงจะสลายกลายเป็นเศษฝุ่นในจักรวาลไปแล้วหลายนานแล้ว  เพียงแต่แสงมันเพิ่งเดินทางมาถึงเราเท่านั้น”

“แต่อดีตที่สวยงาม เราก็ควรจะเก็บเอาไว้ไม่ใช่หรือครับ”  ปกรณ์พูด 

“ครับ...ถ้ามันสวยงาม  เราก็ควรจะเก็บเอาไว้”  เตตอบเรียบๆ

“คุยอะไรอยู่คะ สองหนุ่ม”  ข้าวตังเดินเข้ามาร่วมวงด้วย  เธอหันไปบอกปกรณ์ยิ้มแย้ม   “คุณปกรณ์คะ  อาหารอร่อยมากเลยค่ะ  วิวก็สวยสุดใจ  ตังขอบคุณมากเลยนะคะ”   

“ผมตะหากครับที่ต้องขอบคุณที่คุณตังชอบที่นี่   วันหลังมาเที่ยวอีกนะครับ   เสียดายคราวนี้สุขภาพคุณยังไม่พร้อมเท่าไหร่  ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปดำน้ำด้วยกัน”

“ถึงพร้อมตังก็ไม่กล้าดำน้ำหรอกค่ะ  ตังกลัวฉลาม  หึๆ  พี่เตแน่ะค่ะ  อยากดำน้ำมานานแล้ว   คราวนี้มีครูเก่งๆอย่างคุณสอน น่าจะดีนะคะ”   เธอหันไปถามพี่ชาย  เตอึกอัก  ความจริงพรุ่งนี้เขาว่าจะขอตัวจากโปรแกรมดำน้ำพวกนี้เสียหน่อย

“คุณเตอยากดำน้ำหรือครับ  ได้เลยฮะ  พรุ่งนี้ผมจะสอนให้เลย   เอ  คุณตังรับน้ำเพิ่มมั้ยครับ  ผมจะไปหยิบมาให้”   ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องทันควัน   ไม่เปิดโอกาสให้นักเขียนหนุ่มได้ปฏิเสธ

“อุ้ย  ไม่เป็นไรค่ะ  ตังยังทานน้ำมากไม่ได้ค่ะ”   หญิงสาวพูดเสียงใส

“ดูแลตัวเองได้ดีมากครับ คุณตัง”  ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยยิ้มๆ  เขาเดินอ้อมมาจากไหนไม่ทราบ   จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาข้างติณธรเสียเฉยๆ  ท่อนแขนแข็งแรงที่พ้นเสื้อแขนสั้นฮาวายเสียดสีที่ท่อนแขนของนักเขียนหนุ่มคล้ายไม่ตั้งใจ   เตขยับตัวถอยห่างอีกฝ่ายนิดหนึ่ง

“แน่นอนค่ะหมอดิม  ตังกลัวโดนผ่าใหม่อีกรอบจะตายไป  รอดมาได้สองครั้งนี่ก็เก่งสุดๆแล้ว”  เธอหัวเราะในโชคชะตาของตนเอง

“โห  คุณตังผ่าตัดมาสองครั้งแล้วเหรอครับ”  ปกรณ์อุทาน

“ใช่ค่ะ  ครั้งแรกตอนที่ท้องเจ้าเต้   เกือบตายเหมือนกัน  ดีนะที่ตอนนั้นมีพี่เตอยู่ด้วย   จะว่าไปแล้ว  พี่เตก็อยู่ข้างตังทุกครั้งที่มีปัญหา   ถ้าไม่ได้พี่เต  ตังคงตายไปนานแล้ว”

“พูดอะไรอย่างนั้น  ข้าวตัง”  พี่ชายเสียงเข้มขึ้นนิดหนึ่ง  น้องสาวยิ้ม  เอนศีรษะมาซบไหล่ของเขา  กอดแขนเอาไว้แน่น

“ก็จริงนี่คะ  โชคดีที่สุดในชีวิตของตังก็คือพี่เตนี่แหละ”  เตยิ้มนิดๆ  ยกมือขึ้นลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆ   สายตาอีกสองคู่มองตาม ก่อนจะเมินมองไปทางอื่นด้วยความรู้สึกต่างกัน

“น่ารักจังเลยนะครับ  คู่ของคุณเตกับตังเนี่ย    แปลว่าก็เจอกันตั้งแต่สมัยเรียนเลยสิ  ใช่ไหมครับ”  ปกรณ์ถามยิ้มๆ 

“เจอกันตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ  พี่เตดูแลตังมาตั้งแต่ตังยังไว้ผมสั้น ผูกคอซองอยู่เลย”  หญิงสาวเล่าถึงอดีตของตนอีกนิดหน่อย โดยจงใจละเรื่องบางเรื่องเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ   ตอนนั้นเองที่นายแพทย์วิรัลถือแก้วไวน์ในมือเข้ามาร่วมวงด้วยอย่างสนใจ

“คุยอะไรกันอยู่ครับ  ท่าทางสนุกเชียว”  กุมารแพทย์ถาม  สบตากับว่าที่คู่หมั้นของตน

“กำลังคุยเรื่องคุณตังกับคุณเตอยู่ครับ    ว่าทั้งสองคนพบรักกันได้ยังไง....แล้วของคุณหมอทั้งสองล่ะครับ   พบกันตั้งแต่สมัยเรียนเหมือนคุณตังกับคุณเตหรือเปล่า”

“หึ...ให้พี่ดิมเล่าก็แล้วกัน”  วิรัลอมยิ้ม  ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ   รดิศสบตาว่าที่คู่หมั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะมองตรงแลเลยไปยังใครอีกคนที่ยืนอยู่ถัดไป

“ก็ได้”   ทีมงานหลายคนเริ่มลากเก้าอี้เข้ามาร่วมฟังด้วย    เขากระแอมนิดหนึ่ง  ก่อนจะเล่า

“ความรักของผมเป็นรักแรกพบครับ...ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นปีที่สอง   มีงานรับน้องประจำปีที่แต่ละคณะจะต้องจัดเป็นซุ้มเล่นเกม    ผมอยู่ซุ้มหนุ่มน้อยตกน้ำ....   ”

สายตาสองคู่สบกันโดยบังเอิญ  แล้วก็หยุดค้างอยู่อย่างนั้นราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นผนึกสายตาของทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน   

“....เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง   จนกระทั่งได้เจอกับเขา   เหมือนผมโดนหมัดฮุกเข้าให้   รู้ตัวอีกที  ผมก็รักเขาไปแล้ว”     

ติณธรถอนสายตากลับ  เขาพึมพำอะไรสักอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับตัง  แล้วเดินออกจากวงมาเสียอย่างนั้น

รู้ว่าเสียมารยาท   รู้ดีว่ามันคงแปลกพิลึกที่จู่ๆก็ลุกเดินหนีออกมาเสียเฉยๆ   รู้...ทว่าทนฟังอยู่ตรงนั้นต่อไม่ได้จริงๆ   มันทำร้ายหัวใจกันเกินไป

ทำไม...พี่ดิมพูดแบบนั้นทำไม   ไม่สิ  เพื่ออะไร   ทำเหมือนยังรักเขาอยู่  แต่กลับจะไปแต่งงานกับคนอื่น   ...ต้องการอะไรกันแน่ 

“โธ่เว้ย  ไอ้บ้าเอ๊ย!  โอ๊ย!”  ประโยคแรก เขาเตะทรายเต็มแรง  ตามด้วยเสียงอุทานเพราะเท้าถูกเปลือกหอยบาดเข้าให้เต็มๆ 

เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากแผลที่ฝ่าเท้า  ปะปนกับเม็ดทรายที่เปื้อนอยู่   เตจุ่มฝ่าเท้าลงไปในทะเล   ล้างเศษทรายและคราบเลือดออก

ความแสบที่แล่นจากปลายเท้าเข้าสู่สมองทำให้รู้สึกสะใจอย่างประหลาด

“คุณเต  ทำไมเดินออกมาอย่างนี้ล่ะครับ”  ไม่ใช่ปกรณ์ที่ตามออกมา  ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นที่ทำให้เขาเจ็บปวด  ไม่ใช่พี่โดมพี่ชายใจดีของเขา   แต่เป็นภาคย์...เจ้านายของเขาเอง

“อ้อ  คุณภาคย์..พอดีผมอยากออกมาเดินเล่นน่ะครับ”  คนฟังเลิกคิ้ว  เหลือบตามองแผลที่ผ่าเท้าของเขาที่แช่อยู่ในน้ำทะเลเงียบๆ ไม่ถาม

“อากาศที่นี่ดีจังนะครับ”  ชายหนุ่มพูดเรื่อยๆ   เริ่มออกเดินเคียงข้างอีกคนที่ย่ำเท้าลงไปบนผืนทรายทั้งอย่างนั้น    รองเท้าถูกวางลืมเอาไว้ที่ไหนสักแห่งข้างบนหาด

“นั่นสิครับ   เสียดายที่พรุ่งนี้จะต้องกลับแล้ว”

“เรื่องสัมภาษณ์คุณปกรณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ  ราบรื่นดีไหม”   ภาคย์ถาม  เอื้อมมือไปช่วยพยุงคนตัวเล็กกว่านิดหนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเซไปเล็กน้อย

“ดีครับ  ผมสัมภาษณ์ไปเกือบหมดแล้ว  เหลือแต่พวกเกร็ดเล็กๆน้อยๆ เอาไว้ค่อยถามทีหลังก็ได้”

“คุณปกรณ์เป็นอย่างไรบ้าง   ดูเหมือนคุณจะคุยถูกคอกันดี”

“คุณปกรณ์เป็นคนน่ารักครับ”  เตพูดสั้นๆ  “แล้วเรื่องถ่ายแบบของคุณล่ะ  เป็นอย่างไรบ้างครับ  เรียบร้อยดีไหม”

“วันนี้เราถ่ายเซ็ตตอนเย็นไปแล้ว  เหลือแต่วันพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาถ่ายต่อ  ภาวนาให้เช้าวันพรุ่งนี้ฝนไม่ตกด้วยเถอะ”

“สาธุ...ขอให้ฝนอย่าตกเลยนะ  เพี้ยง..  ผมช่วยแล้วนะ ฮ่าๆ”  ติณธรพูดแกมหัวเราะ   ภาคย์หัวเราะตาม   เขาหยุดเดิน   หันมามองอีกฝ่ายเต็มตา

“คุณเต....ไม่ว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกหรือแดดจะออก   ผมก็อยากเห็นคุณหัวเราะแบบนี้ตลอดไปนะครับ”  คนฟังลอบถอนหายใจยาว   เขาหลบตาอีกฝ่าย  ออกเดินต่อ

บรรยากาศคล้ายจะขุ่นข้นขึ้นเล็กน้อย    ภาคย์เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนตัวเล็กกว่า   เห็นเพียงปลายจมูกโด่งคม และแพขนตาที่หลุบลงปกปิดแววตาคู่นั้น   ริมฝีปากอิ่มเต็มเม้มแน่น

“เรื่องคุณรดิศ...ผมว่าจะไม่ถามคุณ   แต่ก็อดเป็นห่วงคุณไม่ได้   คุณเต  คุณโอเคไหม  ถ้าคุณไม่ไหวคุณรีบบอกผมนะ  ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่เอง”

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกหยองส่ายไปมาช้าๆ

“ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก” นักเขียนหนุ่มตอบ  พวกเขาเดินมาจนเกือบสุดหาด   หันกลับไปเห็นแสงไฟจากบริเวณที่กินเลี้ยงกันลิบๆ

เตลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่รดิศขอนัดเขาออกมาดีหรือไม่...

“ไม่มีอะไรหรอกครับ...เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้ว”   สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เล่าออกไป

          ภาคย์ยกมือขึ้นคล้ายจะสัมผัสใบหน้าของเขา  แต่แล้วก็กลับทิ้งมือลงข้างตัว   

          “อย่างนั้นก็ดีแล้ว  ...เรา...กลับกันเถอะครับ”     เตพยักหน้า   ออกเดินนำเขากลับไปตามทางเดิมอีกครั้ง   ภาคย์มองตามแผ่นหลังเล็กที่พยายามยืดตรงนั้น   เขารู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บปวด  อาจจะมากกว่าแผลที่เท้าที่ฝ่ายนั้นจงใจย่ำลงไปในทะเลด้วยซ้ำ   ทว่าเตก็เป็นคนอย่างนั้นเอง   เขายอมรับและอยู่กับความเจ็บปวดได้อย่างหน้าชื่นตาบาน   และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น

            อีกครั้งที่คำว่า ‘คนอื่น’  ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบ  ความรู้สึกที่ทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ  ทั้งที่ในใจอยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลมนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน

            เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว   รู้ตัวอีกทีก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว....นักเขียนหนุ่มนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ที่ว่างเปล่าของตนเองมานาน   เงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของหญิงสาวและเด็กชายบนเตียงนั้นครู่ใหญ่

            เขายังตัดสินใจไม่ตกว่าจะออกไปพบกับศัลยแพทย์หัวใจคนนั้นดีหรือไม่

            ‘นี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของเรา   เพราะหลังจากไปอเมริกาคราวนี้  พี่คงไม่กลับมาอีก’

          มันอาจเป็นกลลวงอะไรสักอย่างของชายหนุ่มผู้นั้น  ที่จงใจขุดขึ้นเพื่อดักเขา ให้ตกลงไปในบ่วงอีกครั้งก็เป็นได้   เหมือนที่อีกฝ่ายเคยทำมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน 

          ‘พี่ไม่อยากให้เราจากกันโดยที่ยังมีอะไรติดค้างกันอยู่   เหมือนเมื่อหลายปีก่อน’

          เรื่องราวระหว่างเขากับพี่ดิมมันพันกันยุ่งเหยิงไปหมดจนยากที่จะแก้ออกทีละเปลาะ  ทางเดียวที่ง่ายที่สุดก็คือตัดปมเชือกนั้นทิ้งไปเสีย 

            ต้องยอมรับว่าลึกสุดใจแล้ว  เขายังอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้   ว่าคนๆนั้นยังรักเขาอยู่   แต่เป็นเขาเองที่คิดมาก  พยายามผลักไสไล่ส่งอีกฝ่ายออกไปด้วยทิฐิในใจ ครั้นพอฝ่ายนั้นบอกว่าอยากดูแลเขา  เพราะคิดว่าเขาเป็นโรคร้ายแรง   ตอนแรกเขาดีใจมาก  ต้องใช้ความพยายามแค่ไหนในการกักเก็บความปลื้มปีตินั้นเอาไว้ภายใต้สีหน้าเย็นชาเหมือนไม่เอาใจใส่   พยายามปฏิเสธอีกฝ่ายทั้งที่หัวใจอ่อนยวบ

            แต่พออีกคนล้มเลิกความตั้งใจ  เพราะรู้ความจริงว่าเขาไม่ได้ป่วยอะไรมากมาย   บอกว่าจะแต่งงานแล้วไปต่างประเทศ  โดยไม่กลับมาอีก  ต้องการแค่จะ ‘เคลียร์’  เรื่องราวในอดีตให้หมดสิ้น   ก่อนจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่เขาตัดสินใจเลือกแล้ว

            เขาก็อดเสียใจแล้วก็เจ็บใจไม่ได้...

            ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้...

            “พี่เต....ยังไม่นอนหรอคะ”   เสียงของหญิงสาวดังขึ้นด้านหลัง  ตามด้วยสัมผัสอบอุ่นรอบตัว   ข้าวตังโอบกอดเขาจากด้านหลังด้วยวงแขนเล็กๆของเธอ  เกยคางแหลมเอาไว้ที่ไหล่

            “ตัง  ทำไมตื่นขึ้นมาล่ะ  พี่ทำเสียงดังเหรอ”  เตถามกลับ   กุมมือประสานกับน้องสาวเล่น

            “เปล่าค่ะ  พอดีตังสะดุ้งตื่นขึ้นมาเอง  เห็นพี่เตนั่งหน้าเครียดอยู่เลยลุกมาคุยด้วย.... ทำงานอยู่หรือคะ”

          “อืม  หัวไม่ค่อยแล่นเลยวันนี้”  ชายหนุ่มเออออไปตามเรื่องตามราว   สบตาน้องสาวครู่หนึ่งก็รู้ว่าเธอคงมีเรื่องกังวลอยู่ในใจ  “มีอะไรหรือเปล่า  ทำหน้าเหมือนมีเรื่องจะพูดกับพี่”

          เธอหัวเราะเบาๆ

            “นี่ตังดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ  หึๆ  ใช่ค่ะ  ตังมีเรื่องจะคุยกับพี่จริงๆ”    ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

            “ตังอยากขอเลิกกับพี่เตค่ะ”


          ……………………………………………………………………


มาต่อนะจ้ะ
ใครยังรอเรื่องนี้อยู่ อย่าลืมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เรานะ

ออฟไลน์ T_TARS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หนูตังบอกช้าไปไหม
ตั้งเตจะยอมหรือเปล่า
แล้วหมอดิมหละ
โอ้ยๆๆๆๆๆ หน่วงสาหัสจริงๆ
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันซักทีหนอ
เตหนอเต .... เธอต้องลดทิฐิลงมาบ้างนะ
 :o12: :o12: :o12:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-04-2018 23:35:54 โดย T_TARS »

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
..

เป็นเต เราก้อทั้งงง ทั้งเสียใจ

เดี๋ยวมาดี เดี๋ยวจะไป

ใจบางๆก้อฉีกขาดได้นะ

แล้วน้องข้าวตังจะมาบอกเลิกอีก

เห็นใจเตหน่อย. ให้เตได้มีที่ยืนที่พักพิง

....

สงสารกันหน่อยได้ไหม ใจมันรับอีกไม่ไหว

 :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:

 :m15:  :m15:  :m15:  :m15:

..






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด