CH 6 jealous SithaWARNING NC18
ผมรู้ดีว่ากำลังหึงในเรื่องของอดีตที่ไม่อาจแก้ไขได้
เสียงกุญแจข้อมือกระทบกันดังขึ้นเมื่อคนบนเตียงขยับตัว ร่างขาว ระเรื่อสีชมพูตามชาติพันธุ์ที่ครึ่งหนึ่งเป็นยุโรปเกร็งตัวจนกล้ามเนื้อนูนขึ้นเป็นมัด ผมกดสายตามองต่ำ ปากแดงถูกมัดไว้ด้วยผ้าขนหนู มีเพียงเสียงครางอู้ที่รอดลำคอออกมายามถูกกระทำด้วยความรุนแรง
เจเรมี่มองค้อนผมด้วยแววตาโกรธขึง และทำได้มากกว่านั้นเล็กน้อยโดยการหยีตาลงเมื่อหัวเข่าถูกจับแยกออกจากกัน ผมเสือกร่างกายเปลือยเปล่าไปด้านหน้า ได้ยินเสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังเป็นระลอก เด็กหนุ่มสะบัดหน้าหัน เม็ดเหงื่อที่ผุดพราวไหลหยดมาตามแรงโน้มถ่วง อวัยวะส่วนหนึ่งของผมอยู่ในร่างกายเขา ตอกย้ำราวกับพยายามสลักลึกลงไปว่ามันเป็นของใคร และใครเป็นคนริเริ่มสอนให้เจเรมี่ใช้ร่างกายแบบนี้ในการปรนเปรอตัวเอง
เข็มนาฬิกาขยับไปบอกเวลาค่อนคืน หลังจากไปให้อาหารหมาที่บ้านโกโรโกโสหลังนั้น ปุณณ์ก็หลับสนิท ผมอุ้มลูกชายคนเดียวเข้านอนห้องข้างๆ กัน และป้องกันไม่ให้เขาตื่นเมื่อจัดการกับไอ้เด็กแสบนี่ด้วยการปิดปากเสียให้มิด และขึงข้อมือทั้งสองข้างไว้กับหัวเตียงไม่ให้หนีไปไหน
หน้าตาก็งั้นๆ ฐานะก็ไม่ได้ดีเด่อะไร หน้าที่การงานก็เป็นแค่ตากล้อง ไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มิหนำซ้ำยังมีเมียเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่ไอ้เด็กนี่ก็ยังรออยู่ได้
ที่สำคัญคือการที่มันคบกับผมเมื่อคราวนั้น
เพียงเพราะอยากตัดใจลืมใครบางคนที่ไม่เคยเหลียวมองมันเลย
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่อังกฤษ
กลายเป็นผมที่เป็นคนโง่โดนมันหลอกใช้ได้เป็นปีๆ“อยากจะปล่อยหรือยัง” ผมถาม มือข้างหนึ่งบังคับร่างกายของเจเรมี่ไว้ไม่ยอมให้หลั่งโดยง่าย ทั้งๆ ที่ตัวเองเสร็จมาสองรอบติด แต่ก็ใช้ปลายนิ้วกดบังคับกล้ามเนื้อที่แดงก่ำจนแทบระเบิดของคนในอาณัติไม่ให้สุขสมตามความต้องการ
เจเรมี่ถลึงตามอง ผมช่วยอนุเคราะห์ด้วยการดึงผ้าที่ปิดปากไว้ให้เลื่อนลงมาจนสามารถพูดออกมาได้
“Fuck you!”
“สอนกี่ครั้งแล้ว ว่านายต้องพูดคำว่า Fuck me!”
“โอ๊ะ!”
เสียงอุทานร้องขึ้นเมื่อผมดันตัวเองลงลึกจนเด็กหนุ่มดิ้นพล่าน แหงนคางตัวเองขึ้นเล็กน้อยแล้วใช้แขนรัดสะโพกให้แม่นมั่นยามชำแรกร่างกายอีกฝ่ายตามอำเภอใจ เจเรมี่กัดปากล่างของตัวเอง ผ่อนลมหายใจออกมาช้าแต่แรงเมื่อความปรารถนาพุ่งทะยานขึ้นสูง
“เคยทำอะไรกับมันบ้าง”
“ไม่....ไม่เคย” เขาตอบเสียงพร่า เมื่อผมหรี่ตามองก็พบว่าเป็นความจริง ส่วนหนึ่งอาจเพราะฝ่ายนั้นไม่เล่นด้วย สังเกตเอาจากปฏิกิริยาเมื่อวานที่คุยกันในแนวที่ตากล้องหนุ่มมาดเซอร์แสดงออกมาก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเจเรมี่เป็นฝ่ายรุกเร้าอย่างเดียว และนั่นยิ่งทำให้ผมโกรธขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว
“ร่าน!”
“โอย... ผมเจ็บ”
“ดี จะได้จำเสียบ้างว่าต้องทำตัวยังไง”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม!”
“แน่ใจอย่างนั้นหรือ?” ผมถามก่อนหัวเราะเสียงขึ้นจมูก ใช้ดวงตาไล่มองเรือนร่างที่บิดเร่าบนเตียง ผมจงใจหยุดการกระทำทุกอย่าง แน่นิ่งและรอคอยให้ผู้ถูกกระทำเรียกร้องมันด้วยตนเอง กล้ามเนื้อของคนเบื้องล่างเกร็งตัว โอบกอดเรือนร่างผมไว้ด้วยผนังอันอ่อนนุ่ม มันกระตุกเป็นจังหวะพร้อมชีพจร น่าแปลกที่เจเรมี่ใช้ร่างกายตัวเองแสนเปลืองแต่กลับรัดรึงจนผมต้องหรี่ตาลงเพื่อสยบความปรารถนา
เสียงลมหายใจดังฟึดฟัด คนถูกลงทัณฑ์เริ่มบิดกายหนีออกจากพันธนาการอย่างจริงจังอีกครั้ง และพบว่าทำได้เพียงขยับโยกข้อมือที่ถูกล็อกไว้ด้วยกุญแจเงินไปมา
“ศิ...”
เสียงแหบพร่าเรียกสลับหอบ แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลง ยิ่งเขาเกร็งตัวหักห้ามอารมณ์อันพุ่งพล่านแค่ไหนมัดกล้ามต่างๆ บนร่างกายยิ่งนูนขึ้นชัด ผมวางมือลงบนหน้าท้อง เห็นรอยระหว่างกล้ามเนื้อขึ้นรูปสวยราวกับปติมากรรมชั้นสูง เจเรมี่ขยับสะโพกด้วยตัวเอง แต่ด้วยท่าทางที่ไม่อำนวย สุดท้ายปากแดงๆ ก็เอ่ยร้องขอด้วยความจำนน
“ได้โปรด อย่าปล่อยมันไว้แบบนี้”
“แบบไหน?” ผมถามพลางกดมุมปากข้างหนึ่ง เขาไม่ตอบ มิหนำซ้ำยังเบือนหน้าหนีความอัปยศที่ตัวเองต้องการให้ผมหยุด แต่ร่างกายกลับเรียกร้องไม่สิ้นสุด ผมถามซ้ำ ยอกย้อนสิ่งที่เด็กถือดีปรามาสว่าผมไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งหรือเป็นเจ้าของของตัวเองด้วยน้ำเสียงกวนโมโห “ฉันไม่มีสิทธิ์สั่งนายใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันควรให้คนที่ฉันสั่งได้มานอนที่ตรงนี้ใช่หรือเปล่า”
ผมผละถอย แต่ขาขาวกลับเกี่ยวกระหวัดไม่ยอมให้ลุกหนี เจเรมี่หน้าแดงจัด ปิดตาสนิทซ่อนความอับอายให้พ้นจากสายตา
“Don't leave me! I’m sorry!”
“พูดใหม่”
“ขอโทษ” ผมหัวเราะในลำคอ เมื่อจบประโยคแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มก็ผวาออกจากพันธนาการ ผมขยับตัวกลับเข้าไปอีกครั้ง รอบเดียวจนสุด เสียงเหล็กกระทบกันของกุญแจข้อมือดังขึ้น ริมฝีปากแดงที่ถูกลงโทษจนเจ่อบวมเม้มเข้าหากันแล้วคลายออก
“ผมขอโทษครับ!”นาทีนั้นผมไม่ตอบว่าให้อภัย แต่ใช้ปลายนิ้วข้างหนึ่งสางเส้นผมที่เหนียวเหนอะบนใบหน้าราวตุ๊กตาปั้นออก น้ำตาหยดใสรินลงมาที่หางตาเมื่อผมจงใจกดร่างกายลงลึกไปพร้อมๆ กันจนคนเบื้องล่างเผลองอเข่าลดอาการจุกในช่องท้อง เจเรมี่ไม่ชอบให้ทำแบบนี้ แต่ผมก็ดึงดันจะทรมานอีกฝ่ายจนได้ และหากให้เทียบกับไม่ทำอะไรเลย ผมกลับมั่นใจว่าเจเรมี่ยังเลือกที่จะถูกทรมานซ้ำๆ กับท่าทางการสมสู่ที่ผิดธรรมชาติแบบนี้อยู่ดี
“พรุ่งนี้ไปตรวจเลือด” เมื่อเขารับปากจะอยู่ในอาณัติแล้ว ผมก็ออกคำสั่งแรก พลางคลายมือข้างที่กดส่วนปลายอวัยวะอันเครียดขมึงออก ของเหลวถะถังหลั่งไหลกรูออกมาราวกับนบเขื่อนพัง จากด้านหน้าจนชุ่มมาตลอดถึงด้านหลัง ช่วยให้กิจกรรมดำเนินต่อได้อย่างต่อเนื่อง เสียงเฉอะแฉะของของเหลวดังขึ้นเมื่อผมขยับสะโพกขึ้นลงถี่ เจเรมี่ก็สั่นคลอนไปทั้งร่าง กุญแจมือกระทบหัวเตียงดังกึก ศีรษะเด็กหนุ่มเคลื่อนขึ้นลงก่อนเปล่งเสียงทุ้มต่ำเมื่อปลดปล่อยตัณหาออกมาอีกระลอกโดยปราศจากการแตะต้องด้วยมือ
“กับไอ้เวรนั่นก็เลิกติดต่อมันไปเสีย”
ผมออกคำสั่ง ก่อนโอบรัดเอวอีกฝ่ายให้แม่นมั่น เมื่อความปรารถนามาใกล้ถึงเส้นชัยก็ถอนตัวออกจากร่างที่นอนพังพาบ ปวกเปียกจากการลงโทษติดต่อกันเป็นเวลานาน โยนเศษซากถุงยางอนามัยออกห่าง บังคับให้เด็กหนุ่มเผยอปากกลืนกินเมล็ดพันธุ์ทุกหยาดหยด เจเรมี่ไอโขลก ขณะที่ผมผ่อนลมหายใจออกยาวเหยียดเมื่อยัดเยียดความปรารถนาของตัวเองสู่อีกฝ่ายได้สาสมใจ
ภาพของเจเรมี่ที่เปลือยเปล่า ถูกขึงพืดไว้ด้วยกุญแจมือ คอพับหมดเรี่ยวแรงขณะที่คราบของเหลวสีขุ่นไหลรินจากริมฝีปากมาถึงปลายคางนึกชวนให้ผมอยากรังแกอีกซ้ำๆ แต่ก็ยอมฝืนใจ เมื่อเห็นท่าทางใกล้ขาดใจของอีกฝ่าย ก่อนพลิกตัวหันไปหยิบลูกกุญแจที่ถูกโยนทิ้งลงข้างเตียงมาไขให้เป็นอิสระในที่สุด
“ลุกไปทำความสะอาดร่างกาย”
มือเล็กร่วงหล่นสู่เบาะเตียง ผมขยับตัวลุกเพื่อชุดคลุมสีขาวสะอาดที่วางพาดบนพนักพิงเก้าอี้มาสวมลวกๆ และแม้ได้รังแกอีกฝ่ายเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของจนสาหัสสากันแล้ว ความขุ่นข้องก็ไม่ยอมจางลงเสียที
“คุณ...” เจเรมี่เรียกเสียงแหบต่ำ นอนหมดสภาพเด็กถือดีที่ถูกขึงติดหัวเตียงในทีแรกจนสิ้น “...จะไปไหน”
“ไปนอนกับปุณณ์”
“ไม่เอา” มือขาวคว้าที่ข้อศอก ยื้อผมเอาไว้ด้วยแววตาร้องขอ “นอนกับผม”
“เจเรมี่ ฉันอารมณ์ไม่ดี”
“คุณจะทำแบบเมื่อกี้อีกก็ได้” คนพูดวางแก้มตัวเองลงบนฝ่ามือที่คลี่ออกของผม ทั้งๆ ที่ทำตัวไม่แยแสกับอะไร แต่บางครั้งกลับเหมือนลูกแมวที่ต้องการความรักความอบอุ่นตลอดเวลา แววตาคู่นั้นทอดมองมาอย่างออดอ้อน ของเหลวจากผมยังมีคราบเปื้อนอยู่ที่มุมปากและสันคาง เมื่อเขาพูดคำว่า “นอนกับผม” ย้ำอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนตามเคย
“ไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาด”
ผมสั่งพลางจับข้อมือที่มีรอยแดงจากการขูดครากขึ้นมาดู แม้จะด้วยเรื่องบนเตียง ไม่มีตบตีกันแต่อย่างใด แต่เมื่ออารมณ์สงบลง ความรู้สึกผิดที่รุนแรงกับอีกฝ่ายกลับงอกเงยขึ้นมาทีละนิด
ผมมีเซ็กซ์ที่รุนแรงกับเขา เพียงเพราะอยากจะเอาชนะไอ้รักแรกบ้าบออะไรนั่น
แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นห่วงคนที่อยากรังแกให้เจ็บซ้ำๆ แทน
“ฉันจะไปเตรียมยาให้ อย่าช้า”
เจเรมี่พยักหน้า แต่กลับอ้อยอิ่ง ขยับตัวมาโอบกอดผมอยู่อย่างนั้นอีกหลายนาที...
.
.
ไม่อยากเชื่อว่าผมสามารถคลายความหงุดหงิดทั้งหมดทั้งมวลลงได้ เพียงเพราะอาการซุกหาอกอุ่นๆ ของเจ้าลูกแมวจอมผยองตัวนั้นหลังถูกลงทัณฑ์จนช้ำไปทั้งตัว
เสียงนกในสวนสาธารณะร้องสลับกับเสียงลมลู่ใบไม้ ช่วงสายของวันถัดมา เจเรมี่ตื่นก่อนผม และลงมาดูการ์ตูนกับปุณณ์ที่ห้องโถงของบ้าน กอดถังป๊อบคอร์นที่สั่งให้เจตต์เวฟให้กินตาแป๋ว แก้มปุณณ์เลอะเนยจนมันวับ นิ้วทั้งสิบเปรอะเปื้อนไปด้วยของกิน เมื่อเห็นผมก็จัดการดูดนิ้วก่อนอ้อนให้อุ้มตามประสาเด็กน้อยจอมโยเย
เจเรมี่ปรายตามอง เมื่อผมนั่งลงใกล้ก็ขยับหนี พูดเพียงคำสั้นๆ ว่าหิว กับอยากออกไปปั่นเรือถีบท่าสวนรถไฟ คู่หูตัวมอมก็รีบรบเร้าผมทันที เป็นเหตุให้ช่วงบ่ายแก่เราต่างพากันมานอนปูเสื่อ กินแซนด์วิชจากร้านสะดวกซื้อเพราะเชฟมือฉมังขี้เกียจทำอาหารก่อนออกมาโดยอ้างว่าเจ็บข้อมือที่ถูกล็อกกุญแจเมื่อคืนนี้ไม่หาย
ผมเอนกายพิงต้นการเวกสูงใหญ่ มองหนุ่มลูกครึ่งแบ่งแซนวิชที่ว่ากับเด็กชายคนละครึ่งโดยเลือกครึ่งที่ไส้เยอะกว่าไว้เอง ก่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อปุณณ์ทำหน้ามู่ทู่ไม่พอใจแล้วยอมสลับเป็นตัวเองกินฝั่งที่ไส้น้อยกว่าในภายหลัง ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันเมื่อวานแท้ๆ แต่หนุ่มน้อยต่างวัยช่างดูเข้ากันดีเสียเหลือเกิน
“นายครับ”
ท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ผมใกล้จะปิดตาหลับ คนรถที่ขับพาพวกเรามาก็โค้งตัวลงต่ำพลางกระซิบกระซาบ ผมพยักหน้า เมื่อแน่ชัดว่าทั้งลูกชายและคนรักตัวเองยังเพลิดเพลินกับการเย้าแหย่กันก็ลุกขึ้นตามเจตต์ออกมาด้านนอกเงียบๆ
“ว่าไง”
“อนุพงษ์ตรวจพบการโอนหุ้นมูลค่า 98 ล้านให้ผู้หญิงที่ชื่อลลดาครับ”
“สินมีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เรื่องนี้คุณศุภสินไม่เคยแจ้งใครครับ คนที่รู้ก็หายตัวไปหมด” เจตต์พูดเสียงเบา แต่ชัดแจ้งในความหมาย ซึ่งก็คือคนที่รู้เรื่องทรัพย์สินและมรดกของน้องชายที่ล่วงลับของผมถูกเก็บแล้ว ไม่ว่าด้วยวิธีการที่ยังสามารถมีหรือไม่มีลมหายใจก็ตาม “ลลดาเป็นผู้หญิงที่คุณสินติดพันด้วยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาก่อนเกิดอุบัติเหตุ”
“นายคิดว่าบังเอิญหรือเปล่า”
ผมถามพลางหัวเราะขึ้นจมูก แต่เจตต์ไม่ตอบ เขายืนสงบนิ่งโดยกุมมือไว้ด้านหน้าด้วยความนอบน้อม “ก็ตามเรื่องนี้ไปเงียบๆ ถ้าได้อะไรคืบหน้าก็รีบมารายงาน”
“ครับ”
“อ้อ...” ผมครางเมื่อนึกขึ้นได้ ก่อนพาเจเรมี่มาปั่นเรือถีบผมบังคับให้เขาไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลตามตกลงเมื่อคืน เด็กหนุ่มไม่อิดออด แต่ยื่นข้อเสนอให้ผมตรวจเลือดหากต้องการมีสัมพันธ์ที่มั่นคงมากกว่านี้ต่อกัน
ซึ่งนั่นผมตีความได้ว่าเราจะติดต่อกันอีกหลายครั้งนับจากนี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลับมาคบหากันจริงๆ จังๆ อีกครั้งในระยะเวลาอันใกล้
“ตามเรื่องเจเรมี่ให้ฉันด้วย”
“คุณศิแน่ใจจริงๆ เหรอครับว่าต้องเป็นคนนี้...”
“ฉันเคยคบกับเขา ฉันรู้ว่าจุดอ่อนของเจเรมี่คืออะไร” คว้านมือเข้าไปในกางเกง เมื่อหยิบกล่องบุหรี่เหล็กขึ้นมา เจตต์ก็ยกไลเตอร์จุดไฟให้ “ไม่ว่ายังไง ฉันก็จะเอาเขามาเป็นของตัวเองให้ได้อยู่ดี”
“คนที่ไม่ทำให้คุณยุ่งยากกว่าเดิมมีเยอะมากแท้ๆ”
“นั่นสินะ” ว่าพลางจรดริมฝีปากกับมวนบุหรี่ สูบเอาควันนิโคตินเข้าปอดก่อนผ่อนออกมาเชื่องช้า สีขาวของมวลละอองที่เผาไหม้ลอยละล่อง เป็นผืนหนาก่อนจางไปเมื่อสายลมโชยผ่าน “เจ้านี้พอดื้อแล้วก็ดื้อจนน่าเหนื่อยใจเสียด้วย แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยกับรุ่งอรุณว่าไง”
“เขาอยากเชิญคุณศิไปดูนวัตกรรมใหม่ของโรงงานครับ”
“สัปดาห์หน้าฉันว่างวันศุกร์” พูดถึงตารางงานที่แน่นขนัด ส่วนใหญ่แล้วผมนึกขึ้นได้แค่เพียงวันที่ว่างของตัวเองเท่านั้น “ฉันจะไปเจอลลดา เรื่องโรงงานนั่นส่งคนไปแทนแล้วกัน คุณณัฐฐาก็ได้”
ผมสั่งก่อนทิ้งมวนบุหรี่ลงบนพื้น ขยี้เหยียบด้วยปลายเท้า และเดินกลับมายังตำแหน่งที่เด็กน้อยและชายหนุ่มพากันหัวเราะร่วนให้กับใบไม้ที่ร่วงลงมาบนศีรษะทุยพอดิบพอดี สายลมโชยเอื่อย เมื่อเจเรมี่เห็นผมก็ยิ้มให้ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมทำทีจะทิ้งเขาไปวันนี้กลับน่ารักขึ้นมาเป็นเท่าตัว
“คุยอะไรกับเจตต์”
“บอกให้ไปเอาผลเลือดให้น่ะ แล้วนี่เล่นอะไรกัน”
“มองก้อนเมฆแข่งกันว่าใครจะเห็นเป็นรูปสัตว์ได้มากกว่า” ผมทรุดตัวลงนั่ง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีสว่าง วันนี้อากาศสดใส ไม่ร้อนจนเกินไป “เล่นด้วยกันไหมศิ”
“คนชนะได้อะไร”
“ได้อะไรดี”
“จุ๊บ” ปุณวิศพูดก่อนทำปากจู๋ ผมหัวเราะร่วนเมื่อเขาชี้ปากตัวเองซ้ำๆ
“คนชนะได้จุ๊บคนที่แพ้เหรอครับน้องปุณณ์”
ลูกชายคนเดียวพยักหน้า เขาหันไปมองอาเจ็มคนโปรดแล้วยิ้มจนตาปิด “ปุณณ์...ปุณณ์จุ๊บอาเจ็ม”
ผมหัวเราะในลำคอ ก่อนยืดคางไปหอมแก้มสากของอาเจ็มต่อหน้าต่อตา ปุณวิศทำหน้ามู่ทู่ ปีนขึ้นบนตักเจเรมี่ก่อนยืดสุดแขนเพื่อเช็ดรอยจูบที่ทิ้งค้างไว้บนแก้มด้วยท่าทีขัดอกขัดใจ
“พ่อโกง”
ชูนิ้วโป้งเล็กๆ เด่นหรา เจเรมี่มองผมพลางยักคิ้วยวน “ลูกโกรธแล้ว สมน้ำหน้า”
“จะได้รู้ไงว่าใครเป็นของใคร”
คนตัวเล็กกว่าหลุบสายตาลง แสร้งทำเป็นทำหน้าทะเล้นกับลูกชายของผม ข้อมือทั้งสองข้างยังแดง มีรอยถลอกและฮ่อเลือดเป็นสีม่วงช้ำ ผมละสายตา ช้อนขึ้นมองคนที่ก้มหน้าก้มตา ทั้งที่ถูกรังแกแท้ๆ แต่กลับยิ้มอยู่ได้
ผมยืดตัวไปจูบที่ข้างแก้มอีกครั้ง เด็กหนุ่มย่นจมูกแล้วขยับหนีโดยไม่ยอมสบตา
TBC
แม่เจ้าโว้ยยย ไม่เคยเขียนให้พระเอกดุล้ายขนาดนี้มาก่อนเลย /ปิดตา
เมตตาพี่ศิด้วยนะคะ เค้าถูกหลอกใช้มาตลอดจีจี
ด้วยรักกกกกกกก