MBK❤lover
ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย พริกเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ 'คิดยังไง...คิดให้ต่าง' ของนักเขียนต่างประเทศรุ่นเก่าที่กำลังอ่าน เมื่อได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน และไม่นานเกินรอ เจ้าของรถก็มายืนอยู่หน้ารั้วบ้านแล้ว
"ต้นข้าว" พริกอุทานออกมา "ไปไงมาไงกันนี่ ไม่บอกไม่กล่าว มาๆ เข้ามาก่อน"
ต้นข้าวเดินมึนๆ เข้ามาในบ้านพริกโดยไม่พูดไม่จาใดๆ พอถึงโต๊ะในบ้านก็นั่งแหมะลงไป เอาศอกเท้าโต๊ะและเอามือทั้งสองขึ้นไปกุมหัว
ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว กว่าต้นข้าวจะมาถึงบ้านพริกที่ถนนลาดปลาเค้า ก็ขับหลงหลายรอบ เพราะความที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ต้องเลี้ยวกลับรถหลายต่อหลายตลบ
บ้านพริกเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวในซอยค่อนข้างลึก ในบ้านมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นร่มครึ้ม บรรยากาศเงียบเพราะเป็นหลังสุดท้ายก้นซอย ทว่าในบ้านเปิดไฟสีเหลืองนวลทั้งบ้านทำให้ดูอบอุ่น ไม่ได้ดูอ้างว้างแม้ว่าจะมีพริกอยู่บ้านเพียงคนเดียวตอนนี้
"เป็นอะไรไปวะ ต้นข้าว" พริกนั่งจ้องต้นข้าวที่นั่งเอามือกุมหัวอยู่นาน จนต้องเอ่ยปากถาม "หรือเธอรู้เรื่องเอกแล้ว ?"
คราวนี้ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นมามองพริกอย่างสงสัย และเปิดปากพูดเป็นประโยคแรกตั้งแต่เข้าบ้านมา "เรื่องเอก ? ทำไม เอกมันเป็นอะไรอีก"
"อ้าว นึกว่าเธอรู้แล้วและจะมาคุยกันเรื่องนี้ที่บ้านชั้นนะนี่" พริกลดเสียงพูดลง
"...เอก ตายแล้วนะ"
ต้นข้าวผู้ซึ่งไม่ได้พร้อมที่จะรับฟังเรื่องเลวร้ายอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว แล้วจู่ๆ พริกก็พูดเรื่อง 'เอก ศักดิ์สิทธิ์' เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันกับต้นข้าวตั้งแต่มัธยมจนมาถึงมหา'ลัย มาตายปุบปับแบบนี้อีก ตอนนี้ต้นข้าวมีสภาพหน้าตาเหมือนคนโดนโลกทับใว้ทั้งใบ ใต้ตาเหี่ยวย่น ปากซีดเซียวอ้าเผยอ เหมือนคนตกใจอะไรตลอดเวลา มันเกือบจะมีอาการพะงาบๆ อยู่รอมร่อแล้ว ดูน่าสมเพชเวทนา
"พอพ่อแม่ของเอกเห็นว่ามันป่วยหนัก หมอเมืองไทยบอกว่าไวรัสที่เรียกกันว่า HIV ตัวนี้ยังไม่มียารักษา เลยส่งไปรักษาที่อเมริกา แล้วจู่ๆ มันก็ปอดติดเชื้อ แล้วตายเมื่อวานนี้ที่โรงพยาบาลในอเมริกานั่น ชั้นโทรไปถามข่าวที่บ้านเอกมา ถึงได้รู้เนี่ย"
พริกก็ไม่ทันคิดอะไร ไหนๆ เกริ่นขึ้นมาเลยพูดให้หมด แต่พอยิ่งพูดไป เริ่มเห็นต้นข้าวที่ทำหน้าเหมือนจะเป็นคนป่วยระดับโคม่าที่ต้องหามขึ้นรถหวอนำส่งโรงพยาบาลซะเอง
สำหรับต้นข้าวแล้ว วันนี้มันสาหัสจริงๆ เรื่องของจิว มันเหมือนโดนฉีดยาชาวางยาสลบ มันอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก หัวใจไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ ส่วนเรื่องพี่ตุ๊ก เหมือนโดนมีดผ่าตัดมาชำแหละหัวใจสดๆ แล้วพอมาเจอเรื่องเพื่อนตาย อันนี้ใจหายเหมือนวิญญาณที่เหลืออยู่น้อยนิดแทบจะปลิดปลิว
"เฮ้ย ต้นข้าว เธอเป็นอะไร ไหวไหมนี่..." พริกเข้ามาเขย่าๆ ตัวต้นข้าว เอามืออังหน้าผาก
"ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ใจเย็นๆ นะเธอ รอแป็บนะ ชั้นไปเอาน้ำอุ่นๆ มาให้เธอกิน นั่งนิ่งๆก่อนนะ"
พริกเอามือแตะหลังต้นข้าวเบาๆ แล้วเดินไปหลังบ้าน ในใจนึกว่า --นี่ชั้นพูดเรื่องนี้ผิดเวลาหรือเปล่าหว่า มันเป็นอะไรของมัน หรือทะเลาะกับจิวมา--
หลังจากพริกเอาน้ำอุ่นมาให้ต้นข้าวจิบ และนั่งใจเย็นรอให้ต้นข้าวสบายใจขึ้น เลิกเอามือกุมหัว จนกระทั่งต้นข้าวเริ่มเปิดปากเล่าในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดวันนี้ ตั้งแต่เรื่องของจิว ไปจนถึงเรื่องของพี่ตุ๊ก
.................
"จัญไรแท้" พริกด่าออกมาเมื่อฟังเรื่องของพี่ตุ๊กจบลง "มันหลอกใช้เราเป็นบันไดตะกายดาวมาตลอดเลยนะนั่น ดีแล้วล่ะ จบๆ มันไปเถอะ ไม่ต้องไปคิดเรื่องของมันอีกต่อไป ไม่มีค่าอะไรให้จดจำ แล้วคราวหน้าคราวหลังก็อย่าเผลอใจกับเรื่องแบบนี้อีกนะ"
"ส่วนเรื่องของจิว เฮ้อ..." พริกถอนหายใจยาว "จริงๆ เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของคนสองคนที่จะทำความเข้าใจกันเนอะ ชั้นก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวบางเรื่อง และไม่กล้าแนะนำอะไรกับเธอหรอก เพราะถ้าแนะนำไป บทจะเลิกกัน ชั้นก็เป็นบ่างช่างยุ หรือถ้ากลับมาคืนดีกัน ชั้นก็จะกลายเป็นหมา
เอาเป็นว่าชั้นเคารพในการตัดสินใจของเธอ แต่ไหนๆ เธอก็เล่าแล้ว และเรื่องมันก็มาขนาดนี้แล้ว ชั้นก็ขอสารภาพอะไรอย่างหนึ่งกับเธอหน่อยแล้วกัน"
"ยังมีอะไรที่เราไม่รู้เหรอ" ต้นข้าวเลิกคิ้วถาม สภาพหน้าตาที่บิดเบี้ยวจากความทุกข์ระทมตอนมาถึงบ้านใหม่ๆ เริ่มทุเลาลงบ้างแล้วหลังจากได้ระบายออกมา
"จิวได้มาดูเธอแสดงละครเวทีมิสซิสแฮริสนะต้นข้าว ชั้นแอบโทรไปชวนจิวมาเองแหล่ะ ก่อนหน้านั้นไม่ใช่เพราะจิวไม่อยากมา แต่เขาต้องไปต่างจังหวัด และกลับมาทันดูรอบสุดท้ายพอดี ชั้นเป็นคนฝากตั๋วไว้ให้เองแหล่ะ แต่ชั้นเองก็ไม่ได้เจอจิววันนั้นนะ มัวแต่ยุ่งหลังเวที"
ต้นข่าวเงียบอึ้งไป ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"จิวเค้ารักเธอมากนะต้นข้าว...วันนั้นชั้นก็เลยจัดให้ ชั้นอยากให้จิวมาเห็นในวันที่เธอทำอะไรสักอย่างออกมาสำเร็จตามฝันน่ะ ความสำเร็จก็เหมือนสายลม..." พริกพูดพร้อมกับทอดสายตาออกไปที่สวนข้างบ้านนอกหน้าต่าง
ต้นข้าวหันไปมองหน้าพริกแบบ งงๆ ในคำสุดท้ายที่พริกพูดออกมา "คืออะไร ความสำเร็จก็เหมือนสายลม ?"
"ก็คนเรานี่ไง เวลาทำอะไรสำเร็จไม่ว่าจะเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง ได้ขึ้นรับถ้วย รับโล่ รับเสียงตบมือขนาดไหนก็ตาม
ความสำเร็จนั้นก็เหมือนสายลม มันจะพัดผ่านเลยไป ยกเว้นแต่ว่าเรามีคนที่เรารักสักคนหนึ่ง อยู่เป็นกำลังใจเคียงข้างเรา และเราก็อุทิศความสำเร็จนี้ให้เขา นั่นแหล่ะ เราถึงจะรู้ว่าผลงานนั้นมันเสียงดังก้องและยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหน"
................
"ดีขึ้นแล้วนะเธอ" พริกถามต้นข้าว เมื่อเวลาผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง
"อืม ดีขึ้นมากแล้ว ได้ระบายออกไปบ้าง ขอบใจเธอมากนะอีงู"
"ไม่เป็นไรหรอกเราเพื่อนกัน แต่มันน่าจะดีกว่านี้นะ ถ้าพรุ่งนี้เธอไปทำงานใหญ่ โดยมีชั้น มีจิว มีเอก ไปนั่งตบมือให้กำลังใจเธอตอนจบงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันน่ะ"
"นั่นสินะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ" ต้นข้าวพูดอย่างปลงๆ
"เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ถ้าเรายังมีโอกาส เราควรทำสิ่งๆ ดีๆ และบอกรักคนที่เรารักบ้างเนอะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสบอกเหมือนกับ...เอก..." พริกมีสีหน้าที่เศร้าสลดลง
ต้นข้าวหันไปมองหน้าพริก "ขอบใจจริงๆ นะอีงู เรารักเธอนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด"
"ชั้นก็รักเธอ เพื่อน" พริกหันมายิ้มกว้างให้ต้นข้าว "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พรุ่งนี้เธอต้องทำงานมหกรรมลูกทุ่งสยามนี้ให้ออกมาดีที่สุด อย่าให้อะไรมากวนใจเธอ '
The show must go on' ถ้าเธอยังเจ็บปวดใจจนเดินไม่ไหว ก็ให้คลานไป ถ้าเธอคลานไม่ไหว ให้กลิ้งไป ถ้ากลิ้งไปไม่ไหว ให้บอกชั้น ชั้นจะหามเธอไปเอง เพราะ
การแสดงยังต้องดำเนินต่อไป"
ต้นข้าวยิ้มให้พริก อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบ และมองตากันด้วยความเข้าใจ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายก่อนส่งเด็กหนุ่มคนเก่งขับรถกลับบ้าน
"แต่อย่างน้อย เธอก็สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วล่ะต้นข้าว ตั้งแต่เธอมาบ้านชั้นคืนนี้ เล่าทุกอย่างให้ชั้นฟัง ชั้นยังไม่เห็นน้ำตาเธอสักหยด เธอเป็นคนใจแข็งมากนะ ชั้นนับถือหัวใจเธอจริงๆ เธอต้องทำงานพรุ่งนี้ให้สุดพลังเลยนะ"
--------------------
งานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔
หอประชุมใหญ่
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
วันที่ต้นข้าวรอและตั้งใจทำก็มาถึง เขาไปถึงศูนย์วัฒนธรรมตั้งแต่ ๙ โมงเช้า เพื่อประชุมลูกน้องทีมงานในส่วนของการกำกับเวที รับบรีฟจากโปรดิวเซอร์ เตรียมห้องแต่งตัวศิลปินและนักร้องต่างๆ ดูความพร้อมของอาหารและเครื่องดื่มทีมงาน ช่างแต่งหน้า-ทำผม
กว่าจะประชุมและการเตรียมงานเสร็จในส่วนด้านหลังเวทีก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ต้นข้าวเดินขึ้นมายืนมองบนหอประชุมใหญ่ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยนี้ ตอนนี้มันยังโล่ง เพราะยังไม่เปิดประตูให้ผู้ชมเข้ามา มีเพียงพนักงานทำความสะอาดสองสามคนกำลังดูดฝุ่นพื้นพรมอยู่
ต้นข้าวเดินเข้าไปใกล้หน้าเวที ตอนนี้มีผ้าม่านผืนมหึมาปิดอยู่ มันเป็นผ้าม่านปักลายที่งดงามวิจิตรมาก ออกแบบร่างโดยศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่ง ลวดลายที่เห็นเป็นภาพของพระพุทธเจ้า ท่ามกลางองค์เทพและเทวดาล้อมรอบเต็มทั้งผืน
ผ้าม่านผืนนี้ผืนเดียวมีมูลค่าสูงถึง ๒๗ ล้านบาท! ต้องส่งไปทอและปักลายที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะในเมืองไทยยังไม่มีเครื่องทอผ้าชิ้นเดียวที่มีขนาดใหญ่มากโดยไร้รอยต่อแบบนี้ได้ รวมทั้งเทคนิคการปักลายที่วิจิตรพิสดารอลังการเช่นนี้
หนุ่มน้อยยิ้มให้กับผ้าม่านผืนงาม นี่สินะ ความฝันตั้งแต่เด็กๆ ของเขา ที่ต้องการจะเข้ามาเปิดม่านแห่งโลกมายาใบนี้ ต้นข้าวเดินมาไกลจากความฝันหลังโรงงิ้วและโรงลิเกที่สร้างจากไม้ไผ่ในงานวัดไปมากแล้ว
ไฟบนเพดานเริ่มหรี่ลง ประตูทางเข้าหอประชุมถูกเปิดออก แขกผู้มีเกียรติและคนในวงการเริ่มทยอยเข้าประจำที่นั่ง
...................
"สแตนด์บายเพลงเปิดม่าน ห้า - สี่ - สาม - สอง - ไป..."
เสียงโปรดิวเซอร์สั่งเข้ามาในวิทยุสื่อสารของระดับหัวหน้าทุกฝ่าย เพลงเปิดเวทีเริ่มบรรเลง ผ้าม่านผืนใหญ่อันวิจิตรค่อยๆ เลื่อนเปิดขึ้นไปด้านบน เผยให้เห็นเวทีที่ตกแต่งใน Theme ท้องทุ่งนาที่เปรียบเหมือนโลกแห่งเสียงเพลงลูกทุ่ง
การแสดงบนเวทีเริ่มขึ้นแล้ว ศิลปินเพลงลูกทุ่ง ๔๐ ชีวิตที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศมารวมตัวกันบนเวทีนี้ ทุกเพศ ทุกวัยตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงรุ่นเก่า มีทุกสมญานาม
ต้นข้าววิ่งวุ่นอยู่หลังเวที ควบคุมลูกน้องที่เป็น Backstage ให้จัดการคิวของนักร้อง และแดนเซอร์ หรือตัวประกอบให้เป็นไปอย่างราบรื่น บางคนใช้ไมค์ลอย บางคนใช้ไมค์มีสาย บางคนต้องมีขาตั้งไมค์
บางศิลปิน ออกไปหน้าเวทีด้วยทางออกประตูซ้ายขวาปกติ บางคนเข้าซ้ายแต่ต้องออกขวา บางศิลปินก็ต้องขึ้นมาบนเวทีด้วยลิฟท์ไฮดรอลิค แล้วแต่สคริปต์ที่กำหนดไว้
...................
งานดำเนินไปแล้วเกินครึ่งทาง ต้นข้าวเดินสั่งลูกน้องไปรอบๆ หลังเวทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต้นข้าวส่งยิ้มให้กับศิลปินเพลงลูกทุ่งที่กำลังโด่งดังมาก คือ 'ราชินีลูกทุ่งคนปัจจุบัน' ซึ่งเป็นที่น่าเศร้าว่าในขณะนั้นเธอกำลังเป็นโรคเอสแอลอี หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ต้นข้าวช่วยดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้ ก่อนที่รุ่นน้องสต๊าฟจะพาเธอไปเตรียมตัวขึ้นเวที
อีกแค่ไม่กี่เพลงงานก็จะจบลง ต้นข้าวเดินสวนและยิ้มให้กับนักร้องลูกทุ่งหญิงผู้ได้รับสมญานามว่า 'นักร้องขวัญใจลูกทุ่งเมืองย่าโม' ที่พึ่งร้องเพลงเสร็จกำลังกลับเข้าหลังเวที
และยกมือสวัสดีกับศิลปินรุ่นใหญ่ 'แม่เพลงพื้นบ้านและเพลงอีแซว' รวมทั้งรับไมค์ที่ร้องเสร็จมาจาก 'นักร้องลูกทุ่งหญิงมหาบัณฑิตคนแรกของไทย' และ 'นักร้องสาวเสียงพิณแหบเสน่ห์ลูกคอเก้าชั้น' ฯลฯ
................
ในความวุ่นวายของห้องแต่งตัวหลังเวทีนั้น ต้นข้าวสังเกตเห็นศิลปินเพลงลูกทุ่งสูงอายุท่านหนึ่งกำลังนั่งหวีผมอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ได้มีพี่เลี้ยงหรือช่างทำผมมาช่วย พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าเป็นนักร้องระดับที่แฟนเพลงทุกคนเรียก 'คุณป้า' หรือ 'คุณแม่' ในสมญานามที่รู้จักกันทั้งประเทศว่า 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย'
ต้นข้าวยืนมองอยู่สักครู่ อยู่ๆ ก็รู้สึกดีและศรัทธาในบุคลิกที่เรียบง่ายของคนที่ได้สมญานามที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น อีกทั้งเห็นว่านี่เป็นคิวสุดท้ายแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นต้องทำต่อ จึงบอกรุ่นน้องสต๊าฟที่กำลังจะพาศิลปินสูงอายุท่านนี้ลงไปที่ลิฟท์ไฮดรอลิคชั้นล่าง ว่าตนเองจะเป็นผู้ปล่อยคิวคนนี้ให้แทน
ต้นข้าวเข้าไปแนะนำตัวว่าเป็นสต๊าฟ และเดินพาคุณป้านักร้องลงไปที่ลิฟท์ไฮดรอลิค หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า 'เวทียก' ซึ่งอยู่ด้านล่างใต้เวทีใหญ่ของหอประชุม
มันมีลักษณะเหมือนลิฟท์โดยสารที่เลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นไปที่เวที มันโล่งๆ ไม่มีผนังกั้นทั้งสี่ด้าน ไม่มีประตูปิด มีเพียงแค่พื้นยกสูงขึ้นมานิดหน่อย ส่วนด้านบนเพดานที่อยู่เหนือขึ้นไปเป็นหลุมช่องว่างขนาดเดียวกัน และเมื่อไฮดรอลิคทำงาน ศิลปินจะถูกยกลอยขึ้นไปปรากฏตัวที่กลางเวทีข้างบนอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว
ต้นข้าวจูงคุณป้าให้ไปยืนรอที่จุดนั้น เด็กหนุ่มส่งไมค์ลอยให้คุณป้า ส่วนตัวเองยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาแนบหู เพื่อรอฟังคำสั่งจากโปรดิวเซอร์ที่ห้องคอนโทรลด้านนอก
คิวของเพลงนี้ที่ต้นข้าวจะต้องปล่อยคือ โปรดิวเซอร์จะให้สัญญาณดนตรีบรรเลง แล้วศิลปินจะร้องเพลงหนึ่งท่อนที่ชั้นใต้ดินนี้ก่อน ผู้ชมจะยังไม่เห็นตัว จนเข้าเนื้อเพลงท่อนที่สอง เขาจึงจะกดปุ่มไฮดรอลิคเพื่อส่งศิลปินท่านนี้ขึ้นไปที่กลางเวที
ต้นข้าวสังเกตว่าตัวคุณป้าค่อนข้างจะสั่น มือที่จับไมค์ลอยนั้นไม่มั่นคง จับเปลี่ยนสลับมือไปมา ไหล่ห่อ งองุ้ม และยืนยุกยิกอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง มีสีหน้าที่กังวลใจ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองหลุมพื้นเวทีด้านบนบ่อยครั้ง ซึ่งตอนนี้มีศิลปินคนหนึ่งกำลังร้องเพลงอยู่ แต่มองไม่เห็นตัวเพราะต้องยืนอยู่ให้ห่างจากหลุมนี้ เห็นแต่แสงไฟบนเวทีวูบไปวูบมาในบางช่วง
"ป้าตื่นเต้นจัง" ศิลปินท่านนั้นเอ่ยขึ้นกับต้นข้าว
เด็กหนุ่มไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของผู้ที่ได้ชื่อเรียกขานกันทั้งประเทศว่า 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย' เพราะมองจากอายุที่มาก และประสบการณ์ในการอยู่บนเวทีของศิลปินท่านนี้แล้ว เขาคิดไปเองว่ามันควรจะต้องไม่มีการตื่นเต้นแล้วสินะ หรือคุณป้าจะกลัวการขึ้นไฮดรอลิค
"ทำไมคุณป้าตื่นเต้นล่ะครับ" ต้นข้าวออกปากถามไป
คุณป้ายิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ
"ป้าตื่นเต้นทุกครั้งที่ขึ้นเวที" เธอพูดเสร็จก็ก้มลงมองชายเสื้อและเอามือจับๆ อย่างไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหน
"ป้าตั้งใจร้องเพลงมาก จนตื่นเต้นทุกครั้งตอนกำลังจะเริ่มร้อง สามีของป้าคงตั้งใจดูป้าอยู่ ป้าไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง"
"อ้อ ดีจัง สามีคุณป้ามาด้วยหรือครับ นั่งอยู่ไกลไหมครับ" ต้นข้าวได้ยินเหตุผลที่น่ารักแบบนั้นก็ยิ้มออกมา
"ไม่หรอกค่ะ...สามีของป้าเสียไปนานแล้ว เขาคงมองป้าอยู่จาก 'ข้างบน' ป้าจะนึกถึงเขาทุกครั้งที่ร้องเพลงค่ะ "
คุณป้ายิ้ม และเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหลุมพื้นเวทีอีกครั้งหนึ่ง มันสามารถมองสูงขึ้นไปได้ถึงเพดานของหอประชุม ที่ตอนนี้มีไฟส่องเวทีหลากสีแขวนอยู่ ดูจากสายตาเธอแล้ว คงมองเลยทะลุสูงขึ้นไปอีก อาจถึงบนฟ้า...
ต้นข้าวชะงัก อึ้ง และนิ่งไป
เสียงโปรดิวเซอร์สั่งผ่านวิทยุสื่อสารให้เตรียมตัว ตอนนี้เสียงเพลงข้างบนเมื่อสักครู่จบลงไปแล้ว มีเสียงพิธีกรกำลังพูดเข้าเพลงต่อไปคือเพลง "
ด่วนพิศวาส"
"สแตนด์บายเพลงด่วนพิศวาส ห้า - สี่ - สาม - สอง..ไป" เสียงโปรดิวเซอร์สั่ง
เสียงวงออร์เคสตราเริ่มบรรเลงดนตรี มีเสียงเอฟเฟคหวูดรถไฟเปิดดังยาว
"
หวูดดดด!!"
คุณป้าที่เมื่อสักครู่ยืนยุกยิกๆ อย่างไม่มั่นใจ แต่ทันทีที่ดนตรีขึ้น เธอกลับยืนสงบตัวตรง วางขาสองข้างอย่างมั่นคง ลำคอยืดตั้งขึ้น สายตามองนิ่งแน่วแน่ไปข้างหน้า เหมือนมองเลยผ่านต้นข้าวไปอีกไกลแสนไกล มือยกไมค์โครโฟนขึ้นมารอพร้อมที่จะร้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างประหลาด ไม่มีภาพของคุณป้าที่ตัวสั่นกังวลและตื่นเต้นเหมือนตอนแรกอีกเลยแม้แต่น้อย
ต้นข้าวมองเห็นราศีของความเป็น '
ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย' พุ่งออกมา เด็กหนุ่มขนลุกซู่ นี่สินะคือ
The show must go on ไม่ว่าจะมีสิ่งมากระทบอย่างไร การแสดงต้องดำเนินต่อไป
"เสียง...รถด่วนขบวนสุดท้าย
แว่วดังฟังแล้วใจหาย
หัวใจน้องนี้แทบขาด" ..............
เสียงอันทรงพลังและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินเพลงท่านนี้ ร้องประโยคนี้ต่อหน้าต้นข้าวคนเดียว...เพียงคนเดียว! เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่ยืนประจันหน้ากับเธอตรงชั้นใต้ดินนี้ ต้นข้าวรับรู้ได้ถึงเสียงพิเศษอันมหัศจรรย์ที่ครองใจคนอย่างยาวนานมาแล้วทั่วประเทศ
และบัดนี้ เพลงนี้ มันกำลังเริ่มสะกิดใจต้นข้าวให้นึกถึง 'อะไร' บางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไป ภาพของรถไฟ ภาพของจิว เริ่มสลับกันเข้ามาในสมอง
เมื่อจบเพลงท่อนนั้น ต้นข้าวกดปุ่มไฮดรอลิคเพื่อยกศิลปินขึ้นไปกลางเวที เด็กหนุ่มแหงนมองตามคุณป้าที่เริ่มลอยขึ้นไป จนพื้นเวทียกไปปิดสนิทกับเวทีข้างบน แสดงว่าศิลปินถึงกลางเวทีและปรากฏตัวกับผู้ชมในหอประชุมแล้ว เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวลงมาถึงชั้นใต้ดินที่เขายืนแหงนมองอยู่
เสียงร้องเพลงท่อนต่อไปดังลอดลงมาถึงข้างล่าง
"พี่จ๋าลาแล้ว
น้องแก้วต้องจำนิราศ
ดั่งถูกสายฟ้าฟาด
หัวใจน้องจะขาดแล้ว" ................
ประโยคหนึ่งในคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของคุณป้ายังก้องในหูต้นข้าว
---
เขาคงมองป้าอยู่จาก 'ข้างบน' ป้าจะนึกถึงเขาทุกครั้งที่ร้องเพลงค่ะ---
เด็กหนุ่มพึ่งสำนึกตัวเองได้เดี๋ยวนี้ แล้วตัวต้นข้าวล่ะ ใครคือแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจที่จะต้องนึกถึงในการลงมือทำสิ่งต่างๆ
ความสำเร็จจะไม่มีคุณค่าเลย ถ้าเราไม่มีใครสักคนที่เรารัก และพร้อมจะอุทิศรางวัลจากผลงานอันยิ่งใหญ่ให้ "หัวใจสั่นหวิว
เมื่อต้องลมฉิวพัดแผ่ว
เสียงหวูดรถดังแว่ว
ฟังแล้วมันบาดใจ" ...............
เด็กหนุ่มหวนรำลึกไปถึงเรื่องราวเมื่อนานแสนนานมาแล้ว มีเด็กชายวัยรุ่นสองคนกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานอยู่บนรถไฟเหาะในสวนสนุกแดนเนรมิต ในมือของต้นข้าวมีน้ำตาลสายไหมสีหวานที่จิวซื้อให้ และมีฉากหลังเป็นปราสาทในเทพนิยาย
และครั้งหนึ่งกลางแดดยามบ่ายในจังหวัดกาญจนบุรี มีหนุ่มน้อยสองคนเดินเคียงคู่กันบนรางรถไฟที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว มือทั้งสองเกี่ยวก้อยกัน มีเงาทอดยาวเป็นรูปหัวใจ เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่น ราวกับว่าโลกทั้งใบนี้มีกันอยู่เพียงสองคน
ต้นข้าวนึกไปถึงตอนตัวเองกับจิวกอดกันแน่นบนขอบสะพานเหล็ก ขณะที่รถไฟเปิดหวูดดังสนั่นหวั่นไหว แล่นสะเทือนผ่านด้านหลังเป็นขบวนยาวเหยียด จิวกอดต้นข้าวไว้ และต้นข้าวเอามือปิดหูให้จิว ริมฝีปากทั้งสองแทบจะแตะกัน สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจ
ตอนนี้ต้นข้าวไม่สามารถมองอะไรเห็นในชั้นใต้ดินนี่แล้ว เพราะน้ำตาเอ่อขึ้นมา กลบเต็มสองลูกตา แล้วค่อยๆ หยาดไหลลงมาที่แก้ม
"พี่จ๋าน้องขอลาก่อน
ลาแล้วเคหาห้องนอน
ที่เคยพักผ่อนอาศัย
น้องเป็นผู้แพ้
แพ้รักสุดหักห้ามใจ" ..............
เขานึกไปถึงเช้าที่สดใสวันหนึ่ง ที่ตนเองไปรอรับจิวซึ่งกำลังกลับจากแก่งคอย ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ด้วยความตื่นเต้น ด้วยความเป็นห่วง ด้วยการอยากขอโทษ และด้วยความ '
คิดถึง' อย่างสุดหัวใจ จนได้รับอุบัติเหตุจากรถไฟครั้งนั้น ซึ่งจิวก็มาดูแลต้นข้าวที่บ้านทุกวันจนหายดี
ต้นข้าวเริ่มสะอื้นหนักขึ้น เสียงสะอึกและลมหายใจติดขัดพาให้แข้งขาอ่อนเหมือนคนสิ้นแรง ต้องทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น น้ำตาไหลเป็นสายไม่หยุด เขาวางวิทยุสื่อสารลงกับพื้นพร้อมกับทิ้งกระดาษสคริปต์งานที่อยู่ในมือ
"เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย
บอกเตือนเหมือนกำหนดหมาย
หยาดน้ำตาไหลนองหน้า" ..............
น้ำตาต้นข้าวแทบจะเป็นสายเลือด กับการที่ได้สูญเสียสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไปแล้ว มันแทบจะเรียกร้องให้กลับคืนมาไม่ได้ ไม่ต้องไปหวังถึงวันที่จะได้รับการให้อภัย... มันไม่มีทางมาถึง
เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สติสุดท้ายของต้นข้าว หวนนึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับจิวในค่ำวันหนึ่งหน้าห้างมาบุญครอง แต่แล้วตัวต้นข้าวเองกลับเป็นคนทำลายมันให้แตกสลายลงไปในวันที่อารมณ์กระเจิดกระเจิงและหลงผิด
สองมือต้นข้าวที่ยึดกับพื้นขณะทรุดนั่งเริ่มสั่นระริก เด็กหนุ่มสะอื้นอย่างแรงจนตัวโยน
"ขออำลาแล้ว ดวงแก้วมณีล้ำค่า
หากว่าแม้นชาติหน้า
มีจริงค่อยเจอกัน" ..............
เสียงเพลงจากราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทยร้องจบประโยคสุดท้าย ผ้าม่านบนเวทีผืนมหึมาที่ปักลายวิจิตรก็เลื่อนปิดลงมา เป็นสัญลักษณ์ว่าการแสดงสิ้นสุดลง ผู้ชมกว่า ๒,๐๐๐ คนพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนและปรบมืออย่างกึกก้องยาวนานไปทั้งหอประชุมศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้
ความสำเร็จของงาน 'มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔' กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานในวงการลูกทุ่งไปอีกหลายสิบปี
และลึกลงไปที่ชั้นใต้ดินของเวที หลังจากเสียงปรบมือจางลง ต้นข้าวผู้ซึ่งเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง โดดเดี่ยว และพ่ายแพ้ต่อจิตใจของตัวเอง ก็หมดสติล้มฟาดลงไปคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่พื้นข้างเครื่องไฮดรอลิคนั้น
--- จบภาค มหาวิทยาลัย ---
--------------------