MBK❤lover
ตอนที่ ๒๑ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย เอกเดินไปติดต่อที่พัก ได้เป็นกระต๊อบสองหลัง ฝาผนังเป็นไม้ระกำ หลังคามุงจาก ห่างกันพอสมควร มีบ่อบาดาลน้ำกร่อยสำหรับตักอาบอยู่ระหว่างกลางของสองหลัง และห้องสุขารวมอยู่ด้านหลัง
กระต๊อบที่พัก อยู่ติดชายหาด มีชั้นเดียว ห้องเดียวโล่งๆ กลางห้องมีแค่ฟูกนอน หมอน ผ้าห่ม มุ้ง ไม่มีพัดลม ในราคาคืนละ ๗๐ บาท มีไฟปั่นให้ใช้แค่ ๖ โมงเย็นถึง ๔ ทุ่ม ถ้าจะซื้อน้ำจืดอาบ ต้องซื้อเพิ่มถังละ ๕๐ บาท
"งั้นเอากระเป๋าไปเก็บในห้องก่อน" จิวแบกเป้เข้าไปในกระต๊อบด้านหน้า
"แล้วรีบออกมานะ จะพาไปที่นึง สวยมากๆ" เอกตะโกนบอก ขณะช่วยแจ๊สลากกระเป๋า
จิวกับต้นข้าวเลือกกระต๊อบที่ด้านหนึ่งคร่อมอยู่บนโขดหิน และด้านหน้ายื่นไปในทะเล ไม่ไกลจากสะพานไม้หน้าหาด
ไม่นานเอกก็เดินมาเรียกจิวและต้นข้าว ให้เดินไปที่หลังเกาะกัน เพราะจะไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก และใช้เวลาเดินไปนานพอสมควร
.......................
หลังเกาะ เป็นหน้าผาสูง จุดที่ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก เป็นหน้าผาที่ยื่นล้ำออกไป มองเห็นทะเลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่มีอะไรบัง พื้นน้ำตอนนี้ราบเรียบราวกับกระจก สงบ นิ่ง
จิวกับต้นข้าวเลือกมุมนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ จิวนั่งบนหินแล้วเอนหลังพิงต้นไม้ ส่วนต้นข้าวนั่งคร่อมข้างหน้าจิว เอนหลังพิงลงไปที่อกจิว หัวซบตรงซอกไหล่ จิวเอาสองมือขึ้นมากอดต้นข้าว และต้นข้าวก็เอามือมากุมแขนจิวอีกที ทอดสายตาไปที่พื้นน้ำข้างล่าง
ท้องฟ้าเย็นวันนั้น ใส มีเมฆลอยเป็นระยะ พระอาทิตย์ซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆ ปล่อยแฉกรัศมีเป็นเส้นลอดปุยเมฆนำลงมาก่อน
แล้วตะวันดวงกลมสีส้มจัดก็ค่อยๆ อัสดงลงมาจากหลังเมฆ หย่อนตัวต่ำลงไปบนผิวน้ำ มีเรือประมงลำเล็กๆ ลอยลำผ่านตรงหน้าพอดี แสงส้มสวยย้อมน้ำทะเลทั้งผืน ทิ้งประกายสะท้อนสีทองเต้นยิบๆ เป็นเกล็ดไหววูบ
หนุ่มน้อยสองคน ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ ระหว่างกันตอนนี้ ร่างทั้งสองที่เหมือนรวมเป็นร่างเดียวกัน รวมทั้งภาพราวกับสวรรค์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้จิวและต้นข้าวปล่อยอารมณ์จมดิ่งไปในความสุขอย่างถึงที่สุด
--------------------------------
สามทุ่มกว่า เสียงเกากีตาร์ดังมาแบบเป็นเพลงบ้าง ไม่เป็นเพลงบ้าง จากเอก ผู้ซึ่งนั่งทำเท่อยู่บนหาดทราย มีแจ๊สนั่งตบมือเปาะแปะตาม
หลังจากที่กลับกันมาจากไปดูพระอาทิตย์ตกแล้ว และอาบน้ำที่บ่อข้างที่พักเสร็จ ทั้งหมดก็มาล้อมวงกันบนหาดทรายหน้ากระต๊อบ ก่อกองไฟกองเล็กๆ ต้มมาม่าหลายซองด้วยหม้อที่เอามาด้วย
"ป้อนหน่อยสิ" เสียงจิวแทรกขึ้นมา
ต้นข้าวกำลังตักมาม่าที่ยังไม่ทันปรุงรส แบ่งลงถ้วยเล็กๆ ก็เงยขึ้นไปมองหน้าจิว
"กินเองไม่เป็นหรือไง"
ปากพูด แต่เจ้าตัวก็เอาตะเกียบคีบเส้นขึ้นมา ควันลอยฉุย แล้วเอาปากบรรจงเป่าให้หายร้อนก่อน
"เอ้า...อ้ำ..." แล้วคีบยื่นไปให้จิว
จิว จ้องตาต้นข้าว อ้าปากรอ ต้นข้าวก็มองตาจิว แล้วค่อยๆ ส่งเส้นมาม่าด้วยปลายตะเกียบเข้าไปที่ปากจิว เอาตะเกียบค่อยๆ ช่วยคีบส่งจนปลายเส้นสุดท้ายเข้าไปในปากจนหมด จากนั้นยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดเช็ดรอยเปื้อนที่ริมฝีปากจิวให้
จิวเอามือขึ้นขยี้ผมต้นข้าว ยิ้มหยีไปถึงลูกตา
ต้นข้าวยิ้มตอบ แล้วเอาตะเกียบคีบมาม่าเป่าคลายความร้อน ใส่ปากตัวเองบ้าง
--ยามไร้ เด็ดดอกหญ้าแซมผม
หอมบ่หอม ทัดดมดั่งบ้า--
(ลิลิตพระลอ) แม้ไม่ใช่อาหารรสเลิศเหมือนในกรุงเทพฯ แต่เมื่ออยู่บนเกาะสงบกลางทะเล ท่ามกลางเสียงคลื่นลม และได้อยู่เคียงข้างกับคนพิเศษ อาหารธรรมดาที่กระจอกงอกง่อย มีเส้นเปล่าๆ อันจืดชืด ก็กลายเป็นของที่มีรสชาติเหมือนอาหารทิพย์ขึ้นมาทันที
......................
"กินกันเสร็จหรือยัง" เสียงเอกเรียก "มานี่ มาลองนี่กัน ของดีเว้ย"
จิวกับต้นข้าวหันไป เอกยกขวดเหล้าแบน แสงโสมเหรียญทอง ขึ้นมาอวด
"หึ๋ย เอาเหล้ามาด้วยเหรอ" ต้นข้าวอุทาน
"แจ๊สหยิบออกมาจากบ้านด้วยฮะ ของพ่อแจ๊สฮะ" แจ๊สเริ่มมีหน้าสีเรื่อๆ คงจะรินชิมไปบ้างแล้ว
"มาเหอะ ขวดนิดเดียวเอง ลองดู" เอกรินเหล้าเปล่าๆ ลงในฝาขวด แล้วส่งให้ต้นข้าว
"อี๋..." ต้นข้าวหลับตาปี๋ เมื่อเหล้าแสงโสมฝาแรก ผ่านลงคอไป "ขม!!"
จิวส่งแก้วน้ำเปล่าให้ต้นข้าว "กินน้ำตามไปสิ" แล้วจิวก็คว้าขวดแสงโสมจากมือเอกไปรินใส่ฝากระดกลงคอบ้าง
หลังจากที่ผลัดกันกระดกเหล้าคนละหลายฝา จนขวดแบนนั้นเกือบหมด ก็มีแสงไฟฉายวอบแวบมาจากหน้าหาดทราย
"น้องๆ จะสี่ทุ่มแล้ว ถ้ากินกันเสร็จแล้ว อย่าลืมดับกองไฟบนหาดทรายนะ"
ทั้งหมดเงยขึ้นไปตามเสียง ก็พบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ที่มาเดินตรวจหน้าหาดต่างๆ ตามปกติ
"ว๊า...หมดเวลาสนุกแล้วฮะ" แจ๊สทำหน้ายู่ยี่ แล้วหันไปคล้องแขนเอก
"งั้นเราเข้าห้องนอนกันเถอะฮะ"
--------------------------------
*บรรยากาศของเกาะเสม็ด และกระต๊อบที่พักบนเกาะ ในราวปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๙ "จิวกับต้นข้าว ยังไม่เข้านอนเหรอ" เอกเริ่มลุก ปัดทรายตามตัวออก
"อื่อ นั่งอีกแป็บนึงว่ะ" จิวหันมาบอก
"นั่งทำไมเนี่ย ดับกองไฟแล้วมืดตึบ ยุงก็เยอะ ไม่มีอะไรทำซะหน่อย ไปนอนเถอะ จะได้ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น" เอกเสนอแนะ
เอกเห็นจิวและต้นข้าวยังไม่มีทีท่าจะลุกตาม ก็ยื่นเครื่องเล่นเทป Sony Walkman ที่ห้อยอยู่ตรงเอว ส่งให้จิว
"เอ้า งั้นเอานี่ไว้ เผื่อนั่งเบื่อๆ จะได้เปิดฟัง มีเทปค้างอยู่ในนั้นม้วนนึงมั้ง เพลงของใครไม่รู้" เอกส่งให้แล้วเดินจูงมือแจ๊สกลับไปที่พักของตัวเอง
จิวรับเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทมา แล้วส่งให้ต้นข้าว ซึ่งนั่งยิ้มตาวาวเป็นประกายในความมืด เหมือนดวงดาวที่พราวบนท้องฟ้าเหนือเกาะเสม็ดตอนนี้
"เทปเพลงอะไรนี่ ลองเปิดฟังกัน" ต้นข้าวเปิดฝาเครื่องเล่นเทปออก แล้วดึงเทปคาสเซ็ทในนั้นขึ้นมาอ่านชื่อศิลปิน โดยอาศัยแสงจากหลอดไฟเล็กๆ ที่ฝาเครื่องเล่นเทป
"Whitney Houston : 1985"
(วิตนีย์ ฮูสตัน : ๒๕๒๘)
"ใครวะ ไม่เคยได้ยินชื่อ" จิวทำหน้างงๆ
"นักร้องฝรั่งใหม่มั้ง ไม่เคยฟังเหมือนกัน เทปนี่ออกได้ปีกว่าแล้ว" ต้นข้าวเดา
"ไปนอนฟังกันในห้องกันเถอะ ยุงเริ่มเยอะจริงๆ ด้วย" จิวเอามือเกาที่ขา
"มาๆ วิ่งแข่งกัน ใครไปถึงห้องก่อน" ต้นข้าวหัวเราะคิกคัก แล้วออกวิ่งนำไปก่อน ทรายกระจายปลิวตามหลัง
"โหย...รอด้วยยยย"
จิวควานหารองเท้าแตะ กว่าจะหาเจอ แล้ววิ่งตามต้นข้าวไป พอเข้ามาถึงห้อง ก็เห็นต้นข้าวลงไปนอนแผ่บนฟูกที่นอนแล้ว
จิวถอดเสื้อออก ตามความเคยชินก่อนนอน แล้วล้มตัวลงไปนอนข้างๆ ต้นข้าว ตอนนั้นต้นข้าวกำลังยุกยิกๆ อยู่กับเครื่องเล่นเทปเครื่องนั้น
จิวกดมือต้นข้าวไว้
"อย่าพึ่งฟังเพลงเลย คุยกันก่อนสิ" จิวยิ้มๆ หันไปมองต้นข้าว
ต้นข้าวเห็นจิวถอดเสื้อ ก็ถามว่า "ร้อนหรือ เมาหรือเปล่านี่" ต้นข้าวถามจิว
"เมาอะไรล่ะ กินไปนิดเดียวเอง แบ่งกันตั้งสี่คน"
"หน้าแดงขนาดนี้ ไหน ดมดูหน่อยสิ มีกลิ่นเหล้าเยอะไหม" ต้นข้าวหัวเราะร่วน
จิวพลิกตัวหันไปทางต้นข้าว ซึ่งต้นข้าวก็นอนตะแคงตัวหันมาทางจิวอยู่แล้ว
"มาเลย มาดมดูสิ" จิวท้า แถมหลับตา อ้าปาก รอให้ต้นข้าวมาพิสูจน์ แต่รออยู่สักครู่ คนที่บอกจะดม ก็ไม่ดมสักที จึงลืมตาขึ้น
"ไม่กล้าใช่ไหม งั้นมานี่ จะให้ดมเอง"
จิวพลิกตัวขึ้นไปนอนทับบนตัวต้นข้าว หน้าห่างกันคืบเดียว จ้องตา
ต้นข้าวเอามือขึ้นมาจับมือจิวไว้ ไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มฟันขาว ตาใสแจ๋วอยู่อย่างนั้น
"ต้นข้าว..." เสียงจิวกระซิบเรียก
ต้นข้าวประหลาดใจ! เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จิวเคยเรียกชื่อต้นข้าวว่า "แว่น" มาโดยตลอด
"หืม..." ต้นข้าวกระซิบตอบ
"มีความสุขไหม ที่มาเที่ยวด้วยกันกับจิวนี่"
จิวจ้องตาต้นข้าว ยิ้มพราวไปทั้งหน้า จากแสงหลอดไฟเล็กๆ มัวๆ บนเพดานห้องนั้น ทำให้เกิดแสงเงาแปลกตา ขับให้โครงหน้าที่หล่อใสอยู่แล้วนั้น ดูดีมากเป็นพิเศษในคืนนี้
"มีความสุขมากสิจิว แล้วจิวล่ะ" ต้นข้าวกระซิบถามบ้าง
จิวยิ้ม ไม่ตอบ แต่กลับประทับจูบลงไปที่ริมฝีปากต้นข้าว
ต้นข้าวตอบรับจูบนั้น ขยับตัวขึ้นเพื่อให้ปากไปแนบสนิทกันมากขึ้น ลมหายใจแรงร้อนผ่าว มือที่กุมกันอยู่ ยิ่งกำแน่นขึ้น
จิวขบริมฝีปากต้นข้าวหลายครั้ง เหมือนจะดื่มด่ำความสุขในครั้งนี้ให้ถึงที่สุด ทั้งคู่สบสายตากันตลอดเวลา จิวจูบลึกๆ ลงไปอีกหลายครั้ง แล้วถอนปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง กระซิบต้นข้าว
"จิวมีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับต้นข้าว"
ต้นข้าวโอบมือไปกอดจิวรั้งตัวกลับลงมา แล้วจูบไปที่ริมฝีปากจิวอีกครั้ง จิวจูบตอบกลับช้าๆ อย่างดูดดื่มและลึกซึ้ง
มือของต้นข้าวและจิว เริ่มเลื่อนลงไปส่วนล่างของกันและกัน เสื้อ กางเกงขาสั้น และกางเกงในของทั้งคู่ ถูกรูดออกไปจากตัว เสียงลมจูบ สลับกับเสียงกระซิบกระซาบ จากร่างเปลือยของเด็กหนุ่มสองร่าง ลอยอึงอลอยู่ในห้องเล็กๆ นั้น
สี่ทุ่มตรง เครื่องปั่นไฟหยุดทำงาน ไฟดวงเดียวในห้องนั้นก็ดับมืดลง
เหลือแต่เสียงกระซิบถ้อยคำรำพัน และเสียงลมหายใจที่ร้อนแรงลอยแผ่วออกมา
ทุกสิ่งที่ดำเนินต่อในความมืดนั้น เป็นไปตามธรรมชาติ เท่าที่เด็กหนุ่มพึ่งหัดเรียนรู้สองคนจะพึงปฏิบัติให้กันได้ ไม่มีอะไรเคอะเขินหรือติดขัด ทุกสิ่งไหลลื่น สุขสมไปตามที่มันควรจะเป็น
เสียงออเซาะจากในห้อง ที่ส่งออกมาจากใจของคนสองคน แม้จะเบาแค่เพียงกระซิบ...
แต่ความสุขมหาศาลที่ก้องกังวานในหัวใจ มันเหมือนจะส่งคลื่นพิเศษ ให้ดังสะเทือนมากกว่าเสียงลมทะเลที่พัดมากระทบผนังไม้ระกำของกระต๊อบที่นอนอยู่จนสั่นโยก
เสียงซ่านรำพันแผ่ว เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เหมือนคลื่นทะเลวัยหนุ่มที่กำลังคึก ผลัดกันม้วนโยนตัวขึ้นๆ ลงๆ จนสุดแรง แล้วทิ้งตัวแตกฟองซัดสาดซู่สู่ฝั่งริมหาดหน้าอ่าววงเดือน
และเสียงครวญคร่ำ เปรียบเหมือนเสียงจิ้งหรีดเรไรที่พึ่งได้รับน้ำค้างหยาดแรก ร้องกรีดลั่นบนชายหาด ดังข้ามดงต้นเสม็ดแดง ต้นเสม็ดขาว ต้นไม้ประจำถิ่นของเกาะ ดังสะเทือนข้ามทะเลไปถึงเกาะมันนอก-เกาะมันใน โน่นเลยทีเดียว...
--------------------------------
กว่าลมที่พัดกระแทกกระต๊อบจนโยกสั่นจะสงบลง และกว่าทะเลจะหยุดซัดแตกฟองขาวขุ่นที่ปลายหัวคลื่นหลายต่อหลายรอบ เวลาก็เข้าไปเกือบตีห้ากว่าๆ
ต้นข้าวเอื้อมหยิบนาฬิกาข้อมือที่หัวนอนขึ้นมาดู แล้วสะกิดเรียกจิว ที่นอนเปลือยหายใจหอบ และกอดต้นข้าวอยู่
"จิว ออกไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ปลายสะพานกัน"
จิวยิ้มตอบ หันไปหอมแก้มต้นข้าวฟอดใหญ่ แล้วทำท่าบิดขี้เกียจ
"ไม่อยากออกไปเลย เพลีย! อยากนอนอยู่แบบนี้ตลอดไป"
"อย่ามา..." ต้นข้าวลุกขึ้นมานั่ง หน้าหล่อมีสีระเรื่อขึ้นบนใบหน้า ดึงมือจิวให้ลุกขึ้นตาม
จิวลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าอย่างเกียจคร้าน ก่อนออกจากห้อง จิวหยิบเครื่องเล่นเทปติดมือออกมาด้วย
--------------------------------
ปลายสะพานไม้ที่ทอดยาวไปในทะเล
หาดลุงหวัง 
ต้นข้าวกับจิว นั่งห้อยขาเคียงกันอยู่ที่ปลายสะพาน รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ตอนนั้นฟ้ายังมืดอยู่ ทะเลสงบ ดวงดาวพราวระยับอยู่บนท้องฟ้า
จิวเอาหูฟังข้างหนึ่งใส่หูตัวเอง ส่วนอีกข้างหนึ่งเอาไปใส่หูต้นข้าว แล้วกดเปิดเพลงฟังจากเทปในเครื่องนั้น
ทั้งสองนั่งฟังเพลงนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้วต้นข้าวก็หันมาหาจิว
"จิว" ต้นข้าวเรียก "ตลอดสามปีมานี่ เราไม่เคยห่างจากกันเลยใช่ไหม"
"ใช่" จิวหันมายิ้มให้ต้นข้าว
"แล้วจิวคิดว่ายังไงอะ ที่เราไม่ได้เลือกเอ็นทรานซ์คณะเดียวกัน แถมยังเลือกคนละมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ" ต้นข้าวถามจิว
จิวนั่งนิ่งไปสักครู่ ใจหวนนึกไปถึงคำพูดของป๊าเมื่อสองสามเดือนก่อน
--
เลือกเอาที่ชอบเรียนเลย ตามสบาย อั๊วหาเงินให้ลื้อเอาไว้เรียนต่อยาวๆ แล้ว เรียนไปเลยให้สูงๆ ป๊าชอบเห็นคนฉลาดๆ--
"ไม่เป็นไรนี่ต้นข้าว เราก็เลือกเรียนที่ตรงกับตัวเราดีกว่า ถึงจะเรียนคนละที่กัน ไกลกัน แต่เราก็เป็นแฟนกันแล้ว ยังไงก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี" จิวตอบพร้อมรอยยิ้ม
ต้นข้าวเองก็กำลังนึกย้อนไปถึงวันที่นั่งคุยกับน้าเดียร์บนดาดฟ้า
--
ทางบ้านก็คงช่วยได้แต่ให้การศึกษาเธอให้ดีที่สุด เธอก็ตั้งใจเรียน และเลือกหนทางในการเรียนวันข้างหน้า ให้ดี ให้มั่นคงพอกับชีวิตเธอก็แล้วกัน--
ใช่เนอะ หนทางวันข้างหน้า มันต้องทำให้ชีวิตเราเติบโตและแข็งแรงก่อน เรื่องอื่นจะตามมาทีหลัง
ครอบครัวให้โอกาส และการ "ยอมรับ"
ในสิ่งที่บางคนอาจไม่มีวันได้รับเลยชั่วชีวิต แล้วทำไมเราจะทำในสิ่งที่ครอบครัวเราตั้งความหวังไว้ไม่ได้ล่ะ
ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเราก่อน
"อืม" ต้นข้าวมองไปบนฟ้าข้างหน้า "เราก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี"
จิวเอียงหัวซบไปที่ต้นข้าว "ไว้เรากลับกรุงเทพ เราไปจูงมือกันเดินเล่นที่มาบุญครองอีกนะ"
..................
ปลายฟ้าเริ่มมีแสงรำไร ใกล้เช้าขึ้นทุกที ลมสงบเงียบกว่าเดิม เหมือนทุกสรรพสิ่งกำลังรอเริ่มต้นวันใหม่
จิวกดปุ่มเพิ่มเสียงในเครื่องเล่นเทป
เพลงของ "วิตนีย์ ฮูสตัน" ที่กำลังเปิดอยู่ ดังลอดหูฟังออกมาแผ่วๆ
"The greatest love of all
Is easy to achieve
Learning to love yourself
It is the greatest love of all"
เพราะความรักที่แสนยิ่งใหญ่
ได้บังเกิดขึ้นแล้วกับชีวิตฉัน
รักอันมหัศจรรย์นั้นแสนง่ายที่จะได้มา
"แค่เรียนรู้ที่จะรักตัวเองก่อน"
นี่แหละความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง .................
จิวหันไปมองต้นข้าว
"
จิวรักต้นข้าวนะ"
"
ต้นข้าวก็รักจิวนะ"
--------------------------------
ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่กำลังขึ้น เด็กหนุ่มสองคน กำลังจะก้าวผ่านเข้าช่วงเวลาใหม่ของชีวิต
วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดรู้ หากแต่สิ่งที่เคยสัญญากันไว้แต่หนหลัง คงจะเหมือนรากเสาเข็มของอาคารใหญ่ ที่ตอกหยั่งลึกลงไปในจิตใจของทั้งสองอย่างมั่นคง และพร้อมจะแบกรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามา...
...ในชีวิตที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง และแปรเปลี่ยนไปตามการขึ้นลงของดวงตะวัน
--- จบภาคมัธยม ---
--------------------------------
https://www.youtube.com/watch?v=IYzlVDlE72w*Whitney Houston - Greatest Love Of All