MBK❤lover
ตอนที่ ๑๑ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ ค่ายสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี
ก่อนเที่ยง คณะนักเรียนของโรงเรียน ก็เดินทางมาถึงค่ายสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า ซึ่งเต็มไปด้วยภูมิประเทศสูงๆ ต่ำ ทั้งทุ่งแห้งแล้ง ทั้งเนินเขาเตี้ยๆ มีบึงน้ำใหญ่
ภารกิจในวันนี้ คือช่วงบ่ายนักเรียนจะเข้าอบรมในเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสถานที่ เพื่อจบลงตรงคำว่าสามัคคี ตอนเย็นจะปล่อยให้ไปทำอาหารกลุ่มมาเสนอเพื่อแข่งขันกัน แล้วรับประทานอาหารร่วมกันรอบกองไฟ นอนค้างคืน แล้ววันรุ่งขึ้นเช้าก็ไปทัศนศึกษาต่อ แล้วเที่ยงก็เดินทางกลับ
และตอนนี้ บ่ายแก่ๆ แล้ว หลังจบการอบรมอันน่าเบื่อสำหรับเด็กๆ ม.๕ แล้ว ครูฝึกก็ปล่อยเด็กๆ ให้ไปกางเต้นท์ตามกลุ่ม และเตรียมตัวทำอาหารมาแข่งกันคนละหนึ่งอย่าง รวมทั้งหมด ๔ กลุ่ม ๔ จาน และช่วงก่อนนักเรียนจะแยกกัน จิวดึงเสื้อต้นข้าวให้หยุด แล้วจับมือต้นข้าว
"ต้นข้าว มึงนอนเต้นท์ไหนอ่ะ" จิวถาม
"กลุ่มกูน่าจะเต้นท์โซน ๓ หมายเลข ๑๒ นะ กูนอนกับไอ้ราชา อ่ะ"
"อ่อ ไม่ไกลกันเนอะ" จิวทำหน้ายิ้มๆ
"หึหึหึ ไกลๆ น่ะดีแล้ว ไปได้แล้ว ไปทำอาหารมาแข่ง เอ้อจิว กลุ่มมึงทำอาหารอะไรอ่ะ" ต้นข้าวถาม
"โหย บอกก็กลัวดิ ไม่บอกโว้ย มีทีเด็ด" จิวรีบคุยโว
"มึงก็คอยดูของกลุ่มกูแล้วกัน" ต้นข้าวทำหน้ามีชัยชนะ
ต้นข้าว กลับมาที่กลุ่ม ตรงกลางกลุ่มเป็นลานโล่งวงกลม สำหรับทำกิจกรรมกลุ่ม ส่วนรอบๆ จะล้อมด้วยเต้นท์นอนของกลุ่มนี้ ซึ่งทั้ง ๔ กลุ่ม เป็นรูปแบบเดียวกันหมด
ตอนนี้ลานกลางกลุ่มของต้นข้าว ตั้งโต๊ะไม้ขนาดยาวเอาไว้เรียบร้อย บนโต๊ะมีส่วนผสม เครื่องปรุง ต่างๆ รออยู่ บนพื้นทางหัวโต๊ะ ตั้งเตาอั้งโล่เรียงกัน ๕ เตา ซึ่งจุดเตาติดถ่านไว้เรียบร้อย
เมนูของกลุ่มต้นข้าวที่ทำลงแข่ง คือยำไข่ดาว เพราะคิดว่าช่วยกันทำเป็นจำนวนมากๆ ได้ คนทอดไข่ดาวก็ทอดไป ใช้ไข่เป็ด ๑๐๐ ฟอง ทอดน้ำมันท่วมๆ ไฟแรงๆ ให้ไข่ขาวกรอบกว่าปกติ แล้วสะเด็ดน้ำมันตั้งพักไว้
นักเรียนในกลุ่มอีกชุดหนึ่งก็ลวกกุ้ง รวนหมูสับ ลวกหมูยอ แล้วเอามาวางโปะข้างบนของไข่ดาวทุกฟอง
ส่วนคนทำน้ำยำก็ทำไป ซอยพริกขี้หนู ซอยหอมหัวใหญ่ ซอยต้นหอม หั่นมะเขือเทศ บีบมะนาว ใส่น้ำปลา น้ำตาล ผสมกันแล้วเอามาราดบนไข่อีกที โรยหน้าด้วยผักชี เป็นอันเสร็จ ตั้งชื่อเข้าประกวดว่า "ยำฮันนีมูน"
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ก็ช่วยกันยกออกไปที่ลานรอบกองไฟ เอาจานเดี่ยวๆ ที่จัดสวยสุดหนึ่งจานเป็นตัวอย่างไปวางบนโต๊ะประกวด พอวางเสร็จ ต้นข้าวก็คิดว่าของตัวเองน่าจะแพ้แน่ๆ
เพราะบนโต๊ะมีจานของกลุ่ม ๑ และ ๒ วางรออยู่แล้ว จานหนึ่งเป็นน่องไก่ทอดธรรมดาๆ ส่วนของอีกกลุ่มหนึ่ง ดูอลังการมากๆ เป็นผัดอะไรสักอย่าง เห็นข้างบนที่ผัดราดเป็นพริกชี้ฟ้า กะปิ ปู กุ้ง หอยลาย ปลาหมึก ส่วนข้างล่างเป็นเส้นมาม่า รองพื้นจานด้วยผักกาดหอม กลิ่นหอมโชยตลบ มีป้ายเขียนไว้ว่า "มาม่าผัดทะเลใต้"
"โห แม่งขนทะเลมาถึงเมืองกาญจน์เลยนะ ลงทุนฉิบหาย" เสียงนักเรียนคนหนึ่งพูดดังๆ ออกมา
"แล้วของกลุ่ม ๔ ล่ะ" ใครอีกคนถามขึ้น
"มาแล้ว มาแล้ว" เสียงจิวนำมาก่อนเลย พร้อมถือจานมาวางบนโต๊ะ ทุกคนก็ชะโงกไปดู
ส่วนต้นข้าวเมื่อมองเห็นก็แอบอมยิ้มจนแก้มจะปริอยู่คนเดียว
เพราะในจานของกลุ่ม ๔ ก็คือ "ลูกชิ้นชุบแป้งทอด" ของโปรดของคนที่ยืนอมยิ้มอยู่นี่เอง
ลูกชิ้นชุบแป้งทอดของกลุ่ม ๔ เป็นลูกชิ้นทอดที่แปลกตา ใช้ลูกชิ้นหลากหลายเสียบสลับลงไปในไม้เดียวกัน ทั้งลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ลูกชิ้นปลาหมึก ลูกชิ้นสาหร่าย ทอดชุบแป้งอย่างดี วางเคียงมากับน้ำจิ้มพริกตำ แบบน้ำจิ้มทะเล หลายคนกลืนน้ำลายเอื๊อก!!
จิว หันมามองหาต้นข้าว เมื่อเห็นแล้วจากระยะไกล ก็ชี้ไปที่จานลูกชิ้น แล้วเอามือขึ้นมาชี้ที่ต้นข้าว ทำหน้าภูมิใจ เหมือนตัวเองชนะแล้วซะอย่างนั้น ยิ้มยิงฟันจนตาปิดยิบหยีเหมือนเด็กเล็กๆ
หึหึ!! ทำไมต้นข้าวจะไม่รู้ ดูก็ออกว่านี่ไอเดียใคร ไม่ได้คิดจะทำลงแข่งหรอกนั่น แค่ทำมาเอาใจคนชอบกินลูกชิ้นชุบแป้งทอดเท่านั้น --คิดแล้วก็แทบจะอิ่มมื้อค่ำโดยไม่ต้องหยิบขึ้นมากิน มันอิ่มในอก จิวชนะแล้วล่ะ ชนะใจต้นข้าวนี่
--------------------------------
หลังจากนักเรียนทั้งหมด ทานอาหารที่ช่วยกันทำร่วมกันแล้ว ก็ประกาศผลรางวัลทำอาหาร ครูตัดสินให้เท่ากันหมด ได้รางวัลทั้งสี่กลุ่ม โดยให้เหตุผลของความสามัคคี ตามโจทย์ที่มาอบรมกันในวันนี้ หลังจากนั้นก็เล่นเกมส์เล็กๆ น้อยๆ รอบกองไฟ
ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๓ ทุ่มแล้ว กองไฟค่อยๆ มอดลง ครูกล่าวปิดงานคืนนี้ แล้วให้นักเรียนเตรียมตัวไปอาบน้ำเข้านอน แต่ยังมีกิจกรรมสุดท้าย คือให้นักเรียนทุกกลุ่มจับคู่กันฝึกการเฝ้าเวรค่ายตอนกลางคืน เพื่อลองหัดช่วยกันป้องกันภัยให้เพื่อนๆ และทรัพย์สิน โดยมีครูและทหารเดินเวรประกบนักเรียนให้ไกลๆ อีกทีนึง
โดยคนจับคู่ จะอยู่เวรละ ๑๕ นาที ครบแล้วไปปลุกคนเข้าเวรต่อ กิจกรรมนี้จะสิ้นสุดแค่ตีหนึ่งเท่านั้น
จิวได้นอนเต้นท์เดียวกับไอ้เกตุ เพื่อนบนรถที่ขามาเปลี่ยนที่นั่งกัน ไอ้เกตุทำหน้าเบื่อๆ ตอนจิวชวนไปอาบน้ำ เพื่อรอมาเข้าเวรที่จับฉลากได้เวรชุดสุดท้ายตอนเที่ยงคืนสี่สิบห้า
"ง่วงนอนฉิบหายเลยเนี่ย จะให้อยู่เวรทำไมวะ ทหารก็เยอะแยะเต็มค่ายไปหมด พวกครูก็เดินเวรเองอยู่แล้วนี่ ไม่มีใครมาปล้นหรอก มืดก็มืด ยุงก็เยอะ มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดึกๆ ดื่นๆ" ไอ้เกตุบ่น
จิวหูผึ่งขึ้นมาทันที
"มีผีด้วยเหรอมึง"
"เออสิวะ" เกตุตอบ "นี่ค่ายรบนะเว้ย คนมารบกันสมัยโบราณล้มตายที่นี่ไปตั้งเท่าไร" ไอ้เกตุพูดไปก็กลอกตาซ้ายขวาในเต้นท์ไป
"แล้วมึงกลัวผีมะ" จิวรีบถาม
"กลัวสิ เชี่ย ผีกะกูนี่ขออยู่ห่างๆ กันเลย นี่กูไม่อยากอาบน้ำหรอกนะ แต่กูไม่กล้านอนในเต้นท์คนเดียวตอนมึงไปอาบน้ำ งั้นกูไปด้วยละกัน"
"เสร็จกู...เอ้ย ไม่ใช่...มาสิ ถ้ามึงกลัวก็ถือไฟฉายมาด้วยแล้วกัน"
จิวเปิดเต้นท์คลานนำออกไปก่อน ไอ้เกตุเลยไม่ทันเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของจิว
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็เดินกลับเต้นท์ มีเดินสวนกับเพื่อนคู่อื่นๆ ที่ไปอยู่เวรบ้างหลายคู่ พอเปลี่ยนชุดเสร็จ ผลัดกันหลับๆ ตื่นๆ จนเที่ยงคืนครึ่ง ทั้งสองก็ออกไปที่จุดอยู่เวร รอบนอกของกลุ่มเต้นท์ ตรงต้นไม้ใหญ่มหึมา ในมุมมืดตะคุ่มๆ มันมีสองต้นขึ้นอยู่เคียงกัน
พอจิวไปถึงก็ก้มลงกราบพื้น ท่องอะไรงึมงำๆ ไอ้เกตุมองอย่างหวาดๆ
"มึงกราบอะไรอ่ะ สมนึก" เกตุเริ่มเสียงสั่น
"จุ๊ๆๆ มึงพูดเบาๆ ลงมากราบนี่ มึงเห็นต้นไม้สองต้นนั้นไหม ไกลๆ โน่นอ่ะ ดูไกลๆ เหมือนรูปคนกำลังขี่ม้าศึกรบกันอยู่เลย" จิวกระซิบเบาๆ
ไอ้เกตุรีบทำตัวเบาสุด แล้วก้มลงไปกราบพื้นตาม ตัวเริ่มสั่นพั่บๆ
"กราบเสร็จ มึงมานั่งเงียบๆ ตรงนี้ อย่าพูดอะไรนะไอ้เกตุ" จิวกรอกตามองไปซ้ายไปขวา
สองคนนั่งนิ่งๆ ในความมืดสักพัก มีเสียงดังแกรบๆ ข้างหลัง เหมือนใบไม้แห้งมีคนเหยียบ ไอ้เกตุเริ่มทำหน้าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ หันซ้ายหันขวาไม่หยุด จนอีกสักพักหนึ่ง เสียงจิวร้องอย่างตกใจขึ้นว่า...
"เฮ้ยยยยยยยยย~"
"
ผี!!!!"
ไอ้เกตุลุกยืนทันทีที่ได้ยินเสียงจิวร้อง เตรียมจะถลาออกวิ่งแล้ว จิวรีบคว้ามือไว้ทัน
"เฮ้ย มึงนั่งก่อน รอก่อน กูฟังผีพูดให้จบก่อน" จิวทำตาแข็งๆ ค้างๆ
"ผะ ผะ ผะ ผี พูดอะไรกับมึง" เกตุเริ่มสั่นหนักเข้า
"ผีมันบอกว่า มันจะตามกูไปนอนในเต้นท์กับกูด้วยว่ะ" จิวยกมือขึ้นป้องหู เหมือนจะฟังอะไรสักอย่าง
"มันบอกว่า มันแค้นกู จะตามไปเฝ้ากูตอนนอน จะบีบคอกู" จิวเอามือบีบคอตัวเอง มองไปบนอากาศทำตาเหลือกๆ
เกตุเหงื่อเริ่มแตก "ฉิบหาย!!! แล้วกูจะทำยังไงเนี่ย"
"เอางี้ดีไหมไอ้เกตุ กูเป็นห่วงมึง มึงไปนอนอีกเต้นท์นึงก่อนนะ เช้าค่อยกลับมา เต้นท์นั้นปลอดภัยสำหรับมึง"
"ได้ๆๆ เต้นท์ไหน กูจะไปเลย" เกตุเตรียมวิ่งอีกแล้ว
"มึงเดินไปโซน ๓ เต้นท์เบอร์ ๑๒ นะ ไปหาไอ้ราชา มันช่วยมึงได้ มึงไปปลุกคนที่นอนเต้นท์เดียวกับไอ้ราชาให้มานอนเต้นท์กูแทน แล้วมึงก็นอนที่นั่น ไป มึงรีบไป" จิวสั่ง
"แล้วทำไม ไอ้ราชาจะช่วยกูได้ล่ะ" คนกลัวยังไม่วายสงสัย
"โง่จริงมึงนี่ พ่อไอ้ราชาเป็นหมอผีแขก มึงไม่รู้เหรอ ไปเร็วๆ" จิวทำหน้าจริงจัง
สิ้นคำปุ๊บ ไอ้เกตุก็เผ่นแน่บไปทันที ทิ้งให้คนเจ้าเล่ห์หัวเราะอักๆๆ อยู่คนเดียว
--------------------------------
"เจ้าเล่ห์จริงนะ" ต้นข้าว ที่กำลังเข้าเต้นท์จิวมา พูดขำๆ
ตอนนี้จิว นอนยิ้มอยู่ในเต้นท์ มองต้นข้าวตาประกายวาว
"ถ้าไม่ฉลาด จะมีคนมานอนให้กอดถึงเต้นท์เลยหรือ"
"กูว่าพรุ่งนี้มึงโดนไอ้เกตุ กับไอ้ราชา รุมเตะมึงแน่ๆ" ต้นข้าวล้มตัวลงนอนข้างๆ
"ทำไม มันจะเตะกูเรื่องอะไรล่ะ"
"อ้าว ก่อนกูเดินออกมาจากหน้าเต้นท์ ได้ยินไอ้เกตุมันถามราชาเสียงสั่นเลยว่า พ่อมึงเป็นหมอผีเหรอ แล้วเสียงไอ้ราชาก็ตวาดมาว่า พ่องมึงสิเป็นหมอผี!! พ่อกูขายกำไลแขกอยู่พาหุรัดเว้ย ค-ว-ย"
"ฮ่าๆๆๆๆๆ" จิวหัวเราะจนตัวโยน หัวไหล่สั่นกึกๆ
"มึงก็ระวังให้ดีเหอะ" ต้นข้าวแอบค้อนใส่คนนอนข้างๆ
"ช่างแมร่งมัน มาคุยเรื่องเราดีกว่า" จิวหันตัวไปใกล้ แล้วเริ่มกอดต้นข้าว "ขอกอดหน่อย"
"กอดอย่างเดียวนะเว้ย ครูกับทหารเดินยามอยู่รอบเต้นท์เนี่ย" ต้นข้าวเตือน แต่ก็ไม่ได้ปัดมือจิวออก
"รู้แล้วน่า เต้นท์นี่ก็ไม่มีฝาล็อค ใครจะทำอะไรได้ล่ะ"
"มึงนี่ก็แปลกเนอะ บ้านกูก็มี ห้องกูก็มี กอดกันง่ายจะตาย จะทำให้มันวุ่นวายทำไมวะ" ต้นข้าวเอามือไปลูบแขนจิวที่กอดตัวเองอยู่เบาๆ
"กูไม่ชอบของง่าย กูชอบอะไรที่ได้มายากๆ น่ะ" จิวกอดต้นข้าวแน่นขึ้น แล้วพูดต่อว่า
"แว่น กูขอมึงอย่างนะ กูรู้ มึงอ่ะเป็นคนง่ายๆ แต่กูขอนะ มึงอย่า -ง่าย- สำหรับใครก็ได้ทุกคนนะ" จิวพูดน้ำเสียงจริงจัง
ต้นข้าวกอดจิวตอบแน่นขึ้น
"รับปากกูสิ เงียบทำไมอ่ะ" จิวเตือน
"อือ"
"ขอกูหอมแก้มทีนึงนะ" จิวกระซิบ
"หอมอย่างเดียวนะ" อีกคนกระซาบไม่แพ้กัน
ไม่มีเสียงตอบ แต่ลมหายใจร้อนๆ มาอยู่ตรงแก้มต้นข้าวแล้ว มันหยุดนิ่งอยู่ตรงแก้มสักอึดใจใหญ่ เหมือนอยากจะซึมซาบกลิ่นให้ติดอยู่ปลายจมูกไปนานๆ
ต้นข้าวหลับตาลง
หลังจากนั้น ความร้อนจากปลายจมูกของอีกฝ่าย เริ่มลากขึ้นมาแผ่วๆ ลากช้าๆ จากแก้มโดยไม่ได้ยกจมูกออก มันเลื่อนมาเรื่อยๆ จนไออุ่น และสัมผัสได้ของเนื้อปากนุ่ม เริ่มมาอยู่ที่ริมฝีปากล่างของต้นข้าว มันขบลงไปเบาๆ แล้วหยุดนิ่ง
สักครู่หนึ่ง ไอร้อนก็เริ่มเลื่อนไปที่ริมฝีปากบนของต้นข้าว ตอนผ่านร่องปาก ปากต้นข้าวเผยออ้าออกเล็กน้อย แต่ไอร้อนนั้นผ่านขึ้นไปก่อน เนื้อปากนุ่มไปหยุดขบเม้มอีกเนิ่นนานที่ริมฝีปากบน
แล้วมันเคลื่อนที่อีกแล้ว ครั้งนี้มันเลื่อนลงมาแล้วหยุดกลางปากเลย สัมผัสครั้งนี้เริ่มไม่อุ่นแล้ว มันเริ่มเป็นไอร้อนขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสเนื้อปากแตะกันแผ่วๆ เบาบาง เปิดช่องให้ความร้อนค่อยๆ ลอยออกมาผสมระหว่างกัน
ทิ้งระยะ แบบให้ใจเต้นโครมครามขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผู้จู่โจม ก็กดริมฝีปากแนบสนิทลงไป บดแน่นขึ้น บดแน่นขึ้น จนไม่เหลือช่องว่างใดๆ แล้ว
"................"
ถ้าหากตรงทุ่งลาดหญ้านี้จะเคยเป็นสมรภูมินรก หนักหนาสาหัสมาขนาดไหนในอดีต คงต้องยกเว้นพื้นที่ในเต้นท์เล็กๆ ตรงนี้ คืนนี้
เพราะตอนนี้มันเป็นสวรรค์น้อยๆ ไปแล้ว
--------------------------------
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่สดใส แดดร้อนแรงของทุ่งเมืองกาญจน์ กลายเป็นสีชมพูในสายตาของหนุ่มน้อยจิวและต้นข้าว และตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินไปขึ้นรถบัสสีส้มกันแล้ว เพื่อไปทัศนศึกษาต่อ
"แว่น นี่ครูเค้าจะพาไปไหนต่ออ่ะ กูไม่ได้อ่านตารางเดินทางมา" จิวถามอย่างขี้เกียจ อ้าปากหาว
"ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าจะพาไปสะพานอะไรไม่รู้อ่ะ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่ทำจากเหล็ก"
"อะไรวะ สะพานทำจากเหล็ก จะไปดูทำไม ที่สะพานพุทธยอดฟ้าแถวบ้านมึงก็มี ต้องถ่อมาดูถึงนี่ ง่วงนอนฉิบหาย"
"ก็ใครใช้ให้นอนดึกล่ะเมื่อคืนน่ะ" ต้นข้าวหันไปยิ้มๆ ประกายตาวิบวับ
"ต่อให้ไม่ได้นอนอีกสิบคืน ถ้ามีโอกาสแบบในเต้นท์เมื่อคืน กูยอมว่ะ" จิวก็มีประกายฉ่ำในตาไม่แพ้กัน
--------------------------------
"เอาล่ะนะคะนักเรียน" ครูสาวที่ตอนนี้กลายเป็นไกด์แล้ว พูดผ่านโทรโข่งบนรถ
"เดี๋ยวเราจะลงไปเที่ยวกันที่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว กันนะคะ ทางจังหวัดกาญจนบุรี พึ่งโปรโมทให้ชวนกันมาเที่ยวตอนต้นปี ๒๘ นี้เองค่ะ
เมื่อก่อนนี้ สะพานนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวหรอกค่ะ แต่พอมีภาพยนตร์ฝรั่งเรื่อง
The Bridge on the River Kwai เข้ามาฉายในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วโด่งดังมาก สะพานนี้เลยพึ่งจะมาเป็นที่รู้จัก ก่อนพวกนักเรียนจะเกิดเมื่อสิบปีนี้เองค่ะ ชื่อของสะพานข้ามแม่น้ำแควนี้ ก็พึ่งจะตั้งขึ้นตอนนั้นเอง ตั้งตามชื่อหนัง ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อเรียกนะคะ
สะพานนี้มีความสำคัญมากนะคะ คือว่าเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง บลา บลา บลา..."
เสียงครูไกด์ ลอยผ่านหูกล่าวถึงประวัติของ "สะพานเหล็ก" ตามที่จิวและต้นข้าวเห็นว่าไม่เห็นน่าสนใจสักนิด ตอนนี้ทั้งคู่นั่งตัวชิดติดกันบนเบาะรถเดียวกัน (ซึ่งแน่นอนว่า ไอ้เกตุ ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่นั่งตรงนี้อีกแล้ว --คงละเหี่ยใจเต็มที่แล้วกับคู่นี้)
และต้นข้าวกำลังชะโงกมองออกไปนอกรถ ดูวิวสองข้างทางเพลิน ซึ่งเป็นทุ่งนาเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
"เอาหัวกลับเข้ามา อย่าชะโงกออกไปนอกรถ อันตราย มีรถสวนมา"
จิวบอกต้นข้าว พร้อมกับเอามือไปจับตรงหน้าผากของต้นข้าวเบาๆ ดึงหัวกลับเข้ามาในรถ แล้วเอามือกดตรงหน้าผากของต้นข้าวให้มาเอนซบกับไหล่ของจิว และขณะนี้ รถเริ่มเลี้ยวเข้าจอดที่ลานโล่งๆ ริมแม่น้ำแล้ว
"นักเรียนคะ ตามที่ครูเล่าประวัติของสะพานข้ามแม่น้ำแควไปแล้วนะคะเมื่อสักครู่บนรถ เดี๋ยวลงไปข้างล่าง ครูไม่ตามไปเล่าแล้วนะคะ มันเป็นที่โล่ง เสียงโทรโข่งครูจะได้ยินไม่ทั่วกัน
นักเรียนก็ไปเดินดูตามจุดที่ครูบอกนะคะ แยกย้ายกันไปหลายๆ จุด จะได้ไม่แย่งวิวกัน และเดี๋ยวครูนิล จะมาคอยเดินถ่ายรูปให้นักเรียนด้วยค่ะ ใครอยากถ่ายรูป เรียกครูนิลนะคะ"
เสียงครูผ่านโทรโข่งสุดท้ายก่อนรถจอดสนิท นักเรียนเริ่มทยอยลงจากรถ และมายืนอยู่ตรงปลายสะพาน ที่ได้ยินมาว่ามีประวัติศาสตร์อันขื่นขม
"สะพานข้ามแม่น้ำแคว"
--------------------------------
ภาพยนตร์เรื่อง The Bridge on the River Kwai ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่ทำให้สะพานนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก