NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14  (อ่าน 170634 ครั้ง)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่5

กระจกโบราณ


ผมคิดว่าผมมาถูกทางไอ้ภพ  เมื่อผมเอ่ยประโยคนั่นเสร็จไอ้ภพมีท่าทีสนใจในสิ่งที่มันไม่ได้สังเกตเท่าผม มันพยักหน้าตอบผมเบาๆเป็นสัญญาณว่ามันอยากรู้ตรงจุดนั้น ผมจึงบอกมันให้รีบซักผ้าให้เสร็จก่อนที่ผ้าจะแห้งไม่ทันค่ำ

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมกับไอ้ภพไปร่วมกันทำเวรทำกรรมอะไรไว้ เมื่อซักผ้าเสร็จทุกอย่างถึงได้รู้ว่า ไม่มีราวตากผ้าและไม้แขวนเสื้อพวกผมเสียเวลาไปกับการหาวัตถุที่จะนำมาใช้แทนราวตากผ้า ส่วนไม้แขวน พวกผมตัดสินใจให้ปล่อยมันไป  เดี๋ยวเย็นนี้ก็ต้องเก็บ  หากันอยู่พักหนึ่ง ถึงได้เห็นว่ามีแค่เชือกเท่านั้นที่พอจะใช้แทนราวตากผ้าได้  ผมกับมันจึงต้องหาที่ขึงเชือกและนำผ้าไปตากให้เรียบร้อย

“เมื่อยโว้ยยยยยยยยยยยยยย” ผมบ่นออกมาเมื่อเข้ามานั่งพักในห้องนั่งเล่นหลังจากตากผ้าเสร็จ

“มึงพักให้หายเหนื่อยไปก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว”

“แล้วมึงอ่ะ?”

“หาข้าวเที่ยงแดกดิ กูหิว”  วันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้ดูนาฬิกาเลยว่าเวลาผ่านไปยาวนานเท่าไร  อาศัยแค่สังเกตพระอาทิตย์เอาเท่านั้น เมื่อมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งในบ้าน ถึงได้เห็นว่า เข็มสั้นชี้เลยเลข 12 มาร่วมชั่วโมงแล้ว ซึ่งก็คาดว่าถ้าบ่ายนี้แดดไม่แรงจริง ผ้าพวกผมคงต้องเก็บพรุ่งนี้

“เฮ้ย กูไปด้วย”

“จะมาแดกก็ลุก” มันสั่งให้ผมลุกเดินตามมันไปในห้องครัว ข้าวเที่ยงวันนี้ก็คือกับข้าวจากเมื่อเช้า ผมจับมันอุ่นให้ร้อนนิดหน่อย แล้วก็ยกไปวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว   ไอ้ภพมีหน้าที่ตักข้าวใส่จากไว้รอแค่นั้น  เมื่อนั่งกินต่างคนต่างก็รีบจัดการกับอาหารตรงหน้าด้วยเพราะหิวมากจึงไม่มีเวลามากวนตีนกันอีก

“ไอ้มิว มึงมีอะไรจะพูดมั้ย?”  มันถามคำถามเชิงบังคับผมทันที หลังมันกินข้าวเสร็จ

“เรื่อง?”

“ก็เรื่องที่มึงบอกว่าบ้านหลังนี้มัน…”

“ชู่ว์" ผมรีบยกนิ้วชี้ขึ้นชิดปากเพื่อสั่งห้ามไม่ให้ไอ้ภพพูดคำที่เหลือออกมา และเอ่ยไปแบบไม่มีเสียงให้มันเข้าใจว่า ตรงนี้ไม่ได้

“เก็บจานให้เสร็จก่อน   แล้วค่อยไปคุยกันบนห้อง”

“อืม” มันพยักหน้าเข้าใจและเริ่มที่จะรีบเคลียร์พื้นที่ตรงหน้าอย่างไม่ให้เสียเวลาอีก

“ทำไมถึงพูดข้างล่างไม่ได้” ไอ้ภพถามหลังจากที่ขึ้นมาบนห้องนอนเรียบร้อยแล้ว  ก่อนขึ้นผมเห็นไอ้ภพเดินไปหยิบหนังสือเล่มที่3 ออกมาซึ่งก็คือภารกิจที่พวกผมต้องทำกันวันนี้  แค่คิดขนทั่วร่างของผมก็พร้อมใจกันลุกชันขึ้นมา และคาดว่าตลอดบ่ายพวกผมคงเลือกที่จะอยู่กันบนนี้แทนลงไปนั่งข้างล่าง

“กูไม่ไว้ใจ  ข้างนอกห้องนี้มีแต่กล้อง กูไม่รู้ว่ามันจะได้ยินเสียงเรามั้ย”

“แล้ว...อะไรที่มึงคิดว่าแปลก” เสียงพูดเบาๆของมันถามผมอีกครั้ง

“จำวันแรกที่เราเข้ามาได้มั้ย” ผมมองหน้าไอ้ภพและเริ่มเท้าความไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมรู้จักกับมัน

“อืม แล้วไง?”

“ตั้งแต่วันแรกที่เราต้องมาที่นี่ ทีมงานบนรถได้บอกประวัติบ้านหลังนี้กับพวกเราใช่มั้ย? นั่นคือครั้งแรกที่กูรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล  มีคนตายถึง7 คนในบ้านหลังนี้ แต่ทำไมถึงไม่มีใครรู้หรือเอะใจอะไรเลยว่าคนหายไป  ตามที่ทีมงานบอกกว่าจะเจอว่ามีคนตาย ศพก็เน่าไปเกือบหมดแล้ว  มันน่าคิดมั้ยคนพวกนี้ไม่มีสังคมหรอ ถึงได้ไม่มีใครตามหา”

“มันก็เป็นไปได้ มึงดูตำแหน่งที่ตั้งของบ้านดิ เปลี่ยวขนาดนี้ ใครจะผ่านมาบ่อยๆวะ”

“ตอนแรกกูก็คิดแบบนั้น แต่ก็อย่างที่มึงพูดใครจะผ่านมาบ่อยๆถูกมั้ย  ถ้าพื้นที่นี้มันไม่มีใครผ่านมาแล้วใครคือคนพบศพคนแรก?”   ไอ้ภพดูนิ่งไปกับคำพูดของผม เหมือนมันจะเริ่มคิดตามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น  ผมเริ่มแคลงใจมาตั้งแต่ที่ทีมงานบอก  อยากจะถามคำถามนี้ออกไปมากๆ แต่ทีมงานก็พูดดักทางผมเอาไว้หมด

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ”

“อะไรอีก”

“มึงคิดว่าคดีฆาตรกรรมถึง7ศพเป็นเรื่องเล็กมั้ย?  ทำไมถึงไม่มีการออกข่าวใดๆทั้งสิ้น การตายที่มันผิดธรรมชาติแบบนี้มันไม่ได้จบแค่การเจอศพแล้วนำศพไปทำพิธี คดีมันต้องมีตำรวจมาเกี่ยวด้วยแน่ นี่ไม่ใช่คดีเล็กๆแต่ทำไมเรื่องเงียบ"

“ถ้ามันเป็นข่าวที่มีขึ้นมาก่อนกูกับมึงเกิด เราก็ไม่รู้”

“กูรู้ กูจะไม่แปลกใจเลยถ้าบ้านหลังนี้มันดูเก่ามากกว่านี้ หรือการออกแบบตัวบ้านไม่ทันสมัยขนาดนี้”

“มึงรู้ดูยังไงว่าบ้านมันใหม่หรือเก่า  บ้านหลังนี้มันถูกรีโนเวทมาแล้วนะ”

“อืมใช่….แต่รีโนเวทกับสร้างใหม่มันไม่เหมือนกัน”

“มึงต้องการจะบอกอะไร”

“กูอาจจะดูเพ้อในสายตามึงนะ แต่มันเป็นความรู้สึกของกูจริงๆบ้านหลังนี้รูปทรงบ้าน การออกแบบโดยรอบ หรือความใหม่ มันเกินกว่าจะเป็นบ้านรีโนเวท บ้านที่เคยมีคนอยู่กับบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆอารมณ์ของการอยู่มันต่างกันนะไอ้ภพ ถ้ามันมีคนเคยอยู่มาแล้วบ้านมันต้องโทรมกว่านี้ สิ่งของพื้นฐานที่อยู่ภายในบ้านต้องเก่ากว่านี้ สังเกตก๊อกน้ำบ้างมั้ย มันเป็นของใหม่ทุกชิ้น ทั้งๆที่จุดเล็กๆแค่นี้ ไม่ต้องรีโนเวทก็ได้”   

“มึงสังเกตขนาดนี้เลยหรอ”

“ของบางอย่างมันไม่ต้องใช้การสังเกตหรอก บางสิ่งที่มึงต้องเห็นมันทุกวันถึงมันจะคุ้นชิน แต่ในสถานที่แบบนี้มันย่อมต้องสงสัยบ้างแหละ ว่าความเป็นไปได้ที่รายการจะทุ่มให้เรามันมากน้อยแค่ไหน”

“งั้น…คงต้องรอดูต่อไป” 

“มึงไม่เชื่อกูใช่มั้ย?”

“มันก็เชื่อยาก เพราะที่มึงบอกมันก็คือความรู้สึกของมึงทั้งนั้น”

“อืม…มันก็แค่ความรู้สึกกู”  นั่นสิผมลืมส่วนนี้ไปได้ยังไง  คำพูดที่ไม่มีหลักฐานใดๆมาอ้างอิงได้ มันไม่ต่างอะไรไปกับลมปากที่พัดผ่านหู แม้ไอ้ภพจะเชื่อว่าผมเห็นผีได้จริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเชื่อผมทุกอย่าง มันเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยเหตุผลของมัน  ความจริงที่มันต้องการหาจึงต้องไม่ใช่แค่มาจากความรู้สึกผมหรือแค่เพราะว่าผมสังเกตได้

“มีอะไรจะบอกกูอีกมั้ย”

“ไม่” ผมส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธมันไป

.

.

.

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับของฟ้า…

แสงสุดท้ายของวันใกล้จะหมดลงแล้ว นั่นหมายความว่าเกมส์ที่3ของผมใกล้จะเริ่มขึ้นในทุกที ยิ่งเห็นลุงคำสั่งคนงานมากมายขนตู้กระจกเก่าๆมาสองตู้เข้ามาไว้ในบ้านตู้หลังหนึ่งถูกย้ายขึ้นไปบนห้องและตู้อีกหลังถูกวางไว้ด้านล่าง  ท่ามกลางความสงสัยของผมกับไอ้ภพ ลุงคำได้ให้คำตอบแค่ว่า มันคือส่วนหนึ่งของเกมส์นี้  ผมกับไอ้ภพที่ยังไม่ได้เปิดอ่านรายละเอียดเกมส์จึงทำได้แค่พยักหน้าตอบรับลุงคำไปแค่นั้น

พูดถึงไอ้ภพ หลังจากผมปฏิเสธที่จะเล่าต่อ ผมกับมันก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก  ผมรู้ว่าถึงพูดอะไรไปตอนนี้ไอ้ภพมันก็ไม่เชื่อ เพราะคำพูดของผมมันไม่มีหลักฐานหรือแรงจูงใจมากพอ แม้จะยังคงมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกมัน แต่เวลานี้มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร   มันลุกเดินไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองดูกำแพงนั่นอีกครั้งอย่างคนเหม่อลอย ผมที่ไม่คิดจะเข้าไปขัดจังหวะของมัน จึงได้แต่นั่งเงียบบนเตียงจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้ภพมาปลุกและบอกว่าลุงคำมาแล้วให้ผมเตรียมลงไปข้างล่างกับมัน

เมื่อลงมา  นอกจากลุงคำผมยังเห็นคนงานเดินถือตู้กระจกสองหลังตามมาด้วย มันเป็นตู้กระจกโบราณรูปทรงเหมือนในหนังผีทั่วๆไป ด้วยความที่ผมยังไม่อยากใส่ใจมันมากนัก จึงเดินไปจับผ้าของผมกับไอ้ภพเพื่อตรวจดูว่ามันแห้งหรือยัง แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด  ผ้ายังคงชื้นอยู่เมื่อเก็บไม่ได้ผมจึงต้องปล่อยให้มันแห้งไปแบบนั้นและกลับเข้าบ้านไปตามเดิม

“ผ้าแห้งรึยังหละ”

“ยังเลยครับลุง กว่าพวกผมจะซักกันเสร็จก็ตั้งบ่ายโมงแล้วครับ”

“บอกแล้วให้ลุงเอาไปซักให้ ป่านนี้ก็ได้ผ้ากันแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับลุง พวกผมยังมีผ้ากันอยู่แถมซักเองก็แก้เบื่อดีครับ”

“ตามใจๆ  มีอะไรอยากได้อีกมั้ย ลุงจะได้เอามาให้เพิ่ม”

“ไม่มีอะไรแล้วครับลุง ตอนนี้ยังไม่ขาดอะไร”

“งั้นลุงไปแล้วนะ”

“เดี๋ยวครับลุง  นอกจากตู้กระจกพวกนี้แล้วลุงเอาอะไรมาให้เพิ่มอีกมั้ยครับ พอดีผมกับไอ้ภพยังไม่ได้เปิดอ่านหนังสือครับ”

“อ้อ  มีแอปเปิ้ลอีกอย่างที่ลุงเอามาให้ กินได้นะลุงเอามาให้หลายลูกเลย แต่ก็เหลือๆไว้2ลูกละกัน มันต้องใช้”

“ขอบคุณครับลุง”

“ไม่มีอะไรแล้วลุงไปนะ  ระวังตัวกันด้วยหละ”

“ครับ”  ผมกับไอ้ภพมองหน้าลุงที่เตือนพวกผมด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเริ่มหันมามองหน้ากันเอง หน้าไอ้ภพคงไม่เท่าไร แต่หน้าผมตอนนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของความกังวลที่ก่อตัวขึ้น  ไม่ต้องเปิดหนังสือผมก็พอเดาได้ว่าเกมส์นี้มันต้องการให้ผมทำอะไร ทุกอย่างลงล็อคของมันอย่างไม่ต้องสงสัย กระจกโบราณ เอย แอปเปิ้ลเอย ถ้าคนที่เคยดูหนังผีย่อมต้องเดาได้ว่าเกมส์นี้มันให้ ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจก

ถ้าการเดาของผมมันใช้ได้ตลอดเวลาก็คงดี ไม่อย่างนั้นชีวิตการเรียนของผมคงไม่ต้องลุ่มๆดอนๆ เสี่ยงโดนไล่ออกทุกเทอมแบบนี้  ผมกับไอ้ภพตัดสินใจที่จะเปิดหนังสือนั่นเพื่ออ่านวิธีการเล่นเกมส์ก่อนการทำอาหารเย็น แล้วก็พบว่าเกมส์นี้มันสั่งให้ผมกับไอ้ภพปอกแอปเปิ้ลกันจริงๆแต่ต้องปอกกันคนละที่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าตู้กระจกนั่นทำไมมันถึงถูกวางไว้สองตำแหน่ง

เกมส์นี้บังคับให้ผมเล่นกันดึกหน่อยคือตอนตีสาม เวลาดีผีเฮี้ยน นี่เกมส์คงอยากดึงกระแสมากจึงได้คิดหาแต่เกมส์ยากๆแล้วเสี่ยงเจอผีหลอกออกมาตั้งแต่เกมส์แรกๆ   ผมไม่รู้ว่าวันต่อๆไปเกมส์จะยากมากขึ้นแค่ไหน รู้แค่ว่าผมต้องเข้มแข็งให้ได้มากกว่าตอนนี้  เกมส์นี้ดีกรีความโหดมันสูงขึ้นเรื่อยๆ สังเกตจากการบอกเล่าประสบการณ์การเจอผีใน2เล่มที่ผ่านมา จำนวนผู้มีประสบการณ์นั้นมากขึ้นและเจอแรงขึ้นเรื่อยๆ   จนเล่มนี้เมื่อผมตัดสินใจเปิดดูหน้าคำบอกเล่านั้น คำบรรยายไปในทิศทางเดียวกันหมดคือ เมื่อปอกแอปเปิ้ลไปได้สักพักสิ่งที่จะเจอคือ

เนื้อคู่….

“เหี้ยไรวะ?? พิธีกรรมนี้มันใช้เห็นเนื้อคู่”  หน้าผมตอนนี้คงไม่ต่างอะไรไปกับหน้าหมางง  ไอ้ภพก็ไม่ต่างกัน  ต่างคนต่างสงสัยว่าทำไมเกมส์ถึงให้พวกผมมาหาวิธีดูเนื้อคู่แทนที่จะเป็นผีเหมือนเกมส์ก่อนๆ

“มึงอ่านผิดรึเปล่า”

.
.
.
(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0


“งั้นมึงเอาไปอ่านเอง” ผมยื่นหนังสือไปให้มันอ่าน  ก่อนมันจะเปิดดูประสบการณ์คนอื่นไปเรื่อยๆเพื่อหาความแน่นอนจนเหมือนกับว่ามันไปเจอข้อความอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ  ผมเห็นมันหยุดอ่านอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะเงยหน้ามองพร้อมกับยกสันหนังสือมาเขกหัวผม

“โอ้ยยยย  มึงจะเขกหัวกูทำไมวะ”

“ปลุกมึงให้ตื่นไง  จะอ่านอะไรก็หัดอ่านให้มันหมดบ้าง”

“อะไรวะ กูก็อ่านหมดแล้วไง จะอะไรกับกูอีก” ผมเริ่มมีน้ำโหกับพฤติกรรมของมันบ้าง

“งั้นมึงก็แหกตาดูนี่ให้มันชัดๆ”

คำเตือน: เมื่อเห็นเนื้อคู่ของเราแล้วให้รีบตัดเปลือกแอปเปิ้ลทิ้งทันที ไม่รับประกันว่านอกจากเนื้อคู่จะเห็นสิ่งลี้ลับอื่นหรือไม่

“ใครจะรู้วะ หน้านี้กูยังไม่ได้อ่าน”

“ไหนมึงบอกอ่านหมดแล้ว?”

“ก็…เอ่อ คนเรามันก็ต้องผิดพลาดกันบ้างดิวะ กูก็อ่านแล้วนี่ไง”

“ถ้าอ่านแล้วก็พอ  ไปทำอาหารแดก” พูดจบแล้วมันก็เดินเข้าครัวไป  ผมยักไหล่ให้กับการกระทำของมันแล้วหันไปเก็บหนังสือให้เข้าที่เดิม เรื่องพิธีกรรมอื่นค่อยมาทบทวนทีหลัง  ถ้าถามผมว่า ผมกลัวพิธีกรรมนี้มากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าตั้งแต่เล่นเกมส์มาพิธีกรรมนี้ทำให้ผมกลัวน้อยที่สุด  เพราะพิธีมันทำให้เห็นเนื้อคู่ไม่ใช่ผี แต่ก็ยังไว้วางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น คำเตือนนั่น ไม่น่ามีไว้แค่ประดับหนังสือเฉยๆแน่

“เฮ้อ มึงว่าคืนนี้กูจะรอดมั้ยวะ” คำถามจากผมเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากจัดการมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย และเลือกที่จะมานั่งพักเอาแรงอยู่เฉยๆก่อนการทำพิธีกรรมคืนนี้

“เพ้อเจ้ออะไรของมึงอีก”

“ให้ความร่วมมือกับกูหน่อยจะตายรึไง”

“เอ้า กูก็ถามมึงนี่ไงว่าเพ้อเจ้อ เรื่องอะไร” ผมปล่อยมันให้กวนตีนต่อไป พร้อมกับส่ายหน้าเอือมกับพฤติกรรมมัน   ไม่อยากจะเสวนาใดๆด้วย แต่ก็ทำไม่ได้อยู่กับมันแค่2 คน ถ้าไม่ระบายออกให้มันฟังบ้างผมคงต้องใช้วิธีผีถ้วยแก้วนั่นอีกครั้ง แล้วเชิญวิญญาณพวกนั้นให้มาฟังผมระบายทุกอย่าง ก่อนที่ผมจะยอมโดนพวกมันหลอก

“กูละเพลียกับมึงเหลือเกิน  ก็พิธีกรรมห่านี่ไงโว้ย กูเครียดกูจะโดนผีหลอกอีกมั้ย”

“มึงควรชินได้แล้วนะ”

“ชินห่าชินเหวไรละ กูแช่งแม่ง ให้มึงเจอแบบกูบ้าง”

“แช่งไปเหอะ ยังไงกูก็ไม่เห็น”

“ทำไม  มึงตาบอดหรอ”

“เปล่า กูหล่อ”

“ฮะ!!!!!   กวนตีนละ ไอ้ภพ” หน้าตายมากครับ มันตอบได้หน้าตายมากมีอย่างทีไหนมาชมตัวเองว่าหล่อด้วยสีหน้าแบบนั้นต่อหน้าบุคคลที่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ  อย่างที่กูเตือนมึงเมื่อเช้าจำได้มั้ย ถ้ามึงหนีไม่ได้ก็ต้องทำใจให้ชิน มันมีแค่หนทางเดียวจริงๆ”

“กูพยายามอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเหมือนกันที่กูจะทำได้” มันกลับสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง  รวมถึงผมด้วย

“ เวลาของเกมส์มันยังมีอีกหลายวันก็จริง แต่เวลาของมึงมันมีจำกัด รักษาตัวเองให้ดี”

“กู…ไม่เข้าใจ”

“ตามที่บอก เวลาของจิตใจ เวลาของสุขภาพมึงมันไม่ได้ถาวรนะไอ้มิว มึงแย่ลงทุกครั้งหลังจบเกมส์ ดูลิมิตตัวเองด้วยว่าทนได้แค่ไหนถ้ามึงยังคงไม่ชินกับอะไรแบบนี้” มันพูดเตือนผมด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจังและจริงใจ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความห่วงใยเล็กๆ  นั่นทำให้ผมรู้สึกอุ่นในใจได้อย่างน่าประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบมันที่พยายามจะขับไล่ผมออกจากเกมส์ในวันแรก จะพยายามเตือนผมให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริงหลังจากอยู่ร่วมกันเพียงไม่กี่วัน

“ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“อืม ถ้ามีอะไรอีกก็บอกกู”

“แล้ว….มึงคิดว่าถ้ามันเห็นเนื้อคู่ได้จริงๆ มึงคิดว่ามึงจะเห็นใคร” ผมรีบหลบสายตามันก่อนจะตัดบทมาถามเรื่องเนื้อคู่กับไอ้ภพแบบดื้อๆ   หน้าของไอ้ภพยามให้คำปรึกษาผม   เป็นใบหน้าที่ค่อนข้างจริงจังส่งผลให้มันดูเท่อย่างบอกไม่ถูก  น้ำเสียงของมันนั่นอีก  คำถามถูกถามขึ้นภายในใจทันทีว่า ผมกำลังเป็นอะไร  ทำไมใจของผมถึงเต้นแรงเหมือนว่ามันจะออกมาจากอกให้ได้  อีกทั้งสมองของผมยังสั่งไม่ให้มองหน้ามันนานเกินกว่านั้น

“กูจะรู้มั้ย ถ้ากูรู้ว่าเนื้อคู่กูเป็นใคร กูจะมานั่งทำอะไรแบบนี้หรอ”  มันหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนั่น  ก่อนจะตอบผมด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ทำให้บรรยากาศหวานใสที่ผมคิดไปเองเมื่อครู่กลับกลายเป็นปกติ

“เผื่อมึงจะอยากเห็นหน้าแฟนมึงไง”

“…..”

“เงียบทำไม มึงเพิ่งโดนแฟนทิ้งมาหรอ”

“เปล่า กูไม่มีแฟน”

“ฮะ อะไรนะทำไมกูไม่ได้ยินเลยวะ ไม่ อะไร แฟนๆนะ”

“สัสหูหนวกรึไง กูก็บอกว่ากูไม่มีแฟน”

“โด่วววว แค่นี้เองจะอายไมวะ  กูก็ไม่มียังไม่เห็นอายเลย”

“มึงเลยจะรอเห็นไอ้ผีพวกนั้นใช่มั้ย”

“….”

“เฮ้ย!!  กูล้อเล่น มึงไม่ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นก็ได้”

“มันใช่เรื่องมั้ยไอ้ภพ กูอุตส่าห์ทำใจลืมๆมันไปแล้วนะ”

“มึงจะคิดมากทำไมวะ  เค้าก็บอกอยู่นี่ไงว่ามันมีไว้ดูเนื้อคู่ มันจะเห็นผีได้ไง”ไอ้นี่กลับคำครับ ทีตอนแรกทำท่าไม่เชื่อผมว่าพิธีกรรมมันใช้ดูเนื้อคู่ไม่ใช่ผี

“กูรู้ แต่คำเตือนนั่นมันคงไม่ได้มีไว้เตือนมึงเล่นๆหรอก”

“งั้นเดี๋ยวกูจะอ่านให้มึงฟังเอง ว่าคนที่เล่นเกมส์นี้แม่งเจอผีมั้ย” ผมมองไปที่มันเงียบๆดูการกระทำของมันที่เริ่มกระตือรือร้นแก้ปัญหาให้ผมแบบเด็กๆ  มันคงไม่ได้ทันคิดอะไรหรอก แต่ผมนี่สิเริ่มคิดแล้ว ภาพนั้นมันช่างน่ารักอย่างบอกไม่ถูก   สำหรับผมมันคล้ายกับพี่ชายที่กำลังโอ๋น้องสาวของตัวเองแบบนั้น

น้องสาว?

หรือว่าผม…ไม่เคยมีพี่ที่คอยดูแล เลยหวั่นไหวไปกับการกระทำของไอ้ภพได้ง่าย ผมใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาเสมอ การเข้ามาของไอ้ภพ จึงเหมือนมาเติมเต็มสิ่งนี้ให้กับผมที่พักหลังแทบไม่ต้องทำอะไรคนเดียว มีมันคอยช่วยทุกอย่าง  อีกทั้งปัญหาหลายๆอย่างที่ผมต้องแบกรับไว้ พอมีมันมาช่วยแชร์ ผมถึงรู้สึกได้ว่าชีวิตผมไม่ได้ตัวคนเดียว

“สวัสดีค่ะ  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากหนูโดยตรงเลยนะคะ  เริ่มเลยละกัน หนูขอใช้นามสมมตินะคะว่าหนูชื่อ A แรกเริ่มเดิมทีหนูไม่ใช่คนสวยค่ะ แต่ก็มีผู้ชายมากมายเข้ามาคุยกับหนูนะคะ ไม่ใช่ไม่มี  ทีนี้หนูก็เลือกไม่ได้ค่ะว่าจะให้คนไหนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหนู บางทีมีผู้ชายเข้ามามากๆมันก็ปัญหาแบบนี้แหละค่ะ หนูเลยลองไปสืบค้นค่ะว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะคัดสรรผู้ชายที่ดีที่สุด  หนูเลยมาเจอวิธีนี้ค่ะ ปอกแอปเปิ้ล  หนูไม่รอช้าค่ะ ไม่อยากให้ผู้ชายในสต๊อกตีกันตายก่อน เลยรีบทำพิธีกรรมนี้ทันที  เมื่อลองทำตามที่พิธีกรรมบอก ตอนแรกหนูไม่เชื่อเลยนะคะ ว่าแค่ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกจะมีภาพผู้ชายโผล่มาได้ยังไง แต่เมื่อหนูลองทำ มันมีภาพขึ้นมาจริงๆค่ะ เป็นภาพผู้ชายหนึ่งในหลายสิบคนที่คุยกับหนูอยู่ หนูเลยมั่นใจว่าคนนี้คือเนื้อคู่หนูแน่ๆ เลยปฏิเสธผู้ชายที่เหลือแล้วเลือกคนนี้เลยค่ะ  นับว่าโชคดีมากเลือกไม่ผิดเลยจริงๆเค้าใหญ่ดีค่ะ อุ๊ย ผิดจุดนะคะ เค้านิสัยดีค่ะ ตอนนี้หนูกับเค้าเลยรักกันแฮปปี้มาก    นางสาวAร้อยผัว”

“555555555555 โอ้ยยยยยขำ” ผมขำอย่างไม่มีกั๊กทันทีที่ไอ้ภพอ่านจบ ถ้ามันอ่านด้วยน้ำเสียงปกติผมคงไม่ได้รู้สึกฮามากขนาดนี้แต่นี่มันเล่นเลียนเสียงแบบ นางสาวเอร้อยผัวไปด้วย  คาดว่าคงกะให้ผมอารมณ์ดีแบบสุดๆแน่ ไม่มันก็รู้สึกผิดจริงๆถึงได้ยอมลงทุนเล่นอะไรแบบนี้

“มึงขำไรวะ นางสาวเอร้อยผัวเนี่ยหรอ เออมันก็น่าขำ ไหนบอกเลือกผู้ชายคนนั้น แล้วผัวอีก 99คนมาจากไหน” มันยังคงไม่รู้ตัวว่ามันทำอะไรลงไป ถึงได้ไปคิดว่าผมขำอีกประเด็นหนึ่ง ทั้งที่ความจริงมันก็น่าขำ แต่พอนึกเสียงไอ้ภพ เรื่องนี้ก็เป็นด้อยไปทันที

“สัส กูขำมึงนั่นแหละ เล่นมาได้นะไอ้ดัดเสียงเป็นนางสาวเอเนี่ย  ดูเสียงมึงด้วยใหญ่จะตายห่ายังจะกล้าเล่น”

“แล้วไง มึงก็ดูไม่กลัวแล้วหนิ จะให้เล่าต่อมั้ย?” มันฉุนกึกใส่ผมทันที  เดาว่าคงอายที่ผมไปแซวมัน เลยเริ่มแสดงอาการพยศผมอีกครั้ง

“เอาดิ กูอยากฟังอีกเรื่อยๆ”

“เออ!!” หลังจากนั้น ไอ้ภพมันก็เล่าเรื่องต่างๆสลับกับด่าผมที่ยังคงหัวเราะมันไปเรื่อยๆ เรื่องหลังจากนั้นมันไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเรื่องแรก ทุกคนจะบอกถึงแนวความน่ารักของเหตุการณ์หลังพิธีกรรมนั่นมากกว่าที่จะโฟกัสเรื่องที่เกิดระหว่างพิธีกรรม ราวกับว่าเนื้อเรื่องที่อ่านทั้งหมดมีเนื้อหาที่มาจากแหล่งอ้างอิงเดียวกัน ซึ่งผิดปกติไปมากสำหรับเรื่องที่ควรจะต้องนำมาลงในหนังสือแนวผีๆแบบนี้ จนกระทั่งเรื่องสุดท้ายที่ไอ้ภพจะเล่าให้ผมฟัง

“กูจะเล่าเรื่องนี้เรื่องสุดท้าย มึงก็หายประสาทหลอน เลิกกลัว เลิกเพ้อเจ้อสักที กูเหนื่อย”

“เออๆ เล่ามาเหอะ กูหายกลัวไปนานละ”

“อ้าว??  แล้วทำไมไม่บอกวะ งั้นเรื่องนี้กูไม่เล่า”

“เฮ้ย เล่าให้ฟังก่อนดิ กูอยากฟัง”

“งั้นเชิญมึงนั่งฟังเงียบๆครับ ก่อนที่กูจะไม่มีอารมณ์เล่า”

“เชิญมึงตามสบายเลยครับ”

“สวัสดีค่ะ หลังจากที่ได้อ่านประสบการณ์คนอื่นมาก็นาน วันนี้ดิฉันจะขอมานำเสนอเรื่องของตัวเองบ้างนะคะ ดิฉันชื่อพราวค่ะ เดิมทีเป็นคนอาภัพรักขั้นรุนแรงถึงแรงมากค่ะ  ใครบอกว่าอะไรดี คาถาบทไหนเด็ด พราวก็จะนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง แต่ลองยังไงทุกอย่างมันก็ไม่ดีขึ้นจนตอนแรกพราวถึงกับถอดใจไปเลยค่ะ คิดว่าชาตินี้ยังไงก็หาสามีไม่ได้แน่ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งพราวเปิดเว็บไซต์ไปเรื่อยๆตามประสาสาวโสด สิ่งที่พราวพบคือหน้าเว็บแห่งนี้นี่แหละค่ะ  กระทู้เรื่องการปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกตอนนั้นกำลังขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ พราวจึงลองกดเข้ามาดู สิ่งที่พราวเห็นตรงหน้า พราวค่อนข้างไม่เชื่อนะคะว่าจะเห็นได้ยังไง มันก็แค่กระจกธรรมดาๆ ไม่น่าจะเห็นได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ในเมื่อพราวเล่นกับไสยศาสตร์มาก็เยอะ คราวนี้พราวจึงลองเสี่ยงอีกครั้งกะว่า ถ้าครั้งนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จพราวจะไปบวช  พราวเริ่มต้นไปหาซื้อกระจกโบราณมาเหมือนกับคุณคนอื่นๆ เริ่มทำพิธีกรรมตามเนื้อหาในกระทู้ ในช่วงแรกของการทำพิธีพราวไม่เห็นอะไรเลยนะคะ จนเปลือกแอปเปิ้ลที่พราวปอกจะหมดแล้วอีกทั้งเทียนก็ใกล้จะหมดลง พราวเตรียมจะถอดใจละค่ะ ถ้าไม่มีภาพหนึ่งปรากฎขึ้นมาบนนั้น  มันเป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่พราวไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวค่ะ เคยเห็นกันบ้างเวลาพราวจะเดินทางไปทำงานเพราะออกมารอรถพร้อมกัน  ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดูใจดีและหล่อเหลามากค่ะ  พราวดีใจเป็นอย่างมากไม่คิดว่าผู้ชายที่เป็นเนื้อคู่ของพราวจะอยู่ใกล้แค่นี้ แม้ช่วงนั้นพราวจะไม่ค่อยเจอเค้าแล้วก็ตามทีแต่พราวสัญญากับตัวเองเลยค่ะว่าตอนเช้าจะไปตามหาเค้า แต่….”

“หยุดทำไมวะไอ้ภพ  แต่อะไร” ผมโวยมันทันทีเมื่อมันหยุดในตอนที่ผมคาดว่ามันจะเป็นจุดสำคัญของเนื้อเรื่องนี้

“กูขี้เกียจอ่านต่อ มันเยอะชิบหาย”

“โว้ยยย  นั้นเอามากูจะอ่านเอง”

“พอ ไม่ต้องอ่านไปหาอย่างอื่นทำกันดีกว่า อ่านไปแม่งก็เท่านั้น”

“พูดอย่างกับว่าบ้านนี้มันมีอะไรให้มึงทำนักหนาอ่ะ  เอามากูจะอ่านต่อ”

“งั้นไม่ต้องถ้ามึงจะฟัง กูจะอ่านให้มึงฟังเอง”มันมองหน้าผมอีกหนึ่งครั้งเพื่อยืนยันว่าผมไม่เปลี่ยนใจจริงๆก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

“พราวสัญญากับตัวเองเลยค่ะว่าตอนเช้าจะไปหาเค้า  แต่ก่อนที่พราวจะได้ทำตามใจคิด เทียนที่จุดไว้หน้ากระจกก็ดับลงไปก่อน พราวกลัวว่าภาพของผู้ชายคนนั้นจะหายไปพราวเลยรีบวางแอปเปิ้ลที่ยังไม่ได้ตัดเปลือกลงและก้มลงไปหาเทียนกับไม้ขีดไฟเพื่อจะรีบนำขึ้นมาจุดต่อ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองกระจกอีกครั้ง ของทุกอย่างในมือพราวก็ร่วงลงไปทันที ภาพผู้ชายคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ หน้าเค้าที่ดูใจดีนั่นถูกเปลี่ยนไปเป็นหน้าที่ช้ำเลือดช้ำหนอง กำลังก้มลงกินแอปเปิ้ลนั่นภายในกระจก เมื่อพราวก้มลงมองแอปเปิ้ลตัวเอง พราวก็พบว่าแอปเปิ้ลนั้นมันกลายเป็นแอปเปิ้ลเน่ามีแต่หนอนชอนไชเต็มไปหมด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งผู้ชายคนนั้นก็นั่งจองแพรวตาเขม็งพร้อมกับเอ่ยประโยคนึงซ้ำๆว่า มึงเรียกกูมาทำไม   พราวตกใจกรี๊ดลั่นบ้าน แต่ด้วยความที่พราวอยู่คนเดียวจึงไม่มีใครช่วยพราวได้ พราวจึงวิ่งออกมาหลบข้างนอกห้องกะจะขับรถออกจากบ้านไปอาศัยบ้านเพื่อน  แต่เชื่อมั้ยคะ  ทุกครั้งที่พราวผ่านกระจก ไม่ว่าจะบานใดก็ตามภาพผู้ชายคนนั้นจะปรากฎออกมาตลอดพร้อมกับเอ่ยประโยคเดิมๆว่า มึงเรียกกูมาทำไม  พราวเหมือนคนไร้สติไปพักหนึ่ง กลัวกระจกทุกบานจนปล่อยให้ตัวเองโทรมลงเรื่อยๆ คนรอบข้างพราวทนไม่ไหวเลยพาพราวไปหาพระที่พราวนับถือ พระท่านบอกพราวว่า พราวเข้าไปเล่นกับพิธีที่ไม่สมควร ผู้ชายคนนั้นคือเนื้อคู่ของพราวจริง แต่เค้าตายไปแล้ว เท่ากับว่าพราวไปเรียกคนตายมาคุยด้วย  พระท่านทำพิธีรดน้ำมนตร์ให้พราว และสวดมนตร์ช่วยพราว พราวจึงไม่เห็นภาพพวกนั้นในกระจกอีก  ที่พราวเขียนไม่ได้จะเขียนเพื่อลดความน่าเชื่อถือคนอื่นๆ แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนอยากลองว่าไม่ใช่ทุกคนที่เนื้อคู่…จะยังมีชีวิตอยู่    พราว(มึงเรียกกูมาทำไม)”

“…..”

“ไงละ กูบอกมึงแล้วว่าจะไม่อ่านต่อ” ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาถากถางผมทันทีหลังอ่านจบ เพราะผมเริ่มเงียบไปหลังจากเนื้อเรื่องมันดำเนินไปในจุดที่ไม่เหมาะกับการได้ยิน

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกู ว่าเนื้อเรื่องต่อไปมันเจอผี”

“มึงคิดว่าตัวเองจะรับได้มั้ย ถ้ากูบอกว่าพิธีกรรมนี้มันเห็นผีได้จริงๆ”

“…..”

“เอาเหอะ มึงพักผ่อนไปยังไงซะ คนเล่ามันก็เจอผีเพราะเนื้อคู่มันตายไปแล้ว”

“แล้วถ้าเนื้อคู่กูตายไปแล้วมั่งอ่ะ กูจะทำไง”

“มันก็แค่เกมส์ คำบอกเล่าพวกนั้นมันมีอะไรยืนยันได้บ้างว่าเรื่องจริง อย่าเพ้อเจ้อ”

“กูไม่ได้เพ้อเจ้อ กูแค่กลัว”

“เอางี้  ช่วงพิธีกรรม มึงตะโกนมาเรื่อยๆ พูดอะไรก็ได้ เดี๋ยวกูจะตะโกนคุยกับมึงเอง”

“โอเค แต่มึงอย่าเงียบนะ”

“เออ ถ้ามึงไม่เงียบกูก็จะตะโกนตอบมึงแบบนั้นแหละ แล้วมึงจะทำพิธีที่ไหนในห้องนี้รึข้างล่าง”

“กูขอในห้องละกัน ไม่อยากลงไปข้างล่างหวะ”

“งั้นก็ตามนี้ เดี๋ยวอุปกรณ์อื่นกูเอาขึ้นมาให้ มึงก็นั่งรอบนนี้พอ”

“ภพ….ถ้าเกมส์นี้กูยังเจอผีอีก กูจะทำไงดี”

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ทำใจให้แข็งอย่างเดียว”

“ถ้ามันขอให้กูช่วยมันแบบเดิมหละ ถ้ามันพยายามจะเข้าถึงตัวกูหละ”

“ถ้ามันขอให้มึงช่วย คราวนี้มึงต้องถามให้รู้เรื่อง ถ้ามันพยายามจับตัวมึงหรืออะไรอีก ให้เรียกกูซะ ”

“อืม ขอบคุณ”

มันพยักหน้าตอบรับผมแค่นั้นก็เดินแยกออกไปข้างนอกห้อง เดาว่ามันคงไปเข้าห้องน้ำ ผมที่เมื่ออยู่คนเดียวในห้องตอนนี้ก็ได้แต่เบนสายตาไปยังตู้กระจกโบราณหลังนั้น พิจารณาถึงความเก่าแก่ของมัน รายการนี้เก่งมากที่ไปสรรหาของเก่าแบบนี้มาได้  กระจกรูปทรงรีมีกรอบเป็นรูปคดโค้งดูสวยงามตามแบบฉบับไทยแท้ๆ  ไม่รู้ว่าด้วยแรงดึงดูดของมันหรืออะไร ทำให้ผมต้องลุกขึ้นจากเตียงไปสัมผัสมัน ของเก่าเก็บเกือบทุกชิ้นมันดูมีมนตร์ขลังแต่ก็ดูน่ากลัวไปพร้อมๆกัน  แม้สำหรับผมจะอยากให้มันเป็นของเก่าที่ไม่ต้องมีประวัติใดๆ แต่ความคิดเบื้องลึกก็ต่อต้านมาว่า เกมส์มันไม่ง่ายขนาดนั้น 




**************************************TBC****************************************
สวัสดีครับบบบบบบบ  วันนี้เอาตอนที่ 5 มาให้แล้วนะครับ  555555  ไม่เคยได้ลงวันอังคารวันเดียวซะที ตอนนี้ผมว่างเลยมาลงวันศุกร์ให้ด้วย  แต่ตั้งแต่อาทิตย์หน้าไป ผมเปิดเรียนแล้วคงได้ลงแค่วันอังคารจริงๆแล้วครับ :hao7:

เห็นหลายๆคนบอกว่าหลอน  ตอนนี้ผมเลยขอแบบเบาๆไว้ก่อนนะครับจะได้อ่านตอนกลางคืนกันได้ เรื่องหลอนๆรวบยอดเป็นตอนหน้าละกันครับ :katai3:

ส่วนเรื่องเพจ  ตอนนี้ผมยังไม่มีนะครับ นี่เป็นนิยายเรื่องแรกผมยังไม่กล้าเปิดเพจครับ 5555 กลัวเขียนได้ไม่ดีพอ แต่ถ้าอยากพูดคุยกับผม สามารถติด #Nightmaregame ในทวิตเตอร์ได้นะครับ เดี๋ยวจะไปรีมาคุยด้วยครับ

ขอบคุณที่ติดตามครับ  เจอกันตอนหน้า
P-Rawit

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ้ยยยย หลอนมากกกก
คราวหน้าจะไม่อ่านเรื่องนี้ตอนกลางคืนแล้ว :ling3:

ปล. เริ่มมีโมเม้นท์มุ้งมิ่ง5555

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
สนุกและหลอนสุดๆ เขียนเก่งมากกกก เพิ่งได้มาตามและจะตามจนจบเลยคับ เป็นกำลังใจให้ o13

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
บางที ทุกอย่างทีมงานอาจจัดฉากทั้งหมดก็ได้ อืมมมมมม น่าสงสัย

ออฟไลน์ Babarahbreem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หลอนมากกกกกก    :a5: :a5:

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
ตามสิ จะเหลือหรอ

ออฟไลน์ เข็มวินาที

  • Those who make the worst use of their time are the first to complain of its shortness
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เห็นแต่เมื่อคืน ไม่กล้าอ่าน 5555 อยากอ่านอีกกก :ling1:

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
โอ้โห ขนาดยังไม่มีอะไร อ่านตอนนี้เรายังหลอนเลยค่ะ กลัวอะไรพวกนี้ขึ้นสมองมาก :katai1:

ออฟไลน์ เสพศิลป์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: มาต่อๆๆ อยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อไปปปป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nuchhxk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
มาอ่านตามที่บอกว่าจะติดตาม ฮื่อออ อ่านแล้วรู้เลยมันไม่ง่ายแน่ๆ แต่พอจะเดาได้ว่าเจอหน้าใคร..

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่6

คำตัดสินจากสัมภเวสี


“อ่ะ อุปกรณ์ของมึง ถือดีๆมีดมันคม” ไอ้ภพยื่นอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในคืนนี้ให้กับผมหลังจากที่ใกล้จะถึงเวลาทำพิธีกรรม

“มึง…จะลงไปข้างล่างเลยหรอ”

“อืม ทำไม?”

“ยังเหลืออีก10 นาที นั่งเป็นเพื่อนกูก่อนดิ” ผมหันไปขอร้องมันที่เตรียมจะลงไปข้างล่างให้นั่งอยู่เป็นเพื่อนผมก่อน  ตอนนี้ผมนั่งรออยู่หน้ากระจกเรียบร้อยแล้ว ไอ้ภพที่ถูกผมขอร้องจึงเดินมายืนข้างๆตู้กระจกเป็นการบอกว่ามันยังไม่ไปไหน

“มึงรู้ใช่มั้ย ไอ้ภพว่าเวลาปอกแอปเปิ้ลต้องปอกไม่ให้เปลือกมันขาดจากกันเลยนะ”

“ยังไง”

“มึงก็ต้องเริ่มปอกแล้ววนรอบแอปเปิ้ลไปเรื่อยๆ  อย่าใช้การปอกจากบนลงล่าง”

“อืม….นี่มึงกำลังกลัวอยู่ใช่มั้ย?”

“ฮะ…อืม กูกลัว” แม้ผมจะทำใจมาก่อนหน้านั้นนานมากอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาความกลัวที่ผมมีมันไม่ได้ลดลงไปเลย มันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ใกล้จะถึง  ความประหม่าของผมก่อนตัวขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อะไรสักอย่างบอกผม ว่าคืนนี้ผมต้องเจอดีแน่ เพียงแต่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหนก็เท่านั้น  กระจกเก่าคร่ำครึ คงไม่โชว์แค่เนื้อคู่ผมหากพิธีกรรมมันเป็นจริง 

“ทำอย่างที่ตกลงกันไว้ก็พอ ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก”

“อืม จะพยายาม”

“งั้นกูลงไปแล้วนะ  จะให้ปิดไฟในห้องให้เลยมั้ย”

“ปิดเลย  แต่ไม่ต้องปิดประตูห้องนะ”

“ได้”  สิ้นคำไอ้ภพ ไฟในห้องก็ถูกปิดลงโดยฝีมือมัน แต่ก็ยังไม่ถึงกับว่ามืดสนิท เพราะแสงไฟจากด้านล่างยังคงส่องสว่างขึ้นมาบ้าง วินาทีนั้นผมจึงรีบนำเทียนที่เตรียมไว้ขึ้นมาจุดแล้ววางไว้หน้ากระจก เตรียมแอปเปิ้ลและมีดออกมาวางไว้ข้างๆกันและมองตัวเองในกระจกนิ่งๆอย่างคนคิดไม่ตก

กระจกบานนั้นสะท้อนภาพของผู้ชายที่มีแต่เหงื่อไหลซึม อีกทั้งคิ้วบนหน้าผากยังขมวดกันเป็นปมอย่างไม่รู้ตัว ผมจึงต้องสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกๆ เรียกขวัญและกำลังใจของตัวเองให้ผ่านเกมส์นี้ไปอย่างง่ายๆ เชื่อมั่นในคำพูดของไอ้ภพว่ามันจะมาช่วยผมทันทีหากผมกำลังเจอเหตุการณ์แย่ๆ  ไม่เพียงเท่านั้น ภาพในกระจกยังสะท้อนด้านหลังของผมออกไปเห็นถึงประตูที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้อีกด้วย  และยังบันไดทางขึ้นที่ตั้งอยู่เยื้องๆนั่นอีก กลายเป็นภาพที่สร้างความหลอนให้เพิ่มไปอีกขั้น

“ไอ้มิว  กูจะเริ่มแล้วนะ”  ไอ้ภพตะโกนขึ้นมาบอกว่ามันกำลังจะปิดไฟด้านล่างและเริ่มเกมส์นี้ตามแบบฉบับของมัน

“เออ  เริ่มเลยกูพร้อมแล้ว” น้ำเสียงมั่นใจถูกตอบกลับไปให้มั่นได้ยินแทนการพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงอาการประหม่าผมไม่อยากให้มันเป็นห่วง กลัวว่าเกมส์นี้จะไม่จบถ้ามันต้องมานั่งพะว้าพะวงดูแต่ผม ทั้งที่ความเป็นจริง มือที่จะหยิบมีดและแอปเปิ้ลนั้นสั่นจนกลัวว่าจะปอกแอปเปิ้ลไม่ได้ด้วยซ้ำ

พรึบ

ไฟถูกปิดลงหมดแล้ว…

ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมกับแสงเทียนเพียงเท่านั้นในห้องนี้  เมื่อมองผ่านผมไปในกระจก ผมเห็นว่าด้านล่างไม่ได้มืดสนิทซะทีเดียว แสงเทียนที่ไอ้ภพจุดมันยังคงทำงานอยู่ เงาไอ้ภพที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำให้ผมอุ่นใจ

“ภพ กูจะปอกแอปเปิ้ลแล้วนะ”  ผมตะโกนบอกมันเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

“นี่มึงยังไม่ปอกอีกหรอ  จะเล่นตีห้ารึไง” น้ำเสียงกวนประสาทของมันถูกตอบกลับมาในทันที คลายความกังวลไปให้ผมเยอะ  จนมือที่ว่าสั่นก็เริ่มที่จะหยุด

“ไอ้สัสสส ให้กูเตรียมตัวบ้างมึงปอกไปเลย ระวังมีดบาด”

“เออ  มึงด้วยระวังมีดบาด” แค่ประโยคเดียวของมัน ก่อให้เกิดยิ้มจางๆบนหน้าผม  ความเป็นห่วงที่มันส่งมาให้ทำให้ใจของผมรู้สึกเหมือนได้เกราะคุ้มกันชั้นดี มีแต่ความรู้สึกว่าปลอดภัย  แม้มันจะไม่ได้รู้ตัวก็ตาม

“เชี่ย ทำไมหน้ากูแดงแบบนี้วะ” ผมบ่นกับตัวเองหลังจากที่เงยหน้า เพราะว่าตอนนี้ภาพสะท้อนที่ผมเห็นไม่ใช่ผู้ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวงหรือหวาดกลัวใดๆ   ภาพเหล่านั้นมันถูกแทนที่ด้วยภาพผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับอะไรเล็กน้อยที่ผู้ชายอีกคนทำให้ แต่ก็คิดได้ไม่นาน  สมองผมรีบสั่งให้สะบัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งเสีย เพราะเริ่มกลัวใจตัวเองแล้วว่าจะสั่นคลอนมากไปกับผู้ชายคนนั้น

 “ไอ้มิวมึงบ่นอะไรวะ จะคุยก็ตะโกนมาให้กูได้ยินดิ กูจะได้ตอบมึงได้”

“ ก็ให้กูพูดคนเดียวบ้าง ไม่มีอะไรหรอก  มึงปอกไปถึงไหนแล้ว”

“กูปอกจนจะหมดอยู่แล้วเนี่ย ไม่เห็น…จะมีอะไรเลยวะ”

“กูก็เหมือนกันไม่มีภาพเหี้ยไรขึ้นมาทั้งสิ้น กูว่าพิธีกรรมนี้เราจะได้พักเร็วหวะ”

“กูก็หวังให้เป็นแบบนั้น”  มันตอบผมด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม แต่ก็ไม่ถึงกับว่าผมไม่ได้ยิน

“งั้นกูจะปอกต่อแล้วนะ  ไม่อยากคุยไปปอกไปกลัวมีดบาด”

“เรื่องของมึง”  มันบอกผมแค่นั้น ทั้งผมกับมันก็เงียบกันไป  ผมตั้งใจปอกเปลือกแอปเปิ้ลนี่ให้เร็วขึ้น เพราะผมเห็นว่าอีกไม่กี่อึดใจ พิธีกรรมนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์  ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าบ้านทั้งบ้านเงียบมากไม่ใครคิดจะสนทนากันอีก ผมปอกไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่าเมื่อยคอและต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

….กระจกตรงหน้าผมก็สะท้อนภาพที่เปลี่ยนไป….

ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปนานแค่ไหนแล้ว  เพราะผมไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้ภาพที่มันสะท้อนออกมาไม่ใช่ภาพผม แต่กลับเป็นการเคลื่อนไหวของผู้ชายส่วนสูงใกล้เคียงผมแต่รูปร่างสันทัดกว่าคนหนึ่งเดินหันหลังให้กับผม ความรู้สึกแรกที่เข้ามาผมค่อนข้างตกใจไม่คิดว่าจะเห็นเนื้อคู่จริงๆที่สำคัญคนๆนั้นคือ ผู้ชาย มีทุกๆอย่างเหมือนผม   มือของผมหยุดการปอกแอปเปิ้ลไปทันที  สมองสั่งให้ละเลยคำเตือนในหนังสือนั่นและหันกลับมาจ้องร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินตรงหน้า

แผ่นหลังนั่นสร้างความแปลกใจให้ผมมาก   ผมรู้สึกคุ้นมากๆว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่ผมต้องรู้จักและค่อนข้างสนิทสนมด้วย ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปตามแนวป่า เขาเดินออกไปเรื่อยๆ  เดินบ้าง หลบซ่อนตัวเองบ้างเหมือนกับว่าเขากำลังทำอะไรลับๆ ทางที่เขาไป  มันเหมือนกับผู้ชายคนนั้นลองเสี่ยงมาด้านนี้   ซึ่งขัดกับความรู้สึกของผม อะไรสักอย่างบอกผมว่าสิ่งที่เขากำลังหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาเลือกเดินไปผิดทาง  ป่าที่ผมเห็นก็ไม่ใช่ป่ารกทึบมากมาย มันเป็นป่าที่ยังดูโล่งสภาพแวดล้อมคุ้นตามาก  คล้ายกับป่าด้านหลังของบ้านหลังนี้นี่เอง

ป่าของบ้านหลังนี้ ?

แสดงว่าผู้ชายตรงหน้าผมคือ…

“ไอ้ภพ”  ผมเผลอเรียกชื่อมันออกไปเบาๆหลังรู้แล้วว่าความคุ้นตาที่ผมเห็นนั่นความจริงคือใคร ใจผมเต้นอย่างแรง กระจกบานนี้ พิธีกรรมนี้มันบอกถึงเนื้อคู่ แสดงว่าเนื้อคู่ของผมคือไอ้ภพอย่างนั้นหรือ  แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เป็นมัน ลึกๆแล้วกลับรู้สึกดีใจอย่างน่าประหลาด แต่อะไรสักอย่างก็มาสะกิดความคิดของผมอีกครั้งว่า ถ้านี่ไม่ได้บอกเนื้อคู่ กระจกบานนี้มันกำลังจะบอกอะไร ทำไมถึงแสดงให้ผมเห็นว่าไอ้ภพมันปีนกำแพงนั่นออกไปทำอะไรแบบนั้น

สิ้นความคิดผู้ชายที่ผมสงสัยว่าเป็นไอ้ภพก็หยุดเดินทันที และหันกลับมาจ้องตาผมอีกครั้ง เป็นไอ้ภพจริงๆที่เดินอยู่ตรงนั้น และทันเท่าความคิด  สภาพแวดล้อมแรกที่เป็นป่า บัดนี้ได้กลับมาสะท้อนใบหน้าผมและภาพในห้องแบบเดิมแต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ ภาพที่สะท้อน…มันกำลังปรากฏร่างของไอ้ภพที่ค่อยๆเดินขึ้นมาจากบันไดด้านหลัง สายตาคู่นั้นของมันกำลังสะกดผมให้มองมันเดินเข้ามาเรื่อยๆผ่านกระจกบานนี้   มันเดินมาหยุดหน้ากระจกนั่นและนั่งตรงหน้ากระจกที่เดียวกับผม ภาพสะท้อนที่ควรจะเป็นผมก็เปลี่ยนไปเป็นหน้ามันแทน

“อะ…ไอ้ภพ ทำไมมึงถึง” เมื่อปากผมไปไม่ทันความคิดสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงเสียงพูดตะกุกตะกัก เบาๆ เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ผมถามมันไปแบบนั้น ไม่ได้ต้องการคำตอบมากสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ต้องการภาพที่เห็นว่าไอ้ภพมันอ้าปากพูดตามผมทุกคำ

“คุณ….เป็นใคร” ผมกลั้นใจถามออกไปในที่สุด เพราะมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ไอ้ภพแน่นอน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นเพียงภาพไอ้ภพที่สะท้อนถามกลับมาว่าคุณเป็นใคร

“คุณเป็นใคร”  ตัวผม   คำพูด  และน้ำเสียงที่เปล่งออกไปนั้นสั่นจนยากเกินกว่าจะควบคุม แต่ก็ต้องทำใจกล้า คำบอกกล่าวของไอ้ภพลอยมาในหัวว่าให้ผมพูดคุยให้รู้เรื่อง   

ถ้านี่เป็นละคร…ผมคงโง่มากที่เจอขนาดนี้แต่ยังไม่ยอมเปิดปาดเรียกหาคนที่พร้อมช่วยผมได้มากที่สุด

พรึบ

แสงเทียนที่เคยให้ความสว่างได้มอดดับลงไป เพื่อไม่ให้ห้องต้องมืดนาน ผมจึงรีบก้มหน้าเพื่อจะหยิบไม้ขีดไฟขึ้นมาจุดอีกครั้ง แต่ให้รีบยังไงก็ไม่ทันความกังวลเบื้องลึกอยู่ดี

“เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองกระจกอีกครั้ง ของทุกอย่างในมือพราวก็ร่วงลงไปทันที ภาพผู้ชายคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ หน้าเค้าที่ดูใจดีนั่นถูกเปลี่ยนไปเป็นหน้าที่ช้ำเลือดช้ำหนอง”

ผมมือสั่นหนักยิ่งกว่าเดิม หลับตาลงเพราะไม่อยากที่จะเงยหน้าขึ้นมามองที่กระจกนั่นอีกครั้ง ปากผมเริ่มทำงานตามที่ได้ตกลงกันไว้  ผมตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกหาไอ้ภพ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความเงียบ ไม่มีเสียงตอบรับขึ้นมาจากไอ้ภพ ผมนั่งตัวสั่น ร้องไห้อยู่นานและตัดสินใจจะเสี่ยงวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือแทน

ว่างเปล่า

บ้านหลังนี้เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่  ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเรียกแล้วไอ้ภพถึงไม่ตอบรับผม ผมวิ่งลงมาด้านล่างทันทีเมื่อคิดว่าไอ้ภพอาจจะหลับอยู่หน้ากระจก แต่สิ่งที่เห็นคือไม่มีแม้แต่เงาของไอ้ภพ เทียนที่สมควรจะมีอยู่ก็ไม่มี  แย่ไปกว่านั้นไอ้ภพที่ผมไม่ต้องการเห็นกลับมาปรากฏอยู่ในกระจกด้านล่างแววตานั่นมองมาที่ผม และเริ่มเอ่ยปากออกมาเองว่า ไอ้ภพอยู่ไหน 

นั่นคือคำที่ผมใช้เรียกหาไอ้ภพตั้งแต่ออกจากห้องนอนมา…..

“ไอ้ภพ มึงอยู่ไหนอย่าทิ้งกูไว้แบบนี้ ฮึก มึงอยู่ไหนมาหากูสักที”  ผมวิ่งกลับขึ้นมาบนห้องนอนอีกครั้งเพราะไม่สามารถอยู่กับกระจกด้านล่างได้ ผมปิดประตูห้องและเริ่มกรีดร้องเหมือนคนไร้สติ  มันจริงที่ไอ้ภพบอกว่าผมแย่ลงทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ผมเหมือนคุมสติไว้ไม่ได้เลย

“ไอ้ภพพพพพพพพพพ  กรี๊ดดดดดดด”ผมก้มลงปิดหูแล้วเริ่มกรี๊ดออกมาให้สุดเสียง  ความอายของบุรุษเพศหากต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมาหายไปจากตัวผมทันทีเมื่อผมคิดว่า ผมทนกับสถานการณ์นี้ไม่ได้แล้ว

ปั้ง  ปั้ง ปั้ง!!!!

“ไอ้มิว เปิดประตู มึงเป็นอะไร ทำไมไม่เรียกกูวะ!!!” ไอ้ภพทุบประตูเสียงดังลั่นแล้วเริ่มเรียกผมด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย

“ภพ  ไอ้ภพช่วยกูด้วย กูไม่ไหวแล้ว”

“มึงก็มาเปิดประตูดิวะ  เร็ว!!!”

ไม่อยากรู้แล้วหรอ ว่ากูคือใคร

น้ำเสียงเสียงเย็นยะเยือกพร้อมกับมือจำนวนมาก ฉุดแขนผมไว้เมื่อผมกำลังจะลุกออกไปเปิดประตูให้ไอ้ภพ ตัวของผมแข็งทื่อทันที เรี่ยวแรงสุดท้ายที่จะดันตัวเองออกไปก็พลันหายไปเสียดื้อๆ  ผมทรุดนั่งอยู่แบบนั้นใช้แรงที่เหลือตะโกนเรียกไอ้ภพออกไป  สิ่งที่ได้ยินกลับมามีเพียงเสียงไอ้ภพที่บอกให้ผมเปิดประตู แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบกลับมือเย็นๆพวกนั้นก็ถูกเลื่อนขึ้นมาปิดปากของผมและดันตัวผมที่สั่นไปด้วยความกลัวพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ให้หันกลับไปมองกระจกนั่นอีกครั้ง

“อื้อออออออ” ผมพยายามจะกรี๊ดบอกว่าผมตกใจกับภาพตรงหน้ามากแค่ไหนให้ไอ้ภพได้ยิน   กลับมีเพียงเสียงอื้ออึงจากการถูกปิดปางแค่นั้นที่ออกมา ตาผมเบิกโตขึ้น เมื่อภาพที่อยู่ในกระจกเป็นภาพของไอ้ภพจริง แต่ลำคอของมันถูกกรีดจนมีเลือดไหลออกมา อีกทั้งภาพที่สะท้อนอยู่ภายในกระจกยังปรากฏวิญญาณกลุ่มเดิมล้อมรอบตัวผมไว้

“โถ่เว้ย!!!!  ไอ้มิวมึงเป็นอะไรเปิดประตูสิวะ” ไอ้ภพยังคงไม่ละความพยายามที่จะเปิดมาในห้องนี้ มันจะรู้บ้างมั้ยว่าประตูบานนั้นผมแค่ปิดแต่ไม่ได้ล็อกอะไรเอาไว้เลย

“ช่วยด้วย  ช่วยพวกกูด้วย”  ภาพไอ้ภพในกระจกเริ่มพูดกับผมอีกครั้ง

“มึงจะให้กูทำอะไร ไม่บอกกูก็ช่วยไม่ได้ ฮึก ปล่อยกูไปสักที”   ผมคิดในใจตอบกลับความคิดของพวกมันไป น้ำตาของผมยังไหลไม่หยุด  ความกลัวของผมยังมีอยู่ แต่ก็ต้องทำใจแข็งให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะหลุดพ้นบ่วงพวกนี้

“ช่วยกู กูบอกให้ช่วยกู”  เสียงดุดันของวิญญาณนอกกระจกนั่นเปล่งออกมาอีกครั้ง และเริ่มดันร่างกายผมให้กลับมานั่งยังกระจก และจัดการทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดขึ้น   

มือพวกนั้นเริ่มจับมีดปอกแอปเปิ้ลนั่นเข้ามาใส่มือผมและบังคับเอามือผมมาจ่อไว้ที่คอลักษณะเหมือนจะปาดคอในตำแหน่งเดียวกับภาพไอ้ภพในกระจกโดนกรีด  ท่ามกลางการโวยวายของไอ้ภพข้างนอกนั่น มันเริ่มหาอะไรมากระแทกประตูเพื่อจะเปิดเข้ามา  ผมที่โดนมีดจ่อคอนั้นก็แทบจะหยุดหายใจไปเสียดื้อๆ เพราะกลัวมีดเล่มนั้นจะเฉือนเข้ามาจริงๆ จึงทำได้เพียงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาช้าๆและค่อยๆภาวนาให้ทุกอย่างจบลงเสียที

“ช่วยกู กูบอกให้ช่วยพวกกูถ้าไม่ช่วยก็มาอยู่กับพวกกูซะ” พวกมันใช้น้ำเสียงที่เรียกได้ว่าอาฆาตยิ่งกว่าเดิม พวกมันทรมานมากกับสิ่งที่เป็นอยู่จึงเริ่มใช้การขู่ฆ่าผมที่ติดต่อกับมันได้แต่ไม่พยายามจะช่วยพวกมัน

“ฮึก  ช่วยแล้ว กูยอมแล้ว ปล่อยกูไปนะ ฮึกฮือออ” 

“หาให้ได้ว่าใครฆ่าพวกกู” พวกมันบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วจับมือของผมไปตัดเปลือกแอปเปิ้ลที่ปอกค้างไว้ให้ขาดออกจากกัน ก่อนที่พวกมันจะอันตรธานหายไป 

เคร้งงงงงงง

เสียงมีดที่หล่นจากมือผมปลุกผมขึ้นมาอีกครั้ง ผมทรุดลงไปนั่งร้องไห้อยู่แบบนั้น และเริ่มกรีดร้องออกมาเสียงดัง เป็นจังหวะเดียวกับไอ้ภพที่เปิดประตูห้องนี้มาได้  มันเปิดไฟห้องและรีบวิ่งมาหาผมที่ยังคงกรี๊ดแบบคนเสียสติ

“ไอ้มิว  มิวมึงเป็นอะไรใจเย็นดิวะ”  มันทำเสียงร้อนรนทันทีเมื่อเห็นท่าทางของผม  มันเขย่าตัวผมเพื่อเรียกสติ แต่ผมในขณะนั้นไม่สามารถตอบสนองอะไรมันได้สักอย่าง

“ฮึก  กลัว กูกลัว พวกมันบอกให้กูช่วยอีกแล้ว กูหนีไม่ได้แล้ว กูตอบตกลงพวกมันไปแล้ว ฮืออออ”

“มิว มึงใจเย็นดิวะอย่าเป็นแบบนี้ ทำไมมึงไม่เรียกกู” มันตอบโต้ผมด้วยน้ำเสียงแปลกๆเหมือนมันจะเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ออกมาแต่ก็พยายามกลั้นไว้  เมื่อมันพูดถึงว่าทำไมผมไม่เรียกมัน ผมจึงเริ่มกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง

“กรี๊ดดดดดดดดด  กูเรียกแล้ว กูไม่เจอมึง มึงหายไป “

“มิวใจเย็น ไม่เป็นอะไรแล้ว กูอยู่นี่แล้วไง” มันดึงตัวผมไปกอดไว้กับอกมัน น้ำตาจำนวนมากมายถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ว่าไอ้ภพมันหายไป ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นของมันอีกครั้ง ถึงตอนนี้ผมจะได้สติกลับมาแต่ความกลัวที่ยังมีอยู่ไม่ได้หายไปด้วย

ผมกอดมันแน่นอยู่อย่างนั้นด้วยความกลัวที่ว่ามันจะหายไปจากผม  ซึ่งไม่ต่างกับมันที่รัดตัวผมไว้แน่นตั้งแต่ผมกรีดร้องและดิ้นอย่างทรมานจนตอนนี้ผมกลับมานิ่งสนิทเหมือนเดิม  ผมนิ่งไม่ใช่เพราะมันกอดผม แต่เป็นเพราะน้ำตาหยดนั้นของมันที่ตกกระทบลงบนหัวของผม

มันกำลังร้องไห้

.
.
.

(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ความกลัวที่เกิดเริ่มเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับมัน  มันจะร้องไห้ทำไมกันเรื่องอะไรที่ทำให้มันต้องอินกับผมไปได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่มันไม่ได้พบเจออะไรเลย ผมเงยหน้ามองมันอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่สงบลงกว่าเดิมและพบว่ามันก็มองมาที่ผมอยู่เหมือนกันด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยหยาดน้ำใสๆของมัน

“อย่า….ร้องไห้” ไม่รู้ว่าผมเหนื่อยหรือเพราะอะไร สิ่งที่ผมพูดได้มากสุดคงเป็นแค่สามคำนั้น ผมไม่มีแรงแม้แต่จะปลอบมัน ผมเหมือนคนเหม่อลอยไปทันทีหลังจากจบเกมส์ที่ผ่านมา ภาพพวกนั้นยังคงตราตรึงในหัวผม ผมกลัว ผมรู้แค่นี้แต่ผมยังคงเป็นผม ยังไม่ได้บ้าหรือเสียสติไป

“มึงเป็นอะไร อย่าเป็นแบบนี้” มันคงเห็นว่าตาผมที่มองตามันว่างเปล่าเกินไป ผมรู้ตัวว่าคงทำให้มันเป็นห่วงไม่มากก็น้อยแต่ด้วยความที่จิตผมหลุดออกไปไกลมากแล้ว จะให้กลับคืนมาในทันทีก็คงไม่ใช่

“กูแค่…กลัว”

“มึงจะกลัวอะไร ไม่มีอะไรแล้ว”

“กูไม่รู้”ผมตอบมันได้แค่นั้นจริงๆ ให้มันรู้ว่าผมยังไม่ได้บ้าไปกับเกมส์หลอนประสาทพวกนี้ ก่อนที่ผมจะหันตัวออกจากมันเตรียมจะไปนอน เพราะความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจที่มากเกินควร

“เดี๋ยว” มันฉุดแขนของผมไว้

“…” ผมหันกลับไปมองหน้ามันที่จ้องมายังคอผมด้วยสายตาที่บอกไม่ถูกว่า มันกำลังรู้สึกยังไง

“คอมึงไปโดนอะไรมา” มันรั้งคอผมให้เชิดขึ้นและจับ บาดแผลนั่น คอผมเป็นแผลแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆกับมัน แม้ก่อนหน้าจะรู้สึกแสบบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจมันได้เลย

“ม..มีด” ผมเริ่มตัวสั่นและปล่อยให้น้ำตาไหลมาอีกครั้งด้วยความหวาดผวาจากภาพในหัว  ไอ้ภพมือสั่นขึ้นจนสังเกตได้ มันเดินออกไปยังตู้กระจกหลังนั้นด้วยความโมโหอย่างรุนแรง ก่อนจะเริ่มดัน ตู้กระจกพวกนั้นออกจากห้องไป 

เพล้งงงง!!!

เสียงตู้กระจกนั่นแตกออกมา คาดว่าไอ้ภพคงดันมันออกไปตรงบันไดและผลักมันลงไป ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้มันต้องโมโหขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะผมคงไม่น่าใช่ มันคงไม่ได้รักจนทำได้ทุกอย่างกับคนที่เพิ่งเจอกัน

“รวยนัก พวกมึงก็ไม่ต้องเสียดาย พรุ่งนี้ให้คนของเกมส์มาทำความสะอาดให้กูซะ!!” ไอ้ภพเริ่มโวยวายเสียงดัง มันคงโมโหจัดจนเผลอระบายอารมณ์ใส่รายการและทำลายข้าวของ

“เล่นแต่เกมส์บ้าบออะไร ไอ้คนดูอีกมึงชอบกันหรอดูความวินาศของคนอื่น สัส” มันด่าอีกครั้งพร้อมยกนิ้วกลางให้กล้องสักตัวก่อนจะปิดประตูเดินเข้าห้องมาด้วยความโมโห  รายการไม่ปล่อยมันไว้แน่ที่ไปทำกริยาแบบนั้นออกอากาศ พรุ่งนี้คนของรายการคงได้มาถามหาสาเหตุแบบที่ผมเคยโดนแน่นอน

“ไอ้มิว  ทำแผล” มันเดินมากระชากตัวผมให้ไปนั่งให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องยามา

“ทำไมมึงไม่ทำตามที่ตกลงไว้” มันยังคงโมโหเลยเผลอกระชากเสียงใส่ผมที่ยังคงหวาดกลัวอยู่

“กูทำแล้ว กูเรียกมึงแล้ว แต่ไม่มีเสียงเหี้ยไรตอบกลับกูมาเลย!!” ผมระเบิดอารมณ์ใส่หน้ามันกลับ  พร้อมทั้งน้ำตาที่ยังคงไหลออกมา  มันนิ่งสนิทไปและเริ่มทำแผลให้ผมเงียบๆแทน

“แล้วทำไม มีดนั่นถึงไปอยู่ตรงคอมึงได้”

“ฮึก อย่าเพิ่งถาม กูขอร้อง”

“อืม งั้นมึงก็ไปนอนซะ ดึกมากแล้ว”

มันพูดไว้แค่นั้นก่อนจะดันผมให้กลับไปที่เตียงนอน ผมยังไม่ง่วง เหตุการณ์หลายๆอย่างในช่วงที่ผ่านมามันไม่ได้ทำให้ผมอยากนอนแต่อย่างใด แต่คิดว่าผมคงเหนื่อย เมื่อหัวผมถึงหมอน ตาผมก็เริ่มที่จะปิดลง ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือไอ้ภพยังคงนั่งเงียบๆมองออกไปยังหน้าต่างอย่างคนคิดอะไรอยู่

มีดที่สร้างรอยแผลให้กับผม มันไม่ได้ถูกกรีดลงแค่บนผิวหนังเท่านั้น แต่มันยังกรีดลงบนใจของผมไปด้วย แผลที่กายไม่ได้ลึก แต่แผลที่ใจนั้นกลับเหวอะหวะอย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะคืนกลับมาเป็นปกติเมื่อไร  อย่างที่ไอ้ภพบอกทำไมคนดูถึงอยากดูชีวิตคนอื่นเจอกับความวินาศนัก  ผมไม่รู้ว่ารายการจะจับได้หรือเปล่าว่าสภาพผมมันเป็นแบบนี้ เพราะพวกผมไม่เคยรู้เลยว่ากล้องมีติดอยู่ในห้องนอนหรือไม่ ผมไม่เคยเห็น  ไอ้ภพก็คงไม่  ในทุกราตรี หลายคนชอบบอกว่ามันยังอีกยาวไกล แต่สำหรับผม ไกลแค่ไหนมันก็ใกล้แค่นี้ แค่ที่ว่าผมเจอผีพวกนั้นแล้วชีวิตผมก็แยกกลางวันหรือกลางคืนไม่ออกอีกเลย

******************************

“เช้าแล้วสินะ” ผมพูดกับตัวเองเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มที่จะแยงตาผมและปลุกผมให้ตื่นรับความเป็นจริงเรื่องใหม่  หันไปมองข้างๆไอ้
ภพยังคงนอนหลับอยู่  วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติด้วยอารมณ์ที่ไม่ปกติ หากในทุกวันที่ผ่านมาในยามเช้าแม้มันจะไม่ได้สดใสนักแต่ก็มั่นใจได้ว่า มันต้องไม่อึมครึมเท่าวันนี้

ผมเริ่มลุกมาทำธุระส่วนตัวของตัวเองและลงไปยังด้านล่าง เศษไม้และเศษกระจกจำนวนมากมายแตกกระจายอยู่บริเวณพื้น ผมจึงต้องหาไม้กวาดมาเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อนไม่งั้นจะไม่มีใครเดินไปไหนได้ ผมที่กวาดไปก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนไป มันเศร้านะ สำหรับผม แม้ในตอนนี้ร่างกายจะกลับมาปกติแล้วแต่ด้านจิตใจยังคงเหมือนเดิม

หมับ

“พอ ไม่ต้องทำ มันไม่ใช่หน้าที่มึงให้ไอ้รายการมันมาจัดการซะ” ไอ้ภพที่คงตื่นมาสักพักเดินมาจับมือผมให้หยุดกวาด

“แต่…”

“ไม่มีแต่ มึงมาทำอาหารกับกูพอ”

“ไม่ได้ ถ้ากูไม่เคลียร์ไปก่อนแล้วเราจะเดินกันยังไง เศษกระจกเยอะขนาดนี้” ผมรีบสะบัดมือออกก่อนที่มันจะลากผมเข้าครัวตามมันไป และรีบบอกเหตุผลกับมันก่อนมันจะหงุดหงิด

“งั้นกูเคลียร์เอง มึงไปนั่งเฉยๆ  ตรงนี้กูทำเดี๋ยวกูรับผิดชอบ” มันใช้น้ำเสียงหงุดหงิดหน่อยๆก่อนไล่ผมไปนั่ง มันแย่งไม้กวาดผมไปและเริ่มกวาดพื้นด้วยความเร็วตามแรงอารมณ์ของมัน  ผมว่ามันไม่รู้ตัวหรอก มันในตอนนี้หรือจะตอนเมื่อคืน คือมันที่ผมเจอในวันแรก สายตา บุคลิกที่ผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็น  เริ่มกลับมาอีกครั้ง

สวัสดีครับ คุณมิว คุณภพ เจอกันอีกครั้งแล้วนะครับ

ผมกับไอ้ภพหันไปตามเสียงทักทายที่คุ้นเคย  กลุ่มคนตรงหน้ายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรแม้จะใช้น้ำเสียงที่สดใสแต่ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความจริงจังที่คนฟังสัมผัสได้  ทางรายการส่งทีมงานมาจริงๆแต่คิดว่าคงไม่ได้ส่งมาทำความสะอาดตามที่ไอ้ภพสั่งแน่นอน เรื่องที่พวกผมได้ก่อ มันกำลังจะถูกพิพากษา

“ส…”

“มาจนได้สินะ” ผมที่กำลังจะสวัสดีตอบรับไป ถูกไอ้ภพทักทายตัดหน้าด้วยวาจาที่เรียกได้ว่าไม่สามารถก่อเกิดมิตรภาพใดๆได้  ผมมองมันด้วยความเป็นห่วงเรื่องเมื่อคืนไอ้ภพทำผิดเอาไว้จริงๆ ถ้ามันยังแสดงพฤติกรรมแบบนี้ผมเกรงว่าจะไม่มีการประนีประนอมใดๆเกิดขึ้น

“ครับ พวกเราถูกส่งมา คงไม่ต้องบอกนะครับว่าพวกเรามาด้วยสาเหตุอะไร”

“งั้นชี้แจงให้ฟังด้วยครับว่ามาด้วยสาเหตุอะไร” ไอ้ภพเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนแต่คงมั่นใจพอตัวว่าตัวเองจะชนะในครั้งนี้

“ได้ครับ แต่เดี๋ยวรอสักครู่ ผมจะรีรันความผิดของคุณให้ดูก่อนครับ” ทีมงานบอกไอ้ภพและเริ่มหยิบโน้ตบุ๊คของรายการออกมาแสดงวีดีโอว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

วีดีโอเริ่มเล่นตั้งแต่ตอนที่ไอ้ภพไปยืนอยู่ข้างๆตู้กระจกนั่น โดยมีผมนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกคาดว่าทีมงานคงต้องการให้เห็นตั้งแต่เริ่มแรกเลยว่าพวกผมเริ่มเกมส์กันยังไง    เป็นไปอย่างที่คิด ห้องของผมมันไม่มีกล้องวงจรหรือกล้องวีดีโอใดๆติดไว้ ภาพที่เห็นจึงเป็นภาพที่ถูกถ่ายมาจากที่ไกลๆ  ด้วยเพราะว่า กระจกตั้งไว้ตรงกับประตูห้องและในตอนนั้นไอ้ภพ ไม่ได้ปิดประตูไว้ จึงทำให้เห็นได้ว่าภายในห้องมีอะไร  วีดีโอเล่นมาเรื่อยๆและได้ยินเสียงพวกผมตะโกนคุยกันอย่างชัดเจนจนถึงช่วงที่ผมตะโกนเรียกให้ไอ้ภพช่วย

“พี่ครับย้อนดูตรงเมื่อกี้ได้มั้ยครับ”  ผมบอกทีมงาน

“ได้ครับ ตรงไหนหรอครับ”

“ตรงที่ผมตะโกนเรียกให้ไอ้ภพช่วยหนะครับ”

เมื่อวีดีโอกลับมาเล่นตรงนั้นอีกครั้ง ผมถึงกับเหงื่อตก และไม่ใช่แค่ผมที่เป็นไอ้ภพก็เป็นไปด้วย เราทั้งสองคนมองหน้ากันในทันที เพราะภาพที่ปรากฏมันไม่น่ามีความเป็นไปได้เลยตามหลักความเป็นจริง   ตอนนี้ไอ้ภพคงเชื่อผมแล้วว่าผมเรียกมันจริงๆ มันถึงได้ก้มหน้าทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ได้ยิน

วีดีโอนั้น ฉายภาพที่ผมตะโกนเรียกมันและเริ่มวิ่งออกจากห้อง สิ่งที่แปลกไปคือ เราสองคนเหมือนอยู่ในโลกคู่ขนาน ผมวิ่งหน้าตาตื่นลงมาจากห้องแล้วตะโกนเรียกหาไอ้ภพอยู่แบบนั้นและยังวิ่งออกไปดูทุกที่ที่ไปได้

แต่… 

ไอ้ภพยังคงนั่งอยู่ที่เดิมหน้ากระจกนั่นไม่ได้มีท่าทีรับรู้เลยว่าผมเรียกมันหรือผมก็ไม่รู้เลยว่าไอ้ภพยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น  มันเกิดอะไรขึ้น ผมจำได้ว่าตอนผมวิ่งลงมา ผมไม่เห็นใคร กระจกนั่นก็ไม่มีใครนั่งอยู่  ผมหันไปหาไอ้ภพเพื่อขอความคิดเห็นแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการส่ายหน้าเบาๆของไอ้ภพที่แสดงให้รู้ว่ามันก็หาคำตอบให้ผมไม่ได้

“ทำไมคุณมิวเรียกคุณภพ แล้วคุณภพถึงไม่เห็นครับ”

“เป็นปกติครับ เวลาที่ผมสนใจอะไรมากๆผมจะไม่ได้ยินเสียงใครเลย” ไอ้ภพแถเหตุผลของมันให้ทีมงานฟัง

“น่าสนใจดีนะครับ แล้วคุณมิวเรียกคุณภพทำไมครับ”

“เอ่อ ผมตกใจอะไรนิดหน่อยครับ เลยวิ่งลงมา  คงตาลายไปหนะครับเลยไม่เห็นมัน”

“น่าสนใจพอกันเลยนะครับ เอาหละแล้วภาพนี้คุณภพจะให้คำตอบอย่างไรครับ”

ภาพวีดีโอถูกเล่นมาจนถึงตอนที่ไอ้ภพ ดันตู้กระจกนั่นตกบันไดแล้วตะโกนด่าเกมส์และคนดูก่อนจะชูนิ้วกลางใส่กล้อง ไอ้ภพมองภาพนั่นและเริ่มคิ้วขมวด อารมณ์ที่ถูกทำให้สงบไป ถูกกระตุ้นให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง

“ดูไม่ออกหรอครับว่าผมกำลัง….ด่า” ไอ้ภพเริ่มกวนตีนทีมงาน

“ทางเราต้องการทราบเหตุผลของการกระทำครับ ถ้าไม่มีเหตุผลมากพอทางเราจำเป็นต้องปลดคุณออก”

“เหรอครับ ปลดผมด้วยข้อหาอะไรช่วยชี้แจงด้วยครับ”

“คุณทำลายข้าวของ กับทำให้เกมส์เสียหาย นี่ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมของคุณต่อคนดูของเราอีก”

“กฎข้อไหนเขียนไว้ครับ  เท่าที่จำได้ผมไม่เคยเห็นกฎนี้ถูกเขียนไว้นะครับ”

“แต่อย่างไรผมก็จำเป็นต้องเอาคุณออก  คุณทำลายข้าวของของเกมส์รู้มั้ยครับว่ามันราคาเท่าไร”  ไอ้ภพคิ้วกระตุกอย่างแรง ตาของมันแข็งกร้าวขึ้นทันที มันกำมือแน่นเหมือนกำลังระงับโทสะของมันไว้ไม่ให้ทำร้ายทีมงาน

“กู ไม่ ออก!!!” ไอ้ภพเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมา  เวอร์ชันนี้ผมยังไม่เคยเห็นครับและไม่ปรารถนาจะเห็น

“คุณจำเป็นต้องออก”

“กูไม่ออก!!!  กฎของพวกมึงข้อไหนหรอที่ไม่ให้กูทำลายข้าวของ ทีหลังก็หัดเขียนมาก่อน ไม่ใช่มาเล่นไม่แฟร์เกมส์กับกู” สติไอ้ภพขาดไปทันที  มันพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อทีมงานคนนั้น    เมื่อทีมงานคนอื่นจะเข้ามาช่วย ก็เจอสายตาเเข็งกร้าวของมันสั่งให้หยุดอยู่ที่เดิมถ้าไม่อยากมีเรื่อง

“มันก็เป็นมารยาทไงครับ” ทีมงานคนนั้นยังไม่ยอมแพ้ ยังคงพูดเพื่อจะเอาไอ้ภพออกให้ได้

“หึ  ให้กูทำร้ายมึงอีกคนตรงนี้เอามั้ย คนอย่างกูมันไม่ต้องมีเรื่องของมารยาทมาเกี่ยวข้อง ถ้ามึงแฟร์เกมส์พอ”

“และดูนี่ มึงดูเพื่อนกู มึงเห็นมั้ยว่าสภาพ มันเป็นยังไง มึงเห็นมั้ย!!! มันเคยดีกว่านี้ พวกมึงดูนะ ว่ามึงทำอะไรลงไปกับมัน   ชีวิตมันมีค่าน้อยกว่าไอ้กระจกเส็งเครงนั่นหรอ ฮะ มึงตอบกูมาดิ เกมส์ของพวกมึงต้องการให้มันเป็นบ้าไปอีกคนรึไง”  มันผลักทีมงานนั่นออกไปและกระชากผมที่ยืนอยู่ใกล้มาชี้ให้ทีมงานเห็น  ตัวมันสั่นด้วยแรงโมโหจนผมต้องเอามือไปจับแขนมันไว้เพื่อให้มันใจเย็นลง

“งั้นคุณมิวครับ คุณประสงค์จะออกจากเกมส์นี้มั้ยครับ”  ทีมงานที่ยังคงตกใจกับเสียงไอ้ภพ หันมาถามผมอย่างขวัญเสีย

“เอ่อ …”

“เราไม่บังคับนะครับ แต่ดูร่างกายคุณด้วยถ้าคุณเป็นบ้าหรือตายไปทางเราไม่รับผิดชอบนะครับ” ผมพยักหน้าตอบรับทีมงานเพื่อรับทราบในกฎข้อนี้ ก่อนจะหันมามองหน้าไอ้ภพ ที่ก็มองมาที่ผมอยู่ 

“มึงกลับไปเถอะ  เกมส์นี้มันไม่ปลอดภัยสำหรับมึง” มันดันผมให้ไปหาทีมงานผมมองหน้ามันอีกครั้งเพื่อถามความแน่ใจของมันแต่เมื่อเห็นมันพยักหน้า ผมก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีก

“ไม่ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงแต่ผมยังไม่ได้บ้าหรือใกล้ตายแน่ๆ"  ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าสุภาพที่สุดกลับไป หันไปมองไอ้ภพ มันก็ทำหน้างงๆใส่ผม ก่อนที่ผมจะยิ้มให้มันแล้วปล่อยให้มันจัดการกับทีมงานตรงหน้า

“หึ ได้ยินแล้วก็เชิญกลับครับ ฝากไปบอกผู้จัดการเกมส์ด้วยว่าถ้าจะทำเกมส์ก็ต้องรู้จักแฟร์ให้เป็นด้วย”

“ได้ครับ แต่ระวังตัวไว้หน่อยนะครับคุณภพ กล้องไม่เห็นไม่ใช่พวกเราไม่รู้ เก่งให้ถึงที่สุดนะครับ หวังว่าจะไม่เจอกันอีก”

ทีมงานทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้กับผมและไอ้ภพ  ผมรู้ว่าทีมงานหมายถึงอะไร ไอ้ภพก็รู้ไม่อย่างนั้นมันคงไม่หน้าถอดสีได้ถึงขนาดนี้  การที่มันออกไปข้างนอกนั่น ผมคิดไว้แล้วว่ายังไงก็ปิดไม่มิด ป่านั่นไม่ได้ใหญ่มาก ทีมงานคงไม่ทำงานหละหลวมจนตรวจสอบอะไรไม่ได้

“เค้ายังไม่เอามึงออกหรอก เชื่อกู” ผมเดินไปตบบ่ามันให้กำลังใจมันบ้าง ให้สมกับที่มันคอยช่วยเหลือผม

“ทำไม”

“ลุงมั่นเคยบอกกู ว่าคู่พวกเรามันดึงกระแสไม่รู้ว่าจากอะไร แต่เหตุผลที่กูยังอยู่ในเกมส์มันก็เพราะเรื่องนั้น”

“แล้ว…ทำไมมึงถึงยังอยู่ในเกมส์” ผมมองหน้ามันแล้วยิ้มเล็กๆให้มันสบายใจ  ก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคที่ต่างคนต่างค้างคากันมานาน

“มันถึงเวลาแล้วนะภพ ที่มึงต้องเล่าให้กูฟังว่ามึงเข้าเกมส์มาเพราะอะไร  คำว่าอีกครั้งที่มึงพูดคงไม่ใช่กูคนเดียวแน่นอน”

ใช่มั้ย?




**************************************TBC****************************************

สวัสดีครับบบบ  ผมเอาตอนที่6 มาส่งให้แล้วนะครับ  :katai4:

ลองอ่านตอนกลางคืนกันนะครับ มันได้บรรยากาศมาก 5555555  หลอนให้จุใจกันไปเลย  :hao7:

เจอกันตอนหน้าครับ

P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2017 20:11:15 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ภพพยายามหาศพใครสักคนอยู่ใช่ไหม?  :ling3:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ภพพยายามหาศพใครสักคนอยู่ใช่ไหม?  :ling3:

มาคนแรก เกือบทุกตอนเลย  5555  รอดูต่อไปนะครับว่าเดาถูกหรือเปล่า  ขอบคุณที่ตามนะครับ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มีความลึกลับ เริ่มคิดว่าจริงๆ ภพอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคนที่ตาย

ออฟไลน์ Babarahbreem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เริ่มหลอนขึ้นเรื่อยๆอ่ะ  :mew6: :mew6:

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
หลอนแถมสงสัยปมคนตายปมพระเอกด้วยดีใจที่เค้าเป็นเนื้อคู่กัน

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
คนที่ภพละเมอถึงน่าจะเคยเล่นเกมนี้แล้วเป็นบ้ารึป่าวหว่า
อ่า แต่สรุปภพเป็นเนื้อคู่มิวจริงๆ หรือวิญญาณต้องการให้มิวเห็นความจริงอะไรบางอย่าง

แล้วก็ เราแอบคิดว่าคนที่ทำรายการนี้ส้รางบ้านแล้วหาคนมาฆ่าเองรึป่าว อยากทำให้รายการดังๆ ส่วนพวกคนที่มาเล่นก็ซวยไป

เดาไปทั่วมาก555555555

หลอนมากค่ะ ตอนนี้เปลี่ยนมาอ่านตอนเช้าแล้ว ก็ยังหลอนอยู่ ฮือออออออ :sad4:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2017 11:05:13 โดย zongpei96 »

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
สรุปว่าที่ออกไปข้างนอกไปหาศพหรือคะ ว่าแต่ศพใคร กุ๊กกู๋ในบ้านหรือคะ  :ling3:

ข้าพเจ้าพลาดตอนที่เเล้วไปได้ไงเนี่ย :hao7: :hao7:
ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
โกรษคนเขียนล้าวววววว เราจะหลับลงมั้ยคืนนี้เนี่ยยยยยย

ออฟไลน์ nuchhxk

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เริ่มน่ากลัวขึ้นทุกทีๆ กลัวใจว่าจะเป็นทีมงานนี่แหละที่ก่อเรื่องทั้งหมด ฮื่อ

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ขออนุญาตินะครับ  หากนักอ่านคนใดต้องการพูดคุยกับผม หรือต้องการช่องทางไว้ดูการอัพเดทของผมตอนนี้ผมเปิด Twitter ไว้ให้ร่วมพูดคุยกับผมแล้วนะครับ อยากติอยากชม สามารถเข้ามา followได้เลย แล้วผมจะเข้ามาตอบพร้อมกับแจ้งการลงนิยายไว้นะครับ follow กันเยอะๆนะครับ :mew2:>>>>>     

ขอบคุณทุกการติดตามอีกครั้งครับ  มีกำลังใจแต่งต่อเยอะเลย 555  :katai4:    P-Rawit

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่7

ความหลัง


น่าแปลกที่ความต้องการของผมถูกขัดขวางได้เพียงแค่ เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ผมได้อยู่ร่วมกันมาแค่ ห้าวันเท่านั้น ผมไม่ได้มีความประสงค์ที่จะอยากเล่นเกมส์นี้อีกแล้ว เงินทองจำนวนมหาศาลไม่อาจล่อตาล่อใจผมได้อีก สิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยู่ตอนนี้คือมัน  ไอ้ภพ

“มันถึงเวลาแล้วนะภพ ที่มึงต้องเล่าให้กูฟังว่ามึงเข้าเกมส์มาเพราะอะไร  คำว่าอีกครั้งที่มึงพูดคงไม่ใช่กูคนเดียวแน่นอน”

ใช่มั้ย?

ผมเอ่ยถามคำถามนี้กับมันไป ในสายตาคนอื่นผมคงไม่ได้ต่างอะไรไปกับมนุษย์ขี้เสือก แต่จะให้ทำอย่างไรได้ พฤติกรรมที่ไอ้ภพแสดงออกต่อผมมันล้วนถูกเรียกว่าความช่วยเหลือในขณะที่ผมยังไม่เคยได้ช่วยอะไรเลย   มันยังคงมีเรื่องราวในใจและยังไม่สามารถบอกใครได้ เป็นเหตุให้ผมไม่กล้าทิ้งมันไปโดยที่ปล่อยให้มันจมอยู่กับเรื่องราวของมันโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อจบเกมส์ไปแล้วจะแก้ไขได้หรือไม่

มันไม่ตอบอะไรผมอีกคงเพราะมันอาจจะกำลังตกใจอยู่กับคำพูดของทีมงานที่รู้ว่าลับหลังกล้องพวกนั้น ไอ้ภพได้กระทำความผิดอะไรเอาไว้บ้าง แต่ที่รายการยังไม่เอาออกคงเพราะเหตุผลเดียว พวกผมทำให้เกมส์นี้มียอดรับชมเพิ่มขึ้น

ไอ้ภพพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผมเดินตามมันไป ของที่ไอ้ภพทำพังทั้งหลายคาดว่าเย็นนี้ลุงคำคงให้คนงานมาขนมันออกไป  ไอ้ภพเดินนำผมขึ้นห้องนอนที่ซึ่งเป็นเหมือนจุดที่เราแสดงความเป็นส่วนตัวออกมาได้มากที่สุด ไม่มีการถ่ายทำภายในห้องนี้   ไม่การก้าวก่ายเรื่องของเรา  จะพูดอะไรก็ได้ คนดู…ไม่มีทางรับรู้

“คงถึงเวลาแล้วจริงๆสินะ” ไอ้ภพ บ่นออกมาเบาๆกับตัวเอง เมื่อพวกผมนั่งกันบนเตียงเรียบร้อยแล้ว มือของมันคลึงศรีษะไปมาทำท่าเครียดเสมือนเรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ผมรู้ว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าไอ้ภพจะพูด จึงเริ่มที่จะเกริ่นเรื่องที่น่าสนใจของตัวเองออกไปก่อน

“อยากรู้มั้ย รอยแผลที่คอกูได้มายังไง” ผมหันไปจับมือมันมาสัมผัสแผลของผม มันรีบชักมือออกทันทีไม่รู้ว่าเพราะกลัวโดนแผลผมแล้วผมจะเจ็บหรือเป็นการตอบสนองเมื่อผู้ชายด้วยกันโดนตัว

“หึ ไม่ต้องรังเกียจกู ขนาดนั้นก็ได้” ผมหัวเราะแกมเย้ยตัวเองน้อยๆให้กับท่าทางของมัน

“กูเปล่า…”

“เฮ้อ ใจจริงกูไม่อยากจะรื้อฟื้นเท่าไรนัก แต่เป็นเพราะมึงเลยนะกูถึงจะพูด”

“งั้นก็พูดมา”

“อย่าใจร้อนดิ  รอยแผลนี้กูได้มา…..เพราะตัวกูเอง" ผมยิ้มจางๆให้กับมันแล้วก็ก้มหน้าลงมองพื้นอย่างปลงตก รอยแผลนั่นมันไม่ได้เกิดจากน้ำมือใคร แต่เป็นเพราะมือของผมเอง เพียงแต่ การควบคุมมันไม่ได้มาจากสมองของผม

“หมายความว่าไง มึงจะฆ่าตัวตายหรอ” มันทำเสียงร้อนรน เพราะคำพูดกำกวมของผม

“ฟังให้จบก่อนดิวะ อย่าเพิ่งรีบโวยวาย”

“มึงก็อย่าถ่วงเวลา คนฟังมันก็เป็นห่วง”

“เป็นห่วงหรอ  ดีใจชิบหายเลยหวะ” ผมพูดลอยๆออกไป ก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มเจอให้มันฟัง  ผมนับถือไอ้ภพตรงนี้อีกเรื่อง มันเป็นผู้ฟังที่ดีมาก ไม่ขัดหรือแสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อผมออกมาแต่อย่างใดแถมยังคอยให้กำลังใจผมอีก เมื่อผมต้องเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความทรมานนั่น

“กูขอโทษ” มันเอ่ยคำพูดที่บอกความรู้สึกผิดออกมา

“กูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่างน้อยก็มีมึงที่รับฟังกูได้   คราวนี้ตามึงเล่าแล้วภพ ไม่ต้องถามอะไรแล้วนะ ไม่ใช่กูที่มีแค่มึงให้คอยรับฟังปัญหา อย่าลืมดิ บ้านนี้มีกันแค่สองคน ถ้ามึงเก็บอะไรไว้ไม่ได้แล้ว มึงยังมีกูนะ” ผมย้ำความจริงให้มันฟัง

“เมื่อสามปีก่อน น้องกูเคยเข้าร่วมเกมส์นี้…..”


Pob’s Part


ผมเป็นผู้ชายธรรมดา ที่อยู่กับน้องสาวแค่สองคน พ่อแม่ของผมท่านจากผมกับน้องไปตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ ม.ปลาย โชคดีหน่อยที่เงินจำนวนมากมายถูกทิ้งไว้ให้ผมกับน้อง ทำให้ผมสามารถเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้  ตั้งแต่ที่ชีวิตของผมต้องจัดการทุกอย่างให้ตัวเอง  ผมต้องเรียนรู้ที่จะประหยัดในหลายๆอย่าง  กับข้าวผมเน้นทำกินเองมากกว่าที่จะซื้อกิน งานอย่างอื่นผมก็ต้องหัดทำเพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนเกิน  เลยไม่ค่อยมีปัญหาด้านการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มี…

ช่วงโค้งสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่น้องสาวผมเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยจึงต้องมีการไปเรียนกวดวิชาจำนวนมากซึ่งใช้จำนวนเงินค่อนข้างสูง  ด้วยความที่ตัวเองก็ใกล้จะเรียนจบและอยากทำหน้าที่พี่ชายให้ดีที่สุด จึงสนับสนุนน้องสาวเต็มที่ให้เขาเลือกในสิ่งที่เขาอยากจะทำ

เมื่อผมให้เงินแก่น้องสาวไปเรียนพิเศษ ผมจึงได้มีโอกาสมาเช็คยอดเงินคงเหลือในบัญชี ผมค่อนข้างตกใจกับตัวเลขในนั้นจำนวนเงินเหลือน้อยกว่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้มาก ด้วยความที่หลายปีที่ผ่านมามีแต่รายจ่าย ไม่มีรายรับมาเสริมเงินก้อนนี้จึงทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้  ผมเลยคิดที่จะหางานพิเศษทำ แต่เนื่องจากผมอยู่ปี4 การหางานให้ได้ตรงกับวันและเวลาที่ผมว่างจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก

ผมไม่เคยรู้เลยว่าน้องสาวผมก็รู้เรื่องเงินนี่ได้สักพักแล้ว จนเมื่อวันที่เขาเดินมาบอกผมว่าเขามีวิธีหาเงินก้อนให้ผมได้แล้วนั้น ผมถึงได้รู้ว่าน้องสาวผมเขาโตพอที่จะจัดการทุกอย่างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่ผมในตอนนั้นยังคงไม่รู้และไม่ได้คาดหวังว่าจะรู้คือ

วิธีนั้นมันจะพรากเอาคำว่าครอบครัวผมหายไปตลอดกาล….

“พี่ภพ  นัทรู้วิธีที่จะหาเงินเยอะๆได้แล้วนะคะ”

“หาเงิน? จะหาเงินไปทำอะไรตั้งใจเรียนก็พอ”

“พี่ภพคะ  นัทอยู่ ม.6 แล้วนะคะ นัทโตพอที่จะรู้แล้วว่าเงินในบัญชีของเรามันเหลือน้อย”

“ไม่ต้องยุ่งหรอก เรื่องเงินพี่จัดการได้”

“พี่นั่นแหละที่ไม่ต้องยุ่ง จะเรียนจบแล้วก็ไปรีบทำโปรเจคของพี่เถอะ ก่อนนัทเข้ามหาลัย นัทมีเวลาว่างตั้ง6เดือนนะพี่ ให้นัททำเหอะ”

“แล้วนัทจะทำอะไร?”

“นี่เลยค่ะ  ดูสิคะมันเป็นเกมส์โชว์ค่ะ ได้เงินเยอะด้วยแค่ไปทำภารกิจในบ้านนั้น1เดือนเอง”

“ฮะ!!! 1 เดือน พอเลยพี่ไม่ให้ไป เราเป็นผู้หญิงนะจะไปอยู่ยังไง”

“อย่าเพิ่งกริ้วค่ะพี่ภพ นี่มันเป็นรายการที่ปลอดภัยนะคะ ใครๆก็รู้จัก”

“พี่นี่ไงที่ไม่รู้จัก พอเลยไม่ต้องไป”

“โนๆค่ะ  นัทตัดสินใจแล้วสมัครไปแล้วด้วยค่ะ พี่ไม่ต้องห่วงนะคะ เกมส์นี้ ถ้านัทได้ นัทก็ต้องไปอยู่กับผู้หญิงค่ะ เค้าไม่ให้ชายหญิงอยู่รวมกัน”

“มันจะปลอดภัยมั้ยนัท  ไปอยู่บ้านใคร ไปทำอะไร พี่เป็นห่วงนะ”

“นัทรู้ค่ะพี่ภพ ว่าพี่เป็นห่วง แต่เราก็เหลือกันแค่นี้ นัทก็ห่วงพี่ไม่แพ้กันนะ ให้นัททำเหอะ นัทอยากลอง”

“งั้นก็ตามใจ เตือนแล้วไม่ฟัง”

“เย้ๆๆๆๆ   พี่ภพใจดีที่สุดเลยค่ะ  รักพี่ภพนะคะ”  ผมส่ายหัวให้กับการเอาอกเอาใจเล็กๆน้อยๆของน้องสาว ก่อนจะปล่อยให้น้องสาวไปเรียนพิเศษ ส่วนผมก็ต้องรีบไปเคลียร์โปรเจคจบให้เสร็จ  ก่อนออกไปผมไม่ลืมที่จะหยิบกระดาษเกมส์ที่น้องสาวผมปริ้นมาให้ดูด้วย กะว่าจะไปถามเพื่อนให้รู้ว่านี่มันเกมส์อะไร ถ้าอันตรายจะได้ค้านทันเวลา

แต่คงเป็นโชคร้าย ผมลืมที่จะหยิบใบนั้นออกมาถามเพื่อน  จนกระทั่งผมเรียนจบ ใบนั้นมันก็ยังคงอยู่ในกระเป๋า... 


“Horror House  เกมส์อะไรของมันวะ”

ผมอ่านข้อความที่น้องสาวผมยื่นมาให้ดูว่าตัวเองเป็นผู้ถูกเลือกให้เข้าร่วมเกมส์  ผมถามน้องผมอีกครั้งเรื่องความอันตราย แต่เมื่อน้องยืนยันแล้วว่าปลอดภัยผมจึงไว้วางใจที่จะปล่อยน้องไป

“นัท ไปรู้จักเกมส์นี้ได้ยังไง”

“อ๋อ  นัทหาตามเว็บไซต์ต่างๆค่ะ พอดีเห็นมันมีรีวิวรายการน่าสนใจเลยกดดู”

“แล้วนัทเคยดูรายการมั้ยว่าเค้าให้ทำอะไรบ้าง”

“เอ่อ ไม่เคยค่ะพี่ภพ”

“แล้วรายละเอียดเกมส์หละ รู้มั้ย”

“ไม่รู้ค่ะ”

“ฮะ!!!  แล้วนัทจะให้พี่ไว้วางใจได้ยังไง  ยกเลิกเถอะ เดี๋ยวพี่ไปคุยให้  พี่รู้สึกไม่อยากให้นัทไปเลย”

“ไม่ได้แล้วค่ะพี่ภพ”

“ทำไม”

“ในจดหมายนั่นระบุชัดเจนแล้วค่ะ ว่ายกเลิกไม่ได้”   ผมในตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร  เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมสนใจเกมส์นี้และเริ่มหาข้อมูลอย่างจริงจัง  ยิ่งอ่านผมยิ่งกลัว ยิ่งอ่านผมยิ่งรู้สึกว่าเกมส์นี้มันไม่ปลอดภัย  ผมไม่อยากให้น้องสาวเข้าไปเสี่ยงในนั้น แต่เมื่อคุยกันกับน้องสาวก็มีแต่จะนำไปสู่การทะเลาะกันผมจึงทำได้แค่คอยดูอยู่ห่างๆ

เมื่อวันนัดมาถึงผมจัดกระเป๋าให้น้องสาวและเตรียมไปส่งตามสถานที่นัดหมาย ผมย้ำเตือนเขาอีกครั้งเรื่องความปลอดภัยและให้ดูแลตัวเองให้ดี 

“นัทเปลี่ยนใจตอนนี้มั้ย พี่ได้งานแล้วยังไงก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินแล้วนะ”

“นัทรู้ค่ะพี่  แต่นัทก็อยากลอง เอาเป็นว่าถ้านัทไม่ไหวเมื่อไรนัทจะรีบถอนตัวออกจากเกมส์เลยค่ะ”

“เฮ้อ เอาเหอะพี่อาจคิดมากไปเอง ถ้าพี่ไม่ติดว่าต้องรีบไปทำงานพี่จะตามไปส่งเราถึงที่เลย”

“555 คิดมากแก่เร็วนะคะพี่  ไปทำงานเถอะนัทดูแลตัวเองได้ บอกแล้วไงว่าถ้าไม่ไหวนัทจะถอนตัวเอง”

“อืม โชคดีนะ อย่าประมาท ดูแลตัวเองด้วย พี่รักนัทนะ”

“นัทก็รักพี่ภพค่ะ  งั้นเดี๋ยวนัทไปแล้วนะ มาหอมแก้มที”

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้รับความอบอุ่นจากน้องสาว  หลังจากผมปล่อยตัวนัทไปกับทางรายการ  ความตั้งใจที่จะดูนัทออกอากาศในคราแรกถูกล้มเลิกไปเพราะว่างานและโปรเจคของบริษัทที่ถาโถมเข้ามาเพื่อทดสอบพนักงานใหม่ว่ามีความสามารถมากพอที่จะรับเงินเดือนของบริษัทหรือไม่

ในแต่ละคืนผมเครียดอยู่กับงานของตัวเองจนลืมที่จะนึกเป็นห่วงน้องสาวไป  แค่ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว   ในตอนนั้นผมซึ่งยังไม่สามารถติดต่อใดๆกับน้องสาวได้ก็ยังคงเพลินไปกับงาน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับละเลยน้องตัวเองเมื่อผมนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวผมยังอยู่ในเกมส์นั่น ผมก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของน้องผมมาก ผมคิดว่าน้องผมเก่ง น้องผมเอาตัวรอดในเกมส์พวกนั้นได้ แต่……ผมคิดผิด

กริ๊งงงงงงง

“สวัสดีค่ะ  นั่นใช่ญาติของนางสาว อรพิมล หรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ ผมเอกภพ ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”  ผมเริ่มใจคอไม่ดีกับปลายสาย

“ค่ะ โทรมาจาก โรงพยาบาลจิตเวท xx นะคะ ทางเราอยากให้คุณเอกภพมาดูทางนี้หน่อยค่ะ”

“ก…เกิดอะไรขึ้นหรอครับ”

“ดิฉันอยากให้คุณเอกภพมาดูเองดีกว่าค่ะ เกรงว่าคุยกันทางนี้จะคุยกันไม่สะดวกค่ะ”

หลังจากวางสาย ผมรีบพาตัวเองไปยังโรงพยาบาลจิตเวทนั่นทันที  สัญชาตญาณในตัวผมเริ่มบอกแล้วว่ามันต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับน้องสาวผมแน่นอน ช่วงระหว่างขับรถผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเหยียบไปด้วยความเร็วเท่าไร ยอมรับว่าผมกลัวไปหมด ผมเหลือน้องสาวแค่คนเดียว ถ้าไม่มีเขาผมจะใช้ชีวิตอยู่ต่อยังไง  ผมภาวนาไปตลอดว่าขอให้น้องผมยังแค่กลัวกับเกมส์และยังปรับตัวไม่ได้เท่านั้นจึงขอเข้าพบจิตแพทย์ แม้ความจริงมันมักจะโหดร้ายกว่านั้นเสมอ

“กรี๊ดดดดดดดดดด  ผี ผีเต็มไปหมด  กรี๊ดดดดดดด พี่ภพ ช่วยด้วยยย ช่วยนัทด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดด”

“อย่างที่ญาติคนไข้เห็นนะครับ ตอนนี้คุณอรพิมล มีอาการทางจิตขั้นรุนแรง ต้องใช้เวลาในการรักษาตัวอีกนาน ผมอยากให้ญาติทำใจไว้ด้วยนะครับ เค้าได้พบเจอเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจมาค่อนข้างมาก ผมไม่สามารถยืนยันได้ว่า…เค้าจะกลับมาเป็นปกติ”

“น้องผม…เค้าไปเจออะไรมาครับ”  ผมมองภาพนั้นทั้งน้ำตา น้องสาวผมถูกผูกไว้กับเตียงเพราะเธอดิ้นแรงจนพยาบาลกลัวจะหล่น   ใบหน้าน้องสาวผมดำคล้ำและมีท่าทีหวาดระแวงตลอดเวลา อีกทั้งปากยังตะโกนเอาแต่บอกว่าเจอผี จนไม่สามารถพูดคุยใดๆได้อีก

“เชิญคุณทางนี้ดีกว่าครับ” จิตแพทย์ท่านนั้น ได้พาผมกลับมายังห้องพักเพื่อบอกเล่าสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น

“ทางเราได้รับคำบอกเล่าจากทางรายการ ที่น้องคุณเข้าร่วมเล่นว่า น้องคุณเริ่มมีอาการแปลกๆมาตั้งแต่เกมส์วันแรกๆโดยส่วนมากจะเพ้อออกมาว่าเจอผี  เมื่อทางรายการเห็นว่าน้องคุณเริ่มไม่ไหวจึงได้เข้าไปสอบถามเพื่อเชิญให้ออก แต่น้องคุณยังคงยึดมั่นที่จะอยู่ต่อ จนถึงเกมส์ล่าสุดที่น้องคุณเล่น…ก็เป็นอย่างที่เห็นครับ”

“แล้วทางรายการ ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยหรอครับ!!!”ผมไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป จึงเผลอแสดงท่าทีก้าวร้าวใส่จิตแพทย์

“เราเข้าใจคุณนะครับ แต่อยากให้คุณใจเย็นๆก่อน ทางรายการบอกผมแล้วครับว่าก่อนที่จะให้ผู้สมัครลงแข่งมีการเขียนหมายเหตุไว้ว่าถ้าเป็นบ้าหรือตาย ทางรายการไม่ขอรับผิดชอบครับ”

“โถ่เว้ย!! ผมจะเย็นได้ไง นั่นน้องสาวผมนะ เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของผม ผม…จะอยู่ยังไง”

“ใจเย็นๆนะครับ  ตอนนี้เราแก้ไขตรงจุดนั้นไม่ได้แล้ว หมออยากให้คุณร่วมมือกับหมอคอยเยียวยารักษาคนไข้ไปเรื่อยๆ หมอไม่อาจรับประกันโอกาสใดๆได้ แต่แม้เพียง 1% หมอก็อยากให้คุณหวัง เพราะนั่นมันก็คือโอกาสหายของน้องคุณ”

“ขอ…ผมพบน้องสาวผมได้มั้ยครับ”

“ได้ครับแต่หมอคงให้เวลาได้ไม่นาน ร่างกายคนไข้อ่อนเพลียมาก หมอจำเป็นต้องให้คนไข้พักผ่อน” ผมพยักหน้าให้กับหมอก่อนเดินตามออกไปยังห้องพักของน้องสาวผม   น้องสาวผมยังคงกรี๊ดอยู่แบบนั้น เมื่อเขาเหนื่อย เขาจะนั่งเงียบๆเหมือนคนเหม่อลอยก่อนจะเริ่มกรี๊ด สลับกันไปมา  ผมเดินเข้าห้องนั้นไปเงียบๆเพื่อพูดคุยและปลอบใจน้อง

“นัท  จำพี่ได้มั้ย”  ผมพูดเสียงสั่นอย่างคนสะกดอารมณ์ตัวเอง ณ เวลานั้นผมอยากเป็นคนที่เข็มแข็งที่สุดเพื่อให้น้องสาวเชื่อว่าพี่ชายคนนี้ยังเป็นที่พึ่งให้เขาได้

“พี่ภพ  พี่ภพ กรี๊ดดดดดดดดด  ช่วยนัทด้วย นัทเห็นผี  พี่ภพ เชื่อนัทมั้ย นัทเห็นผี  ผีเต็มไปหมด กรี๊ดดดด ช่วยนัทด้วย”

“นัท  นัท  นัท ใจเย็นๆ พี่อยู่นี่แล้วไง  ไม่มีผีแล้วนะครับ  ฮึก” ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เมื่อต้องปลอบน้องออกไปแบบนั้น

“ผี  ผี  พี่ภพ บ้านหลังนั้นมันมีแต่ผี  ผีเต็มไปหมด นัทกลัว ไม่มีใครเชื่อนัท นัทกลัว”

“นัทใจเย็นๆนะ  ที่นี่ไม่มีผีแล้ว นัทอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ ที่นี่มีแต่หมอใจดี เค้าจะดูแลนัทแทนพี่เมื่อพี่ไม่อยู่ แต่พี่จะกลับมาหานัทบ่อยๆนะ  เป็นเด็กดีกับหมอด้วย…พี่ไปก่อนนะ” ผมบอกน้องแค่นั้นก่อนจะเดินออกมาจากนอกห้องเพื่อให้หมอทำหน้าที่ของหมอต่อไป

เวลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ผมต้องเสียน้องสาวคนเดิมไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะได้คืนมาเมื่อไร ผมร้องไห้โทษตัวเองในทุกๆวันว่าไม่สามารถปกป้องน้องคนเดียวได้  อยากขอโทษพ่อแม่ใจแทบขาดแต่ก็ทำไม่ได้   กลางวันผมตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้ลืมเรื่องนี้และเพื่อเก็บเงินมารักษาน้อง ผมตั้งใจว่าจะพาน้องไปยังโรงพยาบาลจิตเวทที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในประเทศไทย

จนกระทั่ง….

“นัท วันนี้พี่มาเยี่ยมแล้ว ดีใจมั้ย”

“นัท อย่าปล่อยให้พี่คุยคนเดียวดิ พี่เหงานะรู้มั้ย  นัทหละอยู่คนเดียวเป็นไงมั่ง”

“เฮ้อ พี่บอกเราแล้วใช่มั้ยว่าให้ฟังพี่ ทำไมถึงยังดื้อกับพี่ ทั้งๆที่พี่รัก….และเป็นห่วงเรามาก” ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา เมื่อต้องทนสนทนากับน้องสาวที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดกับผม น้องผมเหม่อลอยไม่ต่างกับคนเป็นบ้าไปแล้วแต่ยังไงผมก็อยากให้เค้ารู้ว่าผมยังรักและอยากให้เค้ากลับมา

“ฮึก พี่รักนัทนะ  รีบกลับมาหาพี่รู้มั้ย พี่เหงามาก ไหนมาให้พี่หอมหน่อย พี่ต้องไปแล้ว” ผมหันไปหอมหน้าน้องสาวตัวเองก่อนจะต้องรีบออกมาเพราะใกล้หมดเวลาเยี่ยม

“พี่ภพ”

“นัท นัทเรียกพี่ได้แล้วหรอ นัทหายดีแล้วใช่มั้ย”  ผมแสดงความดีใจออกมาทันทีเมื่อน้องสาวเริ่มที่จะคุยกับผมก่อน มันอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าน้องผมกำลังจะกลับมา

“ศพ  บ้านหลังนั้นมันมีศพ  บ้านหลังนั้นมันมีผี  บ้านหลังนั้นมันมีศพ  มันจะฆ่านัท มันจะฆ่านัท กรี๊ดดดดดดดด  พี่ภพช่วยนัทด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”   ผมยืนตัวแข็งอยู่แบบนั้น  ไม่ใช่แค่ว่าเพราะผิดหวังที่น้องสาวผมยังไม่หาย แต่เพราะคำพูดนั้นของน้องสาว 

ศพ? ฆ่า? คำพวกนี้ไม่ควรออกมาจากปากของน้องสาวผม

ผมกลับบ้านมาหาข้อมูลนั่นอีกครั้ง  ผมแปลกใจอยู่มากที่เมื่อเข้าเว็บที่น้องสาวผมสมัครไปและพบว่าหน้าเว็บนั้นมันถูกปิดไปแล้ว ผมจึงไม่สามารถจะหาข้อมูลอะไรได้อีก ผมเริ่มหารีวิวที่คนเคยดูมาเขียนแนะนำไว้และทำให้ผมรู้เพิ่มว่า ผู้เข้าแข่งขันอีกคนที่ต้องแข่งร่วมกับน้องผมถอนตัวออกไปตั้งแต่วันที่ 5 แสดงว่าสิบกว่าวันที่น้องผมต้องเล่นเกมส์น้องผมทำมันเพียงคนเดียว

ผมเริ่มหาสาเหตุที่น้องผมเอ่ยถึงคำว่าศพและฆ่าออกมา  ผมไม่คิดว่าเกมส์มันจะโหดร้ายได้ถึงขนาดนั้นแต่เมื่อผมยิ่งหาข้อมูลไป ผมก็ยิ่งสับสนเพราะคนที่มาเล่าถึงเกมส์ล้วนเป็นแค่คนเคยดู ไม่ใช่คนเคยเล่น คนเหล่านั้นหายไปไหน อีกทั้งเกมส์นี้ยังไม่เคยมีใครได้รางวัลเลยยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผมอีกขั้นหนึ่ง

ผมใช้เวลา สองปีเต็มๆไปกับการสังเกตรูปแบบเกมส์ แล้วพบว่าเกมส์จะรับเพศชายและหญิงสลับกันในทุกปีและเปลี่ยนสถานที่แข่งขันนั้นไปเรื่อยๆ แต่ผมยังคงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆกับเว็บของเกมส์ เพราะช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาผมต้องตั้งใจทำงานและเก็บเงินให้พร้อมมากที่สุดเพื่อจะเอาไปรักษาน้องและเพื่อเตรียมชดเชยเวลาหนึ่งเดือนที่ผมต้องเสียไป

ใช่แล้วครับ

ผมลางานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มในปีนี้ โดยบอกเหตุผลกับทางบริษัทว่าจะพาน้องผมไปรักษาแต่ความจริงนั่นคือ  ผมสมัครเข้าร่วมเกมส์นี้เพื่อจะลงมาแก้ไขสิ่งที่ติดค้างด้วยตนเอง  ในเมื่อคนที่เคยเข้าเล่นครั้งก่อนๆไม่มีใครบอกผมได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ผมเหยียดยิ้มออกมาเมื่อรายการคัดเลือกผมให้เข้าร่วมเกมส์ ลึกๆแล้วในใจผมเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียดและแค้นเกมส์มาก ผมไม่สนใจเงินรางวัลใดๆทั้งสิ้นและไม่สนใจว่าผู้เข้าร่วมแข่งอีกคนจะเป็นใครแค่อย่ามาขวางเกมส์ที่ผมจะเดินก็พอ  เมื่อถึงวันนัดหมาย ผมรีบออกจากบ้านมายังที่ที่เกมส์นัดผม  ก่อนเวลาหลายชั่วโมง เพื่อจะได้สังเกตการทำงานของทีมงานทุกคนว่ามีจุดใดที่ผิดปกติหรือไม่  แต่ยิ่งสังเกตผมยิ่งไม่เห็น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเครียดและเริ่มจมอยู่กับตัวเอง ก่อนจะมีทีมงานพาผู้เข้าแข่งขันอีกคนมาให้ผมรู้จัก นั่นคือ ไอ้มิว

อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่ได้สนใจว่าผู้เข้าแข่งขันอีกคนเป็นใคร ผมจึงไม่ได้อยากรู้ชื่อมันและอยากคุยกับมันจนมันหลุดด่าผมโดยเอ่ยคำว่าบ้ามา นั่นถึงทำให้ผมสติขาดไปทันที  คำนั้นมันทำให้ผมนึกถึงน้องสาวตัวเอง ผมไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกมัน แต่ด้วยอารมณ์ผม ผมไม่สามารถควบคุมได้เลย ผมอยากให้มันออกจากเกมส์เพราะไม่อยากให้มันเป็นแบบน้องผมและเพื่อไม่ให้มันขัดขวางสิ่งที่ผมจะทำ  แต่เมื่อมันคิดไปอีกทางว่าผมจะยึดเงินรางวัลไปคนเดียวผมจึงปล่อยไป

ระหว่างทางที่มา ผมคิดอะไรหลายๆอย่างมาตลอดยิ่งฟังประวัติบ้านสลับกับมองเส้นทางไปเรื่อยๆ ผมยิ่งเครียด รายการนี้มันให้น้องผมไปทำอะไร ทำไมถึงได้มาที่เปลี่ยวๆแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยที่น้องสาวผมจะเป็นแบบนั้น และเมื่อใกล้จะถึงบ้านที่ผมต้องเล่นเกมส์ ผมสังเกตเห็นบ้างหลังหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านที่ผมต้องอยู่   ผมสงสัยมากว่าบ้านใครทำไมถึงคิดมาสร้างในที่แบบนี้ แต่เมื่อเจอลุงมั่นและแกบอกผมว่าแกอยู่แถวนั้น ผมเลยถึงบางอ้อทันทีว่า…นั่นบ้านใคร

ผมไม่คุกคามอะไรไอ้มิวอีกเพราะมันดูไม่มีพิษภัยอะไร ออกจะเอ๋อๆ ดูเกินๆไปด้วยซ้ำ ผมตัดสินใจปีนกำแพงบ้านออกไปเพื่อไปสังเกตป่าด้านหลัง ผมมีความรู้สึกว่าบ้านที่ผมคิดว่าเป็นของลุงมั่นต้องมีการเชื่อมต่อกับเกมส์แน่นอนเลยกะว่าจะเดินไปสังเกต และอยากเห็นหน้าผู้จัดการเกมส์  ในวันแรกผมต้องดูท่าทีก่อนเลยไปไม่ได้ไกล เมื่อได้ยินเสียงไอ้มิวเรียกผมจึงรีบกลับมา และสาเหตุที่ตัวผมเปื้อนมันเป็นเพราะผมต้องเดินไปแบบหลบๆซ่อนๆ เพราะไม่รู้ว่าในป่านั่นมีอะไรบ้างเลยทำให้ชุดเปื้อนดินไปด้วย

ในเกมส์แรกยอมรับตรงๆเลยว่าผมหงุดหงิดไอ้มิวจนแทบคลั่งเพราะมันทำท่าว่ากลัวไปหมด  ผมเคยเตือนมันแล้วว่าให้มันกลับออกไปแต่มันก็ไม่ยอม จนตั้งแต่มันท่องคาถาเห็นผีนั่นและเริ่มเล่นซ่อนแอบ ไอ้มิวมันก็เริ่มเปลี่ยนไปชัดเจน มันกลัวจนผมสงสาร เลยคิดว่าการวิ่งไปหลบเสียงดังๆจะทำให้มันหาเจอง่ายขึ้น  แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น ด้วยอะไรไม่รู้ที่ทำให้ไอ้มิววิ่งขึ้นข้างบนและบอกว่าผมอยู่ตรงนั้น ผมได้ยินเสียงมันชัดเจนว่ามันเพ้อเจ้อคิดว่าผมหายใจแรงแอบอยู่ในห้องน้ำ ก่อนที่มันจะเงียบไป ผมจึงหันไปปัดหม้อให้หล่นเพื่อบอกมันว่าผมอยู่ในครัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไอ้มิวมันวิ่งมาทางครัว และวิ่งออกไปข้างนอกทันทีโดยที่ผมห้ามไม่ทันและมันก็ไม่เห็นผมที่ยังคงยืนอยู่   ก่อนจะไปได้ยินเสียงมันด่าๆข้างนอกนั่น  ผมไปเอามันกลับเข้ามามันก็เอาแต่ร้องไห้ ถามอะไรก็ไม่ตอบ

จนตอนเช้าผมถามมันอีกครั้ง และโดนมันถามกลับมาว่า ทำไมผมถึงไม่เห็นว่าประตูมันเปิดเอง และไม่ได้ยินเสียงมันด่าผม คำถามนี้ทำผมนิ่งไปสักพักเริ่มรู้สึกแล้วว่าไอ้มิวไม่ปกติ มันต้องเจออะไรบางอย่าง ผมตอบมันไม่ได้เพราะผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ประตูนั่นมันก็ไม่ได้เปิดเอง ไอ้มิวนั่นแหละที่วิ่งไปเปิด และเพราะกลัวมันจิตตกผมจึงไม่ให้ทีมงานรีรันภาพ เมื่อทีมงานมาถามเหตุผลที่มันวิ่งออกไป  ผมจึงต้องโกหกทีมงานเพื่อช่วยมัน  ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากมีเพื่อนในการแข่งขันแต่อีกส่วนหนึ่งคือเพราะผมเริ่มรู้แล้วว่าไอ้มิวมันเห็นอะไรในแบบที่น้องสาวผมเห็น ผมจึงจำเป็นต้องเอามันไว้เพื่อใช้มันสื่อกับวิญญาณพวกนั้น หาทางให้ผมเจอความจริงให้เร็วที่สุด ผมรู้ว่าผมเลว แต่ผมจำเป็นต้องมีมันจริงๆ

ตั้งแต่เกมส์ผีถ้วยแก้วไอ้มิวก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าสู่ใจผม ผมไม่ชอบที่เห็นน้องสาวผมทรมานแล้วเหตุใดผมจึงมาทรมานคนอื่น สิ่งที่ผมทำไม่ต่างอะไรไปกับที่เกมส์ทำน้องสาวผม ผมจึงคิดจะหาทางให้มันออกจากเกมส์นี้ให้เร็วที่สุด ไม่ใช่เพราะผมจะเอาเงิน แต่เพราะตัวมันเอง

พอมาได้เล่นเกมส์ปอกแอปเปิ้ลนั่น  ผมค่อนข้างตลกเพราะมันเป็นเกมส์หาเนื้อคู่ไร้สาระ ผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเกมส์เป็นยังไง ผมเททุกอย่างเพื่อคอยฟังแต่เสียงไอ้มิว แต่รู้อะไรมั้ยครับ พิธีกรรมนั่นมันไม่ได้หลอกลวง เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกไอ้มิวและไม่คิดจะบอกเพราะตอนผมปอกแอปเปิ้ลภาพที่ผมเห็นในกระจก มันคือภาพไอ้มิว ภาพที่ขึ้นแสดงว่ามันกำลังปอกแอปเปิ้ลอยู่เงียบๆบนห้อง ผมมองมันปอกไปเรื่อยๆโดยที่ตัวผมเองปอกเสร็จหมดแล้ว จนก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงไอ้มิวกรี๊ด ภาพมันแสดงให้ผมเห็นว่าไอ้มิวยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิม แต่หัวของมันหายไป ผมตกใจและรีบขึ้นไปดู เสียงไอ้มิวกรีดร้องให้ผมช่วยก็ดังขึ้นมาทันที

ผมจงใจทำลายข้าวของเพราะผมรู้ว่าทีมงานต้องมา ผมไม่อาจเอาไอ้มิวไว้ในเกมส์ได้แล้ว แม้มันจะช่างสังเกตและสื่อสารกับวิญญาณได้ แต่ผมสงสารมันยิ่งเห็นแผลที่คอกับสภาพมันผมไม่อาจปล่อยไว้ได้  ผมท้าตีกับทีมงานเพราะมันไม่แฟร์เกมส์ที่จะเอาผมออก จนทีมงานไปถามความประสงค์กับไอ้มิว  ผมสนับสนุนให้มันออกทันทีโดยไม่รั้งมันไว้ แค่นี้มันก็ช่วยผมไว้มากพอแล้ว แต่ไอ้มิวก็สร้างความตกใจให้ผมเพราะมันขอปฏิเสธที่จะออก แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าผมดีใจที่มันยังอยู่ ผมหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าทำไมมันถึงไม่กลับไป

ผมไม่อยากให้มันขอบคุณผมที่ผมคอยช่วยเหลือและดูแลมันเพราะที่ผมทำผมก็หวังผลกับมันทั้งนั้น เป็นผมซะอีกที่ต้องขอบคุณมันที่ต้องยอมแลกอะไรหลายๆอย่างกับการช่วยเหลือจอมปลอมของผม แม้หลังๆผมจะช่วยด้วยความเคยชินไปแล้ว ไม่ได้นึกจะใช้งานมันอีก แต่ความผิดมันก็ต้องเป็นความผิด

ผมไม่ใช่คนดีอีกต่อไปเมื่อเลือกที่จะเอาความไว้วางใจของมันมาแก้ปัญหาให้ผม

ผมไม่รู้ว่าต้องเอ่ยคำขอโทษมันอีกกี่ล้านครั้ง เมื่อผมเล่าความผิดของผมให้มันฟังไป หน้ามันก็เปลี่ยนไปทันทีอาจจะเพราะความ
ผิดหวังในตัวผมด้วย แต่ผมยอมรับทุกอย่าง ในเมื่อผมเลือกที่จะใช้มัน ผมก็ต้องยอมรับในการกระทำตนเอง



"ไงสิ่งที่มึงอยากฟัง กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องขอบคุณคนเลวๆแบบกู….”



*****************************************TBC*****************************************
เอาตอนที่ 7  มาส่งแล้วนะครับ  หลายคนคงสงสัยเรื่องเวลาลง  เอาเป็นว่าผมจะลงทุกวันอังคารนะครับ ส่วนวันอื่นถ้าผมไม่มีงานหรือติดอะไรก็จะนำมาลงให้นะครับ สามารถติดตามได้ในทวิตเตอร์ผมโล้ดดดดดด >>> TWITTER

ตอนนี้คงเป็นตอนที่หลายคนอยากรู้มากที่สุด  5555 เดากันถูกมั้ยครับ

เจอกันตอนหน้า
P-Rawit
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2017 19:22:45 โดย P-Rawit »

ออฟไลน์ เข็มวินาที

  • Those who make the worst use of their time are the first to complain of its shortness
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อยากอ่านอีก :ling1: เค้าฟอลลไปแล้วนะ :katai3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านรวดเดียวจบ หลอนมากกกกกกกกกก

ชอบมากอ่ะบรรยายได้เห็นภาพชัดดี สนุดกเวอร์
 :ling3:

ออฟไลน์ zongpei96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-0
อ้ายยยภพพพพพพพพพพพพพพพพพพ  :m31:

แต่ยังไงเค้าก็เป็นเนื้อคู่กัน..ใช่มั้ยคะ แง้5555555555 :n1:

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
ตอนที่8

หวั่นไหว


ยอมรับแบบลูกผู้ชายเลยว่าผมโกรธมันมาก การโดนใช้เป็นเหยื่อไม่มีใครอยากเป็น แต่คนอย่างผมมันไม่เคยโกรธไอ้ภพได้นานเพียงเพราะเรื่องราวที่ออกมาจากปากมัน  มันเจอเรื่องแย่ๆมามาก และต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเอง ทั้งๆที่เมื่อผมฟังผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันผิดที่ดูแลน้องสาวตัวเองไม่ได้

“ไงสิ่งที่มึงอยากฟัง กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องขอบคุณคนเลวๆแบบกู….” คำพูดเลื่อนลอยเชิงประชดประชันผม ไม่อาจกลบความรู้สึกที่มันจะสื่อออกมาได้ มันกำลังรู้สึกผิด  มันกำลังด่าตัวเอง ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดว่ามันเลว สถานการณ์มันบีบให้ไอ้ภพต้องเห็นแก่ตัว ถ้าผมเป็นมันผมก็คงทำ

“ไม่มีคนเลวที่ไหนมานั่งด่าตัวเองหรอกนะไอ้ภพ  กูยอมรับว่ากูโกรธมึงนะที่ทำกับกูแบบนี้ แต่กูโกรธไปแล้วได้อะไรวะ กูกลับออกจากเกมส์แล้วได้อะไร ในเมื่อกูก็ยังต้องเห็นผีอยู่แบบนี้ หยุดรู้สึกผิดกับตัวเองได้แล้ว"  ผมหันไปปลอบมัน  เห็นท่าทีของมันแล้วผมรับไม่ได้ มันกำลังอ่อนแอมากจนไม่เหมือนไอ้ภพคนเดิมที่ผมรู้จัก

“กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจแต่กูหมดหนทางแล้วจริงๆ” มันนั่งก้มหน้าเอ่ยคำขอโทษกับผม

“สัส!ขอโทษกูใครสั่งให้ก้มหน้า  มองหน้ากูดิ อย่ามาอ่อนแอไหนบอกจะปกป้องกูไง” ผมจับหน้ามันให้เงยขึ้นมาสบตากับผม

“ฟังกูนะ กูยกโทษให้มึงทุกอย่าง แต่ต่อจากนี้อย่าเก็บเรื่องแบบนี้ไว้คนเดียวอีก มีอะไรก็พูด” มันพยักหน้าตอบรับความต้องการของผมก่อนผมกับมันจะนั่งกันอยู่เงียบๆอย่างนั้น ต่างคนต่างต้องรีบเอาความรู้สึกแย่ๆออกไปให้หมด เพราะรู้แล้วว่าการเล่นเกมส์ต่อจากนี้จะไม่ได้ทำเพราะท้าทายอย่างเดียวแล้ว

“มิว ทำไมมึงถึงไม่ออกจากเกมส์ไปวะ กูกลัวมึงจะเป็นแบบน้องกู” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยและเจือด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยของมัน ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยใดๆ

“งั้นก็เงยหน้ามาฟังกู ดูปากกูให้ชัดๆ” ผมจับมันให้เงยหน้ามาฟังผมอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามันจะนั่งก้มหน้าทำไมนักหนา รู้สึกผิด หรือว่าทุกข์ใจเพราะเอ่ยถึงเรื่องน้องสาว

“ฟังนะ มึงรู้ตัวมั้ยว่าเวลามึงอยู่กับตัวเอง มึงจะไม่ระวังห่าเหวอะไรเลย กูยอมอยู่ในรายการนี้ก็เพราะรู้ว่า เดี๋ยวมึงก็ต้องออกไปข้างนอกนั่นอีก  มึงกำลังตามหาความจริงบางอย่างข้างนอกนั่นใช่มั้ย?  ถ้ามึงออกไปนานๆแล้วบ้านนี้มันไม่มีใคร ไม่กลัวรายการจะสงสัยหรอว่ามึงหายไปไหน อย่างน้อยกูอยู่กูก็ตอแหลให้ได้ว่ามึงหลับอยู่บนห้อง ถึงกล้องมันจะจับได้ว่ามึงเดินออกไปแต่เชื่อสิ กูตอแหลเก่งกว่าพูดเรื่องจริงแน่นอน”

“แล้วมึงรู้ได้ยัง ว่ากูออกไปตามหาบางอย่าง”

“จากที่มึงเล่าให้ฟังนะภพว่ามึงออกไปเพื่อจะเดินไปหาบ้านลุงมั่นและคอยดูหน้าผู้จัดการเกมส์  แต่หน้ามึงไม่ได้บอกกูแค่นั้นมึงกำลังสงสัยบางอย่าง และต้องการหาความจริงมาสนับสนุนความคิดมึง อีกอย่าง…”

“อีกอย่าง?   อะไร”

“ตอนที่กูปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกนั่น พูดแล้วอย่ารังเกียจกูนะ กูไม่ได้ตั้งใจให้กูเห็นแบบนั้น แต่กูเห็นภาพมึง มึงกำลังเดินอยู่ในป่านั่นโดยที่มีท่าทีหลบๆซ่อนๆอยู่ตลอดเวลา เสื้อมึงที่เปื้อนก็เพราะจากสาเหตุนี้ใช่มั้ย?”

“อืม….อย่างที่มึงพูด” มันตอบรับผม อย่างรีบร้อนก่อนจะหลบสายตาผมไปทันที

“ภพ ไม่ว่าความจริงที่มึงหาจะคืออะไร แต่กูมีเรื่องอยากจะบอก ลองเชื่อกูอีกสักครั้งนะ”

“เชื่อ? อะไร”

“มึงกำลังไปผิดทาง”  มันนิ่งไปทันทีหลังผมพูดจบ  ท่าทางของมันเหมือนกำลังประมวลภาพในหัวว่าตัวมันกำลังเดินไปทางไหนและผมรู้ได้ยังไงว่าทางที่มันเดินไม่ใช่ทางที่มีคำตอบ

“มึงรู้ได้ไง”

“อย่างที่บอกว่ากูเห็นมึงเดินในกระจก กูไม่ใช่เห็นแค่มึง แต่กูเห็นป่าบริเวณโดยรอบ อะไรสักอย่าง ลางสังหรณ์หรือวิญญาณก็แล้วแต่ มันบอกกูว่าทางที่มึงต้องไป ไม่ใช่ทางนั้น มึงต้องไปอีกทาง ทางที่มึงละเลยมันมากที่สุด”

“แต่อีกทางมันรกมาก มันไม่ได้มีวี่แววเลยนะว่ามีคนเคยผ่านไป”

“กูถึงได้ขอไงว่าเชื่อกูอีกสักครั้ง…ว่าแต่พอจะบอกได้มั้ยว่ามึงกำลังหาอะไร”

“ศพ กูกำลังหาศพคนตาย” คำพูดมันทำผมนิ่งอึ้งไปสักพัก ทำไมอยู่ดีๆมันถึงจะลุกขึ้นไปหาศพคนตาย

“เพราะคำพูดน้องมึงหรอ”

“อืม น้องกูไม่ต่างอะไรกับคนบ้า การที่น้องกูพูดถึงสิ่งนั้นออกมาแสดงว่ามันต้องมีมูลเหตุของเรื่อง”

“ถึงว่า….” ผมพึมพำกับตัวเองทันที เพราะผมก็ยังคงมีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ได้บอกมัน เนื่องจากผมหาอะไรมาอ้างอิงไม่ได้  เลยไม่คิดจะพูดให้ตัวเองเสียความรู้สึกหากมันไม่เชื่อ

“ถึงว่าอะไร” คำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความอยากรู้ของมันเอ่ยออกมาแทบจะในทันทีหลังจากผมพูดจบ   ผมที่กำลังครุ่นคิดว่าจะบอกมันดีหรือไม่ ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหน้ามัน ก่อนจะสูดหายใจรวบรวมความกล้าที่จะเล่าเรื่องที่ติดค้างเรื่องสุดท้าย

“ภพ กูสังเกตบางอย่างได้อีกเรื่องเพียงแต่กูไม่กล้าบอกมึงเพราะมันไม่มีหลักฐาน…แต่หลังจากกูฟังความต้องการของมึงกูคิดว่ากูต้องบอก ตั้งแต่กูเล่นเกมส์มา กูเจอผีพวกนั้นพวกมันเข้ามาหากูด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ครั้งแรกที่กูเจอกูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันต้องการอะไร ครั้งที่สองกับสามพวกมันบังคับให้กูช่วยหาคนที่ฆ่ามัน รู้มั้ย?...ว่าพวกมันมีอะไรที่เหมือนกัน”

“อะไร…”

“พวกมัน…ล้วนมาจากนอกบ้านหลังนี้”  ไอ้ภพหยุดคิดตามคำพูดผมทันที ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างนั่น คาดว่าในใจมันตอนนี้คงกำลังหาหนทางไปยังทางที่ผมบอก

“แต่ถ้าเป็นไปได้ วันนี้อย่าเพิ่งออกไปไหน อยู่ในบ้านไปอีกสักวันสองวันก่อน” ผมรีบเตือนมันเมื่อเห็นว่ามันเริ่มที่จะไม่คิดถึงเหตุถึงผลและเอาแต่ความต้องการตัวเอง

“มีอะไรอีก ไหนมึงบอกว่าวันนี้มึงจะไม่ห้ามกู”

“กูรู้ กูก็ไม่อยากผิดคำพูด แต่เรื่องมันยังร้อนไปไอ้ภพ ไม่คิดหรอว่าทีมงานพวกนั้นรู้ได้ยังไงว่ามึงออกไป”

“มันอาจจะไม่เห็นกูอยู่ในบ้านนานก็ได้”

“ไม่ไอ้ภพ ตามกฎของเกมส์กลางวันมึงจะอยู่นอกบ้านก็ได้ ยิ่งพื้นที่หลังบ้านแม่งไม่มีกล้องสักตัว ทำไมทีมงานถึงไม่คิดว่ามึงอาจจะแค่ออกไปนั่งพักผ่อนหลังบ้านเฉยๆ ทำไมถึงกล้าฟันธงทันทีว่ามึงแหกกฎไปแล้ว”

“….”

“ถ้าให้กูเดาต้นไม้ข้างหลังนั่นมันต้องมีกล้องติดไว้ ถ้ามึงต้องออกไปอีกครั้งกูอยากให้แค่มึงออกไปหากล้องพวกนั้นอย่าเพิ่งเพ่งเล็งไปหาศพทันที เดี๋ยวพวกมันจะสงสัย กูกลัวว่าศพต่อไป อาจเป็นมึง”

“อืม ขอบคุณที่เตือนกู”

“มึงช่วยกูมาเยอะแล้วนะภพ ให้กูทำอะไรเพื่อมึงบ้าง” ผมบอกมันที่หันมาขอบคุณผม ไอ้ภพมันเหมือนเด็กที่ไม่ได้ถี่ถ้วนกับเหตุผล เพียงแค่มีคำใบ้เล็กน้อยมันก็ดีใจจนไม่มองอันตรายที่จะเกิดกับตัว แต่ด้วยความที่ตัวผมผ่านเกมส์โชว์ต่างๆมาก็มาก การสังเกตพวกนี้ผมก็ได้มาจากหลายๆเกมส์ ที่สอนผมไม่ให้ดีใจกับอะไรที่มองง่ายเกินไป

“แล้วมึงจะทำยังไงต่อ”

“เรื่อง?”

“เรื่องที่มึงเห็นผี แล้วก็ตอบรับที่จะช่วยพวกนั้น”

“ตอบตามตรงนะ เรื่องเห็นผีนี่กูก็ยังต้องพึ่งมึง กูยังไม่หายกลัว กูยังปรับตัวไม่ได้ ตอนนี้มึงอาจจะเห็นว่ากูกลับมาพูดคุยปกติ แต่เชื่อกูสิ ถ้าต้องเล่นเกมส์ท้าทายผีนั่นอีกครั้ง กูก็จะเป็นแบบเดิม  ส่วนเรื่องช่วย ก็ทำตามที่บอกกูจะช่วยมัน”

“มึงจะช่วยยังไง อะไรสักอย่างมึงก็ไม่รู้”

“รู้สิ ที่มึงเล่าให้กูฟังมันมีแนวโน้มสูงมากนะว่าที่น้องสาวมึงเจอศพจะเป็นศพของผีพวกนี้ อีกอย่างการที่กูช่วย มันไม่ได้หมายความว่ากูช่วยมัน สิ่งที่กูกำลังจะกลั้นใจทำทั้งหลาย ก็เพื่อจะช่วยมึง”

“ขอบคุณ…แต่มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าจะไม่เป็นอะไร”

“กูไม่มีความแน่ใจอะไรทั้งนั้น แต่กูมั่นใจอยู่หนึ่งอย่างว่าผีพวกนั้นต้องไม่คุกคามกูแล้วเพราะกูรับปากไปแล้ว ส่วนถ้ากูจะเจอผีตนอื่น  กูก็แค่ต้องทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น”

“อย่าลืมที่กูเคยบอกไว้ ถ้าคิดจะอยู่ในเกมส์นี้มึงต้องทำตัวให้ชิน ส่วนเรื่องภาพหลอนในหัวถ้ามันรบกวนมึงจนทำอะไรไม่ได้ ให้เดินมาระบายกับกูซะ มีแค่ทางนี้ทางเดียวที่กูจะช่วยมึงได้”

“อืม กูจะพยายามชินให้เร็วที่สุดละกัน”

“แล้วเราจะเริ่มกันยังไง” ไอ้ภพหันมาถามถึงวิธีที่เราจะใช้หาความจริงพวกนั้น  ผมหันไปมองหน้ามันและเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก วิธีที่ผมจะใช้มันมีในหัวผมตั้งแต่ผมเริ่มตัดสินใจที่จะช่วยเหลือไอ้ภพ แต่มันเป็นวิธีที่ทำร้ายผมได้มากที่สุด ห้วงหนึ่งของความคิดบอกผมว่าทำไมผมต้องมาตัดสินใจเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงกับไอ้ภพด้วย ทำไมผมถึงยอมทำตาม? แต่ยิ่งคิดผมยิ่งหาไม่ได้ จึงต้องปล่อยไปก่อนตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำมันสำคัญกว่า

วิธีของผมมันมาพร้อมกับความสามารถพิเศษที่ผมไม่ต้องการ ผมว่ามันดูโง่เง่าและดูตลกที่สุดท้ายแล้วคนเราต้องมาหาความจริงที่กฎหมายไม่สามารถตามให้ได้ ด้วยวิธีพึ่งคนที่ตายไปแล้ว ไม่อยากจะยอมรับเพราะผมกลัวว่าตัวเองจะกลัวจนทนไม่ไหว แต่ก็ต้องยอมรับเพราะตัวผมเองที่เป็นคนตัดสินใจจะช่วยทุกอย่าง อย่างน้อยก็คงต้องทำเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหลังจบเกมส์ไป

“กู….จะคุยกับวิญญาณพวกนั้นอีกครั้ง”

ไอ้ภพดูตกใจในคำพูดของผม สิ่งที่ผมบอกมันไม่ต่างจากการที่ผมจะฆ่าตัวตาย แต่ก็แค่ชั่วครู่ เพราะผมหันไปยิ้มจางๆให้มันเห็นและบอกว่านี่เป็นทางเดียวและทางสุดท้ายที่จะหาความจริงของเกมส์นี้โดยที่พวกเราจะยังปลอดภัยทั้งคู่  ผมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความกลัวที่ก่อเกิดภายในใจของตัวเอง  ส่วนไอ้ภพต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการหาความจริงข้างนอกนั่น อันตรายที่มันต้องเผชิญมากกว่าผมหลายเท่า เพราะฉะนั้นการให้คนตายบอกตำแหน่งที่ฝังศพของตัวเองจะเป็นการง่ายที่สุดต่อตัวไอ้ภพ

ผมกลับลงมาเคลียร์พื้นที่ด้านล่างอีกครั้ง  ดูเวลาก็ล่วงเลยมาบ่ายโมงกว่าแล้วผ้าที่ตากไว้ก็ยังไม่ถูกเก็บ ข้าวสักมื้อก็ยังไม่ตกถึงท้อง ผมกับไอ้ภพจึงต้องกระจายงานกันไปทำ ผมเก็บเศษกระจกที่เหลือและจับทั้งหมดใส่ถุงไปวางไว้ด้านนอก ไอ้ภพเก็บซากตู้ไม้ไปวางไว้ที่เดียวกับผม ก่อนที่มันจะแยกไปทำกับข้าวส่วนผมก็แยกไปเก็บผ้า

เมื่อได้มานั่งพักรอข้าวหุงสุก ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ภาพต่างๆตั้งแต่วันแรกถูกฉายเข้ามาเรื่อยๆไล่เรียงลำดับเหตุการณ์มา ยิ่งคิด หน้าผมยิ่งเห่อร้อน ผมกับไอ้ภพ ไม่ต่างไปกับคู่รักที่แต่งงานใหม่และพึ่งจะย้ายเข้าเรือนหอของตัวเอง เพียงแต่ว่า เรือนหอหลังนี้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญแวะเวียนมาหาบ่อยๆในตอนกลางคืนก็เท่านั้น

“ไอ้มิว  มึงไม่สบายหรอ รึแผลมึงอักเสบ ทำไมหน้ามึงแดงขนาดนั้น”

“ฮะ อะ เอ่อ แผลมันคงอักเสบแหละ กูเจ็บๆได้สักพักละ”

“กรรมเวร ยาแก้อักเสบแม่งก็ไม่มี เดี๋ยวกูดูยาพาราให้เผื่อแก้ปวดได้ก่อน”

“เฮ้ย ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูกินข้าวแล้วทำแผลใหม่ มันคงดีขึ้นเอง” ผมรีบเบรกไอ้ภพที่ทำท่าจะเดินขึ้นไปหายาพาราบนห้อง

“แล้วแต่มึงละกัน ถ้าจะทำแผลก็บอกเดี๋ยวทำให้ ส่วนข้าวก็ไปกินดิมันสุกแล้ว”

“แล้วมึงอ่ะ? ไม่กินหรอ”

“กินดิสัส กูก็หิว” ผมกับมันพากันเดินเข้าห้องครัวไปตักข้าว เห็นได้ชัดเจนเลยว่าตั้งแต่ผมกับมันพูดในสิ่งที่ติดค้างในใจหมด บรรยากาศรอบๆตัวผมก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แม้ก่อนหน้านั้นมันก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้มันยืนยันกับผมได้ว่าไม่ใช่แค่ผมแล้วที่คิดว่าสนิทกับไอ้ภพฝ่ายเดียว

“จะว่าไป มึงเป็นพี่กูนี่หว่า กูต้องเรียกมึงพี่มั้ย  พี่ภพไรงี้”

“หน้ากูดูเหมือนรุ่นเดียวกับมึงรึไง แล้วก็ไม่ต้องเรียกกูพี่ กูขนลุก”

“ได้ไงอ่ะ พี่ภพครับ น้องมิวชอบกับข้าวที่ภพทำจังครับ อร่อยม๊วกมวก ><”

“เป็นห่าไร อยู่ดีๆก็เป็นเอ๋อหรอ”

“อ้าวสัส เล่นด้วยนิดเดียวไม่ได้นะมึงอ่ะ “

“มึงเรียนอยู่ปีไรแล้ว”

“เปลี่ยนเรื่องเร็วเชียวนะมึง  อยู่ปีสี่แล้ว เหลือเทอมหน้าอีกเทอมกูก็จบแล้วมีไรอ่ะ”

“ปีสี่ มึงว่างขนาดออกมาทำอะไรแบบนี้ด้วย?”

“จริงๆก็ไม่ กูโกงความตายไง โยนโปรเจคให้เพื่อนทำไปก่อน”

“กูขอให้มึงเอฟ”

“โห แดกข้าวครับคุณพี่ภพ มึงจะแช่งกูทำไม  ให้กูจบแล้วเลี้ยงดูพ่อแม่กูบ้างดิ”

“…….”

“อ้าว เงียบ เงียบทำไม เถีย…”  ตายโหงครับบบบบบบบบบบ  ผมรีบหุบปากเน่าๆของตัวเองทันที ผมลืมนึกไปว่าไอ้ภพมันเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่มันอยู่มัธยม เด็กขนาดนั้นคงมีปมเรื่องพ่อแม่อยู่แน่ๆ

“ภพ….กูขอโทษ มึงเป็นไรมั้ยวะ” ผมถามมันที่ทำหน้าสลดลงไปทันทีหลังจากที่ผมพูดอะไรไม่คิดไปกระทบใจมัน

“ช่างมันเหอะ แดกข้าวต่อๆ กูก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”  มันพูดเหมือนไม่ใส่ใจแล้วก็ก้มลงกินข้าวในจานของตัวเองต่อไป  ลักษณะมันนี่ฟ้องผมได้เยอะเลยนะครับ มันคงโดนคนถากถางเรื่องนี้มาเยอะจนทำเป็นไม่สนใจดีกว่า แต่กับผม ผมละเลยมันไม่ได้  มันรู้สึกผิดที่ต้องไปจี้ปมใครสักคน ผมจึงลุกขึ้นไปนั่งข้างๆมัน

“มึงมีอะไร”  มันหันมาถามผมอย่างคนที่พยายามจะแสดงออกว่าตัวเองนั้นปกติ

“หันมาก็ดีแล้ว หันมาอีกหน่อยดิ๊”

.
.
.

(ต่อ)

ออฟไลน์ P-Rawit

  • The beginner of writing world
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-0
“มีไรวะ” มันวางช้อนส้อมลงก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ   ไม่รู้ว่าเพราะความรู้สึกผิดของผมที่มากเกินไปหรือเป็นความต้องการเบื้องลึกที่ร้องขอให้ผมทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ  การกระทำของผมจึงแสดงออกไปอย่างไม่ทันคิดต่อคนตรงหน้า

ผู้ชายมันไม่จำเป็นต้องแกร่งเสมอไปหรอก…

“ถ้าไม่ได้เก่งจริง ก็แสดงความอ่อนแอมาบ้างดิ”  ผมสวมกอดไอ้ภพเอาไว้เบาๆและเริ่มพูดปลอบใจมัน    ส่วนไอ้ภพนั่งตัวแข็งทื่อไปทันทีไม่รู้ว่าตกใจหรือว่าช็อกไปเลยที่จู่ๆก็โดนผู้ชายด้วยกันจู่โจม

“อยู่กับกูจะทำฟอร์มทำไมนักหนา มึงจะร้องไห้จนน้ำตามึงหมดกูก็ไม่ได้ว่า ทีกูยังร้องจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว คนดูทั้งประเทศ ถ้ามึงไม่อยากร้องให้กล้องเห็นก็ขึ้นไปบนห้องกูจะปลอบมึงเอง” พูดไปผมก็ลูบหลังมันไป ทำเหมือนมันเป็นเด็ก

“มึงไม่เคยใช่มั้ย ที่จะมีใครพูดทำร้ายจิตใจแล้วมานั่งปลอบมึงแบบนี้  ดีใจไว้ด้วย กูเป็นคนแรกที่ปลอบมึงเลยนะ”

“อย่าเก็บความรู้สึกแย่ๆไว้กับตัวเองอีก  รู้มั้ยการระบายออกกับคนแปลกหน้ามันดีกว่าพูดกับคนรู้จักซะอีก  คนแปลกหน้าอีกไม่นานมึงก็ลืมมัน  มึงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยพูดอะไรให้ใครฟังบ้าง  ส่วนคนรู้จักมึงจะจำมันและระแวงตลอดว่าเรื่องของมึงมันจะสนใจมากแค่ไหน”  พูดไปก็รู้สึกตันในอกแปลกๆ  การพูดแบบนั้นไม่ต่างอะไรไปกับผมคือคนแปลกหน้าของมันที่อีกไม่นานมันก็จะลืมผมไปเอง  ผมใช้ชีวิตกับมันจนชินและลืมนึกไปว่าจบเกมส์นี้เมื่อไร เราสองคนต้องออกไปทำหน้าที่ตัวเอง สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ มันคือสิ่งจอมปลอมที่โลกของความจริง ไม่มีวันทำให้ได้

ใจของผมเริ่มเต้นช้าลงเพราะความหน่วงที่เกิดขึ้นในใจซึ่งต่างจากตอนที่กอดมันแรกๆ ใจผมเต้นดังและรัวแรงมาก ความอบอุ่นของมัน เป็นสิ่งที่เหมือนมีเวทย์มนตร์  มันช่วยคลายทุกความกลัวและความกังวลใจให้กับผม  สมองสั่งให้ปฏิเสธ แต่หัวใจของผมมันบอกสวนทาง จังหวะการเต้นของมันบอกกับผมได้เป็นอย่างดี

หัวใจของผมกำลังเปลี่ยนไป

แม้ตอนนี้ผมจะยังไม่มั่นใจว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด มากน้อยแค่ไหน   ผมรู้แค่ว่าไอ้ภพกำลังทำให้เข็มทิศหัวใจผมสั่นคลอน    ทิศทางที่มันควรจะเป็นไป บัดนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น   ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผมความเชื่อมั่นในความเป็นชายถูกทำให้คงคงที่มาตลอด ไม่อยากจะเชื่อว่ามันกำลังจะค่อยๆถูกพังลงเพราะผู้ชายตรงหน้า

“มึงจะปล่อยกูได้รึยัง  กูจะแดกข้าว”

“ฮะ เออๆแดกข้าวดิ ทำไมไม่รีบบอกกูวะ ปล่อยให้กูปลอบอยู่ได้ตั้งนาน”  ผมรีบดึงตัวเองออกห่างไอ้ภพ ทันทีเมื่อมันส่งเสียงออกมา 

“แล้วนี่มึงเจ็บแผลอีกแล้วหรอ”

“ฮะ อะไรเจ็บแผล?”

“ก็หน้ามึงแดงขนาดนี้ รึไข้มึงขึ้น กูบอกแล้วไงให้แดกยาพาราไปสักเม็ดก่อน”

“ไม่ต้องๆ อากาศมันคงร้อน”

“ร้อนไรวะ เจ็บแผลก็บอก  กูจะดูให้”   พูดจบไอ้ภพ ก็เลื่อนมือมาเปิดแผลผม  หน้ามันกับหน้าผมตอนนี้ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ ยิ่งทำให้ความร้อนในตัวผมพุ่งสูงขึ้น หน้าที่ไอ้ภพบอกว่าแดงตอนนี้มันต้องแดงยิ่งกว่าเดิม

ตุ้บ ตุ้บ   ตุ้บ ตุ้บ

หัวใจผมเต้นรัวแรงด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินมากน้อยแค่ไหน  ความเงียบที่มีในบ้านหลังนี้อาจทำให้มันได้ยินเสียงทั้งหมด ผมได้แต่ภาวนา อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งให้มันสงสัยอะไรในตัวผม   ยิ่งไปกว่านั้น ตอนมันเอามือมาค่อยๆสัมผัสผิวหนังของผม  ยิ่งทำให้จังหวะหัวใจเต้นถี่มากขึ้น 

ใบหน้าของมันยามจดจ่ออยู่กับบางอย่างซึ่งในตอนนี้คือการดูแผลให้ผม  ทำให้มันดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปเป็นกอง  จมูก ปาก ตา ทุกสิ่งทุกอย่างบนหน้าที่รวมเป็นไอ้ภพ มันดูเข้ากันอย่างไม่มีที่ติ  จนผมนึกอิจฉา และเผลอหลงใหลไปกับมัน

“มองขนาดนั้น   คิดว่ากูเขินไม่เป็นรึไง”

“อะ….อะไร ใครมอง”

“หมามั้ง  กูก็อยู่กับมึงแค่สองคน”

“ก็…ก็จะให้มองอะไรหละ ตรงหน้ากูก็มีแค่มึง”  มันช้อนตาขึ้นมองผมอย่างจับผิด

“อืม อยากมองก็มองไปเหอะ แต่ถ้ากูมองมึงกลับบ้าง…”  ไอ้ภพหยุดยุ่งกับแผลผม และเปลี่ยนมาสบตากับผมแทน  ความรู้สึกยามต้องมองตากัน  มันคล้ายกับมีสายฟ้าแล่นผ่านไปเป็นระยะ สะกดให้ผมขยับไปไหนไม่ได้ 

“ท…ทำไม”

ไอ้ภพไม่ตอบ แต่กลับค่อยๆเลื่อนหน้าของมันเข้ามาแทน ระยะห่างที่เคยมีอยู่เล็กน้อย บัดนี้ถูกทำให้สั้นลงยิ่งขึ้น   

สั้น……จนลมหายใจของมันรดต้นคอผม

“ก็แค่…อยู่นิ่งๆละกัน”

ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

หัวใจของผมราวกับโดนจุดชนวนระเบิด  น้ำเสียงของไอ้ภพยามเคลื่อนมากระซิบที่ข้างหู ทำเอาจิตใจของผมกระเด็นออกไปคนละทิศทาง หน้าผมร้อนไปหมด สติที่มีอยู่ก็เหมือนจะถูกทำให้หายไปด้วย  วูบหนึ่งของความรู้สึก ร้องเตือนผมถึงสัญญาณอันตราย   ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้มามีปฏิกิริยากับผู้ชาย

“กูว่ามึงเจ็บแผลหนักแล้วหวะ  หน้ามึงมันแดงยิ่งกว่าเดิมอีก ไอ้มิว” มันค่อยๆถอยหน้าตัวเองออกมาและยื่นมือมาจับที่แผลผมอีกครั้ง  ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ที่มันสร้างขึ้น

“เฮ้ยพอๆ  กูแค่ร้อน  เดี๋ยวจะทำแผลเมื่อไรจะบอก แดกๆข้าวไป ไม่เสร็จสักทีกะอีแค่กินข้าวเนี่ย”

“555555”  พระเจ้า  ช่วยไอ้มิวด้วยยยยยยย  ผีเผลอตนไหนก็ได้มาช่วยกูยืนยันภาพนี้ที   ไอ้ภพมันขำครับ ขำแบบไม่ได้กั๊กอะไรไว้เลย มันเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าจะได้เห็น

“มึงตลกไรวะ  ไหนบอกจะแดกข้าว”

“ขำมึงนั่นแหละ  จะเก๊กทำไมวะ เจ็บแผลก็บอกดิ อากาศต้นเดือนธันวามันร้อนมากรึไง”

“เออร้อน!! มึงดูแดดประเทศไทยด้วย  พอเลยหยุดขำ แดกข้าวไปซะ” โมโหกลบเกลื่อนมันไปครับ ทั้งที่จริงยังคงเขินและตกใจกับภาพที่ไอ้ภพมันยิ้มออกมาได้กว้างๆ  มันยิ้มสวยมากครับ เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าไอ้ภพมันคือผู้ชายหล่อคนหนึ่ง ยิ่งได้เห็นมันยิ้มแบบนี้ มันยิ่งทวีคูณความน่าเข้าหาของตัวเองเพิ่มไปอีก 

“มึงว่าลุงคำกับลุงมั่นเค้าจะรู้มั้ยวะ ว่ามึงแอบไปข้างนอก” เมื่อกลับมาเป็นปกติ  คำถามตึงเครียดก็ถูกกล่าวขึ้นจากผมอีกครั้ง

“สงสัยอะไรอีก?”

“เปล่า แต่แค่คิดขึ้นมาได้เฉยๆว่า ที่กูกับมึงแปลกใจเรื่องต้นไม้อ่ะ  มันพอดีกับช่วงเวลาไปรึเปล่าวะ”

“ยังไง”

“เมื่อวานเพิ่งจะพูดกันไงว่าลุงมั่นเอาต้นไม้มาลงแล้วมันน่าสงสัย ตอนนั้นกูคิดเลยนะว่ามันต้องเกี่ยวกับที่มึงออกไปข้างนอกแน่ๆ แล้ววันนี้ทีมงานดันมาบอกอีกว่าเค้ารู้เรื่องมึง กูเห็นลุงมั่นกับลุงคำเค้าไม่ว่าอะไรพวกเรากูเลยอยากรู้”

“เค้าคงรู้นั่นแหละ แต่อำนาจไม่ได้อยู่ในมือเค้าไง เค้าจะพูดทำไม อีกอย่างที่กูสงสัยมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลงต้นไม้”

“แล้วเกี่ยวกับอะไร?”

“ศพ  กูนั่งมองเค้าลงต้นไม้ตลอดเพราะกลัวว่าทางทีมงานจะเอากระดูกคนตายมาฝังลงไปด้วย แต่มันก็ไม่มี กูเลยเบนความคิดไปว่า หรือที่จริงโครงกระดูกทั้งหลายอาจถูกฝังอยู่ใต้ต้นไม้สักต้นข้างนอกนั่น”

“ขอบเขตมึงกว้างไปมั้ยวะ ข้างนอกนั่นมันป่าเลยนะ”

“กูถึงอยากรีบออกไปดูไง กูกะจะลองขุดมันจริงๆอย่างน้อยกว่าจะจบเกมส์กูต้องเจอบ้าง”

“มึงไม่ได้เผื่อใจเลยหรอภพ ว่ามันจะไม่มี”  ผมชี้ความจริงให้ไอ้ภพฟัง มันทำตาแข็งใส่ผมทันทีเพราะเหมือนกับว่าผมไปทำความหวังทั้งหลายของมันพัง แต่ผมต้องพูดให้มันเผื่อใจไว้ด้วย มันไม่แน่นอน

“เฮ้อ ก่อนจะโกรธกูขอกูพูดอะไรหน่อย  กูไม่ได้อยากตัดกำลังใจมึง เห็นมั้ยว่ากูก็พยายามช่วย แต่กูเป็นห่วงถ้ามันไม่มีศพหรือกระดูกอะไรเลย ถ้าเกมส์นี้มันเป็นเพียงแค่เกมส์ มึงจะเป็นยังไงต่อไอ้ภพ รู้ว่าเป็นห่วงน้องมึง แต่ยังไงก็ต้องห่วงตัวเองด้วย  ถ้ามันทำให้มึงกำลังแย่ กูขอโทษ”

“อย่าพูดอีก กูขอ ถ้ามันจะพลาดขอให้มันพลาดเพราะกูทำเต็มที่แล้วจริงๆ”

“อืม ยังไงกูก็ไม่ปล่อยให้มึงทำคนเดียวหรอก ลงเรือลำเดียวกันแล้วถ้าจะจมก็ให้มันจมทั้งคู่”

“เลี่ยน   มึงรู้ยังว่าวันนี้เกมส์มันให้ทำอะไร” อึ้งเลยครับ ผมนั่งทำตาปริบๆมองมันที่เปลี่ยนอารมณ์เร็วยิ่งกว่ากดรีโมทเปลี่ยนช่อง  ไอ้นี่มันเป็นพวกชอบทำลายบรรยากาศคนอื่นหรือว่าอะไร ทำไมมันชอบขัดตอนที่ผมกำลังสรรหาคำพูดสวยๆมาช่วยเยียวยามัน 

“โว๊ะ   กูอยู่กับมึงทั้งวันเนี่ยจะอ่านตอนไหน”

“ตอนนี้มึงว่างก็ไปหยิบมาอ่านดิวะ”

“แล้วทำไมมึงไม่ไปอ่านเอง”

“ขี้เกียจ”

“อะไรนะ!!!!  ไอ้ควายภพ เหตุผลมึงทำไมมันสันดานแบบนี้ โตแล้วหัดเป็นผู้นำดิวะ”

“รู้ว่ากูโตแล้วยังกล้าด่ากูว่าควาย มึงไปหัดอ่านหนังสือให้สามัญสำนึกมันมีในหัวก่อนดิ๊ จะได้รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้อง”

จึก!!!!!!!

คำพูดดั่งหอกแหลมคมพุ่งตรงเข้าสู่หัวผมทันที  ปากมันนี่ร้ายมาก บทจะไม่พูดก็ไม่พูดเลย   บทจะดีมันก็ดีมาก พอบทจะเหี้ยมันก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน  มีมันคนเดียวแต่ผมต้องรองรับอารมณ์สามแบบในหนึ่งวัน  หลังจบเกมส์ผมคงต้องพามันไปหาจิตแพทย์ก่อน เพราะผมสงสัยว่ามันอาจจะป่วยเป็น ไตรโพล่า ไปแล้ว

“หยุดทำหน้ากวนตีนนินทากูในใจได้ละ  ไปหยิบหนังสือมาสักที”

“เออ!! มึงแม่งก็รีบชิบหาย”

ผมลุกขึ้นมายืนอยู่หน้าตู้หนังสือ เพื่อหยิบหนังสือเล่มที่4ที่มีเนื้อหาของพิธีกรรมที่ผมต้องทำวันนี้ เมื่อต้องมองหนังสือทั้ง28 เล่มตรงหน้าอีกครั้ง ความรู้สึกที่ผมมีมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากวันแรกตู้หนังสือพวกนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนแก้เหงาให้ผม แต่มาวันนี้มันไม่ต่างอะไรกับคำสั่งประหาร   ในทุกๆวัน ที่ผมต้องมาหยิบหนังสือ สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคือการที่จะต้องเปิดมัน เพราะ เนื้อหาพิธีกรรมนั่นมันกำลังชี้เป็นชี้ตายผม

เลขสี่ ตามความเชื่อของคนจีนมันหมายถึงเลขแห่งความตาย ผมหยิบหนังสือนั่นลงมาอ่านด้วยความกังวลที่พูดไปก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะเข้าใจแม้กระทั่งไอ้ภพ  พิธีกรรมด้านในหนังสือบอกว่าสิ่งที่ผมต้องทำวันนี้เป็นเพียงแค่การสลับกันเล่าเรื่องผีของผมกับไอ้ภพให้ครบ หนึ่งร้อยเรื่อง โดยที่คำอธิบายของมันบอกเพียงว่า ตามความเชื่อเมื่อเล่าเรื่องผีไปเรื่อยๆสุดท้ายเราจะพบว่าจะมีคนมาเล่าเพิ่มทำให้จำนวนเรื่องผีที่ควรจะเป็นเปลี่ยนไป

“ระวัง  คนตายจะมาเล่าเรื่องราวของตัวเอง” ผมอ่านคำเตือนเล็กๆข้างล่าง  ยอมรับว่าหนังสือพวกนี้ถ้าถูกวางขายโดยทั่วไปจะต้องได้ขึ้นแท่นว่าเป็น หนังสือขายดีแน่นอน  ข้างนอกนั่นมีผู้คนมากมายที่อยากจะลองสัมผัสกับสิ่งพวกนี้เพียงแต่เกมส์นี้ไม่ได้เลือกให้คนพวกนั้นมาเล่น

“ไง วันนี้มันให้เล่นอะไร” ไอ้ภพลุกมาจากที่นั่งเพื่อเดินมาหาผมที่ยังคงอ่านหนังสือผีไปอย่างเงียบๆ  ไม่ใช่ว่ามันน่ากลัวจนผมละไปไม่ได้ แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ตกอยู่ในกลไกของนักเขียน ที่ใช้ภาษากระตุ้นจิตวิทยาในแต่ละบุคคลให้ทำงาน ข้อที่ว่า มนุษย์เรายิ่งกลัว มักยิ่งอยากรู้ อยากตามไปเรื่อยๆ

“มันให้กูกับมึงสลับกันเล่าเรื่องผีให้ครบร้อยเรื่อง”

“เยอะจังวะ ร้อยเรื่อง”

“ตามจริง เกมส์นี้มันไม่ได้ให้เล่ากันแค่สองคน มันต้องเล่ากันเป็นหมู่คณะ”

“มึงเคยเล่น?”

“ก็เคย  กูไปค่ายอาสากับเพื่อนแล้วกลางคืนมันว่างเลยลอง”

“เจออะไรมั้ย?”

“ไม่ กลุ่มกูไม่มีใครเจออะไรเลย ทุกคนก็เล่ากันปกติ”

“อืม แต่คืนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะ รู้ใช่มั้ย”

“รู้ ไม่ใช่แค่กูหรอกที่ไม่เหมือนเดิม พิธีกรรมนี่ก็ด้วย” อย่างที่บอกไว้ว่าพิธีกรรมวันนี้ผมจะต้องเจอกับวิญญาณกลุ่มนั้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ แต่ผมจะต้องเชิญพวกนั้นให้มานั่งเล่าเรื่องราวของตนเอง ยิ่งเกมส์วันนี้มันเหมือนสนับสนุนผมมากเท่าไร สิ่งที่จะได้จากวิญญาณกลับไป ต้องไม่ใช่แค่ความกลัว

“จะเปลี่ยนยังไง”

“กระดานผีถ้วยแก้วนั่น  เราต้องหยิบมันมาอีกครั้ง” ผมตอบไอ้ภพด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด ผีถ้วยแก้วมันคือพิธีกรรมแรกที่ผมโดนวิญญาณเข้าถึงตัว ความจริงข้อนี้ ผมกับไอ้ภพต่างรู้กันว่าจะไม่มีทางกลับไปข้องเกี่ยวด้วยอีก  แต่เกมส์นี้มันไม่ใช่แค่ทำไปผ่านๆแล้ว ผมต้องทำเพื่อความปลอดภัยไอ้ภพ และตัวเอง

เกมส์นี้มันเหมือนมีทางแยกโดยมีป้ายบอกทางเป็นความเชื่อ ถ้าเชื่อว่าเกมส์นี้ไม่มีอะไรเจอหนักสุดก็แค่เห็นผีจะถอยกลับมาเมื่อไรก็ได้ ทางที่จะไปมันคงมีแต่ดอกกุหลาบโรยไว้ แต่ในเมื่อผมกับไอ้ภพเลือกที่จะไม่เชื่อ ทางที่ผมไปมันจึงอุดมไปด้วยความอันตรายจะถอยกลับก็ไม่ได้ เสี่ยงไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะเจอทางตันหรือเปล่า ถ้าเจอทางตันผมกับไอ้ภพคงเจ็บตัวฟรี แต่ถ้าไม่ผมกับไอ้ภพจะเป็นสองคนแรกของเกมส์ที่รอดชีวิตกลับไปเป็นปกติ

ด้วยความที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้เข้าร่วมเล่นเกมส์คนใดสามารถเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องระหว่างเกมส์ได้ ความน่าสงสัยตรงนี้ได้ชักจูงผมไปว่า ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง จบเกมส์นี้ชีวิตผมต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ  ความลับที่เกมส์ถือไว้มันไม่ได้มีแค่ข้อมูลเกมส์ แต่มันยังเพิ่มเรื่องราวของชีวิตผู้เข้าแข่งขันไปด้วยว่าคนเหล่านั้นกำลังเจอกับการคุกคามอะไร ทำไมถึงหายไปเหมือนคนไม่มีตัวตน



******************************************TBC***************************************
เอาตอนที่ 8 มาส่งแล้วครับผมมมมมมมม  555555  รอกันนานมั้ยครับ จะบอกว่าตอนนี้แต่งยากมากไม่ถนัดแต่งเรื่องหวานๆเลย ส่วนใครรอตอนหลอนๆถ้าผิดหวังขอโทษด้วยคร้าบบบบบบบ :hao5: สมทบไปตอนหน้าทีเดียว

ฝากติดตามด้วยนะครับผม  ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ครับ :pig4:

เจอกันตอนหน้า  P-Rawit

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด