รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4  (อ่าน 19428 ครั้ง)

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
น้ำตาซึม

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
สวัสดีปีใหม่



วันขึ้นปีใหม่  บ้านสกุลฉู่ผ่านปีใหม่ไปอย่างราบราบเรียบ  ทุกอย่างที่ต้องทำตามธรรมเนียมก็ทำหมดแล้ว  ซองใส่เงินช่วงปีใหม่ก็แจกจ่ายจนครบ  ส่วนเจ้าบ้านสกุลฉู่ที่มักนอนแค่หัวค่ำ  ก็อยู่ดื่มกับลูกน้องจนผ่านพ้นช่วงเวลาเที่ยงคืนก่อนขอตัวอย่างมีมารยาท  เขาที่เป็นสามี..  อะแฮ่ม  เป็นบอร์ดี้การ์ดและเลขาส่วนตัวของคุณชายจึงได้แต่ไปส่งคุณชายขึ้นห้อง  พ่อที่แก่ชราแล้วก็ได้แต่อยู่คุมลูกน้อง  ไม่ให้เลี้ยงฉลองจนเลยเถิด 

เขาที่เดินตามคุณชายต้อยๆ  ก็ได้แต่เดินอมยิ้ม  ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้อยู่กับคนชายหลังอดทนมานาน  พยายามไม่ฟังเสียงนกเสียงกาที่แซวเบาๆ  อยู่ในห้อง  คุณชายหูดี  เพราะอย่างนั้นจึงส่งเสียงดังไม่ได้  แต่เขาก็เห็นใบหูคุณชายที่ขึ้นริ้วจนเหมือนสีเลือด  ไม่ว่าจะเพราะเมาหรือเพราะเขิน  คุณชายก็ยังดูสง่างาม  เดินตัวตรงกลับขึ้นห้อง  ปกติต้องเป็นพ่อที่ตามมาส่งคุณชาย  แต่ปีนี้เป็นเขา  ดังนั้นนอกจากจะต้องทำหน้าที่สามี...  อะแฮ่ม  ทำหน้าที่บ่าวที่ดี  เขายังต้องพาคุณชายผ่านวันปีใหม่ไปอย่างมีความสุขให้ได้

ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงห้อง  นอกจะช่วยคุณชายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า  ยังต้องช่วยคุณชายอาบน้ำ  ข่มทนความต้องการเวลาช่วยเช็ดตัวให้  และเพราะเป็นเวลาดึกมาก  เขาจึงต้องเป่าผมให้คุณชายด้วย  เส้นผมของคุณชายนุ่มสลวยและเบาพริ้ว  แต่ก็เป็นผมที่ดกดำและมิ่งตัวสวยรับกับศรีษะ  เขาลงน้ำมันนวดผมกันผมแตกปลาย  ก่อนนวดคอและบ่าเบาๆ  ตัวคุณชายผอมบางแต่มีกล้ามเนื้อ  ไม่น่าเชื่อว่าไหล่บางๆ  นี้นี่แหละที่โค่นทุกคนในบ้านลงได้  ทุกคนที่เป็นบอร์ดี้การ์ดล้วนถูกคุณชายฝึกฝนทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยใือเปล่าหรือกระบี่ที่ไม่มีคนใช้กันแล้ว  ไม้พลองหรือกระบองที่เป็นอาวุธประจำตัวนอกจากปืน  ก็ได้คุณชายเป็นคนอบรมสั่งสอนให้ทั้งนั้น  เขาที่อยู่กับคุณชายมาตั้งแต่เด็กก็ได้รับการฝึกสอนมานับครั้งไม่ถ้วน  ถึงบางครั้งเขาจะพยศและไม่เชื่อฟัง  แต่สุดท้ายก็ถูกคุณชายซัดจนหมอบ  คุณชายไม่ใช่คนช่างพูด  ดังนั้นเขาที่หนีเตลิดจึงเสียเวลาที่จะได้อยู่กับคุณชายไปตั้งสี่ปี  น่าเสียดาย...

" จิ้ง..."  เสียงคุณชายที่เรียกชื่อเขาดังแผ่ว  แต่ฟังแว่วหวาน  เขาที่นวดไหล่อยู่ถึงกับชะงัก  ก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่มือ  คุณชายกดเส้นที่หลังมือไม่หนักมาก  แต่เล่นเอามือเขาชา  วิชาสะกดจุด  คุณช๊ายยยยยย

" หากจะนวดก็นวดดีๆ"  ปากไม่ต้อง   อันนี้คุณชายไม่ได้พูด  แต่เขารู้  อยู่กันมานาน  นิสัยอ่านใจคุณชายเขาก็ทำได้ดีเหมือนกัน  เขาที่โอ้โลมกดปากไปบนไหล่คุณชายก็ได้แต่ส่งเสียงอ้อน

" คุณชาย..."

" อย่ามาอ้อน"   จ๊ากกกกกกก  เจ็บๆๆๆ  มือๆๆๆๆ

โอเค๊  เมื่อคืนก่อนเขาอาจจะรุนแรงไปบ้าง  แต่คุณชายก็  เอิ่ม.. สมยอม  ก็ได้ๆๆ  คืนก่อนเป็นเพราะใช้ความใจอ่อนกับความสงสารของคุณชายหรอก  เขาถึงได้หม่ำคุณชายได้  แต่จะให้คุณชายขึ้นมาอยู่บนมันก็ไม่ใช่  คุณชายผอมบางกว่าเขาตั้งเยอะ  ถึงคุณชายจะไม่เคย  แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะยอมให้คุณชายเป็นฝ่ายรุกได้  ความรักมันอาจจะต้องดูแลเอาใจใส่  โดยเฉพาะกับคุณชายที่ต้องการความรักมาก  แต่...  ให้คนสวยๆ  อย่างคุณชาย  เอ๊ย  ให้คนที่ดูหล่อเหลาอย่างคุณชายมาเป็นตาแก่บ้าตัณหาก็คงไม่ใช่  ถึงคุณชายจะ  เอ่อ..  เซ็กซี่มากๆ  เวลาอยู่บนเตียง  ยิ่งเวลาอยู่ในชุดคลุมผ้าไหมเปียกเหงื่อที่เปิดข้าง  ปิดข้างยิ่งเซ็กซี่  แถมปากแดงๆ  กับตาดำๆ  ที่หรี่ลงเล็กน้อยนั่น...  เอาเป็นว่าถ้าเขายังอยากรักษาสถานะของสามี  เขาไม่ควรปล่อยให้คุณชายกดง่ายๆ  เพราะหากคุณชายเอาจริง  เขาย่อมสู้ไม่ได้  ดังนั้น...

" จิ้ง.."  โอยฟังเสียงเรียกแล้วใจละลาย  เมื่อก่อนเขาโง่ชะมัด  ที่ปล่อยคุณชายไว้แบบนั้น

" ครับ..."  เสียงอ่อนเสียงหวานด้วยความเคลิบเคลิ้ม  เขาสบตาคุณชายที่มองสบมาผ่านกระจก  ตาของคุณชายเป็นสีดำขลับ ยิ่งกว่าความมืด  เป็นดวงตาที่แน่นิ่งจนบางทีเขาก็ไม่รู้ว่าคุณชายคิดอะไรอยู่กันแน่  แต่ก็แน่ล่ะ  คุณชายผ่านมาหนึ่งชาติหนึ่งภพ  แถมชาติที่ผ่านมาก็ค่อนข้างระทมทุกข์  ไม่สิ  ต้องเรียกว่ายิ่งกว่าระทมทุกข์มากกว่า  เขาที่รู้เรื่องทุกอย่างมาจากพ่อ  นอกจากเชื่อ...  เขาก็ทำอะไรไม่ได้  เพราะคุณชายน่าสงสารเหลือเกิน  และเพราะทิฐิของเขา  ทำให้คุณชายต้องทุกข์หนักแบบนั้น  แต่ตอนนี้  เขามีโอกาสแก้ตัวแล้ว  ถึงมันออกจะสายเพราะเขาปกป้องคุณชายไม่ได้  แต่อย่างน้อยเขาก็ทำทุกอย่างให้ดีขึ้น  ดูแลคุณชายที่เจ็บป่วยจนหายดี  มอบความรัก  ความภักดีให้  ยอมตายแต่จะไม่ยอมเสียคุณชาย  จะไม่ยอมเสียคุณชายให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น

" จิ้ง..." 

โอย  คุณชายโปรดอย่าเรียก  ของจะขึ้น!

" ครับ  คุณชาย..."

" คืนนี้ออกไปนอนข้างนอก  ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าอยู่ในห้อง" 

อะไรน้าาาาาาาา

ปึง!!

เสียงปิดประตู....

" คุณช๊ายยยยยยยยยย" 




เฮ้อ~  สวัสดีดีปีใหม่  โชคดีนะฉู่จิ้ง   <<  พระเอก...  แค่กๆๆๆ




>>>  เขียนให้คุณชาย  >///<
>>>>>  เขียนให้ตัวเองด้วย  จะได้มีกำลังใจเขียนภาคต่อ  T^T
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2016 20:58:12 โดย teatimes »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จึงได้แต่ไปส่งขึ้นชายขึ้นคน (ส่งคุณชายขึ้นนอน ...หรือเปล่าคะ)

"เพราะคุณชายน่าสงสารเหลือเกิน  และเพราะทิฐิของเขา  ทำให้คุณชายต้องทุกข์หนักแบบนั้น  แต่ตอนนี้  เขามีโอกาสแก้ตัวแล้ว" (หมายความว่าไง พระเอกเป็นใครในชาติก่อน)

อดีตชาติกับปัจจุบันให้ความรู้สึกต่างกันคนละอารมณ์เลยทีเดียว รอตอนพิเศษต่อไปค่ะ
ขอบคุณคนเขียน และสวัสดีปีใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
จึงได้แต่ไปส่งขึ้นชายขึ้นคน (ส่งคุณชายขึ้นนอน ...หรือเปล่าคะ)

"เพราะคุณชายน่าสงสารเหลือเกิน  และเพราะทิฐิของเขา  ทำให้คุณชายต้องทุกข์หนักแบบนั้น  แต่ตอนนี้  เขามีโอกาสแก้ตัวแล้ว" (หมายความว่าไง พระเอกเป็นใครในชาติก่อน)

อดีตชาติกับปัจจุบันให้ความรู้สึกต่างกันคนละอารมณ์เลยทีเดียว รอตอนพิเศษต่อไปค่ะ
ขอบคุณคนเขียน และสวัสดีปีใหม่ค่ะ

แก้แล้วจ้า  ขอบคุณนะคะ

ส่วนพระเอกเป็นใครในชาติก่อนต้องลุ้น  เอ๊ะ  หรืออาจจะไม่เกี่ยวกับชาติก่อนเลยก็ได้....    อุบไว้  อุฮิ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
>>>  เขียนให้คุณชาย  >///<
>>>>>  เขียนให้ตัวเองด้วย  จะได้มีกำลังใจเขียนภาคต่อ  T^T

เป็นกำลังใจให้ไรต์จ้า ภาคนี้คงไม่เศร้าเคล้าน้ำตาอ่ะนะ สู้ๆ รออ่านครัช    :katai2-1:

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
เฮ้อ ................ ท่านอ๋องน่าสงสาร


ขอบคุณครับ


ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
ภาคหลัก
ตอนที่  1



คุณชายหมิงเล่ย  สกุลฉู่  เป็นคนไร้หัวใจ

เรื่องนี้เขารู้มานานแล้ว

เขาชื่อฉู่จิ้ง  เป็นลูกชายคนโตของพ่อ  พ่อของเขาเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งมีอาชีพเป็นช่างตัดหญ้า  ทำงานอยู่ในบ้านผู้มีอิทธิพลประจำเมือง S  พ่อพบรักกับแม่ที่เป็นแม่บ้านตอนอายุ 17  พออายุ  18  ก็มีเขา  อีกสองปีต่อมาเขาก็มีน้องสาวตัวเล็กๆ  เพิ่มมาอีกหนึ่งคน 

พ่อของเขาเป็นคนเข้มงวดแต่ใจดีเหตุผลไม่เคยทุบตีลูกๆ  แม่ของเขาที่เป็นแม่บ้านก็ยึดถือหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมอย่างครบถ้วน  บ้านเขาเป็นครอบครัวเล็กๆ  ที่ไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่มีความอบอุ่น พ่อแม่ไม่เคยทุบตี  เขาที่เป็นลูกชายคนโตพ่อก็ไม่เคยเข้าข้าง  ผิดถูกว่ากันไปตามกฎบ้าน  พอดีน้องสาวเกิดมา  ทุกคนก็รักและเอ็นดูน้องแต่ไม่มีความลำเอียง   

บ้านเขาเป็นบ้างหลังเล็กๆ  ที่อยู่ในเมือง S  เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ที่มีบ้านผู้ทรงอิทธิพลอยู่หลายตระกูล  ยกตัวอย่างง่ายๆ  ก็คือบ้านสกุล เว่ย  บ้านนี้พ่อของเขาทำงานมาตั้งแต่ยังเล็ก  โตมาก็ยังทำงานอยู่ที่นี่  พอพบรักกับแม่ที่เป็นสาวใช้ก็ออกมาเช่าบ้านของนอก  เป็นบ้านชั้นเดียวไม่ใหญ่มาก  มีสองห้องนอนสองห้องน้ำ  และหยึ่งห้องนั่งเล่น  ครัวก็ต่อเติมเอาหลังบ้าน  บ้านเขาอยู่กันอย่างมีความสุข  จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไป

เขาพบกับคุณชายหมิงเล่ยตอนอายุ 7  ขวบ  ตอนนั้นคุณชายอายุ  9  ขวบ  ท่าทางดูไม่แข็งแรงซ้ำยังขี้โรค  ภายในตัวมีบาดแผลที่ปกปิดไม่มิด  ถึงจะไม่ได้ออกเลือด  แต่ก็แดงช้ำพอดู

พ่อของเขาเคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีคนมาอยู่ด้วย  เป็นเด็กชายอายุ  9  ขวบ  ท่าทางน่ารัก  แต่เท่าที่เขาเห็น...  ไม่เห็นนจะน่ารัก  หลังตรงคอตั้งอย่างกับพวกคุณชาย  แถมดวงตาก็ยังดูดำมืด  ไม่เหมือนเด็ก  9  ขวบซักนิด  เหมือนคนแก่ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนจนถึงขั้นตายด้าน  เขาไม่เคยอ่านความนัยในดวงตานั้นออก  มันเป็นดวงตาราบเรียบ  มีสีดำเหมือนท้องทะเลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

พ่อของเขาแนะนำว่าคุณชายชื่อหมิ่งเล่ย  นับตั้งแต่นี้ไปจะเปลี่ยนมาใช้แซ่ฉู่  เป็นลูกชายคนโตของพ่อ  แม่ของเขารับรู้แล้วว่าจะมีบุตรบุญธรรมมาเพิ่ม  ถึงจะยังไม่ได้ทำเรื่อง  แต่ก็เป็นการรับรู้ว่าต่อไปในบ้านจะมีเด็กชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

คุณชายหมิงเล่ย  เป็นเด็กที่แปลกมาก  คุณชายไม่ใช่คนช่างพูด  จะเปิดปากคุยก็ต่อเมื่ออยู่กับพ่อไม่ก็ฉู่หยาง...น้องสาวของเขา  แต่ถึงจะไม่ใช่คนช่างพูด  แต่เวลาอยู่กับน้องสาวเขา  ดวงตาของคุณชายจะฉายแววเอ็นดู 

เขาไม่ค่อยสนิทกับคุณชายมากนัก  แต่คุณชายก็สั่งสอนเขาในส่วนที่ทำได้  ส่วนใหญ่เป็นพวกการต่อสู้  เขาที่ยังเด็กเลยชอบเข้าไปพัวพันด้วย  โดยเฉพาะวิชากระบี่  คุณชายร่ายกระบี่ได้สวยงามยิ่งกว่าในหนัง  ทุกท่วงท่าเหมือนมีกำลังภายในโดยที่ไม่ต้องออกแรงมาก  แต่ก็ซัดเขามอบติดพื้นจนต้องวิ่งร้องไห้ไปหาแม่

แม่เขาที่เป็นแม่บ้านถึงจะเป็นห่วงแต่ก็ไม่พูดอะไรมาก  เด็กผู้ชายเล่นกันจนได้บาดแผลถือว่าเป็นเรื่องปกติ  แต่คุณชายที่เก่งกว่าปกตินี่ก็เกินไปหน่อยไหม  อาศัยแค่กิ่งทับทิมก็ตีเขาจนยับ  ถึงจะไม่ได้แผลถึงขั้นออกเลือด  แต่ก็ยังแสบนิดๆ  เขาที่บางครั้งวิ่งไปให้พ่อช่วยทายาก็เปิดปากถามว่า  ไปเก็บเด็กผู้ชายคนนี้มาจากที่ไหนกันแน่

พ่อเขาที่ได้ฟังคำถามก็เขกหัวเขาดังโป๊ก  บอกว่าห้ามเรียกคุณชายว่าเด็กที่ไหนไม่รู้  ถึงคุณชายจะใช้แซ่ฉู่ตามพ่อ  แต่ก็เป็นฉู่คนละตัว  ฉู่  ของคุณชายมาจากคำว่า  ฝูลู่ฉู่  ที่หมายถึงชีวิตที่ยืนยาว  ดังนั้น  ฉู่หมิงเล่ย  จึงแปลว่าพายุแห่งความสดใสที่มีชีวิตยืนยาว 
 
พ่อบอกว่าคุณชายไม่ได้อยู่เมือง  S  แต่เป็นที่มาจากเมืองข้างเคียงคือเมือง  T  พ่อไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณชายมากไปกว่านั้น  แค่บอกว่าบังเอิญเจอกันแล้วถูกชะตาเลยเก็บคุณชายมารับเลี้ยง  หาข้าวหาน้ำและเปลี่ยนชื่อแซ่ให้  สมัยก่อนการเปลี่ยนชื่อแซ่ไม่ได้ยุ่งยากมาก  แค่มีใต้โต๊ะนิดหน่อยกับกระดาษไม่มีแผ่นก็เปลี่ยนชื่อได้แล้ว  ลองเป็นสมัยนี้คงยากเพราะทุกอย่างเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์

เขาที่ฟังเรื่องมาจากพ่อก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก  เพียงแค่คิดว่าคุณชายเป็นคนแปลก..  เป็นเด็กที่แปลกเพราะคุณชายไม่ค่อยออกจากบ้าน  วันๆ เอาแต่อยู่ในห้อง  อ่านหนังสือที่พ่อหามาให้  บางทีก็เป็นแบบเรียนของเขา  คุณชายที่ไม่เคยไปเรียนหนังสือกลับทำแบบทดสอบในบทเรียนของเขาได้  แถมบางทีก็สอนฉู่หยางนับเลข  กับเขาคุณชายจะไม่อะไรมาก  แต่กับฉู่หยาง  คุณชายจะอดทน 

เขายังจำบทสนทนาแรกของคุณชายกับพ่อได้  มันฟังแปลก...  แต่ก็ยังฟังออกบ้างเพราะว่าเป็นภาษาจีน  แต่มันเป็นภาษาจีนสมัยไหนนี่เขาไม่รู้  รู้แต่ว่าแปลกับจับใจความไม่ค่อยได้  ในตอนที่ยังไม่รู้ความ  เขาก็แค่ฟังผ่านไปอย่างนั้น  แต่พอมารู้ความจริงอีกทีในอนาคต  เขาก็นึกออกแล้วจับใจความได้ว่า

" ลูกชายของเจ้าหรือ"

" ขอรับคุณชาย"

" มีลูกชายแค่คนเดียว?"

" มีลูกสาวอีกคนขอรับ  คงกำลังช่วยคนเป็นแม่ทำกับข้าว" 


นั่นคือประโยคแรกที่ได้ยินเสียงจากปากคุณชาย  เสียงของคุณชายฟังดูเนิบนาบไม่สมกับเด็ก  9  ขวบ  แถมดวงตาก็ดูดำมืดสงบนิ่ง  ตาคู่นั้นมองสบมาแค่แวบเดียวก็ผละออก  ก่อนจะพูดประโยคถัดไปว่า

" เลี้ยงดูพวกเขาให้ดี  อย่าให้พวกเขาลำบากล่ะ"

" ขอรับ  คุณชายบ่าวจะจำใส่ใจ"


และนั่นคือประโยคสุดท้ายคุณชาย  ก่อนที่คุณชายจะเดินเข้าห้อง  ซึ่งเป็นห้องที่เขากับน้องเคยอยู่

พอคุณชายมาอยู่ด้วย  หลายอย่างก็เปลี่ยนไปมากขึ้น  บ้านเขาจากที่มีห้องสองนอนแค่สองห้อง  ห้องหนึ่งก็ต้องเก็บของออกแล้วให้คุณชายย้ายเข้าไปอยู่แทน  ตอนแรกเขาก็ไม่เห็นด้วย  แต่พอพ่อบอกและให้เหตุผลว่าคุณชายเป็นเด็กเก็บตัวมาก  ซ้ำยังเคยถูกทำร้ายมาจากบ้านเก่าเลยไม่ชอบให้ใครถูกตัว  แม่ของเขาที่เป็นคนใจอ่อนก็เข้าใจ  ส่วนเขา...  เขาเองก็เคยเห็นแผลเป็นของคุณชายมาบ้าง  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่รอยแผลจากพวกรอยบุหรี่จี้หรือถูกเฆี่ยน  แต่เป็นรอยปาน  คุณชายมีปานแดงที่ไหล่ใหญ่มาก  ดูคล้ายรอยแผลไฟไหม้ที่ลากยาวจากไหล่มาถึงกลางหลัง   แถมด้านหน้าก็รอยเหมือนถูกมีดกรีดตัดผ่านหัวใจ  ตอนแรกเขานึกว่าเป็นรอยแผลเป็น  แต่พอแอบมองดีๆ  ถึงได้รู้ว่านั่นเป็นรอยปานอีกจุด

เพราะงั้นคุณชายไม่ชอบให้ใครเห็นตัวมาก  โดยเฉพาะใต้ร่มผ้า  ถ้าเขาไม่เคยแอบดูก็คงไม่เคยได้เห็น  คุณชายปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างมิดชิด  แต่เพราะบ้านมันแคบ  เขาเลยได้มีโอกาสได้แอบส่องดูบ้าง

มันไม่ใช่ว่าเขาลามกหรือชอบแอบดูตั้งแต่ยังเด็กหรอกนะ  แต่คุณชายดูลึกลับมาก  ทั้งกับเรื่องบ้างเรื่องก็ยังดูฉลาดเกินเด็ก  โดยเฉพาะกับวิชายุทธ์  เขาที่บ้าหนังจีนกำลังภายในก็อยากฝึกบ้าง  คิดว่าคุณชายเป็นเฒ่าทารกที่ปลอมตัวมา  ตอนที่คุณชายได้ยินก็นิ่งเงียบ  ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก  คุณชายบอกกับเขาว่า  เขาเหมือนพ่อมาก  เขาที่ชื่นชมพ่อมาแต่ก่อนหน้าก็ยึดถือว่าพ่อคือวีรบุรุษ  ถึงพ่อจะเป็นคนงานตัดหญ้าธรรมดา  แต่สำหรับเขา  พ่อคือที่หนึ่งในชีวิต

แต่เมื่ออยู่กันต่อไป  นานวัน...  สิ่งที่คุณชายปฎิบัติกับพ่อมันไม่ใช่แบบพ่อลูก แต่เป็นเหมือนนายกับบ่าว  พ่อเขายึดถือคุณชายเป็นของล้ำค่า  เวลาออกไปข้างนอกก็จะคอยเดินตามหลังคุณชาย  ไม่ว่าใครก็แตะต้องคุณชายไม่ได้ถ้าคุณชายไม่อนุญาต  บางครั้งพ่อถึงกับลงมือทำกับข้าวใช้คุณชายเอง  เป็นอาหารง่ายๆแต่เลิศรส  ไปๆ มาๆ  ตอนหลังพ่อก็เป็นคนครัวเองโดยมีแม่เป็นผู้ช่วย  อาหารที่พ่อทำรสอร่อย  ทานง่าย  อวลกลิ่นสมุนไพร  และย่อยง่าย  ตอนแรกเองแม่ก็ไม่เห็นด้วย  เพราะไม่อยากให้พ่อเข้าครัว  แต่พอนานวันไป  แม่ที่ไม่เคยขัดพ่อก็ว่าตามไปด้วย  บางครั้งยังถึงกับถามพ่อว่าไปเอาสูตรมาที่ไหน  แต่พ่อก็เพียงแค่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรมาก 

" ทำไมพ่อต้องดูแลคุณชายขนาดนี้ด้วย"

เขาที่อดไม่ได้เลยเอ่ยปากถามแทนแม่  ถึงอาหารจะอร่อย  แต่คุณชายก็เป็นคนนอก  เป็นเด็กกำพร้าที่พ่อเก็บมาเลี้ยง  ทำไมพ่อต้องดีกับคุณชายขนาดนี้ด้วย  ขนาดเขาเป็นลูก  พ่อยังไม่เคยดีด้วยขนาดนี้  ออกจะปล่อนปละละลายด้วยซ้ำ

" คุณชาย...  เป็นเด็กน่าสงสารมาก  เมื่อก่อนคุณชายดูแลพ่อ  ตอนนี้...   ต่อไปจิ้งเอ๋อร์ก็ต้องดูแลคุณชายด้วย" 

เขาที่ฟัง  ก็ฟังแบบไม่ค่อยเห็นด้วย  คุณชายดูแลพ่อ?  แต่ตอนนี้คุณชายยังเด็ก  แล้วไปดูแลพ่อตอนไหน?
เขาที่ไม่เข้าใจจนถามพ่อ  พ่อก็เงียบก่อนกลับลำว่า  ตระกูลของคุณชายเมื่อก่อนมีบุญคุณกับพ่อ  ช่วยให้พ่อรอดตายได้  เขาที่ยังเด็กซ้ำยังชอบดูหนังจีนเลยยอมเข้าใจง่ายว่า  "มีคุณต้องทดแทน  มีแค้นต้องชำระ"  ดังนั้นคุณชายที่บุญคุณกับพ่อ  ต้องมีบุญคุณกับเขาด้วย  แถมบางครั้งเขาก็ยังเรียกคุณชายว่าอาจารย์  เพราะคุณชายสอนวรยุทธ์  เขาเลยยิ่งเทิดทูนคุณชายเข้าไปใหญ่  ว่างๆก็พาฉู่หยางไปฝึกวิชาด้วย 

ฉู่หยางอายุแค่สองขวบ  แต่เป็นเด็กที่มีความจำดีมาก  ถึงจะฝึกวรยุทธ์ไม่ได้แต่เรื่องนับเลขนี่ทำได้  บางทีก็ขว้างของใส่เขาเล่น  เขาที่ร้อนวิชาก็กระโดดไปมา  จนมีครั้งหนึ่งที่เขาเผลอเหวี่ยงไม้หลุดมือจนไปโดนฉู่หยาง  เขาที่ไม่เคยเห็นคุณชายโกรธก็ได้แต่เสียวสันหลังวาบ  คุณชายเอ็นดูฉู่หยางยิ่งกว่าใคร  ตอนที่วิ่งมาเพราะได้ยินเสียงฉู่หยางร้องไห้  เขานึกว่าจะถูกคุณชายตบเสียแล้ว  แต่กลับกลายเป็นว่าคุณชายแค่อุ้มฉู่หยางขึ้น  แล้วสั่งสอนเขา

" กระบี่ไม่มีตา  ครั้งนี้เป็นแค่ไม้  แต่เจ้า..  แต่นายโตแล้ว  คราวต่อไปจงให้ระวังให้ดี  อย่าให้คนอื่นบาดเจ็บเพราะความไม่ระวังของตนเอง" 

ตอนนั้นเขาอายุยังน้อย  ความน้อยใจเลยผุดขึ้นวาบ  ถ้าคุณชายตบ  เขาคงดีใจกว่ามากนี้  แต่นี่คุณชายกลับต่อว่าแล้วนิ่งเงียบ  ถ้าคุณชายดุเขาเหมือนที่พ่อเคยดุหรือยอมถูกตัวเขาบ้างเขาก็คงไม่ร้องไห้  แต่นี่คุณชายกลับยอมถูกตัวฉู่หยางแต่ไม่ยอมถูกตัวเขา แถมเวลาฝึกกระบี่ที่ต้องจัดท่าคุณชายก็จะใช้กิ่งทับทิมมาถูกตัวเขา   ยกเว้นเวลาที่เขาฝึกไม่ได้จริงๆ ก็จะยอมถูกตัวผ่านเสื้อผ้า 

วันนั้นเขาน้อยใจจนเกือบหนีออกจากบ้าน  เดือนร้อนถึงพ่อต้องตามเข้ามาดุถึงห้อง  ตอนนั้นบ้านเขาไม่มีประตูแบบมีล็อก  ความเป็นส่วนตัวเลยไม่มีเถอะ  ให้ตาย!

" จิ้ง!"  พ่อคำราม

นั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อขึ้นเสียงกับเขา  พ่อที่อยู่ในวัยฉกรรจ์อายุ  25  ดูรูปร่างสูงใหญ่  ถึงจะไม่ได้ตัวหนาเหมือนบอร์ดี้การ์ดของนายน้อยที่พ่อเคยทำงานอยู่ด้วย  แต่พ่อในตอนนี้ดูตัวใหญ่น่ากลัวมาก  ความใจดีที่เคยมีไม่เผยออกมาให้เห็น  พ่อดุเขาที่ทำท่าจะหนีออกจากบ้าน

" ลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ  หนีออกจากบ้านไม่ใช่วิถีของวิญญูชน!  ไปคุกเข่าขอโทษคุณชายเดี๋ยวนี้!" 

เขาที่ตอนนั้นยังเด็กย่อมไม่เข้าใจคำว่าวิญญูชน  คำศัพท์ยากๆ แบบนี้พ่อไปเอามาจากไหนไม่รู้  เขาที่ดื้อก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แบะปากทั้งน้ำตา  บอกว่าพ่อไม่รัก

" พ่อรักแต่คุณชาย  ไม่รักจิ้ง!  ใครๆ ก็รักแต่ฉู่หยาง  แล้วจิ้งล่ะ!" 

อารมณ์เด็กน้อยพาลโมโหก็แบบนี้  คิดแล้วก็ขายหน้า  เขาที่เหตุผงเหตุผลหายไปหมด  ก็เหลือแต่ความน้อยใจที่คิดว่าไม่มีใครรัก  แค่ถูกตำหนิก็น้ำตาก็ยิ่งไหลพราก  ใครจะไปแข็งแกร่งเหมือนคุณชายกัน  นิ่งเงียบดุจดังหินผา  ต่อให้ถูกฟ้าผ่า  ก็คงไม่แตกออกเป็นสองซีก!

" จิ้ง!!!" 

และนั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อตบเขา  พ่อที่ใจดีมาตลอดตอนนี้กลับปกป้องคุณชายที่เป็นลูกใครที่ไหนก็ไม่รู้  พอเขาบอกความในใจก็ยิ่งถูกต่อว่า  แม่ที่อยู่ในครัวก็ต้องวิ่งมาดูด้วยความเป็นห่วง  จะเข้ามากอดแต่ถูกพ่อห้ามไว้    แม่ที่ไม่เคยขัดใจพ่อซักครั้งก็ได้แต่ยืนนิ่ง  พอเห็นเขาร้องไห้หนักก็ทำท่าจะร้องไห้ตาม  ตอนนั้นเขาเกลียดคุณชาย  เกลียดฉู่หยาง  เกลียดทุกคนที่เห็นหน้า  โดยเฉพาะกับคุณชาย  ถ้าคุณชายหายตัวไปได้เลยยิ่งดี  ตายไปก็ยิ่งดีใหญ่   เขาจะได้ไม่ต้องถูกดุแบบนี้!!

" ไอ้จิ้ง!!!" 

แต่ก่อนที่พ่อจะปรี่มาตบเขาอีกรอบ  คุณชายที่อุ้มฉู่หยางที่หลับแล้วก็เดินเข้ามา  ส่งฉู่หยางไปให้คุณแม่  ก่อนเดินเข้ามาบังพ่อแล้วหยุดยืนต่อหน้าเขา

" เจ็บมากหรือไม่"   คุณชายพูดภาษาแปลกๆ อีกแล้ว  แต่เขาฟังบอก  แต่ถึงฟังออกแล้วยัง  ได้แต่ตอบโต้ไปว่า "อย่ามายุ่ง!"

" จิ้ง!!!" 

พ่อคำรามอีกรอบ  แต่คุณชายยกมือกันไว้  ถ้าคุณชายไม่ห้ามเขาถูกตบอีกรอบแน่

" เด็กอายุ  7  ขวบก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  เขาย่อมต้องมีน้อยใจบ้าง  เจ้าเองก็อย่าตบตีเขาเลยฝูหรง  จิ้งเอ๋อร์ยังเด็กนัก  ตอนเจ้าอายุเท่านี้ก็ใช่จะรู้เรื่อง  จิ้งเอ๋อร์ดูฉลาดกว่าเจ้า  ย่อมต้องคิดมากและมีน้อยใจเป็นธรรมดา  เจ้าเองก็อย่าดุเขานักเลย" 

" ...ขอรับ  คุณชาย"


เขาที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างก็ได้แต่ร้องไห้อีกรอบ  ไม่รู้ว่าฝูหรงที่ว่านี่เป็นชื่อใคร  แต่น่าจะเป็นชื่อของพ่อ  เพราะพ่อยอมลดความโกรธลงและยอมหยุดนิ่ง  ตอนนั้นเขาคิดว่านั่นอาจจะเป็นฉายาของพ่อหรืออะไรทำนองนั้น  เขาที่ยังร้องไห้ก็ได้แต่ร้องไห้ไม่ยอมคิดให้มาก  เอามือกุมแก้มที่พ่อตบแล้วร้องไห้ไม่เลิก  ส่วนแม่เดินออกจากห้องไปนานแล้ว  เพราะคงกลัวฉู่หยางจะตื่นแล้วร้องไห้ตาม

" เจ็บหรือไม่"  คุณชายถามอีกรอบ

คราวนี้เขาที่กลัวโดนพ่อตบอีกก็ได้ยืนนิ่ง  สุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมาน้ำตาพลั่กๆ  บอกว่าคุณชายไม่รัก  รักแต่ฉู่หยาง!

คราวนี้คุณชายนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด  เขาเห็นคุณชายขมวดคิ้วทำสีหน้ายุ่งยากใจ  ร่างกายของคุณชายที่ผอมบางเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้างเพราะพ่อเคี่ยวเข็ญให้กินข้าวกินยาอยู่ทุกวัน  คุณชายดูลังเลที่จะถูกตัวเขา  แต่ก่อนที่คุณชายจะยื่นมือมา   พ่อเขาที่อารมณ์ดีก็หัวเราะออกเสียงดังมาก  อารมณ์โกรธของพ่อลดลงแล้ว  พ่อกวักมือเรียกเขาเข้าไปใกล้  เขาที่ยังกลัวฝ่ามือพิฆาตก็ได้แต่อิดออดยืนนิ่ง  จนเมื่อเห็นพ่อเริ่มอารมณ์ไม่ดี  เขาเลยวิ่งไปกอด  ไม่ได้อ้อน...แต่ไม่อยากถูกตบอีกรอบ

" ข้าไม่ชอบให้ใครถูกตัว"

คุณชายพูดออกมาด้วยเสียงเบา  ทำสีหน้าลำบากใจ  เขาที่ฟังไม่ออกก็ได้แต่มองหน้าพ่อ  ให้พ่อช่วยแปลให้  รอคำตอบจากพ่อที่อารมณ์ดี  จนกดหัวเขาให้ขอโทษคุณชาย  แล้วคุยกับคุณชายว่า

" บ่าวจะสั่งสอนจิ่งเอ๋อร์อย่างดี  คุณชายอย่าได้กังวล"  ไม่แปลแล้วยังจะพูดให้งงอีก  พ่อนี่!

" อย่าใช้กำลังกับเขาก็แล้วกัน  จิ้งเอ๋อร์ยังเด็กนัก  ถูกทำร้ายหนักเข้า  จะฝังใจเปล่าๆ"

" บ่าวจะจำคำสอนของคุณชายไว้ขอรับ"


เขาที่ฟังไม่ออกก็ได้แต่ทำตาปริบๆ  แล้วร้องไห้ออกมาอีกรอบ  ทำไมไม่มีคนสนใจ!









>> มาช้าเพราะโดนพระแพงแย่งเวลา 

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อ๋าย..ยยยยย  มาต่อแล้ว แลดูน่าสนใจ
หวังว่าคงไม่เคล้าน้ำตาเหมือนอดีต
เอาใจช่วยทั้งคุณชาย ทั้งพระแพง  :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
รอต่อไป ฉู่หยางนี่หลานตัวน้อยที่โดนยาพิษรึเปล่าหนอ

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จิ้ง ก็แค่น้อยใจที่คุณชายไม่ค่อยรักไม่ค่อยเอ็นดู อุ้มชู ตัวเองเหมือนที่น้องสาวได้รับจากคุณชาย เลยโวยวายตามประสาเด็ก แต่คงฝังใจน่าดู ไม่ว่าที่หนีเตลิดไปเพราะน้อยใจว่าคุณชายไม่รักอีกรึเปล่า แอบคิดไม่ซื่อกะคุณชายตั้งแต่เล็กเเต่น้อย. เจ้าเด็กคนนี้
ที่แท้พ่อของจิ้งก็คือฝูหรงนี่เอง ท่านอ๋องและฝูหรงกลับชาติมาเกิดแล้วได้มารับใช้กันอีก
ขอให้ชาตินี้ท่านอ๋องได้พบประสบรักที่สุขสมหวังด้วยเถอะ
ตอนแรกก็แอบคิดว่าจิ้ง ชาติที่แล้วก็คือ ฝ่าบาท ตอนนี้คิดว่า เป็นตัวละครใหม่เลยดีกว่า ฝ่าบาทกับท่านอ๋องอย่ามาเจอกันอีกเลย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รู้สึกว่าฉู่จิ้งน่าสงสาร ถูกรังแก (ทางจิตใจ) บ่อย ๆ ฮา

ฝูหรงทำยังไงนะ ถึงทำให้ท่านอ๋องกับตัวเองจำอดีตชาติได้

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
ตอนที่  2




ตอน  9  ขวบคือตอนที่เขาย้ายบ้านครั้งแรก  จากบ้านเช่าหลังเล็กๆ  ก็เปลี่ยนมาเป็นบ้านสองชั้นที่มีพื้นที่  ฉู่หยางชอบวิ่งเล่นรอบบ้าน  คุณชายชอบเดินชมสวน  ตัวบ้านเช่าหลังใหม่มีต้นกุ้ยฮวาหรือหอมหมื่นลี้ที่ปลูกไว้อยู่แล้วหนึ่งต้น  ช่วงที่ดอกกุ้ยฮวาออกดอก  พ่อก็จะทำขนมจากดอกไม้  เป็นขนมแบบโบราณรสชาติไม่หวานมากแต่ติดร่วน  ตอนหลังคุณชายกับแม่ก็ช่วยกันพัฒนาจนสามารถวางออกขายได้  จะว่าไปคุณชายก็มีหัวทางการค้ามาตั้งแต่สมัยเด็กๆ  เพราะนอกจากเข้าบ่อน  คุณชายก็คอยปรับปรุงรสอาหารและเขียนอักษรเป็นอาชีพ 

ตัวอักษรมงคลที่สวยงามเหมือนหงส์เหินมังกรทะยานคงเป็นอักษรที่คุณชายเขียนแบบนี้  ยิ่งช่วงหลังมาคุณชายยึดเอาการเขียนภาพวาดมาเป็นอาชีพ  ถึงตอนแรกจะยังขายไม่ได้  แต่พอนานวันเข้าภาพเขียนของคุณชายก็เป็นที่รู้และเริ่มมีราคา  ยิ่งกับพวกภาพเขียนที่เป็นชุดรอจนหลังจากสี่ห้าปี  อย่าว่าแต่เงินหยวนเลย  แต่ให้เป็นหมื่นๆ  หรือเป็นแสนดอลล่า ภาพของคุณชายก็ยังขายได้ 

ภาพวาดของคุณชายเป็นภาพวาดแบบจีนโบราณ  การลงสีและอุปกรณ์ที่ใช้วาดภาพก็เป็นแบบจีนสมัยเก่าล้วนๆ  ขนาดเขาในสมัยก่อนยังมองออกว่าสวย   ดังนั้นในสายตาศิลปินภาพของคุณชายจึงเป็นของล้ำค่าที่ไม่สามารถหาหรือจับต้องได้ง่าย  แต่เพราะคุณชายในสมัยนั้นยังเด็กอีกทั้งยังไม่มีชื่อเสียงมาก  ภาพวาดของคุณชายที่วางขายตามตลาดจึงยังขายไม่ค่อยได้ราคาและถูกกดราคาอยู่บ่อยครั้ง  แต่คุณชายเองก็ไม่ได้ใส่ใข  เพียงแค่บอกว่าถ้าขายไม่ได้ก็แค่เก็บเอาไว้  จนกลายเป็นพวกค้าต้องมาง้อคุณชายแทน

ช่วงสองสามปีแรกคุณชายยังยึดการเข้าบ่อนเป็นอาชีพ  แต่พอหลังจากนั้นเป็นต้นมา  คุณชายก็เปลี่ยนมาประมูลหยกหรือหินดิบ  เขาที่ยังไม่เข้าใจในศาสตร์นี้ก็ยังไม่ได้ใส่มาก  แต่บางครั้งที่คุณชายกลับมาพร้อมกับหินก้อนเล็กๆ  คุณชายก็จะสอนเขาดูหยกหรือดูหินทับทิมบ้าง

เขาอยู่กับคุณชายที่บ้านเช่าหลังนี้ประมาณสามปี  และพอตอนเขาอายุ  12  เขาก็ต้องย้ายบ้านอีกรอบ  ครั้งนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่คุณชายบอกว่าต่อไปจะเป็นบ้านที่คุณชายอยู่ถาวร  บ้านอยู่ตั้งอยู่ในแนวชายแดนระหว่างเมือง T กับ เมือง U

เมือง  U  เป็นที่ยังไม่ค่อยเจริญมากแต่มีค่าที่ดินถูก  ทำเลที่คุณชายเลือกซื้อมาสร้างบ้านเป็นทำเลทองที่ถูกหลักฮวงจุ้ย  ด้านหลังเป็นเขา  ด้านหน้าเป็นน้ำ  ตัวบ้านที่คุณชายออกแบบไว้ก็วางตัวตามแนวตะวันตกไปยังตะวันออก  ประตูหน้าบ้านหันออกไปยังทิศใต้  เรียกได้ว่าเงินทองการงานมั่นคง  กระแสลมไหลผ่านตัวบ้านได้เหมาะเจาะ  สายน้ำก็ทำให้เก็บเงินได้อย่างมั่งคั่ง 

แต่เขาที่ยังเป็นเด็กย่อมไม่คิดแบบนั้น  การย้ายบ้านหมายถึงการที่จะต้องเสียเพื่อน  นายน้อยที่พ่อเคยทำงานให้ด้วยก็พยายามรั้งตัวเขา  ตอนนั้นพ่อลาออกจากอาชีพคนสวนและออกมารับใช้คุณชายเต็มตัวแล้ว  เขาที่สนิทกับนายน้อยท่านนี้มากก็อยากที่จะอยู่เมือง T  ต่อด้วย  แต่ถ้าหากต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับนายน้อย  สุดท้ายเขาก็เลือกก็ต้องเลือกครอบครัวมากกว่าอยู่ดี  ถึงคุณชายจะออกปากว่าให้เขาอยู่ต่อที่เมือง T ได้  แต่พ่อกลับบอกว่าสมัยนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่จะปล่อยให้เด็กผู้ชายเติบโตด้วยขาตนเองได้  ถึงจะอยู่บ้านคนอื่นไม่ได้ทิ้งขว้าง แต่สมัยนี้ไม่ระบบศักดินา  เรื่องค่าใช้จ่ายหรือการดูแล  พ่อที่เป็นผู้ปกครองต้องคอยส่งเงินมาให้  ดังนั้นสู้ให้เขาไปอยู่ด้วยน่าจะสะดวกมากกว่า 

อีกอย่างเมือง U  ถึงจะไม่เจริญเท่าเมือง T  แต่ก็อยู่ไม่ห่างกันไม่มาก  ถ้าเขายอมอดทนตื่นเช้าเพื่อเดินทางมาโรงเรียนได้  เขาก็ไม่ต้องย้าย  เพียงแต่การที่ต้องยอมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาขึ้นรถตอนหกโมงเช้า  และกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็หกโมงเย็น  มันก็ไม่เรื่องที่เด็กสิบเอ็ดขวบจะทนได้ 

ถึงเขาจะตื่นขึ้นมาออกกำลังกายกับคุณชายตอนเช้า  แต่เขาก็ได้ตื่นตั้งหกโมงก่อนอาบน้ำแล้วไปเรียนตอนเช้า  แต่ถ้าเขาต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อนั่งรถไปเมือง  T  เขาได้หลับในห้องเรียนแน่  อีกอย่างตอนนี้ฉู่หยางก็เข้าชั้นประถมแล้ว  จะให้น้องสาวไปโรงเรียนคนเดียวก็ใช่ที่ 

น้องสาวของเขาที่ถูกคุณชายประคบประหงมเลี้ยงดู  ตอนนี้ก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก  ชอบผูกมวยผมสองข้างติดโบว์แล้วไปโรงเรียน  พวกเด็กผู้ชายในชั้นประถมก็ชอบแกล้งชอบล้อเพราะว่าฉู่หยางน่ารัก  เขาที่เป็นพี่ชายเลยได้ใช้วิชากระบี่สมใจ  คว้ากิ่งไม้ได้ก็ฟาดใส่พวกเด็กผู้ชายจนหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศ  จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาลงมือหนักไปหน่อย  เพราะเด็กพวกนั้นถึงเลือดออกด้วย  พ่อเขาที่เป็นผู้ปกครองก็ต้องออกมาขอโทษผู้ปกครองของอีกฝ่ายถึงที่โรงเรียนเพราะฝ่ายนั้นทำท่าจะเอาเรื่อง

คุณชายที่ได้ฟังข่าวอยู่ในบ้านก็นิ่งคิด  ก่อนตัดสินใจสอนหมัดมวยให้เขาแทน  คุณชายสั่งสอนเขาว่ากระบี่ไม่มีตาแต่เห็นตรวจจับหาร่อยรอยได้ง่าย  ถ้าอย่างนั้นสู้ให้เขาเรียนชาหมัดมวยด้วยดีกว่า  เพราะอย่างมากสุดก็แค่ทิ้งรอยช้ำ  หากลงมือดีๆ  ตามที่คุณชายสั่งสอนบางหมัดจะไม่เห็นรอยด้วย 

เขาที่เพิ่งถูกคุณชายเข้าข้างเป็นครั้งแรกก็ได้แต่ยิ้ม  ตั้งใจเรียนทั้งวิชากระบี่  หมัดมวย  และคัดอักษร  เขาอยากให้คุณชายชื่นชมเขาในแบบที่เขาเป็นเขา  ถึงคุณชายจะไม่เอ็นดูเขาเหมือนฉู่หยาง  แต่ขอเพียงแค่ตุณชายชื่นชมเขาบ้าง  แค่นี้เขาก็เป็นสุขใจมากเกินพอ

เขาอยู่กับคุณชายและครอบครัวที่บ้านใหม่มาตลอดจนถึงตอนอายุ 15  ตัวบ้านหลังใหญ่ทรงกึ่งจีนแบบโบราณที่มีสองชั้น  จากตอนแรกที่มีแต่ตัวบ้าน  ตอนหลังมาคุณชายก็สร้างตัวเก๋งจีนหลังน้อยขึ้นมาตั้งอยู่ในพื้นที่บ้าน  มีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยปลาคาร์ฟ   ตัวสวนมีไม้ใหญ่ที่เติมโตมาตั้งแต่เริ่มปลูกบ้านแซมอยู่เป็นระยะ  จนเมื่อเวลาที่เหล่าต้นไม้ออกดอก  บ้านหลังนี้ก็เต็มไปด้วยดอกไม้ที่ออกดอกตามฤดูกาลอยู่หลายชนิด  ทั้งยังมีสนมงคลต้นเล็กที่คุณชายชอบตัดแต่งด้วยความรัก  เขาเคยถามคุณชายว่าทำไมถึงชอบแต่งสนนัก  คุณชายก็ตอบว่า

" เพราะสนต้องการความรัก  แต่เติบโตเพื่อตนเองไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นชื่นชม  ต้นสนก็เหมือนกับมนุษย์  ต้องการความรัก  ความเอาใจใส่ดูแล  ข้าเพียงแค่ได้เห็นมันเติบใหญ่ก็สุขใจ  ไม่ต้องสิ่งใดเพิ่ม"

สมัยนั้นคุณชายยังคงติดคำพูดแบบภาษาเก่าที่เขายังไม่ค่อยคุ้น  แต่พอนานไปเขาก็ยังออกได้บ้าง  เขาถามพ่อ  ถึงคำตอบที่เขาได้รับ  มันฟังดูมีนัยสำคัญที่เขาไม่สามารถแปลออกได้  แต่พอเขาถามพ่อก็กลับไม่ยอมตอบ  เพียงแต่บอกเขาว่า  เขาห้ามหักหลังคุณชาย  และเขาต้องอยู่กับคุณชายไปตลอดชีวิต 

พ่อบอกว่าคุณชายเป็นอ่อนไหว  ถ้าพ่อต้องแก่ตายหรือเป็นอะไรตายไปก่อนคุณชายก็จะไม่สามารถอยู่คนเดียวได้  หัวใจที่อ่อนแล้วของคุณชายมีพ่อเป็นที่พึ่ง  ถ้าไม่มีพ่อคุณชายก็เป็นเหมือนเด็กหลงทางที่ไม่อาจมีใครคาดคิด  คุณชายมีตัวตนอยู่ระหว่างสองโลก  ตัวตนหนึ่งคือคุณชายที่ยังจมอยู่กับอดีต  และอีกตัวตนหนึ่งคือคุณชายที่มีชีวิตอยู่  ณ  ปัจจุบันนี้ 

พ่อยังเล่าอีกว่าตอนที่พบกับคุณชาย   คุณชายก็มีแต่ความมืดมิด  คำสาป "ไร้หัวใจ" ที่คุณชายเคยขอไว้กับสวรรค์บัดนี้ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว  คุณชายไม่มีหัวใจ  มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด  จวบจนวันที่คุณชายมาพบพ่อ  คุณชายจึงได้ตื่นขึ้นมาจากความดำมืด 

ตอนนั้นเรื่องที่พ่อเจอกับคุณชายก็เป็นดั่งสวรรค์ลิขิต  ตัวคุณชายเดินโซซัดโซมากลับถนนที่เป็นทางเดินร้าง  พ่อคาดเดาว่าคุณชายคงอดข้าวอดน้ำมาแล้วหลายวัน  แต่เพราะไม่มีความรู้สึก  และไม่มีความคิดคุณชายถึงทนอยู่ได้  แต่ถ้าพ่อไปเจอคุณชายช้ากว่านั้นแม้เพียงเสี้ยววิ  คุณชายก็คงต้องแพ้แรงตัวเอง และเพราะการขายน้ำ

ตอนที่เขาฟังมาจากปากพ่อ  ตอนนั้นเขายังเด็ก 

แต่พอมาคิดดูอีกทีเมื่อเติบใหญ่แล้ว  เขารู้สึกว่าตัวเองน่าขำและน่าชิงชังนัก  เขาอิจฉาฉู่หยางเพราะเขาไม่อาจแทนที่ฉู่หยางได้  เขาอิจฉาพ่อเพราะพ่อเป็นคนเดียวที่คุณชายเรียกหาเวลาเกิดเรื่อง  เขาอิจฉาและชิงชังทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุณชาย  แต่ในตอนที่เขารู้ความจริงจากสมุดบันทึกของพ่อ  ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าใจถึงความทุกข์ของคุณชายที่ผ่านมาแล้วชาติหนึ่งได้เลย


" ฝูหรง  ชีวิตข้าคงไม่อาจมีลูก  ข้ารักและเอ็นดูเจ้าแต่คงรับมาเป็นบุตรบุญธรรมไม่ได้  สร้อยมงคลเส้นนี้ปกติจะมอบให้ลูกชายคนโต  เจ้าก็เก็บไว้ให้ลูกชายคนโตของเจ้าเถอะนะ  ข้าไม่อาจมีลูกได้และไม่อาจนำเจ้ามาเลี้ยงออกนอกหน้าได้เพราะรอบตัวมีแต่คนคิดคด   และชีวิตนี้...ข้าคงไม่ได้อยู่ถึงวันที่เจ้ามีลูก 

เพราะอย่างนั้นนะ  ฝูหรง  จำคำของข้าไว้  ต่อไปภายภาคหน้าหากเจ้ามีลูก  เจ้าจงรักลูกของเจ้าทุกคนอย่างเท่าเทียม  ไม่ว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง  จะเป็นหญิงหรือชายก็จงรักอย่างเท่าเทียมอย่าได้ลำเอียงเข้าใจหรือไม่  อย่ารังเกียจเดียจฉันท์เพียงเพราะเขาเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากคนที่เจ้ารัก  เด็กทุกคนมีหัวใจ  มีความคิด  เพราะอย่างนั้นเจ้าต้องรักพวกเขาอย่างเท่าเทียม  อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์และอยู่อย่างตายทั้งเป็น  เข้าใจหรือไม่"

และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คุณชายเอ็นดูฉู่หยางนัก  คุณชายรักทุกคนอย่างเทียม  แต่ความเท่าเทียมนี้เหมือนขวากหนามที่คอยทิ่มแทงใจเขานัก  คุณชายรักทุกคน...  แต่ก็หมายถึงคุณชายไม่เคยรักใครเป็นพิเศษด้วย  มีแต่เพียงพ่อกับฉู่หยางที่มีความแตกต่าง  เขาที่เป็นลูกชายพ่อ  คุณชายก็ให้ความเท่าเทียมอย่างที่คุณชายจะให้กับคนอื่นได้

คุณชายเป็นไร้รัก  คุณชายเป็นไม่มีหัวใจ

เรื่องนี้เขารู้มานานแล้ว 

แต่เรื่องที่เขาเพิ่งรู้เมื่อตอนที่สายไปก็คือ

คุณชายไม่มีหัวใจเพราะคุณชายได้ทิ้งหัวใจไว้ในทะเลที่ดำมืดแล้ว

" จิ้งเอ๋อร์ฟังคำพ่อไว้เอาไว้นะ  พ่อมีลูกกับฉู่หยางก็เท่ากับว่าพ่อได้ทำตามคำสั่งเสียของคุณชายไปมากกว่าครึ่ง  ตอนนี้ก็เหลือแค่เลี้ยงดูให้ลูกๆ  สองคนโตใหญ่และเป็นคนดี  อย่างที่พ่อจะฝากความหวังไว้ให้ดูแลคุณชายต่อไปได้  พ่อแก่กว่าคุณมากนัก  เมื่อถึงวันที่ต้องลงหลุมคุณชายก็อาจจะตามพ่อไปได้  คุณชายไม่เหลือใครที่เป็นที่พึ่งได้อีกแล้ว  และหากพ่อตายก่อน  พ่อก็ไม่อยากให้คุณชายต้องตายจากไปด้วย  แต่ถ้าต้องให้พ่อเป็นคนไปเก็บกระดูกคุณชายเพื่อเอาโปรยที่ก้นทะเลพ่อก็คงทำอีกไม่ได้  เถ้ากระดูกสีขาวโพลนที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง  คุณชายกับฉู่หยาง...  องค์หญิงน้อยที่ไม่มีวันได้ลืมตาดูโลก 

ชาติที่แล้วของพ่อที่ต้องค่อยๆ เก็บเถ้ากระดูกของคุณชายขึ้นมาทีละชิ้นช่างน่าสมเพชนัก  คุณชายที่ครั้งหนึ่งอยู่อย่างสง่างามและไม่เคยต้องการสิ่งใด  สุดท้ายก็ต้องมากลายเป็นเถ้าถ่านเพราะคนที่แอบรัก  สายลมหมุนวนพัดเถ้าถ่านที่หลงเหลือจากซากไม้ที่ถูกเผามาจนปนกับกระดูกของคุณชาย  พ่อต้องหอบเอาเถ้ากระดูกส่วนใหญ่เข้ามาใส่ในอกเสื้อ  คำสั่งเสียของคุณชายพ่อได้กระทำจนเสร็จสิ้น  ฝ่าบาท...  ฮ่องเต้ที่พยายามขัดขวางพ่อไว้เพราะอยากได้ส่วนหนึ่งของเถ้ากระดูกขององค์หญิงคืน  แต่พ่อไม่ส่งคืนให้  คุณชายต้องมาจากเพราะคนแบบนี้  หากพ่อต้องตายเพื่อปกป้องเถ้ากระถูกของคุณชายพ่อก็ต้องทำแล้ว  พ่อจะไม่ยอมให้แม้แต่เศษเสี้ยวของคุณชายอยู่ในมือคนแบบนี้

ดังนั้นจิ้งเอ๋อร์ต้องฟังพ่อนะ  ถึงคุณชายจะเป็นคนไร้หัวใจ  แต่ท่านไม่ได้ไร้ความรู้สึกอย่างที่หลายคนคิด  ท่านเป็นคนที่มีหัวจิตหัวใจ  แต่หัวใจของคุณชายแหลกสลายไปเพราะถูกทรยศหักหลังแล้ว  เพราะอย่างนั้น...  เจ้าที่เป็นลูกพ่อก็ต้องปกป้องคุณชายเข้าใจหรือไม่   จิ้งเอ๋อร์ห้ามทรยศและห้ามคิดร้ายต่อคุณชายเข้าใจหรือไม่  เพราะคุณชายคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าหากจะต้องถูกหักหลังอีกครั้ง"





>>>  ค่อยๆรู้ อดีตของท่านอ๋องผ่านทางฝูหรง(ชาติใหม่) ไปเรื่อยๆ เนอะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
น้ำตาไหลทังเรื่องเลยค่ะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
รอวันที่คุณชาย..หัวใจไม่ไร้รัก    :L3:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
สงสารคุณชายจริงๆ

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
รออ่านต่อนะครับ

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
ความฝัน


ข้าเคยฝัน...

ความฝันนั้นเป็นฝันที่หวานล้ำจนข้าไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมา 


ข้าฝันว่าตัวเองนอนหลับตาภายใต้แสงอาทิตย์  มันเป็นฝันกลางฤดูใบไม้ผลิที่มีแดดอบอุ่นส่องลงมาอยู่เล็กน้อย  ร่างกายข้าอ่อนแแอมาตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสลมหนาวบ่อยนัก  แต่หลังจากผ่านช่วงฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายมา  แสงแดดอบอุ่นเพียงน้อยนิดก็ทำให้อยากออกมาสัมผัสกับแสงแดดดูบ้าง  ทุกคนมักชอบเป็นห่วงข้าจนเกินเหตุและคอยสั่งกำชับให้ข้าทำตัวให้อบอุ่นอยู่ทุกครั้ง  ข้าใส่เสื้อคลุมตัวใหม่หนาหนักที่ได้รับเป็นของขวัญพระราชอยู่ทุกปี  เสด็จพ่อก็คอยดูแลเอาใจใส่ข้าเป็นอย่างดีในฐานะลูกชายคนโตแห่งตำหนักอ๋อง  ผู้คนที่อยู่รอบกายข้ามักจะมีมีหน้าเปื้อนยิ้ม  ทุกคนมีความจริงใจและไม่มีวันคิดคดทรยศหักหลังข้าผู้เป็นนาย

ข้าเติบโตขึ้นมาในตำหนักอ๋องอันอบอุ่นมีผู้คนอยู่ล้อม  เวลาป่วยมีคนดูแล  ครั้นพอป่วยหนัก  เสด็จพ่อก็จะคอยตามหมอมามาจากแดนไกลเพื่อรักษาข้าถึงในตำหนัก  ข้าเติบโตมาด้วยความรัก  มีผู้คนคอยถนอมดูแลรักใคร่  ถึงร่างกายจะอ่อนแอแต่ด้านวรยุทธ์ก็ไม่เป็นสองรองใคร  ข้าไม่เคยปิดบังความสามารถของตัวเองแต่ก็ไม่อวดเบ่งจนผู้คนเกลียดขี้หน้า  ขุนนางที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนก็เอาใจใส่และพูดคุยด้วยรอยยิ้ม  พวกเขาทะนุถนอมข้าราวกับข้าเป็นใบไม้ที่เพิ่งแตกยอดอ่อน  ต้องคอยปกป้องกันไม่ให้ถูกพวกแมลงคอยทำร้าย

แต่ในความฝันนั้น...  สิ่งที่ทำให้หลับตาฝันจนไม่อยากลืมตาตื่นคือกลิ่นอายของคนที่ข้าแอบรัก

องค์รัชทายาทที่ข้าได้แต่แอบเฝ้ามองมานาน  จนวันหนึ่งเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์  ภายใต้คำสัญญา  พระองค์ไม่เคยแต่งตั้งใครขึ้นมาเป็นฮองเฮา  สามภรรยาสี่อนุคือชายาที่พระองค์แต่งตั้งขึ้นเพื่อให้กำเนิดให้กำเนิดองค์รัชทายาท 

ข้ารู้สึกผิดต่อพวกนาง  ผิดต่อแผ่นดิน  ตัวข้าเป็นถึงอ๋องซ้ำยังเป็นผู้ชายแต่กลับครอบครองชายผู้อยู่เหนือคนทั่วใต้หล้า  บังลังก์มังกรเป็นขององค์ฮ่องเต้  แต่องค์ฝ่าบาทกลับเป็นคนของประชาชน 

ฝ่าบาทเปรียบเสมือนสนต้นใหญ่ที่คอยให้ความร่มรื่น  แต่ข้าคนนี้กลับเห็นแก่ตัว  ยึดถือและครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในพระทัยของพระองค์ไว้แต่เพียงผู้เดียว

แต่หลังจากผ่านอุปสรรคร่วมกันมา  เมื่อเราสองคนใจตรงกันและรักกัน  ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรมจรรยา  กฎมณเฑียรบาลแต่เก่าก่อนหรือความถูกต้อง  ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมาขัดขวางความรัก 

ข้าที่ครั้งหนึ่งเคยได้แต่เฝ้าฝันถึงผู้ที่อยู่ไกลเกินเอื้อม  วันหนึ่งพระองค์ก็เสด็จมาหาข้าภายใต้แสงตะเกียง  บอกกับข้าที่ตรากตรำทำงานหนักมาเพื่อพระองค์จนกระทั่งหลับคาโต๊ะอักษรว่า "รัก"  พระองค์ทรงสารภาพว่าพระองค์หลงรักข้ามานานแล้ว  เพียงแต่ติดตรงภาระหน้าที่  คนเป็นเจ้าแผ่นดินมีหลายสิ่งที่ควรทำและมีหลายสิ่งที่เป็นข้อห้าม แต่เมื่อพระองค์เห็นว่าข้ายอมทุกอย่างแม้กระทั่งสละชีวิตของตนเอง  พระองค์ก็คิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่พระองค์จะบอกคำว่า "รัก"  พระองค์จะไม่ปล่อยให้ข้าลำบากและอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป  จะคอยทะนุถนอมเหมือนข้าเป็นสิ่งล้ำค่า  ยามเจ็บปวดจะตามคนมาดูแล  ต่อให้พระองค์ต้องมีสนมหรือชายามากมาย  พระองค์ก็จะรักแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น  แม้กระทั่งเรื่องที่ข้าไม่อาจให้กำเนิดองค์รัชทายาท  พระองค์ก็จะปกป้องข้าจากคำครหาของผู้คน  จะทรงรักข้าเหมือนกับที่ข้า "รัก"  พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ใครมาว่าร้าย  และจะไม่ปล่อยให้ข้าเป็นหมากทางการเมืองอีกต่อไป

ความฝันนั้น...  ช่างเป็นความฝันที่ชุ่มฉ่ำหัวใจจนข้าไม่อยากลืมตา

แต่ความฝัน...  ต่อให้มันเป็นฝันดีแค่ไหน  ซักวันข้าก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อพบเจอกับความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย

ภายในตำหนักอ๋องอันแห้งแล้ง  ข้าไม่เคยได้นอนหลับสนิทอย่างเต็มตา  และไม่เคยมีคืนใดที่ไม่ตื่นมาร้องไห้  ภายในตำหนักอ๋องแห่งนี้  ข้าไม่เคยสัมผัสได้ถึงไออุ่นแม้ในยามที่ดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา  ผู้คนที่อยู่รายล้อมหากไม่เป็นสายลับก็เป็นนักฆ่าที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อให้ข้าตกตายไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย  ข้านอนหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ  ภายในตำหนักแห่งนี้...  ตำหนักที่ครั้งหนึ่งข้าต้องผ่านความตายโดยไม่มีใครช่วยเหลือ  มาถึงตอนนี้ก็ยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอดทั้งที่ถูกผู้คนทอดทิ้ง 

ส่วนกับคนที่ข้า "รัก"  ไม่ว่าข้าจะพยายามแค่ไหน  สุดท้ายแล้วข้ากลับเป็นเพียงหนามยอกอกที่คอยทิ่มอยู่ในหัวใจขององค์ฮ่องเต้  พระองค์ไม่มีวันเชื่อใจข้า  และยิ่งไม่มีทางที่จะมอบความรัก 

ทุกความความไหวของข้ามีผลต่อบัลลังก์มังกรและความมั่นคงของพระองค์  ขอเพียงแค่ข้ามีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอีกนิด  ฉลาดเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย  หรือมีการกระทำที่ทำให้พระองค์ทรงเคลือบแคลง  พระองค์ก็พร้อมที่จะทำลายหนามยอกอกอย่างข้าทิ้ง

ทุกคำหวาน..  ภายใต้นาม "อีเหว่ย" คงมีเพียงข้าที่ยังยอมทนอยู่อย่างคนโง่  ข้ายอมทำทุกอย่าง  เพื่อขอแค่ให้มีซักครั้งที่พระองค์เอ่ยนามของข้าออกมาจาก "ใจ" ไม่ใช่เพียงหมากที่ใช้แล้วทิ้ง

แต่ความหวังนั้นช่างอยู่ไกลเกินกว่าที่ข้าจะเอื้อมมือไปไขว่คว้า

ดังนั้นข้าจึงหลับตาลง  ภายในตำหนักอันเปลี่ยวเหงาอ้างว้าง  ข้าหวังเหลือเกินว่าตัวเองจะนอนหลับลงและนอนหลับฝันดี

ภายใต้ความฝันอันแสนสวยงาม  ข้าหวังอย่างสุดหัวใจว่าตัวเองจะหลับฝันและไม่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเจอกับฝันร้ายอีกเลย 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2017 11:25:41 โดย teatimes »

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
กันให้ท่านอ๋อง

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
THE  MELODY ภาค 1
(เตxกฤษ)



ก็ขึ้นชื่อว่าความรัก
ความรักในชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน
ใจมันอ่อนแอแพ้ความรัก
เพิ่งรู้ว่ารักในชีวิตจริงมันยิ่งกว่าในนิยาย



" เต วันนี้จะออกไปข้างนอกกันหรือเปล่า"

" อือ"


สำหรับผมความรักที่เป็นยิ่งกว่าในนิยาย   เป็นสิ่งที่ไกลเกินฝัน

" ผม " ที่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง และ " เขา " ก็เป็นคนธรรมดาอีกคนหนึ่ง

ใครจะคิดว่าชะตาจะเล่นตลกให้เรามาพบกัน




" ผม " เป็นคนธรรมดาที่อาศัยและทำงานอยู่ในอู่ซ่อมจักยาน

ส่วน " เขา " เป็นคนธรรมดาที่เป็นลูกค้าและเอาจักยานมาซ่อม



" เต มาดูลูกค้าหน่อย! กูคุยไม่รู้เรื่อง!"

นั่น... เป็นครั้งแรกที่ " ผม " กับ " เขา " ได้เจอกัน



" จักรยานเป็นอะไรมา"

" ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่มันปั่นไม่ไป"

ตอบแบบนี้

จำเริญเถอะโยม...

ผมลากจักยานของเขาเข้าอู่   แหม่ พูดเสียดูดี ความจริงผมก็แค่เข็นเข้ามาในร้าน เอาปะแจมาไขๆ เตะๆ ต่อยๆ อีกสองสามที...

" โซ่หลุด ไม่ต้องจ่ายตังค์ เอาอีแก่กลับไปได้แล้ว"

ผมบอกเขาที่ยืนเงียบกริบ คงอึ้งล่ะสิที่ผมซ่อมมันเสร็จในสามนาที

" แต่ผม... ดูแล้วนะ เมื่อกี้มันไม่ได้หลุดนี่"

" มันคงหลุดตอนคุณเข็นมามั้ง ผมว่าคุณซื้อคันใหม่เถอะ แก่ขนาดนี้ กี่สิบปีแล้ว"

" สิบกว่าปี  แม่ผมซื้อมาตอนผมหกขวบ เอามาจ่ายตลาด"

ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเข็นรถออกไปที่หน้าร้าน  เราคุยกันอีกสองสามคำ ก่อนต่างคนต่างแยกย้าย   

ผมคิดว่า

เราคงไม่ได้เจอกันอีก






" ไอ้เต ลูกค้ามึงมา! "

ลูกค้ากู?

ผมชี้หน้าตัวเอง  ผมจำได้ว่าไม่มีลูกค้าประจำนะเถ้าแก่  เป็นเบ๊มาตลอด

" ลูกค้ามึงแหละ!"

แน่ะ มีย้ำ

ผมชโงกไปดูหน้าลูกค้าที่รออยู่หน้าร้าน

ชัดเลย...

ลูกค้าตู

" เป็นอะไรมาอีก"

" ไม่รู้ คราวนี้โซ่ไม่หลุด แต่เบรกไม่อยู่"

ผมพยักหน้ารับแล้วลากอีแก่เข้าอู่เป็นการจบบทสนทนา

เคาะๆ แตะๆ ตบๆ สองสามที...

" สายเบรกขาด หนูกัด"

" .... "

ผมหันหลังแล้วหยิบเครื่องมือมาเปลี่ยนสายเบรก แกะๆ ไขๆ อีกสามสี่ที

" สองร้อยแปดสิบ"

" .... "

" สายเบรกสองร้อยสี่สิบ ค่าเปลี่ยนสี่สิบ ถ้าคราวหน้ามาอีกจะคิดเพิ่ม ซื้อคันใหม่เถอะ"

" ...ของดูต่างหน้าน่ะ ไม่อยากเปลี่ยน"

ผมพยักหน้ารับรู้   แล้วหันไปทำงานต่อ

เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แหงล่ะ

พูดได้ก็แปลก





และหลังจากนั้น

เขาก็มาวนเวียนที่อู่บ่อยๆ

วันก่อนเบรกแตก

วันก่อนหน้านู้นล้อหลุด

วันนี้...

โซ่ขาด

" โซ่ขาด เปลี่ยนแพงนะ"

" แพงแค่ไหนก็อยากเปลี่ยน ช่วยซ่อมให้หน่อย"

เขายิ้มแล้วโครงหัวนิดๆ

ผมไม่ว่าอะไร แค่โคลงหัวกลับแล้วเปลี่ยนโซ่จักรยานที่ขาด 

อยากเปลี่ยนอยากเสียเงินก็ตามใจ  ไม่ใช่เงินผมอยู่แล้ว

หลังเปลี่ยนเสร็จผมถือโอกาสดูส่วนอื่นไปด้วย  มันจะได้ไม่ต้องมาบ่อยๆ

" เอาไว้ที่นี่ไหม มีต้องเปลี่ยนหลายอย่าง เบ็ดเสร็จคิดรวมสี่พันไม่รวมเปลี่ยนสี เดี๋ยวเคาะสนิมให้ด้วย"

" เบ็ดเสร็จสองพันขาดตัว สี่พันนี่ซื้อคันใหม่ได้แล้ว"

" ก็บอกแล้วให้ซื้อใหม่"

" เอาน่า  เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่มีตังค์  ลดให้หน่อย  ถ้ามีตังค์ก็ว่าจะเอาเงินไปซื้อคันใหม่แล้ว"

" ไหนว่าของดูต่างหน้าไม่อยากเปลี่ยน"

" ก็แค่พูดให้ดูดี  อยากเก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็นมากกว่า  เงินทองหายาก"

ผมพยักหน้าไม่ว่าอะไร  เดินไปหาเถ้าแก่ต่อรองราคาให้

" สามพัน  แบ่งจ่ายได้   ไม่คิดค่าแรง แต่ค่าอะไหล่ต้องจ่ายเอง  จ่ายไม่หมดไม่ต้องเอาจักรยานคืน"

" แล้วจะเอาอะไรขี่ไปทำงาน  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีจักรยานอยู่คันเดียวเนี่ย"

นี่เป็นเรื่องที่กูต้องคิด?

" เอาจักรยานกูไป  ของมึงอีกอาทิตย์ค่อยมารับ"

" ผมชื่อกฤษนะ  แล้วคุณ..."

" เต  เตชินท์"



ใครจะบอกได้ว่าเราควรหยุดพักหรือไปต่อ
อย่าท้อถ้าเธอทำดีที่สุดแล้ว
คงมีสักวันที่ความรักนั้นจะเป็นของเธอ...




"  เอ่อ...  เต  ผมทำจักรยานคุณพัง"

กร๊าซซซซซ   กูอยากแปลงเป็นก๊อตซิลล่า!

" พอดีผมตกข้างทางน่ะ ขอโทษนะ"

ไอ้กฤษดวงซวย  มึงมีปัญหากับจักรยานมากนักนะ!

" เต...  ผมไม่ได้ตั้งใจ  เอ่อ...  ถ้ายังไงให้ผมเลี้ยงข้าวคุณแทนได้ไหม"

แล้วค่าซ่อมรถกู!?

" เดี๋ยวผมจ่ายให้ด้วย  รวมกับค่าซ่อมรถคันเก่า  จ่ายสด  ไม่มีเม้ม"

เออ!!




และหลังจากนั้น...

" เต..."

อะไรอีกวะ!  อะไรพังอีก!

" เอ่อ  ผมมาชวนคุณไปกินข้าว  คุณเลิกงานสองทุ่มครึ่งใช่ไหม  ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันนะ"

" ....ใครเลี้ยง"

" หารสองนะ  เงินเดือนยังไม่ออก  แต่เงินออกเมื่อไหร่  เดี๋ยวเลี้ยง"

" เออ!"






" ไอ้เต"

คร้าบ~  มีอะไรครับเถ้าแก่

" ไอ้หนุ่มจักรยานนั่นน่ะ...."

ไหนๆ  วันนี้มันมีอะไรเสียอีกวะ

" ไม่ใช่  กูหมายถึงมันมาจีบมึงไหมวะ"

จีบผม?

ไม่น่าใช่นะเถ้าแก่นะ

" ไม่จีบมันจะเทียวมาหามึงวันเว้นวันเหรอวะ  วันนี้ไอ้นี่เสีย  วันต่อไปเอาไอ้นั่นมาซ่อม  หลังๆ มาเนียนชวนมึงไปกินข้าว   นี่มันมานั่งรอมึงเลิกงานกี่คืนแล้ว"

หนึ่ง  สอง  สาม  สี่....

ยกนิ้วนับ...

เกินจำนวนนิ้วแล้วเถ้าแก่

" เออ!  มึงนี่สมองช้าจริง  ถ้ามันดักฉุดมึง  มึงมีผัวไปแล้ว!"

เอ่อ   เถ้าแก่  ผมเป็นผู้ชายนะ  มีป๋องแป๋งด้วย

" ไอ้นอร่า  ข้างบ้านมีป๋องแป๋งมันยังมีผัวได้เลย!"

เขาชื่อซาร่า  นอร่าอะไรเล่า 

" ยังจะเถียง!"

เปล๊าาา

" ว่าแต่...  ถ้าไอ้หนุ่มจักรยานมาจีบมึงจริงๆ  มึงจะเอาไงวะ"  แหม  เผือกนะเถ้าแก่นะ 

ผมเป็นผู้ชายนะเถ้าแก่  แล้วผมก็เป็นแบบนี้ด้วย  เถ้าแก่ว่าผมควรแต่งงานมีผัวหรือไงล่ะ

" มึงเป็นแบบนี้แล้วไงวะ  ไอ้หนุ่มนั่นก็เป็นแบบมึง  มึงทำงานได้  มันก็ดู...  ทำงานได้  ไม่ได้ดูไม่เอาโล้ไม่เอาพาย  นี่กูไม่ได้ยุให้มึงมีผัวนะ   แต่กูดูแล้วไอ้หนุ่มนั่นก็เข้าท่าดี   มึงเองก็อยู่คนเดียวไม่ใช่หรือไง  กูเห็นมึงอยู่คนเดียวกูก็เป็นห่วง  เป็นอะไรขึ้นมา  จะหาคนช่วยไม่ได้  มีคนอยู่ด้วย  คอยช่วยเหลือกัน  กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมึงมาก"

แต่มันก็พูดไม่ได้เหมือนกันนะ  เถ้าแก่นะ

" มันพูดไม่ได้  แต่มันก็แบกมึงไปโรงพยาบาลได้แล้วกันล่ะวะ  แถมค่าห้อง  ค่าน้ำค่าไฟ  ได้หารสองด้วย"

ได้ผัวด้วย?

" ถูก!"



ก็ขึ้นชื่อว่าความรัก
ความรักในชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน
ใจมันอ่อนแอแพ้ความรัก
เมื่อรักที่แท้จริงมันยิ่งกว่าในนิยาย
คงมีสักวันที่ความรักนั้นจะเป็นของเธอ...



" เต...  เรามาคบกันไหม"

หืมม 

" ผมพูดจริงๆ นะ  ถ้าคุณไม่รังเกียจ"

ผมมองไอ้คุณชายกฤษผู้ดวงซวยจากจักรยานเขินหน้าแดงเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน   เรานั่งเล่นอยู่ที่อ่างน้ำของมหาวิทยาลัย   วันนี้ผมกับคุณชายอาภัพ(จากจักรยาน)หยุดงานตรงกัน  เลยพากันมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินเล่น  โรแมนติก  สัด

" กูเป็นผู้ชายนะ  มึงเห็นไหม"

ผมส่งภาษามือไปให้ แล้วชี้ลงตรงที่ลูกชายตัวเอง  แต่มันกลับหัวเราะ

" เห็นตั้งแต่แรกแล้วครับ  หมายถึงเห็นตั้งแต่แรกแล้วครับว่าเป็นผู้ชาย  เตอย่าเอามือตะปบเป้าสิ  ผมเขินนะ"

มันส่งภาษามือกลับมา 

กูเองก็เขินเว้ย!

ใช่  ผมกับคุณชายกฤษผู้ดวงซวยเป็นใบ้  พูดให้สวยหรูหน่อยก็คือพูดออกเสียงไม่ได้  ผมเป็นใบ้มาตั้งแต่เกิด  ส่วน....

" อุบัติเหตุหูดับน่ะครับ  แก้ไม่หาย  เลยพลอยพูดไม่ได้ด้วย  คือกลัวเสียงที่ออกมาไม่ดีน่ะครับ  เพราะพูดไปก็ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง" 

อ๋อ  ผมพยักหน้ารับ


ใครจะบอกได้ว่าเราควรหยุดพักหรือไปต่อ
อย่าท้อถ้าเธอทำดีที่สุดแล้ว
คงมีสักวันที่ความรักนั้นจะเป็นของเธอ



เรื่องราวของความรักที่มีจุดเริ่มต้นเหมือนในนิทาน  ทุกอย่าเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ  พรหมลิขิต  และชะตาลิขิตซักพา 

" ผม" กับ " เขา" ที่เป็นคนธรรมดา  เป็นแค่คนที่มีบางอย่างเป็นจุดร่วม 

ผมไม่รู้ว่าเรื่องของผมกับเขาจะจบลงแบบไหน

แต่ถ้าผมไม่ยื่นมือออกไป 

ผมก็คงไม่มีวันได้ยืนคู่กับเขา  และคงไม่รู้ถึงจุดจบในวันข้างหน้า


เรื่องราวจบลงด้วยดี อยู่ในนิยายเรื่องเก่า
เรื่องจริงจบลงอย่างไร ใครจะรู้...

" อืม"

คงมีรักนั้นที่เป็นของเรา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2017 19:35:23 โดย teatimes »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สารภาพว่าแอบระแวงคนเขียน เพราะเห็นคำว่า ภาค 1 นี่ละค่ะ

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
สารภาพว่าแอบระแวงคนเขียน เพราะเห็นคำว่า ภาค 1 นี่ละค่ะ

เจ็บกันท่านอ๋องมาสินะคะ 

ออฟไลน์ teatimes

  • ไม่อยากให้เปลี่ยน...... เพราะแค่นี้ก็ดีพอแล้ว
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 682
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-1
THE MELODY II (เตxกฤษ)



มันคงเป็นความรัก  ที่ทำให้ฉัน  ยังยืนอยู่ตรงนี้
มันคงเป็นความรัก  ที่ทำให้ตัวฉัน  ไม่ยอมหยุดเสียที



เต...  หนุ่มน้อยน่ารักช่างซ่อมจักรยาน  คนที่ผมเคยคิดว่าอยู่ไกลเกินฝัน

ผมเจอกับเตครั้งแรกที่ร้านซ่อมจักรยาน  เต  พูดไม่ได้  ผมเอง...ก็พูดไม่ได้

แต่นอกจากเรื่องที่เราพูดไม่ได้  อย่างอื่น...ผมกับเต  เราเข้ากันได้เกือบทั้งหมด

เตชอบตื่นสายวันที่อู่ปิดวันอาทิตย์ 

ผมที่ตื่นสายกว่าทุกวันแต่ก็ยังตื่นก่อนเต  มองดูลาดไหล่เตที่เปลือยเปล่า  ก้มจูบเพื่อเพิ่มรอยอีกนิด  แล้วนอนกอดเตด้วยความสุขใจ  ความรักของผมที่มีต่อเตมันมีอยู่ท่วมท้น 

ถึงผมจะเห็นเตครั้งแรกที่อู่ซ่อมรถ  แต่มันก็เป็นรักแรกพบ  และผมก็รักเตเพิ่มมากขึ้นในทุกวันที่อยู่ด้วยกัน  และฝันว่าจะได้อยู่กับเตไปชั่วชีวิต



แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป   


วันนั้นฝันตกหนัก 

ผมเลือกที่จะเดินไปรับเตแทนที่จะขี่จักยานออกไปรับเหมือนทุกครั้ง  ตั้งแต่วันที่เริ่มคบกันมา  ผมไม่เคยปล่อยให้เตกลับบ้านคนเดียวเลยซักครั้ง   

วันนั้นเสียงท้องฟ้ากร่นคำรามเหมือนกับกำลังจะร่ำให้  ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านสายฝนที่ตกหนักจนมองไม่เห็นทาง  ได้แต่เดินตามไฟสีส้มที่อยู่บนถนนอยู่ลิบๆ 

ผมเลทมาสิบนาทีแล้วเพราะฝนตกหนัก   ไม่รู้ว่าอู่จะจะปิดไปก่อนจนเตต้องยืนตากฝนหรือเปล่า  พายุกำลังมา...  เตจะตัวเปียกฝนไหม  ผมเอาเสื้อกันฝนอีกตัวติดมาด้วยแล้วหนีบมันไว้ใต้รักแร้  คงอีกประมาณห้านาทีกว่าผมจะเดินถึงอู่ซ่อมรถ 

เสียงฟ้ายังกู่ร้องจนผมสะดุ้ง  ผมไม่ได้ยินฟ้าร้อง  แต่ปรากฎการณ์ฟ้าลั่นก็ทำให้ผมตัวสั่นสะเทือนจนรู้สึกได้

แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องคือ  รถของหน่วยกู้ภัยและรถของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยที่เปิดไฟฉุกเฉินอยู่ตรงหน้า 

ตอนแรกผมไม่สนใจเพราะผมยังมีเตที่ต้องไปรับ  แต่เพราะลางสังหรณ์บางอย่าง...  จึงทำให้ผมเดินเข้าไปใกล้รถพยาบาลคันนั้นแทนที่จะรีบไปหาเต

ต้องไม่ใช่เต  ต้องไม่ใช่เต 

ผมภาวานาด้วยหัวใจที่สั่นระทึก

ต้องไม่ใช่เต... 

เตกำลังรอผมให้เดินไปรับ  เตต้องไม่อยู่ในที่แบบนี้

แต่...

แต่ร่างที่นอนอาบเลือดกลางสายฝนคือร่างของเตที่นอนแน่นิ่ง

ผมตะโกนผ่านสายฝน  วิ่งเข้าไปหาเตแล้วกอดร่างเตไว้  คำพูดที่ไม่เคยหลุดออกจากมานานพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ  ทำไมเตถึงมาอยู่ตรงนี้  ทำไมเตถึงไม่รอผมไปรับ

เสียงตะโกนกู่ร้องของคนหูหนวกคงทำให้หน่วยพยาบาลที่ดูแลคนเจ็บฟังไม่รู้เรื่อง  ผมกอดร่างเตไว้แน่นท่ามกลางสายฝนที่ตกปรอยลง  รอจนฝนซา  ผมถึงได้เห็นหน้าเตชัดๆ 

เตเหมือนคน...  ที่เพิ่งหลับไปเท่านั้น




และหลังจากวันนั้นมา

ผมก็มาใช้ชีวิตอยู่ในห้องของโรงพยาบาลแทนที่บ้านของเต 

เถ้าแก่...หรือเจ้านายของเตที่มาเยี่ยมเตบอกผมว่า  วันนั้นฝนตกหนัก  เตไม่อยากให้ผมขี่จักรยานมารับ  เขาเลยขอกลับบ้านก่อนแล้ววิ่งฝ่าสายฝนกลับมาแทน  แต่เพราะฝนตกหลักถนนลื่น  นักศึกษาที่ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าสายฝนมาเหมือนกันจึงไม่เห็นตัวเตที่กำลังข้ามถนนมาจากอีกฝาก  ฝนตกหนักทัศนวิสัยมองเห็นไม่ชัด  เตถูกชนหัวกระแทกพื้น  แต่นักศึกษาที่ขี่ชนเตปลอดภัยเพราะใส่หมวกกันน็อค 

เรื่องที่เกิดขึ้น...  มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด  เตข้ามถนนตรงทางม้าลาย  แต่ฝนตกหนัก  นักศึกษาจึงมองไม่เห็น  กว่านักศึกษาคนนั้นจะรู้ตัวว่าชนคน  ก็เป็นตอนที่ชนจนเตจนหัวฟาดพื้นและตัวเองก็กระเด็นออกจากรถไปแล้ว

เต  มีอาการสมองบวม  จนต้องเข้ารับการผ่าตัดอยู่หลายตัดหลายครั้ง 

ส่วนนักศึกษาคนนั้น..  พอฟื้นขึ้นมาได้ก็พยายามมากล่าวคำขอโทษพร้อมกับผู้ปกครอง  บอกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจและขอร้องว่าอย่าเอาเรื่อง   

ผมเองก็เข้าใจ...  เพียงแต่ผมยังทำใจยอมให้อภัยนักศึกษาคนนั้นไม่ได้  คนที่ชนเตฟื้นขึ้นมาแล้ว  แต่เตกลับหลับเป็นเจ้าชายนิทรา  ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ  แต่ถ้าสลับกันได้...  ผมก็ยินดีที่จะให้อภัยเด็กคนนั้น 

ยังดีที่อธิการบดีประจำมหาลัยมาช่วยไกล่เกลี่ยยอมความให้  เรื่องมันถึงจบลงที่ว่า  เตได้รับเงินชดเชย  30,000  จากครอบครัวเด็กคนนั้น  และได้อยู่ในห้องพิเศษของทางโรงพยาบาลที่เป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย 

เตมีบัตรประกันตนผู้พิการ  และเถ้าแก่ของเตก็ส่งประกันสังคมให้เรื่อยๆ  ดังนั้นผมที่เป็นแค่อาจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัย  จึงไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นหาเงินมาจ่ายค่าห้องให้  เตก็ได้นอนหลับอย่างสบายในห้องเดี่ยวแบบพิเศษ

ผมกินอยู่หลับนอนกับเตในห้องพิเศษของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยแห่งนี้ 

อาจารย์หมอที่เป็นอาจารย์ผ่าตัดก็พานักศึกษามาตรวจอาการเตอยู่เรื่อยๆ 

ตอนแรกผมไม่พอใจที่คนอื่นเห็นเตเป็นผักปลาแบบนี้  เตนอนหลับอยู่สบายๆ  ยังจะมาตรวจนั่นตรวจนี่  แต่เพราะมันเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย  เตซึ่งเป็นคนไข้  ย่อมต้องยอมเป็นเคสให้นักศึกษาเรียนรู้ 

แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า  ผมก็เริ่มชิน  ดีเสียอีกที่มีคนมาคอยดูแลเตอยู่ใกล้ๆ

แต่บางครั้ง...

ต่อให้ดูแลดีขนาดไหน  เตที่นอนหลับเป็นเจ้าชายนิทรา  ร่างกายของเต...  ก็มีบางเหมือนกันที่นึกอยากทำร้ายตัวเอง

ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ดๆๆๆๆๆ

เสียงร้องเตือนจากมอนิเตอร์ดังลั่นทั่วห้อง  ผมที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่กดกริ่งเรียกนางพยายาล  เตดูทรมาน...  แต่เพราะผมพูดไม่ชัด...  ผมที่ไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเลยไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง

นางพยาบาลหลายคนกรูกันเข้ามาในห้อง  ผลักตัวผมบอกแล้วเข้าไปดูอาการเตที่เหมือนคนชัก

เตสั่นกระตุกเหมือนคนหายใจไม่ออก

สรุปคือเตเสมหะติดคอไม่สามารถหายใจต่อได้

ผมต้องทนมองเตที่ถูกสอดท่อเพื่อดูดเอาเสมหะออก  ผมปิดปากกลั้นเสียงร้อง  น้ำตาไหลอาบสองแก้มตอนที่เห็นนางพยาบาลต้องสอดท่อพลาสติกอันใหญ่สอดเข้าไปในปากเต  นางพยาบาลที่มือหนักหน่อยตบหลังเตเป็นระยะๆ  เพื่อเคาะเอาเสมหะที่คั้งค้าง  ผมมองดูเตที่ถูกเคาะปอดด้วยความปวดใจ

เตเป็นเจ้าชายนินทรา  โอกาสจะฟื้นมีอยู่  50-50 

เตมีโอกาสที่จะไม่ฟื้น... 

แต่อย่างตอนนี้...   ต่อให้เตดูทรมาน  ผมก็อยากยึดเหนี่ยวความหวัง  50% นั้นเอาไว้

กับคนอื่น..  กับคนนอกคงอยากให้เตหลับไปตลอดกาล  มากกว่าที่จะต้องมาอยู่อย่างทรมานต่อไปแบบนี้

แต่สำหรับผม...  ต่อให้มีความหวังเหลืออยู่แค่อีก 1%  ผมก็จะยื้อ 

ผมเชื่อว่า  ซักวันเตจะต้องกลับมา...

และผมจะรอเตไปตลอดชีวิต


ผมใช้เวลาช่วงเสาร์-อาทิตย์  และเวลาที่ว่างมาอยู่ดูแลเตตลอดทั้งวัน  จ้างนางพยาบาลพิเศษมาดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำอีกครั้ง  เตนอนหลับอยู่เป็นเจ้าชายนิทรา  บางทีร่างกายของเตก็ส่งสัญญาณออกมาเหมือนกับอยากจะบอกว่า  อยากยอมแพ้

แต่ผม...  ไม่มีวันยอม   

ผมคอยเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันทุกวันไม่ให้มันเหี่ยวแห้ง  คอยเปิดผ้าม่านเพื่อที่เตจะได้นอนรับแสงแดด  คอยพลิกตัว  เช็ดตัว  ทำความสะอาดช่องปากและลิ้น

เตผอมลงทุกวัน...  กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานเริ่มจะผอมลีบ  ขนาดมีผมคอยช่วยขยับและทำกายภาพให้  แต่ร่างกายเตก็มีแต่จะยิ่งผอมซูบ 

มันทำให้ผมอดหวนนึกไปถึงตอนที่เจอกับเตครั้งแรกไม่ได้

ตอนนั้น...

วันที่ผมได้พบกับเตเป็นครั้งแรก  ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ 

จักรยานผมเสีย  จนผมต้องเอาไปส่งซ่อม

ผมเจอเตหน้าตาเปื้อนคราบน้ำมันเครื่องอยู่ในอู่ซ่อมรถจัรยานแห่งนั้น

เตผอมสูง  แต่มีแก้มที่ออกจะยุ้ยนิดๆ  ผิวขาว...ใต้ร่มผ้า  แต่ส่วนอื่นที่ถูกแดด  ผิวเตจะเป็นสีออกแดงจนเกือบคล้ำ  เตมีดวงตาเป็นสีน้ำตาลเหมือนกระรอกที่วิ่งอยู่ตามสวนสาธารณะ

ผมตกหลุมรักเตตั้งแต่ตอนนั้น

บางทีเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่...  มันอาจจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิต



ก่อนที่หูจะดับ  ผมเคยเป็นอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์  สาขาเครื่องกล  เรื่องทำจักรยานพังแล้วเอาไปส่งอู่  ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมค่อนข้างถนัด  ผมหาเรื่องพังจักรยานแล้วไปหาเตแบบวันเว้นวัน  วันนี้ไอ้นี่พัง  วันโน้นไอ้นั่นก็ต้องซ่อม  จนสุดท้าย...  ผมก็จีบเตติด

เอาเข้าจริงแล้ว...  พอคบกันนานๆ  ผมถึงได้รู้ว่าเตก็ไม่ใช่คนช่างพูด  ผมหมายถึงถ้ากับคนที่ไม่สนิท  เตจะไม่ค่อยสื่อสารกับใครมากนัก  นอกจากผมก็มีแต่เถ้าแก่ที่เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ 

เตเป็นพิการมาตั้งแต่กำเนิด  บางทีคนพิการแบบเราก็ไม่ชอบให้ใครมองว่าเราเป็นคนน่าสงสาร  เป็นคนพิการ  หรือเป็นคนที่ถูกสวรรค์ลงโทษ  ดังนั้นกับคนแปลกหน้าไม่เรารู้จักมักคุ้น  ส่วนใหญ่พวกเราจะทำตัวแบบคนปกติคือ  เมินเฉย  ไม่ยิ้ม  ไม่ทักและไม่ยอมพูดคุยด้วย 

ผมที่หูดับ...  หลังจากที่ต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์ประจำเพราะไม่สามารถสอนนักศึกษาต่อได้  แต่ทางมหาลัยก็ยังรับผมเข้าทำงานไว้ในฐานะอาจารย์ผู้ช่วย  ตำแหน่งพิเศษเฉพาะ  บางทีผมก็รับงานแปลเอกสารวิชาการต่างประเทศบ้าง 

สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผู้มีภาวะพิการจะต้องออกจากงานหรือหางานทำได้ยากหรือตกงาน  สังคมสมัยใหม่เปิดโอกาสให้กับคนพิการอย่างผมมากขึ้น  บางทีทางมหาลัยก็ส่งผมให้ไปสอนในโรงเรียนช่างชำนาญงานสำหรับคนพิการเพราะผมใช้ภาษามือได้   

ดังนั้นเรื่องที่ผมบอกเตว่าไม่มีเงิน...  มันจึงเป็นเรื่องโกหก  แต่เรื่องจักรยานของขวัญดูต่างหน้านั่นเป็นเรื่องจริงนะ  ผมไปเอามันมาจากบ้านหลังจากที่ผมขายรถจักรยานยนต์ทิ้ง  ผมขับรถมอเตอร์ไซด์ได้  แต่เพราะหูไม่ได้ยิน  จะให้ไปอยู่กลางถนนที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสหูร่วมด้วยก็คงจะไม่ได้  ผมเลยหันมาขี่จัยรยานที่ช้าแต่ปลอดภัยกว่าแทน

เตเอง..  พอรู้ความจริง  ก็งอนผมอยู่นิดๆ  แต่ก็สามารถให้อภัยผมได้  ผมย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังเดียวกับเตนับตั้งแต่ตอนนั้น 

บ้านของเตเป็นบ้านเช่าชั้นเดียวเล็กๆ  ตั้งอยู่ในเขตที่มีน้ำท่วมขังทุกปีในเวลาที่ฝนตกหนัก  ช่วงไหนที่ฝนตกหนักติดๆ กัน  ผมกับเตก็ต้องมาคอยลุ้นว่า  จะต้องขนของหนีน้ำไหม  ผมเคยชวนเตย้ายออกเพราะผมสามารถช่วยเตค่ายค่าเช่าได้ 

แต่เตไม่ยอมย้ายออก  เพราะบ้านเช่าหลีงนี้ราคาถูก  อยู่ห่างจากอู่ซ่อมรถจักยานไม่มาก  ปั่นไปไม่เกินสิบนาทีก็ถึงอู่แล้ว

ผมที่อยากอยู่กับเตก็ได้ตามใจ  ย้ายของมาอยู่ในบ้านเต  พอเตเลิกงานผมก็ปั่นจักรยานไปรับ  วันหยุดผมก็พาเตไปขี่จัยรยานเล่นที่อ่างน้ำไม่ก็สวนสาธารณะ 

ผมชอบนะเวลาที่ได้พาเตนั่งซ้อนจักรยานแล้วขี่วนรอบสระน้ำ  อ่างน้ำของมหาวิทยาลัยสงขลานครินท์มีบรรยากาศร่มรื่น  บางทีก็มีเนินเขาให้ผมปั่นจักรยานขึ้นไปโดยที่มีเตซ้อนท้ายจนหอบแฮก  รอจนผมขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของเนินและรอจนเตตั้งตัวพร้อม 

เราสองคนก็จะปล่อยให้รถจักรยานไหลไปตามแรงโน้มถ่วงแล้วส่งเสียงหัวเราะ  เตกางเขนออกกว้างต้านกับแรงดึงดูดของโลก  ผมไม่ได้ยินเสียงเต...  แต่หน้าอกของเตที่แนบชิดติดกับหลังผมมันก็สั่นจนผมรู้สึกได้

ผมอยากเห็นเตมีความสุข  อยากได้ยินเสียงเตตอนหัวเราะ  ถึงเขาจะหัวเราะแบบไม่มีเสียง  และผมก็ไม่ได้ยิน  แต่ผมก็อยากเห็นสีหน้าเขาตอนที่เขามีความสุข  ได้ยิ้ม  ได้หัวเราะ

แต่ตอนนี้....


วันเวลาผ่านไป  ผมยังคงมาหาเตและอยู่กับเตเหมือนทุกวันเท่าที่จำได้  สมัยตอนที่อยู่ร่วมกัน  แต่เตไม่เคยบอกรักผมซักครั้ง  ผมเองก็ไม่เคยพูด... 

เตไม่ใช่คนช่างพูด  ผมเป็นคนพิการ...  เตไม่มีความมั่นใจว่าผมจะรักเขามั่นคงถาวรและจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต  ดังนั้นผมจึงอยากให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจ

แต่ตอนนี้....

ตอนที่ผมยืนอยู่คนเดียว  ในขณะที่เตนอนหลับอยู่ 

ผมจึงเป็นคนเปิดปากบอกว่า  "รัก" 

" ผมรักเตนะ"

ผมบอกให้เตฟังทั้งที่เขายังนอนหลับอยู่  ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง  แต่ผมก็อยากจะบอกให้เตรู้

" ผมรักเตนะ"

" ผมจะรอเตตื่นไปตลอดชีวิต"



เวลาผ่านไปหกเดือน...

ผมยังคงอยู่กับเตเหมือนทุกๆ วัน  คอยเปิดหน้าต่าง  ป้อนอาหารทางสายยาง  พลิกตัว  อาบน้ำ  เช็ดตัว  ทำความสะอาดซอกฟันและลิ้น  ตอนนี้เตยังคงหลับสนิทไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น 

แต่ไม่เป็นไร...

ผมยังมีเวลารอเตอยู่ทั้งชีวิต 

หลังๆ มานี่  หลังจากผมแปลเอกสารวิชาการจนเสร็จ  ผมก็อ่านคำแปลในตัวเอกสารให้เตฟังอย่างน้อยหนึ่งรอบ  มีคนบอกว่าคนที่หลับอยู่สามารถรับรู้ถึง "เสียง" ที่เกิดจากความห่วงใยได้ 

ผมพยายามพูด...  แต่เพราะประสาทหูผมไม่ได้ยิน  ผมจึงไม่รู้ว่าที่พูดออกมาถูกหรือผิดบ้างหรือไม่  มีเพี้ยนบ้างหรือเปล่า  ผมพยายามฝึกพูดให้นางพยาบาลที่คอยมาดูอาการเตได้ฟัง  เธอบอกผมว่าพอรับได้  ไม่เพี้ยนมาก  ผมยิ้มรับและหลังจากนั้นมา  ผมก็อ่านเอกสารวิชาการให้เตฟังบ่อยๆ  ทุกครั้งที่ว่าง 

บางทีผมก็ร้องเพลงออกมาให้เตได้ฟังด้วย



มันคงเป็นความรัก
ที่ทำให้ตัวฉัน ยังยืนอยู่ตรงนี้
มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ใจฉัน
ไม่ยอมหยุดเสียที


บทเพลงของสแตมป์  อภิวัฒน์  ที่ผมเคยได้ฟังก่อนที่จะหูดับ 

ผมร้องเพลงคลอในขณะที่เช็ดตัวให้เต  ผมอยากให้เตรับรู้ว่าผมรักเตมาก  ถึงคนอื่นจะบอกผมว่าการที่ผมทำแบบนี้...  มันจะทำให้ผมไม่โอกาส  เตอาจจะไม่ฟื้น  ผมควรจะเริ่มต้นมีชีวิตใหม่โดยที่ไม่มีเต

แต่ผมจะไม่ยอมแพ้... 

ซักวันเตจะต้องฟื้น

และผมจะรอเตตื่นไปตลอดชีวิต


แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส
แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที
แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้



และในที่สุด... 

วันนี้...   

วันที่ผมเช็ดตัวให้เตและกล่อมเตนอนเหมือนทุกครั้ง  ตอนนี้สามทุ่มครึ่ง  เป็นเวลาที่เตควรจะหลับ  ถ้าหากเตยังอยู่ในบ้าน  ผมจูบหน้าผากเตแล้วบอกให้เตหลับฝันดี  บอกเตว่า...  ผมรักเต  และผมยังรอเตตื่นขึ้นมาเหมือนทุกวันนะ 


ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ดๆๆๆๆๆ


แต่อยู่ๆ  เสียงลมหายใจของเตที่แผ่วอยู่  จู่ๆเกิดการติดขัด  ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วหนึ่งครั้งก็ได้แต่กดออดเรียกนางพยาบาลเข้ามาดูอาการเตในห้อง  ตอนนั้นเตเสมหะติดคอ  หากดูดออกช้า  เสมหะจะอุดหลอดลม  จนเตอาจจะมีอาการสมองขาดอ็อกซิเจน

ผมกดปุ่มเรียกนางพยาบาลอย่างร้อนใจ  ไม่นานนางพยาบาลก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในห้อง  นางพยาบาลที่สนิทกับผมหน่อยก็พยายามใช้ภาษามือภาษาปากให้ผมไปยืนอยู่หลังม่าน  แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งไว้  เลยเลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆ เตียงแบบที่ไม่แกะกะนางพยาบาลแทน

นางพยาบาลยังคงสอดท่อและเคาะปอดเตเหมือนอย่างครั้งโน้น 

และผมเอง...  ก็ยังปวดใจเหมือนครั้งนั้น

ผมมองนางพยาบาลที่สอดท่อดูดเสมหะอย่างคล่องแคล่ว  เธอทำงานอย่างรวดเร็วแต่เบามือ  แต่ท่อดูดเสมหะมันอันใหญ่จนผมเห็นแล้วรู้สึกเจ็บแทนเตขึ้นมาไม่ได้  รอจนนางพยาบาลกำจัดเสมหะออกหมด  ปากเตก็แดงก่ำเพราะช้ำเลือด   

ผมค่อยๆ  เช็ดปากและหน้าให้เตอีกครั้งหลังจากที่นางพยาบาลออกไปแล้ว 

เตของผม...  น่าสงสารเหลือเกิน 

เมื่อไหร่เตของผมจะตื่น  เตจะได้ไม่ต้องมาทรมานทั้งที่ยังหลับอยู่แบบนี้

คืนนั้น...  ผมกุมมือเตไว้แล้วหลับอยู่ที่ข้างเตียงทั้งที่น้ำตายังไหลเต็มสองแก้ม

หรือบางที....

ผมควรจะปล่อยให้เตได้  "หลับอย่างสบาย" จริงๆ เสียที



เช้าวันถัดมา

ผมที่ร้องไห้จนตาบวม 

พอตื่นขึ้นมาอีกที

เตก็ฟื้นแล้ว....

เตของผมฟื้นแล้วจริงๆ  ไม่ใช่เป็นแค่ภาพลวงของความฝันที่มีขึ้นอย่างลมๆ แล้งๆ

เตยังคงหน้าขาวซีด  ดูผอมโซ  แต่ "มือ" ที่เตกุมมือผมไว้  ก็ทำให้ผมรู้ว่าเตของผมฟื้นแล้ว 

" คุณเตชินท์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ  แต่คุณเขาบอกไม่ต้องปลุก  พยาบาลกับคุณหมอก็เดินมาตรวจดูกันแล้วหลายรอบ  คุณหูไม่ได้ยินเลยไม่รู้ว่าสินะคะว่า  หมอกับพยาบาลเข้ามาพูดคุยกับคนไข้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว  ยินดีด้วยนะคะ  ที่คุณเตชินฟื้นแล้ว"

นางพยาบาลสาวที่สนิทกันเป็นคนเขียนข้อความบอกให้ผมรู้  ผมที่เพิ่งตื่นก็อ่านไปแล้วจ้องสลับกับเตที่ส่งยิ้มมาอย่างอ่อนแรง  เตกุมมือผมไว้เท่าที่แรงของเตมี  ก่อนจะขยับปากเป็นคำพูดว่า... 

ผมรักคุณ...

เตรักกันต์นะ 

คำพูด...  ที่เตไม่เคยบอก  คำพูดที่ผมไม่เคยได้ยิน

แต่ครั้งนี้...  ต่อให้ปากของเตจะไม่ได้ส่งเสียง  ถึงหูผมจะไม่ได้ยินสิ่งที่เตพูด  แต่ผมก็ "ได้ยิน" คำบอกเหล่านั้น  เหมือนมันดังก้องตรงเข้ามาสู่หัวใจ

       
ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ
บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม
เธอคือความสุขของฉัน
ถ้าเธอไม่รับมัน
ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ
ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม
ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ
เธอรอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป ได้ยินไหม


" อรุณสวัสดิ์ครับเต  เดี๋ยวผมจะพาเตกลับบ้านนะ"


คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน




เพลง มันคงเป็นความรัก
ศิลปิน แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด