พิมพ์หน้านี้ - รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: teatimes ที่ 16-12-2016 15:47:36

หัวข้อ: รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 16-12-2016 15:47:36
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



สารบัญ

ไร้รัก   (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56945.msg3535959#msg3535959)
 The Melody I (เตxกฤษ)  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56945.msg3585197#msg3585197)
 I am Zombies    (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56945.msg3635208#msg3635208)
 My Boyfriend is a Zombie  (ภาคต่อ I am Zombie) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56945.msg3660061#msg3660061)




-
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก ตอนที่ 1 16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 16-12-2016 15:54:52
ไร้รัก
Prologue (1)



ในชีวิตที่แล้วของเขา  หวงอีเหว่ย


สิ่งเดียวที่จำได้ติดหัวจนกระทั่งก่อนตายคือ  ตัวเขาไม่เคยติดค้างใคร
เขาเกิดมาในตระกูลอ๋อง  เป็นลูกชายคนโตที่พ่อไม่รัก  ตัวเขาไม่เคยโกรธแค้น
โตขึ้นมารับราชการ  ดำรงตำแหน่งเป็นแค่ผู้ช่วยเล็กๆ  ค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาด้วยลำแข้งของตัวเอง  แม้จะยากลำบาก  แต่เขาไม่เคยโกรธเคือง


โตมาอายุครบ  18  ที่ชายแดนมีปัญหาน้ำแล้ง  ผู้คนอดอยากล้มตาย   เขาถูกส่งไปตรวจตราดูแล  ขึ้นชื่อว่าเป็นชายแดน  ไม่ว่ายังไงก็ฟังดูลำบากข้นแค้น  แต่เขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นขุนนาง  การลำบากเพื่อประชาชนคือหน้าที่ของเขา   อีกอย่างชีวิตเขาก็เป็นแบบนี้  อยู่เงียบๆไม่มีปากมีเสียงอะไรมาก  เป็นถึงบุตรชายคนโตของชินอ๋อง*  แต่อายุ  18  แล้วก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งยศตามบรรดาศักดิ์  เขาได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ  ก้มหน้าคุกเข่ารับราชโองการ  ไปอยู่ชายแดนไกลหน่อยก็ดีเหมือนกัน  อย่างน้อย  เขาก็จะได้ไม่ต้องทนเห็นภาพบาดตา

เขาใช้เวลาอยู่ที่ชายแดนเกือบ  5  ปี  ค่อยๆ  พัฒนาพื้นที่แห้งแล้งให้อุดมสมบูรณ์มากขึ้น  ค่อยๆปรับเปลี่ยนโครงสร้างของผังเมืองให้มีความมั่งคง  ขยายอาณาเขตทางชายแดนด้วยกำลังคนอันน้อยนิดจนสามารถยึดพื้นที่ติดชายทะเลได้  พัฒนาแหล่งน้ำให้มีมากพอทั้งการกินการใช้และการคมนาคม  ผู้คนเริ่มหลั่งไหลมายังชายแดนที่ครั้งหนึ่งเคยแห้งแล้ง  ประชาชนในการปกครองของเขาเริ่มมีความสุขเพิ่มมากขึ้น   ทุกคนหัวเราะออกและยิ้มได้  เขาเองก็มีความสุข  ทุกวันๆ  ที่มีเวลาเขาจะนั่งอยู่ตรงโขดหินริมชายฝั่งทะเล  มองเรือสินค้าที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น  เขารักเมืองนี้เหมือนลูกของตัวเอง  รักมากกว่าเมืองเกิด  การเห็นเมืองนี้เติบโตอย่างมั่นคงคือความสุขอย่างหนึ่งของตัวเขา



แต่ความสุขก็อยู่กับเขาไม่นานนัก  วันหนึ่งก็มีสารลับส่งตรงมาจากวังหลวง  องค์ชายสามก่อกฎบหวังขึ้นครองราชย์แทนองค์รัชทายาทที่ได้การแต่งตั้ง  เขาถูกเรียกตัวกลับ  บิดาของเขาจบชีวิตลงหลังจากปกป้ององค์ฮ่องเต้  น้องชายคนรองอยู่ข้างองค์ชายสาม  ฮ่องเต้เองก็ประชวรหนักเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก  สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผันแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย  เขาต้องรีบกลับไปเมืองหลวงเพื่อชิงตำแหน่งชิงอ๋องคืน  รวมทั้งต้องหาทางจัดการกับน้องรองก่อนที่เขากับองค์ชายสามจะก่อกฏบสำเร็จ

เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางมรสุมทางการเมืองอยู่สองปีกว่าทุกอย่างจะจบลง  องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองบังลังก์ในที่สุด  น้องรองกับองค์ชายสามถูกไล่ต้อนไปจนถึงชายแดน  เขาไม่ได้ไล่ตามไปด้วยตนเองแต่ก็รู้ข่าวมาว่าทุกอย่างจบไม่สวยนัก  คนหนึ่งตายไร้แผ่นดินกลบหน้า  คนหนึ่งถูกตัดหัวเสียบประจาน  ชีวิตคนก็อย่างนี้  คนชนะเป็นเจ้า  คนแพ้เป็นทาส  ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งหนาว  แถมไม่มีใครมีจุดจบที่ดีเลยซักคน

วันเถลิงราชสมบัติทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น  ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีฮ่องเฮาอยู่เคียงข้าง  สายฝนโปรยปรายอยู่บางๆตลอดทั้งเช้าท่ามกลางท้องฟ้าสว่างสดใส  โหรหลวงทำนายว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี  ประเทศชาติจะเจริญรุ่งเรื่องก้าวหน้า  รัชสมัยของพระองค์ประชาชนจะอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า  แผ่นดินเป็นปึกแผ่น  ร่มรื่นปราศจากสงคราม  เขาก้มหน้าต่ำตลอดพิธีการ 

ฉากหน้าคือประชาชนอยู่ดีกินดี  ฉากหลังคือคลื่นใต้น้ำที่ไม่มีวันสงบในราชสำนัก



หลังฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์  เขาได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นชินอ๋องอย่างเป็นทางการ  ครอบครองวังและทรัพย์สินต่อเสด็จพ่อ  แม่รองของเขาต้องโทษประหารชีวิตฐานสมคบคิดกับลูกชายก่อกบฏ  คนในวังอ๋องถูกเปลี่ยนยกชุด  เขาย้ายคนสนิทของตัวเองไม่กี่คนกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อดูแลเรื่องส่วนตัว  กองกำลังทหารที่มีก็สั่งให้เฝ้าระวังอยู่ที่ชายแดน  ตอนนี้วังที่หรูหราโอ่อ่า  มีคนอยู่อาศัยแค่ไม่กี่คน  ขุนนางบางกลุ่มที่มักใหญ่ใฝ่สูงพยายามส่งนางกำนัลหลายคนมารับใช้เขา  เขาเพียงตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ  หลายคนเริ่มเปรยถึงตำแหน่งว่าที่พระชายา  เขาที่อายุ  25  มีตำแหน่งเป็นถึงชินอ๋อง  แต่ไม่มีชายาซักคนไม่น่าแปลกหรือ

แต่ต่อให้แปลกแล้วอย่างไร  เขาไม่คิดจะทำให้ใครเสียใจอยู่แล้ว  ตำแหน่งพระชายาเอกที่มีแต่ตำแหน่ง  แต่หากขาดความรักของผู้เป็นอ๋องเป็นสิ่งดีหรือ  เขาไม่อยากทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียใจ  อยู่กับสามีที่ไม่มีวันรักตนเอง  ถึงเขาจะมีความเมตตาให้  แต่ความเมตตาไม่ใช่ความรัก  เขาไม่มีวันรักนางสุดหัวใจ   เหมือนกับที่รักใครอีกคน

เขาดำรงตำแหน่งชินอ๋องและทำงานอย่างเต็มความสามารถ  ฮ่องเต้ให้ความวางพระทัยในตัวเขา  จัดตำหนักภายในพระราชวังให้เขาอีกหนึ่งหลังเผื่อวันที่เขาต้องทำงานหนัก  อำนาจที่ไม่เคยมีเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในมือ  กรมกองต่างๆ เริ่มขึ้นตรงกับตัวเขา  ตอนนี้ฝ่าบาทยังไม่มีองค์รัชทายาท  เขาคือผู้มีสิทธิอันชอบธรรมในราชบัลลังก์หากมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น...

รอบตัวเขามีคนมากมายหลายประเภท  ทุกย่างก้าวที่เดิมเหมือนอยู่ท่ามกลางพงหนาม  หากก้าวพลาดไม่พ้นที่จะถูกทิ่มแทง 

แล้วแบบนี้จะให้เขามีชายาอีกหรือ  จะให้นางมาเป็นตัวประกันทางการเมือง  หรือหากมีลูก  เขาจะทนเห็นลูกตัวเองตายได้หรือ  หากต้องเลือกระหว่างลูกกับความถูกต้อง

ยังดีที่เขาไม่ต้องผจญกับปัญหานี้นาน  เพราะในที่สุดฮองเฮาก็มีพระประสูติกาพระโอรส  องค์ชายน้อยตัวขาวน่ารัก  หน้าตาไม่ผิดไปจากพระบิดาแม้แต่น้อย  เขาถูกเปลี่ยนศักดิ์เป็นพระปิตุลา  ไปเยี่ยมเยียนองค์ชายน้อยกับฮองเฮาเกือบทุกวัน  มององค์ชายน้อยตัวเล็กด้วยความรักใคร่  ถึงยังไงเขาก็มีลูกไม่ได้อยู่แล้ว  องค์ชายน้อยเองก็ถือว่าเป็นญาติเขา   เขาจะรักเหมือนลูกก็ไม่แปลก 

แต่สายตาของคนในราชสำนักกลับมองว่าเขาเป็นคนคิดคด  เสแสร้งแกล้งทำเป็นรัก  ทั้งที่ในใจอยากครอบครองบัลลังก์

เขาไม่สนสายตาคนอื่นอยู่แล้ว  ทุกอย่างตอนนี้ก็แค่ภาพลวงที่เขายอมปิดตาหนึ่งข้างเพื่อมองเห็นแต่สิ่งดีๆ  รอบตัวเขามีคนจริงใจอยู่ด้วยแค่หนึ่งคนเท่านั้น  และเป็นคนที่เขาเตรียมไว้สำหรับชีวิตหลังความตาย




ช่วงเวลาสองปีก่อนตายเป็นช่วงที่เขาขมขื่นที่สุดในชีวิต  อยู่ๆฮองเฮาที่ควรจะอยู่ในตำหนักก็หายตัวไปอย่างลึกลับ  ทหารที่เฝ้ายามอยู่ไม่มีใครรู้  ฮ่องเต้พิโรธหนักถึงขั้นฆ่าล้างตระกูลทหารทั้งหมดอย่างลับๆ  พระแม่ของแผ่นดินหายไปไม่ใช่เรื่องเล็กๆ  เขาถูกเรียกตัวเข้าพบ  รับราชโองการให้ปิดปากทุกคนที่รู้เรื่อง  ยังดีที่องค์ชายน้อยปลอดภัย  สถานการณ์เลยไม่ตึงเครียดมากนัก  เขาขออาสาเป็นคนตามหาตัวฮองเฮากลับมา  แต่ฮ่องเต้กลับไม่ทรงยินยอม  ดึงดันที่จะออกไปตามหาคนรักด้วยพระองค์เอง

ครั้งนั้นเป็นการทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่ที่สุดของเขากับฝ่าบาท  เขาไม่เคยขึ้นเสียงกับพระองค์เลยซักครั้ง  แต่ครั้งนี้...  การที่พระองค์จะเสร็จออกไปเสี่ยงอันตรายด้วยตนเองเขาไม่เห็นด้วย  เขารู้ว่าฝ่าบาทรักฮองเฮาขนาดไหน  เขาประจักษ์ด้วยตนเองมาตั้งแต่ต้น  และเขาก็ยอมที่จะตัดใจ 

แต่ตอนนี้ฝ่าบาทกลับยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่ตนรัก  ยอมสละบัลลังก์ที่ได้มาอย่างลำบากโดยไม่เห็นคุณค่า  แล้วจะให้เขาทำใจได้หรือ  เขาทำใจไม่ได้  และมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ครองบัลลังก์ควรทำเลยซักนิด!

" กระหม่อมทราบว่าฝ่าบาททรงเป็นห่วงฮองเฮามาก  แต่โปรดประทับอยู่แต่ในเมืองหลวงเถอะพะยะค่ะ  หากฝ่าบาททรงกังวลพระทัย  กระหม่อมขออาสาออกไปช่วยเหลือฮองเฮากลับมาเอง"  เขาข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ  พยายามหาเหตุผลต่างๆมาชี้แจง

" แล้วจะให้ข้าปล่อยให้เหมยผิงอยู่ในมือหวางเฟิ่งเหรินหรือ!  เฟิ่งเหรินคิดอะไรกับนางมีหรือว่าเจ้าไม่รู้  เจ้าจะให้ข้าอยู่เฉยๆ  มองนางตกอยู่ในอันตรายโดยที่ไม่ทำอะไรหรือไง!"  หวางเฟิ่งเหรินคืออ๋องต่างแผ่นดินที่หลงรักฮองเฮาตั้งแต่ยังเป็นสาวน้อย  ขนาดนางแต่งงานได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาและมีลูกแล้วยังไม่ยอมตัดใจ

" ฝ่าบาท..  ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่าเหมยผิงเป็นฉลาด  ทั้งบุ๋นทั้งบู๊นางก็ทำได้ดีทั้งนั้น  ไม่ว่าอย่างไรนางก็สามารถเอาตัวรอดได้  ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ดีเถิด  หากฝ่าบาทตกหลุมพลางไปอีกคน  แผ่นดินซินเจียงของเราก็ไม่มีที่อยู่แล้ว" 

เขาพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ  เฟิ่งเหรินอ๋องมีหรือจะไม่คิดทำการใหญ่  แค่ลักพาตัวฮองเฮาไปนั่นถือเป็นเรื่องเล็ก  แต่ชายแดนฝั่งตะวันออกของเรากับทัพของเฟิ่งเหรินอ๋องกระทบกระทั่งกันอยู่เป็นระยะๆ  ถึงภายนอกจะดูว่าทุกอย่างสงบสึข  แต่ขอแค่มีชนวนสงครามทุกอย่างก็พร้อมจะปะทุ  เมืองหน้าด่านที่คอยเฝ้าระวังก็พร้อมที่จะแปรพักตร์ได้ทุกเมื่อ  ทัพใหญ่สามเหล่าทัพของเราถึงแม้จะมีเสบียงและจะพร้อมออกรบ  แต่มีใครบ้างที่อยากทำสงคราม  แถมฝ่ายนั้นมีฮองเฮาอยู่ในมือ  ใครที่ไหนจะกล้าบุ่มบ่ามยกทัพไปรบ 

อีกอย่าง..  ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ก็เรื่องหนึ่ง  แต่หากต้องเลือกระหว่างฮองเฮากับแผ่นดิน  คนในกองทัพหลายคนย่อมยอมสละชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งมากกว่าแผ่นดินอยู่แล้ว  ถึงผู้หญิงคนนั้นจะเป็นหัวใจของฝ่าบาท  เป็นพระแม่ของแผ่นดินก็เถอะ  แล้วไหนจะขุนนางในราชสำนักที่พร้อมจะแตกแยก  พยายามยุแยงผลักดันให้ลูกสาวของตัวเองให้เป็นฮองเฮาคนถัดไป

ในเมื่อมองไปทางไหนก็มีแต่ความแตกแยก  สู้ให้เขาลอบไปช่วยเหมยผิงเองดีกว่า  เพราะถ้าหากเกิดความผิดพลาด  เขาก็พร้อมที่จะสละชีวิตของตัวเองเพื่อเหมยผิงอยู่แล้ว  หรือในกรณีที่เกิดสิ่งที่เลวร้ายที่สุด  ฝ่าบาทเอง......  ถึงจะต้องเสียพระทัยแต่ก็ยังสามารถคุมทัพแก้แค้นด้วยตนเองได้ 

แม่ทัพคุมทหารกับกษัตริย์คุมทหารขวัญกำลังใจย่อมต่างกัน  ฝ่าบาทเองก็มีพระปรีชาสามารถ  เขาไม่เชื่อหรอกว่าถ้าหากต้องยกทัพจับศึกกับเฟิ่งเหรินอ๋องจริงๆ  ฝ่าบาทของเขาจะแพ้

แต่ตอนนี้ฝ่าบาทของเขาเหมือนจะถูกความรักบังตา  ถึงสมองจะรู้เหตุผลและใจกลับไม่รู้  จากที่เคยเยือกเย็นก็ร้อนรนเสียยิ่งกว่าเปลวไฟ  เจ้าเหนือชีวิตมองเขานิ่งเมื่อเห็นเขาไม่ยอมแพ้  สีพระพักตร์นิ่งเฉยจนทำให้เขารู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง


แล้วในที่สุด...  พระองค์ก็พูดประโยคหนึ่งออกมา  ประโยคที่ทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น

" อีเหว่ย  หากเจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่ง  ต่อไปไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้า" 


พระองค์ตรัสออกมาด้วยสุรเสียงเนิบนิ่ง  แต่กลับตัดหัวใจเขาให้ฉีกขาดออกเป็นริ้วๆ

เขาทราบดีอยู่แล้วว่า  ฝ่าบาททราบว่าเขาตกหลุมรัก  แต่ฝ่าบาทก็เลือกที่จะนิ่งเฉยและมองดูความรักของเขาเหมือนเป็นสิ่งไม่มีค่า  ทุกอย่างที่เขาเคยทุมเทให้ไปเขาไม่เคยหวังผลตอบแทน  เขาแค่...  ขอที่จะได้อยู่ใกล้ๆเท่านั้น

แต่ตอนนี้แค่อยู่ใกล้ๆ  ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว






>>  จะม่าไหม 
>>>>  อัพเพิ่ม  เมื่อกี้ตัดครึ่งตอนผิด  =*=
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก ตอนที่ 1 16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 16-12-2016 20:45:52
ดูเหมือนมาม่าจะอืดเต็มถ้วย เอาใจช่วย...นายเอก รออ่านต่อฮะ   :m15:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก ตอนที่ 1 16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-12-2016 01:33:57
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก ตอนที่ 1 16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-12-2016 08:34:42
อ่อ ที่แท้ชินอ๋องรักฮ่องเต้
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก ตอนที่ 1 16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 17-12-2016 11:20:16
หื้ม.....ทำไมเย็นชาแบบนี้
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก ตอนที่ 1 16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 17-12-2016 15:29:57
อื้อหืออออ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก ตอนที่ 1 16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 18-12-2016 15:04:10
Prologue (2)





เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองกลับมาห้องตั้งแต่เมื่อไหร่  สิ่งเดียวที่จำได้คือสั่งทหารคนสนิทที่ยืนรออยู่หน้าห้อง  ให้เข้าไปรับพระบัญชาแทนเขา

หลังจากนั้นเขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเกือบสองสัปดาห์  ปล่อยให้ทหารคนสนิทดำเนินการตามพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้  รอจนถึงวันที่เขาต้องทำตามแผนของฝ่าบาทด้วยตนเอง  ฝ่าบาทก็เสด็จเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว

แผนการของฝ่าบาทถูกวางไว้หลายชั้น  ขั้นแรกสุดคือ เขาดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ด้วยเหตุผลที่ว่า ฮ่องเต้ทรงประชวรหนักไม่สามารถออกว่าราชการได้  เขาได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลกิจการภายในทั้งหมด  พร้อมทั้งดูแลองค์ชายน้อยที่ยังไม่สามารถดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท 

ขั้นสองคือข่าวที่คนในราชสำนักร่วมกันรับรู้แต่ช่วยกันปกปิดให้มิดชิด  เพื่อไม่ให้สั่นคลอนถึงความมั่นคงของประเทศ  เขาวางแผนลอบปลงพระชนต์องค์ฮ่องเต้  ใช้สิทธิพระปิตุลาควบคุมองค์ชายน้อย  ส่วนฮองเฮาไม่รู้เป็นตายร้ายดี  อาจถูกกักขังอยู่ในตำหนัก 

และขั้นที่สามคือข่าวที่เฟิ่งเหรินอ๋องแอบรับรู้คือ...  ฮ่องเต้ทรงสวรรคต  และเขาส่งหนังสือยืนยันบอกไปว่าไม่ต้องการให้เหมยผิงกลับเข้าเมือง

ขั้นตอนทุกอย่างที่ฝ่าบาทวางแผนไม่มีตรงไหนเป็นรอยรั่วซักนิด  คนทรยศมีอยู่รอบตัวเขาแค่ปล่อยข่าว  ทุกคนก็พร้อมที่จะคาบข่าวไปบอกเจ้านายที่แท้จริง



เขาใช้เวลาถึงเกือบครึ่งปีจึงจะดำเนินการตามแผนและลากขุนนางกังฉินเข้ามาร่วมมือได้สำเร็จ   จะเล่นบทเจ้าครองแคว้นที่ทรยศต่อแผ่นดินก็ต้องเล่นให้สมจริงถึงจะหลอกศัตรูได้  ตอนนี้เขาถูกพวกขุนนางตงฉินตราหน้าว่าเป็นคนขายชาติ  สมคบคิดกับเฟิ่งเหรินอ๋องเพื่อยึดครองแผ่นดิน 

ถึงตรงนี้เขาคงเป็นชินอ๋องที่เลวทรามที่สุดในประวัติศาสตร์  เขาออกว่าราชการแบบนับครั้งได้  และเอาแต่ขลุกอยู่ในตำหนักในกับนางกำนัล  ทุกครั้งที่ได้ขึ้นนั่งบนบัลลังก์  จะต้องมีขุนนางโชคร้ายซักคนที่ถูกเขาเนรเทศ  แต่พวกขุนนางเหล่านั้นจะมีซักกี่คนที่รู้ว่า  ที่เขาทำไปก็เพื่อปกป้องตำแหน่งขุนนางคนสำคัญของประเทศ  เพราะหากยังรั้งอยู่ในสมัยของเขา  คงมีซักวันที่ต้องถูกพวกขุนนางกังฉินกลั่นแกล้งจนตาย

เขาใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงแบบไม่สงบนัก  ไม่มีวันไหนซักวันที่มือไม่เปื้อนเลือด  สาวงาม  และหญิงนางรำสุดแช่มช้อยถูกเขาสังหารทุกวันแบบไม่มีว่างเว้น  ทุกคนล้วนเป็นสายลับ  นานวันเข้าสาวงานที่ถูกส่งมาเหลือน้อยลง  เหลือแต่มือสังหารที่ลอบเข้ามาแทน 

ไม่มีคืนไหนที่ได้หลับตาอย่างสงบสุข  ทุกครั้งที่นอนหลับเขาเห็นแต่มือตนที่เปื้อนเลือด  ทุกครั้งที่ตื่นก็ไม่เห็นความจริงใจจากคนรอบข้าง  ทุกคนที่อยู่ข้างกายเขามองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง  เหมือนเขาจะจับดาบฆ่าคนได้ทุกเมื่อ

ความเคลื่อนไหวของฝ่าบาทเขาได้ข่าวอยู่เป็นระยะ  บางข่าวก็เป็นข่าวที่สำคัญ  บางข่าวก็เป็นแค่รายงานบันทึกประจำวัน



ตอนนี้ฝ่าบาทบุกเข้าในวังของเฟิ่งเหรินอ๋องได้แล้ว  แต่การช่วยเหลือฮองเฮากลับต้องชะงัก  เนื่องจากฮองเฮาทรงมีพระครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที 

ไม่มีความเคลือบแคลงพระทัยในองค์ฮ่องเต้  หากนับเวลาตั้งแต่วันที่ฮองเฮาถูกจับไปก็เป็นเวลาที่ถูกต้องพอดี  เขาส่งคนให้ไปตรวจสอบบันทึกรอบเดือนของฮองเฮาอีกครั้ง  และทุกอย่างก็ถูกต้อง  เด็กในครรภ์ของฮองเฮาเป็นบุตรคนที่สองของฝ่าบาท

ฝ่าบาทรอจนฮองเฮามีพระสูติกาพระธิดาองค์น้อย  ก่อนดำเนินการตามแผนที่วางมานานเสียที  ฝ่าบาท  ฮองเฮา  และองค์หญิงน้อยเดินทางไปหนีไปตามเส้นทางที่วางไว้  ทุกอย่างเป็นอย่างไปอย่างราบลื่น  แต่เฟิ่งเหรินอ๋องก็ยังเป็นเฟิ่งเหรินอ๋อง  ฮองเฮาถูกจับตัวกลับไปมีหรือจะไม่คิดชิงตัวกลับ  ยิ่งฝ่าบาทลงทุนออกมาจากตำหนักเพื่อช่วยฮองเฮาด้วยพระองค์เอง  เฟิ่งเหรินอ๋องยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือมากขึ้น  เขาลงทุนส่งทหารไปสกัดตามจุดต่างๆทั่วชายแดน  แผนวางจนฝ่าบาทต้องพาฮองเฮาและพระธิดาหนีอ้อมไปทางชายแดนฝั่งเหนือแทน

ถึงตอนนี้เขาอยู่เฉยในตำหนักไม่ได้อีกแล้ว  มีสารลับสองฉบับส่งตรงมาถึงมือเขา  ฉบับหนึ่งเป็นของฝ่าบาทที่สั่งการให้เขาส่งทหารส่วนหนึ่งไปทางตะวันออกเพื่อดึงความสนใจของเฟิ่งเหรินอ๋องไว้  อีกส่วนให้ส่งคนในสังกัดที่ไว้ได้ให้ขี่ม้าเร็วขึ้นเหลือเพื่อไปช่วยเหลือฮองเฮาและฝ่าบาท 

ส่วนอีกฉบับเป็นสารจากเฟิ่งเหรินอ๋อง  ที่ต้องการให้เขาช่วยส่งคนขึ้นไปดักด้านเหนือเพื่อสังหารองค์ฮ่องเต้  ส่วนฮองเฮา...เฟิ่งเหรินอ๋องจะชิงตัวฮองเฮากลับมาเอง

ตอนที่ได้รับสารสองฉบับนี้  สิ่งที่เขาคิดได้มีอยู่อย่างเดียวคือ  ทุกคนช่างเห็นเขาเป็นคนโง่ที่หลอกใช้ได้ง่ายนัก  เพียงแค่ออกคำสั่ง  ก็คิดว่าเขาจะเดินไปตามทางซ้าย-ขวาตามที่ตนต้องการ


มาถึงตรงนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งเบื่อหน่ายเต็มที  เขาเป็นถึงชินอ๋องแต่ทุกคนกลับใช้เขาเหมือนทาส  ผู้คนที่เคยอยู่ในการปกครองของเขา  ไม่เคยมีใครต้องเหนื่อยขนาดนี้  แม้ตอนแรกที่กำลังก่อร่างสร้างเมือง  ทุกคนจะเหนื่อยกาย  แต่ไม่มีใครเหนื่อยใจเหมือนเขาซักนิด

เขาเหนื่อยและสุดจะทนกับการทำแบบนี้เต็มที




ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจก่อกบฎช่วงชิงอำนาจ  เมื่อฝ่าบาทไม่เห็นคุณค่าของแผ่นดินที่ตนทอดทิ้งไป  เขาก็จะไม่เก็บแผ่นดินนี้ต่อไปเช่นกัน  และเมื่อฝ่าบาทไม่เห็นคุณค่าของบัลลังก์ที่เขาช่วยให้ได้มาอย่างยากลำบาก   เขาก็จะช่วยทำลายมันเอง

เช้าวันรุ่งขึ้นเขามีคำสั่งถ่ายทอดราชโองการในนามองค์ฮ่องเต้  แต่งตั้งแม่ทัพตงเฉินกวางเป็นหัวหน้าแม่ทัพ  ยกกำลังพลทั้งหมดของตนขึ้นเหนือเพื่อกำจัดกองพลทหารที่กำลังรุกรานเข้ามาในประเทศ  ขุนนางฝั่งบุ๋นแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ด้วยความที่ไม่ทราบถึงเบื้องหลังทางการทหารที่แน่ชัดทำให้ต้องปิดปากเงียบ  ส่วนขุนนางด้านบู๊   ย่อมมีการถกเถียงคัดค้าน  แม่ทัพเซี่ยจิ่นสิง  ผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพมาสองรัชกาลแผ่นดิน  ถึงกับกล้าขึ้นเสียงใส่เขาที่เป็นถึงผู้แทนพระองค์และเป็นผู้สำเร็จราชการ

" กระหม่อมขอเรียนถามผู้สำเร็จราชการ  ไม่ทราบว่าท่านผู้สำเร็จราชการทราบได้อย่างไรว่าชายแดนด้านเหนือเกิดการต่อสู้  กระหม่อมไม่เห็นทราบข่าวเลยว่าชายแดนของเรากำลังเกิดปัญหา  จนถึงขั้นต้องยกทัพออกไปต่อสู้ "  แม่ทัพเซี่ยจิ่นสิงกล่าวเสียงกร้าว    เขาเป็นขุนนางที่จงรักที่สุดในแผ่นดิน  ในสมัยที่ฝ่าบาทยังเป็นองค์รัชทายาท   แม่ทัพเซี่ยก็คอยสนับสนุนอยู่เคียงข้าง  ไม่แปรพักตร์ไปอยู่กับองค์ชายสาม

" ข้าเองก็เพิ่งทราบว่าท่านแม่ทัพเซี่ยมีความสามารถถึงขั้นมีกองกำลังของตนเอง  ทราบข่าวได้ว่องไวยิ่งกว่าการข่าวของฝ่าบาท  งั้นต่อไปเรื่องในราชสำนักคงไม่ต้องถึงมือข้า  ได้แต่ปล่อยให้ท่านดูแลแล้ว "  เขากล่าวออกไปอย่างไม่ไว้หน้า  เมื่อถึงคราวที่ต้องโหด  เขาก็พร้อมที่จะเหี้ยม  เขาอดทนมานาน  ถึงเวลาที่จะปลดปล่อยทุกอย่างออกมาแล้ว

" กระหม่อมเพียงแค่เห็นว่าชายแดนของเราสงบสุขยิ่งนัก  การค้าของเรากับคนฝั่งเหนือก็เป็นไปอย่างราบรื่น  คนต่างแดนที่เข้ามาหากินในเมืองหลวงก็เยอะ  ไม่เห็นพวกเขาคุยกันว่ามีปัญหาเกิดขึ้นที่ชายแดน"

" ชาวบ้านพูด...  ท่านก็เชื่อ?  การข่าวของท่านแม่ทัพช่างกว้างใหญ่และน่าเชื่อถือเสียจริง  ต่อไปข้าคงไม่ต้องเสียเวลาตรวจฎีกา  แต่เอาเวลาว่างไปเดินเล่นแบบท่านแม่ทัพเซี่ยดูบ้างดีหรือไม่  เพื่อว่าจะได้การข่าวที่น่าเชื่อถือกลับมาบ้าง"   เขาบอกด้วยดวงตาผลิยิ้ม  ขุนนางทั้งสองฝั่งต่างปิดปากเงียบเมื่อเห็นท่าทีเขาที่เปลี่ยนแปลง  เหลือแต่เพียงแม่ทัพเซี่ยที่โกรธจนเกือบกระอักเลือด  ส่วนแม่ทัพตงที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นกลับกลั้นเสียงหัวเราะ  จนในที่สุดแม่ทัพตงก็ทนไม่ไหว  หัวเราะออกมาเสียงดังจนได้ยินไปทั้งท้องพระโรง

" ท่านผู้สำเร็จราชการกล่าวได้ถูกต้อง!  การข่าวของแม่ทัพเซี่ยช่างน่าเชื่อถือ...  จนไม่อาจจับต้องได้  ในเมื่อแม่ทัพเซี่ยแก่จนสติปัญญาเลอะเลือน  ข้าตงเฉินกวาง ขอรับหน้าที่ยกทัพเพื่อดูแลประชาชนของเราทางชายแดนฝั่งเหลือเอง  เพื่อราชสำนัก...เพื่อประชาชนของ "ฝ่าบาท"  ข้าผู้น้อยขออาสาเสียสละ!"  ตงเฉินกวางสบตาเขาอย่างมีนัยยะ  เขาจุดยิ้ม  หัวเราะเสียงดังและตบฝ่ามือลงกับพระที่นั่ง  กล่าวตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า

" ดี!  ในเมื่อแม่ทัพตงเอ่ยปากถึงขั้นนี้  ข้าขอแต่งตั้งท่านให้เป็นแม่ทัพยกพลขึ้นเหนือ   แต่งตั้งลูกชายคนโตของท่าน  ตงจื่อฉี  ให้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าทัพ  นำกำลังทหารทั้งหมดปราบศัตรูที่รุกรานแผ่นดิน!"

" ขอท่านผู้สำเร็จราชการทรงพระเจริญ!  กระหม่อมกับลูกชายจะทำงานอย่างสุดความสามารถ  นำความสงบมาสู่แผ่นดิน!" 


เมื่อตงเฉินกวางกล่าวจบ  เขาให้อาลักษณ์ส่งมอบราชโองการแต่งตั้ง  กวาดตามองแม่ทัพเซี่ยที่โกรธจัดจนลูกชายคนรองต้องเข้ามาประคองไว้   ขุนนางบางคนยังยืนก้มหน้า  บางคนมีสีหน้าสุดทนที่ปกปิดไม่มิด  แต่ก่อนที่ใครจะได้เปิดปากขัดออกมา  เขาก็ประกาศคำสั่งใหม่ออกมาอีกครั้ง

" และในเมื่อ...  ท่านแม่ทัพเซี่ยร่างกายอ่อนแอ  สติเลอะเลือนนัก  ข้าขอสั่งให้ท่านแม่ทัพเซี่ยพักผ่อนรักษาตัวอยู่ในจวน  ให้ลูกชายคนรองท่านเซี่ยเจียฉวนดูแลอย่างใกล้ชิดห้ามก้าวออกจากตำหนัก  และสั่งย้ายลูกชายคนโตที่รั้งอยู่ชายแดนตะวันออกเดินทางกลับมายังเมืองหลวงก็แล้วกัน  ครอบครัวของพวกท่านจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้า"  เขากล่าวด้วยดวงหน้าเปื้อนยิ้ม  ปกติเขายิ้มน้อยเหลือเกิน  แต่ตอนนี้เขามีความสุขนัก  เขาสบตากับเซี่ยเจียฉวนที่ทำท่าจะมาฉีกอกเขาเป็นชิ้นๆ  เบี่ยงหน้าหลบแล้วเดินออกจากบัลลังก์

เขาไม่ได้ยินเสียงด่าทอของเซี่ยจิ่นสิง  แต่คิดว่ามันคงลอยมากับลมแน่  ตอนนี้ขุนนางคงแตกแยกกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  สิ่งที่เขาพยายามมาตลอดช่างทำลายได้ง่ายดายเสียจริง  ไม่รู้จะมีใครบ้างที่เคยจำได้ว่า  ครั้งหนึ่งเขาก็เคยซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน  และซื่อตรงต่อองค์ฮ่องเต้ถึงขั้นยอมตายได้



หลังจากส่งแม่ทัพตงออกจากเมือง  เขาก็เก็บตัวอีกครั้ง  ขุนนางชั้นผู้น้อยยังคงทำงานต่ออย่างไม่ปกติมากนัก  ส่วนขุนนางใหญ่บางส่วนเริ่มหยุดงานประท้วง  บางส่วนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ฝ่ายกังฉินที่เป็นคนของเขาเริ่มผงาดและเริ่มมีบทบาทในราชสำนัก  ขุนนางตงฉินบางคนที่กล้าขวัญหน่อยก็ยื่นฎีกาต่อว่าเขา  แต่เขาไม่แม้แต่จะเปิดอ่านเลยซักนิด  วันๆ เอาแต่นั่งดีดพิณ  แต่งกลอน  วาดรูป  บางทีครึ้มอกครึ้มอกครึ้มใจก็ตัดแต่งต้นไม้เล่น 
ความจริงเขาชอบทำสิ่งเหล่านี้แต่ไม่ค่อยมีเวลานัก  คนที่รู้ว่าเขาชอบวาดรูปและแต่งกลอนเป็นงานอดิเรกจึงมีแต่คนสนิทประทำตัวแค่สองคน   คนหนึ่งคือจื่อรุ่ยเป็นองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่  ทั้งเชี่ยวชาญการรบและมีความสามารถในการออกคำสั่งแทนเขา  เพียงแค่สบตาก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร   ส่วนอีกคนชื่อฝูหรง  ฝูหรงเด็กกว่าจื่อรุ่ยมากนัก  อายุแค่สิบสี่สิบห้า  ทั้งสองคนเป็นคนที่เขาเก็บมาเลี้ยงตอนอยู่ที่ชายแดน  ทั้งสองคนเคยเป็นทาสที่ถูกใช้งานหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด  เขาช่วยเหลือทั้งรุ่ยจื่อที่ตอนนั้นโตเป็นหนุ่มแล้ว  กับฝูหรงที่ยังเป็นเด็กเล็กทั้งยังขาพิการเดินได้ไม่ตรง

ในบรรดาคนทั้งสองเขาคาดหวังกับจื่อรุ่ยที่สุดเพราะจื่อรุ่ยเป็นคนมีความสามารถ  สั่งสอนอะไรก็จดจำ  วิชายุทธก็เป็นเลิศ  เขาสอนไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถพลิกแพลงจนมีเพลงดาบของตนเองได้  ในขณะที่ฝูหรงกลับเป็นคนไม่เอาอ่าวนัก  ซ้ำยังอ่อนแอและมีแต่รอยยิ้มเซ่อๆ  เขาต้องสั่งต้องสอนอยู่นานถึงจะทำงานเป็นบ้าง  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่ไม่หนักมากนักเพราะเจ้าตัวขาไม่แข็งแรงซ้ำยังเป็นเด็กเล็ก  เขาเลยให้ทำงานประเภทหยิบจับเครื่องเขียน  ยกน้ำชงชา  ช่วยพวกนางกำนัลทำความสะอาดบ้าง  คอยช่วยเขาผลัดเปลี่ยนผ้าและช่วยอาบน้ำ  บางทีก็ทำอาหารอย่างง่ายๆมาให้เวลาที่ในจวนไม่มีอะไรให้ทาน  ตอนที่อยู่ชายแดนนั้น  ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องอดมื้อกินมื้อไม่เคยได้อยู่อย่างอิ่มท้อง  หลังๆมาถึงดีขึ้นเพราะเขาตัดใจเอาสมบัติส่วนตัวออกขาย  ทุกคนถึงพอกินบ้าง  แล้วพอเมืองเริ่มเติบโต  พวกเขาถึงได้กินอิ่มทุกมื้อ  ส่วนสมบัติเก่า...บางส่วนก็หากลับมาไม่ได้เพราะถูกขายต่อไปแล้ว

ดังนั้นตอนกลับมาเมืองหลวงเขาจึงนำทั้งสองกลับมาด้วย  เขาไม่ชอบผู้หญิงและไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว  ฝูหรงจึงทำหน้าที่เป็นคนรับใช้ส่วนตัว  จื่อรุ่ยรับหน้าที่ทำงานที่ต้องออกไปภายนอก  งานข่าวสาร  และการส่งสารลับเขาก็ไว้ใจแต่จื่อรุ่ยคนเดียวเท่านั้น



เวลาผ่านไปจนถึงฤดูหนาว  สารลับจากฝ่าบาทไม่มีมาถึงมืออีกแล้ว  ฝ่าบาทคงทราบแล้วว่าเขาก่อกบฎคิดทรยศ  แต่แล้วอย่างไร  ข้างกายเขามีสายลับ  แล้วข้างกายฝ่าบาท  เขาจะไม่ส่งสายลับไปไม่ได้หรือ  เพียงแต่ก่อนหน้านี้สายลับของเขามีหน้าที่แค่คอยดูแลฝ่าบาทและปกป้องฝ่าบาทห่างๆ  เท่านั้น  แต่ตอนนี้...ในเมื่อฝ่าบาทบังคับเขาจนหมดหนทาง  จะมาหาว่าเขาใจร้ายและโหดเหี้ยมก็คงไม่ได้แล้ว

เขาได้ข่าวจากสายลับมาอยู่เป็นระยะ  ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน  ทำอะไร  มีแผนอย่างไรบ้าง  เขาทราบหมดทั้งนั้น  เพียงแต่ช่วงนี้อากาศหนาวจัด  เขาจึงขยับตัวได้ไม่มาก  แค่โดนลมนิดๆหน่อยๆ ก็เจ็บจนลุกไม่ขึ้น  ทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้แข็งแรงมากแต่ก็ไม่ถึงกับทรุดติดเตียงขนาดนี้  หน้าหนาวปีนี้เขาป่วยหนักกว่าทุกที 

ดูท่า...เขาคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน  และคงต้องรีบลงมือตามแผนที่วางไว้แล้ว


ช่วงที่ป่วยเขาไอสลับกับเป็นไข้และเจ็บหน้าอกอยู่เป็นระยะ  เขาป่วยเป็นโรคหอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว  แต่พอโตมาก็ดีขึ้น  ไม่คิดว่าตอนนี้อาการกลับกำเริบขึ้นมาอีก  บางคืนต้องตื่นขึ้นมาไอและนอนไม่หลับ  จื่อรุ่ยกับฝูหรงก็ดูเป็นกังวลหนัก  ฝูหรงที่ทำหน้าที่ต้มยาบางทีก็ไม่ได้พัก  เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาในห้องพร้อมถ้วยยาด้วยขอบตาสีดำคล้ำ  เด็กน้อยของเขาอายุแค่สิบห้าเท่านั้น  แต่กลับต้องลำบากขนาดนี้

" ได้นอนบ้างหรือไม่"  เขาถามเสียงแหบแห้ง

" บ่าวทนได้ขอรับ  คุณชาย  เอ๊ย  ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง" 

ฝูหรงนี่สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำ  เอาแต่เรียกเขาคุณชายเหมือนตอนอยู่บ้านนอก  ราชาศัพท์ก็จำไม่ได้  คำลงท้ายก็ไม่ค่อยมี

" แค่อากาศเปลี่ยนเท่านั้น  เจ้าอย่ากังวล  ไปพักผ่อนบ้าง  ประเดี๋ยวก็ปวดขาหรอก" 

เพราะขาที่ไม่แข็งแรงทำให้ฝูหรงต้องปวดขาอยู่เป็นระยะ  โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่เย็นจัดขนาดนี้  เขาเคยปรุงยาให้จนเจ้าตัวจำสูตรยาและปรุงเองได้  ตอนนี้ฝูหรงเริ่มอ่านใบสั่งยาได้เพราะเขาคอยสั่งอยู่เป็นประจำ

" บ่าวทนได้ขอรับ  แต่คุณชายต่างหาก  ปีนี้ป่วยนานเกินไปแล้ว" 

ฝูหรงบ่นพำพัมแล้วส่ายหน้าเซ่อๆ  ฝูหรงก็เป็นแบบนี้คิดอะไรก็ออกมาก็พูด  แล้วไม่ค่อยจะไตร่ตรองคิดให้ลึก  เขาล่ะเป็นห่วงเหลือเกิน  กลัวว่าหากตัวเองเป็นอะไรไป  เด็กคนนี้จะอยู่ไม่ได้

" ฝูหรงจำที่ข้าเคยบอกได้หรือไม่"

" เรื่องอะไรหรือขอรับ" 

" เรื่องที่......................”

" คุณชาย!  บ่าวไม่ชอบให้คุณชายพูดแบบนี้เลย" 

" บ่าวที่ไหน  ตอนนี้เจ้าก็เหมือนลูกของข้าแล้ว  อย่าบ่นมาก  ข้าแค่เตือนความจำเท่านั้น  ไม่ใช่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเสียหน่อย"

เขาบอกแล้วตบบ่าฝูหรงที่ทำท่าจะร้องไห้  เขาเป็นคนเดียวที่ข้ายอมถูกตัว  คนเป็นอ๋องปกติก็ไม่ถูกตัวใครง่ายๆ อยู่แล้ว  กับเขาที่มีความหลัง  ยิ่งไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว  มีแต่ฝูหรงคนเดียวเท่านั้นที่ยอมได้

" ไปพักผ่อนได้แล้ว"   

เขาไล่ฝูหรงออกไปเป็นการตัดบทแล้วนอนพักอยู่ในห้อง  พอลมหนาวพัดผ่านมาเขาก็ไออยู่อีกพักใหญ่  กว่าจะไอจบ  เลือดที่ออกมาจากปอดก็เปรอะตัวไปหมดแล้ว




>>  มันยาวกว่าที่คิด  T^T
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 2 18/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: autopilot ที่ 18-12-2016 17:44:35
อู้ววว. มาต่อเร็วๆนะคะ เดี๋ยวมาม่าจะอืดหมดก่อนนน
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 2 18/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-12-2016 18:04:54
สรุปว่าท่านอ๋องป่วยตาย?
แอบสงสัยว่าคนที่ลักพาฮองเฮาไปมีปัญหามากขนาดนั้น ทำไมฮ่องเต้ไม่ฆ่าเสีย
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 2 18/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-12-2016 18:24:49
 :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 2 18/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 18-12-2016 18:36:55
 :sad4: รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 2 18/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 18-12-2016 18:40:15
สรุปว่าท่านอ๋องป่วยตาย?
แอบสงสัยว่าคนที่ลักพาฮองเฮาไปมีปัญหามากขนาดนั้น ทำไมฮ่องเต้ไม่ฆ่าเสีย

ท่านอ๋องไม่ได้ป่วยตายค่ะ  (บอกแบบนี้ถือว่าสปอยไหม  555)
ส่วนคนที่ลักพาตัวฮองเฮาไปเป็นอ๋องของอีกเประเทศค่ะ  ไม่ได้เป็นอ๋องในประเทศเดียวกัน  สงสัยเขียนไม่เคลียร์เด๋วปรับให้ค่ะ><
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 2 18/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 18-12-2016 22:20:14
ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ รออ่านตอนต่อไป To Be Continued...
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 2 18/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-12-2016 00:50:50
สรุปว่าท่านอ๋องป่วยตาย?
แอบสงสัยว่าคนที่ลักพาฮองเฮาไปมีปัญหามากขนาดนั้น ทำไมฮ่องเต้ไม่ฆ่าเสีย

ท่านอ๋องไม่ได้ป่วยตายค่ะ  (บอกแบบนี้ถือว่าสปอยไหม  555)
ส่วนคนที่ลักพาตัวฮองเฮาไปเป็นอ๋องของอีกเประเทศค่ะ  ไม่ได้เป็นอ๋องในประเทศเดียวกัน  สงสัยเขียนไม่เคลียร์เด๋วปรับให้ค่ะ><

เรื่องท่านอ๋องอีกรัฐหนึ่งเขียนได้ชัดเจนอยู่แล้วค่ะ แค่หมั่นไส้เฉย ๆ ว่าเป็นตัวปัญหาขนาดนี้น่าจะได้รับบทเรียนอะไรบ้าง ไม่ควรได้อยู่สุขสบายปั่นหัวชาวบ้านไปวัน ๆ ในขณะที่ผู้สำเร็จราชการเหนื่อย(ใจ)แทบตายแล้ว
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 3 27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 27-12-2016 18:46:25
Prologue (3)




หลังจากไอออกมาเป็นชุดใหญ่  เขาแอบเอาเสื้อผ้ากับผ้าห่มเปื้อนเลือดไปเผาโดยไม่บอกให้ใครรู้  ความจริงเขาไม่ควรป่วยหนักขนาดนี้  แต่อีกฝ่ายลงมือหนักเหลือเกิน  หากเขาไม่พอมีความรู้ด้านสมุนไพรอยู่บ้าง  คงตายไปตั้งแต่ต้นฤดูหนาวแล้ว 

เขาทอดถอนใจแล้วมองกลุ่มควันลอยไปสู่ปุยเมฆ  ตอนนี้ฝ่าบาทอยู่ตรงพรมแดนทางเหนือแล้ว  ตงเฉินกวางก็เตรียมขนาบทัพดักฝ่าบาทที่หุบเขาเซียงเช่า  เหนือหุบเขาเซียงเช่าเป็นที่ราบลุ่ม  ฝ่าบาทคงหนีไปไหนไม่รอด  เฟิ่งเหรินอ๋องก็นำกำลังคนกว่าสามพันคนเข้าโอบล้อม 

น่าเสียดาย...  เขาอุตส่าห์ปล่อยให้ชายแดนตะวันออกให้ว่างเปล่าไร้แม่ทัพ  โดนการรั้งเซี่ยจื่อหวน...ลูกชายคนโตของแม่ทัพเซี่ยให้กลับมายังเมืองหลวง  ชายแดนตะวันออกที่ไม่มีแม่ทัพคอยดูแล  ง่ายดายที่จะพิชิตนัก  แต่เฟิ่งเหริ่นอ๋องกลับเลือกที่จะต่อกรกับฝ่าบาทเพื่อช่วงชิงฮองเฮา   เฟิ่งเหรินอ๋องคงคิดว่าแค่รองแม่ทัพของตนก็เพียงพอที่จะชนะศึกแล้ว....

แต่ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่อยู่ในเงามืด  กองทัพของเฟิ่งเหรินอ๋อง  ไม่แน่ว่าจะชนะเสมอไป


ศึกที่ชายแดนตะวันออกจะเป็นอย่างไร  ไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว   จะชนะหรือแพ้กองกำลังของเฟิ่งเหรินอ๋องและของฝ่าบาทเองที่เป็นทัพใหญ่คงไม่เหลืออยู่ไม่มาก  หากคิดจะก่อสงครามเพิ่มก็คงต้องรอบูรณะกองทัพใหม่ไปอีกหลายปี   ส่วนเรื่องในวังหลวง  ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเขาแทบไม่รับรู้  เห็นว่ามีการปะทะกันระหว่างขุนนางอยู่บ้าง  แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นหักล้าง  ทุกคนรอดูสถานการณ์อยู่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ  ยังดีที่ทหารคุ้มกันตำหนักยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยม  เขาถึงยังไม่ตายจากการถูกลอบสังหาร


เวลาผ่านไปจนถึงยามย่ำค่ำที่เขาต้องดื่มยาอีกครั้ง   ครั้งนี้จื่อรุ่ยเป็นคนนำยามาให้  พร้อมกับข่าวคราวของฝ่าบาทที่ได้มาจากสายลับ

" ท่านอ๋อง  ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจนมุมอยู่ที่หุบเขาเซียงเช่า  เฟิ่งเหรินอ๋องกับแม่ทัพตงกำลังตีโอบทั้งสองด้าน  คาดว่าอีกไม่นานคงได้ตัวฝ่าบาทกับฮองเฮาแล้ว" เขารับยามาแล้วยกขึ้นดื่ม  รสชาติของยาช่างขมเฝื่อนเหมือนใจคน

" เฟิ่งเหรินอ๋องข้าไม่กังวลนัก  เพียงแต่แม่ทัพตงคงไม่รอด  หุบเขาเซียงเช่า  แท้จริงแล้วเป็นกับดับ  ด้านตะวันตกเฉียงเหนือเลยไปจากหุบเขา  ดูเหมือนจะเป็นที่โล่งแจ้ง  แต่แท้จริงแล้วกลับมีทางลับหลายเส้นทางนัก  ฝ่าบาทไปถึงที่นั่นได้ย่อมคาดหวังชัยชนะ  เพียงแต่จะกำจัดเฟิ่งเหรินอ๋องได้หรือไม่คงต้องรอดู"  เขากล่าวออกไปก่อนไอออกมาอีกซักพัก  พยายามสูดลมหายใจเข้าปอด  แต่ดูเหมือนอากาศจะน้อยลงทุกที

" ท่านอ๋อง!"

" ......ไม่เป็นไร  แค่หน้ามืดเท่านั้น  ยาหม้อนี้ใครเป็นคนต้ม"

" เป็นฝูหรงตามปกติพะยะค่ะ"  จื่อรุ่ยตอบ  แล้วช่วยพยุงเขาขึ้นให้เอนตัวลงนอนพัก  เขาเสียใจเหลือเกิน...

" ต่อไป...  เจ้าเป็นคนต้มยาแล้วกัน  ฝูหรงหยิบจับอะไรไม่ค่อยได้เรื่อง  ไม่รู้ว่ายานี่ต้มตามที่บอกหรือไม่  ข้าถึงไม่หายเสียที"

" พะยะค่ะ" 

รอจนจื่อรุ่ยรับคำแล้วเดินออกจากห้อง  เขาถึงค่อยพยุงสังขารที่ซีดเซียวทั้งยังผอมแห้งเต็มทน  เปิดกล่องลับใต้โต๊ะ  ก่อนกินยาที่ปรุงขึ้นเองสองเม็ดอาการก็ดีขึ้น  เขาเดินกลับเตียง  ล้มตัวลงแล้วนอนหลับตา 

ตอนที่ช่วยทั้งสองคนมา  เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนใดคนหนึ่งจะเป็นสายลับ  แต่จากประสบการณ์ทำให้เขาต้องตรวจภูมิหลังของทุกคนก่อนเอาเข้ามาใกล้  และไม่น่าเชื่อเลย  คนที่เขาช่วยมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ  สุดท้ายกลับทำกับเขาได้ขนาดนี้

เขาอาการทรงๆทรุดๆ  อยู่หลายวัน  รอจนอากาศอบอุ่นถึงค่อยดีขึ้น  เขาเริ่มออกไปเดินในสวนได้  ได้นั่งวาดภาพเขียนรูปเล่น  ได้รับแดดที่ส่องลงมาจากดวงอาทิตย์ยามเช้า  เขาวาดรูปต้นสนและต้นหลานฮวาให้ฝูหรงดู  ฝูหรงชื่นชมภาพวาดของเขายกใหญ่  พอถามว่าทราบความหมายหรือไม่  ก็บอกมาว่าไม่ทราบ

" ต้นสนเป็นไม้เมืองหนาว  มีความอดทนต่อสภาพแห้งแล้ง  ลำต้นที่สูงเด่นเป็นสง่า  แสดงถึงความสง่างามและความกล้าหาญ  ทั้งยังหมายถึงความแข็งแกร่งของจิตใจ  บางครั้งถือเป็นการอวยพรให้อายุมั่นขวัญยืน

ส่วนต้นหลานฮวา  มีที่มาจากกวีเอกนาม เผาหยวนหมิง เขาได้เขียวกวีกล่าวไว้ว่า  ต้นหลานฮวาเปรียบเสมือนวิญญูชนที่มีความอ้อมน้อมถ่อมตน  มีความบริสุทธิ์  ไม่คิดคดทำร้าย  ส่วนใหญ่จะมอบให้กับคนที่มีความสามารถและความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่  แน่นอนว่าต้องมีความซื่อสัตย์ต่อเจ้านายด้วย...  เจ้าเข้าใจหรือไม่ฝูหรง"

" บ่าวไม่เข้าใจหรอกขอรับคุณชาย  เรื่องยากๆแบบนี้  บ่าวเพียงแค่มองเห็นแล้วชอบก็ชมว่ามันสวยเท่านั้น  บ่าวไม่คิดอะไรมาก" 

พอฟังจบเขาก็ได้แต่ถอดถอนใจก่อนส่งเสียงหัวเราะ  เด็กน้อยของเขา  โตมาจนถึงป่านนี้ก็ไม่ยอมเข้าใจอะไรเสียที  ยังดีที่พอจะฝากฝังอะไรได้บ้าง  ไม่อย่างนั้นชีวิตเขาคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

รอจนภาพวาดแห้งเขาก็ส่งภาพให้จื่อรุ่ยที่เดินมาพอดี  เขาไม่สบตามองท่าทีของจื่อรุ่ยที่มีต่อภาพวาด  เพียงแต่จุ่มมือลงในอ่างน้ำอุ่นจัดจนควันขึ้นเพื่อล้างมือ  พอเช็ดมือเสร็จเขาก็รับสารลับที่จื่อรุ่ยส่งมาให้  ก่อนอ่านข้อความ  และเปล่งเสียงแสดงความคิดเห็น

" ทัพของตงเฉินกวางถูกตีแตกไปแล้ว  ฝ่าบาทช่างปรีชาสามารถนัก  มีกองทัพอยู่ในมือไม่กี่พันคน  ก็สามารถตีทัพนับหมื่นของตงเฉินกวางให้แตกพ่ายได้"  พอพูดจบเขาก็แค่นหัวเราะ  กองทัพไม่กี่พันคน...

คิดหรือว่าเขาจะไม่รู้ถึงความในที่แอบซ่อน  เขาอยู่กับฝ่าบาทมานาน  ฝ่าบาทมาแผนการไหนเขาก็พร้อมรับมือทั้งนั้น  ขอเพียงแต่เขายอมทำตัวตัวโหดเหี้ยมซักนิด

แต่น่าเสียดาย...  สุดท้ายคนที่เขาเหี้ยมโหดด้วยที่สุดก็คือตัวตนเขาเองเท่านั้น  ช่างน่าสมเพชที่ถึงตอนนี้เขายังหลงรักฝ่าบาทไม่เลิก  ต่อให้อีกฝ่ายอำมหิตกับเขาแค่ไหน  สุดท้ายเขาก็ยังตัดใจจากอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี

เขาถอดทอนใจออกมาจนเห็นควันขาว  ตอนนี้อากาศอุ่นแต่ก็ยังหนาวเย็นนัก  เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาก็ได้แต่ทำตามแผนการที่วางไว้  การเดิมพันครั้งสุดท้ายที่เขาคาดหวัง  ไม่ว่าจุดจบจะเป็นแบบไหน  เขาก็ตัดสินใจและเตรียมจุดจบสำหรับทุกอย่างเอาไว้แล้ว  เพียงแต่ไม่รู้ว่าจุดจบจะเป็นฝันดีหรือฝันร้ายในชีวิตเขา

" ทัพตงเฉินกวางถูกตีแตกพ่ายไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนัก  น่าเสียดายที่เฟิ่งเหรินอ๋องทำตัวเป็นพยัคฆ์ดูเสือกัดกันอยู่บนยอดภูเขา  ไม่เอาทัพของคนเองมาร่วมรบด้วย  ในเมื่อเฟิ่งเหรินอ๋องไม่กล้าลงมือ  ข้าก็จะวางกับดักล่อเขาเอง  จื่อรุ่ย  เจ้าส่งสารไปให้เฟิ่งเหรินอ๋อง  บอกว่าข้าต้องการพบที่ฐานทัพร้างบริเวณหุบเขาเซียงเช่า  บริเวณนั้นหากเฟิ่งเหรินอ๋องยอมยกทัพของตนมา  รวมกับทัพของข้าย่อมตีขนาบทัพของฝ่าบาทได้อยู่แล้ว  ถึงฝ่าบาทจะมีทัพของเซี่ยจื่อหวนคอยช่วย  แต่เพราะต้องประมือกับทัพของตงเฉนกวาง  ไม่ว่าอย่างไรก็คงเหลือกำลังทัพไม่มาก  ฝ่าบาทรู้ทางลับ  มีหรือข้าจะไม่รู้  เจ้านำแผนที่ลับที่ข้าวาดให้ติดไปด้วย  หากเฟิ่งเหรินอ๋องเห็น  ย่อมรู้ว่าควรวางกำลังที่จุดใด" 

เขาบอกกับจื่อรุ่ยที่ดูตกตะลึงเมื่อเขาพูดถึงเซี่ยจื่อหวง  ลูกชายคนโตของแม่ทัพเซี่ยที่สำควรถูกเขาสั่งกักบริเวณไว้  แต่จื่อรุ่ยก็ยังเป็นจื่อรุ่ย  ถึงจะตกใจแต่ก็ปกปิดไว้ได้แนบเนียน  หากไม่สังเกตจริงๆ  ก็คงไม่รู้   

เขาวาดแผนที่ทางลับที่อยู่ในหัวแล้วมอบให้จื่อรุ่ย  ด้วยรู้ว่าจื่ยรุ่ยต้องนำไปให้เฟิ่งเหรินอ๋องและนำข่าวไปบอกฝ่าบาทด้วยเช่นกัน

รอจนจื่อรุ่ยออกไป  เขาที่ยืนตากลมมานานก็ทรุดตัวลงบนตั่งนั่ง  ลำบากฝูหรงต้องเข้ามาดูแล

" คุณชาย..."

" ไม่เป็นไรหรอกฝูหรง  อีกเดี๋ยวทุกอย่างก็จบลงแล้ว"

เขาบอกกับเด็กน้อยที่ทำท่าเป็นห่วงเขา  จื่อรุ่ยเป็นสายลับมีหรือเขาจะไม่ทราบ  ฝ่าบาทส่งจื่อรุ่ยมาอยู่ข้างกายเขา  พอเขาคิดทรยศก็สั่งให้จื่อรุ่ยวางยาเขาอย่างไม่ใยดี 

เขาเหนื่อยเหลือเกิน  ความภักดีของเขาสุดท้ายก็เป็นสิ่งที่สามารถหักทิ้งได้ง่ายๆ  ทั้งที่หากฝ่าบาทเชื่อมือเขา  เชื่อใจเขา  ต่อให้ฝ่าบาทอยากครอบครองทุกแผ่นดิน  เขาก็สามารถช่วยเหลือไขว่คว้าเอามาให้ได้  ความสามารถของเขา  ตัวเขาไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้  แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี

ความจริงตอนนี้ฝ่าบาทก็เหมือนเป็นหมากในมือเขา  หากเขาต้องการทำลาย  ก็ช่างง่ายดายยิ่งกว่าการเด็ดดอกไม้

น่าเสียดายที่ความรักทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่  ยอมที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ  ให้ต้องเจ็บซ้ำซาก  ทั้งที่ควรหลาบจำแต่เขาก็ดันไม่อยากจดจำ  ยังคงอยู่ต่อเป็นคนโง่ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่า

ขอเพียงแค่ฝ่าบาทเห็นค่าเขา  ขอเพียงแค่ฝ่าบาทเชื่อมั่นในตัวเขา  ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต  เขาก็ยินดีที่จะมอบให้



ในที่สุดเวลาที่เขารอมานานก็มาถึงเสียที  เฟิ่งเหรินอ๋องเดินทางตามมาตามที่วางแผนไว้  เขาเรียกกำลังคนสามพันนายจากหมู่บ้านชายทะเลเข้ามาร่วมสมทบ  นัดแนะเจอกันที่ระหว่างเพื่อไปพบกันและเดินทางต่อไปที่หุบเขาเซียงเช่า  ตอนนี้ในราชสำนักโกลาหลวุ่นวายกันหมดแล้ว  เซี่ยจิ่งสิงนำขุนนางผู้ภักดี  เตรียมยึดราชสำนักและผลักดันองค์ชายน้อยขึ้นเป็นรัชทายาท  ข่าวที่ฝ่าบาทยังมีชีวิตอยู่คงเข้าถึงหูเซี่ยจิ่งสิงแล้ว

แต่แล้วยังไงล่ะ  เขาไม่สนใจราชบัลลังก์ที่กลวงเปล่าอยู่แล้ว  องค์ชายน้อยก็ถือเป็นหลานชายเขา  หากได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต  มีอะไรที่ต้องเสียหายกัน

คืนนั้นในก่อนที่เซี่ยจิ่งสิงจะบุกเข้ามาที่ตำหนัก  เขาพาฝูหรงหนีออกมาทางห้องลับ  เด็กน้อยของเขาดูกระหืดกระหอบเพราะขาที่ไม่แข็งแรงนัก  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีข้าวของที่ผูกติดหลังอยุ่ไม่กี่ชิ้นกับเสื้อกันลม  เขาเองก็พกมาแต่ยาถอนพิษกับกระบี่และเสื้อตัวนอกเท่านั้น 

เขาฝ่าลมหนาวออกมาจนถึงจุดนับพบ  เมื่อเจอกองทัพของตนเองก็ขึ้นขี่ม้าพาฝูหรงขึ้นมานั่งด้วย

เด็กน้อยของเขา...

เด็กน้อยที่น่าสงสาร....

ความจริงเขาไม่อยากทำแบบนี้เลย   แต่เขาไม่เหลือใครคนอื่นอีกแล้ว 

ตอนนี้จื่อรุ่ยเองก็คงอยู่กับฝ่าบาทแล้ว  ไม่แน่ใจว่าสมัครใจอยู่เองหรือฝ่าบาทอ้างว่าจับจื่อรุ่ยได้ฐานะสายลับ  แต่เขาไม่สนใจจื่อรุ่ยอีกต่อไปแล้ว  ฝ่าบาทส่งจื่อรุ่ยมา  เขาก็แค่คืนให้ฝ่าบาทก็เท่านั้น  ส่วนกองทั้งทัพสามพันคนของเขา...

ช่างเถอะ 

ไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว  ฝ่าบาทจะใช้งานทั้งสามพันคนต่อก็ดี  หรือจะสังหารคนทั้งสามพันหมดก็ช่าง  ยังไงกองทัพนี้  เขาก็จัดสร้างขึ้นเพื่อถวายให้ฝ่าบาทอยู่แล้ว


เขากับกองทัพเดินทางกันมาจนถึงหุบเขาที่เป็นทางเข้าออกเดียวของจุดนับพบ  เขาที่ขี่ม้ามาตลอดทางก็เพิ่งเห็นว่าดอกเหมยเริ่มบานแล้ว  อากาศกำลังเย็นสบาย  ติดที่ยังหนาวนิดๆ  เขาเดินทางไปในหุบเขาจนถึงฐานทัพร้างที่เฟิงเหรินอ๋องวางกำลังรักษาการเอาไว้

เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นเฟิ่งเหรินอ๋องทำสีหน้าเย็นเยียบ  แทบจะฉีกอกเขาออกเป็นชิ้นๆ  จากแผนการที่เขาวางไว้

" ข้าเฟิ่งเหรินอ๋องช่างด้อยความสามารถนัก  ทั้งที่คิดว่าตนเองกำลังต่อกรกับฉู่รื่อยาว  แต่ความจริงกับถูกศัตรูในมุมมืดหักหลังเข้าให้"  ฉู่รื่อยาวคือพระนามขององค์ฮ่องเต้ก่อนขึ้นเถลิงราชฯ  เขามองตาเฟิ่งเหรินอ๋องด้วยสีหน้าผลิยิ้ม  ทำเป็นไม่เห็นความเคียดแค้นก่อนนั่งลงบนเก้าอี้  ภายในบ้านมีกำลังคนอยู่ประมาณสิบคน  เขาสั่งให้คนติดตามมาในบ้านด้วยแค่ห้าคนเท่านั้น  ส่วนฝูหรง  เขาฝากไว้ที่ฝ่าบาทแล้ว


มาถึงตอนนี้ฝ่าบาทคงรู้จากปากฝูหรงแล้วว่า  สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เป็นการก่อกบฏคิดทรยศ  แต่เป็นการสร้างฐานอำนาจให้บัลลังก์ของฝ่าบาทให้แข็งแกร่งมั่นคงมากขึ้น  ตงเฉินกวางที่ก่อนหน้านี้เป็นหอกข้างแคร่มานาน  ก็ถูกเขาส่งมาให้ฝ่าบาทสำเร็จโทษแล้ว  ส่วนพวกขุนนางที่เอาใจออกห่าง  เซี่ยจิ่นสิงคงถือโอกาสกำจัดเสี้ยนหนามให้หมดจากราชสำนักเรียบร้อยแล้วด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า  คิดคบกับเขาเพื่อชิงบัลลังก์จากองค์ฮ่องเต้

สำหรับเซี่ยจื่อหวนลูกชายคนโตของแม่ทัพเซี่ยที่ถูกเขาสั่งกักบริเวณ  แท้จริงแล้วคือแผนการที่วางไว้เพื่อให้เซี่ยจื่อหวนหนีทัพมาช่วยฝ่าบาทต่อกรกับกองทัพของตงเฉินกวางทางด้านนี้ 

ส่วนเซื่ยเจียฉวน  ลูกชายคนรองที่เกิดกับอนุภรรยาที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเคียงลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาหลวงได้  ดังนั้นเขาจึงวางแผนช่วยอย่างลับๆ  ให้ลูกชายคนโตมาช่วยฝ่าบาททางนี้  ในขณะที่เซี่ยเจียฉวนเองรับหน้าที่คุมทัพ  กวาดล้างทัพของเฟิ่งเหริ่นอ๋องที่ประชิดมาทางชายแดนตะวันออก  ออกเล่ห์ให้เซี่ยเจียฉวนแสร้งทำเป็นทรยศ  สมคบคิดกับเฟิ่งเหรินอ๋องเพื่อขอเป็นแม่ทัพหลักในภายภาคหน้า  บอกถึงจุดอ่อนในฐานทัพ  ก่อนตลบหลังปิดล้อมและลอบสังหารทหารของเฟิ่งเหรินอ๋องเงียบเชียบ  ทหารนับแสนของเฟิ่งเหรินอ๋องคงตกตายโดยที่ทหารของฝ่าบาทไม่ต้องเหนื่อยยาก  ทัพเรือนแสนของฝ่าบาทยังคงมีกองกำลังอยู่ครบ

และแน่นอนว่าแผนการที่เขาวางขึ้นนี้เขามอบเป็นรางวัลให้กับเซี่ยเจียฉวนที่ช่วยงานเขา  บอกกล่าวกับบุตรชายคนรองของแม่ทัพเซี่ยที่พยายามกระเสือกกระสนเพื่อแม่ของตนว่า  ให้บอกแม่ทัพเฒ่าว่าตัวของเซี่ยเจียฉวนเองเป็นคนคิดแผนการนี้  แผนการที่มีแต่ได้กับได้  เซี่ยจิ่นสิงคงเห็นด้วย   และถ้าหากชนะศึกไม่ว่าอย่างไรเซี่ยเจียฉวนที่เป็นลูกคนรอง  ก็ต้องได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว  ดีไม่ได้อาจได้เลื่อนขั้นมีตำหนักเป็นของตนเอง  พาแม่ที่เป็นอนุภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้าน  เป็นที่เชิดหน้าชูตาไม่ต้องถูกภรรยาหลวงกลั่นแกล้งหรือถูกข่มแหงรังแก

เขาที่นั่งลงบนเก้าอี้ในบ้านร้างก็ได้แต่ยิ้มรับคำเสียดแทงของเฟิ่งเหริ่นอ๋องเล่น  แต่เมื่อเขาแย้มยิ้ม  สิ่งที่เป็นหนามยอกอกกลับทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของเขาเอง

".....หวงชินอ๋องช่างมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับฮ่องเฮาหวงนัก  น่าเสียดายที่ท่านเกิดเป็นชายมิเช่นนั้นคงได้ครองรักกับฉู่รื่อยาวแล้ว"

ได้ยินแล้วรอยยิ้มเขาก็หยุดชะนัก  ความจริงเขาไม่ได้ยิ้มมานานแล้ว  แต่เพราะครั้งนี้คิดว่าเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตที่จะยอมจำทน  เขาถึงยิ้มออกมาได้ง่ายๆ 

รอยยิ้มของเขาเดิมทีก็เหมือนหยามแทงยอดอก  เขากับเหมยผิงเป็นฝาแฝด  เขาเป็นคนพี่  ส่วนเหมยผิงเป็นคนน้อง  เราสองคนเป็นฝาแฝดที่หน้าตาคล้ายคลึงกัน  อุปนิสัยก็คล้ายคลึง  เหมยผิงเป็นคนยิ้มง่าย  เขาเองก็เป็นคนเช่นนั้น  จนเมื่อรู้ว่ารอยยิ้มของตนไม่มีค่า  เขาจึงปกปิดรอยยิ้มตนเองมาตั้งแต่นั้น  ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนรอยยิ้มของเขาก็ไม่มีทางเท่ากับรอยยิ้มของเหมยผิง  ดังนั้นเขาจึงหยุดยิ้มซะ  จะได้ไม่ต้องมีข้อเปรียบเทียบ  ท่านพ่อเองก็ไม่เคยเห็นค่าในความพยายามของเขา  ซ้ำเขายังเจ็บออดๆ แอดๆ  จนเสด็จพ่อรำคาญ  ทิ้งเขาไว้กับนางกำนัลและเหล่าพี่เลี้ยง  จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้  เมื่อครั้งที่ป่วยหนักเสด็จพ่อก็ไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลยซักครั้ง  จนเมื่อเขาฟื้นขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์  เขาก็รู้ตนเองแล้วว่า  หากไม่ยืนด้วยลำแข้ง  ก็คงไม่พ้นต้องลงหลุมไปอย่างเดียวดาย

เรื่องที่เสด็จพ่อไม่รัก  มันสืบเนื่องมาจากเสด็จพ่อถูกบังคับแต่งงานกับเสร็จแม่  เสด็จแม่ของเขาเป็นองค์หญิงในฮ่องเต้พระองค์ก่อนหรือก็คือพระปิตุจฉา  น้าสาวขององค์ฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้  เสด็จพ่อของเขากับฮ่องเต้องค์ก่อนมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจบอกให้ใครรู้  องค์หวงไท่หยางสมัยนั้นจึงได้จับเสด็จพ่อเขาแต่งงานกับเสด็จแม่แทน  จนเมื่อคลอดเขากับเหมยผิงออกมา  เสด็จแม่จึงได้ลาออกไปบวช  ทิ้งเขาไว้กับเสด็จพ่อที่ไม่ได้รัก  บอกกล่าวว่าได้ทำหน้าที่ของตนเองแล้ว  นางมีลูกสาวให้เสด็จพ่อ  และเหมยผิงคือตัวแทนสืบสานความรักที่ตนกับองค์ฮ่องเต้ที่ไม่สมหวังในสมัยก่อน 

เหมยผิงงดงาม  เฉิดฉาย  สง่างาม  ทั้งยังน่ารัก  ตัวฝ่าบาทที่ครั้งยังเป็นพระราชโอรสก็ตกหลุมรักเหมยผิงเข้าอย่างจัง  เขาที่เป็นเพื่อนเรียนของฝ่าบาทก็ได้แต่เก็บความรักของตนไว้เงียบๆ  มองดูฝ่าบาทกับเหมยผิงซ้อมกระบี่  บรรเลงเพลงคู่  เขาที่ยืนดูอยู่ห่างๆ  ก็ได้แต่มองตามอย่างชอกช้ำ  เขาเหมือนเหมยผิงทุกอย่าง  เพียงแค่เป็นผู้ชายเท่านั้น  หากเขาเป็นผู้หญิงเสร็จพ่อคงเอ็นดูเขาบ้าง  แต่เพราะเป็นลูกชาย  ท่านพ่อที่รักแต่ฝ่าบาทคนก่อนก็ไม่เห็นคุณค่าเขา  ซ้ำยังเป็นหนามแทงใจที่เกิดจากผู้หญิงที่ทำให้ต้องพรากจากคนรักของตน 

ตอนที่เสด็จพ่อสิ้นไปเขาไม่ได้เสียใจมากนัก  ท่านเลือกทำให้สิ่งที่อยากทำแล้วคือการตายเพื่อคนรัก  ยอมเอาตัวรับดาบแทนฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนสิ้นชีวิต

ตรงจุดนี้คงเป็นจุดที่เหมือนกันของเขากับเสด็จพ่อ  เขาก็ยอมตายเพื่อคนที่เขารัก  ผิดก็แต่กับเขา...  แม้แต่ความรักของฝ่าบาทก็ยังไม่สามารถเอามาถือครองได้แม้แต่น้อย  ฝ่าบาทรักแต่เหมยผิงเพียงคนเดียวเท่านั้น  และตอนนี้ถึงกับยอมสละทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังลำบากแทน

เขาที่ได้รับคำเสียดสีเรื่องหน้าตามีหรือจะไม่ชอกช้ำ  แต่ทำอย่างไรได้  เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ  เหมยผิงแย่งฝ่าบาทไปมีหรือที่เขาไม่จะไม่แค้น  แต่ทำอย่างไรได้  เหมยผิงเป็นน้องสาวที่เขารัก  นางเป็นคนเดียวที่ดีกับเขาทั้งที่เสด็จพ่อไม่เคยเห็นค่า  เวลาเขาป่วยก็มีแต่นางที่เข้ามาเยี่ยม   เว้นแต่ครั้งที่เขาป่วยหนักจนเสด็ตพ่อกลัวเหมยผิงจะป่วยตามเท่านั้นเหมยผิงถึงได้ไม่มาเยี่ยม  เขาที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาจากความตายก็ได้แต่ตระหนักว่า  ชีวิตเขาคือสิ่งไม่มีค่า  ดังนั้นความสุขของเหมยผิง  เขาจะถือว่าเป็นความสุขของเขาก็แล้วกัน  เพราะอย่างไร  ฝ่าบาทก็คงไม่มาหลงรักเขาอยู่แล้ว

และเพราะอย่างนี้เขาถึงไม่ชอบให้ผู้หญิงถูกตัวมากนัก  นางกำนันที่เห็นว่าเขาเป็นลูกชายที่เสด็จพ่อไม่รักก็ไม่ค่อยทำดีด้วย  บางคนก็แค่ทำไปตามหน้าที่  ยังดีที่ทุกคนยังเห็นแก่เหมยผิงอยู่บ้าง  พอนางสั่งมาเขาถึงได้มีชิวิตที่ดีขึ้น  ไม่เช่นนั้นลูกชายคนโตอย่างเขา  คงถูกรังแกยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานไปนานแล้ว

และเพราะอย่างนั้นเขาถึงทำใจเกลียดเหมยผิงไม่ได้  ตอนที่นางแต่งงานเป็นชายาเอกในองค์รัชทายาท  เขาถึงไปตัดสินใจที่จะไปอยู่ถิ่นทุรกันดารอย่างชายแดนนั่น  แต่สุดท้ายก็ยังตัดใจไม่ลง  ยังยอมทำงานเพื่อฝ่าบาท  แอบก่อตั้งกองกำลังเล็กๆ  ที่แม้จื่อรุ่ยก็ยังไม่รู้  คัดเอาคนมาจากคนกลุ่มน้อย  ค่อยๆ ฝึกสอนและสร้างฐานทัพ  เพื่อว่าซักวันหนึ่งที่ฝ่าบาทหมดหนทาง  เขาจะได้นำกำลังคนที่ฝึกสอนด้วยตนเองนี้มาช่วยเหลือแทน

ตอนนี้คนทั้งสามพันคนของเขากำลังสังหารทหารของเฟิ่งเหรินอ๋องให้หมดสิ้น  เขาที่หลอกล่อเฟิ่งเหรินอ๋องมาถึงนี่ก็เพียงแค่เตรียมมาขอสัญญาสวามิภักดิ์เท่านั้น  ช่วงก่อนหน้านี้เพิ่งมีข่าวว่าเฟิ่งเหรินอ๋องคือผู้มีสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นรัชทายาท  เตรียมขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้องค์ก่อนที่แก่ชราแล้ว 

สัญญาสวามิภักดิ์กับชีวิตของตนเองที่จะได้ขึ้นครองราชย์  ช่างเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า  เขาที่กะวางมือจากทุกอย่างแล้ว  ก็ขอเพียงแค่สิ่งนี้เท่านั้น  สัญญาสงบศึกที่ว่าจะไม่รุกราน...  สัญญายอมสวามิภักดิ์   อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตของเขา  เขาอยากให้ประชาชนเทียนจินอยู่อย่างมีความสุข  ไม่ต้องมาพะวักพะวงกับสงครามที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ทหารจะได้กลับบ้าน  ชาวนาได้ทำไร่ไถนา   สามีภรรยาอยู่กันอย่างพร้อมหน้า  สิ่งที่เขาหวังก็มีเพียงเท่านี้  แล้วเขาจะกลับไปอยู่ที่เมืองชายแดน  มองดูพระอาทิตย์ตกดินที่ริมชายฝั่งทะเลด้วยใจสงบ  จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักอีกแล้ว

แต่สุดท้ายแผนการของเขาก็มีช่องว่าง  เมื่อเฟิ่งเหรินอ๋องสั่งให้คนนำพระธิดาน้อยออกมาให้เขา  เว่ยซูเหยียนแม่นมของพระธิดาน้อยอุ้มพระธิดาอยู่ในอ้อมอก  หน้าตาของนางแทบไม่มีสีเลือด  กล่าวทั้งน้ำตาว่าลูกชายนางกับครอบครัวอยู่ในคุกของเฟิ่งเหรินอ๋องแล้ว  หากนางไม่นำตัวพระธิดาน้อยมา  สามีและลูกน้อยของนางคงถึงจุดจบอย่างทรมาน

มาถึงตรงนี้แผนการทุกอย่างที่วางไว้กลับล้มครืน  เขาต้องสั่งการนายทหารทั้งหมดที่อยู่ในมือระงับการสังหารไว้   อุ้มพระธิดาน้อยที่อยู่ในมือซูเหยียนมาไว้ในอ้อมกอด  พระธิดาน้อยช่างน่ารักเหลือเกิน  ช่างเหมือนกับเขา..  เหมือนกับเหมยผิงไม่มีผิดเพี้ยน

เขาที่รับพระธิดามาได้ก็ทำการจับชีพจร  จากที่หน้าซีดอยู่แล้วยิ่งหน้าซีดลงไปอีก  พระธิดาถูกวางยาพิษ  หากไม่ได้รับยาแก้  คาดว่าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่นานแล้ว

" ท่านต้องการอะไร"

เขากัดฟันถามด้วยสีหน้าเย็นเยียบ  เฟิ่งเหรินอ๋องช่างอำมหิตนัก  แม้แต่เด็กน้อยที่เพิ่งเกิดยังไม่ละเว้น

" ชีวิตพระธิดาแลกกับ.....ฮ่องเฮา  ยาถอนพิษแลกกับการที่เหมยผิงยินยอมมาเป็นของข้า" 

เขาฟังคำขอแล้วอยากฆ่าเฟิ่งเหริ่นอ๋องให้ตายนัก  พระธิดาแลกยาถอนพิษอะไร  ตัวเองเป็นวางแผน...   วางยาก่อนแท้ๆ  แล้วจะให้เหมยผิงมาอยู่ในกำมือเฟิ่งเหรินอ๋องหรือ  ฝันไปเถอะ  เมื่อครั้งเก่าก่อนเฟิ่งเหรินอ๋องอาจจะยังรัก  อาจจะยังถนอมฮองเฮาบ้าง  แต่ตอนนี้  ตอนที่ถูกเขาจัดการมาถึงขั้นนี้  มีหรือที่เฟิ่งเหรินอ๋องจะยอมปล่อยนางให้อยู่อย่างสบาย  นางที่หน้าตาคล้ายเขา  เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกับเขา  ถ้าเหมยผิงต้องตกไปอยู่ในมือของเฟิ่งเหริน  ต่อให้ไม่ตายก็ต้องทรมานยิ่งกว่าตายอยู่แล้ว

ดังนั้นข้อเสนอนี่เขาไม่มีทางรับได้  เขาจึงตัดสินใจ  วางชีวิตของพระธิดาน้อยลง  เลือกที่จะ...  ปล่อยพระธิดาน้อยให้จากไปแบบนี้  ฮองเฮายังสาว  ยังสามารถมีพระธิดาอีกได้  ส่วนเด็กคนนี้...  หลานสาวที่เขาต้องหักใจทำลาย

เขาเกือบจะหลั่นน้ำตาตอนที่เห็นพระธิดาเริ่มร้องไห้  นางคงรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่นานแล้ว  จึงเรียกร้องขอความเป็นธรรมทั้งน้ำตา  และถึงพระธิดายังพูดไม่ได้  แต่เขาก็รับรู้  เพราะครั้งหนึ่งเขาก็เคยผ่านความตายมาแล้วเช่นกัน




>>>  ตอนหน้าจบ   :hao5:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 3 27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 27-12-2016 19:33:50
ชีวิตท่านอ๋องทำไมน่าสงสารแบบนี้
ทำดีแค่ไหนฮ่องเต้ ก็ไม่เห็นคุณค่า เสียสละตนยอมทำตัวให้คนตราหน้าว่าเป็นทรราช ก็เพื่อช่วยคนที่แอบรัก  เค้าจะเห็นคุณค่าความปราถนาดีห่ือไม่นะ
เป็นความรักที่น่าสงสาร คนสนิทมีไม่กี่คนแต่ก็หาที่จะวางใจได้ยาก เฮ้ออออ
ขอภาวนาให้ท่านอ๋องได้กลับไปอยู่แบบสงบๆละทิ้งความวุ่นวายในราชสำนักไว้เบื้องหลัง
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 3 27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 27-12-2016 20:03:42
 :o12: ทำไมเศร้าขึ้นเรื่อยๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 3 27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-12-2016 22:48:45
จะจบแล้วเหรอ สงสารท่านอ๋องค่ะ คนที่ท่านรักปานดวงใจเขาก็ไม่เห็นค่า จะตัดใจทำร้ายก็ทำไม่ลง เลยต้องปิดทองหลังพระ ยังไม่พอดูท่าจะเข้ากับสำนวนทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปของแท้
หลังจากนี้ถ้าพระธิดาตาย คงไม่ใช่ว่ามาโทษท่านอ๋องหรอกนะ (ในสายตาคนอ่านอย่างเราเข้าใจว่าคนเลือกย่อมเจ็บปวด แต่ก็พยายามเลือกในทางที่เห็นว่าดีที่สุดแล้ว) ถ้าจะโทษควรโทษตัวเองด้วยนะ ว่าไร้สามารถ ลูกอยู่กับตัวแท้ ๆ ยังไม่อาจดูแลให้ปลอดภัยได้ ทั้งถูกพิษ ทั้งถูกลักพาตัว แม้ว่าในมุมมองของฮองเฮาอาจจะยอมแลกชีวิตตัวเองกับลูก แต่ฮ่องเต้คงไม่มีทางยอมแน่ ทางที่ท่านอ๋องเลือกอาจจะดูโหดร้ายในสายตาคนเป็นแม่ แต่ถ้าอิงจากประโยชน์ของคนทั้งแผ่นดินก็ต้องเป็นแบบนี้ หวังว่าฮองเฮาคงไม่เสียใจถึงขั้นเสียสตินะ
รู้สึกพาลมากอ่ะ โมโหทุกคนยกเว้นท่านอ๋อง เศร้าไปกับชีวิตท่านอ๋องเหลือเกิน
รอตอนจบอย่างใจจดจ่อค่ะ

ปล. หากคนเขียนพอจะมีเวลาแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เรามีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ
1. การแทนตัวเองของผู้เล่าเรื่อง (ท่านอ๋อง) ที่คนเขียนใช้คำว่า เขา เรามีความเห็นว่าน่าจะใช้ คำว่า ข้า มากกว่า เพราะท่านอ๋องกล่าวถึงตัวเอง คำว่าเขามักจะใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่สองมากกว่า
2. ชื่อของตัวละคร มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ตั้งแต่บทแรก เป็นต้นมา เช่น เหมยผิง เหม่ยผิง เหว่ยผิง หรือ เฟิ่นเหริน เฟิ่งเหริน และอีกหลายคน (แทบจะทุกคน)
3. คำผิดอื่น ๆ เช่น ฮองเฮา ไม่ใช่ ฮ่องเฮา แบบที่เจอมาทั้งเรื่อง ที่ถูกคือ ฮองเฮา (ไม่มีไม้เอก) ฮ่องเต้ (มีไม้เอก)
4. การใช้คำอื่น ๆ เช่น ฮองเฮาทรงมีพระประสูติการพระโอรส ไม่ใช่ ฮองเฮาก็มีพระประสูติกาเป็นพระโอรส
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ (ที่ทักเพราะเราชอบท่านอ๋องในเรื่องนี้จริง ๆ)
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 3 27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 27-12-2016 23:25:21
เดาว่าจุดจบคงเศร้า..แต่ขอเอาใจช่วย   :mew6:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // [ไม่รู้กี่ตอนจบ] :: ไร้รัก บทที่ 3 27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 28-12-2016 10:05:05
จะจบแล้วเหรอ สงสารท่านอ๋องค่ะ คนที่ท่านรักปานดวงใจเขาก็ไม่เห็นค่า จะตัดใจทำร้ายก็ทำไม่ลง เลยต้องปิดทองหลังพระ ยังไม่พอดูท่าจะเข้ากับสำนวนทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปของแท้
หลังจากนี้ถ้าพระธิดาตาย คงไม่ใช่ว่ามาโทษท่านอ๋องหรอกนะ (ในสายตาคนอ่านอย่างเราเข้าใจว่าคนเลือกย่อมเจ็บปวด แต่ก็พยายามเลือกในทางที่เห็นว่าดีที่สุดแล้ว) ถ้าจะโทษควรโทษตัวเองด้วยนะ ว่าไร้สามารถ ลูกอยู่กับตัวแท้ ๆ ยังไม่อาจดูแลให้ปลอดภัยได้ ทั้งถูกพิษ ทั้งถูกลักพาตัว แม้ว่าในมุมมองของฮองเฮาอาจจะยอมแลกชีวิตตัวเองกับลูก แต่ฮ่องเต้คงไม่มีทางยอมแน่ ทางที่ท่านอ๋องเลือกอาจจะดูโหดร้ายในสายตาคนเป็นแม่ แต่ถ้าอิงจากประโยชน์ของคนทั้งแผ่นดินก็ต้องเป็นแบบนี้ หวังว่าฮองเฮาคงไม่เสียใจถึงขั้นเสียสตินะ
รู้สึกพาลมากอ่ะ โมโหทุกคนยกเว้นท่านอ๋อง เศร้าไปกับชีวิตท่านอ๋องเหลือเกิน
รอตอนจบอย่างใจจดจ่อค่ะ

ปล. หากคนเขียนพอจะมีเวลาแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เรามีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ
1. การแทนตัวเองของผู้เล่าเรื่อง (ท่านอ๋อง) ที่คนเขียนใช้คำว่า เขา เรามีความเห็นว่าน่าจะใช้ คำว่า ข้า มากกว่า เพราะท่านอ๋องกล่าวถึงตัวเอง คำว่าเขามักจะใช้เป็นสรรพนามบุรุษที่สองมากกว่า
2. ชื่อของตัวละคร มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ตั้งแต่บทแรก เป็นต้นมา เช่น เหมยผิง เหม่ยผิง เหว่ยผิง หรือ เฟิ่นเหริน เฟิ่งเหริน และอีกหลายคน (แทบจะทุกคน)
3. คำผิดอื่น ๆ เช่น ฮองเฮา ไม่ใช่ ฮ่องเฮา แบบที่เจอมาทั้งเรื่อง ที่ถูกคือ ฮองเฮา (ไม่มีไม้เอก) ฮ่องเต้ (มีไม้เอก)
4. การใช้คำอื่น ๆ เช่น ฮองเฮาทรงมีพระประสูติการพระโอรส ไม่ใช่ ฮองเฮาก็มีพระประสูติกาเป็นพระโอรส
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ (ที่ทักเพราะเราชอบท่านอ๋องในเรื่องนี้จริง ๆ)

กำลังจะอัพบทจบ  งั้นขอแก้แปบ  ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ><
ปล. สรรพนามคงไม่ได้เปลี่ยนนะคะ แบบว่าเป็นการเล่าย้อนอดีต... (สปอยไหม 5555)

หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 28-12-2016 11:02:07
Prologue (จบ)



ในที่สุดเขาก็หักใจสังหารพระธิดาไม่ได้  ทำการเขียนจดหมายถึงฝ่าบาทที่ตั้งฐานอยู่อีกฟากของหุบเขา  ถามหาความคิดเห็นว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้  ครานี้ฝ่าบาทคงลำบากใจแน่แล้ว  ฝั่งหนึ่งก็ลูก  ฝั่งหนึ่งก็ภรรยา  แต่ฝ่าบาทก็คงคิดเหมือนเขา  จึงได้มีคำสั่งให้เขาสังหารองค์หญิงน้อยตอนตะวันขึ้นเหนือหัว 

ตอนนี้เป็นเวลาใกล้ฟ้าสางเต็มที  เขาที่รอผลการเจรจาอยู่นานก็เริ่มอ่อนล้า  สารลับที่ฝ่าบาทส่งมา  เหมยผิงคงไม่ได้รับรู้  เพราะเขาเองก็สั่งคนไปแล้วว่าห้ามเปิดปากบอกเรื่องนี้กับเหมยผิง  เพราะหากนางรู้  นางต้องยอมทำเพื่อลูกแน่นอน  ขนาดเขายังลังเลที่จะทำร้ายหลาน  แล้วเหมยผิงที่เป็นแม่จะยอมเห็นลูกตายได้หรือ 

และไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจความคิดและเหตุผลของฝ่าบาท  แต่นี่คือสิ่งที่สมควรทำแล้ว  ตอนนี้เฟิ่งเหรินอ๋องเหมือนหมาจนตรอก  ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตอบโต้และแก้แค้น  และเหมยผิงคือคนที่เฟิ่งเหรินอ๋องจะเอาไว้แก้แค้นและทรมานภายหลัง 

แต่เขาทำใจไม่ได้  ตัดใจทำร้ายหลานตัวเองไม่ได้  เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนเขานัก  แล้วเขาจะทนให้เด็กคนนี้ตายได้อย่างไร  เขาอยากให้เด็กคนนี้มีความสุข  เติบโตและได้รับความรัก  หากนางมีชีวิตต่อไปได้  ฝ่าบาทย่อมรู้สึกผิดต่อนางที่ครั้งหนึ่งเคยคิดฆ่า  ถึงเหมยผิงจะไม่รู้  แต่ฝ่าบาทต้องทำดีกับเด็กคนนี้แน่นอน

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจส่งองค์น้อยหญิงน้อยให้กับซูเหยียน  และต่อรองกับเฟิ่งเหรินอ๋อง

" สัญญาสงบศึกหนึ่งร้อยปีกับการไม่ล่วงล้ำดินแดน  แลกกับยาถอนพิษขององค์หญิงและความปลอดภัยของท่าน  ข้าจะสั่งให้ทหารของตนทั้งสามพันคนพาท่านกับองค์หญิงน้อยไปส่งที่ชายแดน  เมื่อองค์หญิงได้ยาถอนพิษจนปลอดภัยดีแล้ว   ทหารของข้าจะปล่อยท่านกลับแผ่นดิน"

นี่เป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดที่เขาจะให้เฟิ่งเหรินอ๋องแล้ว  หากอาศัยแค่ทัพของเฟิ่งเหรินอ๋องที่เหลืออยู่ถึงตอนนี้   ถ้าเกิดฝ่าบาทกลับคำหรือไม่เห็นด้วยกับเขา  สั่งให้เซี่ยจื่อหวนนำคนมาสังหารเฟิ่งเหรินอ๋องภายหลังก็ย่อมได้  แต่ถ้ามีคนของเขาสามพันคนขนาบข้าง  คนของฝ่าบาทย่อมไม่อาจทำร้ายเฟิ่งเหรินอ๋องได้ง่ายโดยง่าย   และหากต้องต่อสู้กันจริง  ทัพของเขากับฝ่าบาทที่อยู่ข้างเดียวกันเกิดการปะทะกัน  หากใครรู้คงไม่ดีแน่  ทั้งยังเป็นการทำให้ทหารล้มตายโดยใช่เหตุ

เขาจ้องมองเฟิ่งเหริ่นอ๋องที่กำลังครุ่นคิด  สัญญาสงบศึกร้อยปี  ย่อมดีกว่าสัญญาสวามิภักดิ์ที่คงทำให้อับอายขายหน้า  ทั้งยังกลับไปได้อย่างมีชีวิตที่ครบถ้วน  แม้แต่เส้นผมยังไม่หลุดออกซักเส้น

สัญญาร้อยปีเพียงไม่นานก็ผ่านไปแล้ว  หากเฟิ่งเหรินอ๋องได้ครองบัลลังก์  ย่อมสั่งให้ลูกหลานตามแก้แค้นได้  ความแค้นต่อให้ต้องรอถึงร้อยปีก็ยังดีกว่าไปเคียดแค้นที่ปรภพ  เพราะอย่างนั้นเขาจึงมั่นใจว่า  เฟิ่งเหรินอ๋องจะต้องยอมตกลง

" เจ้าและทหารของข้าที่เหลืออยู่ทั้งหมดต้องไปกับข้า" 

นั่นเป็นข้อตกลงที่เขาสามารถยอมรับได้  องค์หญิงน้อยปลอดภัย  ส่วนเขาไปเป็นเหยื่อการแก้แค้นของเฟิ่งเหริ่นอ๋องถือว่าเป็นเรื่องที่เขาเสียสละได้  ยังเขาก็ผ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาทไปแล้ว  ไม่มีที่ให้เขายืนอยู่บนแผ่นดินซินเจียงอีกแล้ว  อีกอย่างอยู่กับเฟิ่งเหรินอ๋องก็แค่ถูกทรมานกาย  คงดีกว่าถูกทรมานใจอยู่ที่เป็นไหนๆ

เมื่อเขาพยักหน้า  เฟิ่งเหริ่นอ๋องสั่งคนให้นำกระดาษมาร่างสัญญาสงบศึกพร้อมกับประทับตราลงนามไว้สองฉบับ  เขารอจนสัญาฉบับหนึ่งแห้งดีแล้วก็พับม้วนแล้วปิดผนึกเตรียมส่งให้ทหารเพื่อนำไปให้ฝ่าบาท  แต่ในตอนที่กำลังจะส่งมอบ  ทหารที่อยู่ดูลาดเลาภายนอกกลับมาบอกข่าวที่ไม่สู้ดีนัก

" ฝ่าบาทมีคำสั่งให้เซี่ยจื่อหวนยกทัพมาที่นี่  ร่วมมือกับท่านอ๋องให้สังหารเฟิ่งเหรินอ๋องโดยไม่มีข้อแม้" 

มาถึงตรงนี้เขาก็ได้แต่หน้าซีด  ฝ่าบาทคงตัดสินใจสละชีวิตองค์หญิงแน่แล้ว  คาดว่าแม้แต่สัญญาสงบศึกยังไม่อยากยอมรับ  ฝ่าบาทน่าจะ....

คิดอยู่ไม่นานเขาก็บรรลุ  เมืองอริที่ไม่มีเฟิ่งเหรินอ๋อง  ไม่ต่างอะไรกับเมืองที่ไม่มีแม่ทัพ  ฮ่องเต้หรือพระบิดาของเฟิ่งเหรินอ๋องชราภาพมากแล้ว  และในบรรดาพระโอรสก็มีแต่เฟิ่งเหรินอ๋องที่มากความสามารถ  หากเฟิ่งเหรินอ๋องถูกสังหารตั้งแต่ตอนนี้  ฝ่าบาทจะทรงยึดครองแผ่นดินของเฟิ่งเหรินอ๋องเมื่อไหร่ก็ได้  มังกรไม่มีหัวย่อมหันกลับมาทำร้ายคนไม่ได้

ฝ่ายเฟิ่งเหรินอ๋องที่เห็นท่าทีคงเขากับทหารส่งข่าว  คงเดาได้ไม่ยากแน่ว่าเกิดอะไรขึ้น   เขาเห็นเฟิ่งเหรินอ๋องจับดาบเตรียมต่อสู้  คิดว่าคงจะสู้จนตัวตาย

แต่พระธิดาล่ะ... 

เขาหันไปมองเด็กน้อยในอ้อมกอดของซูเหยียน  นางยังเด็กเหลือเกิน

" ชีวิตท่านแลกกับองค์หญิงน้อย!   มอบยาถอนพิษให้นางตอนนี้  แล้วข้าจะกันคนจากฝ่าบาทให้!"  เขาตะโกนทันทีที่เฟิ่งเหรินอ๋องประชิดตัวองค์หญิงน้อยมาจากซูเหยียน  เฟิ่งเหรินอ๋องคงมองสายตาของเขาออก  จึงคิดจับนางมาเป็นตัวประกันต่อรองกับเขา

" เจ้าและองค์หญิงกับทหารทั้งหมดไปกับข้า"

" ถอนพิษให้องค์หญิงที่นี่  แล้วข้าจะพาเจ้าไปส่งถึงชายแดน  องค์หญิงไม่แข็งแรงพาไปก็รังแต่จะเป็นภาระ  ถ้าเจ้าไม่ปล่อยนางก็ต้องตายที่นี่  เจ้าตาย  สัญญาสงบศึกไม่มีค่า  เจ้าอยู่...  ข้าจะถือว่าไม่มีสัญญาเกิดขึ้น  ปล่อยองค์หญิงน้อยไป  แล้วข้าจะเขียนแผนที่ทางการทหารของซินเจียงให้"  เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว  เขาไม่อยากให้นางต้องตาย  ไม่อยากเห็นหลานตัวเองต้องจบชีวิตลงทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มใช้ชีวิตด้วยซ้ำ

" จะเชื่อได้อย่างไรว่าแผนที่เป็นของจริง"

" มีฉบับคัดลอกสำรองไว้ในวังของข้า  ข้าไปกับเจ้า  บอกแผนที่ทางทหารกับเจ้า  หากเจ้าไม่เชื่อสั่งคนให้ไปตำหนักอ๋องของข้า  นำแผนที่ทั้งสองฉบับมาเปรียบเทียบ  เจ้าจะได้รู้ว่าข้าพูดความจริง"

แต่เมื่อยังเห็นเฟิ่งเหรินอ๋องยังลังเล  เขายิ่งต้องสุมไฟ

" ข้าหลอกเจ้ามาถึงที่นี่ได้  หลอกตงเฉินกวางให้ตกตายแบบไม่มีแผ่นดินกลบหน้าได้  หากเจ้าปล่อยองค์หญิง....  ข้าจะภักดีกับเจ้า"  เขากัดฟันพูด  และไม่แปลกใจเลยที่เฟิ่งเหรินอ๋องหัวเราะ

" ตัวเจ้า...  แม้แต่ฉู่รื่อยาวยังไม่ต้องการ  มีหรือข้าจะอยากได้  ยาถอนพิษแลกกับแผนที่ทางการทหารอย่างละเอียดตอนนี้  และเจ้ากับองค์หญิงไปกับข้าถึงชายแดน  เมื่อปลอดภัยข้าจะมอบยาถอนพิษให้องค์หญิงที่นั่น  ส่วนเจ้ากินยาพิษแทนนาง  เมื่อข้ามั่นใจว่าแผนที่ถูกต้อง  ข้าจะส่งยาถอนพิษมาให้" 

เมื่อได้ยินอย่างนี้เขาก็โล่งอก  ตัวเขามีพิษของฝ่าบาทที่จื่อรุ่ยวางยาเอาไว้อยู่แล้ว  ต่อให้เขามียาแก้ที่ปรุงขึ้นเอง  แต่ถูกพิษมานานขนาดนี้  จะอย่างไรก็รักษาให้หายขาดไม่ได้ง่ายๆ  แค่เพิ่มยาพิษมาอีกตัวจะเป็นไรกัน  ขอแค่องค์หญิงปลอดภัยก็พอแล้ว  อีกอย่าง  เขาฝ่าฝืนราชโองการปล่อยตัวเฟิ่งเหรินอ๋องให้หนีไปได้  ซ้ำยังบอกแผนที่ทางการทหาร  ต่อให้มีคุณแต่ก็คงไม่พ้นต้องโทษ ยาพิษนั่น  จะกินหรือไม่กินก็มีค่าเท่ากัน

แต่ยังไม่ทันที่เขากับเฟิ่งเหริ่นอ๋องจะตกลงอะไรกันมากกว่านี้  ทหารที่อยู่ด้านนอกก็วิ่งเข้ามารายงานเสียงดังว่า  ฝ่าบาทสั่งคนล้อมประชิดปิดทางเข้าออกหมดแล้ว  หากเขาจะปล่อยให้เฟิ่งเหรินอ๋องหนีไปก็ต้องหนีก็ต้องใช้ทางอื่น  ไม่เช่นนั้นคงไม่พ้นที่จะต้องใช้กำลังปะทะกับคนของเซี่ยจื่อหวน  แล้วทหารของทั้งเขาและเซี่ยจื่อหนคงตกตายไปอย่างไร้ค่า  เขาฉวยจังหวะที่เฟิ่งเหริ่นอ๋องละความสนใจจากองค์หญิง  ฉกชิงพระธิดาน้อยมากอดไว้เอง  แล้วชักกระบี่ประจำตัวชี้ใส่เฟิ่งเหริ่นอ๋อง 

" ยาถอนพิษตอนนี้ไม่ก็ตายกันให้หมดที่นี่  แล้วข้าจะบอกทางลับให้"  เขาขู่คำราม

มาถึงตอนนี้องค์หญิงน้อยที่ถูกเปลี่ยนมือไปมาเริ่มไห้  หน้าตานางซีดเขียวเพราะถูกพิษประกอบกับการร้องไห้อยู่นานจนเริ่มหายใจไม่ออก  เขาน้ำตาคลอ  หลานสาวของเขา...

" ยาถอนพิษ  ตอนนี้  แล้วข้าจะบอกทางหนีให้"  เขาย้ำอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำ  ตอนนี้ทั้งเขาทั้งเฟิ่งเหริ่นอ๋องไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว 

" บอกทางลับมา  พาข้ากับคนของข้าออกไป  แล้วข้าจะมอบยาถอนพิษให้"

ไม่รู้เพราะอะไรเฟิ่งเหริ่นอ๋องถึงไม่เชื่อใจเขา  แต่ถ้าเป็นเขาๆ ก็คงไม่เชื่อใจใครง่ายๆ  ถ้ายาถอนพิษไม่ใช่ยาถอนพิษที่แก้พิษได้จริงๆ ล่ะ ถ้าทางลับไม่ใช่ทางออกที่ทำให้หนีพ้นได้จริงๆ ล่ะ  หรืออย่างร้ายแรงที่สุด...  ทางออก  มันจริงมันมีอยู่ไหม 

เขากับเฟิ่งเหรินอ๋องมองตากันอย่างไม่ยอมแพ้  จนเมื่ออาการองค์หญิงแย่ลงทุกทีเขาถึงยอมกัดฟันวางดาบลง

" ไม่มีทางลับ"

เขากัดปากแน่นแล้วซบหน้าลงกับตัวองค์หญิงน้อย  นางหายใจแผ่วลงทุกที  จนลมหายใจหยุดนิ่ง  เขาถึงได้เอาผ้าคลุมตัวมาห่อตัวนางไว้อย่างมิดชิด

" ไม่มียาถอนพิษ" 

สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้ต่างคนต่างหลอกลวง  เขาหลั่งน้ำตาให้หลานสาวที่เพิ่งจากไปเงียบๆ  นางยังเด็กเหลือเกิน  แต่กลับต้องมาตายลงแบบนี้โดยที่เขาช่วยอะไรนางไม่ได้

เขากับเฟิ่งเหริ่นอ๋องยืนห่างจากกันอยู่เงียบๆ  ถ้าเขาสั่งคนให้สังหารเฟิ่งเหริ่นอ๋องตอนนี้ก็สามารถทำได้  แต่เขาเหนื่อยเหลือเกินแล้ว 

ดังนั้นตอนที่เฟิ่งเหรินอ๋องถือกระบี่ออกไปเตรียมยอมสู้รบจนตัวตายเขาถึงได้ยอมนั่งอยู่นิ่งๆ  ไม่เข้าไปห้ามปราม  ได้แต่กอดองค์หญิงน้อยที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไว้  และสั่งให้ซูเหนียนเดินออกไปเพื่อแจ้งข่าวกับองค์ฮ่องเต้

แต่ในตอนท้ายที่สุด  ไม่รู้เพราะเหตุใดเฟิ่งเหรินอ๋องถึงเดินกลับมา  ในมือมีกาเหล้ากับจอกชาสองใบที่คงหามาจากแถวนี้   พอเห็นเขายังนั่งนิ่ง  เฟิ่งเหริ่นอ๋องจึงได้เปิดปากพูดกับเขา

" ข้าสั่งให้ทหารจุดไฟเผารอบตัวบ้าน  ศัตรูของแผ่นดินตายไปคงศพไม่สวยนัก  สู้กลายเป็นขี้เถ้าดีกว่า  อย่างน้อยศพข้าก็ไม่ต้องถูกแขวนประจาน"  เสียงของเฟิ่งเหริ่นอ๋องสงบลงอย่างเห็นได้ชัด  เมื่อถึงยามสุดท้ายของชีวิตกลับสงบได้ขนาดนี้  สมแล้วที่เป็นยอดคน

" เจ้าจะเดินออกไปก็ได้  จะอย่างไรคนของข้าก็สู้คนของเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว  เหล้าจอกนี้ก็ถือเป็นของขวัญอำลา  ข้าต้องตายสุดท้ายก็ด้วยมือเจ้า  ไม่ใช่ฉู่รื่อยาว  ดังนั้นข้าจึงอยากคาราวะเจ้าที่เอาชนะข้าได้"  เฟิ่งเหรินอ๋องแล้วเทเหล้าใส่จอกทั้งสองจอก  ยกเหล้าเข้าปากตัวเองหนึ่งจอก  อีกจอกส่งมาให้เขา  เขาเองก็ยกขึ้นมาดื่มด้วย  ไม่สนใจว่าเหล้าจะมียาพิษหรือไม่

" ศึกนี้ไม่มีใครชนะ  เจ้าตาย  ส่วนข้าช่วยชีวิตหลานสาวไม่ได้"  เขาบอกเสียงแผ่ว  แล้วกระชับกอดศพเด็กน้อยที่เริ่มแข็งตัว  ปล่อยให้ผมของตัวเองบดบังใบหน้า  ศึกนี้ไม่มีใครชนะ...  มีแต่ความพ่ายแพ้  ทุกคนสูญเสียคนที่เป็นที่รัก

จนเมื่อเฟิ่งเหรินอ๋องเห็นเขานั่งนิ่งไม่ยอมออกไปจากบ้านเสียที  ก็คงเข้าใจแล้วว่าเขาจะจบชีวิตลงที่นี่แล้ว  เขาเองจากที่คิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปที่ชายแดน  แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนใจแล้ว  ร่างกายเขาทนรับความเสียหายทางจิตใจไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

" เพราะอะไรเจ้าถึงรักฉู่รื่อยาว"

" เพราะเขาเป็นคนเดียวที่เคยช่วยข้านอกจากเหมยผิง" 

เขาตอบยิ้มๆ แล้วเริ่มรำลึกอดีต  ฝ่าบาทเป็นคนเดียวที่ช่วยเหลือเขายามที่ถูกลูกขุนนางคนอื่นกลั่นแกล้ง  แม้ว่าฝ่าบาทจะทำไปเพื่อเหมยผิง  แต่อย่างน้อยความช่วยเหลือนั่นก็เป็นจริง  เขาสำนึกรักฝ่าบาทมาตั้งแต่ตอนนั้น  แต่คิดถึงฝ่าบาทได้ไม่นานเขาก็เริ่มสำลักควันไฟที่ลอยเข้ามาใน  บ้านร้างนี้ก่อสร้างด้วยอิฐและไม้  ไฟจึงลามเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว

" ฉู่รื่อยาวไม่คู่ควรกับความรักของเจ้า"

" ถ้าท่านตัดใจจากเหมยผิงได้  ท่านก็จะรู้ว่าไม่ควรที่จะรักนางเช่นกัน"  เมื่อตอบเสร็จเขาก็ต้องสำลักควันอีกครั้ง  ครั้งนี้เขาถึงกับไอออกมาเป็นเลือด  คาดว่าในเหล้าคงมียาพิษแน่แล้ว

" ข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น  หากตายไปก็อยากให้มีคนไปเป็นเพื่อน"

" แต่ข้าปล่อยวางแล้ว  ความตายนี้เป็นสิ่งที่ข้าเลือกเองไม่ใช่เจ้าบังคับ  หากตายไปข้าจะไปอยู่กับองค์หญิงน้อย  ไม่อยู่กับเจ้า"  เขาบอกแล้วนิ่งเงียบ

จนเมื่อไฟลามเลียเข้ามาใกล้เต็มทีเฟิ่งเหรินอ๋องที่ดื่มยาพิษไปเช่นกันก็สำลัก  ใบหน้าหล่อเหลาของเฟิ่งเหรินอ๋องที่ข้าเพิ่งสังเกตเห็นมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนเต็มปาก  เราสองคนสบตาจ้องกัน  ก่อนเป็นเขาที่หลบสายตาออกก่อน

" ข้าน่าจะหลงรักเจ้าแทนเหมยผิง  หน้าตาเจ้าช่างเหมือนนางนัก"

เมื่อฟังจบประโยคนั้นจบเขาก็แค่นยิ้ม  สุดท้ายเขาก็ได้แต่เป็นตัวแทนของเหมยผิงอยู่ดี

รอจนไฟจวนเจียนเข้ามาใกล้  เขากับเฟิ่งเหรินอ๋องนั่งแยกกันอยู่คนละมุมห้อง  จากที่อยู่บนโต๊ะ  ก็ต้องหลบหนีเปลวไฟมาอยู่ที่มุม

" ต่อให้เจ้ารัก แต่ข้าคงไม่รักใครอีกแล้ว

และนั่นคือเสียงกระซิบสุดท้าย

เขาไม่รู้ว่าตัวเองตายจากเปลวไฟหรือตายเพราะยาพิษ  เวลามันจวนเจียนก้ำกึ่งเต็มทน  แต่เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายก่อนหลับตาเฟิ่งเหริ่นอ๋องยังคงจ้องหน้าเขา  คงอยากเก็บหน้าเขาไว้เป็นความทรงจำสุดท้าย  เพราะเขาหน้าตาเหมือนเหมยผิงเหลือเกิน

สุดท้ายเขาก็ปล่อยวางทุกอย่างลง  ชีวิตเขาเกิดมาในชาตินี้ไม่เคยติดค้างใครทั้งนั้น  เขาทำดี  ไม่เคยหวังผลตอบแทน  ใครทำร้ายเขาๆ ก็แค่ตอบโต้  จวบจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต  คนที่เขาโหดเหี้ยมด้วยที่สุดก็คงเป็นตัวของเขาเองเท่านั้น

เฮ้อ คิดแล้วก็อดนึกถึงฝูหรงไม่ได้  เด็กนั่น  ถ้ารู้ว่าเขาต้องมาตกตายแบบนี้  ไม่รู้ว่าจะร้องไห้เผาเต่าจนเป็นอย่างไรบ้าง 

ฝูหรง...  เด็กคนนั้นเขารักเหมือนลูก  ทั้งยังเตรียมส่งมอบทุกอย่างให้หลังจากที่เขาตายแล้ว  พินัยกรรมเขาก็เขียนแจกแจงรายละเอียดไปหมดแล้ว  ได้แต่หวังว่าเหมยผิงจะเอ็ดดูฝูหรงของเขาบ้าง  เด็กนั่นไม่ค่อยฉลาด  แถมยังซื่อบื้อ  เจอกันที่ก็เอาแต่ยิ้ม  ถ้าไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายก็คงดี  จะได้มีเงินพอเก็บใช้จนถึงตอนแก่เฒ่า  หากแต่งงานและมีลูกก็ยิ่งดี  จะมองดูลูกๆ หลานๆ วิ่งเล่นเต็มบ้านแทนที่เขาซึ่งคงจะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นอีกแล้ว


ก่อนตาย  เขากระชับอ้อมกอดให้องค์หญิงน้อยอยู่ติดตัว  ชาตินี้เขาไม่เคยติดค้างใคร  มีแต่ติดค้างตนเองกับหลานสาวคนนี้เท่านั้น 

ดังนั้นในช่วงก่อนที่กำลังจะตาย  เขาได้แต่ร้องขอต่อสวรรค์  ตัวเขาไม่เคยติดค้างใคร  และไม่เคยเรียกร้องขอความเห็นใจจากสวรรค์เลยซักครั้ง  ยกเว้นก็แต่ครั้งนี้....  ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนี้  เขาขอเพียงให้สิ่งที่ฝากฝังไว้กับฝูหรงเป็นความจริงเท่านั้น  เขาขอ...  เพียงแค่นั้น  และจะไม่ขอสิ่งใดเพิ่ม



"ฝูหรง  ชีวิตข้าเกิดมาแม้ไม่ได้อาภัพ  แต่ก็ไม่เคยมีความสุขจริงๆซักครั้ง  ฝูหรง  เจ้าสัญญากับข้าได้หรือไม่  หากวันใดข้าต้องตายด้วยน้ำมือของฝ่าบาท  เจ้าช่วยเอาศพข้าไปลอยลงในทะเลไร้ชื่อ...  ช่วยนำร่างของข้าไปให้ไกลจากแผ่นดินของฝ่าบาทได้หรือไม่  หรืออย่างน้อยถ้าหากข้าต้องตายไปแบบไม่มีศพ  ก็ช่วยเอาเถ้าศพหรือป้ายหยกตัวแทนของข้าไปโยนที่ทะเลแทนที  หากต้องตายแบบไม่มีแผ่นดินกลบหน้า  ชาติหน้าข้าคงไม่ขอเกิดใหม่อีกแล้ว  หรือถ้าสวรรค์กลั่นแกล้งให้ต้องเกิดใหม่  ข้าก็ขอ...ทิ้งร่างกายกับหัวใจไว้ที่ทะเล  เมื่อลืมตาเกิดใหม่  ข้าจะไม่รักใครอีกแล้ว  หากต้องเกิดใหม่... ข้าจะไม่ขอรัก  ใครนอกจากตัวเองอีกแล้ว"




>>>  จบแล้วววว   :hao5:
>>>>>  ถ้าขยันจะมีตอนพิเศษมาลงให้  แต่เคล้าน้ำตาเหมือนเดิม 
>>>>>>> เรื่องเป็นสรรพนามบุรุษที่สองที่เล่าเรื่องตัวเองในอดีตเน้อ  ส่วนปัจจุบัน...  แค่กๆๆ  ถ้าขยันจะมีภาคต่อนะ  (หรือไม่มีดี  จบแบบเศร้าๆ  ไปเลย  5555)
>>>  ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและมาเมทต์ติชมให้จ้า  อันไหนที่แก้ได้เราแก้แล้วเน้อ  โดยเฉพาะคำศัพท์กับชื่อตามที่แนะนำมาค่ะ  //กราบ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-12-2016 11:36:50
นั่งอ่านนำ้ตาซึมตั้งแต่ต้นจนจบ  :impress3: :impress3:
ยังอยากอ่านต่ออะ
ขอภาคต่อหรือไม่ก็ตอนพิเศษเยอะๆ หน่อย
ไม่อยากให้ท่านอ๋องตายเลย
อยากให้ท่านอ๋องได้มีความรักดีๆบ้าง
โดยเฉพาะอยากให้ทุกคนเห็นค่าของท่านอ๋องบ้าง ฮือออออออออออออ   :mew6: :mew6:
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-12-2016 12:35:32
ขอบคุณค่ะ ถ้าจะกรุณาสักหน่อยก็อยากได้ตอนพิเศษนะ รีเควส์ทเลยละกัน
- ความรู้สึกของฮ่องเต้ ที่มีต่อท่านอ๋อง ฮ่องเต้ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงเหรอ หรือแค่คิดว่าเป็นเครื่องมือ
- อยากอ่านตอนปัจจุบันสักหลายตอน อยากรู้ว่าในชาติใหม่ของท่านอ๋องนั้นจะ ไร้รัก จริงเหรอ จะมีใครสามารถเติมเต็มหัวใจให้บ้างไหม
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 28-12-2016 23:07:34
เศร้าโฮก..กกกกกกก   :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-12-2016 00:44:49
เขียนได้ดีอ่ะ สงสารท่านอ๋อง งื้ออออ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Atroce ที่ 29-12-2016 02:02:51
เศร้ามากแต่ชีวิตคนเราก็แบบนี้ มีใครบ้างที่จะสมหวังกันหมด
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 29-12-2016 14:34:23
ขอบคุณค่ะ ถ้าจะกรุณาสักหน่อยก็อยากได้ตอนพิเศษนะ รีเควส์ทเลยละกัน
- ความรู้สึกของฮ่องเต้ ที่มีต่อท่านอ๋อง ฮ่องเต้ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงเหรอ หรือแค่คิดว่าเป็นเครื่องมือ
- อยากอ่านตอนปัจจุบันสักหลายตอน อยากรู้ว่าในชาติใหม่ของท่านอ๋องนั้นจะ ไร้รัก จริงเหรอ จะมีใครสามารถเติมเต็มหัวใจให้บ้างไหม

ตอนฮ่องเต้คงไม่มีอ่ะค่ะ  เพราะพี่แกไม่ใช่ตัวเอก  ส่วนพระเอก(เหรอ)  ยังไม่โผล่ค่ะ  55555 
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-12-2016 18:49:30
ขอบคุณค่ะ ถ้าจะกรุณาสักหน่อยก็อยากได้ตอนพิเศษนะ รีเควส์ทเลยละกัน
- ความรู้สึกของฮ่องเต้ ที่มีต่อท่านอ๋อง ฮ่องเต้ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงเหรอ หรือแค่คิดว่าเป็นเครื่องมือ
- อยากอ่านตอนปัจจุบันสักหลายตอน อยากรู้ว่าในชาติใหม่ของท่านอ๋องนั้นจะ ไร้รัก จริงเหรอ จะมีใครสามารถเติมเต็มหัวใจให้บ้างไหม

ตอนฮ่องเต้คงไม่มีอ่ะค่ะ  เพราะพี่แกไม่ใช่ตัวเอก  ส่วนพระเอก(เหรอ)  ยังไม่โผล่ค่ะ  55555

แสดงว่ามีต่อแน่ๆ ท่านอ๋องจะเจอรักใช่ม้ายยยยยยย   :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 30-12-2016 21:23:03
สิ้นสุดกันทีเรื่องราวความทุกข์ระทมในชาตินี้  สงสารท่านอ๋องกับองค์หญิงน้อย คนที่เป็นคนดีแบบนี้เหตุใดจึงอาภัพนัก เพราะรักยอมทำทุกอย่าง แต่ฝ่าบาทก็เห็นเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง สุดท้ายแม้ต้องตายกับศัตรูแต่ท่านอ๋องก็เลือกที่จะจบชีวิต มันหนักหนาเกินไปกับบาดเเผลที่ใจและกายได้รับ คงทนไม่ไหวแล้ว หากเกิดชาติหน้าอีก ขอให้รักแต่ตัวเอง... น้ำตาซึมเลย สงสาร. แต่ท่านอ๋องทำดีที่สุดแล้ว พยายามหาทางออกและแก้ไขปัญหาอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ฝ่าบาทกับอีอ๋องตัวโกงนั่นล่ะที่บ้าบอกับผู้หญิงคนเดียว หวิดสิ้นชาติก่อสงคราม ไม่เห็นแก่ชาติบ้านเมือง
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก บทจบ 28/12/59 [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 30-12-2016 22:27:43
น้ำตาซึม
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก ตอนพิเศษ:: ปีใหม่ || 31/12/59 || [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 31-12-2016 20:19:59
สวัสดีปีใหม่



วันขึ้นปีใหม่  บ้านสกุลฉู่ผ่านปีใหม่ไปอย่างราบราบเรียบ  ทุกอย่างที่ต้องทำตามธรรมเนียมก็ทำหมดแล้ว  ซองใส่เงินช่วงปีใหม่ก็แจกจ่ายจนครบ  ส่วนเจ้าบ้านสกุลฉู่ที่มักนอนแค่หัวค่ำ  ก็อยู่ดื่มกับลูกน้องจนผ่านพ้นช่วงเวลาเที่ยงคืนก่อนขอตัวอย่างมีมารยาท  เขาที่เป็นสามี..  อะแฮ่ม  เป็นบอร์ดี้การ์ดและเลขาส่วนตัวของคุณชายจึงได้แต่ไปส่งคุณชายขึ้นห้อง  พ่อที่แก่ชราแล้วก็ได้แต่อยู่คุมลูกน้อง  ไม่ให้เลี้ยงฉลองจนเลยเถิด 

เขาที่เดินตามคุณชายต้อยๆ  ก็ได้แต่เดินอมยิ้ม  ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้อยู่กับคนชายหลังอดทนมานาน  พยายามไม่ฟังเสียงนกเสียงกาที่แซวเบาๆ  อยู่ในห้อง  คุณชายหูดี  เพราะอย่างนั้นจึงส่งเสียงดังไม่ได้  แต่เขาก็เห็นใบหูคุณชายที่ขึ้นริ้วจนเหมือนสีเลือด  ไม่ว่าจะเพราะเมาหรือเพราะเขิน  คุณชายก็ยังดูสง่างาม  เดินตัวตรงกลับขึ้นห้อง  ปกติต้องเป็นพ่อที่ตามมาส่งคุณชาย  แต่ปีนี้เป็นเขา  ดังนั้นนอกจากจะต้องทำหน้าที่สามี...  อะแฮ่ม  ทำหน้าที่บ่าวที่ดี  เขายังต้องพาคุณชายผ่านวันปีใหม่ไปอย่างมีความสุขให้ได้

ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงห้อง  นอกจะช่วยคุณชายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า  ยังต้องช่วยคุณชายอาบน้ำ  ข่มทนความต้องการเวลาช่วยเช็ดตัวให้  และเพราะเป็นเวลาดึกมาก  เขาจึงต้องเป่าผมให้คุณชายด้วย  เส้นผมของคุณชายนุ่มสลวยและเบาพริ้ว  แต่ก็เป็นผมที่ดกดำและมิ่งตัวสวยรับกับศรีษะ  เขาลงน้ำมันนวดผมกันผมแตกปลาย  ก่อนนวดคอและบ่าเบาๆ  ตัวคุณชายผอมบางแต่มีกล้ามเนื้อ  ไม่น่าเชื่อว่าไหล่บางๆ  นี้นี่แหละที่โค่นทุกคนในบ้านลงได้  ทุกคนที่เป็นบอร์ดี้การ์ดล้วนถูกคุณชายฝึกฝนทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ด้วยใือเปล่าหรือกระบี่ที่ไม่มีคนใช้กันแล้ว  ไม้พลองหรือกระบองที่เป็นอาวุธประจำตัวนอกจากปืน  ก็ได้คุณชายเป็นคนอบรมสั่งสอนให้ทั้งนั้น  เขาที่อยู่กับคุณชายมาตั้งแต่เด็กก็ได้รับการฝึกสอนมานับครั้งไม่ถ้วน  ถึงบางครั้งเขาจะพยศและไม่เชื่อฟัง  แต่สุดท้ายก็ถูกคุณชายซัดจนหมอบ  คุณชายไม่ใช่คนช่างพูด  ดังนั้นเขาที่หนีเตลิดจึงเสียเวลาที่จะได้อยู่กับคุณชายไปตั้งสี่ปี  น่าเสียดาย...

" จิ้ง..."  เสียงคุณชายที่เรียกชื่อเขาดังแผ่ว  แต่ฟังแว่วหวาน  เขาที่นวดไหล่อยู่ถึงกับชะงัก  ก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่มือ  คุณชายกดเส้นที่หลังมือไม่หนักมาก  แต่เล่นเอามือเขาชา  วิชาสะกดจุด  คุณช๊ายยยยยย

" หากจะนวดก็นวดดีๆ"  ปากไม่ต้อง   อันนี้คุณชายไม่ได้พูด  แต่เขารู้  อยู่กันมานาน  นิสัยอ่านใจคุณชายเขาก็ทำได้ดีเหมือนกัน  เขาที่โอ้โลมกดปากไปบนไหล่คุณชายก็ได้แต่ส่งเสียงอ้อน

" คุณชาย..."

" อย่ามาอ้อน"   จ๊ากกกกกกก  เจ็บๆๆๆ  มือๆๆๆๆ

โอเค๊  เมื่อคืนก่อนเขาอาจจะรุนแรงไปบ้าง  แต่คุณชายก็  เอิ่ม.. สมยอม  ก็ได้ๆๆ  คืนก่อนเป็นเพราะใช้ความใจอ่อนกับความสงสารของคุณชายหรอก  เขาถึงได้หม่ำคุณชายได้  แต่จะให้คุณชายขึ้นมาอยู่บนมันก็ไม่ใช่  คุณชายผอมบางกว่าเขาตั้งเยอะ  ถึงคุณชายจะไม่เคย  แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะยอมให้คุณชายเป็นฝ่ายรุกได้  ความรักมันอาจจะต้องดูแลเอาใจใส่  โดยเฉพาะกับคุณชายที่ต้องการความรักมาก  แต่...  ให้คนสวยๆ  อย่างคุณชาย  เอ๊ย  ให้คนที่ดูหล่อเหลาอย่างคุณชายมาเป็นตาแก่บ้าตัณหาก็คงไม่ใช่  ถึงคุณชายจะ  เอ่อ..  เซ็กซี่มากๆ  เวลาอยู่บนเตียง  ยิ่งเวลาอยู่ในชุดคลุมผ้าไหมเปียกเหงื่อที่เปิดข้าง  ปิดข้างยิ่งเซ็กซี่  แถมปากแดงๆ  กับตาดำๆ  ที่หรี่ลงเล็กน้อยนั่น...  เอาเป็นว่าถ้าเขายังอยากรักษาสถานะของสามี  เขาไม่ควรปล่อยให้คุณชายกดง่ายๆ  เพราะหากคุณชายเอาจริง  เขาย่อมสู้ไม่ได้  ดังนั้น...

" จิ้ง.."  โอยฟังเสียงเรียกแล้วใจละลาย  เมื่อก่อนเขาโง่ชะมัด  ที่ปล่อยคุณชายไว้แบบนั้น

" ครับ..."  เสียงอ่อนเสียงหวานด้วยความเคลิบเคลิ้ม  เขาสบตาคุณชายที่มองสบมาผ่านกระจก  ตาของคุณชายเป็นสีดำขลับ ยิ่งกว่าความมืด  เป็นดวงตาที่แน่นิ่งจนบางทีเขาก็ไม่รู้ว่าคุณชายคิดอะไรอยู่กันแน่  แต่ก็แน่ล่ะ  คุณชายผ่านมาหนึ่งชาติหนึ่งภพ  แถมชาติที่ผ่านมาก็ค่อนข้างระทมทุกข์  ไม่สิ  ต้องเรียกว่ายิ่งกว่าระทมทุกข์มากกว่า  เขาที่รู้เรื่องทุกอย่างมาจากพ่อ  นอกจากเชื่อ...  เขาก็ทำอะไรไม่ได้  เพราะคุณชายน่าสงสารเหลือเกิน  และเพราะทิฐิของเขา  ทำให้คุณชายต้องทุกข์หนักแบบนั้น  แต่ตอนนี้  เขามีโอกาสแก้ตัวแล้ว  ถึงมันออกจะสายเพราะเขาปกป้องคุณชายไม่ได้  แต่อย่างน้อยเขาก็ทำทุกอย่างให้ดีขึ้น  ดูแลคุณชายที่เจ็บป่วยจนหายดี  มอบความรัก  ความภักดีให้  ยอมตายแต่จะไม่ยอมเสียคุณชาย  จะไม่ยอมเสียคุณชายให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น

" จิ้ง..." 

โอย  คุณชายโปรดอย่าเรียก  ของจะขึ้น!

" ครับ  คุณชาย..."

" คืนนี้ออกไปนอนข้างนอก  ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าอยู่ในห้อง" 

อะไรน้าาาาาาาา

ปึง!!

เสียงปิดประตู....

" คุณช๊ายยยยยยยยยย" 




เฮ้อ~  สวัสดีดีปีใหม่  โชคดีนะฉู่จิ้ง   <<  พระเอก...  แค่กๆๆๆ




>>>  เขียนให้คุณชาย  >///<
>>>>>  เขียนให้ตัวเองด้วย  จะได้มีกำลังใจเขียนภาคต่อ  T^T
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก ตอนพิเศษ:: ปีใหม่ || 31/12/59 || [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-12-2016 20:29:34
จึงได้แต่ไปส่งขึ้นชายขึ้นคน (ส่งคุณชายขึ้นนอน ...หรือเปล่าคะ)

"เพราะคุณชายน่าสงสารเหลือเกิน  และเพราะทิฐิของเขา  ทำให้คุณชายต้องทุกข์หนักแบบนั้น  แต่ตอนนี้  เขามีโอกาสแก้ตัวแล้ว" (หมายความว่าไง พระเอกเป็นใครในชาติก่อน)

อดีตชาติกับปัจจุบันให้ความรู้สึกต่างกันคนละอารมณ์เลยทีเดียว รอตอนพิเศษต่อไปค่ะ
ขอบคุณคนเขียน และสวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก ตอนพิเศษ:: ปีใหม่ || 31/12/59 || [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-12-2016 20:49:01
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก ตอนพิเศษ:: ปีใหม่ || 31/12/59 || [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 31-12-2016 20:49:33
จึงได้แต่ไปส่งขึ้นชายขึ้นคน (ส่งคุณชายขึ้นนอน ...หรือเปล่าคะ)

"เพราะคุณชายน่าสงสารเหลือเกิน  และเพราะทิฐิของเขา  ทำให้คุณชายต้องทุกข์หนักแบบนั้น  แต่ตอนนี้  เขามีโอกาสแก้ตัวแล้ว" (หมายความว่าไง พระเอกเป็นใครในชาติก่อน)

อดีตชาติกับปัจจุบันให้ความรู้สึกต่างกันคนละอารมณ์เลยทีเดียว รอตอนพิเศษต่อไปค่ะ
ขอบคุณคนเขียน และสวัสดีปีใหม่ค่ะ

แก้แล้วจ้า  ขอบคุณนะคะ

ส่วนพระเอกเป็นใครในชาติก่อนต้องลุ้น  เอ๊ะ  หรืออาจจะไม่เกี่ยวกับชาติก่อนเลยก็ได้....    อุบไว้  อุฮิ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก ตอนพิเศษ:: ปีใหม่ || 31/12/59 || [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-12-2016 22:42:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก ตอนพิเศษ:: ปีใหม่ || 31/12/59 || [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-01-2017 09:41:41
>>>  เขียนให้คุณชาย  >///<
>>>>>  เขียนให้ตัวเองด้วย  จะได้มีกำลังใจเขียนภาคต่อ  T^T

เป็นกำลังใจให้ไรต์จ้า ภาคนี้คงไม่เศร้าเคล้าน้ำตาอ่ะนะ สู้ๆ รออ่านครัช    :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น // ไร้รัก ตอนพิเศษ:: ปีใหม่ || 31/12/59 || [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 03-01-2017 18:20:28
เฮ้อ ................ ท่านอ๋องน่าสงสาร


ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 1 || 7/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 07-01-2017 12:15:07
ภาคหลัก
ตอนที่  1



คุณชายหมิงเล่ย  สกุลฉู่  เป็นคนไร้หัวใจ

เรื่องนี้เขารู้มานานแล้ว

เขาชื่อฉู่จิ้ง  เป็นลูกชายคนโตของพ่อ  พ่อของเขาเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งมีอาชีพเป็นช่างตัดหญ้า  ทำงานอยู่ในบ้านผู้มีอิทธิพลประจำเมือง S  พ่อพบรักกับแม่ที่เป็นแม่บ้านตอนอายุ 17  พออายุ  18  ก็มีเขา  อีกสองปีต่อมาเขาก็มีน้องสาวตัวเล็กๆ  เพิ่มมาอีกหนึ่งคน 

พ่อของเขาเป็นคนเข้มงวดแต่ใจดีเหตุผลไม่เคยทุบตีลูกๆ  แม่ของเขาที่เป็นแม่บ้านก็ยึดถือหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมอย่างครบถ้วน  บ้านเขาเป็นครอบครัวเล็กๆ  ที่ไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่มีความอบอุ่น พ่อแม่ไม่เคยทุบตี  เขาที่เป็นลูกชายคนโตพ่อก็ไม่เคยเข้าข้าง  ผิดถูกว่ากันไปตามกฎบ้าน  พอดีน้องสาวเกิดมา  ทุกคนก็รักและเอ็นดูน้องแต่ไม่มีความลำเอียง   

บ้านเขาเป็นบ้างหลังเล็กๆ  ที่อยู่ในเมือง S  เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ที่มีบ้านผู้ทรงอิทธิพลอยู่หลายตระกูล  ยกตัวอย่างง่ายๆ  ก็คือบ้านสกุล เว่ย  บ้านนี้พ่อของเขาทำงานมาตั้งแต่ยังเล็ก  โตมาก็ยังทำงานอยู่ที่นี่  พอพบรักกับแม่ที่เป็นสาวใช้ก็ออกมาเช่าบ้านของนอก  เป็นบ้านชั้นเดียวไม่ใหญ่มาก  มีสองห้องนอนสองห้องน้ำ  และหยึ่งห้องนั่งเล่น  ครัวก็ต่อเติมเอาหลังบ้าน  บ้านเขาอยู่กันอย่างมีความสุข  จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไป

เขาพบกับคุณชายหมิงเล่ยตอนอายุ 7  ขวบ  ตอนนั้นคุณชายอายุ  9  ขวบ  ท่าทางดูไม่แข็งแรงซ้ำยังขี้โรค  ภายในตัวมีบาดแผลที่ปกปิดไม่มิด  ถึงจะไม่ได้ออกเลือด  แต่ก็แดงช้ำพอดู

พ่อของเขาเคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีคนมาอยู่ด้วย  เป็นเด็กชายอายุ  9  ขวบ  ท่าทางน่ารัก  แต่เท่าที่เขาเห็น...  ไม่เห็นนจะน่ารัก  หลังตรงคอตั้งอย่างกับพวกคุณชาย  แถมดวงตาก็ยังดูดำมืด  ไม่เหมือนเด็ก  9  ขวบซักนิด  เหมือนคนแก่ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนจนถึงขั้นตายด้าน  เขาไม่เคยอ่านความนัยในดวงตานั้นออก  มันเป็นดวงตาราบเรียบ  มีสีดำเหมือนท้องทะเลที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

พ่อของเขาแนะนำว่าคุณชายชื่อหมิ่งเล่ย  นับตั้งแต่นี้ไปจะเปลี่ยนมาใช้แซ่ฉู่  เป็นลูกชายคนโตของพ่อ  แม่ของเขารับรู้แล้วว่าจะมีบุตรบุญธรรมมาเพิ่ม  ถึงจะยังไม่ได้ทำเรื่อง  แต่ก็เป็นการรับรู้ว่าต่อไปในบ้านจะมีเด็กชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

คุณชายหมิงเล่ย  เป็นเด็กที่แปลกมาก  คุณชายไม่ใช่คนช่างพูด  จะเปิดปากคุยก็ต่อเมื่ออยู่กับพ่อไม่ก็ฉู่หยาง...น้องสาวของเขา  แต่ถึงจะไม่ใช่คนช่างพูด  แต่เวลาอยู่กับน้องสาวเขา  ดวงตาของคุณชายจะฉายแววเอ็นดู 

เขาไม่ค่อยสนิทกับคุณชายมากนัก  แต่คุณชายก็สั่งสอนเขาในส่วนที่ทำได้  ส่วนใหญ่เป็นพวกการต่อสู้  เขาที่ยังเด็กเลยชอบเข้าไปพัวพันด้วย  โดยเฉพาะวิชากระบี่  คุณชายร่ายกระบี่ได้สวยงามยิ่งกว่าในหนัง  ทุกท่วงท่าเหมือนมีกำลังภายในโดยที่ไม่ต้องออกแรงมาก  แต่ก็ซัดเขามอบติดพื้นจนต้องวิ่งร้องไห้ไปหาแม่

แม่เขาที่เป็นแม่บ้านถึงจะเป็นห่วงแต่ก็ไม่พูดอะไรมาก  เด็กผู้ชายเล่นกันจนได้บาดแผลถือว่าเป็นเรื่องปกติ  แต่คุณชายที่เก่งกว่าปกตินี่ก็เกินไปหน่อยไหม  อาศัยแค่กิ่งทับทิมก็ตีเขาจนยับ  ถึงจะไม่ได้แผลถึงขั้นออกเลือด  แต่ก็ยังแสบนิดๆ  เขาที่บางครั้งวิ่งไปให้พ่อช่วยทายาก็เปิดปากถามว่า  ไปเก็บเด็กผู้ชายคนนี้มาจากที่ไหนกันแน่

พ่อเขาที่ได้ฟังคำถามก็เขกหัวเขาดังโป๊ก  บอกว่าห้ามเรียกคุณชายว่าเด็กที่ไหนไม่รู้  ถึงคุณชายจะใช้แซ่ฉู่ตามพ่อ  แต่ก็เป็นฉู่คนละตัว  ฉู่  ของคุณชายมาจากคำว่า  ฝูลู่ฉู่  ที่หมายถึงชีวิตที่ยืนยาว  ดังนั้น  ฉู่หมิงเล่ย  จึงแปลว่าพายุแห่งความสดใสที่มีชีวิตยืนยาว 
 
พ่อบอกว่าคุณชายไม่ได้อยู่เมือง  S  แต่เป็นที่มาจากเมืองข้างเคียงคือเมือง  T  พ่อไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับคุณชายมากไปกว่านั้น  แค่บอกว่าบังเอิญเจอกันแล้วถูกชะตาเลยเก็บคุณชายมารับเลี้ยง  หาข้าวหาน้ำและเปลี่ยนชื่อแซ่ให้  สมัยก่อนการเปลี่ยนชื่อแซ่ไม่ได้ยุ่งยากมาก  แค่มีใต้โต๊ะนิดหน่อยกับกระดาษไม่มีแผ่นก็เปลี่ยนชื่อได้แล้ว  ลองเป็นสมัยนี้คงยากเพราะทุกอย่างเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์

เขาที่ฟังเรื่องมาจากพ่อก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก  เพียงแค่คิดว่าคุณชายเป็นคนแปลก..  เป็นเด็กที่แปลกเพราะคุณชายไม่ค่อยออกจากบ้าน  วันๆ เอาแต่อยู่ในห้อง  อ่านหนังสือที่พ่อหามาให้  บางทีก็เป็นแบบเรียนของเขา  คุณชายที่ไม่เคยไปเรียนหนังสือกลับทำแบบทดสอบในบทเรียนของเขาได้  แถมบางทีก็สอนฉู่หยางนับเลข  กับเขาคุณชายจะไม่อะไรมาก  แต่กับฉู่หยาง  คุณชายจะอดทน 

เขายังจำบทสนทนาแรกของคุณชายกับพ่อได้  มันฟังแปลก...  แต่ก็ยังฟังออกบ้างเพราะว่าเป็นภาษาจีน  แต่มันเป็นภาษาจีนสมัยไหนนี่เขาไม่รู้  รู้แต่ว่าแปลกับจับใจความไม่ค่อยได้  ในตอนที่ยังไม่รู้ความ  เขาก็แค่ฟังผ่านไปอย่างนั้น  แต่พอมารู้ความจริงอีกทีในอนาคต  เขาก็นึกออกแล้วจับใจความได้ว่า

" ลูกชายของเจ้าหรือ"

" ขอรับคุณชาย"

" มีลูกชายแค่คนเดียว?"

" มีลูกสาวอีกคนขอรับ  คงกำลังช่วยคนเป็นแม่ทำกับข้าว" 


นั่นคือประโยคแรกที่ได้ยินเสียงจากปากคุณชาย  เสียงของคุณชายฟังดูเนิบนาบไม่สมกับเด็ก  9  ขวบ  แถมดวงตาก็ดูดำมืดสงบนิ่ง  ตาคู่นั้นมองสบมาแค่แวบเดียวก็ผละออก  ก่อนจะพูดประโยคถัดไปว่า

" เลี้ยงดูพวกเขาให้ดี  อย่าให้พวกเขาลำบากล่ะ"

" ขอรับ  คุณชายบ่าวจะจำใส่ใจ"


และนั่นคือประโยคสุดท้ายคุณชาย  ก่อนที่คุณชายจะเดินเข้าห้อง  ซึ่งเป็นห้องที่เขากับน้องเคยอยู่

พอคุณชายมาอยู่ด้วย  หลายอย่างก็เปลี่ยนไปมากขึ้น  บ้านเขาจากที่มีห้องสองนอนแค่สองห้อง  ห้องหนึ่งก็ต้องเก็บของออกแล้วให้คุณชายย้ายเข้าไปอยู่แทน  ตอนแรกเขาก็ไม่เห็นด้วย  แต่พอพ่อบอกและให้เหตุผลว่าคุณชายเป็นเด็กเก็บตัวมาก  ซ้ำยังเคยถูกทำร้ายมาจากบ้านเก่าเลยไม่ชอบให้ใครถูกตัว  แม่ของเขาที่เป็นคนใจอ่อนก็เข้าใจ  ส่วนเขา...  เขาเองก็เคยเห็นแผลเป็นของคุณชายมาบ้าง  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่รอยแผลจากพวกรอยบุหรี่จี้หรือถูกเฆี่ยน  แต่เป็นรอยปาน  คุณชายมีปานแดงที่ไหล่ใหญ่มาก  ดูคล้ายรอยแผลไฟไหม้ที่ลากยาวจากไหล่มาถึงกลางหลัง   แถมด้านหน้าก็รอยเหมือนถูกมีดกรีดตัดผ่านหัวใจ  ตอนแรกเขานึกว่าเป็นรอยแผลเป็น  แต่พอแอบมองดีๆ  ถึงได้รู้ว่านั่นเป็นรอยปานอีกจุด

เพราะงั้นคุณชายไม่ชอบให้ใครเห็นตัวมาก  โดยเฉพาะใต้ร่มผ้า  ถ้าเขาไม่เคยแอบดูก็คงไม่เคยได้เห็น  คุณชายปกปิดร่างกายเอาไว้อย่างมิดชิด  แต่เพราะบ้านมันแคบ  เขาเลยได้มีโอกาสได้แอบส่องดูบ้าง

มันไม่ใช่ว่าเขาลามกหรือชอบแอบดูตั้งแต่ยังเด็กหรอกนะ  แต่คุณชายดูลึกลับมาก  ทั้งกับเรื่องบ้างเรื่องก็ยังดูฉลาดเกินเด็ก  โดยเฉพาะกับวิชายุทธ์  เขาที่บ้าหนังจีนกำลังภายในก็อยากฝึกบ้าง  คิดว่าคุณชายเป็นเฒ่าทารกที่ปลอมตัวมา  ตอนที่คุณชายได้ยินก็นิ่งเงียบ  ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก  คุณชายบอกกับเขาว่า  เขาเหมือนพ่อมาก  เขาที่ชื่นชมพ่อมาแต่ก่อนหน้าก็ยึดถือว่าพ่อคือวีรบุรุษ  ถึงพ่อจะเป็นคนงานตัดหญ้าธรรมดา  แต่สำหรับเขา  พ่อคือที่หนึ่งในชีวิต

แต่เมื่ออยู่กันต่อไป  นานวัน...  สิ่งที่คุณชายปฎิบัติกับพ่อมันไม่ใช่แบบพ่อลูก แต่เป็นเหมือนนายกับบ่าว  พ่อเขายึดถือคุณชายเป็นของล้ำค่า  เวลาออกไปข้างนอกก็จะคอยเดินตามหลังคุณชาย  ไม่ว่าใครก็แตะต้องคุณชายไม่ได้ถ้าคุณชายไม่อนุญาต  บางครั้งพ่อถึงกับลงมือทำกับข้าวใช้คุณชายเอง  เป็นอาหารง่ายๆแต่เลิศรส  ไปๆ มาๆ  ตอนหลังพ่อก็เป็นคนครัวเองโดยมีแม่เป็นผู้ช่วย  อาหารที่พ่อทำรสอร่อย  ทานง่าย  อวลกลิ่นสมุนไพร  และย่อยง่าย  ตอนแรกเองแม่ก็ไม่เห็นด้วย  เพราะไม่อยากให้พ่อเข้าครัว  แต่พอนานวันไป  แม่ที่ไม่เคยขัดพ่อก็ว่าตามไปด้วย  บางครั้งยังถึงกับถามพ่อว่าไปเอาสูตรมาที่ไหน  แต่พ่อก็เพียงแค่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรมาก 

" ทำไมพ่อต้องดูแลคุณชายขนาดนี้ด้วย"

เขาที่อดไม่ได้เลยเอ่ยปากถามแทนแม่  ถึงอาหารจะอร่อย  แต่คุณชายก็เป็นคนนอก  เป็นเด็กกำพร้าที่พ่อเก็บมาเลี้ยง  ทำไมพ่อต้องดีกับคุณชายขนาดนี้ด้วย  ขนาดเขาเป็นลูก  พ่อยังไม่เคยดีด้วยขนาดนี้  ออกจะปล่อนปละละลายด้วยซ้ำ

" คุณชาย...  เป็นเด็กน่าสงสารมาก  เมื่อก่อนคุณชายดูแลพ่อ  ตอนนี้...   ต่อไปจิ้งเอ๋อร์ก็ต้องดูแลคุณชายด้วย" 

เขาที่ฟัง  ก็ฟังแบบไม่ค่อยเห็นด้วย  คุณชายดูแลพ่อ?  แต่ตอนนี้คุณชายยังเด็ก  แล้วไปดูแลพ่อตอนไหน?
เขาที่ไม่เข้าใจจนถามพ่อ  พ่อก็เงียบก่อนกลับลำว่า  ตระกูลของคุณชายเมื่อก่อนมีบุญคุณกับพ่อ  ช่วยให้พ่อรอดตายได้  เขาที่ยังเด็กซ้ำยังชอบดูหนังจีนเลยยอมเข้าใจง่ายว่า  "มีคุณต้องทดแทน  มีแค้นต้องชำระ"  ดังนั้นคุณชายที่บุญคุณกับพ่อ  ต้องมีบุญคุณกับเขาด้วย  แถมบางครั้งเขาก็ยังเรียกคุณชายว่าอาจารย์  เพราะคุณชายสอนวรยุทธ์  เขาเลยยิ่งเทิดทูนคุณชายเข้าไปใหญ่  ว่างๆก็พาฉู่หยางไปฝึกวิชาด้วย 

ฉู่หยางอายุแค่สองขวบ  แต่เป็นเด็กที่มีความจำดีมาก  ถึงจะฝึกวรยุทธ์ไม่ได้แต่เรื่องนับเลขนี่ทำได้  บางทีก็ขว้างของใส่เขาเล่น  เขาที่ร้อนวิชาก็กระโดดไปมา  จนมีครั้งหนึ่งที่เขาเผลอเหวี่ยงไม้หลุดมือจนไปโดนฉู่หยาง  เขาที่ไม่เคยเห็นคุณชายโกรธก็ได้แต่เสียวสันหลังวาบ  คุณชายเอ็นดูฉู่หยางยิ่งกว่าใคร  ตอนที่วิ่งมาเพราะได้ยินเสียงฉู่หยางร้องไห้  เขานึกว่าจะถูกคุณชายตบเสียแล้ว  แต่กลับกลายเป็นว่าคุณชายแค่อุ้มฉู่หยางขึ้น  แล้วสั่งสอนเขา

" กระบี่ไม่มีตา  ครั้งนี้เป็นแค่ไม้  แต่เจ้า..  แต่นายโตแล้ว  คราวต่อไปจงให้ระวังให้ดี  อย่าให้คนอื่นบาดเจ็บเพราะความไม่ระวังของตนเอง" 

ตอนนั้นเขาอายุยังน้อย  ความน้อยใจเลยผุดขึ้นวาบ  ถ้าคุณชายตบ  เขาคงดีใจกว่ามากนี้  แต่นี่คุณชายกลับต่อว่าแล้วนิ่งเงียบ  ถ้าคุณชายดุเขาเหมือนที่พ่อเคยดุหรือยอมถูกตัวเขาบ้างเขาก็คงไม่ร้องไห้  แต่นี่คุณชายกลับยอมถูกตัวฉู่หยางแต่ไม่ยอมถูกตัวเขา แถมเวลาฝึกกระบี่ที่ต้องจัดท่าคุณชายก็จะใช้กิ่งทับทิมมาถูกตัวเขา   ยกเว้นเวลาที่เขาฝึกไม่ได้จริงๆ ก็จะยอมถูกตัวผ่านเสื้อผ้า 

วันนั้นเขาน้อยใจจนเกือบหนีออกจากบ้าน  เดือนร้อนถึงพ่อต้องตามเข้ามาดุถึงห้อง  ตอนนั้นบ้านเขาไม่มีประตูแบบมีล็อก  ความเป็นส่วนตัวเลยไม่มีเถอะ  ให้ตาย!

" จิ้ง!"  พ่อคำราม

นั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อขึ้นเสียงกับเขา  พ่อที่อยู่ในวัยฉกรรจ์อายุ  25  ดูรูปร่างสูงใหญ่  ถึงจะไม่ได้ตัวหนาเหมือนบอร์ดี้การ์ดของนายน้อยที่พ่อเคยทำงานอยู่ด้วย  แต่พ่อในตอนนี้ดูตัวใหญ่น่ากลัวมาก  ความใจดีที่เคยมีไม่เผยออกมาให้เห็น  พ่อดุเขาที่ทำท่าจะหนีออกจากบ้าน

" ลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ  หนีออกจากบ้านไม่ใช่วิถีของวิญญูชน!  ไปคุกเข่าขอโทษคุณชายเดี๋ยวนี้!" 

เขาที่ตอนนั้นยังเด็กย่อมไม่เข้าใจคำว่าวิญญูชน  คำศัพท์ยากๆ แบบนี้พ่อไปเอามาจากไหนไม่รู้  เขาที่ดื้อก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แบะปากทั้งน้ำตา  บอกว่าพ่อไม่รัก

" พ่อรักแต่คุณชาย  ไม่รักจิ้ง!  ใครๆ ก็รักแต่ฉู่หยาง  แล้วจิ้งล่ะ!" 

อารมณ์เด็กน้อยพาลโมโหก็แบบนี้  คิดแล้วก็ขายหน้า  เขาที่เหตุผงเหตุผลหายไปหมด  ก็เหลือแต่ความน้อยใจที่คิดว่าไม่มีใครรัก  แค่ถูกตำหนิก็น้ำตาก็ยิ่งไหลพราก  ใครจะไปแข็งแกร่งเหมือนคุณชายกัน  นิ่งเงียบดุจดังหินผา  ต่อให้ถูกฟ้าผ่า  ก็คงไม่แตกออกเป็นสองซีก!

" จิ้ง!!!" 

และนั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อตบเขา  พ่อที่ใจดีมาตลอดตอนนี้กลับปกป้องคุณชายที่เป็นลูกใครที่ไหนก็ไม่รู้  พอเขาบอกความในใจก็ยิ่งถูกต่อว่า  แม่ที่อยู่ในครัวก็ต้องวิ่งมาดูด้วยความเป็นห่วง  จะเข้ามากอดแต่ถูกพ่อห้ามไว้    แม่ที่ไม่เคยขัดใจพ่อซักครั้งก็ได้แต่ยืนนิ่ง  พอเห็นเขาร้องไห้หนักก็ทำท่าจะร้องไห้ตาม  ตอนนั้นเขาเกลียดคุณชาย  เกลียดฉู่หยาง  เกลียดทุกคนที่เห็นหน้า  โดยเฉพาะกับคุณชาย  ถ้าคุณชายหายตัวไปได้เลยยิ่งดี  ตายไปก็ยิ่งดีใหญ่   เขาจะได้ไม่ต้องถูกดุแบบนี้!!

" ไอ้จิ้ง!!!" 

แต่ก่อนที่พ่อจะปรี่มาตบเขาอีกรอบ  คุณชายที่อุ้มฉู่หยางที่หลับแล้วก็เดินเข้ามา  ส่งฉู่หยางไปให้คุณแม่  ก่อนเดินเข้ามาบังพ่อแล้วหยุดยืนต่อหน้าเขา

" เจ็บมากหรือไม่"   คุณชายพูดภาษาแปลกๆ อีกแล้ว  แต่เขาฟังบอก  แต่ถึงฟังออกแล้วยัง  ได้แต่ตอบโต้ไปว่า "อย่ามายุ่ง!"

" จิ้ง!!!" 

พ่อคำรามอีกรอบ  แต่คุณชายยกมือกันไว้  ถ้าคุณชายไม่ห้ามเขาถูกตบอีกรอบแน่

" เด็กอายุ  7  ขวบก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  เขาย่อมต้องมีน้อยใจบ้าง  เจ้าเองก็อย่าตบตีเขาเลยฝูหรง  จิ้งเอ๋อร์ยังเด็กนัก  ตอนเจ้าอายุเท่านี้ก็ใช่จะรู้เรื่อง  จิ้งเอ๋อร์ดูฉลาดกว่าเจ้า  ย่อมต้องคิดมากและมีน้อยใจเป็นธรรมดา  เจ้าเองก็อย่าดุเขานักเลย" 

" ...ขอรับ  คุณชาย"


เขาที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างก็ได้แต่ร้องไห้อีกรอบ  ไม่รู้ว่าฝูหรงที่ว่านี่เป็นชื่อใคร  แต่น่าจะเป็นชื่อของพ่อ  เพราะพ่อยอมลดความโกรธลงและยอมหยุดนิ่ง  ตอนนั้นเขาคิดว่านั่นอาจจะเป็นฉายาของพ่อหรืออะไรทำนองนั้น  เขาที่ยังร้องไห้ก็ได้แต่ร้องไห้ไม่ยอมคิดให้มาก  เอามือกุมแก้มที่พ่อตบแล้วร้องไห้ไม่เลิก  ส่วนแม่เดินออกจากห้องไปนานแล้ว  เพราะคงกลัวฉู่หยางจะตื่นแล้วร้องไห้ตาม

" เจ็บหรือไม่"  คุณชายถามอีกรอบ

คราวนี้เขาที่กลัวโดนพ่อตบอีกก็ได้ยืนนิ่ง  สุดท้ายก็ปล่อยโฮออกมาน้ำตาพลั่กๆ  บอกว่าคุณชายไม่รัก  รักแต่ฉู่หยาง!

คราวนี้คุณชายนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด  เขาเห็นคุณชายขมวดคิ้วทำสีหน้ายุ่งยากใจ  ร่างกายของคุณชายที่ผอมบางเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้างเพราะพ่อเคี่ยวเข็ญให้กินข้าวกินยาอยู่ทุกวัน  คุณชายดูลังเลที่จะถูกตัวเขา  แต่ก่อนที่คุณชายจะยื่นมือมา   พ่อเขาที่อารมณ์ดีก็หัวเราะออกเสียงดังมาก  อารมณ์โกรธของพ่อลดลงแล้ว  พ่อกวักมือเรียกเขาเข้าไปใกล้  เขาที่ยังกลัวฝ่ามือพิฆาตก็ได้แต่อิดออดยืนนิ่ง  จนเมื่อเห็นพ่อเริ่มอารมณ์ไม่ดี  เขาเลยวิ่งไปกอด  ไม่ได้อ้อน...แต่ไม่อยากถูกตบอีกรอบ

" ข้าไม่ชอบให้ใครถูกตัว"

คุณชายพูดออกมาด้วยเสียงเบา  ทำสีหน้าลำบากใจ  เขาที่ฟังไม่ออกก็ได้แต่มองหน้าพ่อ  ให้พ่อช่วยแปลให้  รอคำตอบจากพ่อที่อารมณ์ดี  จนกดหัวเขาให้ขอโทษคุณชาย  แล้วคุยกับคุณชายว่า

" บ่าวจะสั่งสอนจิ่งเอ๋อร์อย่างดี  คุณชายอย่าได้กังวล"  ไม่แปลแล้วยังจะพูดให้งงอีก  พ่อนี่!

" อย่าใช้กำลังกับเขาก็แล้วกัน  จิ้งเอ๋อร์ยังเด็กนัก  ถูกทำร้ายหนักเข้า  จะฝังใจเปล่าๆ"

" บ่าวจะจำคำสอนของคุณชายไว้ขอรับ"


เขาที่ฟังไม่ออกก็ได้แต่ทำตาปริบๆ  แล้วร้องไห้ออกมาอีกรอบ  ทำไมไม่มีคนสนใจ!









>> มาช้าเพราะโดนพระแพงแย่งเวลา 
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 1 || 7/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-01-2017 15:02:20
อ๋าย..ยยยยย  มาต่อแล้ว แลดูน่าสนใจ
หวังว่าคงไม่เคล้าน้ำตาเหมือนอดีต
เอาใจช่วยทั้งคุณชาย ทั้งพระแพง  :sad4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 1 || 7/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-01-2017 19:42:44
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 1 || 7/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 07-01-2017 23:41:40
รอต่อไป ฉู่หยางนี่หลานตัวน้อยที่โดนยาพิษรึเปล่าหนอ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 1 || 7/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 08-01-2017 08:26:18
จิ้ง ก็แค่น้อยใจที่คุณชายไม่ค่อยรักไม่ค่อยเอ็นดู อุ้มชู ตัวเองเหมือนที่น้องสาวได้รับจากคุณชาย เลยโวยวายตามประสาเด็ก แต่คงฝังใจน่าดู ไม่ว่าที่หนีเตลิดไปเพราะน้อยใจว่าคุณชายไม่รักอีกรึเปล่า แอบคิดไม่ซื่อกะคุณชายตั้งแต่เล็กเเต่น้อย. เจ้าเด็กคนนี้
ที่แท้พ่อของจิ้งก็คือฝูหรงนี่เอง ท่านอ๋องและฝูหรงกลับชาติมาเกิดแล้วได้มารับใช้กันอีก
ขอให้ชาตินี้ท่านอ๋องได้พบประสบรักที่สุขสมหวังด้วยเถอะ
ตอนแรกก็แอบคิดว่าจิ้ง ชาติที่แล้วก็คือ ฝ่าบาท ตอนนี้คิดว่า เป็นตัวละครใหม่เลยดีกว่า ฝ่าบาทกับท่านอ๋องอย่ามาเจอกันอีกเลย
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 1 || 7/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-01-2017 09:35:53
รู้สึกว่าฉู่จิ้งน่าสงสาร ถูกรังแก (ทางจิตใจ) บ่อย ๆ ฮา

ฝูหรงทำยังไงนะ ถึงทำให้ท่านอ๋องกับตัวเองจำอดีตชาติได้
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 1 || 7/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-01-2017 11:12:27
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 19-01-2017 09:47:44
ตอนที่  2




ตอน  9  ขวบคือตอนที่เขาย้ายบ้านครั้งแรก  จากบ้านเช่าหลังเล็กๆ  ก็เปลี่ยนมาเป็นบ้านสองชั้นที่มีพื้นที่  ฉู่หยางชอบวิ่งเล่นรอบบ้าน  คุณชายชอบเดินชมสวน  ตัวบ้านเช่าหลังใหม่มีต้นกุ้ยฮวาหรือหอมหมื่นลี้ที่ปลูกไว้อยู่แล้วหนึ่งต้น  ช่วงที่ดอกกุ้ยฮวาออกดอก  พ่อก็จะทำขนมจากดอกไม้  เป็นขนมแบบโบราณรสชาติไม่หวานมากแต่ติดร่วน  ตอนหลังคุณชายกับแม่ก็ช่วยกันพัฒนาจนสามารถวางออกขายได้  จะว่าไปคุณชายก็มีหัวทางการค้ามาตั้งแต่สมัยเด็กๆ  เพราะนอกจากเข้าบ่อน  คุณชายก็คอยปรับปรุงรสอาหารและเขียนอักษรเป็นอาชีพ 

ตัวอักษรมงคลที่สวยงามเหมือนหงส์เหินมังกรทะยานคงเป็นอักษรที่คุณชายเขียนแบบนี้  ยิ่งช่วงหลังมาคุณชายยึดเอาการเขียนภาพวาดมาเป็นอาชีพ  ถึงตอนแรกจะยังขายไม่ได้  แต่พอนานวันเข้าภาพเขียนของคุณชายก็เป็นที่รู้และเริ่มมีราคา  ยิ่งกับพวกภาพเขียนที่เป็นชุดรอจนหลังจากสี่ห้าปี  อย่าว่าแต่เงินหยวนเลย  แต่ให้เป็นหมื่นๆ  หรือเป็นแสนดอลล่า ภาพของคุณชายก็ยังขายได้ 

ภาพวาดของคุณชายเป็นภาพวาดแบบจีนโบราณ  การลงสีและอุปกรณ์ที่ใช้วาดภาพก็เป็นแบบจีนสมัยเก่าล้วนๆ  ขนาดเขาในสมัยก่อนยังมองออกว่าสวย   ดังนั้นในสายตาศิลปินภาพของคุณชายจึงเป็นของล้ำค่าที่ไม่สามารถหาหรือจับต้องได้ง่าย  แต่เพราะคุณชายในสมัยนั้นยังเด็กอีกทั้งยังไม่มีชื่อเสียงมาก  ภาพวาดของคุณชายที่วางขายตามตลาดจึงยังขายไม่ค่อยได้ราคาและถูกกดราคาอยู่บ่อยครั้ง  แต่คุณชายเองก็ไม่ได้ใส่ใข  เพียงแค่บอกว่าถ้าขายไม่ได้ก็แค่เก็บเอาไว้  จนกลายเป็นพวกค้าต้องมาง้อคุณชายแทน

ช่วงสองสามปีแรกคุณชายยังยึดการเข้าบ่อนเป็นอาชีพ  แต่พอหลังจากนั้นเป็นต้นมา  คุณชายก็เปลี่ยนมาประมูลหยกหรือหินดิบ  เขาที่ยังไม่เข้าใจในศาสตร์นี้ก็ยังไม่ได้ใส่มาก  แต่บางครั้งที่คุณชายกลับมาพร้อมกับหินก้อนเล็กๆ  คุณชายก็จะสอนเขาดูหยกหรือดูหินทับทิมบ้าง

เขาอยู่กับคุณชายที่บ้านเช่าหลังนี้ประมาณสามปี  และพอตอนเขาอายุ  12  เขาก็ต้องย้ายบ้านอีกรอบ  ครั้งนี้เขาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่คุณชายบอกว่าต่อไปจะเป็นบ้านที่คุณชายอยู่ถาวร  บ้านอยู่ตั้งอยู่ในแนวชายแดนระหว่างเมือง T กับ เมือง U

เมือง  U  เป็นที่ยังไม่ค่อยเจริญมากแต่มีค่าที่ดินถูก  ทำเลที่คุณชายเลือกซื้อมาสร้างบ้านเป็นทำเลทองที่ถูกหลักฮวงจุ้ย  ด้านหลังเป็นเขา  ด้านหน้าเป็นน้ำ  ตัวบ้านที่คุณชายออกแบบไว้ก็วางตัวตามแนวตะวันตกไปยังตะวันออก  ประตูหน้าบ้านหันออกไปยังทิศใต้  เรียกได้ว่าเงินทองการงานมั่นคง  กระแสลมไหลผ่านตัวบ้านได้เหมาะเจาะ  สายน้ำก็ทำให้เก็บเงินได้อย่างมั่งคั่ง 

แต่เขาที่ยังเป็นเด็กย่อมไม่คิดแบบนั้น  การย้ายบ้านหมายถึงการที่จะต้องเสียเพื่อน  นายน้อยที่พ่อเคยทำงานให้ด้วยก็พยายามรั้งตัวเขา  ตอนนั้นพ่อลาออกจากอาชีพคนสวนและออกมารับใช้คุณชายเต็มตัวแล้ว  เขาที่สนิทกับนายน้อยท่านนี้มากก็อยากที่จะอยู่เมือง T  ต่อด้วย  แต่ถ้าหากต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับนายน้อย  สุดท้ายเขาก็เลือกก็ต้องเลือกครอบครัวมากกว่าอยู่ดี  ถึงคุณชายจะออกปากว่าให้เขาอยู่ต่อที่เมือง T ได้  แต่พ่อกลับบอกว่าสมัยนี้ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่จะปล่อยให้เด็กผู้ชายเติบโตด้วยขาตนเองได้  ถึงจะอยู่บ้านคนอื่นไม่ได้ทิ้งขว้าง แต่สมัยนี้ไม่ระบบศักดินา  เรื่องค่าใช้จ่ายหรือการดูแล  พ่อที่เป็นผู้ปกครองต้องคอยส่งเงินมาให้  ดังนั้นสู้ให้เขาไปอยู่ด้วยน่าจะสะดวกมากกว่า 

อีกอย่างเมือง U  ถึงจะไม่เจริญเท่าเมือง T  แต่ก็อยู่ไม่ห่างกันไม่มาก  ถ้าเขายอมอดทนตื่นเช้าเพื่อเดินทางมาโรงเรียนได้  เขาก็ไม่ต้องย้าย  เพียงแต่การที่ต้องยอมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาขึ้นรถตอนหกโมงเช้า  และกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็หกโมงเย็น  มันก็ไม่เรื่องที่เด็กสิบเอ็ดขวบจะทนได้ 

ถึงเขาจะตื่นขึ้นมาออกกำลังกายกับคุณชายตอนเช้า  แต่เขาก็ได้ตื่นตั้งหกโมงก่อนอาบน้ำแล้วไปเรียนตอนเช้า  แต่ถ้าเขาต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อนั่งรถไปเมือง  T  เขาได้หลับในห้องเรียนแน่  อีกอย่างตอนนี้ฉู่หยางก็เข้าชั้นประถมแล้ว  จะให้น้องสาวไปโรงเรียนคนเดียวก็ใช่ที่ 

น้องสาวของเขาที่ถูกคุณชายประคบประหงมเลี้ยงดู  ตอนนี้ก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก  ชอบผูกมวยผมสองข้างติดโบว์แล้วไปโรงเรียน  พวกเด็กผู้ชายในชั้นประถมก็ชอบแกล้งชอบล้อเพราะว่าฉู่หยางน่ารัก  เขาที่เป็นพี่ชายเลยได้ใช้วิชากระบี่สมใจ  คว้ากิ่งไม้ได้ก็ฟาดใส่พวกเด็กผู้ชายจนหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศ  จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาลงมือหนักไปหน่อย  เพราะเด็กพวกนั้นถึงเลือดออกด้วย  พ่อเขาที่เป็นผู้ปกครองก็ต้องออกมาขอโทษผู้ปกครองของอีกฝ่ายถึงที่โรงเรียนเพราะฝ่ายนั้นทำท่าจะเอาเรื่อง

คุณชายที่ได้ฟังข่าวอยู่ในบ้านก็นิ่งคิด  ก่อนตัดสินใจสอนหมัดมวยให้เขาแทน  คุณชายสั่งสอนเขาว่ากระบี่ไม่มีตาแต่เห็นตรวจจับหาร่อยรอยได้ง่าย  ถ้าอย่างนั้นสู้ให้เขาเรียนชาหมัดมวยด้วยดีกว่า  เพราะอย่างมากสุดก็แค่ทิ้งรอยช้ำ  หากลงมือดีๆ  ตามที่คุณชายสั่งสอนบางหมัดจะไม่เห็นรอยด้วย 

เขาที่เพิ่งถูกคุณชายเข้าข้างเป็นครั้งแรกก็ได้แต่ยิ้ม  ตั้งใจเรียนทั้งวิชากระบี่  หมัดมวย  และคัดอักษร  เขาอยากให้คุณชายชื่นชมเขาในแบบที่เขาเป็นเขา  ถึงคุณชายจะไม่เอ็นดูเขาเหมือนฉู่หยาง  แต่ขอเพียงแค่ตุณชายชื่นชมเขาบ้าง  แค่นี้เขาก็เป็นสุขใจมากเกินพอ

เขาอยู่กับคุณชายและครอบครัวที่บ้านใหม่มาตลอดจนถึงตอนอายุ 15  ตัวบ้านหลังใหญ่ทรงกึ่งจีนแบบโบราณที่มีสองชั้น  จากตอนแรกที่มีแต่ตัวบ้าน  ตอนหลังมาคุณชายก็สร้างตัวเก๋งจีนหลังน้อยขึ้นมาตั้งอยู่ในพื้นที่บ้าน  มีบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยปลาคาร์ฟ   ตัวสวนมีไม้ใหญ่ที่เติมโตมาตั้งแต่เริ่มปลูกบ้านแซมอยู่เป็นระยะ  จนเมื่อเวลาที่เหล่าต้นไม้ออกดอก  บ้านหลังนี้ก็เต็มไปด้วยดอกไม้ที่ออกดอกตามฤดูกาลอยู่หลายชนิด  ทั้งยังมีสนมงคลต้นเล็กที่คุณชายชอบตัดแต่งด้วยความรัก  เขาเคยถามคุณชายว่าทำไมถึงชอบแต่งสนนัก  คุณชายก็ตอบว่า

" เพราะสนต้องการความรัก  แต่เติบโตเพื่อตนเองไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นชื่นชม  ต้นสนก็เหมือนกับมนุษย์  ต้องการความรัก  ความเอาใจใส่ดูแล  ข้าเพียงแค่ได้เห็นมันเติบใหญ่ก็สุขใจ  ไม่ต้องสิ่งใดเพิ่ม"

สมัยนั้นคุณชายยังคงติดคำพูดแบบภาษาเก่าที่เขายังไม่ค่อยคุ้น  แต่พอนานไปเขาก็ยังออกได้บ้าง  เขาถามพ่อ  ถึงคำตอบที่เขาได้รับ  มันฟังดูมีนัยสำคัญที่เขาไม่สามารถแปลออกได้  แต่พอเขาถามพ่อก็กลับไม่ยอมตอบ  เพียงแต่บอกเขาว่า  เขาห้ามหักหลังคุณชาย  และเขาต้องอยู่กับคุณชายไปตลอดชีวิต 

พ่อบอกว่าคุณชายเป็นอ่อนไหว  ถ้าพ่อต้องแก่ตายหรือเป็นอะไรตายไปก่อนคุณชายก็จะไม่สามารถอยู่คนเดียวได้  หัวใจที่อ่อนแล้วของคุณชายมีพ่อเป็นที่พึ่ง  ถ้าไม่มีพ่อคุณชายก็เป็นเหมือนเด็กหลงทางที่ไม่อาจมีใครคาดคิด  คุณชายมีตัวตนอยู่ระหว่างสองโลก  ตัวตนหนึ่งคือคุณชายที่ยังจมอยู่กับอดีต  และอีกตัวตนหนึ่งคือคุณชายที่มีชีวิตอยู่  ณ  ปัจจุบันนี้ 

พ่อยังเล่าอีกว่าตอนที่พบกับคุณชาย   คุณชายก็มีแต่ความมืดมิด  คำสาป "ไร้หัวใจ" ที่คุณชายเคยขอไว้กับสวรรค์บัดนี้ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว  คุณชายไม่มีหัวใจ  มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด  จวบจนวันที่คุณชายมาพบพ่อ  คุณชายจึงได้ตื่นขึ้นมาจากความดำมืด 

ตอนนั้นเรื่องที่พ่อเจอกับคุณชายก็เป็นดั่งสวรรค์ลิขิต  ตัวคุณชายเดินโซซัดโซมากลับถนนที่เป็นทางเดินร้าง  พ่อคาดเดาว่าคุณชายคงอดข้าวอดน้ำมาแล้วหลายวัน  แต่เพราะไม่มีความรู้สึก  และไม่มีความคิดคุณชายถึงทนอยู่ได้  แต่ถ้าพ่อไปเจอคุณชายช้ากว่านั้นแม้เพียงเสี้ยววิ  คุณชายก็คงต้องแพ้แรงตัวเอง และเพราะการขายน้ำ

ตอนที่เขาฟังมาจากปากพ่อ  ตอนนั้นเขายังเด็ก 

แต่พอมาคิดดูอีกทีเมื่อเติบใหญ่แล้ว  เขารู้สึกว่าตัวเองน่าขำและน่าชิงชังนัก  เขาอิจฉาฉู่หยางเพราะเขาไม่อาจแทนที่ฉู่หยางได้  เขาอิจฉาพ่อเพราะพ่อเป็นคนเดียวที่คุณชายเรียกหาเวลาเกิดเรื่อง  เขาอิจฉาและชิงชังทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคุณชาย  แต่ในตอนที่เขารู้ความจริงจากสมุดบันทึกของพ่อ  ตอนนั้นเขาก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าใจถึงความทุกข์ของคุณชายที่ผ่านมาแล้วชาติหนึ่งได้เลย


" ฝูหรง  ชีวิตข้าคงไม่อาจมีลูก  ข้ารักและเอ็นดูเจ้าแต่คงรับมาเป็นบุตรบุญธรรมไม่ได้  สร้อยมงคลเส้นนี้ปกติจะมอบให้ลูกชายคนโต  เจ้าก็เก็บไว้ให้ลูกชายคนโตของเจ้าเถอะนะ  ข้าไม่อาจมีลูกได้และไม่อาจนำเจ้ามาเลี้ยงออกนอกหน้าได้เพราะรอบตัวมีแต่คนคิดคด   และชีวิตนี้...ข้าคงไม่ได้อยู่ถึงวันที่เจ้ามีลูก 

เพราะอย่างนั้นนะ  ฝูหรง  จำคำของข้าไว้  ต่อไปภายภาคหน้าหากเจ้ามีลูก  เจ้าจงรักลูกของเจ้าทุกคนอย่างเท่าเทียม  ไม่ว่าใครเกิดก่อนเกิดหลัง  จะเป็นหญิงหรือชายก็จงรักอย่างเท่าเทียมอย่าได้ลำเอียงเข้าใจหรือไม่  อย่ารังเกียจเดียจฉันท์เพียงเพราะเขาเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากคนที่เจ้ารัก  เด็กทุกคนมีหัวใจ  มีความคิด  เพราะอย่างนั้นเจ้าต้องรักพวกเขาอย่างเท่าเทียม  อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์และอยู่อย่างตายทั้งเป็น  เข้าใจหรือไม่"

และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คุณชายเอ็นดูฉู่หยางนัก  คุณชายรักทุกคนอย่างเทียม  แต่ความเท่าเทียมนี้เหมือนขวากหนามที่คอยทิ่มแทงใจเขานัก  คุณชายรักทุกคน...  แต่ก็หมายถึงคุณชายไม่เคยรักใครเป็นพิเศษด้วย  มีแต่เพียงพ่อกับฉู่หยางที่มีความแตกต่าง  เขาที่เป็นลูกชายพ่อ  คุณชายก็ให้ความเท่าเทียมอย่างที่คุณชายจะให้กับคนอื่นได้

คุณชายเป็นไร้รัก  คุณชายเป็นไม่มีหัวใจ

เรื่องนี้เขารู้มานานแล้ว 

แต่เรื่องที่เขาเพิ่งรู้เมื่อตอนที่สายไปก็คือ

คุณชายไม่มีหัวใจเพราะคุณชายได้ทิ้งหัวใจไว้ในทะเลที่ดำมืดแล้ว

" จิ้งเอ๋อร์ฟังคำพ่อไว้เอาไว้นะ  พ่อมีลูกกับฉู่หยางก็เท่ากับว่าพ่อได้ทำตามคำสั่งเสียของคุณชายไปมากกว่าครึ่ง  ตอนนี้ก็เหลือแค่เลี้ยงดูให้ลูกๆ  สองคนโตใหญ่และเป็นคนดี  อย่างที่พ่อจะฝากความหวังไว้ให้ดูแลคุณชายต่อไปได้  พ่อแก่กว่าคุณมากนัก  เมื่อถึงวันที่ต้องลงหลุมคุณชายก็อาจจะตามพ่อไปได้  คุณชายไม่เหลือใครที่เป็นที่พึ่งได้อีกแล้ว  และหากพ่อตายก่อน  พ่อก็ไม่อยากให้คุณชายต้องตายจากไปด้วย  แต่ถ้าต้องให้พ่อเป็นคนไปเก็บกระดูกคุณชายเพื่อเอาโปรยที่ก้นทะเลพ่อก็คงทำอีกไม่ได้  เถ้ากระดูกสีขาวโพลนที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง  คุณชายกับฉู่หยาง...  องค์หญิงน้อยที่ไม่มีวันได้ลืมตาดูโลก 

ชาติที่แล้วของพ่อที่ต้องค่อยๆ เก็บเถ้ากระดูกของคุณชายขึ้นมาทีละชิ้นช่างน่าสมเพชนัก  คุณชายที่ครั้งหนึ่งอยู่อย่างสง่างามและไม่เคยต้องการสิ่งใด  สุดท้ายก็ต้องมากลายเป็นเถ้าถ่านเพราะคนที่แอบรัก  สายลมหมุนวนพัดเถ้าถ่านที่หลงเหลือจากซากไม้ที่ถูกเผามาจนปนกับกระดูกของคุณชาย  พ่อต้องหอบเอาเถ้ากระดูกส่วนใหญ่เข้ามาใส่ในอกเสื้อ  คำสั่งเสียของคุณชายพ่อได้กระทำจนเสร็จสิ้น  ฝ่าบาท...  ฮ่องเต้ที่พยายามขัดขวางพ่อไว้เพราะอยากได้ส่วนหนึ่งของเถ้ากระดูกขององค์หญิงคืน  แต่พ่อไม่ส่งคืนให้  คุณชายต้องมาจากเพราะคนแบบนี้  หากพ่อต้องตายเพื่อปกป้องเถ้ากระถูกของคุณชายพ่อก็ต้องทำแล้ว  พ่อจะไม่ยอมให้แม้แต่เศษเสี้ยวของคุณชายอยู่ในมือคนแบบนี้

ดังนั้นจิ้งเอ๋อร์ต้องฟังพ่อนะ  ถึงคุณชายจะเป็นคนไร้หัวใจ  แต่ท่านไม่ได้ไร้ความรู้สึกอย่างที่หลายคนคิด  ท่านเป็นคนที่มีหัวจิตหัวใจ  แต่หัวใจของคุณชายแหลกสลายไปเพราะถูกทรยศหักหลังแล้ว  เพราะอย่างนั้น...  เจ้าที่เป็นลูกพ่อก็ต้องปกป้องคุณชายเข้าใจหรือไม่   จิ้งเอ๋อร์ห้ามทรยศและห้ามคิดร้ายต่อคุณชายเข้าใจหรือไม่  เพราะคุณชายคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าหากจะต้องถูกหักหลังอีกครั้ง"





>>>  ค่อยๆรู้ อดีตของท่านอ๋องผ่านทางฝูหรง(ชาติใหม่) ไปเรื่อยๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-01-2017 11:31:30
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-01-2017 22:37:34
น้ำตาไหลทังเรื่องเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 19-01-2017 22:42:19
รอวันที่คุณชาย..หัวใจไม่ไร้รัก    :L3:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-01-2017 03:04:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 20-01-2017 18:10:46
สงสารคุณชายจริงๆ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 21-01-2017 10:24:51
รออ่านต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ตอนพิเศษ :: ความฝัน || 9/3/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 23-02-2017 19:23:08
ความฝัน


ข้าเคยฝัน...

ความฝันนั้นเป็นฝันที่หวานล้ำจนข้าไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมา 


ข้าฝันว่าตัวเองนอนหลับตาภายใต้แสงอาทิตย์  มันเป็นฝันกลางฤดูใบไม้ผลิที่มีแดดอบอุ่นส่องลงมาอยู่เล็กน้อย  ร่างกายข้าอ่อนแแอมาตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสลมหนาวบ่อยนัก  แต่หลังจากผ่านช่วงฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายมา  แสงแดดอบอุ่นเพียงน้อยนิดก็ทำให้อยากออกมาสัมผัสกับแสงแดดดูบ้าง  ทุกคนมักชอบเป็นห่วงข้าจนเกินเหตุและคอยสั่งกำชับให้ข้าทำตัวให้อบอุ่นอยู่ทุกครั้ง  ข้าใส่เสื้อคลุมตัวใหม่หนาหนักที่ได้รับเป็นของขวัญพระราชอยู่ทุกปี  เสด็จพ่อก็คอยดูแลเอาใจใส่ข้าเป็นอย่างดีในฐานะลูกชายคนโตแห่งตำหนักอ๋อง  ผู้คนที่อยู่รอบกายข้ามักจะมีมีหน้าเปื้อนยิ้ม  ทุกคนมีความจริงใจและไม่มีวันคิดคดทรยศหักหลังข้าผู้เป็นนาย

ข้าเติบโตขึ้นมาในตำหนักอ๋องอันอบอุ่นมีผู้คนอยู่ล้อม  เวลาป่วยมีคนดูแล  ครั้นพอป่วยหนัก  เสด็จพ่อก็จะคอยตามหมอมามาจากแดนไกลเพื่อรักษาข้าถึงในตำหนัก  ข้าเติบโตมาด้วยความรัก  มีผู้คนคอยถนอมดูแลรักใคร่  ถึงร่างกายจะอ่อนแอแต่ด้านวรยุทธ์ก็ไม่เป็นสองรองใคร  ข้าไม่เคยปิดบังความสามารถของตัวเองแต่ก็ไม่อวดเบ่งจนผู้คนเกลียดขี้หน้า  ขุนนางที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนก็เอาใจใส่และพูดคุยด้วยรอยยิ้ม  พวกเขาทะนุถนอมข้าราวกับข้าเป็นใบไม้ที่เพิ่งแตกยอดอ่อน  ต้องคอยปกป้องกันไม่ให้ถูกพวกแมลงคอยทำร้าย

แต่ในความฝันนั้น...  สิ่งที่ทำให้หลับตาฝันจนไม่อยากลืมตาตื่นคือกลิ่นอายของคนที่ข้าแอบรัก

องค์รัชทายาทที่ข้าได้แต่แอบเฝ้ามองมานาน  จนวันหนึ่งเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์  ภายใต้คำสัญญา  พระองค์ไม่เคยแต่งตั้งใครขึ้นมาเป็นฮองเฮา  สามภรรยาสี่อนุคือชายาที่พระองค์แต่งตั้งขึ้นเพื่อให้กำเนิดให้กำเนิดองค์รัชทายาท 

ข้ารู้สึกผิดต่อพวกนาง  ผิดต่อแผ่นดิน  ตัวข้าเป็นถึงอ๋องซ้ำยังเป็นผู้ชายแต่กลับครอบครองชายผู้อยู่เหนือคนทั่วใต้หล้า  บังลังก์มังกรเป็นขององค์ฮ่องเต้  แต่องค์ฝ่าบาทกลับเป็นคนของประชาชน 

ฝ่าบาทเปรียบเสมือนสนต้นใหญ่ที่คอยให้ความร่มรื่น  แต่ข้าคนนี้กลับเห็นแก่ตัว  ยึดถือและครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในพระทัยของพระองค์ไว้แต่เพียงผู้เดียว

แต่หลังจากผ่านอุปสรรคร่วมกันมา  เมื่อเราสองคนใจตรงกันและรักกัน  ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรมจรรยา  กฎมณเฑียรบาลแต่เก่าก่อนหรือความถูกต้อง  ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมาขัดขวางความรัก 

ข้าที่ครั้งหนึ่งเคยได้แต่เฝ้าฝันถึงผู้ที่อยู่ไกลเกินเอื้อม  วันหนึ่งพระองค์ก็เสด็จมาหาข้าภายใต้แสงตะเกียง  บอกกับข้าที่ตรากตรำทำงานหนักมาเพื่อพระองค์จนกระทั่งหลับคาโต๊ะอักษรว่า "รัก"  พระองค์ทรงสารภาพว่าพระองค์หลงรักข้ามานานแล้ว  เพียงแต่ติดตรงภาระหน้าที่  คนเป็นเจ้าแผ่นดินมีหลายสิ่งที่ควรทำและมีหลายสิ่งที่เป็นข้อห้าม แต่เมื่อพระองค์เห็นว่าข้ายอมทุกอย่างแม้กระทั่งสละชีวิตของตนเอง  พระองค์ก็คิดว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่พระองค์จะบอกคำว่า "รัก"  พระองค์จะไม่ปล่อยให้ข้าลำบากและอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป  จะคอยทะนุถนอมเหมือนข้าเป็นสิ่งล้ำค่า  ยามเจ็บปวดจะตามคนมาดูแล  ต่อให้พระองค์ต้องมีสนมหรือชายามากมาย  พระองค์ก็จะรักแต่ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น  แม้กระทั่งเรื่องที่ข้าไม่อาจให้กำเนิดองค์รัชทายาท  พระองค์ก็จะปกป้องข้าจากคำครหาของผู้คน  จะทรงรักข้าเหมือนกับที่ข้า "รัก"  พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ใครมาว่าร้าย  และจะไม่ปล่อยให้ข้าเป็นหมากทางการเมืองอีกต่อไป

ความฝันนั้น...  ช่างเป็นความฝันที่ชุ่มฉ่ำหัวใจจนข้าไม่อยากลืมตา

แต่ความฝัน...  ต่อให้มันเป็นฝันดีแค่ไหน  ซักวันข้าก็ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อพบเจอกับความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย

ภายในตำหนักอ๋องอันแห้งแล้ง  ข้าไม่เคยได้นอนหลับสนิทอย่างเต็มตา  และไม่เคยมีคืนใดที่ไม่ตื่นมาร้องไห้  ภายในตำหนักอ๋องแห่งนี้  ข้าไม่เคยสัมผัสได้ถึงไออุ่นแม้ในยามที่ดวงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา  ผู้คนที่อยู่รายล้อมหากไม่เป็นสายลับก็เป็นนักฆ่าที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อให้ข้าตกตายไปตามคำสั่งของผู้เป็นนาย  ข้านอนหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ  ภายในตำหนักแห่งนี้...  ตำหนักที่ครั้งหนึ่งข้าต้องผ่านความตายโดยไม่มีใครช่วยเหลือ  มาถึงตอนนี้ก็ยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอดทั้งที่ถูกผู้คนทอดทิ้ง 

ส่วนกับคนที่ข้า "รัก"  ไม่ว่าข้าจะพยายามแค่ไหน  สุดท้ายแล้วข้ากลับเป็นเพียงหนามยอกอกที่คอยทิ่มอยู่ในหัวใจขององค์ฮ่องเต้  พระองค์ไม่มีวันเชื่อใจข้า  และยิ่งไม่มีทางที่จะมอบความรัก 

ทุกความความไหวของข้ามีผลต่อบัลลังก์มังกรและความมั่นคงของพระองค์  ขอเพียงแค่ข้ามีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอีกนิด  ฉลาดเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย  หรือมีการกระทำที่ทำให้พระองค์ทรงเคลือบแคลง  พระองค์ก็พร้อมที่จะทำลายหนามยอกอกอย่างข้าทิ้ง

ทุกคำหวาน..  ภายใต้นาม "อีเหว่ย" คงมีเพียงข้าที่ยังยอมทนอยู่อย่างคนโง่  ข้ายอมทำทุกอย่าง  เพื่อขอแค่ให้มีซักครั้งที่พระองค์เอ่ยนามของข้าออกมาจาก "ใจ" ไม่ใช่เพียงหมากที่ใช้แล้วทิ้ง

แต่ความหวังนั้นช่างอยู่ไกลเกินกว่าที่ข้าจะเอื้อมมือไปไขว่คว้า

ดังนั้นข้าจึงหลับตาลง  ภายในตำหนักอันเปลี่ยวเหงาอ้างว้าง  ข้าหวังเหลือเกินว่าตัวเองจะนอนหลับลงและนอนหลับฝันดี

ภายใต้ความฝันอันแสนสวยงาม  ข้าหวังอย่างสุดหัวใจว่าตัวเองจะหลับฝันและไม่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเจอกับฝันร้ายอีกเลย 

หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น// ไร้รัก :: ภาคหลัก ตอนที่ 2 || 19/1/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 23-02-2017 19:23:27
กันให้ท่านอ๋อง
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค 1 (เตxกฤษ) 23/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 23-02-2017 19:31:48
THE  MELODY ภาค 1
(เตxกฤษ)



ก็ขึ้นชื่อว่าความรัก
ความรักในชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน
ใจมันอ่อนแอแพ้ความรัก
เพิ่งรู้ว่ารักในชีวิตจริงมันยิ่งกว่าในนิยาย



" เต วันนี้จะออกไปข้างนอกกันหรือเปล่า"

" อือ"


สำหรับผมความรักที่เป็นยิ่งกว่าในนิยาย   เป็นสิ่งที่ไกลเกินฝัน

" ผม " ที่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง และ " เขา " ก็เป็นคนธรรมดาอีกคนหนึ่ง

ใครจะคิดว่าชะตาจะเล่นตลกให้เรามาพบกัน




" ผม " เป็นคนธรรมดาที่อาศัยและทำงานอยู่ในอู่ซ่อมจักยาน

ส่วน " เขา " เป็นคนธรรมดาที่เป็นลูกค้าและเอาจักยานมาซ่อม



" เต มาดูลูกค้าหน่อย! กูคุยไม่รู้เรื่อง!"

นั่น... เป็นครั้งแรกที่ " ผม " กับ " เขา " ได้เจอกัน



" จักรยานเป็นอะไรมา"

" ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่มันปั่นไม่ไป"

ตอบแบบนี้

จำเริญเถอะโยม...

ผมลากจักยานของเขาเข้าอู่   แหม่ พูดเสียดูดี ความจริงผมก็แค่เข็นเข้ามาในร้าน เอาปะแจมาไขๆ เตะๆ ต่อยๆ อีกสองสามที...

" โซ่หลุด ไม่ต้องจ่ายตังค์ เอาอีแก่กลับไปได้แล้ว"

ผมบอกเขาที่ยืนเงียบกริบ คงอึ้งล่ะสิที่ผมซ่อมมันเสร็จในสามนาที

" แต่ผม... ดูแล้วนะ เมื่อกี้มันไม่ได้หลุดนี่"

" มันคงหลุดตอนคุณเข็นมามั้ง ผมว่าคุณซื้อคันใหม่เถอะ แก่ขนาดนี้ กี่สิบปีแล้ว"

" สิบกว่าปี  แม่ผมซื้อมาตอนผมหกขวบ เอามาจ่ายตลาด"

ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเข็นรถออกไปที่หน้าร้าน  เราคุยกันอีกสองสามคำ ก่อนต่างคนต่างแยกย้าย   

ผมคิดว่า

เราคงไม่ได้เจอกันอีก






" ไอ้เต ลูกค้ามึงมา! "

ลูกค้ากู?

ผมชี้หน้าตัวเอง  ผมจำได้ว่าไม่มีลูกค้าประจำนะเถ้าแก่  เป็นเบ๊มาตลอด

" ลูกค้ามึงแหละ!"

แน่ะ มีย้ำ

ผมชโงกไปดูหน้าลูกค้าที่รออยู่หน้าร้าน

ชัดเลย...

ลูกค้าตู

" เป็นอะไรมาอีก"

" ไม่รู้ คราวนี้โซ่ไม่หลุด แต่เบรกไม่อยู่"

ผมพยักหน้ารับแล้วลากอีแก่เข้าอู่เป็นการจบบทสนทนา

เคาะๆ แตะๆ ตบๆ สองสามที...

" สายเบรกขาด หนูกัด"

" .... "

ผมหันหลังแล้วหยิบเครื่องมือมาเปลี่ยนสายเบรก แกะๆ ไขๆ อีกสามสี่ที

" สองร้อยแปดสิบ"

" .... "

" สายเบรกสองร้อยสี่สิบ ค่าเปลี่ยนสี่สิบ ถ้าคราวหน้ามาอีกจะคิดเพิ่ม ซื้อคันใหม่เถอะ"

" ...ของดูต่างหน้าน่ะ ไม่อยากเปลี่ยน"

ผมพยักหน้ารับรู้   แล้วหันไปทำงานต่อ

เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แหงล่ะ

พูดได้ก็แปลก





และหลังจากนั้น

เขาก็มาวนเวียนที่อู่บ่อยๆ

วันก่อนเบรกแตก

วันก่อนหน้านู้นล้อหลุด

วันนี้...

โซ่ขาด

" โซ่ขาด เปลี่ยนแพงนะ"

" แพงแค่ไหนก็อยากเปลี่ยน ช่วยซ่อมให้หน่อย"

เขายิ้มแล้วโครงหัวนิดๆ

ผมไม่ว่าอะไร แค่โคลงหัวกลับแล้วเปลี่ยนโซ่จักรยานที่ขาด 

อยากเปลี่ยนอยากเสียเงินก็ตามใจ  ไม่ใช่เงินผมอยู่แล้ว

หลังเปลี่ยนเสร็จผมถือโอกาสดูส่วนอื่นไปด้วย  มันจะได้ไม่ต้องมาบ่อยๆ

" เอาไว้ที่นี่ไหม มีต้องเปลี่ยนหลายอย่าง เบ็ดเสร็จคิดรวมสี่พันไม่รวมเปลี่ยนสี เดี๋ยวเคาะสนิมให้ด้วย"

" เบ็ดเสร็จสองพันขาดตัว สี่พันนี่ซื้อคันใหม่ได้แล้ว"

" ก็บอกแล้วให้ซื้อใหม่"

" เอาน่า  เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่มีตังค์  ลดให้หน่อย  ถ้ามีตังค์ก็ว่าจะเอาเงินไปซื้อคันใหม่แล้ว"

" ไหนว่าของดูต่างหน้าไม่อยากเปลี่ยน"

" ก็แค่พูดให้ดูดี  อยากเก็บเงินไว้ใช้ยามจำเป็นมากกว่า  เงินทองหายาก"

ผมพยักหน้าไม่ว่าอะไร  เดินไปหาเถ้าแก่ต่อรองราคาให้

" สามพัน  แบ่งจ่ายได้   ไม่คิดค่าแรง แต่ค่าอะไหล่ต้องจ่ายเอง  จ่ายไม่หมดไม่ต้องเอาจักรยานคืน"

" แล้วจะเอาอะไรขี่ไปทำงาน  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีจักรยานอยู่คันเดียวเนี่ย"

นี่เป็นเรื่องที่กูต้องคิด?

" เอาจักรยานกูไป  ของมึงอีกอาทิตย์ค่อยมารับ"

" ผมชื่อกฤษนะ  แล้วคุณ..."

" เต  เตชินท์"



ใครจะบอกได้ว่าเราควรหยุดพักหรือไปต่อ
อย่าท้อถ้าเธอทำดีที่สุดแล้ว
คงมีสักวันที่ความรักนั้นจะเป็นของเธอ...




"  เอ่อ...  เต  ผมทำจักรยานคุณพัง"

กร๊าซซซซซ   กูอยากแปลงเป็นก๊อตซิลล่า!

" พอดีผมตกข้างทางน่ะ ขอโทษนะ"

ไอ้กฤษดวงซวย  มึงมีปัญหากับจักรยานมากนักนะ!

" เต...  ผมไม่ได้ตั้งใจ  เอ่อ...  ถ้ายังไงให้ผมเลี้ยงข้าวคุณแทนได้ไหม"

แล้วค่าซ่อมรถกู!?

" เดี๋ยวผมจ่ายให้ด้วย  รวมกับค่าซ่อมรถคันเก่า  จ่ายสด  ไม่มีเม้ม"

เออ!!




และหลังจากนั้น...

" เต..."

อะไรอีกวะ!  อะไรพังอีก!

" เอ่อ  ผมมาชวนคุณไปกินข้าว  คุณเลิกงานสองทุ่มครึ่งใช่ไหม  ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันนะ"

" ....ใครเลี้ยง"

" หารสองนะ  เงินเดือนยังไม่ออก  แต่เงินออกเมื่อไหร่  เดี๋ยวเลี้ยง"

" เออ!"






" ไอ้เต"

คร้าบ~  มีอะไรครับเถ้าแก่

" ไอ้หนุ่มจักรยานนั่นน่ะ...."

ไหนๆ  วันนี้มันมีอะไรเสียอีกวะ

" ไม่ใช่  กูหมายถึงมันมาจีบมึงไหมวะ"

จีบผม?

ไม่น่าใช่นะเถ้าแก่นะ

" ไม่จีบมันจะเทียวมาหามึงวันเว้นวันเหรอวะ  วันนี้ไอ้นี่เสีย  วันต่อไปเอาไอ้นั่นมาซ่อม  หลังๆ มาเนียนชวนมึงไปกินข้าว   นี่มันมานั่งรอมึงเลิกงานกี่คืนแล้ว"

หนึ่ง  สอง  สาม  สี่....

ยกนิ้วนับ...

เกินจำนวนนิ้วแล้วเถ้าแก่

" เออ!  มึงนี่สมองช้าจริง  ถ้ามันดักฉุดมึง  มึงมีผัวไปแล้ว!"

เอ่อ   เถ้าแก่  ผมเป็นผู้ชายนะ  มีป๋องแป๋งด้วย

" ไอ้นอร่า  ข้างบ้านมีป๋องแป๋งมันยังมีผัวได้เลย!"

เขาชื่อซาร่า  นอร่าอะไรเล่า 

" ยังจะเถียง!"

เปล๊าาา

" ว่าแต่...  ถ้าไอ้หนุ่มจักรยานมาจีบมึงจริงๆ  มึงจะเอาไงวะ"  แหม  เผือกนะเถ้าแก่นะ 

ผมเป็นผู้ชายนะเถ้าแก่  แล้วผมก็เป็นแบบนี้ด้วย  เถ้าแก่ว่าผมควรแต่งงานมีผัวหรือไงล่ะ

" มึงเป็นแบบนี้แล้วไงวะ  ไอ้หนุ่มนั่นก็เป็นแบบมึง  มึงทำงานได้  มันก็ดู...  ทำงานได้  ไม่ได้ดูไม่เอาโล้ไม่เอาพาย  นี่กูไม่ได้ยุให้มึงมีผัวนะ   แต่กูดูแล้วไอ้หนุ่มนั่นก็เข้าท่าดี   มึงเองก็อยู่คนเดียวไม่ใช่หรือไง  กูเห็นมึงอยู่คนเดียวกูก็เป็นห่วง  เป็นอะไรขึ้นมา  จะหาคนช่วยไม่ได้  มีคนอยู่ด้วย  คอยช่วยเหลือกัน  กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมึงมาก"

แต่มันก็พูดไม่ได้เหมือนกันนะ  เถ้าแก่นะ

" มันพูดไม่ได้  แต่มันก็แบกมึงไปโรงพยาบาลได้แล้วกันล่ะวะ  แถมค่าห้อง  ค่าน้ำค่าไฟ  ได้หารสองด้วย"

ได้ผัวด้วย?

" ถูก!"



ก็ขึ้นชื่อว่าความรัก
ความรักในชีวิตจริงไม่มีอะไรแน่นอน
ใจมันอ่อนแอแพ้ความรัก
เมื่อรักที่แท้จริงมันยิ่งกว่าในนิยาย
คงมีสักวันที่ความรักนั้นจะเป็นของเธอ...



" เต...  เรามาคบกันไหม"

หืมม 

" ผมพูดจริงๆ นะ  ถ้าคุณไม่รังเกียจ"

ผมมองไอ้คุณชายกฤษผู้ดวงซวยจากจักรยานเขินหน้าแดงเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน   เรานั่งเล่นอยู่ที่อ่างน้ำของมหาวิทยาลัย   วันนี้ผมกับคุณชายอาภัพ(จากจักรยาน)หยุดงานตรงกัน  เลยพากันมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินเล่น  โรแมนติก  สัด

" กูเป็นผู้ชายนะ  มึงเห็นไหม"

ผมส่งภาษามือไปให้ แล้วชี้ลงตรงที่ลูกชายตัวเอง  แต่มันกลับหัวเราะ

" เห็นตั้งแต่แรกแล้วครับ  หมายถึงเห็นตั้งแต่แรกแล้วครับว่าเป็นผู้ชาย  เตอย่าเอามือตะปบเป้าสิ  ผมเขินนะ"

มันส่งภาษามือกลับมา 

กูเองก็เขินเว้ย!

ใช่  ผมกับคุณชายกฤษผู้ดวงซวยเป็นใบ้  พูดให้สวยหรูหน่อยก็คือพูดออกเสียงไม่ได้  ผมเป็นใบ้มาตั้งแต่เกิด  ส่วน....

" อุบัติเหตุหูดับน่ะครับ  แก้ไม่หาย  เลยพลอยพูดไม่ได้ด้วย  คือกลัวเสียงที่ออกมาไม่ดีน่ะครับ  เพราะพูดไปก็ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง" 

อ๋อ  ผมพยักหน้ารับ


ใครจะบอกได้ว่าเราควรหยุดพักหรือไปต่อ
อย่าท้อถ้าเธอทำดีที่สุดแล้ว
คงมีสักวันที่ความรักนั้นจะเป็นของเธอ



เรื่องราวของความรักที่มีจุดเริ่มต้นเหมือนในนิทาน  ทุกอย่าเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ  พรหมลิขิต  และชะตาลิขิตซักพา 

" ผม" กับ " เขา" ที่เป็นคนธรรมดา  เป็นแค่คนที่มีบางอย่างเป็นจุดร่วม 

ผมไม่รู้ว่าเรื่องของผมกับเขาจะจบลงแบบไหน

แต่ถ้าผมไม่ยื่นมือออกไป 

ผมก็คงไม่มีวันได้ยืนคู่กับเขา  และคงไม่รู้ถึงจุดจบในวันข้างหน้า


เรื่องราวจบลงด้วยดี อยู่ในนิยายเรื่องเก่า
เรื่องจริงจบลงอย่างไร ใครจะรู้...

" อืม"

คงมีรักนั้นที่เป็นของเรา


หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค 1 (เตxกฤษ) จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 23/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-02-2017 21:39:54
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค 1 (เตxกฤษ) จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 23/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 24-02-2017 10:06:25
น่ารัก ..........................
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค 1 (เตxกฤษ) จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 23/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-02-2017 10:18:21
สารภาพว่าแอบระแวงคนเขียน เพราะเห็นคำว่า ภาค 1 นี่ละค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค 1 (เตxกฤษ) จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 23/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 24-02-2017 11:45:01
สารภาพว่าแอบระแวงคนเขียน เพราะเห็นคำว่า ภาค 1 นี่ละค่ะ

เจ็บกันท่านอ๋องมาสินะคะ 
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค เตxกฤษ II จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 25-02-2017 11:20:59
THE MELODY II (เตxกฤษ)



มันคงเป็นความรัก  ที่ทำให้ฉัน  ยังยืนอยู่ตรงนี้
มันคงเป็นความรัก  ที่ทำให้ตัวฉัน  ไม่ยอมหยุดเสียที



เต...  หนุ่มน้อยน่ารักช่างซ่อมจักรยาน  คนที่ผมเคยคิดว่าอยู่ไกลเกินฝัน

ผมเจอกับเตครั้งแรกที่ร้านซ่อมจักรยาน  เต  พูดไม่ได้  ผมเอง...ก็พูดไม่ได้

แต่นอกจากเรื่องที่เราพูดไม่ได้  อย่างอื่น...ผมกับเต  เราเข้ากันได้เกือบทั้งหมด

เตชอบตื่นสายวันที่อู่ปิดวันอาทิตย์ 

ผมที่ตื่นสายกว่าทุกวันแต่ก็ยังตื่นก่อนเต  มองดูลาดไหล่เตที่เปลือยเปล่า  ก้มจูบเพื่อเพิ่มรอยอีกนิด  แล้วนอนกอดเตด้วยความสุขใจ  ความรักของผมที่มีต่อเตมันมีอยู่ท่วมท้น 

ถึงผมจะเห็นเตครั้งแรกที่อู่ซ่อมรถ  แต่มันก็เป็นรักแรกพบ  และผมก็รักเตเพิ่มมากขึ้นในทุกวันที่อยู่ด้วยกัน  และฝันว่าจะได้อยู่กับเตไปชั่วชีวิต



แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป   


วันนั้นฝันตกหนัก 

ผมเลือกที่จะเดินไปรับเตแทนที่จะขี่จักยานออกไปรับเหมือนทุกครั้ง  ตั้งแต่วันที่เริ่มคบกันมา  ผมไม่เคยปล่อยให้เตกลับบ้านคนเดียวเลยซักครั้ง   

วันนั้นเสียงท้องฟ้ากร่นคำรามเหมือนกับกำลังจะร่ำให้  ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านสายฝนที่ตกหนักจนมองไม่เห็นทาง  ได้แต่เดินตามไฟสีส้มที่อยู่บนถนนอยู่ลิบๆ 

ผมเลทมาสิบนาทีแล้วเพราะฝนตกหนัก   ไม่รู้ว่าอู่จะจะปิดไปก่อนจนเตต้องยืนตากฝนหรือเปล่า  พายุกำลังมา...  เตจะตัวเปียกฝนไหม  ผมเอาเสื้อกันฝนอีกตัวติดมาด้วยแล้วหนีบมันไว้ใต้รักแร้  คงอีกประมาณห้านาทีกว่าผมจะเดินถึงอู่ซ่อมรถ 

เสียงฟ้ายังกู่ร้องจนผมสะดุ้ง  ผมไม่ได้ยินฟ้าร้อง  แต่ปรากฎการณ์ฟ้าลั่นก็ทำให้ผมตัวสั่นสะเทือนจนรู้สึกได้

แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องคือ  รถของหน่วยกู้ภัยและรถของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยที่เปิดไฟฉุกเฉินอยู่ตรงหน้า 

ตอนแรกผมไม่สนใจเพราะผมยังมีเตที่ต้องไปรับ  แต่เพราะลางสังหรณ์บางอย่าง...  จึงทำให้ผมเดินเข้าไปใกล้รถพยาบาลคันนั้นแทนที่จะรีบไปหาเต

ต้องไม่ใช่เต  ต้องไม่ใช่เต 

ผมภาวานาด้วยหัวใจที่สั่นระทึก

ต้องไม่ใช่เต... 

เตกำลังรอผมให้เดินไปรับ  เตต้องไม่อยู่ในที่แบบนี้

แต่...

แต่ร่างที่นอนอาบเลือดกลางสายฝนคือร่างของเตที่นอนแน่นิ่ง

ผมตะโกนผ่านสายฝน  วิ่งเข้าไปหาเตแล้วกอดร่างเตไว้  คำพูดที่ไม่เคยหลุดออกจากมานานพรั่งพรูออกมาเหมือนสายน้ำ  ทำไมเตถึงมาอยู่ตรงนี้  ทำไมเตถึงไม่รอผมไปรับ

เสียงตะโกนกู่ร้องของคนหูหนวกคงทำให้หน่วยพยาบาลที่ดูแลคนเจ็บฟังไม่รู้เรื่อง  ผมกอดร่างเตไว้แน่นท่ามกลางสายฝนที่ตกปรอยลง  รอจนฝนซา  ผมถึงได้เห็นหน้าเตชัดๆ 

เตเหมือนคน...  ที่เพิ่งหลับไปเท่านั้น




และหลังจากวันนั้นมา

ผมก็มาใช้ชีวิตอยู่ในห้องของโรงพยาบาลแทนที่บ้านของเต 

เถ้าแก่...หรือเจ้านายของเตที่มาเยี่ยมเตบอกผมว่า  วันนั้นฝนตกหนัก  เตไม่อยากให้ผมขี่จักรยานมารับ  เขาเลยขอกลับบ้านก่อนแล้ววิ่งฝ่าสายฝนกลับมาแทน  แต่เพราะฝนตกหลักถนนลื่น  นักศึกษาที่ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าสายฝนมาเหมือนกันจึงไม่เห็นตัวเตที่กำลังข้ามถนนมาจากอีกฝาก  ฝนตกหนักทัศนวิสัยมองเห็นไม่ชัด  เตถูกชนหัวกระแทกพื้น  แต่นักศึกษาที่ขี่ชนเตปลอดภัยเพราะใส่หมวกกันน็อค 

เรื่องที่เกิดขึ้น...  มันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด  เตข้ามถนนตรงทางม้าลาย  แต่ฝนตกหนัก  นักศึกษาจึงมองไม่เห็น  กว่านักศึกษาคนนั้นจะรู้ตัวว่าชนคน  ก็เป็นตอนที่ชนจนเตจนหัวฟาดพื้นและตัวเองก็กระเด็นออกจากรถไปแล้ว

เต  มีอาการสมองบวม  จนต้องเข้ารับการผ่าตัดอยู่หลายตัดหลายครั้ง 

ส่วนนักศึกษาคนนั้น..  พอฟื้นขึ้นมาได้ก็พยายามมากล่าวคำขอโทษพร้อมกับผู้ปกครอง  บอกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจและขอร้องว่าอย่าเอาเรื่อง   

ผมเองก็เข้าใจ...  เพียงแต่ผมยังทำใจยอมให้อภัยนักศึกษาคนนั้นไม่ได้  คนที่ชนเตฟื้นขึ้นมาแล้ว  แต่เตกลับหลับเป็นเจ้าชายนิทรา  ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ  แต่ถ้าสลับกันได้...  ผมก็ยินดีที่จะให้อภัยเด็กคนนั้น 

ยังดีที่อธิการบดีประจำมหาลัยมาช่วยไกล่เกลี่ยยอมความให้  เรื่องมันถึงจบลงที่ว่า  เตได้รับเงินชดเชย  30,000  จากครอบครัวเด็กคนนั้น  และได้อยู่ในห้องพิเศษของทางโรงพยาบาลที่เป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย 

เตมีบัตรประกันตนผู้พิการ  และเถ้าแก่ของเตก็ส่งประกันสังคมให้เรื่อยๆ  ดังนั้นผมที่เป็นแค่อาจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัย  จึงไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นหาเงินมาจ่ายค่าห้องให้  เตก็ได้นอนหลับอย่างสบายในห้องเดี่ยวแบบพิเศษ

ผมกินอยู่หลับนอนกับเตในห้องพิเศษของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัยแห่งนี้ 

อาจารย์หมอที่เป็นอาจารย์ผ่าตัดก็พานักศึกษามาตรวจอาการเตอยู่เรื่อยๆ 

ตอนแรกผมไม่พอใจที่คนอื่นเห็นเตเป็นผักปลาแบบนี้  เตนอนหลับอยู่สบายๆ  ยังจะมาตรวจนั่นตรวจนี่  แต่เพราะมันเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย  เตซึ่งเป็นคนไข้  ย่อมต้องยอมเป็นเคสให้นักศึกษาเรียนรู้ 

แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า  ผมก็เริ่มชิน  ดีเสียอีกที่มีคนมาคอยดูแลเตอยู่ใกล้ๆ

แต่บางครั้ง...

ต่อให้ดูแลดีขนาดไหน  เตที่นอนหลับเป็นเจ้าชายนิทรา  ร่างกายของเต...  ก็มีบางเหมือนกันที่นึกอยากทำร้ายตัวเอง

ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ดๆๆๆๆๆ

เสียงร้องเตือนจากมอนิเตอร์ดังลั่นทั่วห้อง  ผมที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่กดกริ่งเรียกนางพยายาล  เตดูทรมาน...  แต่เพราะผมพูดไม่ชัด...  ผมที่ไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเลยไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง

นางพยาบาลหลายคนกรูกันเข้ามาในห้อง  ผลักตัวผมบอกแล้วเข้าไปดูอาการเตที่เหมือนคนชัก

เตสั่นกระตุกเหมือนคนหายใจไม่ออก

สรุปคือเตเสมหะติดคอไม่สามารถหายใจต่อได้

ผมต้องทนมองเตที่ถูกสอดท่อเพื่อดูดเอาเสมหะออก  ผมปิดปากกลั้นเสียงร้อง  น้ำตาไหลอาบสองแก้มตอนที่เห็นนางพยาบาลต้องสอดท่อพลาสติกอันใหญ่สอดเข้าไปในปากเต  นางพยาบาลที่มือหนักหน่อยตบหลังเตเป็นระยะๆ  เพื่อเคาะเอาเสมหะที่คั้งค้าง  ผมมองดูเตที่ถูกเคาะปอดด้วยความปวดใจ

เตเป็นเจ้าชายนินทรา  โอกาสจะฟื้นมีอยู่  50-50 

เตมีโอกาสที่จะไม่ฟื้น... 

แต่อย่างตอนนี้...   ต่อให้เตดูทรมาน  ผมก็อยากยึดเหนี่ยวความหวัง  50% นั้นเอาไว้

กับคนอื่น..  กับคนนอกคงอยากให้เตหลับไปตลอดกาล  มากกว่าที่จะต้องมาอยู่อย่างทรมานต่อไปแบบนี้

แต่สำหรับผม...  ต่อให้มีความหวังเหลืออยู่แค่อีก 1%  ผมก็จะยื้อ 

ผมเชื่อว่า  ซักวันเตจะต้องกลับมา...

และผมจะรอเตไปตลอดชีวิต


ผมใช้เวลาช่วงเสาร์-อาทิตย์  และเวลาที่ว่างมาอยู่ดูแลเตตลอดทั้งวัน  จ้างนางพยาบาลพิเศษมาดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำอีกครั้ง  เตนอนหลับอยู่เป็นเจ้าชายนิทรา  บางทีร่างกายของเตก็ส่งสัญญาณออกมาเหมือนกับอยากจะบอกว่า  อยากยอมแพ้

แต่ผม...  ไม่มีวันยอม   

ผมคอยเปลี่ยนดอกไม้ในแจกันทุกวันไม่ให้มันเหี่ยวแห้ง  คอยเปิดผ้าม่านเพื่อที่เตจะได้นอนรับแสงแดด  คอยพลิกตัว  เช็ดตัว  ทำความสะอาดช่องปากและลิ้น

เตผอมลงทุกวัน...  กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานเริ่มจะผอมลีบ  ขนาดมีผมคอยช่วยขยับและทำกายภาพให้  แต่ร่างกายเตก็มีแต่จะยิ่งผอมซูบ 

มันทำให้ผมอดหวนนึกไปถึงตอนที่เจอกับเตครั้งแรกไม่ได้

ตอนนั้น...

วันที่ผมได้พบกับเตเป็นครั้งแรก  ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ 

จักรยานผมเสีย  จนผมต้องเอาไปส่งซ่อม

ผมเจอเตหน้าตาเปื้อนคราบน้ำมันเครื่องอยู่ในอู่ซ่อมรถจัรยานแห่งนั้น

เตผอมสูง  แต่มีแก้มที่ออกจะยุ้ยนิดๆ  ผิวขาว...ใต้ร่มผ้า  แต่ส่วนอื่นที่ถูกแดด  ผิวเตจะเป็นสีออกแดงจนเกือบคล้ำ  เตมีดวงตาเป็นสีน้ำตาลเหมือนกระรอกที่วิ่งอยู่ตามสวนสาธารณะ

ผมตกหลุมรักเตตั้งแต่ตอนนั้น

บางทีเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่...  มันอาจจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิต



ก่อนที่หูจะดับ  ผมเคยเป็นอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์  สาขาเครื่องกล  เรื่องทำจักรยานพังแล้วเอาไปส่งอู่  ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมค่อนข้างถนัด  ผมหาเรื่องพังจักรยานแล้วไปหาเตแบบวันเว้นวัน  วันนี้ไอ้นี่พัง  วันโน้นไอ้นั่นก็ต้องซ่อม  จนสุดท้าย...  ผมก็จีบเตติด

เอาเข้าจริงแล้ว...  พอคบกันนานๆ  ผมถึงได้รู้ว่าเตก็ไม่ใช่คนช่างพูด  ผมหมายถึงถ้ากับคนที่ไม่สนิท  เตจะไม่ค่อยสื่อสารกับใครมากนัก  นอกจากผมก็มีแต่เถ้าแก่ที่เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ 

เตเป็นพิการมาตั้งแต่กำเนิด  บางทีคนพิการแบบเราก็ไม่ชอบให้ใครมองว่าเราเป็นคนน่าสงสาร  เป็นคนพิการ  หรือเป็นคนที่ถูกสวรรค์ลงโทษ  ดังนั้นกับคนแปลกหน้าไม่เรารู้จักมักคุ้น  ส่วนใหญ่พวกเราจะทำตัวแบบคนปกติคือ  เมินเฉย  ไม่ยิ้ม  ไม่ทักและไม่ยอมพูดคุยด้วย 

ผมที่หูดับ...  หลังจากที่ต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์ประจำเพราะไม่สามารถสอนนักศึกษาต่อได้  แต่ทางมหาลัยก็ยังรับผมเข้าทำงานไว้ในฐานะอาจารย์ผู้ช่วย  ตำแหน่งพิเศษเฉพาะ  บางทีผมก็รับงานแปลเอกสารวิชาการต่างประเทศบ้าง 

สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผู้มีภาวะพิการจะต้องออกจากงานหรือหางานทำได้ยากหรือตกงาน  สังคมสมัยใหม่เปิดโอกาสให้กับคนพิการอย่างผมมากขึ้น  บางทีทางมหาลัยก็ส่งผมให้ไปสอนในโรงเรียนช่างชำนาญงานสำหรับคนพิการเพราะผมใช้ภาษามือได้   

ดังนั้นเรื่องที่ผมบอกเตว่าไม่มีเงิน...  มันจึงเป็นเรื่องโกหก  แต่เรื่องจักรยานของขวัญดูต่างหน้านั่นเป็นเรื่องจริงนะ  ผมไปเอามันมาจากบ้านหลังจากที่ผมขายรถจักรยานยนต์ทิ้ง  ผมขับรถมอเตอร์ไซด์ได้  แต่เพราะหูไม่ได้ยิน  จะให้ไปอยู่กลางถนนที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสหูร่วมด้วยก็คงจะไม่ได้  ผมเลยหันมาขี่จัยรยานที่ช้าแต่ปลอดภัยกว่าแทน

เตเอง..  พอรู้ความจริง  ก็งอนผมอยู่นิดๆ  แต่ก็สามารถให้อภัยผมได้  ผมย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังเดียวกับเตนับตั้งแต่ตอนนั้น 

บ้านของเตเป็นบ้านเช่าชั้นเดียวเล็กๆ  ตั้งอยู่ในเขตที่มีน้ำท่วมขังทุกปีในเวลาที่ฝนตกหนัก  ช่วงไหนที่ฝนตกหนักติดๆ กัน  ผมกับเตก็ต้องมาคอยลุ้นว่า  จะต้องขนของหนีน้ำไหม  ผมเคยชวนเตย้ายออกเพราะผมสามารถช่วยเตค่ายค่าเช่าได้ 

แต่เตไม่ยอมย้ายออก  เพราะบ้านเช่าหลีงนี้ราคาถูก  อยู่ห่างจากอู่ซ่อมรถจักยานไม่มาก  ปั่นไปไม่เกินสิบนาทีก็ถึงอู่แล้ว

ผมที่อยากอยู่กับเตก็ได้ตามใจ  ย้ายของมาอยู่ในบ้านเต  พอเตเลิกงานผมก็ปั่นจักรยานไปรับ  วันหยุดผมก็พาเตไปขี่จัยรยานเล่นที่อ่างน้ำไม่ก็สวนสาธารณะ 

ผมชอบนะเวลาที่ได้พาเตนั่งซ้อนจักรยานแล้วขี่วนรอบสระน้ำ  อ่างน้ำของมหาวิทยาลัยสงขลานครินท์มีบรรยากาศร่มรื่น  บางทีก็มีเนินเขาให้ผมปั่นจักรยานขึ้นไปโดยที่มีเตซ้อนท้ายจนหอบแฮก  รอจนผมขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของเนินและรอจนเตตั้งตัวพร้อม 

เราสองคนก็จะปล่อยให้รถจักรยานไหลไปตามแรงโน้มถ่วงแล้วส่งเสียงหัวเราะ  เตกางเขนออกกว้างต้านกับแรงดึงดูดของโลก  ผมไม่ได้ยินเสียงเต...  แต่หน้าอกของเตที่แนบชิดติดกับหลังผมมันก็สั่นจนผมรู้สึกได้

ผมอยากเห็นเตมีความสุข  อยากได้ยินเสียงเตตอนหัวเราะ  ถึงเขาจะหัวเราะแบบไม่มีเสียง  และผมก็ไม่ได้ยิน  แต่ผมก็อยากเห็นสีหน้าเขาตอนที่เขามีความสุข  ได้ยิ้ม  ได้หัวเราะ

แต่ตอนนี้....


วันเวลาผ่านไป  ผมยังคงมาหาเตและอยู่กับเตเหมือนทุกวันเท่าที่จำได้  สมัยตอนที่อยู่ร่วมกัน  แต่เตไม่เคยบอกรักผมซักครั้ง  ผมเองก็ไม่เคยพูด... 

เตไม่ใช่คนช่างพูด  ผมเป็นคนพิการ...  เตไม่มีความมั่นใจว่าผมจะรักเขามั่นคงถาวรและจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต  ดังนั้นผมจึงอยากให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงใจ

แต่ตอนนี้....

ตอนที่ผมยืนอยู่คนเดียว  ในขณะที่เตนอนหลับอยู่ 

ผมจึงเป็นคนเปิดปากบอกว่า  "รัก" 

" ผมรักเตนะ"

ผมบอกให้เตฟังทั้งที่เขายังนอนหลับอยู่  ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง  แต่ผมก็อยากจะบอกให้เตรู้

" ผมรักเตนะ"

" ผมจะรอเตตื่นไปตลอดชีวิต"



เวลาผ่านไปหกเดือน...

ผมยังคงอยู่กับเตเหมือนทุกๆ วัน  คอยเปิดหน้าต่าง  ป้อนอาหารทางสายยาง  พลิกตัว  อาบน้ำ  เช็ดตัว  ทำความสะอาดซอกฟันและลิ้น  ตอนนี้เตยังคงหลับสนิทไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น 

แต่ไม่เป็นไร...

ผมยังมีเวลารอเตอยู่ทั้งชีวิต 

หลังๆ มานี่  หลังจากผมแปลเอกสารวิชาการจนเสร็จ  ผมก็อ่านคำแปลในตัวเอกสารให้เตฟังอย่างน้อยหนึ่งรอบ  มีคนบอกว่าคนที่หลับอยู่สามารถรับรู้ถึง "เสียง" ที่เกิดจากความห่วงใยได้ 

ผมพยายามพูด...  แต่เพราะประสาทหูผมไม่ได้ยิน  ผมจึงไม่รู้ว่าที่พูดออกมาถูกหรือผิดบ้างหรือไม่  มีเพี้ยนบ้างหรือเปล่า  ผมพยายามฝึกพูดให้นางพยาบาลที่คอยมาดูอาการเตได้ฟัง  เธอบอกผมว่าพอรับได้  ไม่เพี้ยนมาก  ผมยิ้มรับและหลังจากนั้นมา  ผมก็อ่านเอกสารวิชาการให้เตฟังบ่อยๆ  ทุกครั้งที่ว่าง 

บางทีผมก็ร้องเพลงออกมาให้เตได้ฟังด้วย



มันคงเป็นความรัก
ที่ทำให้ตัวฉัน ยังยืนอยู่ตรงนี้
มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ใจฉัน
ไม่ยอมหยุดเสียที


บทเพลงของสแตมป์  อภิวัฒน์  ที่ผมเคยได้ฟังก่อนที่จะหูดับ 

ผมร้องเพลงคลอในขณะที่เช็ดตัวให้เต  ผมอยากให้เตรับรู้ว่าผมรักเตมาก  ถึงคนอื่นจะบอกผมว่าการที่ผมทำแบบนี้...  มันจะทำให้ผมไม่โอกาส  เตอาจจะไม่ฟื้น  ผมควรจะเริ่มต้นมีชีวิตใหม่โดยที่ไม่มีเต

แต่ผมจะไม่ยอมแพ้... 

ซักวันเตจะต้องฟื้น

และผมจะรอเตตื่นไปตลอดชีวิต


แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส
แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที
แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้



และในที่สุด... 

วันนี้...   

วันที่ผมเช็ดตัวให้เตและกล่อมเตนอนเหมือนทุกครั้ง  ตอนนี้สามทุ่มครึ่ง  เป็นเวลาที่เตควรจะหลับ  ถ้าหากเตยังอยู่ในบ้าน  ผมจูบหน้าผากเตแล้วบอกให้เตหลับฝันดี  บอกเตว่า...  ผมรักเต  และผมยังรอเตตื่นขึ้นมาเหมือนทุกวันนะ 


ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ด  ปี๊ดๆๆๆๆๆ


แต่อยู่ๆ  เสียงลมหายใจของเตที่แผ่วอยู่  จู่ๆเกิดการติดขัด  ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วหนึ่งครั้งก็ได้แต่กดออดเรียกนางพยาบาลเข้ามาดูอาการเตในห้อง  ตอนนั้นเตเสมหะติดคอ  หากดูดออกช้า  เสมหะจะอุดหลอดลม  จนเตอาจจะมีอาการสมองขาดอ็อกซิเจน

ผมกดปุ่มเรียกนางพยาบาลอย่างร้อนใจ  ไม่นานนางพยาบาลก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในห้อง  นางพยาบาลที่สนิทกับผมหน่อยก็พยายามใช้ภาษามือภาษาปากให้ผมไปยืนอยู่หลังม่าน  แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งไว้  เลยเลือกที่จะยืนอยู่ข้างๆ เตียงแบบที่ไม่แกะกะนางพยาบาลแทน

นางพยาบาลยังคงสอดท่อและเคาะปอดเตเหมือนอย่างครั้งโน้น 

และผมเอง...  ก็ยังปวดใจเหมือนครั้งนั้น

ผมมองนางพยาบาลที่สอดท่อดูดเสมหะอย่างคล่องแคล่ว  เธอทำงานอย่างรวดเร็วแต่เบามือ  แต่ท่อดูดเสมหะมันอันใหญ่จนผมเห็นแล้วรู้สึกเจ็บแทนเตขึ้นมาไม่ได้  รอจนนางพยาบาลกำจัดเสมหะออกหมด  ปากเตก็แดงก่ำเพราะช้ำเลือด   

ผมค่อยๆ  เช็ดปากและหน้าให้เตอีกครั้งหลังจากที่นางพยาบาลออกไปแล้ว 

เตของผม...  น่าสงสารเหลือเกิน 

เมื่อไหร่เตของผมจะตื่น  เตจะได้ไม่ต้องมาทรมานทั้งที่ยังหลับอยู่แบบนี้

คืนนั้น...  ผมกุมมือเตไว้แล้วหลับอยู่ที่ข้างเตียงทั้งที่น้ำตายังไหลเต็มสองแก้ม

หรือบางที....

ผมควรจะปล่อยให้เตได้  "หลับอย่างสบาย" จริงๆ เสียที



เช้าวันถัดมา

ผมที่ร้องไห้จนตาบวม 

พอตื่นขึ้นมาอีกที

เตก็ฟื้นแล้ว....

เตของผมฟื้นแล้วจริงๆ  ไม่ใช่เป็นแค่ภาพลวงของความฝันที่มีขึ้นอย่างลมๆ แล้งๆ

เตยังคงหน้าขาวซีด  ดูผอมโซ  แต่ "มือ" ที่เตกุมมือผมไว้  ก็ทำให้ผมรู้ว่าเตของผมฟื้นแล้ว 

" คุณเตชินท์ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ  แต่คุณเขาบอกไม่ต้องปลุก  พยาบาลกับคุณหมอก็เดินมาตรวจดูกันแล้วหลายรอบ  คุณหูไม่ได้ยินเลยไม่รู้ว่าสินะคะว่า  หมอกับพยาบาลเข้ามาพูดคุยกับคนไข้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว  ยินดีด้วยนะคะ  ที่คุณเตชินฟื้นแล้ว"

นางพยาบาลสาวที่สนิทกันเป็นคนเขียนข้อความบอกให้ผมรู้  ผมที่เพิ่งตื่นก็อ่านไปแล้วจ้องสลับกับเตที่ส่งยิ้มมาอย่างอ่อนแรง  เตกุมมือผมไว้เท่าที่แรงของเตมี  ก่อนจะขยับปากเป็นคำพูดว่า... 

ผมรักคุณ...

เตรักกันต์นะ 

คำพูด...  ที่เตไม่เคยบอก  คำพูดที่ผมไม่เคยได้ยิน

แต่ครั้งนี้...  ต่อให้ปากของเตจะไม่ได้ส่งเสียง  ถึงหูผมจะไม่ได้ยินสิ่งที่เตพูด  แต่ผมก็ "ได้ยิน" คำบอกเหล่านั้น  เหมือนมันดังก้องตรงเข้ามาสู่หัวใจ

       
ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ
บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม
เธอคือความสุขของฉัน
ถ้าเธอไม่รับมัน
ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ
ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม
ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ
เธอรอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป ได้ยินไหม


" อรุณสวัสดิ์ครับเต  เดี๋ยวผมจะพาเตกลับบ้านนะ"


คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน




เพลง มันคงเป็นความรัก
ศิลปิน แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค เตxกฤษ II จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-02-2017 11:47:32
น้ำตาจะไหล (ว่าแล้วไง ที่ระแวงไว้ไม่เกินไปเลย)
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค เตxกฤษ II จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 25-02-2017 11:49:26
 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค เตxกฤษ II จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 25-02-2017 12:34:00
ความรักไม่มีเสียง
ลุ้นมากให้เตฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ดีใจ และแล้วก็กลับมา
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค เตxกฤษ II จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-02-2017 13:13:37
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค เตxกฤษ II จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-02-2017 21:01:18
หน่วง....งงงงงง ได้อีก  o22
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || THE MELODY ภาค เตxกฤษ II จิ้มสารบัญนะคะลงโพสเดิม 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Onlylyn ที่ 28-02-2017 23:59:01
ชอบมากๆเลยค่ะ มาปักรอเผื่อมีต่อ อยากติดตามความรักของทั้งคู่ งือออ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || ไร้รัก :: ตอนพิเศษ :: ความฝัน P.2 || 9/3/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 09-03-2017 11:27:13
ลงท่ายอ๋องตอนพิเศษที่หน้าสองนะคะ><
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || ไร้รัก :: ตอนพิเศษ :: ความฝัน P.2 || 9/3/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 09-03-2017 16:05:44
เสียน้ำตาให้กับทั้งสองเรื่องเลยค่ะ



 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || ไร้รัก :: ตอนพิเศษ :: ความฝัน P.2 || 9/3/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 09-03-2017 20:17:52
ถ้าในฝันมันแสนเศร้า...ก้อตื่นขึ้นมาดีกว่า  เฮ้อ..ออออออออออ   :sad11:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || ไร้รัก :: ตอนพิเศษ :: ความฝัน P.2 || 9/3/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-03-2017 08:35:36
 :pig4: ท่านอ๋องมีต่อไหมคะ อยากอ่าน
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || ไร้รัก :: ตอนพิเศษ :: ความฝัน P.2 || 9/3/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: A_Narciso ที่ 18-03-2017 16:13:57
สงสารท่านอ๋องจัง  ตายเพราะถูกคนที่รักมาทำลาย
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้น || ไร้รัก :: ตอนพิเศษ :: ความฝัน P.2 || 9/3/60 ||
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 08-05-2017 05:06:35
 :a5: สงสารชินอ๋อง
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie ( 3 ตอนจบ) :: 0.1 || 14/5/60 || จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 14-05-2017 22:54:11
I  am  Zombie 
ปฐมบท 0.0



ในสมัยที่นิยายทะลุมิติกำลังเฟื่องฟู ผมถึงขั้นฝันว่าหากตัวเองย้อนอดีตหรือทะลุมิติไปได้ ผมจะไปเป็นเจ้าจอมยุทธ ไปช่วยเหลือคนตกยาก สร้างคุณงามความดีจนพบกับหญิงงาม ฝ่าฟันอุปสรรคจนพบรักแท้

มาครั้งนี้ผมพลาดตกเขาเพราะช่วยเหลือช้างป่าตัวหนึ่ง ก่อนตาย ผมอธิฐาน ไหนๆ ผมก็ทำดีจนตัวตาย  เป็นสัตวแพทย์ประจำอุทยานรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาตั้งแต่ตอนเรียนจบ  สวรรค์คงไม่ใจร้ายปล่อยผมไปอยู่อยู่ในขุมนรกหรอกมั้ง  ดังนั้นหากไม่เป็นการขอมากจนเกินไป  ผมขอกลับไปเกิดใหม่ หรือไม่ก็ขอย้อนยุคไปเป็นคนในยุทธจักรหน่อยก็ดี  จะเอี้ยกล้วยหรือจิ้นซีฮ่องเต้(?) ก็ได้ เฒ่าทารกหรือเยวี่ยปุ๊ฉวิน*ก็ไม่ขอเรื่องมาก  หรืออย่างน้อยๆ หากไม่ได้เป็นตัวเอกในนิยายกำลังภายใน  ผมขอแค่เป็นตัวประกอบมีวรยุทธธรรมดาๆ ก็ยังดี เอาแค่พอให้ได้สัมผัสความเป็นชาวยุทธ


แต่สงสัยผมคงจะขอมากไปหน่อย  สวรรค์เลยเกลียดขี้หน้า  ให้ผมทะลุมิติได้จริง  แต่ดันพาผมทะลุมิติมาอยู่อนาคต  ยุคสมัยที่ประชากรสามส่วนสี่ของโลกตายไปเพราะโรคระบาด  ผู้คนติดเชื้อไวรัสกลายเป็น "ซอมบี้"

ผมที่กลับเกิดใหม่ สวมวิญญาณคนตายในชาตินี้ อยากจะตะโกนกู่ร้องกับสวรรค์เหลือเกินว่า

คุณสวรรค์จะส่งผมเกิดมาให้ลำบากทำไม  แล้วไหนๆ ก็ส่งผมมาเกิดแล้ว  ทำไมไม่ให้ผมเกิดเป็นผู้รอดชีวิต  ประชากรหนึ่งส่วนสี่ที่เหลือในโลกน่ะมีอีกตั้งหลายล้าน  ให้ผมไปเกิดใหม่เป็นผู้กอบกู้โลกหรือไม่ก็คนทำนาก็ยังได้  ทำไมท่านต้องส่งผมมาเป็น "ซอมบี้"  ผมแม่งไปแย่งข้าวแกงท่านถึงบนสวรรค์หรือไงวะ  ทำไมท่านถึงทำกับคนดีศรีสังคมกับผมอย่างนี้!!

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie (3 ตอนจบ) :: 0.0 - 0.1 || 14/5/60 || จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 14-05-2017 23:23:48
I  am  Zombie  0.1


เฮ้อ~ แล้วก็นั่นแหละ  คนดีศรีสังคมอย่างผม  ตอนนี้จึงอยู่ในสถานะ  ซอมบี้  สิ่งมีชีวิตกึ่งคนเป็นกึ่งคนตาย  นอกจาก "กิน" อันเป็นปัจจัยพื้นฐาน  ร่างกายผมก็ไม่ต้องการอย่างอื่น  ไม่มีความต้องการทางเพศ  ไม่ต้องหลับนอน  เสื้อผ้าจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้เพราะผมไม่รู้สึกร้อนหรือหนาว  ยุงกัดก็แค่ตุ่มแดงนิดๆ โดนกิ่งไม้เกี่ยวก็แค่เป็นแผลถลอก  ไม่มีทางเป็นหวัดหรือมีไข้  ถูกยิงก็ไม่ตายแถมไม่ต้องกลัวแผลติดเชื้อ  ส่วนเรื่องอาหารการกิน...  ถึงผมจะกินอาหารสดๆ ผมก็ไม่ต้องกลัวท้องเสียเพราะผมไม่ต้องเข้าห้องน้ำ  วันๆ เอาแต่เดินๆๆๆ ไปเรื่อยๆ  เจอซุปเปอร์มาเก็ตตอนผ่านทางก็ค่อยแวะ


จากนาฬิกาในแฟมมิลี่มาร์ทที่ผมเพิ่งแวะครั้งล่าสุด   ผมเลยรู้ว่า  ตอนนี้ผมอยู่ในปีค.ศ.  2122  หรือก็คืออีก 106 ปีข้างหน้า  และจากหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุด(ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นฉบับสุดท้ายก่อนปิดโรงพิมพ์) ได้สรุปเรื่องโรคติดเชื้อไวรัส  จนคนกลายเป็นซอมบี้ไว้ว่า  ผู้ติดเชื้อไวรัสคนแรก  คาดว่าเป็นพวกหาของป่าที่ประเทศกัวเตมาลา (รายงานผู้ติดเชื้อครั้งแรกคือปี 2102)   และบังเอิญที่ตอนนั้นมีกลุ่มคนที่กำลังถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับสัตว์โลกแถวๆ นั้นพอดี   นักผญภัย  นักเดินป่า  และผู้ที่เกี่ยวข้อง(ทีมงาน) ต่างพากันติดเชื้อ  ทุกคนถูกกัดจากคนสู่คน  กลายเป็นซอมบี้ภายในระยะเวลา 3 วันหลังจากรับเชื้อ  อาการเริ่มแรกของคนที่ติดเชื้อคือมีอาการหนาวสั่นและเป็นไข้   ต่อมาจะเริ่มมีอาการเกร็งและชัก  พอเชื้อแพร่กระจายเต็มที่  ทุกคนจะมีอาการขากรรไกรค้าง  พอเจอคนก็อ้าปากงับ  เชื้อสามารถแพร่ผ่านได้ทางน้ำลายและสารคัดหลั่งทุกชนิด

การแพร่ระบาดของโรคเกิดขึ้นและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว  เพราะตอนแรกหมอและนักวิทยาศาสตร์สันนิฐานว่าผู้คนติดเชื้อพิษสุนัขบ้า  และผลการเพาะเชื้อในห้องแล็ปเองก็มีการตรวจพบว่าเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค  คือเชื้อกลุ่ม rabies virus (ไวรัสก่อเชื้อพิษสุนัขบ้า)  เพียงแต่รหัสพันธุกรรมของเชื้อนี้มีการวิวัฒนาการต่างไปไกลแตกต่างจากเชื้อพิษสุนัขบ้าแบบดั้งเดิม  ติดต่อได้เฉพาะจากคนสู่คนและพวกสัตว์สายพันธุ์ใกล้เคียงกับมนุษย์(ลิงใหญ่)  วัคซีนป้องกันที่มีมาแต่เดิมก็ใช้ไม่ได้  ต่อให้มีการกักกันโรคหรือเร่งพัฒนาวัคซีน  แต่การแพร่ระบาดของโรคก็เกิดขึ้นได้เร็วเร็วกว่าที่จะควบคุม

ปีที่มีการติดเชื้อคือปี 2102  หรือก็คืออีก  86  ปีข้างหน้า  ซึ่งตอนนั้นการคมนาคมระหว่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปไกล  นอกจากเครื่องบินและเรือโดยสาร  การขนส่งมวลชนระหว่างประเทศหลักๆ จะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟระบบไฟฟ้า  อาศัยทฤษฎีสนามแม่เหล็กในการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง  บ้านเรือนต่างๆ อาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์และลมเพื่อผลิตไฟฟ้า(ไม่พึ่งน้ำมันกับถ่านหินแล้วนั่นเอง)

ดังนั้นเมื่อการขนส่งมวลชนก้าวไปไกล  การกักโรคก็ทำได้ลำบากขึ้น  อุโมงค์ทุกอุโมงค์หรือทุกรางรถไฟ เชื่อมต่อถึงกันประเทศต่อประเทศ  สะพานข้ามแม่น้ำที่ปิดไม่ทันก็เป็นอีกหนทางที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ

เชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่นี้ได้แพร่กระจายออกจากกัวเตมาลาในระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน  ครอบคลุมทั่วสหรัฐและแอฟริกาภายในหนึ่งปี  ก่อนขยายวงกว้างไปสู่ยุโรปและเอเชียเป็นอันดับสุดท้าย


ผมซึ่งเป็นคนไทย..  ตอนที่เกิดหรือจุติใหม่ในร่างซอมบี้   ผมใช้เวลาสามปีในการปรับตัว  จากที่มึนๆ เบลอๆ กินศพคน(อี๋)  พอเริ่มมีสติสัมปชัญญะ  (จากวิญญาณประทับทรง)  ผมก็เข็ดขยาดจากการกินเนื้อ  หันมากินถั่วและเห็ดเพื่อเพิ่มโปรตีนแทน   แต่ในตอนสองปีแรกที่ผมยังควบคุมความอยากไม่ค่อยได้  ผมจะเลือกกินเนื้อปลากระป๋องที่มีหลากหลายยี่ห้อในซุปเปอร์มาเก็ต   ผมเริ่มเดินทางจากเขตประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ขนาดเกิดใหม่ผมยังเกิดเป็นคนไทย  โคตรเซ็ง) ค่อยๆ ใช้สามัญที่มีเพิ่มขึ้นมาทีละน้อย "เดิน" ทางไปยุโรป  เพราะจากประสบการณ์การเป็นซอมบี้ในช่วงสองปีแรก  ผมขอบอกเลยว่า  การเป็นซอมบี้ในเขตร้อนชื้นนี่เป็นสิ่งที่โคตรของโคตรของโคตรยี้  เพราะซอมบี้คือสิ่งไม่มีชีวิต  พวกเราเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ  ไม่ต้องกินเป็นปีๆ ก็มีชีวิตอยู่ได้  เพียงแต่เมื่อไม่มีอาหารร่างกายเราจะเน่าเปื่อยเพราะขาดสารอาหาร  ไม่ก็ขาดโปรตีนมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ(สุขศิกษา101)  แล้วในเขตร้อนชื้นนี่นะ...  คุณลองนึกภาพศพเนื้อเน่าๆ  ที่ถูกจับตากกลางแดดแต่ยังไม่แห้งดี  ตกกลางคืนเจอความชื้น  พอกลางวันตะวันเนื้อยังไม่ทันแห้งอีกรอบก็มาเจอฝน   

แหยะๆๆ  แค่คิดผมก็อยากจะอ้วก

ดังนั้นตลอดเวลาที่ผมเดินทางแสวงหาความเย็น(และแห้ง)  ผมเห็นศพซอมบี้ที่ขาดอาหารค่อยๆ เปื่อยยุ่ยจนแทบจะเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต  กิน  อยู่  หลับ  นอน  นี่ไม่ใช่แน่ๆ   แต่เกิด  ดำรงอยู่  ไม่แก่  และเปื่อยตาย  นี่ใช่เลย   แถมพวกซอมบี้กว่าจะตายจริงๆ  ก็เป็นตอนที่ถูกเจาะกะโหลกสมองทะลุแล้วเท่านั้น  แค่สมองตาย..  เชื้อไวรัสที่มีอยู่ในร่างกายเราจะเป็นตัวควบคุมระบบประสาทให้หาทางแพร่เชื้อ  เพราะงั้นหากไม่ "ตายจริง"  ต่อให้มีแต่หัว  มือขาด  ขาหาย  คุณจะเห็นซอมบี้เอาฟันกระดึ๊บๆ เพื่อเคลื่อนที่ต่อไปข้างหน้า  ซึ่งก็นะ  ผมเองก็ไม่อยากให้ตัวเองมีสภาพแบบเพื่อนซอมบี้ร่วมโลก   ดังนั้นผมจึงเริ่มออกเดินทางไปยังที่เย็นๆ และอากาศค่อนข้างแห้ง  เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้คงอยู่ต่อไปนานๆ  ไหนๆ ก็เกิดใหม่แล้วยังไงมันก็ต้องใช้ชีวิตต่อไปให้คุ้ม

ผมใช้เวลาเดินทางจากไทย  ไปพักแถวลิเวอร์พูลอยู่สองปี (ความจริงคือเดินผ่าน)  แต่ใครๆก็รู้ว่าอังกฤษมันโคตรชื้น   ฝนตกปรอยๆ แบบวันสลับวัน  ถึงอากาศจะไม่ร้อน  แต่ก็ไม่ค่อยเหมาะกับคนเป็นซอมบี้  ผมเลยเลือกเดินทางต่อไปแถบแมนฮัตตัน  ที่นั่นค่อนข้างเย็นและแห้ง  เป็นเมืองใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเป็นศูนย์กลางของเศษฐกิจโลก 

ผมใช้เวลาเดินกระดึ๊บๆ  จากลิเวอร์พูลข้ามไปอเมริกา...  น่าจะใช้เวลาราวๆ ซักสามปี   แล้วคำกิริยาที่ว่า "เดิน" นี่  คือผมเดินจริงๆ  ไม่ใช่แค่คำเปรียบเทียบ  เพราะถึงผมจะมีสติปัญญา(มีสมอง)  แต่ร่างกายของผมตอนนี้ก็เป็นซอมบี้  ผมไม่สามารถขี่จักยานหรือขับรถได้  (แค่อ่านแผนที่ออกผมก็ขอบคุณสวรรค์)  ส่วนการขนส่งมวลชนก็หยุดการทำงานไปแล้วเพราะไม่มี "คนเป็น" คอยขับเคลื่อน  ดังนั้นผมจึงต้องใช้วิธีเดินจับกลุ่มร่วมกับพวกเพื่อนซอมบี้แทน   ระหว่างทาง  ผมเห็นคนเป็นอยู่บ้างประปราย  แต่ผมจะยังไม่ขอเล่ารายละเอียดในตอนนี้ 


เกริ่นมาเยอะแล้ว  มารู้จักตัวผมกันบ้าง  ผมชื่ออัฐ...  นั่นเป็นชื่อก่อนที่ผมจะตายน่ะนะ   ผมเป็นสัตวแพทย์ในเขตอุทยานรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  มีความรู้ทางด้านการรักษาสัตว์ป่าแบบเอาตัวรอด  แต่หลังจากที่ผมตายแล้วเกิดใหม่กลายเป็นซอมบี้  เจ้าของร่างนี้... เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนว่าคนที่ผมสิงอยู่นี่ชื่ออะไร  ความทรงจำที่ชัดเจนมากที่สุดหลังจากที่ได้สติมาก็คือ...  อะแฮ่ม เชื่อเถอะว่าคุณไม่อยากรู้

ตอนที่ผมตายผมเพิ่งอายุ 25  ปีเรียกว่าเบญจเพสปุ๊บผมก็ตกผาตายปั๊บ  พอเกิดใหม่ร่างนี้  ผมก็ใช้เวลาประมาณ  1 ปีในการปรับตัว  อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า  ช่วงแรกๆ ผมไม่ค่อยมีสติมากนัก  ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก  ให้นึกถึงพระเอกเรื่องเอ็ดเวิร์ด คัลเลน  เอ๊ย  เรื่องทไวไลท์*  ที่พอพระเอกถูกแวมไพร์กัดก็ใช้ช่วงเวลาหนึ่งปีแรกในการปรับตัว  ไม่ให้อยากกินเลือดหรือตกเป็นทาสสัญชาตญาณดิบมากเกินไปนัก

พอปีที่สองมาผมเริ่มมีสติมากขึ้น  ถึงจะเดินเอื่อยๆ เฉื่อยๆ  ไม่ได้มีพลังเหนือโลก  แต่ผมก็ค่อนข้างพอใจที่ไม่ต้องกินเนื้อ  อาศัยความมานะพยายามและความอดทน  ข่มความอยากของตัวเองให้กินแต่ถั่ว  เห็ด  และปลา(กระป๋อง) เป็นแหล่งโปรตีนเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อไม่ให้เปื่อยและเป็นแหล่งพลังงาน

และพอผมเริ่มปรับตัวได้อย่างเต็มที่  ผมก็เริ่มมีแก่ใจอยากไปอาบน้ำ  ซึ่งความจริงการอาบน้ำนี่ถือว่าเป็นสิ่งที่โคตรสิ้นเปลืองพลังงานและโคตรจะไร้ศักดิ์ศรีของการเป็นซอมบี้  เพราะซอมบี้ต้องใช้จมูกในการดมกลิ่นเหยื่อ  และใช้ "กลิ่นตัว" ในการบอกเพื่อนรวมโลกซอมบี้ว่า  ข่อยเป็นซอมบี้เหมือนกันนะ  อย่าเผลอมากัดพวกเดียวกันล่ะ  ข่อยติดเชื้อแล้ว  เนื้อเน่าแล้ว  อย่ามาแพร่เชื้อซ้ำสองนะ  ถึงตรูจะไม่เจ็บเวลาถูกกัดแต่ตรูก็รำคาญนะเฮ้ย

นั่นแหละ... "กลิ่นตัว"  จึงมีความสำคัญต่อการดำรงชีพในฐานะซอมบี้  และสัญชาตญาณก็ร้องเตือนผมอยู่ตลอดว่า  มึงอย่าอาบน้ำเลยนะ   อยู่สกปรกๆ แบบนี้แหละดีแล้ว  แต่ในตอนที่ผมมีสติและได้เห็นสภาพตัวเอกที่(โคตร)ซกมก  ฟันเป็นคราบดำมีเศษเนื้อเกาะกรัง  ผิวขาวซีด  ซอกเล็บมีเศษสมองเป็นชิ้นๆ  อี๋  ผมแทบจะอ้วก   ดีนะที่ร่างซอมบี้ไม่มีระบบคายอาหารที่กินเข้าไปแล้ว   ถั่วกระป๋องกับเห็ดทรัฟเฟิลกระป๋องที่ผมแกะออกมาอย่างยากลำบากเลยไม่เล็ดลอดออกมาให้เป็นที่น่าเสียดาย  (ได้กินเห็ดทรัฟเฟิล   ผมไฮโซใช่ไหมล่ะ)

ผมใช้เวลาในการอาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายอยู่สองวันจนร่างกายสะอาดใสปิ๊ง  อาจจะมีกลิ่นตุๆ จากเนื้อเน่าที่อยู่ในร่างกายบ้าง  แต่นั่นไม่สำคัญ  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวผมสะอาดแล้ว  ฟันก็แปรงจนฟันขาวแล้ว   เล็บมือเล็บเท้าสะอาดปราศจากเศษเนื้อ

ส่วนน้ำที่ใช้อาบผมก็ใช้วิธีแกะขวดน้ำจากแผนกขายน้ำนั่นแหละ   เพราะพอไม่มีคนเป็นอยู่  สาธารณูปโภคก็หยุดชะงัก   น้ำปะปาไม่มีใช้  (ไฟยังโชคดีที่พอจะมีแผงโซล่าเซลล์)  ผมเลยต้องอาศัยแกะน้ำขวดที่พอหาได้มาอาบแทน  อาบสดมันตรงนั้นแบบไม่กลัวอายสายตาเพื่อนซอมบี้   สบู่ยาสระผม  แปรงสีฟันก็เดินๆ หาๆ เอาแถมนั้น  เน่ามากๆ ก็เปลี่ยนอันใหม่  แกะทิ้งๆ  อย่างสบายใจไม่ต้องเสียเงิน  ไม่ต้องกลัวถูกจับ

แต่คุณเชื่อเถอะว่า  ถึงผมจะเล่าแบบชิวๆ  แต่ตอนอาบน้ำครั้งแรก  ผมไม่ได้ชิวอย่างที่เล่า  เพราะต่อให้คุณมีสติปัญญา  แต่พอร่างกายเป็นซอมบี้  ช่วงเวลาที่ไม่ได้หาอาหาร  มือคุณจะสั่นอย่างกับคนเป็นพาร์กินสัน  ไม่ก็พวกที่พี้ยามาเยอะๆ  แล้วร่างกายคุณก็ค่อนข้างที่จะแข็งแกร่ง  เอ็น  ข้อต่อ  กล้ามเนื้อต่างๆ ก็ขยับไม่ได้เยอะ   ดังนั้นการอาบน้ำคือสิ่งที่สิ้นเปลืองพลังงานมากยิ่งกว่าการเดิน  ผมต้องบังคับตัวเองไม่ให้สั่นและใช้มือแข็งๆ  กำแปรงสีฟันแล้วค่อยอาบน้ำ  ดังนั้นสองวันที่ว่ามาคือสองวันต่อเนื่องจริงๆ  ไม่ได้มุก

แถมร่างกายของคุณ  ตลอดเวลาอาบน้ำ  ร่างกายของคุณ  มันก็จะเอาแค่กระตุ้นคุณว่า  ให้ไปหาอาหารได้แล้ว  ไปแพร่เชื้อโรคระบาดได้แล้ว  เอ็งจะรักษาความสะอาด  ขัดซอกเล็บหาพระแสงอะไร  เอ็งเป็นซอมบี้นะโว้ย  เอ็งจะหล่อ  สะอาด  ส่งกลิ่นหอมไปให้สาวซอมบี้กรี๊ดเหรอ  ไสหัวเน่าๆ  เหม็นๆ  มีเหาของเอ็งออกไปหาอาหารได้แล้ว

และนอกจากสัญชาตญาณในการล่าหาอาหาร  แพร่เชื้อ  และการรักษากลิ่น 

สิ่งที่ทำให้คุณหนักใจอีกอย่าง คือคุณต้องคอยต่อต้านสัญชาตญาณในการรวมกลุ่มด้วย  เพราะซอมบี้ที่เดินเดี่ยวๆ  มีสิทธิ์ที่จะถูกคนเป็นเป่าสมอง  ไม่ก็ถูกสัตว์ป่าลากไปแทะ  คุณอย่าลืมว่าปีที่มีการระบาดคือปี 2102 (ย้ำ)  และตอนนี้คือปี  2122  ซึ่งก็ผ่านมา 20 ปีแล้ว  ประชากรมนุษย์(คนเป็น)  ที่เหลือเพียงหนึ่งในสี่  ย่อมไม่เพียงพอที่จะชนะธรรมชาติ  หรืออยู่เป็นจุดสูงสุดในห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป

โลก... เริ่มปรับสมดุล  ป่าเริ่มทวงคืนพื้นที่  สัตว์ป่าที่เกือบจะสูญพันธุ์เริ่มขยายพันธ์ุและกลับมาทวงคืนแผ่นดินอีกครั้ง  แน่นอนว่าสัตว์จำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะพวกสัตว์เลี้ยง  เมื่อขาดมนุษย์ไป  มันก็ไม่สามารถอยู่รอดได้  สัตว์เลี้ยงที่อ่อนแอหรือสัตว์กินพืชจึงกลายเป็นสารอาหารให้แก่สัตว์ป่ากลุ่มแรกๆ ที่เข้าครอบครองยึดพื้นที่  แน่นอนว่ามีพวกเลี้ยงบางส่วนที่สามารถปรับตัวได้เหมือนกันแต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย  ซึ่งผมก็บอกได้เลยว่า  ตอนนี้พวกมันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงน่ารักอีกต่อไป

ผมเคยเห็นแมวเปอร์เซียขนยาวหางยาวตัวหนึ่งไล่ตะปบหนูท่อตัวอย่างยักษ์  ถ้าเป็นเมื่อก่อน... สมัยชาติที่แล้ว  ผมคงไม่มีทางนึกภาพออกว่าแมวขี้เกียจสันหลังยาว  วันๆ เอาแต่นอน  ตอนนี้จะกลายมาเป็นสัตว์ดุร้ายที่กินไม่เลือก  ประโยคยอดฮิตที่คนสมัยผมเคยพูดเล่นกันว่า  "ซักวันแมวจะครองโลก" มาตอนนี้มันก็ไม่ใช่แค่มุก   พวกมันกลับไปเป็นสัตว์นักล่าเต็มตัว  แถมบางที...  เอิ่ม  พวกมันยังฟัดแขนศพซอมบี้เล่น  คงประมาณว่าเล่นฟัดหางจิ้งจกนั่นแหละ   เพราะแขนของซอมบี้จะยังมีพลังงานอยู่เล็กน้อยก่อนหมดสภาพ  ดังนั้นการเดินคนเดียว(ซอมบี้ตัวเดียว) จึงสุ่มเสี่ยงที่จะตายของจริงมากกว่าการเผชิญหน้ากับมนุษย์

ส่วนพวกสุนัข... เฮอะๆ  เอาเป็นว่า  ถ้าคุณอยากมีชีวิตรอดในฐานะซอมบี้  อยู่รวมฝูงไว้จะเป็นการดี  เพราะถึงเราจะจะต่อสู้ป้องกันตัวตามสัญชาตญาณได้(กัดไม่เลือกหน้า)  แต่เวลาเจอฝูงหมาป่า(ที่เคยเป็นหมาบ้าน)  ถ้าคุณมีสมองคุณคงไม่อยากเอาฟันไปกัดสัตว์มีขน  แถมบางตัวเป็นขี้เรื้อนใช่ไหมล่ะ  เพราะงั้นอยู่รวมกลุ่มแล้วจะสะดวกสบาย  แถมปลอดภัยในชีวิต


เอ่อ... นอกเรื่องออกไปเยอะ  กลับมาเรื่องหนังหน้าหรือมนุษย์ที่ผมสิ่งร่างต่อดีกว่า  หลังจากที่ผมอาบน้ำและแต่งตัว(อย่างยากลำบาก)  ผมยังอุตส่าห์มีแก่ใจส่องกระจกดูหนังหน้าของตัวเองในชาตินี้  ร่างของเด็กหนุ่มที่วิญญาณของผมอาศัยอยู่   น้องแก... เออ หล่อใช้ได้เลยเว้ย  ตัวสูง  ผมดำ ขายาว  แขนยาว  มีกล้ามเนื้อ(แต่ไม่มาก)  ตามตัว... นอกจากรอยกัดซอมบี้ที่คอสามสี่แผล  ก็ไม่มีตำหนิอื่นๆ ที่พอเห็นได้บนร่างกาย

ถ้าให้ผมเดาจากการดูหนังซอมบี้มาเยอะ   เด็กนี่ต้องอยู่ในกองกำลังหน่วยกล้าตายหาอาหาร  ไม่ก็ขยายอาณาเขตแบบในหนังแน่นอน  เพราะเด็กคนนี้อายุประมาณ  20  นิดๆ  ถึงตัวจะผอมและผิวขาวซีดเพราะตอนนี้เป็นซอมบี้  แต่จากโครงร่าง  ดูรู้ว่าเด็กคนนี้เคยมีกล้ามเนื้อ  เสื้อผ้าเน่าๆ ก่อนที่ผมจะถอดทิ้งก็เป็นเสื้อเนื้อหนาแบบคนเดินป่ากับรองเท้าคอมแบต  น้องแกคงเคยเป็นประชากรคนเป็นที่มีอยู่อย่างน้อยนิด  น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ต้องมาเกิดในยุคนี้  ถ้าเกิดในยุคเดียวกับผมนะ  เด็กคนนี้ต้องได้เป็นดาราดังระดับประเทศแน่นอน  และถ้าพระเจ้าไม่กลั่นแกล้ง  ผมคงได้เกิดใหม่เป็นซุปเปอร์สตาร์ไปแล้ว!


เฮ้อ  คิดแล้วมันก็เศร้าชะมัด  เอาเป็นว่าหลังจากที่ผมอาบน้ำ(และสลดใจในการเกิดผิดที่ของตัวเอง)   ผมก็กลับมาเดินรวมกลุ่มกับพวกซอมบี้ต่อ  เรื่องกลิ่นสะอาดที่เคยคาดว่าจะเป็นปัญหา  ผมก็ไม่ต้องกังวลใจมาก  เพราะร่างกายผมยังมีกลิ่นเนื้อเน่า  คือร่างกายซอมบี้น่ะ   ถึงเราจะยังเดินได้  หายใจได้(กินอาหารได้)  แต่ความเน่าของสภาพร่างกายก็คือสิ่งที่ปิดไปมิด   เพราะงั้นถึงร่างกายผมจะสะอาด  พวกเพื่อนๆ ก็แค่มาดมๆ นิดๆ  พอได้กลิ่นเนื้อเน่าข้างในก็เดินผ่านไป  แถมพอเวลาผ่านไป  ความเน่าจากกลิ่นของเพื่อนๆ มันก็จะติดมาเองนั่นแหละ   ดังนั้นถึงตัวจะสะอาด  แต่คุณหนีก็ไม่พ้นที่จะต้องมีกลิ่นติดตามผ้า เพราะงั้นผมเข้ากลุ่มไปกับเพื่อนๆ ได้อย่างแนบเนียน 

เอออ ไหนก็พูดถึงเพื่อนๆซอมบี้แล้ว   ผมขออธิบายลักษณะทางกายภาพของเพื่อนๆ ให้ฟังบ้าง  เพื่อนซอมบี้ของผม... ถ้าคุณจิตนาการไม่ออกให้ลองนึกภาพซอมบี้อย่างในหนังเรื่อง Walking Dead  (ที่ตอนผมตายซีรี่ย์นี้ก็ยังไม่จบซักที) World War Z (แบรดพิตแก่แล้ว แต่ยังโคตรหล่อ) I am Legen (วิล สมิท แม่ง อย่างเท่)  แต่ถ้าให้มุ้งมิ้งขึ้นมาอีกนิดก็ต้องเป็นเรื่อง Warm  Bodies  ที่พระเอกแม่งหล่อ  จนน้องสาวผมแปะรูปไว้เต็มฝาบ้าน

ซอมบี้เพื่อนผมก็จะคล้ายๆ แนวนี้นั่นแหละ  คือเนื้อเน่าๆ แต่ยังมีรูปร่าง(กายหยาบ)  เดินเอื่อยๆ เฉื่อยๆ เปื่อยๆ ไปเรื่อยๆ พอเจอคนเป็นก็ค่อยมีแรงออกวิ่งไล่งับ  เจอสัตว์ป่าที่จะเข้ามาทำร้าย(หรือลากไปกิน)  ก็มีอารมณ์รุนแรงตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด  ซึ่งตรงนี้ผมขอขอบคุณสวรรค์จริงๆ ที่ไม่ได้ทำให้สัตว์ป่ากลายเป็นซอมบี้  หรือมีซอมบี้กินซอมบี้  ไม่งั้นถ้าเกิดมีซอมบี้ล่าซอมบี้ด้วยกันเอง  ถึงจะเกิดใหม่  ผมก็จะยิงตัวเองตายอีกรอบ  เพราะถ้าโลกมันจะอยู่ยากขนาดนั้นผมขอตายดีกว่า   


ส่วนการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม  พวกเราเหล่าประชากรซอมบี้จะรวมกลุ่มทีละร้อยถึงสองร้อยคน ตามแต่จำนวนประชากรที่ตายไปหรือพวกที่เข้ามาสมทบ (ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเดี่ยวๆ จากข้างทาง พวกนั้นก็จะอาศัยสัญชาตญาณมารวมกลุ่มด้วย)  อัตราความเร็วโดยเฉลี่ยของการเดินเวลาไม่มีสิ่งเร้าจะอยู่ที่ 8-10 km/hr.  ถ้ามีสิ่งเร้าก็ให้คิดถึงพวกวิ่งสี่คูณร้อย  เรียกได้ว่าเจอเหยื่อทีก็วิ่งหน้าตั้งที(คนเป็นก็วิ่งหนีหน้าตั้งเหมือนกัน) 

ผมที่มีสมองและไม่อยากกินมนุษย์  ส่วนใหญ่เลยจะอยู่รั้งท้ายเวลาในการรวมกลุ่ม   เวลามีอันตรายค่อยเขยิบไปอยู่ตรงกลาง  ยับยั้งสัญชาตญาณตัวเองไม่ให้ออกวิ่ง   แต่อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผมอยู่รั้งท้ายก็คือ  ผมก็ไม่อยากถูกซอมบี้ที่วิ่งเร็วๆ เหยียบเอาน่ะสิ  ถึงผมจะไม่เจ็บแต่ผมก็ไม่อยากถูกเหยียบจนตัวคลุกดินคลุกโคลนหรอกนะ  แถมตอนที่เคยถูกเหยียบหนแรก เนื้อของผมนี่หลุดเป็นชึ้นๆ กว่าจะมีผิวหนังกลับมาเกิดใหม่ได้ก็ต้องอาศัยเวลาตั้งนาน

ดังนั้นแล้วชีวิตซอมบี้ของผมในช่วงสอง-สามปีแรกผมเลยค่อนข้างจะชิวๆ   ค่อยๆ ปรับตัว (และทำใจ) ไปตามสภาพแวดล้อม  ถึงจะมีอี๋แหวะและเวทนาทั้งคนเป็นคนตายบ้าง  แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมแห่งชีวิต  อีกอย่างช่วงสองปีแรก   ผมยอมรับเลยว่านอกจากเรื่องอาบน้ำและอดทนไม่กินเนื้อคน  ผมก็ไม่ค่อยใส่ใจอย่างอื่น  เพราะแค่ใช้เวลาในการปรับตัว  กับเอาชีวิตรอด  ชีวิตผมก็ลำบากแล้ว

เฮ้อ  มาถึงตอนนี้ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าสวรรค์จะส่งผมมาเกิดเป็นศพตายซากทำไมวะ   จะมองโลกในแง่ดี...  ว่าสวรรค์ส่งผมมาเป็นผู้กอบกู้โลก   ประมาณว่าเอาเชื้อแอนตี้บอดี้หรือแอนติเจนในตัว  ไปผลิตเป็นวัคซีนเพื่อช่วยเหลือคนรอดชีวิต  แบบในเรื่อง I  am legend  ก็ไม่น่าจะใช่  เพราะตั้งแต่ที่ผมมีสติมา  ผมไม่เคยคุยกับคนเป็นเลยซักครั้ง  แค่จะเปิดปากบอกคนเป็นที่รอดชีวิตว่า "ผมเป็นคนกลับมาเกิดนะ" หรือ " ผมมีสติปัญญา ไม่ได้กินดะแบบซอมบี้นะ"  ผมยังทำไม่ได้ 

ระบบประสาทและปลายลิ้นบังคับให้ผมเอาแต่ส่งเสียงขู่คำราม  เจอใครก็อยากจะกระโดดงับ  เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสื่อสารเลย  แต่อ้าปากบังคับลิ้นหรือโบกมือผมยังทำไม่ได้  แถมกลุ่มคนที่รอดชีวิตพอเจอซอมบี้  อย่าว่าแต่จะคุยเลย  แค่พวกนั้นไม่เอาปืนเป่าสมอง  หรือเอามีดฟัน  ผมก็ถือว่าบุญหัวแล้ว

ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา  อย่าว่าแต่กอบกู้โลกเลย  แค่เอาตัวเองให้รอดยังถือว่าอยู่ยาก  ศัตรูของเรามีอยู่รอบกาย  ทั้งพวกสัตว์ป่าและพวกมนุษย์  แถมดีไม่ดีกลุ่มผมก็ดันเดินหลงป่า  กว่าจะเจอเมืองให้ผมอาบน้ำ  และหาถั่วกิน  ผมก็แทบอยากร้องไห้  ถึงผมจะวิวัฒนาการ...  พัฒนาสมองให้สามารถพกถั่วกับปลากระป๋องใส่เป้   แต่พวกถั่วก็ใช้พลังงานน้อยแถมเกลือเยอะ (ร่างกายซอมบี้ไม่ต้องการคาร์โบไฮเดรต ผมลองแทะมันฝรั่งมาแล้ว  ไม่ช่วยให้อิ่มท้อง...)

ช่วงแรกที่ผมไม่รู้ เผลอกินถั่วอบเกลือเยอะ ตอนนั้นร่างซอมบี้ของผมแห้งเหี่ยวจนเกือบตายเพราะเซลล์ขาดน้ำ  ไวรัสในร่างกายผมเลยสั่งให้ผมออกล่าหาอาหารเพื่อกรอกเลือดแทนน้ำ

ตอนนั้น... เอาเป็นว่ามันเป็นความทรงจำที่ไม่น่าพิสมัยก็แล้วกัน เพราะสัญชาตญาณบวกกับความมึนงงที่เกิดจากเซลล์ขาดน้ำ  ทำให้ผมต้องขาดสติ  ฆ่าคนเป็นหลายสิบคนเพื่อหาเลือดมาเติมน้ำให้กับร่างกาย  ร่างของผมอาบไปด้วยเลือดสดๆ กับสมองเละๆ  กว่าจะรู้ตัวมีสติอีกที  มันก็สายไปแล้ว

หลังจากนั้นมาผมเลยหันไปกินถั่วดิบที่ยังไม่ผ่านการแปรรูปกับพวกปลากระป๋องแทน  ส่วนพวกเห็ดสดที่ให้พลังงานมาก  พวกนี้หาได้น้อยและผมก็ไม่มีเวลาจะหาด้วย  จะให้ออกไปตามล่าหาเห็ดที่หายไปตามป่าคนเดียว(หรือผมควรใช้สรรพนามว่าตน?) ก็เสี่ยงต่อการถูกสัตว์ป่าลากไปแทะ   และเอาเห็ดแห้งตามห้างมาแช่น้ำ...     แบบนั้นมันออกจะล้ำเกินความเป็นซ่อมบี้ไปหน่อยไหน  แล้วผมก็ดื่มน้ำเปล่าไม่ได้(อันนี้กินแล้วอ้วก)  จะให้ขนน้ำใส่เป้เพื่อแช่เห็ดก็ยังไงอยู่   เพราะงั้นถ้าหากอาหารสำรองหมดจริงๆ  ผมจะเลือกอดอาหารและกดสัญชาตญาณไม่ให้งับหัวมนุษย์  อดทนจนกว่าจะเจอมินิมาร์ทหรือห้างเพื่ออาบน้ำและกักตุนอาหารอีกครั้ง

เกิดใหม่เป็นซอมบี้นี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ  ทำไมสวรรค์ต้องส่งผมมาเกิด  และแกล้งผมแบบนี้ด้วย!

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie (3 ตอนจบ) :: 0.0 - 0.1 || 14/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 15-05-2017 00:13:14
โว้ว..ววว เนื้อเรื่องน่าสนใจมาก แปลกดี รอตอนต่อไปครัช   o13
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie (3 ตอนจบ) :: 0.2|| 17/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 17-05-2017 15:09:54
I  am  Zombie  0.2



หลังจากมาถึงแมนฮัตตัน ผมใช้เวลาอีกสามปีในการสร้างแหล่งพักพิงให้ตนเอง แมนฮัตตันเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่เคยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก(Nasdaq) รวมถึงแบงค์ ออฟ นิวยอร์ก( Bank of New York) ก็ตั้งอยู่ที่นี่ และเพราะที่นี่เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญนี่เอง การแพร่ระบาดของเชื้อจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ประชากรบนเกาะแห่งนี้มีอัตราการติดเชื้อสูงถึง 90%

ส่วนหนึ่ง... นอกจากจำนวนประชากรที่มีอยู่อย่างหนาแน่น* การอพยพที่เป็นไปอย่างล่าช้า เส้นทางที่ใช้ออกจากเกาะที่มีอย่างจำกัดก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผู้คนติดเชื้อ ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องบินส่วนตัว มีเฮลิคอปเตอร์เป็นของตนเอง หรือมีเรือโดยสารที่ใช้ออกจากเกาะได้ ก็อย่าหวังเลยว่าคุณจะรอดชีวิต เพราะเส้นทางเข้าออกหลักๆ ของเกาะมีแค่สิบกว่าทาง โดนทางการปิดหรือพังเสียหาย ก็หมดไปเสียเจ็ดแปดทางแล้ว ดังนั้นแมนฮัตตันในตอนนั้นจึงถือว่าเป็นนรกบนดินของจริง ผู้คนติดเชื้อซอมบี้ คนเป็นหนีออกไม่ได้ คนตายเข้าครอบครองเมือง คนเป็น... คือแหล่งอาหารของพวกซอมบี้ ก่อนที่พวกซอมบี้บางส่วนจะอพยพออกไปเพื่อไปหาแหล่งอาหารแห่งใหม่

ตอนที่ผมมาถึงเมืองแมนฮัตตันแห่งนี้ ผมแทบจะไม่เคยเห็นคนเป็นมีชีวิตอยู่ เท่าที่เห็นก็มีแค่เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศสามสี่ลำ บินผ่านไปผ่านมาแบบนานๆ ครั้ง นอกจากนั้นถ้าไม่ใช่ซอมบี้รุ่นใหม่ ก็เป็นซอมบี้ยุคบุกเบิก ผมสามารถเห็นวัฒนธรรมการแต่งกายอันหลากหลายได้จากที่นี่ ตอนที่ผมเดินผ่านมหาลัยแคนซัส* พวกซอมบี้วัยรุ่นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเจ็บแสบยิ่งกว่าสมัยซะอีก ความล้ำสมัยไม่ต้องพูดถึง แทบหาเสื้อผ้าปกติธรรมดาไม่ได้ ดีนะระหว่างที่ผมเดินทางเสื้อผ้าที่หาได้ ไม่ได้แหวกแนวขนาดนั้น ไม่งั้นสาบานเลยว่าผมยอมแก้ผ้าเดินดีกว่า

และในตอนที่ผมเดินผ่านเซนทรัล ปาร์คมาถึงเขตอัพเปอร์อีสต์ไซด์ ผมกับพวกเพื่อนๆ ได้บังเอิญผ่านไปเจอบ้านหลังหนึ่ง บ้านพักนั่น... แค่ดูก็รู้ว่าเคยเป็นที่พักของพวกเศรษฐีไม่ก็พวกดาราฮอลลีวูด ตัวบ้านกว้างใหญ่โอ่โถง มีสนามเทนนิส สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกายส่วนตัวและฟิตเนส มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์สองลาน มีพื้นที่เปิดโลง มีสนามหญ้าขนาดใหญ่ไว้สำหรับพาหมาออกมาเดินเล่น ตัวกำแพงก็มีการก่อเอาไว้ซะสูงเพื่อป้องกันนักข่าวกับพวกปาปารัสซี่ และที่สำคัญที่สุดคือ มีโรงรถ...

ภายในโรงรถมีรถมาเซราติจอดให้ฝุ่นจับอยู่สามคัน เมอร์ซิเดส-มายบัค (Mercedes-Maybach ) หนึ่งคัน แอสตันมาตินและเฟอร์รารีสีแดงเพลิงจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ในโรงรถ

ผมตัดสินใจลงหลักปักฐานสร้างอยู่ที่บ้านหลังทันที ต่อให้ผมขับรถไม่เป็น(ไม่มีปัญญาขับ) ผมก็ไม่ทางปล่อยสุดยอดนวัตกรรมความเร็วแห่งโลกอนาคตให้กลายเป็นเศษเหล็กไปได้ ผมเริ่มปฏิเสธสัญชาตญาณการรวมกลุ่มเพราะความโลภ... เอ่อ รักรถ ไล่เพื่อนๆ ซอมบี้ที่สำรวจบ้านเสร็จแล้ว ด้วยการค่อยๆ ลากเพื่อนพูดยาก(แหงล่ะ) ให้ออกจากรั้วบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูโรงรถ (อะแฮ่ม) เลือกห้องๆ หนึ่งมาทำเป็นห้องพักและห้องอาบน้ำส่วนตัว

อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าในอีกร้อยปีข้างหน้า บ้านเรือนส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานจากแสงอาทิตย์ ดังนั้นเรื่องไฟฟ้าจึงไม่ใช่เรื่องที่ซอมบี้อย่างผมจะต้องมาเป็นกังวลมากนัก สิ่งที่ทำให้ผมเป็นกังวล ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำ เพราะถึงบ้านหลังนี้จะมีการปั่นน้ำสำรองมาเข้าถังพักน้ำไว้ แต่พอระบบปะปาหยุดซะงัก น้ำที่ปั่นได้จึงไม่สะอาดเท่าที่ควร นอกจากโคลนเลน บางทีมีกลิ่นเนื้อ(อี๋)

ผมเลยตัดสินใจตัดระบบปะปาของบ้านออกจากแหล่งน้ำภายนอก ใช้วิธีโบราณอย่างกักเก็บน้ำฝน เอาน้ำฝนลงบ่อแล้วเอามาใช้อาบน้ำ ส่วนวิธีการ... เอาเป็นว่าถ้าคุณเป็นซอมบี้ ต่อให้คุณโดดไฟดูด คุณก็ไม่มีทางตาย ดังนั้นการลองผิดลองถูก ตัดสายไฟแล้วต่อใหม่ ถูกไฟช็อตไปซักสามสี่... เอ่อ มากกว่าสิบครั้ง ในที่สุดคุณก็จะพอจับจุดได้เอง แล้วพอจับจุดได้ที่นี้ก็ง่าย คุณจะมีทั้งระบบไฟฟ้าและระบบประปาหมุนเวียนอยู่ภายในบ้าน

ผมเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตจากซอมบี้ธรรมดามาเป็นซอมบี้ไฮโซนับตั้งแต่ตอนนั้น เวลาที่นอกเหนือไปจากการทำความสะอาดและปัดกวาดโรงรถ (อะแฮ่ม) ผมก็ออกไปหาอาหารควบคู่กับการออกกำลังกาย ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นซอมบี้ปื่อยเน่ารอวันเปื่อยยุ่ยแบบเพื่อนๆ อีกต่อไป ร่างกายผมฟิตแอนด์เฟิร์ม ถึงจะไม่ได้ขนาดมีกล้ามเนื้อ แต่การออกกำลังกายเป็นประจำก็ทำให้กล้ามเนื้อที่เคยฟ่อลีบ กลับมาฟื้นตัวและแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้ง

ผมไม่ได้แน่ใจว่าเป็นเพราะการออกกำลังกายอย่างเดียวหรือเป็นเพราะการกินมังสวิรัติร่วมด้วย(ไม่กินเนื้อเน่า) ถ้าเป็นแต่ก่อน... ตอนที่ร่างกายผมยังไม่ได้แข็งแรงแบบนี้ เวลามีแผล ผมก็จะปล่อยแผลให้มันเป็นเน่าแผลเหวอะหวะอยู่อย่างนั้น แต่มาตอนนี้... ผมแทบจะมองไม่เห็นรอยแผลที่เป็นเคยอนุสรน์แห่งความทรงจำเหล่านั้นเลย

ผมเคยทดสอบทฤษฎีสมานแผลอยู่หนหนึ่งด้วย คือผมไม่เจ็บไม่คันถูกไหม ดังนั้นตอนที่ผมกับลิงในสวนสัตว์เปิดศึกแย่งชิงถั่วกระป๋องกัน ผมชนะสอง... ที่เหลือแพ้รวด ลิงพวกนั้นมากันเป็นฝูง แล้วอยู่ๆ ก็มาแย่งของกินจากผมไป มันคงจำได้ว่าเมื่อยี่สิบก่อน มนุษย์เคยเป็นผู้ให้ แต่มาตอนนี้คนเป็นต่างหายไปหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงเข้าใจผิด คิดว่าซอมบี้เป็นสิ่งมีที่ชีวิตที่ใจดี...

แต่มันใช่ที่ไหนกันเล่า!

ถั่วนั่นเป็นถั่วอบกรอบชนิดไม่เกลือ ไม่เนยนะ หายากจะตาย แถมแกะลำบากด้วย ดังนั้นเพื่อแย่งชิงอาหารคืน ผมเลยต้องลดตัวไปกัดกับลิง

แล้วก็แหละ ผมแพ้... ชนะแค่สองครั้ง เหลือแต่กระป๋องเปล่าๆ ไว้ดูต่างหน้ากับกระป๋องที่ยังไม่แกะอยู่อีกสามสี่กระป๋อง ตอนนั้นผมได้แผลแหวอะหวะและแผลถูกข่วนเยอะมาก ในตอนที่แผลเริ่มสมานตัว ผมเห็นเส้นใยขาวๆ ที่ร่างกายผลิตออกเองมาเพื่อรักษารอยแผลพวกนั้น เส้นใยขาวๆ นั่น มันค่อยๆ คลอบคลุมแผลและเชื่อมต่อเซลล์เนื้อเยื่อ พอแผลหายสนิทมันก็หยุดทำงาน เหลือแต่รอยแผลเป็นจางๆ ที่สีเข้ากับสีเนื้อ

แต่ถึงอย่างนั้น... เวลาออกไปหาอาหารผมก็ยังคงรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ อยู่ดี ไม่ใช่เพราะเข็ดกับลิงหรือค่าง แต่เป็นเพราะแมนฮัตตันแห่งนี้ ที่นี่มีสัตว์ป่ามากมายหลายสามพันธุ์ยิ่งกว่าตอนที่ผมเคยอยู่ลอนดอนซะอีก สวนสัตว์ในสมัยก่อน.. มาตอนนี้กลายเป็นสวนสัตว์เปิดไปแล้ว ทั้งสิงโต เสือชีต้า ม้าลาย หรือยีราฟ แม้กระทั่งฮิปโปแม่ลูกอ่อน หรือแรด ก็สามารถพบได้อย่างง่ายดายในแมนฮัตตันแห่งนี้

ดังนั้นเวลาออกหาอาหาร ผมจึงพยายามรวมกลุ่มและจัดหาเสบียงทีเดียวให้ได้มากพอ เสียดายที่ผมขับรถไม่ได้ ถ้าไม่นับเรื่องเส้นเอ็นกระตุกหรือเส้นยึด แต่นวัตกรรมแห่งโลกอนาคตเหล่านั้น... รถผู้ดีนั่นก็มีระบบรักษาความปลอดภัยเกินกว่าที่อดีตสัตวแพพย์อย่างผมจะต่อเชื่อมระบบได้ แค่มีกุญแจยังไม่พอ ต้องมีระบบสแกนนิ้วลายมือ การออกคำสั่งด้วยเสียง... แล้วผมออกเสียงได้ที่ไหนกันเล่า มีแต่เสียง กรรรร กับ แฮ่

ทำไมก่อนตาย ผมถึงไม่เลือกเรียนวิศวะนะ ถ้ารู้ว่าตายไปแล้วต้องมาเกิดใหม่เป็นซอมบี้ ผมขอเลือกเรียนวิศวะหลักสูตรนวัตกรรมดีกว่า กลับชาติมาเกิดจะได้ซ่อมท่อปะปากับสายไฟที่ถูกหนูกัดได้ (เกี่ยวไหม?)

นั่นแหละ เพราะผมขับรถไม่ได้ และร่างซอมบี้ก็ไม่แข็งแรงพอที่จะขนอาหารจำนวนมากในคราวเดียว ดังนั้นผมเลยต้องอาศัยรถเข็นในห้างสรรพสินค้า อาศัยความพยายาม... กับขอร้องให้เพื่อนผมช่วยลาก(หลอกให้ลาก) แต่หลังๆ มาพวกเพื่อนๆ ของผมนี่เดินช้าเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเกาะแห่งนี้ไม่ค่อยเหลือมนุษย์ พวกคนเป็นถูกจับกินไปหมดแล้ว เพื่อนๆ ของผมจึงไร้แหล่งพลังงาน เดินเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า หาเช้ากินค่ำไปแบบมื้อต่อมื้อ

ผมเองก็เคยลองเสนอให้เพื่อนกินเห็ดกระป๋องกับถั่วเป็นแหล่งพลังงานเหมือนกันนะ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ถ้าจะให้บรรยายในรูปแบบของการ์ตูน อารมณ์ของเพื่อนผมก็คงประมาณว่า " มึงเอาอะไรมาให้กูแ-กวะ" จากนั้นผมก็เป็นฝ่ายแ-กจุดแทนเพราะถูกเพื่อนซอมบี้เมิน เดินหนีไปดื้อๆ

เฮ้อ~ ชีวิตซอมบี้ผมก็มีแต่เรื่องแบบนี้แหละ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ลองผิดลองถูกไปเรื่อย หลังจากลองเสนอถั่วกับเห็ดกระป๋องแล้วถูกเพื่อนเมิน ต่อมาผมก็ลองเสนออาหารแช่แข็งต่อ ปลากระป๋องหรือปลาแช่แข็งถือเป็นอาหารพิเศษไฮโซของซอมบี้มังสวิรัติ(ซึ่งมีผมเป็นสมาชิกแค่คนเดียว) ดังนั้นในเมื่อเพื่อนๆ ผมยังกินเนื้อได้ ผมเลยเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นเนื้อแช่แข็งแทน แต่ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมูแช่แข็ง หรือเนื้อเนื้อ(?) เพื่อนร่วมโลกของผมก็ดูไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่ มีแต่เจค(ผมตั้งชื่อเอง) ที่ยอมกินสามสี่คำก่อนโยนทิ้ง เจคนี่ก่อนตายคงมีอาชีพเป็นนายแบบมั้ง ผมพบเขาตอนอยู่ที่แมนฮัตตันนี่แหละ เจคนิสัยดี หล่อ... ตามแบบของมาตราฐานของซอมบี้ เขาตัวใหญ่และก็มักเป็นผู้นำของฝูง เวลาเจอสัตว์ป่าเขาก็เป็นคนแรกที่เข้าต่อสู้ แต่เวลาเจอฮิปโปหรือแรด เ ขาจะเบี่ยงออกข้างทาง ไม่ปะทะกับฝูงสัตว์ใหญ่พวกนี้โดยตรง

แต่คุณก็ไม่ต้องใส่ใจกับเจคมากหรอก เขาไม่ใช่พระเอกของเรื่องนี้ และหลังจากนั้นอีกไม่นาน เขาก็ทิ้งผมไว้ที่แมนฮัตตัน เพราะพออาหารหมดพวกเขาก็ต้องอพยพ เจคเคยทัดทานและชวน(เดินตาม) ผมอยู่สามสี่วัน แต่พอเห็นผมกินมังสวิรัติ คราวนี้เจคไม่แดกจุดแล้ว แต่จะขย้ำผมเลยต่างหาก เจคดูไม่พอใจที่เห็นผมกินเห็ดกับปลาเอามากๆ เขาคำรามเสียงดังจนผมตื่นกลัว พวกเราเหล่าซอมบี้ออกล่ากันฝูงและอยู่กันอย่างเป็นฝูง ถ้าหัวหน้าบอกว่า "ไม่"

ตอนนั้นผมกลัวจริงๆ ว่าถ้าผมยังขัดขืนกินเนื้อปลาต่อ ผมคงเป็นซอมบี้ในประวัติศาสตร์ตนแรกที่ถูกเพื่อนซอมบี้กระโดดงับหัวเข้าให้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง ผมจึงยอมวางเนื้อปลาแช่แข็งลง เดินตามเจคและอดอาหารอยู่สามสี่มื้อ พอเจคเผลอ ผมก็หนีกลับมาที่โรงรถ เอ่อ ที่บ้าน และหลังจากนั้นมา ผมก็ไม่กล้าเสนอให้เพื่อนๆ กินมังสวิรัติอีกเลย

แต่พอกลุ่มของเจคออกไปไม่นาน ซอมบี้กลุ่มอื่นก็เริ่มย้ายถิ่นฐานตามไปด้วย จากสัญชาตญาณของซอมบี้ที่มีอยู่ในตัว ผมรู้ว่าพวกเขาจะขึ้นเหนือ... หมายถึงเหนือกว่านี้ ไปในที่ๆ อากาศเย็นอาจเป็นอิลลินอยส์หรือไอโอวา เพราะในที่ๆ อากาศเย็นคนเป็นอาจจะรอดชีวิต

มาถึงตรงนี้ผมจะขออธิบายลักษณะทางกายภาพหรือนิสัยที่นอกเหนือจากเรื่องกินของซอมบี้หน่อย คือพวกเราเป็นคนตายถูกไหม ดังนั้นนอกจากสัญชาตญาณ ในการแพร่เชื้อ ป้องกันตัว หรือออกล่า อีกปัจจัยหนึ่งที่จำกัดความเร็วในการเดินของพวกเราเวลาไม่มีสิ่งเร้าก็คือ "อุณหภูมิ"

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ เวลาที่อากาศเย็น ถ้าไม่นับช่วงฝนตก พวกเราก็จะเดินกันอย่างอืดฉึ่ง เชื่องช้า ชมนกชมไม้ แวะดูวิวสวยๆ ตามข้างทางไปเรื่อยๆ (ตามหลักทฤษฎีพลังงานจลย์และกฏเทอร์โมไดนามิกส์) แต่ในเวลาที่อากาศร้อนจัด อุนหภูมิเกิน 30 องศา ความร้อนในอากาศจะกระตุ้นโมเมกุลในร่างกายทำให้พวกเราอยากออกวิ่ง ยิ่งพอเวลาเห็นอาหาร พวกเราจะทำสถิติการวิ่งได้เร็วพอๆ กับยูเซน โบลต์*

ดังนั้นในเขตที่มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อย่างประเทศแคนนาดาหรือกรีนแลนด์ ที่นั่นถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อน้อยมาก เพราะถึงพวกเราจะทนร้อนทนหนาว ไม่ป่วยไม่ตาย แค่ลักษณะทางกายภาพของพวกเรา แปดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในร่างกายของเราก็ยังประกอบไปด้วยน้ำ(ผสมเชื้อไวรัส) พอเจออากาศหนาวหรือซวยหน่อยเจอหิมะ ไข่ซอมบี้จะแข็ง.. เอ๊ย ผมหมายถึงนอกจากเชื้อซอมบี้จะอยู่ในภาวะพักตัว ร่างกายของพวกเราที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ก็แทบจะเป็นน้ำแข็งไปเลย เดินได้แบบโคตรช้า ไม่มีความกระตือรือร้น เจอเหยื่อยังไม่ค่อยอยากจะวิ่งงับ และนอกจากเส้นเอ็นจะกระตุกในบางโอกาศแล้ว บางทีก็ยังต้องเดินแบบติดๆ ขัดๆ เพราะน้ำแข็งเกาะตามร่างกาย หากซวยกว่านั้นก็อาจเกิดสภาวะน้ำแข็งกัดหรือฟรอสไบท์ (Frostbite) พวกเราอาจจะไม่เจ็บไม่ปวดก็จริง แต่เนื้อเยื่อที่ถูกน้ำกัดแล้วหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ นี่เรียกได้ว่าอนาถสุดๆ อนาถพอๆ กับซอมบี้ในเขตร้อนชื้น (แค่อนาถกันคนละแบบ)

แถมพอน้ำแข็งละลาย ซอมบี้บางตัวก็จะกลายเป็นซอมบี้แช่แข็งแบบครึ่งๆ กลางๆ เกิดภาวะน้ำแข็งกัด เนื้อหลุดยังไม่พอ แต่หากยังซ่าอยากเดินต่อไปกับเพื่อนๆ ผมเคยเห็นซอมบี้ตัวหนึ่ง ขาท่อนล่างติดกับพื้นที่เป็นน้ำแข็ง แต่ท่อนบนที่อยากไปกับเพื่อนๆ ซอมบี้ตัวนั้นก็ดิ้นรนจนตัวขาด เอามือไต่กระดึ๊บๆ เพื่อรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แล้วมือกับร่างกายที่ไม่มีเสื้อปกปิด ต่างถูกน้ำแข็งกัดเป็นทางยาว เวลาไต่เดินแต่ละทีนึกว่าศพถูกลากเลื่อน เปื่อยแดงแต่ไม่แห้ง เห็นแต่ชิ้นเนื้อกับมีคราบเลือด ลากยาวไปตามทางนั่นแหละใช่เลย

โอย พูดแล้วก็ขนหัวลุก ผมเคยเห็นสภาพเพื่อนเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนเดินทางผ่านยุโรป เทือกเขาอันไต(?) รัสเซีย ซีเรีย... ไม่ใช่! เนปาล ประเทศทางแถบเหนือพวกนี้ ส่วนใหญ่จะมีอาหารหรือคนเป็นเหลืออยู่เยอะ แต่ที่นั่นพวกเราก็ต้องเลือกเอาว่าระหว่างอาหารกับอัตราการรอดชีวิต พวกเราจะเลือกอย่างไหนเป็นอันดับแรก

เพราะอย่างที่บอกในเขตหนาว พวกเราจะค่อนข้างช้า ถึงจะมีอาการอุมดมสมบูณ์ แต่สามในสิบของพวกเราจะถูกคนเป็นเด็ดหัวเอาที่นั่น ยิ่งในเขตที่มีหิมะนะ อัตราการรอดชีวิตของพวกเราแทบจะเป็นศูนย์ อย่าว่าแต่แพร่เชื้อเลย แค่เดินให้ชนะคนเป็นที่ใส่เสื้อคลุมจนตัวอบอุ่นยังทำได้ยาก ดังนั้นอัตราการรอดชีวิตในเขตหนาวของพวกเรา ถ้าเจอคนเป็น ก็เท่ากับศูนย์

ดังนั้นพวกเรา(ผม) จึงเลือกเดินทางและอพยพมาอยู่ที่อเมริกา ดินแดนสี่ฤดู สปริง ซัมเมอร์ ออทั่ม และวินเทอร์ ช่วงสองฤดูแรกพวกเราซอมบี้จะค่อนข้างร่าเริง อากาศไม่เย็นไม่ร้อน (ไม่ชื้น) มีคนเป็นก็ออกล่า ไม่มีคนเป็น พวกเราก็อดอาหารรอได้ ไม่ก็อพยพ หาของกินแหล่งใหม่ไปเรื่อยๆ

แต่ในช่วงออทั่มตอนปลาย หรือช่วงวินเทอร์ พวกเราเหล่าซอมบี้ ถ้าไม่กลายเป็นซอมบี้เก็บตัว ก็จะย้ายไปอยู่แถบฟลอริดาหรือแอลเอที่อากาศอบอุ่นมากกว่า

การอยู่แต่ในตึกตลอดช่วงฤดูหนาว ค่อนข้างที่จะปลอดภัยสำหรับซอมบี้ที่ขี้เกียจอพยพ เพราะพวกเราจะได้รับความอบอุ่นจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ หรือถ้าตึกไหนไม่มี ระบบไฟฟ้าผุพัง พวกเราก็จะเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนจากซอมบี้เก็บตัวมาเป็นซอมบี้เพนกวิ้นชั่วคราว เอาตัวเบียดกันแลกเปลี่ยนความร้อน สลับตำแหน่งวงนอกวงในถ่ายเทพลังงาน เบียดเสียดแลกความร้อน เบียดกันไปเบียดกันมากันจนเกือบได้เสียเป็นผัวเมีย...

แต่ก็ด้วยสภาพหรือภาวะการณ์ที่คนตายมีนิสัยเแบบนี้ คนเป็นบางส่วนจึงยังรอดชีวิต พวกเขาจะย้ายขึ้นไปอาศัยอยู่ในเขตหนาว ช่วงสปริงกับซัมเมอร์ พวกเขาจะเลี้ยงสัตว์ปลูกผักไปตามเรื่อง ไม่ก็ก่อตั้งกำแพงสูงที่เพื่อป้องกันการจู่โจม มีออกมาหาอาหารนอกอาณาเขตบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่นัก

ช่วงหน้าหนาว ถึงจะเป็นช่วงที่พวกเขาออกมาหาปัจจัยสี่ในเมืองกันอย่างกันคึกคัก เพราะสหรัฐอเมริกาแทบไม่มีพื้นที่ไหนเลยที่หิมะไม่ตก ปัจจัยสี่ที่ไม่สามารถหาได้ในเมืองที่เพิ่งเกิด พวกเขาก็จะออกมาหาในช่วงนี้ เขตที่พักอาศัย ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล หรือแหล่งผลิตยา จะเป็นเขตพื้นที่หลักๆ ที่พวกเขาจะออกมาตรวจตราหาปัจจัยสี่เป็นลำดับแรกๆ ถึงจะเสี่ยงเจอกับฝูงซอมบี้ แต่พวกเขาก็จะไม่เจอซอมบี้สี่คูณร้อย ไม่เจอฝูงซอมบี้เดินเร่ร่อน หรือหากโชคดีเจอซอมบี้แช่แข็งที่หนีเข้าตึกไม่ทัน พวกเขาก็ฟันหัวดะตามด้วยจุดไฟเผาซ้ำ เพื่อระบายความเครียด

ดังนั้นช่วงหน้าหนาวพวกคนเป็นจึงขยายอำนาจและอาณาเขตเป็นพิเศษ พวกเขาจะกวาดล้างซอมบี้ตามตึกที่ละตึก ทำเครื่องหมายทิ้งไว้ว่าตึกไหนตรวจค้นไปแล้ว พอกลับมาขนของช่วงฤดูหนาวคราวหน้า พวกเขาก็จะไม่กลับมาขนของที่ตึกเดิมให้เสียเวลา

ยี่สิบปีที่ผ่านไป.... ธรรมชาติสอนให้คนเป็นอยู่รอดได้ฉันท์ใด สัญชาตญาณก็สอนให้เราปรับตัวได้ฉันท์นั้น ช่วงซัมเมอร์กับสปริง จึงเป็นช่วงเวลาที่เราอดทนรอคอย ออกหาอาหารตามเขตชายแดนระหว่างพื้นที่ที่มีสภาพอากาศเย็นกับอากาศร้อน ถ้าโชคดีเราอาจได้แพร่เชื้อ ได้คนเป็นมาเป็นอาหาร ช่วงหน้าหนาวหรือช่วงเก็บตัว พวกเราจะรวมกลุ่มกันอยู่ภายในตึกที่อบอุ่น อาศัยสัญชาตญาณ ดูว่าตึกไหนน่าจะมีคนเป็นออกมาหาปัจจัยสี่บ้าง จากนั้นพวกเราก็จะรรวมกลุ่ม เข้าตะลุมบอนกับคนเป็นที่หลงเข้ามา ตายเป็นตาย ไม่ตายก็เป็นซอมบี้ (ตายแล้วตายอีกประมาณนั้น)

ซึ่งนั่นก็... เป็นลักษณะนิสัยของเพื่อนๆ ผมน่ะนะ ผมน่ะอยู่อย่างสบายๆ หาอาหารมาตุนจากในห้างมาตั้งแต่ตอนซัมเมอร์ พอหน้าหนาวก็ขดตัวอยู่ในห้องนอนที่อบอุ่น ถึงจะไม่หลับไม่นอน แต่ก็ดีกว่าออกไปต่อสู้กับคนเป็นเยอะ ผมยังอุตส่าห์เอาสัญลักษณ์การถูกบุกค้นมาพ่นใส่กำแพงบ้านด้วย ตอนที่พ่นไป... ผมนี่แทบอยากจะร้องไห้ ผมเป็นคนรักสะอาดนะ ชอบความเป็นระเบียบ แต่พอต้องมาเห็นกำแพงบ้านเป็นด่างๆ ดวงๆ ผมก็ช้ำใจจนอยากจะร้องไห้

แต่ก็ช่างเถอะ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ผมยอมให้บ้านสกปรกเล็กน้อยดีกว่ามีคนเป็นบุกเข้ามาตรวจค้น อาณาเขตที่พักส่วนใหญ่แถวนี้ ผมทำสัญลักญณ์ไว้เกือบหมด บ้านผมเป็นจุดศูนย์กลาง... เป็นฐาน เป็นอาณาเขตของผม ซอมบี้ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้.....

ตูม!!!!

ชิบหาย...

ฮอร์ตก.....

ผมตกใจตาเกือบถลนตอนได้ยินเสียงระเบิดดังอยู่นอกอาณาเขตบ้าน ขอบคุณสวรรค์จริงๆ ที่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ฮอร์ของกองทัพอากาศตกลงในสระน้ำ สระว่ายน้ำของที่บ้าน ผมเปลี่ยนมาทำเป็นสระเลี้ยงปลาเทราซ์ไปแล้ว (โปรดอย่าถามว่าผมไปจับปลามาจากไหน คุณคงไม่อยากรู้) ถึงผมจะยังไม่มีปัญญาจับปลาที่กำลังขยายพันธุ์อย่างเริงร่าในสระมากิน (ลงไปแล้วตอด ปลาเทราต์เป็นปลากินเนื้อ เผื่อคุณไม่รู้) แต่ผมก็หวงของผมนะ

ดังนั้นตอนที่ฮอร์ตก ผมรู้โดยสัญชาตญาณ.... จากประสบการณ์ที่เคยอ่านนิยายย้อนมิติมานานปี สวรรค์ต้องส่งภารกิจมาให้ผมแล้วแน่ๆ มาเป็นระเบิดลูกใหญ่ เสียงดังขนาดนี้ ตอนนี้ผมมีบ้านหลังใหญ่พร้อม มีที่ดินปลูกผัก(ยังไม่ได้ปลูก) มีบ่อเลี้ยงปลาเทราซ์ มีแหล่งน้ำสะอาด และเสื้อผ้า แค่คนเป็นไม่กี่คน ผมสามารถเลี้ยงดูให้กินอิ่มได้

ถ้าให้ดีขอเป็นนางเอกสาวๆ แบบดาราฮอลลิวูด พอผมช่วยชีวิตเธอได้ เราสองคนก็ตบมือกันลั้นลา จูงมือเตรียมตัวออกไปกอบกู้โลก ผมเดาว่าตัวเองค่อนข้างพัฒนาไปไกลจากซอมบี้เพื่อนร่วมโลก อดทนต่อความอยากอาหาร ไม่ออกตามล่าคนเป็นที่ยังมีชีวิต

ดังนั้นนางเอกของเรื่องนี้... ในชีวิตจริงของผมในตอนนี้ พอเธอเห็นหน้าผม เธอต้องเอะใจในความแตกต่างของผมแน่นอน และผมในร่างนี้ก็ค่อนข้างหล่อ... (หลงตัวเอง) ถ้าเธอได้เห็นเธอต้องตกหลุมรักผมแน่ๆ อาจจะมีอุปสรรค์เพื่อพิสูจน์ความรักเล็กน้อยแต่ไม่เป็นไร ผมพร้อมยอมสู้ ผมกับเธอจะร่วมกันฝ่าฟัน สร้างสรรค์โลก ไม่ก็ผลิตยาฆ่าเชื้อหรือเอาตัวเองเป็นหนูทดลอง เปลี่ยนซอมบี้ให้กลับมาเป็นมนุยษ์หรืออะไรทำนองนั้น

เพราะงั้น... ผมขอตัวไปเจ้าสาวก่อนดีกว่า ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่มีความต้องทางเพศ แต่ต่อไปใครจะรู้ อยู่เป็นโสดมา 25 ปีก่อนตาย มาเกิดใหม่ใช้เวลาอีก 6 ปีปรับวิถีชิวิต คราวนี้ผมต้องหาเจ้าสาวก่อนตายอีกรอบให้ได้

ดังนั้นคนสวยจ๋า รอพี่อีกนิด พี่จะไปช่วยเดี๋ยวนี้ แล้วเราสอง จะช่วยกันกอบกู้โลก!



หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie (3 ตอนจบ) :: 0.2|| 17/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-05-2017 17:06:01
ซอมบี้ขี้เหงา(รึป่าว) จะเจอเนื้อคู่แล้ว แต่จะเป็นนางเอกเหมือนที่คิดหรือไม่..ถามใจไรต์ดู 555  :hao3:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie :: 0.3 จบภาคนายเอก || 1//5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 20-05-2017 14:49:07
I  am  Zombie  0.3
(จบภาคนายเอก)
[/b]



ระหว่างวิ่งหน้าตั้งสี่คูณร้อย ผมได้ยินเสียงปืน M4 สลับกับปืนลูกซองและเสียงปืนพกอย่าง Beretta ดังสลับกันไปมาอยู่หลายนัด  จากเสียงและกลิ่นที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ   คาดว่าผู้ประสบภัยคราวนี้คงมีอย่างน้อยสามชีวิต  และคงมีทั้งแบบคนเป็นและแบบคนตายที่ถูกย่างเกรียมแล้ว   ตอนนี้เป็นช่วงออทั่มตอนกลาง(?)  อากาศที่แมนฮัตตันยังไม่เย็นมาก  จุดที่ฮอร์ตกก็อยู่ห่างจากบ้านผมแค่ 2 กิโล   ที่นั่นเคยเป็นสวนสาธารณะ  แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนมาเป็นป่าขนาดย่อมๆ   ยังดีที่สวนนี้มีแต่พวกสัตว์เล็กกับนกเป็ดน้ำ  ถ้ามีสัตว์ใหญ่อย่างสิงโตหรือฮิปโป ต่อให้คนเป็นสวยขนาดไหนผมก็คงต้องขอบาย



ผมวิ่งหน้าตั้งเข้าป่าแบบเดียวกับพวกเพื่อนๆ   อาศัยความแข็งแรงของของร่างกายทิ้งห่างเป็นระยะช่วงตัว   เสียงระเบิดสมองดังโพล๊ะๆ  ดังมาจากที่ไกลๆ  บ่งบอกว่าคงมีซอมบี้หลงป่ากลายเป็นอาหารลูกปืนไปหลายศพแล้ว  เดี๋ยวนี้ของกินหายาก ยิ่งในแมนฮัสตันที่ไม่ค่อยมีคนเป็นโผล่เข้ามา   ถึงอากาศจะเริ่มเย็น   แต่พวกเพื่อนๆ  ผมก็ยังทำสถิติความเร็วแบบเดียวกับซอมบี้ในหนังของแบรด   พิตท์  ผมใช้ความความเร็วของตนเองบวกกับความขี้โกง  ดึงหลังคอเสื้อเพื่อนที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้า   ดึงพวกเขาออกจากทางจนพวกเขาหกล้ม  ดีนะที่ซอมบี้ไม่ใช่พวกเจ้าคิดเจ้าแค้น   พอล้มพวกเขาก็ลุกขึ้น กลับมามาวิ่งใหม่   ก่อนถูกเพื่อนๆ ที่เพิ่งวิ่งสมทบเหยียบซ้ำอีกรอบ

อโหสิกรรมเถิดเพื่อน   เพื่อการสละโสดของข้าพเจ้า  โปรดอย่าจองเวรต่อกันเลยนะ

ผมใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็วิ่งมาถึงทางเข้าสวนสาธารณะ   จุดที่ฮอร์ตกอยู่บริเวณใกล้กับสระน้ำพอดี  พวกนกเป็ดน้ำกับสัตว์ป่าคงหนีไปหมดแล้ว  เหลือแต่ซอมบี้หลายสิบตัวที่กำลังห้อมล้อมคนเป็น

คนเป็นที่รอดจากเหตุเครื่องบินตกมีอยู่สามคน ทุกคนยังพอถือปืนได้   พวกเขาอยู่ห่างจากจุดที่เฮลิคอปเตอร์ตกแค่หนึ่งถึงสองร้อยเมตร  คงกะเอาเฮลิคอปเตอร์เป็นที่กำบัง ไม่ให้ซอมบี้แอบเข้ามาในระยะประชิด   ตัวเฮลิคอปเตอร์ถึงถูกไฟไหม้บางส่วนแต่ก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะระเบิดเอาง่ายๆ

แหม่  หนังระเบิดถ้ำถล่มภูเขาของฮอลลีวูดก็ช่วยประเทืองปัญญาซอมบี้อย่างผมได้เหมือนกันนะเนี่ย

ผมวิ่งหน้าตั้งเข้าไปหากลุ่มคนเป็นอย่างเริงร่า

แต่...

ปัง!

แต่ยังไม่ทันได้วิ่งนำกลุ่มเพื่อนๆ ไปทักทายกับเหล่าคนเป็น   เสียงปืนลูกซองวิถึทำลายล้างกว้างก็ดังขึ้นพร้อมกับเม็ดลูกปรายที่ฝังอยู่ในผิวหนังผมกับเพื่อนหลายเม็ด   ผมหยุดวิ่งทำตาโต...

กูจะมาช่วยมึงนะโว๊ย  ไอ้มนุษย์!

อ๊ากๆๆๆๆๆ

ผมวิ่งหนีออกจากฝูงเพื่อนๆ  และวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ (กันซอมบี้เหยียบ)   ผมละโคตรเกลียดเลยที่เวลาร่างกายเป็นแผลแบบนี้   ตอนนี้ผมเป็นซอมบี้รักสะอาดนะ   ถึงผมจะไม่เจ็บไม่ตาย   แต่คราบน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจากแผล   กับเสื้อผ้าที่เขาดเป็นรู...

อ๊ากๆๆๆๆ   ผมถลึงตา   คำรามใส่มนุษย์   คนเป็นสามคนที่รอดชีวิตหันหลังชนกัน   ทั้งสามคนอยู่ในท่ามาตรฐาน  เตรียมต่อสู้ในระยะประชิด  ทุกคนใส่ชุดทหารคู่กับรองเท้าบูท   หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว  ผมสีทอง   หน้าตาสมปรกมอมแมม   มีแผลเปิดอยู่เล็กน้อย   ผมเหลือบตามองนิ้วนางข้างซ้ายของหญิงสาวคนเดียวในกลุ่มโดยอัตโนมัติ

"................"

แต่งงานแล้ว....

_๊าคคคคคคมาก!!!!

ผมยืนห่อเหี่ยว   มองดูเพื่อนๆ  กรุ้มรุมคนเป็นที่หลงเข้ามา  หกปีที่ผ่านจะบอกว่าต่อมมนุษยธรรมของผมตายด้านไปหมดแล้วก็ว่าได้  คนเป็นฆ่าคนตาย  คนตายกินคนเป็นเพื่อแพร่เชื้อ   ผมเห็นเรื่องพวกนี้จนเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต   ผมไม่สามารถช่วยเหลือคนเป็นทุกคนที่หลงเข้ามาเป็นอาหารของซอมบี้ได้ และคนเป็นเองก็คงไม่มีเวลาแยกซอมบี้เหมือนกันว่ามีซอมบี้ตัวไหนแตกต่างบ้าง

ในตอนที่ผมวิ่งออกมาจากบ้าน  ผมคิดง่ายไปเอง  กะว่าถ้ามีผู้หญิงหรือคนเป็นรอดชีวิตแค่คนเดียว   ผมจะวิ่งเข้าชาร์ต   อาศัยความเร็วกับโมเมนตัมที่มีอยู่ในตัวแบกคนเป็นคนนั้นๆ  ขึ้นบ่า   จากนั้นก็พากลับมาที่บ้าน  ทิ้งระยะห่างจากเพื่อนๆ  จนปลอดภัย  แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากัน

แต่คนเป็นสามคนที่เหลือรอดจากเหตุฮอร์ตกในครั้งนี้...  ทั้งสามคนเป็นทหาร   และเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว คนที่ถือ  M4   ดูจะเป็นหัวหน้า   เขายิงหัวซอมบี้แม่นแบบนัดต่อนัด   ส่วนคนที่ถือปืนลูกซองจะกระหน่ำยิงซอมบี้เป็นฝูงที่บุกเข้ามาเพื่อชะรอความเร็ว   สาวสวยผมทองแต่งงานแล้ว (ฮึก)  เพียงคนเดียวกำลังยิงซอมบี้ด้วยปืน  UZI  ปืน Beretta  เปล่าที่ไม่มีกระสุนแล้วถูกโยนทิ้งอยู่ตรงพื้น

ตอนนี้ซอมบี้ที่หลงทางอยู่ในป่าและเขตใกล้เคียงยังไม่มีไม่มาก (หลายสิบตัวคือจำนวนไม่มาก  ผมบอกได้เลย)  แต่อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง  ซอมบี้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดในแมนฮัตตันจะกรูกันเข้ามาที่นี่   คนเป็นสามคนนี้... ดูยังไงก็ไม่มีทางรอดชีวิต

" จอห์น แมคเคลน!"

นายปืนลูกซองตะโกนเรียกเพื่อนเสียงดังเพื่อขอกระสุนสำรอง  ผมหันขวับไปมองผู้ชายที่ถูกเรียกว่า "จอห์น แมคเคลน" ทันที  ในฐานะแฟนพันธุ์แท้รุ่นเดอะของหนัง Die Hard  ผมรีบกวาดตามองรูปร่างหน้าตาผู้ชายคนนั้น

โอเค...

หน้าตาไม่เหมือนบรูส  วิลลิส  แต่หน้าผู้ชายคนนั้นเหมือน ไจ คอร์ตนีย์   คนที่รับบทเป็นลูกชายของจอห์น แมคเคลน

"แจ็ค แมคแคลน จูเนียร์"

กรรรรร!!!!

....สาบานได้เลยนั่นเสียงผมคำรามไม่ใช่เสียงหมาบ้า

ผมคำราม ประกาศตนเป็นหัวหน้า  ประสบการณ์นี้ผมการเรียนรู้มาจากเจค  เจคเป็นผู้นำฝูง  เขาสามารถชี้นำและขึ้นเป็นจ่าฝูงได้   ผมคำราม   กดเสียงต่ำในลำคอ บอกเป็นนัยๆ  ให้พวกเพื่อนๆ รู้ว่า สามคนนี้  ผมจองแล้ว ผมไม่ทางปล่อยให้ลูกของจอห์น  แมคเคลนตายเด็ดขาด!    (ไม่ได้บ้าหนังเลยจริงๆ สาบานได้!)

สิ้นสุดเสียงคำราม พวกเพื่อนๆ  ที่กำลังรุมล้อมคนเป็นต่างหยุดมือ  พวกเขารู้ดีว่าต่อให้ผมเข้าไปก่อน ผมก็จะแบ่งชิ้นเนื้อ  นั่น... หมายถึงถ้าผมเป็นจ่าฝูงตามปกติน่ะนะ   เพราะไม่ว่าใครจะได้กัดคนเป็นก่อน มาตอนหลังเนื้อคนเป็นยังคงมีมากพอให้พวกเขากินอยู่ดี   พวกเราเหล่าซอมบี้ออกจะเป็นพวกกินน้อย แค่กัดคนละสามสี่คำเราก็อิ่มท้อง  พวกเราเหมือนกินแค่ประทั่งชีวิต   หลักๆ ที่เรากัด   ทั้งหมดก็แค่อยากแพร่เชื้อ  เราไม่กินสมอง  เพราะถ้าสมองหยุดทำงาน คนตายก็จะกลายเป็นคนตายของจริง

ดังนั้นพอผมแสดงตัวเป็นจ่าฝูงเก๊   พวกเขาจึงหยุดมือ  ให้ผมเป็นผู้นำ   แหวกทางเดินออก ปล่อยให้ผมเป็นผู้นำทัพ  (ทำไมพวกเขาไม่คิดบ้างว่าผมอาจถูกยิงสมองกระจุย....)

"จอห์น แมคเคลน" กระชับปืนในมือ   พวกเขาหยุดยิงเมื่อพฤติกรรมของผมกับเพื่อนเปลี่ยนไป  ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นสองข้างเหมือนจะบอกว่าเรายอมแพ้

แต่...

ปัง!

พี่จอห์นเอาปืน M4 ยิงอัดพุงผมหนึ่งนัดจนพุงทะลุ   เขาเห็นท่าทาง.... เห็นกูไม่เหมือนซอมบี้ตัวอื่นก็ตะโกนถามสิวะ จะมายิงอัดพุงทำไม!

" อย่าเข้ามา!" พี่แกตะโกนแล้วกระชับปืนเพื่อเตรียมอักพุงผมอีกรอบ

ผมกรอกตายอมหยุดยืนอยู่กับที่

ทั้งหมดนี่... กูทำเพื่อลูกชายของ "จอห์น แมคเคลน"  นักบู้ผู้ฆ่าไม่ตายห้าภาครวดอย่างเดียวเลยนะ  ขอบอก

กรรรร....

ผมคำรามเบาๆ

โอเค...

เรื่องโกหก_อแหลในหนังบางเรื่องไม่สามารถเชื่อถือได้  ผมนึกว่าพอตัวเองจะพูดได้เหมือนพระเอกในหนังเรื่อง  Warm bodies  เรื่องนั้นพระเอกใจเต้นและยังพอพูดคุยกับนางเอกได้   แต่ของผมนี่... หัวใจเงียบสนิท หยุดเต้นอยู่แบบไหน   ก็ยังนอนสงบอยู่ในอกแบบนั้น

ผมกรอกตาเริ่มคิดหาวิธี   ตอนนี้เพื่อนๆ  ซอมบี้ผมเริ่มกระสับกระส่ายกันแล้ว  เราอยู่กันเป็นฝูง   พอจ่าฝูงถูกทำร้ายพวกเขาเองก็อยู่ไม่สุข   พวกเขาอาจจะไม่ได้อยากปกป้องเพื่อน  แต่พอเห็นภัยคุกคามพวกเขาก็พร้อมที่จะรวมกลุ่มกันเพื่อปกป้องตัวเอง

กรรรร....

ผมครางเบาๆ อีกครั้ง   เดินตัวตรงจ้องตาจอห์น    แมคเคลน   เพื่อนของจอห์น  แมคเคลนดันผู้หญิงคนเดียวให้ไปอยู่หลังสุด   ผมเจ็บหน้าอก... เหลือบตามองนิ้วมือของจอห์น    แมคเคลน กับ  ตัวประกอบคนนั้น

โอเค  ไม่มีแหวนแต่งงาน



กรรรร....

....ช่างเป็นการสนทนาที่โคตรอนาจ

ผมเดินตรงเข้าไปหาพระเอกของเรื่อง   จอห์นที่เห็นผมแตกต่างไปจากซอมบี้ตัวอื่น   ปล่อยให้ผมใช้จมูกดมกลิ่นเขาจนดังฟุดฟิด

เอาจริงๆ  เลยนะ   ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาคือ "พระเอก"  ของเรื่อง   ถ้ารู้... ผมกัดหัวเขาขาดไปแล้ว

ผมดมกลิ่นเขา   ปาดน้ำเหลืองที่พุงของตัวเองลงไปบนหน้าของจอห์นบริเวณที่ไม่บาดแผล   หญิงสาวคนเดียวหวีดเสียงอยู่ในคอ   เพื่อนอีกคนของเขาตื่นตัวเต็มที่

จอห์นยอมยืนอยู่นิ่งๆ จ้องมองผมไม่วางตา   ปล่อยให้ผมปาดน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจากร่างทั่วตัวเขา ผมดมกลิ่นตัวเขาซ้ำอีกครั้ง   พอคิดว่าน่าจะพอกลบกลิ่นคนเป็นจากตัวเขาได้   ผมก็ลากเอาศพของเพื่อนที่เพิ่งถูกยิงกะโหลกไปเข้ามา   ส่งสายตากลับไปหาจอห์น เหมือนจะถามว่า "มึงฉลาดพอที่จะเข้าใจสิ่งที่กูสื่อใช่ไหม มนุษย์ "

ความจริงผมก็อยากใช้ภาษาสุภาพอย่างนายหรือคุณอยู่หรอกนะ   แต่เอ็ง... เพิ่งยิงพุงข้าโว้ย!

" แกเป็นตัวอะไรวะ"

เสียงนั่น...ไม่ใช่เสียงของนายจอห์น    แมคเคลนแต่อย่างใด  แต่เป็นเสียงเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่ชื่อบรูซ

บรรพบุรุษของคนเป็นสองคนนี่   ถ้าไม่เป็นผู้กำกับเรื่อง die Hard  ก็ต้องเป็นคนแต่งบทแน่นอน  ผมเอาสมองซอมบี้ของผมวางเป็นเดิมพันเลย!

แฮร่... แฮร่...

......ผมละโคตรอนาถใจในทักษะการสื่อสารของตัวเอง    พยักพเยิดให้จอห์นเอามือป้ายเศษเนื้อใส่เพื่อน   แต่ปัญหาทางการสื่อสารก็เกิดขึ้นตอนนี้  จอห์นเข้าใจ... แต่เขาดันย่อลง   เอาส่วนเละๆ อย่างไส้ (อี๋) ของเพื่อนผมมาแปะตามตัวกับใบหน้าเพิ่ม   พอแปะเสร็จก็เรียกเพื่อนเข้ามาให้ลองทำตาม

ผมยืนทำหน้าพะอืดพะอม .....ไส้เนี่ยนะ!

พระเจ้า!

" จอห์น..." หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มตั้งท่าจะร้องไห้   ตอนที่ยิงซอมบี้สีหน้าเธอยังไม่ดูน่ารันทดขนาดนี้ ผมมองเธอด้วยความเห็นใจ  คิดแต่ว่าพอกลับบ้านผมค่อยพาเธอไปอาบน้ำ  พอเห็นเธอเอาคราบจากลำไส้เล็ก (อี๋) มาแปะบนใบหน้าตัวเอง   ผมก็ยืนมือออกกันบริเวณที่ใกล้กับปากแผลเอาไว้ หญิงสาวฉลาดพอที่จะเข้าใจ   เลยหลบเลี่ยง   ส่วนเพื่อนจอห์นอีกคนดันเลือกเอาคราบจากลำไส้ใหญ่....

โอยย  เอ็งห้ามเข้าใกล้ข้าเด็ดขาดมนุษย์  ต่อให้เอ็งเป็นบรูซ  วิลลิส   กูก็ไม่กรี๊ด!

ผมกระถดตัวห่างจากนายบรูซ   เดินเข้าไปหานายจอห์นกับสาวสวยที่เพิ่งทาหน้าทาตัวเสร็จ   ดมกลิ่นผ่านๆ  เรียกเพื่อนๆ  ที่ยืนกระสับกระส่ายให้เดินเข้ามา   คำรามใส่เพื่อนเบาๆ   ก่อนพยักพเยิดดมกลิ่นเป็นตัวอย่างและหันหน้าออก   สื่อความหมายประมาณว่า  พวกเราถูกหลอกแล้ว  นี่คนตาย ไม่ใช่มนุษย์  คนเป็นกลุ่มนี้ติดเชื้อแล้ว

กรรรร....

ผมคำรามเบาๆ ใส่จอห์น   สร้างความมั่นใจให้เขากับเพื่อนๆ สาวสวยคนเดียวดูตื่นกลัว(ปนขยะแขยง)  จอห์นกับนายบรูซเองก็กระชับปืนพร้อมเตรียมยิง   ผมกดมือจอห์นลงเหมือนห้ามไว้   ยืนรวมกลุ่มกับพวกของจอห์น  ปล่อยให้เพื่อนดอมดม...

ความจริง...ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแผนนี้มันจะได้ผลไหม   ผมแค่เดาบวกกับอาศัยประสบการณ์ที่ได้จากการดูหนังมาที่รวมกับโชคอีกนิด  ตั้งแต่เป็นซอมบี้มา   ผมก็พวกลองผิดลองถูกมาตลอด  ถ้ากลุ่มของจอห์น  แมคเคลนตายก็ถือว่าผมช่วยพวกเขาสุดฝีมือแล้ว   พวกเขาดันซวยเองที่ไม่ใช่พระเอกของเรื่อง  ส่วนผมเองก็จะจำประสบการณ์ว่าเพื่อนๆ ผมก็ฉลาดนะ   แค่กลบกลิ่นยังไม่พอ   อาจต้องพาวิ่งหนีแบบสี่คูณร้อยด้วย

ฮรื่อออ...

เสียงซอมบี้ตนใดคราง... ไม่มีใครรู้   แต่พวกเขายอมเดินออกจากกลุ่มของจอห์น   สูดกลิ่นในอากาศหากลิ่นเนื้อ  กลุ่มของจอห์นกับผมผ่อนคลายลง  แต่ตอนนี้กลิ่นดืนปืนกับกลิ่นคนเป็นในอากาศยังคงลอยคลุ้ง  ซอมบี้บางตัวที่หิวจัดจนงุ่นง่านอยากกัดเนื้อจอห์นรองท้อง  ผมก็ลากพวกเขาให้ไปหาของกินในเฮลิคอปเตอร์

ศพคนเป็นที่เพิ่งตาย.. ต่อให้ถูกย่างแต่ก็ถือว่ายังพอกินได้   บนเครื่องมีศพคนตายอยู่สามคน   คนหนึ่งไหม้เกรียมแล้ว   ผมขออโหสิกรรมอยู่ในใจ   ไหนๆ  ก็ตายไปแล้วอุทิศตเป็นอาหารให้เพื่อนร่วมโลกเถอะนะ  เนื้อหนังมังสาก็แค่ของนอกกาย  ตายไปก็เอาไปไม่ได้   ผมมองเพื่อนตัวเองกินเนื้อคนตายด้วยความเฉยชา   แต่บรูซ  เพื่อนของจอห์น ดันถือปืนเตรียมเป่าหัวผมซะงั้น   เขาคำรามเหมือนจะกล่าวหาว่าผมไม่เคารพศพเพื่อนเขา

" อย่า บรูซ" จอห์นสั่งเพื่อนให้วางปืนลง  เขาเอาตัวเองมาเป็นเกราะกำบัง

ฉลาดดีนี่   ถ้าใครในกลุ่มยิงปืนใส่ผมอีกนัด  ผมกระโดดกัดหัวมันทั้งกลุ่มแน่

" ไปเถอะ"  นายจอห์นหันกลับมาบอก  กระตุ้นให้ผมออกเดิน  สาวสวยคนเดียวที่ผมมารู้ทีหลังว่าชื่อเจน (ขอบคุณสวรรค์ที่เธอไม่ได้ชื่อลูซี่) เรียกสติตัวเอง   ก่อนวิ่งกลับเข้าไปเฮลิคอปเตอร์   เธอขนเอาของจำพวกกล่องยากับอาหารแห้งบางส่วนออกมา   จอห์นกับนายบรูซที่เพิ่งตั้งสติได้ก็ขนของในฮอร์ที่พอจะใช้ได้ออกมาด้วย   

ผมรอยืนกระดิกขารอพวกเขาอยู่นอกเฮลิคอปเตอร์

คนเป็นนี่เรื่องมากชะมัด  แถมเดินช้าด้วย!

ขามาผมวิ่งสี่คูณร้อย ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็วิ่งมาถึงสวนสาธารณะ   แต่ขากลับผมดันต้องเดินเอื่อยๆ มิน่าล่ะพวกเขาถึงค่อยรอดชีวิต!   ขนาดมีผมเดินนำ  พวกเขายังเอาแต่ระวังนั่นระวังนี่   กึ่งวิ่งกึ่งเดินจนผมรำคาญเต็มที  ผมเร่งความเร็ว  บ่นกระปอดประแปดปนคำรามไปตลอดทาง   เจอเพื่อนซอมบี้เข้ามาขวางผมก็ผลักเขาออกไปซะ  พอเดินถึงเขตบ้านพัก  ผมเปิดประตูรั้ว จอห์นกับพวกก็ยืนนิ่งอึ้ง



Zomie(s) is Friend.



ป้ายบิลบอร์ดขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหน้าบ้านทำเอาผมหน้าร้อนฉ่า   ถ้าผมหน้าแดงได้ผมคงหน้าแดงไปแล้ว  ตอนทำป้ายนี่ ผมลืมไปว่ามันอาจตีความได้สองแง่

ซอมบี้(ตัวนี้)  เป็นเพื่อนนะอย่ายิงผมเลย   กับ   ผมเป็นพวกลัทธินิยมบ้าคลั่งบูชาซอมบี้

ผมเดินไปดึงป้ายออก  เดินนำคนเป็นสามคนตรงเข้าบ้าน   ชี้แนะนำสถานที่ภายในบ้านแบบคราวๆ  แล้วเชิญผู้หญิงคนเดียวเข้าไปอาบน้ำ  จอห์นมองผมด้วยสายตาหวาดระแวง   ผมถลึงตากลับ   ถึงผมจะเป็นซอมบี้แต่ผมก็มีความเป็นสุภาพบุรุษนะ!

" ฮะ "

จอห์นหลุดหัวเราะออกมา เขายิ้ม...  ยิ่งยิ้ม  เขายิ่งเหมือน ไจ คอร์ตนีย์ มากจริงๆ   ผมเหม่อมองจอห์น เหมือนเด็กเห็นดาราในดวงใจ  แต่ก่อนจะได้ขอลายเซ็น  หางตาผมดันเหลือบไปเห็นอะไรแวบๆ

กรรรร!!!

ผมคำรามใส่นายบรูซที่กำลังจะหย่อนก้นลงบนโซฟา  ตัวเอ็งเลอะลำไส้ใหญ่ซอมบี้  อย่าริอาจนั่งบนโซฟาหลังแท้เชียว!

" อะไรวะ"

นายบรูซผลุงขึ้นมาด้วยตกใจ  จอห์นเองก็กระชับปืนแน่น  ผมไม่สนใจจอห์น  จ้องมองแต่นายบรูซ   พอเห็นเขาเดิมเลี่ยงไปยืนระวังตัวอยู่บนพื้นปาร์เก้ไม่ทำผนังห้องกับโซฟาเละ   ผมถึงยอมผ่อนคลายลง เดินเฉียดตัวจอห์น  ให้เดินตามกันออกมายังสวนด้านนอก

จอห์นมองผมอย่างหวาดระแวง   มือยังถือปืน   แต่ก็ยอมเดินตามออกมา

ผมพาจอห์นมาจนถึงบริเวณสระว่ายน้ำที่เลี้ยงปลาเทราต์ ชี้ไปที่กระชอน(?)ตักปลา  แล้วชี้ไปที่สระน้ำ

" ...ปลาพวกนี้กินอะไรเป็นอาหาร" จอห์นขมวดคิ้วเมื่อเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการสื่อ  เขาดูปรับตัวและทำใจยอมรับได้ง่ายมากกับการต้องอยู่ร่วมกับซอมบี้   ผมยักไหล่ใส่จอห์น  เตะปุๆ  บนถุงอาหารปลาหมดอายุ  จอห์นคลายคิ้วที่ขมวดลง  ยอมวางปืนแล้วจับปลาให้ผมแต่โดยดี

ผมมองจอห์นจับปลาอย่างใจจดใจจ่อ   ปลาพวกนี้ผมกะจับกินมานานแล้ว   แต่มือของซอมบี้ไม่ได้แข็งแรงและสร้างมาเพื่อให้จับกระชอนได้มั่นคงขนาดนั้น  ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเลยได้แต่ปล่อยให้มันขยายพันธุ์และให้อาหารมันต่อไปเรื่อยๆ  ผมเคยลองสูบน้ำออกเพื่อที่จะได้ลงไปจับปลา แต่มันกลับตอดและสะบัดครีบใส่ผมซะเนื้อเละ

เอ่อ อันนี้นอย่าไปบอกจอห์นนะ  เดี๋ยวเขาไม่กล้ากินเนื้อปลา   เพราะดันเคยตอดเนื้อซอมบี้

" เราจะปลอดภัยไหม" จอห์นถามเหมือนไม่ใส่ใจหลังจากตักปลาได้สามสี่ตัว   ผมเลื่อนถังเปล่าให้จอห์นใส่ปลาลงในนั้น  ตบหน้าตบตัวจอห์นเบาๆ สลับกับดมกลิ่นจอห์น

โปรดอย่าหาว่าผมลวนลามหรือผมให้ท่า...

ผมแค่อยากบอกว่า   ผมไม่รู้  ถ้ามี "กลิ่น" ก็คงปลอดภัย  ไม่มีกลิ่นก็คงม้วย   พวกเราแยกคนเป็นกับคนตายโดยอาศัยกลิ่นที่อยู่ภายใน   จอห์นพยักหน้ากึ่งยอมรับ  ตักปลาใส่กะละมัง(?)  แล้วชวนผมพูดคุยต่อ

" มีซอมบี้แบบคุณอีกเยอะไหม"

ผมส่ายหน้า  พยายามแสดงออกเท่าที่หน้าแข็งๆ ของตัวเองจะทำได้    พอจอห์นจับปลามาได้มากพอ ผมก็จ้องพวกมันอย่างอาฆาตแค้น  (ไม่ได้อาฆาตเพราะเคยถูกพวกมันเคยตอดผมแต่อย่างใด อย่าเข้าใจผิด)   ผมยังคงมีความอยากกินคนเป็น    อยากแพร่เชื้อ    เพียงแต่ผมยังพอข่มสัญชาตญาณความอยากของตัวเองลงได้   กลิ่นเนื้อของจอห์นกับเพื่อนก็ทำเอาผมอยากพอควร  แต่พอคิดถึงซากลำไส้ใหญ่บนตัวบรูซ... ผมกินปลาสดๆ ดับความอยากดีกว่า

ผมไล่จอห์น ให้ออกไปจากที่แถวนั้น   จับปลาสดๆ  ที่เพิ่งถูกจับมาขึ้นมากิน   ความจริงผมอยากต้ม... แต่มันดูล้ำไปหน่อยไหม  ถึงครัวผมจะมีอุปกรณ์อยู่ครบก็เถอะแต่น่าจะเสียเวลา   แถมตอนนี้ผมก็เพิ่งถูกยิงมาด้วย   ร่างกายต้องการโปรตีนจำนวนมากมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ  ผมกินปลาสดๆ  อย่างตะกรุมตระกรามจนนึกว่าตัวเองเป็นกอลั่ม  กินปลาหมดไปสี่ตัว  พอข่มความอยากได้ก็เช็ดปาก   เช็ดคราบเลือด สะบัดเกล็ดปลาออกจากมือ เปิดก็อกน้ำที่อยู่ใกล้ๆ สระมาบ้วนปากและล้างมือ

ดีนะที่ลิ้นผมไม่ค่อยรู้รส  ไม่งั้นผมคงอ้วกแตกเพราะเหม็นคาวปลากับคาวเลือดแน่



" คุณเป็น... ตัวอะไรกันแน่"  จอห์อนตะลึง  มือเขายังถือปืน แต่ไม่ได้อยู่ในท่าตั้งการ์ดเตรียมพร้อม   เขาคงไม่ไว้ใจให้ผมอยู่คนอยู่เดียว  และคงอยากแอบดูพฤติกรรมของผมด้วย

ผมกรอกตาใส่จอห์น  ปิดก็อกน้ำ แล้วถลึงตากลับ

หล่อ ฉลาด สะอาด แถมหน้าตาดีขนาดนี้ก็ต้องเป็นซอมบี้สิวะ  เห็นเป็นบี้ สุกฤษฏิ์หรือไง  ถามอยู่ได้!

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie :: 0.3 จบภาคนายเอก || 20/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 20-05-2017 21:32:38
รอภาคต่อ...ใช่จอห์นรึเปล่า??   :m28:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie :: 0.3 จบภาคนายเอก || 20/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 21-05-2017 00:50:37
รอภาคต่อ...ใช่จอห์นรึเปล่า??   :m28:

ใช่ค่ะ  เปลี่ยนแนวมาให้พระเอกบรรยายบ้าง>//<  ให้มาเจอความหน้ามึนของซอมบี้ :z2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie :: 0.3 จบภาคนายเอก || 20/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 21-05-2017 09:21:40
เป็นซอมบี้ขั้นเทพ ฮิฮิ รออ่านภาคพระเอก
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie :: 0.3 จบภาคนายเอก || 20/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: noonit ที่ 24-05-2017 09:13:54
ชอบเรื่องซอมบี้ที่สุดแล้ว หลังจากดราม่าน้ำตานองจากเรื่องก่อนๆ รอภาคพระเอกนะคะ ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie :: 0.3 จบภาคนายเอก || 20/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 25-05-2017 01:22:07
รอภาคพระเอกต่อ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น || I am Zombie :: 0.3 จบภาคนายเอก || 20/5/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: Persephone ที่ 01-06-2017 17:39:22
รอคร้ามาต่อเร็วๆนะ เรื่องนี้น่าจะดีที่สุดจากที่ผ่านมามาม่าเต็มหม้อ5555555 ขอเถอะเรื่องนี้อย่ามาม่าเลย :mew2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 1 || 25/6/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 25-06-2017 14:12:00
 :ling1: :ling1:
My  Boyfriend  is  a  Zombie  1




อัฐเป็นซอมบี้ที่แปลกมาก ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ซอมบี้เข้าครองเมือง ผมเพิ่งเคยได้เจอซอมบี้แบบอัฐเป็นครั้งแรก



ผมอายุ 28 ปีเป็นประชากรรุ่นแรกที่เจอเหตุการณ์ผู้คนติดเชื้อเลยก็ว่าได้  ครอบครัวผมเป็นทหาร  เพิ่งมีน้องชายพ่อที่ออกจากการรับราชการทหารมาเป็นคนรักของนักการทูต  พ่อของผมเป็นนายพล  ในวันที่โรคระบาดยากเกินกว่าจะควบคุม  ผมกับแม่อาศัยอยู่ที่บ้านพักตากอากาศกับน้าสาวและเจนลูกสาวของเธอ  ตอนนั้นผมเพิ่งอายุแปดขวบ  พวกเราถูกฝูงซอมบี้ที่เพิ่งติดเชื้อห้อมล้อมเอาไว้  พวกมันต่างวิ่งกรูกันเข้ามาเพื่อแพร่เชื้อ  พ่อของผมส่งเฮลิคอปเตอร์ของทัพอากาศมารับได้ทันในวินาทีสุดท้าย  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป  น้าถูกกัดและถูกทิ้งให้อยู่ที่นั่น

ผมกับแม่และเจน... เราสามคนพร้อมกับผู้รอดชีวิตถูกพามายังฐานทัพเรือที่ลอยลำอยู่นอกเขตลองไอแลนด์  ที่นั่นเป็นเขตปลอดเชื้อ เป็นหนึ่งในฐานบัญชาการทางน้ำที่ทางการจัดเตรียมเอาไว้หากเกิดภาวะฉุกเฉิน

รัฐบาลได้เตรียมแผนรับมือสำหรับเหตุไม่คาดฝันมานานแล้ว  และครอบครัวผมที่มีเส้นสายทั้งในและนอกรัฐสภา  ต่างก็เตรียมตัวกันพร้อม  รอจนถึงวันที่โรคระบาดไม่อาจควบคุมได้จริงๆ  พ่อของผมจึงส่งคนมารับ



ผมละทิ้งฐานะคุณชาย  เริ่มจับปืนตั้งแต่ตอนนั้น  เจนเองก็เรียนหนังสืออยู่บนเรือนั่น  บนฐานทัพเรือ  เด็กทุกคนต้องทำงาน  ไม่เรียนหนังสือก็ต้องฝึกการต่อสู้  ผมจับมีดถือปืนมาตั้งแต่อายุแปดขวบ  ฝึกต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อป้องกันตัวทั้งจากคนเป็นและจากฝูงซอมบี้  เรียนหนังสือ ฝึกขับเครื่องบิน  ขัดพื้น  แม่ซึ่งเป็นลูกสาวนักธุรกิจก็เริ่มหันมาจับมีดทำอาหารเพื่อแบ่งเบาภาระบนเรือ

ความร่ำรวยและอภิสิทธิ์ในอดีตไม่มีค่าบนเรือแห่งนี้  ทุกๆ ปีทหารบนเรือจะผลัดกันออกไปช่วยเหลือคนเป็นและหาเสบียงอาหารที่ยังพอหาได้  พอคนกลุ่มใหม่เข้ามาพวกเขาจะถูกย้ายไปอยู่บนเกาะปลอดเชื้อเพื่อฝึกซ้อม  คนเป็นบางกลุ่มที่ไม่สามารถออกไปหาอาหารหรือต่อสู้ร่วมกับทหารได้  พวกเขาจะต้องเลี้ยงสัตว์  ปลูกผัก  นำวัตถุดิบที่ได้เหล่านั้นส่งกลับมายังฐานทัพเรือ  แลกกับพวกเสื้อผ้า  นมผม  ยา  ผ้าอ้อม  หรือแม้แต่ผ้าอนามัย

พวกเราใช้ชีวิตอยู่บนเรือแคบๆ สลับกับกลับขึ้นเกาะแบบนานๆ ครั้ง  ในตอนที่ประชากรคนเป็นบนเกาะเริ่มมีมากขึ้นจนแออัด  รัฐบาลจึงเริ่มแผนการกวาดล้างซอมบี้  ยารักษาซอมบี้  ไม่ใช่คำตอบของปัญหาในขณะนั้น  พวกเราต้องเร่งฉกชิงพื้นที่ทางการเกษตรกลับมา  ต้องสร้างที่พักอาศัย  ต้องหาแหล่งผลิตอาหารให้กับมนุษย์  ดังนั้นการรักษาคนที่ติดเชื้อจึงเป็นเรื่องรอง



ผมถือปืนลงไปกวาดล้างซอมบี้ร่วมกับเพื่อนๆ บนเรือตั้งแต่อายุสิบสี่ปี  ยิงหัวซอมบี้ตัวแรกก็ตอนนั้น  พวกซอมบี้อาจดูเหมือนฝูงสัตว์ป่าที่น่ากลัว  แต่ไม่ว่ายังไง พวกมันก็ไม่ใช่มนุษย์  พวกมันไม่มีสติปัญญา  ไม่มีการวางแผนการ  ดังนั้นเมื่อพวกมันกรูกันเข้ามาเราก็แค่ตั้งรับ  ยิงหัวซอมบี้ทุกตัวที่กล้าดาหน้าเข้ามา  กลิ่นพวกมันน่าขยะแขยงและชวนอ้วก  กลิ่นเนื้อเน่าของพวกมันมักลอยมากับสายลมจนผมไม่อยากอาหารไปหลายวัน  แต่พอนานวันเข้าผมก็ปรับตัวได้  ฆ่าฝูงซอมบี้ที่เคลื่อนตัวเข้ามาทีละร้อยถึงสองร้อยตน

ยังดีก่อนเชื้อร้ายจะแพร่ลุกลาม  รัฐบาลกักตุนยากับอาวุธเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว  พวกเราจึงสามารถมีกระสุนไว้เด็ดหัวซอมบี้อย่างเหลือเฟือ  ซอมบี้กลุ่มไหนโง่หน่อย  เราก็จะหลอกล่อให้ตกลงมาในหลุม  แล้วใช้ไฟเผาพวกมันทั้งอย่างนั้น  เมื่อทำการเก็บกวาดซอมบี้ออกจากอาณาเขตที่เราต้องการหมดแล้ว  ที่เหลือเราก็สร้างกำแพง



พื้นที่เขตมอนทอคถือเป็นพื้นที่ถัดมาที่เราทำการกวาดล้าง  ที่นั่นมีลักษณะเป็นแหลม  มีช่วงคอดที่ง่ายต่อการสร้างกำแพง  เส้นทางไฮเวย์ที่มีอยู่สายเดียวระหว่างเกาะกับแหลมเราก็ทำการระเบิดทิ้ง  ซอมบี้ว่ายน้ำไม่เป็น  เพื่อพวกมันตกน้ำ  นอกจากออกซิเจนในน้ำจะไม่มากพอ ร่างกายของซอมบี้ก็ไม่ทนกับความเค็มของน้ำทะเลด้วย

ดังนั้นเมื่อไม่มีทางให้พวกมันเดิน  พวกมันก็ไม่ทางผ่ากำแพงเข้ามาในเขตเมืองเพื่อเข้ามาทำอันตรายส่วนการเดินทางเข้าออกนอกเขต  พวกเราก็จะใช้วิธีการโดยสารด้วยเรือ  หรือไม่ก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของฐานทัพ



สำหรับเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา  ผ่านมายี่สิบปี  ตอนนี้เมืองหลวงถูกย้ายไปอยู่ที่มอนทาน่าแล้ว  ที่นั่นอากาศหนาวเย็น  ประชากรน้อย  จำนวนผู้คนที่ติดเชื้อมาแต่ดั้งเดิมก็มีน้อยกว่าพื้นที่อื่น  รัฐบาลจึงส่งทหารกล้าตายอีกหนึ่งกลุ่มเข้าไปบุกยึดพื้นที่คืน  ที่นั่นรัฐบาลออกแบบและวางแผนสร้างกำแพงเมืองให้แบ่งออกเป็นสองชั้น  เขตเมืองหลวงชั้นนอก  เป็นเขตพื้นที่ที่ใช้การเฝ้าระวังภัย  ทำการเกษตรและการปศุสัตว์ ส่วนเมืองเมืองหลวงชั้นในจะเป็นเขตที่พักอาศัย โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ว่าการฯ และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ก็มีอยู่ครบ

ส่วนเขตพื้นที่รอบๆ อุทยานแห่งชาติ Yellow stone  ที่นั่นรัฐบาลสร้างกำแพงหนาสูงเท่ากับตึกสี่ชั้นเพื่อใช้ที่นั่นเป็นฐานปฏิบัติการณ์หลักของกองทัพภาคพื้นดิน  แยกส่วนหนึ่งออกมาให้เป็นเอกเทศออกจากฐานทัพ  เพื่อจัดตั้วเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาวัคซีน

ส่วนฐานทัพทางน้ำ  เรายึดพื้นที่บริเวณปากอ่าวซีแอดเติลให้เป็นที่ตั้งฐานทัพเรือหลักแทนฐานทัพใหญ่ในVirginia



คนในครอบครัวของผม รวมถึงน้องชายของพ่อกับคนรักก็อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงแห่งใหม่แห่งนั้น  พวกเราย้ายเข้าไปอยู่ในเขตพื้นที่ปลอดภัยแทนที่จะอยู่บนเรือ  ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันออกมาเพื่อช่วยเหลือคนเป็นและหาของจำเป็นกลับเข้ามาสู่ฐานทัพ

ผม เจน และบรูซ เราสามคนมักอยู่กลุ่มเดียวกันในเวลาออกลาดลาดตระเวน  เจนเป็นหมอทหารประจำกลุ่ม  ส่วนบรูซ... เขาเป็นลูกชายของอดีตนาวาอากาศโทที่เสียไปแล้ว  บรูซเป็นคนเก่ง  แต่เขาค่อนข้างหัวรุนแรงอยู่พอควร  ดังนั้นตอนที่เห็นอัฐวิ่งปนเข้ามากับซอมบี้ตัวอื่น บรูซจึงกระหน่ำไม่ยั่ง

ผมคบและรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่บนฐานทัพเรือ  แต่จะเรียกว่าสนิทกันก็คงไม่ได้  บรูซเป็นคนหัวฝ่ายขวาเต็มตัว  ผิดกับผมที่เป็นฝ่ายซ้าย

บรูซยึดถือคำสั่งของหัวหน้าปฏิบัติการเป็นที่ตั้งทุกครั้ง  ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งลงมา  ต่อให้ต้องฆ่าคนเป็นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขต  เขาก็สามารถปฏิบัติการได้ทันทีโดยไม่มีลังเล



แต่เรื่องนี้... จะมาโทษบรูซเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้  เพราะสมัยที่เพิ่งมีการเริ่มเปิดเมือง  ผมเคยประจำการอยู่ที่หน้าด่านบริเวณกำลังแพงอยู่สองสามปี  ตอนนั้นคนเป็นบางกลุ่มที่พากันอพยพเข้ามาสู่เมืองหลวงแห่งใหม่  บางคนมีการลักลอบพาคนรักหรือคนในครอบครัวที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อผ่านเข้ามาในเขตปลอดภัยด้วย  พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองอาจทำคนอื่นเดือดร้อน  ความผูกพันธ์  ความอาลัยอาวรณ์เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกคนเหล่านี้สิ้นคิด

พวกเขาพาคนตัวเองที่ถูกกัดมาแล้วปะปนมากับเสบียงหรือสัมภาระกองโต  การติดเชื้อซอมบี้จะต้องใช้เวลาสามวัน  คนที่ถูกกัดจะติดเชื้อโดยสมบูรณ์  ดังนั้นขอแค่มัดผู้ติดเชื้อให้ดี  ทำให้ผู้ยอมนอนอยู่นิ่งๆ  แค่นั้นผู้ติดเชื้อก็อาจเล็ดลอดสายตาของหน่วยทหารตรวจตรา

แต่เหตุการณ์ในวันนั้น  ผมจำได้ติดตา  เด็กสาวผมบลอนด์อายุ 12 ปี  เธอกระโดดออกมาจากลังสินค้า  ตอนนั้นเธอติดเธอโดยสมบูรณ์แล้ว  และเริ่มกัดกลุ่มคนเป็นที่กำลังทยอยเดินผ่านเข้าแพง

เราสั่งปิดกำแพงทันที  และผมกับเพื่อนๆ  ที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องยิงเธอและคนที่เธอกัดทิ้ง  ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีน  ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย  คนที่ถูกกัดจึงมีแต่ต้องตาย  แต่พ่อของเด็กสาวที่ลักลอบพาเธอเข้ามากลับหันปืนพกมายิงใส่พวกเรา  ปลุกระดมกลุ่มคนอพยพที่มีปืนให้ฆ่าพวกเราตอบกลับ เขากล่าวหาพวกเราว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ซึ่งไม่ยังไม่ติดเชื้อ 



ตอนนั้นบรูซโกรธจนเลือดขึ้นหน้า  เขายิงเด็กสาวติดเชื้อคนนั้นและฆ่าเจาะกะโหลกคนเป็นพ่อตาม  กว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในบริเวณหน้าด่านจะจบลง  ก็มีคนถูกกัดไปแล้วสามคนและถูกพวกเรากำจัดแล้ว  มีเจ้าหน้าที่อยู่ในเหตุการณ์ถูกกระสุนจากฝูงชนยิงใส่จนบาดเจ็บและเสียชีวิตไปอีกนับสิบราย  และในจำนวนนี้ก็ยังไม่นับรวมกับศพคนเป็นที่ถือปืนยิงทหารในระยะประชิด  คนพวกนั้นถูกสไนเปอร์ที่ซุ่มอยู่บนแพงยิงทิ้งเพื่อปกป้องความปลอดภัยของคนส่วนใหญ่และพวกพพ้อง

ความเสียหายในเหตุการณ์ตอนนั้น มีผู้บริสุทธิ์จริงๆ ต้องจบชีวิตลงในจำนวนที่เกินกว่าที่รัฐบาลจะรับได้

บรูซและทหารที่สังหารคนเป็นถูกจับขึ้นศาลทหารในข้อหากระทำเกินกว่าเหตุ  แต่ตอนหลังข้อกล่าวนั้นก็ถูกปัดไป  เพราะถือว่าเป็นการป้องกันตัวและทำไปเพื่อปกป้องประโยชน์ของคนส่วนรวม

และเพื่อปกป้องเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นซ้ำสอง  รัฐบาลจึงออกคำสั่งให้ตรวจตราคนทุกคนและของทุกชิ้นอย่างเข้มงวด  กล่องทุกกล่องต้องถูกสแกน  คนที่มีไข้  แม้จะไม่มีร่องรอยการถูกกัดหรือตัดเชื้อก็ต้องถูกกันไว้ในศูนย์ควบคุมโรคที่อยู่นอกกำแพง  ถ้าไม่มีการติดเชื้อ  พวกเขาจึงได้รับอนุญาติให้กลับเข้ามาในเขตกำแพงกหลังจากนั้น

สำหรับคนที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม  รัฐบาลอนุญาตให้เราสังหารคนที่ความเสี่ยงกลุ่มนี้ได้ทันทีเพื่อปกป้องคนส่วนรวม  ดังนั้นทุกปีๆ ผมต้องฆ่าคนเป็นที่พยายามฝ่าเข้ามาไม่ต่ำกว่าร้อยชีวิต  พ่อบอกผมว่า  เราจำเป็นต้องทำ  เจนบอกผมว่าเราไม่มีทางเลือก  ส่วนบรูซ... เขายึดถือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างไม่มีอิดออด  ใครกล้าผิดกฏเขาก็กล้ายิงทิ้ว



ผมทนทำงานอยู่ที่กำแพงสามปี  ก่อนขอย้ายไปอยู่เข้าสู่หน่วยลาดตระเวน  เจนกับบรูซก็ย้ายตามผมมาในตอนนั้น  บรูซหลงรักเจนข้างเดียวมานานแต่เขาก็ไม่เคยบอกให้ใครรู้  ส่วนเจนเองก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว  พวกเขาพบกันหลังจากที่เขามาอยู่ในเขตกำแพง  ผมที่ตรงกลางระหว่างคนสามคน  นอกจากจากเป็นเพื่อนและญาติที่ดี  ผมก็ไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของพวกเขามากนัก  เพียงแค่เมื่อตอนที่บรูซเมาหลังจากเจนประกาศหมั้น  ผมเป็นคนพาบรูซกลับที่พัก และนั่นถึงได้รู้ว่าบรูซแอบหลงรักเจนมานาน



ดังนั้นในตอนที่การปฏิบัติการลาดตระเวนครั้งนี้เกิดการผิดพลาด  แม้จะต้องตาย  ผมกับบรูซก็ยังเลือกที่จะปกป้องเจน ยังดีที่อัฐโผล่มาช่วยพวกเราก่อน พวกเราถึงได้รอดชีวิต

และหลังจากที่อัฐล้างมือล้างปากเสร็จหลังกินปลาสดๆ เสร็จ  อัฐก็เดินมาทางผม  ชี้ไปสระปลาเพื่อสั่งให้ผมตักปลาขึ้นมาอีกรอบ ตอนแรกผมนึกว่าเขาอยากกินปลาอีกแต่ไม่มีปัญญาจับเอง  แต่ปรากฏว่า  เขาสั่งให้ผมหิ้วถังปลามาฝากเจนกับบรูซ

อัฐดูกระตือรือร้นมากเวลาที่ได้สนทนากับเจน  เขาแนะนำตัวเองกับเจนโดยการใช้นิ้วเขียนตัวอักษรบนโต๊ะในห้องครัวทีตัว

A U T

เขาแนะนำตัวเองว่าอย่างนั้น 

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นภาษาของชาติใด  แต่ก็พอจะเดาออกว่าน่าจะเป็นหนึ่งในภาษาเอเชีย  เพราะอัฐเหมือนคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก

เมื่อได้รับการแนะนำตัว   เจนจึงแนะนำตัวเองกลับ เขาแนะนำชื่อผมกับกับบรูซที่ละคน  แล้วเริ่มลงมือทำความสะอาดปลา 

เจนเองก็ดูทำใจได้ที่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับซอมบี้ แต่นั่นอาจเป็นเพราะอัฐไม่ดูคุกคาม  แถมยังใจดีแบ่งปลาที่เลี้ยงมาให้



“อัฐ  คุณมีพวกเครื่องเทศไหม ฉันจะเอามาใส่ปลา” เจนถามหลังจากที่ขอดเกล็ดปลาเสร็จแล้ว   ห้องครัวอัฐสะอาดเหมือนกับตัวบ้าน  ภายในห้องครัวของอัฐมีอุปกรณ์ทำครัวครบทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นมีด  ช้อน  จามชาม  เครื่องปั่น  ไปจนถึงที่ปิ้งขนมปัง

อัฐส่ายหัวแทนคำตอบก่อนเปลี่ยนเป็นพยักหน้า  เขาเดินไปที่ด้านหนึ่งของครัว  เปิดประตูชั้นวางของออกแล้วหยิบเกลือออกมา เกลือเป็นของที่ไม่มีวันหมดอายุ  และเจนเองก็พอใจที่อย่างน้อยก็มีเกลือเป็นส่วนประกอบในการปรุงรส  เจนจัดการแล่ปลา  โรยเกลือเล็กน้อยก่อนส่งเข้าเตาอบที่อุ่นรอเอาไว้  ส่วนผมกับบรูซที่ว่างงาน อัฐก็เดินเฉียดตัวผมอีกครั้ง ส่งสัญญาณให้ผมกับบรูซที่ยังไม่ได้ล้างตัว  หาศพซอมบี้มาแขวนตามที่กำแพง

การกระทำแบบนี้มันอาจจะดูโหดร้ายและไม่เคารพคนตายไปนิด  แต่คนตายคงไม่คิดเล็กน้อยเท่ากับคนเป็น  และการมีคนเป็นสามคนอยู่ในบ้านถึงคน  การกลบกลิ่นเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการยืนยามมาก

อัฐยืนชี้นิ้วสั่งการเราสองคนให้ไปลอบยิงซอมบี้ที่วนๆ เวียนๆ อยู่แถวนี้  พอได้ศพมา  เขาก็ยืนอยู่ใต้ลม  สั่งให้ผมแขวนศพ  ส่วนตัวเองดมกลิ่นว่าศพ  ดูว่าซอมบี้ถูกเอามาแขวนจะพอจะกลบกลิ่นคนเป็นได้ไหม

บรูซหงุดหงิดหัวเสียที่ถูกอัฐใช้งาน  แต่เพื่อความปลอดภัย  เขาจึงทำได้ทำตามสลับกับสบถเบาๆ



รอจนเราแขวนศพซอมบี้เสร็จเรียบร้อย  อัฐก็ไล่ผมกับบรูซที่ตอนนี้ตัวสกปรกมากกว่าไปอาบน้ำฟอกสบู่ตรงที่สนามหญ้า  เขาให้เหตุผล (เท่าที่เราจะสื่อสารกันได้) ว่า ผมกับบรูซเป็นผู้ชาย  ดังนั้นต่อให้อาบน้ำข้างนอกก็ไม่เห็นต้องอาย  แถมอาบน้ำข้างนอก  ห้องน้ำในบ้านก็จะได้ไม่สกปรกเลอะเทอะ

ผมเงียบไปหนึ่งอึดใจในความรักสะอาด(และความลำเอียง) ของอัฐ ส่วนบรูซสบถหยาบคายด่าอัฐไปเรียบร้อยแล้ว  น้ำในสายยางข้างสนามหญ้า ป่านนี้เย็นจัดจนเกือบจะเป็นน้ำแข็งเพราะใกล้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว  แต่พอผมเห็นอัฐถอดเสื้อเหลือกางเกงบ็อกเซอร์  และเริ่มเปิดก๊อกน้ำอาบแบบที่ไม่แคร์สายตาใคร  ในฐานะผู้มาขอพักอาศัย  ผมก็ได้แต่ถอดเสื้อออกและอาบน้ำตาม

ในระหว่างที่อาบน้ำ  ผมเองก็แอบสำรวจดูรูปร่างและร่างกายของอัฐไปด้วย  ไม่ใช่ว่าผมอยากจะลวนลามซอมบี้  แต่อัฐก็เป็นซอมบี้ที่แปลกเกินไปจริงๆ  ถ้าไม่มีรอยกระสุนปืนที่เพิ่งถูกผมยิงมา ผมคงเชื่อว่าอัฐเป็นมนุษย์  เขาตัวขาวซีด รูปร่างสมส่วน  มีกล้ามเนื้อ  มีเส้นเลือดสีน้ำเงินโผล่ออกมาพอให้เห็นประปรายภายใต้ผิวขาวเนียน  และนอกจากรอยแผลที่ถูกกัดจนเป็นรอยนูนเด่นชัดสามสี่รอย  นอกนั้นผมก็แทบไม่เห็นริ้วรอยอื่นๆ ไม่มีบาดแผลหรือเนื้อเน่าที่พร้อมจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ  อย่างพวกซอมบี้ตนอื่นที่ผมเคยเห็นจนชินตา  และถ้าให้วิเคราะห์จากรูปร่างหน้าตา  อัฐคงอายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น  ก่อนจะกลายมาเป็นมาซอมบี้



ผมกับบรูซอาบน้ำ  ฟอกสบู่และสระผมเร็วๆ เพื่อลดความหนาว  ส่วนอัฐที่ไม่สะทกสะท้านกับน้ำเย็นก็ค่อยๆ อาบ ค่อยๆ ถูสบู่ไปเรื่อยๆ  รอจนผมกับบรูซอาบน้ำเสร็จแล้ว  อัฐก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการถูตัว  เขาชี้ไปทางชั้นวางของที่อยู่ไม่ห่างจนผมเห็นผ้าขนหนูซักกับเสื้อผ้าที่ผ่านการซักมาแล้ว  ผมกับบรูซเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว  ใส่เสื้อผ้าและเตรียมเดินเข้าบ้าน  เสื้อที่อัฐเตรียมไว้ให้เล็กไปหน่อย  แต่ก็ไม่ถึงขั้นอึดอัดเพราะเป็นเสื้อผ้าขนาดฟรีไซด์

ผมหันกลับไปมองอัฐที่อยู่ตรงสนามหญ้าอีกครั้ง  เพื่อตรวจดูว่าอัฐอาบน้ำเสร็จหรือยัง  แต่พอหันไปเห็น  ผมถึงได้รู้ว่าที่อัฐอาบน้ำช้าไม่เป็นเพราะเขารักสะอาด  แต่น่าจะเป็นเพราะมือของซอมบี้  คงทำให้อัฐไม่สะดวกในการให้อาบน้ำหรือล้างตัวเท่าไหร่นัก

ผมถอนหายใจ เดินกลับไปหาอัฐตอนที่เห็นเขาทำท่าจะขูดหัว(สระผม)ตัวเอง  อัฐสามารถควบคุมและสั่งงานกล้ามเนื้อได้ก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ดีเท่ากับมนุษย์  ผมเทยาสระผมที่หมดอายุแล้วลงบนฝ่ามือ  ขยี้จนเกิดฟองและลงมือช่วยสระผมให้  อัฐสะดุ้งด้วยความตกใจเล็กน้อย  แต่พอเข้าใจว่าผมจะช่วยสระผมให้ เขาก็นั่งลงกับพื้น แล้วปล่อยให้ผมสระผมได้ตามสบาย

ดีที่สมัยก่อน ผมเคยเลี้ยงหมาโกลเด้นรีทีฟเวอร์และเคยอาบน้ำให้มันมาแล้ว  ดังนั้นการอาบน้ำให้ซอมบี้ (หรืออัฐ)  จึงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากมาก  ผมหลีกเลี่ยงการสระผมบริเวณหน้าผากที่มีบาดแผลซึ่งกำลังสมานตัว  เก็บความสงสัยไว้ในใจ  แล้วล้างน้ำเปล่าในอัฐหลังจากใส่ครีมนวดผมแล้ว

และไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว  ทำมาถึงขนาดนี้แล้ว  บริเวณแผ่นหลังที่อัฐเอื้อมมือมาทำความสะอาดไม่ถึง ผมก็ช่วยฟอกสบู่และขัดหลังให้อัฐอีกรอบ

ผิวของอัฐที่ผมสัมผัสได้ในตอนนี้เย็นจัดจากน้ำเย็นแต่ก็เรียบลื่น มันไม่ได้นุ่มลื่นเหมือนอย่างผิวของผู้หญิง  หรือนุ่มนิ่มเหมือนกับผิวของมนุษย์  มันคล้ายๆ ผิวของตุ๊กตาพอซ์เลน(PORCELAIN)  แต่นุ่มกว่านั้น  ผมลูบ...  เอ่ย  ถูสบู่ให้อัฐจนทั่วตัว  ก่อนจะล้างน้ำเปล่าและชช่วยอัฐเช็ดตัว  เมื่อตัวแห้งอัฐก็เอาผ้าผันแผลมาพันแผลเพื่อป้องกันเสื้อผ้าเลอะ

แผลจากกระสุนของอัฐที่ถูกผมยิง  ผิวบริเวณนั้นไม่ได้มีเลือดออกหรือคราบน้ำเหลืองไหลออกมาอีกแล้ว  มันมีแต่มัดกล้ามเนื้อสีแดงๆ และใยขาวๆ ที่เริ่มเข้ามาปกคลุมแผลเอาไว้ทั้งหมด 

ผมช่วยอัฐแต่งตัวในขั้นตอนสุดท้าย โกยเสื้อผ้าที่เลอะคราบซอมบี้ไปวางไว้แถวๆ กำแพงเพื่อเพิ่มกลิ่น  และเพื่อว่าต้องเก็บไว้ใช้

พอล้างมือทำความสะอาดมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ผมก็เดินกลับบ้าน  ก่อนรวมวงเข้าไปทานอาหารที่เจนตัดแบ่งปลา  และเตรียมจานให้ผมเสร็จเรียบร้อย

 เนื้อปลาเทราต์จับสดใหม่โรยเกลือถือเป็นอาหารชั้นดีภายในอาณาบริเวณที่เต็มไปด้วยซอมบี้  เนื้อปลาเทราต์นุ่มฉ่ำและมีมันกำลังดีกำลังดี ผมกินทีเดียวจนหมดจานก่อนจะขอปลาเพิ่ม 

ในส่วนของอัฐ อัฐออกตัวแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ค่อยหิวเท่าไหร่  อัฐเพิ่งกินเนื้อปลาสดๆ ไปสี่ตัว แถมปลาแต่ละตัวก็ไม่ใช่ปลาตัวเล็กๆ ถ้าอัฐกินปลาไปขนาดนั้นแล้วยังไม่อิ่ม  ตกกลางคืนผมคงต้องกังวลว่าอัฐจะมากินพวกผมแทนอาหารว่างไหม





และหลังจากมื้ออาหารจบลง  ก็ได้เวลาที่เราสามคนต้องมานั่งคุยวางแผนต่อไปเป็นทางการเสียที  พวกเรานั่งล้อมวงกันอยู่บนพื้นแถวๆ โซฟาภายในห้องรับแขก  ไฟจากเตาพิงถูกจุดจดลุกโชนเพื่อให้ความอบอุ่นแทนการใช้เครื่องทำความร้อน  อัฐขอตัวไปเดินเล่น  ด้วยเหตุผลที่ว่ามีของที่ต้องออกไปออกเอา ผมเดาว่าเขาอยากให้พวกเราอยู่กันอย่างเป็นส่วนตัว แต่บรูซกลับกลัวว่าอัฐจะไปเพื่อนมา  เขาเสนอว่าเราควรเด็ดหัวอัฐทิ้งแล้วเอาศพของเขาไปแขวนไว้ที่กำแพงรวมกับพวกซอมบี้

"บรูซ!"  เจนเหวเสียงดังทันที และผมเองก็ไม่เห็นด้วย  เรารอดจากเหตุการณ์เฉียดตายมาได้เพราะมีอัฐคอยช่วยเหลือ  อาหารการกินหรือแม้แต่เสื้อผ้า  อัฐก็ช่วยจัดหาให้ 

ดังนั้นต่อให้อัฐเป็นซอมบี้  ไม่ว่าเขาจะอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ก็ตาม  ถ้าหากเขาไม่คิดทำร้ายเราก่อน  ผมก็ไม่เคยมีความคิดฆ่าคนที่ช่วยตัวเองไว้

“ฉันก็แค่เสนอ” บรูซยักไหล่

ผมไม่พอใจกับท่าทีขอไปทีของบรูซ  แต่จะให้มาผิดใจกันในสถานการณ์แบบนี้ก็เห็นจะไม่มีประโยชน์อะไร   ผมหันกลับไปคุยเจน ถามเจนว่า  เธอคิดว่าอัฐเป็นยังไงบ้าง

“ไม่รู้สิ ฉันว่าเขาก็ดูเป็นเป็นซอมบี้ที่ดี เหมือนมนุษย์มาก  แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นซอมบี้แบบเขามาก่อน เลยไม่แน่ใจว่าเขาจะปลอดภัยจริงไหม”

“เธอแจ้งไปยังฐานหรือยัง ว่าพวกเรารอดชีวิต”

“แจ้งแล้ว  ฉันแอบแจ้งฐานตอนที่อัฐพาพวกนายออกไปข้างนอก  ฐานบอกว่าจะเร่งส่งคนมาช่วยพวกเราทันที  เขาถามว่าพวกเราถูกเรากัดไหม  ฉันตอบว่าไม่  ฐานถามเราว่า  มีคนรอดชีวิตกี่คน  ฉันบอกไปแค่เราสามคนเท่านั้น  ส่วนควิน… ฉันไม่ได้พูดถึงเขา”

ควินคือผู้รอดชีวิตอีกคนจากเหตุเครื่องตก และเขาเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดฮอร์ตกในครั้งนี้

“ฐานถามหรือเปล่าว่าทำไมฮอร์ถึงตก”

“ถาม แต่ฉันตอบไปว่าเป็นอุบัติเหตุ ฉันไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น  เพราะไม่รู้ว่ามีใครมีเป็นยังเป็นสายอีกบ้าง  ปฏิบัติการณ์ครั้งนี้ของเราควรเป็นแค่ภารกิจลาดตระเวนและเอาของมาเท่านั้น  ฉันไม่คิดว่าเลยว่าควินจะทรยศ”

เจนพูดเสียงเศร้าจนผมต้องดึงเธอมากอด  ทุกคนที่ออกปฏิบัติภารกิจด้วยกันในครั้งนี้  ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมตาย  เราทำภารกิจอยู่ด้วยกันบ่อยครั้ง  และไม่เคยมีครั้งไหนที่พลาด  มีแต่ครั้งนี้เท่านั้นที่ทุกอย่างควรจะเป็นไปได้ด้วยดี  แต่มันความผิดพลาดก็เกิดขึ้นเมื่อควินบังคับให้พวกเราบินออกนอกเส้นทาง

“แล้วแปลน….”

“ควินเอาไป แต่ฉันว่าเขาคงไม่รอด  ซอมบี้ในแมนฮัตตันมีเยอะมาก  ถ้าเขาไม่มีคนช่วยเหมือนกับอัฐที่ช่วยเรา  ฉันคิดว่ายังไงเขาก็ไม่รอด  ป่านนี้เขาคงถูกกัดและอยู่ในภาวะติดเชื้อแล้ว  ไว้พรุ่งนี้…  พวกเราค่อยให้อัฐช่วยพาพวกเรากลับไปที่ป่าดีไหม”

ผมสบสายตากับบรูซ  ก่อนถูกบรูซปฏิเสธอย่างไม่ลังเล อัฐเป็นคนนอก บรูซไม่ไว้ใจให้อัฐรู้เรื่องราวของคนในฐานทัพ

“พรุ่งนี้เธอยื้ออัฐไว้ที่บ้าน  ฉันกับบรูซจะกลับเข้าเอง  เสื้อที่เราใส่พรางกลิ่นฉันยังไม่ทิ้ง มันคงเอากลับมาใส่ได้”

“อืม”





เมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยเพิ่ม  เราสามคนก็ผลัดก็ผลัดกันนอน เจนเป็นผู้หญิง  ผมจึงให้เธอนอนใกล้ๆ ตัวภายในห้องรับแขกนี่  ส่วนตัวผมกับบรูซ  เราสองคนสลับกันนอนช่วงสั้นๆ ครั้งละสองชั่วโมง และให้เจนอยู่กะสุดท้าย 

รอจนถึงเวลาเที่ยงคืนและตีสอง  อัฐก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา  ภายในบ้านก็เงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงหนูเดิน มีแต่เสียงลมกระทบหน้าต่างเบาๆ นั้น 

ผมเติมฟืนเพิ่มในเตาผิงอีกเล็กน้อย  ก่อนจะเปลี่ยนกับบรูซอีกรอบก่อนจะหลับมาลง

เราหลับๆ ตื่นๆ กันถึงรุ่งสาง  ก่อนจะได้เสียงกรอกแกรกดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน เราสามคนตื่นกันเต็มตา  มือถือปืน  และเตรียมพร้อมจะยิงทุกอย่างที่กล้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นแห่งนี้

แต่พอเห็นหน้าอัฐเดินเข้ามาพร้อมกับ "สิ่งของ"เต็มมือ  เจนก็ตกใจจนอุทานเสียง



“อัฐ! คุณเอาอะไรกลับมาคะ!”















>>>ตอนหน้าซอมบี้จีบสาว  55555

หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 1 || 25/6/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: noonit ที่ 25-06-2017 14:52:35
พระเอกมาแล้ว ~~~~ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 1 || 25/6/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-06-2017 16:19:21
น่ารัก..กกกก รอตอนหน้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 1 || 25/6/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: kittvara ที่ 28-06-2017 11:42:17
เรื่องนี้สนุกอ่ะ ซอมบี้ ชอบๆ
แต่เรื่องคุณชาย เราก็คิดถึงนะ อยากให้
จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอ่ะ
แวะมาดูอยู่นะว่าจะมาตอนไหน
ถ้าเปลี่ยนจากเรื่องสั้นซอมบี้เป็นเรื่องยาวได้ก็คงดีนะ จะติดตามเลย แอดเป็น favourite
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 1 || 25/6/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 03-07-2017 04:12:07
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 1 || 25/6/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 15-07-2017 04:26:55
มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.3 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 21-07-2017 12:46:13
My Boyfreind is a Zombie  2 (50%)



“ อัฐ!  คุณเอาอะไรกลับมาคะ!”


....สิ่งที่อัฐเอากลับมาคือดอกกุหลาบบ้านดอกเล็กช่อโตและผลเบอรี่สดที่มีอยู่เต็มตะกร้า  เขาเดินตรงมามอบช่อดอกกุหลาบให้กับเจนถึงมือ  ส่วนตระกร้าที่มีผลไม้ป่าตามฤดูเขายื่นมาให้ผมถือไว้  บรูซสบถอย่างหัวเสียอยู่ในลำคอกับท่าทีอันโจ้งแจ้งของอัฐ  เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ “ของฝาก” ในครั้งนี้  ยิ่งพอบรูซเห็นของฝากที่อยู่ในกระเป๋าเป้ด้านหลังของอัฐที่เต็มไปด้วยชุดของผู้หญิง สร้อยคอและเครื่องประดับจำพวกทองคำขาวฝังเพชร  และไข่มุก  บรูซแทบอยากตรงเข้าไปฉีกกระชากอัฐเป็นชิ้นๆ 

“  ว้าวว  อัฐ…  คือ  ขอบคุณมากค่ะ  ของพวกนี้สวยมากค่ะ”

เจนบอกแล้วรับของทั้งหมดมา  ตอนที่อยู่บนเรือหรือแม้แต่ตอนที่อยู่ภายในเขตปลอดภัย  เครื่องประดับจำพวกเพชรพลอยถือว่าเป็นของมีมูลค่าที่ไม่มีมูลค่ามากเท่าไหร่นักเพราะทุกคนต้องทำงาน  ไม่ก็ต้องฝึกการต่อสู้  แต่ต่อให้มีเวลาว่างเครื่องประดับพวกนี้ก็ใช่ว่ามีคนหาใส่กันได้ง่ายๆ  ทุกวันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่สุดไม่ใช่การอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย  เราอยู่เพื่อเอาเพื่อตัวรอด   แต่กับของสวยๆ งามๆ  (ที่ดูเหมือนอัฐจะไปปล้นร้านเพชรมา)  ไม่ว่าจะยังไง  พวกผู้หญิงก็คงชอบของนี้

ฮรือ….

อัฐส่งเสียงเรียกผม  หลังจากที่เขามอบของขวัญให้เจนเสร็จ  อัฐก็ไม่เคยปิดบังท่าทีว่าเขาชอบเจนมาก  ส่วนกับผม...  ถ้าให้เทียบกับบรูซ  อัฐดูเป็นมิตรกับผมพอควร  เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าเป้  หยิบมีดพกของทหารอย่างดีส่งมาให้ผมสองเล่ม  ส่วนของบรูซ...  อัฐโยนมีดสวิสเล็กจิ๋วสีแดงที่แทบจะประโยชน์อะไรไม่ได้นอกจากตัดเล็บโยนไปให้  ผมรีบเอาตัวไปกันบรูซที่ทำท่าอยากจะกระโจนใส่อัฐเต็มที  ผมว่าอัฐเองก็ขี้แกล้งนะ  เขาไม่ได้รังเกียจบรูซแต่ก็ไม่เคยประกาศว่าเป็นมิตร

ผมสงบศึกระหว่างอัฐกับบรูซ  โดยสั่งให้เจนเอาของไปเก็บแล้วเอาผลไม้ป่าที่อัฐหามาไปล้างน้ำ  ก่อนจะลากบรูซไปจับปลาเทราต์ด้วยกัน  เพื่อให้เจนเอามาทำเป็นอาหารเช้า

“แ_่งเอ๊ย!”  บรูซสบถหัวเสียแต่ก็เดินตามผมออกมา 

ผมว่าบรูซไม่ได้หึงเจนกับอัฐหรอก  แต่เขาเกลียดและมีอคติเพราะอัฐเป็นซอมบี้มากกว่า

“ หลังกินข้าวเสร็จเราจะไปเอาแปลนกัน  เจนคงรั้งอัฐได้ซักพัก”
   
ผมบอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ  และมันก็ผล  บรูซหยุดบ่น  ช่วยผมจับปลาเทราต์ที่ว่ายอยู่ในสระมาได้หนึ่งตัว

ผมว่า...  อัฐเป็นคนฉลาดนะ  นอกจากจะฉลาด เขายังรักสะอาดด้วย  ผมคิดว่าถ่าผมเป็นซอมบี้  ผมคงเป็นซอมบี้ทั่วไปไม่เที่ยวมาทำอะไรอย่างอัฐแบบนี้  ผมชวนบรูซคุย  เมื่อเราอยู่กันตามลำพัง

“ เมื่อวานตอนอาบน้ำ  นายสังเกตตัวอัฐบ้างหรือเปล่า”

ผมถามเพราะยังติดใจสงสัยเรื่องรอยแผลที่กำลังสมานตัวพวกนั้น  ผมไม่เคยเห็นซอมบี้ที่ไหนสมานแผลได้เองมาก่อน  แต่ก็นั่นแหละ...  อัฐเป็นซอมบี้ที่แปลกอยู่แล้ว  ถ้าเขามีอะไรแปลกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง  ผมก็คงไม่แปลกใจไปมากกว่านี้

“ มันก็แค่ซอมบี้” บรูซยังคงหยาบคายต่อไป

อืมม  เอาเป็นว่าบรูซไม่ทันได้สังเกตร่างกายของอัฐมากนัก  เมื่อวาน... แค่เขาอาบน้ำร่วมกันอัฐได้โดยที่ไม่ฆ่ากันตาย  แค่นั้นก็ต้องขอบคุณสวรรค์แล้ว 

ผมเก็บความสงสัยไว้ใจตัวเองต่อไป  ไม่คิดที่จะคุยเรื่องนี้ต่อ  เอากระชอนตักปลาเก็บที่เดิม  เดินถือปลาสดกลับเข้าไปในครัว

พอเข้าไปถึงในครัว  กลิ่นหอมของเบอรี่เคี่ยวก็หอมฟุ้งอยู่เต็มห้องครัว  น้ำตาล...  ถ้าเก็บดีๆ ไม่โดนความชื้น  มันก็อยู่ได้นานพอๆ กับเกลือ  เจนรับปลาเทราต์ไปแร่  แล้วปล่อยให้อัฐเคี่ยวผลเบอรี่ 

ช่วงเวลาหนึ่ง  ผมนึกอยากให้อัฐฉลาดพอที่อบขนมปังไม่ก็ทำพวกแครกเกอร์  เพื่อเอามากินกับเบอรี่เคี่ยวเป็นอาหารเช้า

แต่ได้แค่นี้หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องตก  ก็เท่ากับว่าสวรรค์เมตตาผมกับเพื่อนมากพอแล้วล่ะนะ



หลังจากจบมื้ออาหารเช้า  ผมส่งสัญญาณให้เจนรั้งตัวไว้  ความจริงผมเองก็ค่อนข้างกังวลใจที่จะทิ้งเจนกับอัฐให้อยู่กันตามลำพัง  แต่พอเจนเสนอตัวกับอัฐว่าจะช่วยทำงานบ้าน  อัฐก็แทบจะกราบกรานเจนด้วยความซาบซึ้ง  เขาแนะนำให้เจนรู้จักตำแหน่งของเครื่องดูดฝุ่น  ไม้ถูพื้น  หรือแม้แต่ที่เก็บเตารีด  ผมกับบรูซ(อันที่จริงคือผมคนเดียว) จึงออกจากบ้านด้วยความสบายใจ

การกลับมาถึงสวนสาธารณะอีกครั้งด้วยชุดคลุมกลิ่นซอมบี้ยังคงได้ผลดี  ผมกับบรูซ...เราใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีในการเดินกลับมาที่เฮลิคอปเตอร์  และใช้เวลาน้อยกว่านั้นในการสืบรอยหาตัวควิน

ศพของควิน...  อันที่จริงก็คือร่างที่กำลังหายใจรวยรินควินแทบไม่เหลือเค้าร่างของของความเป็นมนุษย์  พวกฝูงซอมบี้ที่พากันกรุ่มรุมเข้ามาเมื่อวานคงกัดควินตัวละคำสองคำจนควินมีสภาพอนาถแบบนี้  ร่างของควินถูกกัดไม่พ้นแม้แต่บริเวณใบหน้า  และการที่เขายังหายใจรวยรินแบบนี้อยู่ได้ก็เป็นผลมาจากเชื้อไวรัส

“ จอห์น  เจอแล้ว”

บรูซตะโกนออกมาพร้อมกับชูกระบอกใส่แปลนที่ตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลขึ้นมา  ภายในกระบอกใส่แปลนนี้คือแผนผัง  พิมพ์เขียว  และแบบการปรับปรุงครั้งล่าสุดของแบงก์ออฟนิวยอร์ก 

ผ่านมายี่สิบปี  สกุลเงินต่างๆ  ไม่ว่าเป็นดอลล่าร์  ยูโร  หรือเงินปอนด์สเตอร์ลิง  ต่างหมดความหมายไปนานแล้ว  นอกจากการจับจ่ายภายในเขตปลอดภัย  เราก็แทบจะไม่ได้ใช้เงินเป็นสื่อการ 

แต่ในเวลาที่เราต้องมีการติดต่อแลกเปลี่ยนอาหาร  เสบียง  ยาหรือแม้แต่อาวุธกับประเทศเพื่อนบ้าน  ทองคำ  จึงเป็นสื่อกลางสิ่งเดียวในการแลกเปลี่ยนในขณะนี้

ทองคำ สินแร่ที่มีความเย้ายวนใจต่อจิตใจของมนูษย์มานานแสนนาน  ไม่ว่าจะผ่านมากี่พันปี  ทองคำคือสิ่งเดียวที่ยังคงคุณค่ามาจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น  การปฎิบัติการณ์ของผมกับเพื่อนๆในครั้งนี้  นอกจะเป็นการลาดตระเวน  ตรวจตราดูประชากรซอมบี้และตามหาผู้รอดชีวิตก่อนเข้าฤดูหนาว  ภารกิจลับอีกอย่างที่เราต้องทำคือการเอาแปลนนี้กลับไปยังฐานทัพ  รัฐบาลวางแผนจะให้ทหารบุกเข้าแบงก์ออฟนิวยอร์คมานานแล้ว  แบงก์ออฟนิวยอร์ค  คือหนึ่งในสถานที่ที่มีการเก็บรวบรวมทองคำแท่งไว้มากมาย  ประจวบเหมาะกับที่เรามีฐานปฏิบัติการอยู่มอนทอร์ค  หลายปีมานี้  รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการกวาดล้างซอมบี้บริเวณรอบๆ แบงก์ออฟนิวยอร์ค  และในเขตแมนฮัตตัน  โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่ซอมบี้เริ่มเก็บตัว  เราจะบุกกวาดล้างกันมากเป็นพิเศษ  และในปีนี้รัฐบาลก็วางแผนไว้แล้วว่าถ้ายังไม่ได้ทองคำออกมา  อย่างน้อยๆ  ซอมบี้ที่อยู่รอบๆ  และที่อยู่ในแบงก์ออฟนิวยอร์คจะต้องถูกกวาดล้างให้หมดภายในฤดูหนาวนี้

แต่ความโลภภายในจิตใจของมนุษย์… 

พอรัฐบาลวางแผนจะบุกชิงทองคำ  กลุ่มคนอีกคน…  กลุ่มคนที่อยู่นอกเขตปลอดภัย  คนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่อยู่นอกขอบเขตการช่วยเหลือของรัฐบาล  พวกเขามีอาณาเขตเป็นของตัวเอง  มีฐานบัญชาการ  มีแหล่งที่พักอาศัยรวมไปถึงอาวุธ   

พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนเถื่อน  เพียงแต่อยู่นอกเหนือการปกป้องของรัฐบาล  พวกเขามีกฏเป็นของตนเอง  และบางกลุ่มที่กำลังเติบโต  พวกเขาก็ต้องการอำนาจ 

ดังนั้นนอกจากอาวุธและเสบียงที่พวกเขาบุกชิงหรือปล้นมา  ทองคำคืออีกสิ่งที่พวกเขาอยากได้เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับกองทัพของพวกเขา  พวกเขาส่งคนเข้ามาแทรกซึมอยู่ภายในฐานทัพ  และรัฐบาลเองก็รับรู้ถึงเรื่องนี้  แต่สายลับ...  ก็ไม่ใช่คนที่จะจับกันได้ง่ายๆ  ถ้าอีกฝ่ายไม่เผลอปล่อยพิรุธ 

เหมือนอย่างควิน  ควินอยู่ในฐานทัพมานานเกือบสามปี  และร่วมปฎิบัติภารกิจร่วมกับพวกผมอยู่หลายครั้ง  จนมาถึงในครั้งนี้  หลังจากที่เราได้รับแปลนมาจากทหารอีกหน่วยที่รับผิดชอบในการหาพิมพ์เขียวมา  ควินซึ่งแฝงตัวมานาน  จึงทำการปล้นเครื่องบินและบังคับให้พวกเราขับฮอร์ไปยังจุดนัดอีกจุดไม่ใช่การบินกลับฐานทัพ

การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างชลมุนเมื่อผม  เจน  กับบรูซไม่ยินยอม  แต่สายลับบนเครื่องก็ไม่มีควินแค่คนเดียว  แต่มีถึงสองคนอยู่ในภายเครื่อง พวกเราต่อสู้กัน  เพื่อแย่งชิงและปกป้องพิมพ์เขียวที่อยู่ในกระบอก

ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นก็อย่างที่พวกคุณรู้  นักบินที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกลูกหลงพยายามประคองลงจอด  แต่ในที่สุดเราก็ต้องเสียเพื่อนร่วมทีมไปถึงสองคนจากเหตุการณ์ทรยศหักหลังในครั้งนี้ 

ผมถอนหายใจ  ใช้มีดทหารอันใหม่ที่ได้มาจากอัฐสังหารควินที่มีลมหายใจรวยริน  การทำแบบนี้...  คงถือได้ว่ามีเมตตาแล้วล่ะมั้ง  เพราะถึงเขาไม่ตายในตอนนี้  อีกสามวัน  ไม่สิ  อีกสองวันเขาก็จะตายและกลายเป็นซอมบี้

ผมกับบรูซ...เราใช้เวลาอีกเล็กน้อยหลังจากได้พิมพ์เขียวมา  สำรวจของที่ยังพอใช้ได้ภายในฮอร์ซึ่งก็ไม่เหลืออะไรมากนัก  มีแค่รูปถ่ายไม่กี่ใบ  จดหมายของผู้ตายที่เราต้องเอากลับไปให้คนในครอบครัว  เครื่องมือช่าง  เครื่องดื่มและบุหรี่อีกเล็กน้อย

เมื่อเราได้ของที่ต้องการ  ผมกับบรูซก็เดินทางกลับไปตามทางเดิน  แอบแวะสำรวจตามข้างทางอีกเล็กน้อยเพื่อเจอของที่ต้องใช้ 

ระหว่างทาง  ผมกับบรูซยังคงเจอซอมบี้เดินกันอย่างประปราย  แต่เมื่อพวกมันได้กลิ่นพวกเดียวกัน  พวกมันก็ไม่เคยเข้ามายุ่มย่าม  มีส่วนน้อย...  น้อยมากที่โง่พอถึงขนาดเดินตามผมกับบรูซมา  ซอมบี้มักอยู่รวมกันเป็นฝูง  ดังนั้นเมื่อพวกมันนึกว่าเจอเพื่อนของตัวเอง  มันจึงเดินเข้ามาสมทบ 

ผมกับบรูซเริ่มมองหน้ากัน  ก่อนตัดสินเดินนำซอมบี้สามสี่ที่เดินตามมาเข้าไปในตรอกแคบๆ  เราสังหารซอมบี้พวกนั้นด้วยมีดแทนที่จะใช้ปืน   

พวกมันไม่กรีดร้อง  ไม่วิ่งหนี  ไม่สงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมอยู่ๆ พวกมันถึงถูกฆ่า  พวกมันล้มลงหลังจากถูกมีดเจาะสมองและถูกเอามีดปาดคอ

ผมกับบรูซมองหน้ากันอีกครั้ง 

ไม่แน่ว่า...  การบุกเข้าแบงก์ออฟนิวยอร์คในหน้าหนาวครั้งนี้  มันอาจไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิดก็เป็นได้

   

   

   
   

   

   

>>>  ซอมบี้ก็จีบสาวเป็นนะ  อุฮิ



      
        
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-07-2017 13:26:25
อัฐน่ารัก...รอจ้า o13
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 21-07-2017 17:06:52
ซอมบี้อัฐน่ารักจริงๆ...

รอนะคะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: kittvara ที่ 22-07-2017 00:27:22
น้องอัฐที่น่ารักกลับมาแล้ว
ตอนนี้จินตนาการไปถึงอัฐโดนจีบบ้าง
ว่าแต่อัฐจะพูดได้ไหมเนี่ย?
ลุ้นๆ ตื่นเต้นๆ
มาต่อไวไวนะค่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-07-2017 15:03:08
ห้ามฆ่าอัฐนะ!
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: mmacchiato ที่ 24-07-2017 19:45:12
ถ้าไม่ได้คิดไปเอง เหมือนอัฐน่าจะกลับมาเป็นมนุษย์ได้มั้ย
แบบว่าสมานแผลได้เหมือนมนุษย์ไรงี้

รออยู่นะ รีบมาต่ออออ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 24-07-2017 20:43:06
ลุ้นว่าอัฐจะกลับมาเป็นมนุษย์ได้ไหม o13
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 02-08-2017 01:40:11
ยังไม่มาหรอ...

น้องอัฐ!!!!  :hao4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 16-08-2017 19:16:40
รอน้องอัฐค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 50% || 21/7/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 18-08-2017 20:21:26
ได้แต่. รอ รอ รอ รอ รอ

 :ling1: รีบมาเถอะ :mew6:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 19-08-2017 14:04:06
My Boyfreind is a Zombie  2 (100%)




หลังจากกลับถึงบ้าน  ผมกับบรูซต่างพากันย่องเข้าทางหลังบ้านเพื่อที่จะได้แอบเข้ามาอาบน้ำในห้องน้ำ  ผมเชื่อสุดใจจริงๆ นะเลยว่า  ถ้าอัฐเห็นสภาพผมกับบรูซ  เขาต้องไล่เราสองคนไปอาบน้ำกลางสนามหญ้าอีกแน่นอน 

เมื่อผลัดกันอาบน้ำจนเสร็จ  ผมเดินมาสมทบกับเจนที่นั่งอยู่กับอัฐในห้องนั่งเล่น  ส่วนบรูซ...เขามีหน้าที่รับผิดชอบเอาแปลนไปเก็บและติดต่อฐานทัพเพื่อรายงานสถานการณ์ในปัจจุบัน  บนพื้นไม้ในห้องนั่งเล่น  ระหว่างเจนกับอัฐมีกระดานครอสเวิร์ดวางคู่กับดิกชันนารี  ดูท่าเจนคงจะหาทางสื่อสารกับอัฐได้แล้ว  เพราะเมื่อเจนถาม  อัฐก็จะเรียงตัวอักษรเป็นคำๆ แทนการตอบด้วยมือ

“ คุณอายุเท่าไหร่แล้ว”

“ Twenty five ”  ยี่สิบห้า...  อืมม  แต่อัฐดูหน้าเด็กกว่านั้นเยอะ

“ คุณมาจากเอเชีย  หรือเป็นคนเอเชียที่อยู่ในแมนฮัตตันคะ”

“ I am Thai (ผมเป็นคนไทย)”

“ คุณเป็นซอมบี้มานานแค่ไหนแล้วคะ”

“ About three years (ประมาณสามปี)”

บทสนทนาของเจนกับอัฐค่อนข้างไหลลื่น  ทุกเรื่องที่เจนถาม  อัฐจะพยายามหาคำตอบ  แต่กับประโยคไหนที่ยาวจนเกินกว่าจะตอบ  อัฐก็จะยักไหล่ไม่ก็ใช้ภาษาใบ้เอาดื้อๆ  โดยส่วนตัว  ผมว่าทักษะการสื่อสารของอัฐถือว่าดีใช้ได้เลยทีเดียว 

ผมปล่อยให้เจนกับอัฐคุยกันต่อไป  มีแทรกถามบ้างในข้อมูลที่อยากรู้  อัฐให้ความร่วมมือในการตอบคำถามเป็นอย่างดี  เหมือนต้องการหาคนคุยด้วยนานแล้ว จนเมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง  ก็ได้เวลาทานที่พวกเราต้องอาหารเที่ยงกันอีกรอบ


อาหารมื้อเที่ยงยังคงเป็นปลาราดซอสเบอรี่ที่เหลือจากมื้อเช้า  ครั้งนี้มีอัฐมาร่วมวงในโต๊ะอาหารด้วย  อาหารในจานของอัฐเป็นปลานึ่งไม่ใส่เกลือมีเครื่องเคียงเป็นพวกถั่ว 

ถั่วที่อยู่ในจานของอัฐเป็นพวกถั่วแช่แข็งที่หมดอายุไปแล้ว  แต่กับอัฐที่เป็นซอมบี้  เขาดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการที่ต้องกินอาหารหมดอายุ  แต่ก็อย่างว่า  อาหารแช่แข็ง  ถึงมี  Best before*  แต่ถ้าเก็บรักษาดีๆ  มันก็อาจกินได้ก็ได้ใครจะรู้  ขนาดผมเองก็ยังเคยกินอาหารหมดอายุมาบ้างในกรณีที่จำเป็น   และไม่เหลืออะไรให้ทานจริงๆ  ดังนั้นในเมื่ออัฐไม่เดือดร้อน  ผมก็ไม่มีความคิดที่จะห้าม  อัฐทานอาหารที่อยู่ในจานอย่างเรียบร้อย...  เท่าที่มือแข็งๆ  ของซอมบี้จะทำได้ 

อืมม  ถ้าเทียบกับเมื่อวานที่อัฐสวาปามปลาสดๆ  ไปสี่ตัว  เนื้อปลานึ่งครึ่งตัวที่อยู่ในจาน  ผมยังห่วงว่าอัฐจะกินไม่อิ่มแทนที่จะห่วงว่าอัฐจะใช้มีดกับส้อมได้หรือเปล่ามากกว่า

“ ฉันหั่นเป็นชิ้นๆ ให้นะ  คุณจะทานสะดวก”

เจนเสนอตัวอย่างใจดีตอนที่เห็นอัฐพยายามหั่นเนื้อปลาเทราต์  อัฐดูมีความอดทนและดูมีความสุขมากที่ได้ทานอาหารร่วมกับเพื่อนร่วมโต๊ะ  เขาเลื่อนจานไปให้เจนตัดชิ้นปลาแบบไม่คิดอะไร  จนเมื่อเจนหั่นเสร็จ  อัฐก็มีหน้าที่แค่เอาส้อมจิ้มเนื้อปลาใส่ปาก

ผมรู้หรอกว่าการมองคนอื่นกินมันเป็นเรื่องเสียมารยาท  แต่อัฐเป็นซอมบี้ที่แปลกจริงๆ  และเขาก็มีเรื่องแปลกๆ  มาให้ผมแปลกใจได้เรื่อยๆ  ผมมองดูอัฐจัดการกับอาหารอยู่นาน  ก่อนจะเริ่มหันมาจัดการกับปลาของตัวเองบ้าง  อาหารในจานหลักของพวกเรา  นอกจากปลาราดซอสเจนยังเคียงพวกธัญพืชอบแห้งซึ่งเป็นเสบียงกรังแนบลงมาให้ด้วย

ปลาให้โปรตีนกับโอเมก้า 3  ส่วนพวกธัญพืชให้คาร์โบไฮเดรตกับไฟเบอร์  อืมม  ถ้านับเฉพาะเรื่องสารอาหารทั้งห้าหมู่  มื้อนี้เราก็ขาดแค่ผักเคียงอย่างเดียว     



หลังจากมื้ออาหารจบลงผมกับบรูซก็มีหน้าที่ล้างจานในคราวนี้  เจนที่ยังคงง่วนอยู่ในครัวเริ่มเกริ่นถึงอาหารมื้อค่ำทั้งที่เราเพิ่งจบมื้อเที่ยง

“ เย็นนี้  พวกเราคงต้องกินปลากันอีกมื้อ”

แค่เจนเกริ่นมา...  ผมก็รู้แล้วว่าเราคงมีปัญหาแน่แล้ว  แต่ในสถานการณ์ที่มีให้กินก็ดีกว่าไม่มี  แค่ปลาสดที่มี  เท่านี้ก็ถือว่าดีพอแล้ว  เพียงแต่ถ้าพวกเราต้องกินปลากันไปตลอดสี่มื้อ  แถมสี่มื้อนี้ยังไม่นับรวมกับมื้อที่เหลือกว่ากองทัพจะมารับ  คราวนี้...  ต่อให้พวกเราไม่กลายเป็นเป็นซอมบี้  แต่ก็ไม่แน่ว่า  พวกเราอาจจะมีเกล็ดปลางอกออกมาแทน

อัฐเองก็มีความหนักใจในฐานะเจ้าบ้าน  เพราะถึงพวกเราจะพยายามไม่แสดงออก (เพราะลำบากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว)  แต่การกินแต่ปลาติดๆ กันสี่มื้อ  อัฐก็คงคิดว่ามันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ (แต่ผมเดาว่า  เขาคงกลัวเจนเบื่อปลามากกว่า)  ดังนั้นหลังจากที่อัฐหายไปในห้องสมุดของบ้าน  อัฐก็ออกมาทีพร้อมกับแผนที่ส่วนขยายของแมนฮัตสัน  อัฐชี้ลงบนจุดๆ หนึ่งของแผนที่ที่ห่างจากที่นี่ไปแค่ไม่กี่ไมล์  ที่นั่นคือเขตเซนทรัลปาร์ค  อัฐพยายามสื่อสารกับพวกเราว่า  ที่นั่นคือบริเวณที่อัฐไปเก็บผลเบอรี่  หากว่าเราโชคดี  ช่วงก่อนฤดูหนาวแบบนี้  เราอาจเจอผลไม้ป่า  มันฝรั่ง  ไม่ก็พวกนัทมากินแทนปลาได้  ส่วนไก่งวง  กระต่าย  รวมไปถึงพวกนกเป็ดน้ำ  สัตว์พวกนี้  หากโชคดีเราอาจเจอพวกมันที่เดินหลงฝูงออกมาบ้าง(แน่นอนว่าต้องใช้ปืนยิง)  แต่ที่แน่ๆ  การไปยังเขตเซนทรัลปาร์คซึ่งตอนนี้กลายเป็นป่าไปแล้ว  เราก็มีแนวโน้มที่จะเจอกับพวกสิงโตหรือพวกสัตว์ใหญ่พอๆ กัน

ดังนั้นอัฐจึงเสนอว่า  ถ้าแค่บริเวณขอบป่า...  เอ่อ  ขอบเซนทรัลปาร์ค  เขาก็ยังพอรับประกันความปลอดภัยให้กับพวกเราได้  (หมายถึงพาพวกเราวิ่งหนีได้)

ความจริง...  ผมก็ไม่เห็นด้วยที่เราต้องไปเผชิญหน้ากับสัตว์ใหญ่ทั้งที่เราพอมีเสบียงอยู่แล้ว  แต่บรูซ...  เขากลับเสนอตัวขึ้นมาว่าอยากออกไปหาของป่ากิน  แทนที่จะทนกินปลาทุกมื้อ

ผมเข้าเจตนารมณ์ของบรูซได้ทันทีว่าเขาอยากออกไปสำรวจพื้นที่  บ้านของอัฐตั้งอยู่ในเขตอัปเปอร์อีสต์ไซด์   หากเราเลาะไปทางตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเข้าสู่เขตมิดทาวน์  ใช้เวลาอีกไม่กี่นาที  ผ่านไปยังแมนฮัตตันตอนใต้ไป  เราก็จะเดินทางไปถึงแบงค์ออฟนิวยอร์ก 

   
ผมยืนคุยอยู่กับบรูซ  ระหว่างที่อัฐขึ้นไปที่ชั้นสองบ้านเพื่อเอากระเป๋าเป้  บรูซบอกกับผมว่า  เมื่อเช้าเขาติดต่อกับฐานทัพแล้ว  ทางฐานกำลังจะส่งฮอร์มา  แต่พอบรูซบอกไปว่าเขาอาจมีวิธีผ่านฝูงซอมบี้เข้าไปเขตธนาคารได้  ทางฐานทัพจึงระงับการส่งฮอร์มาและให้พวกเราอยู่สำรวจพื้นที่ 

ส่วนเรื่องความปลอดภัย  บรูซให้เหตุผลกับทางฐานว่าตอนที่เราสามคนเอาตัวรอดมา  พวกเราใช้วิธีกลบกลิ่นและแฝงตัวอยู่ในฝูงซอมบี้  วิธีการกลบกลิ่นนี้  ใช่ว่าจะไม่มีคนคิดที่จะลอง  เพียงแต่การแพร่เชื้อของพวกซอมบี้   วิธีที่พวกมันใช้คือการแพร่เชื้อโดยสารคัดหลั่งทุกชนิด  ดังนั้นทางกองทัพจึงไม่มั่นใจว่าหากเอาสารคัดหลั่งเช่นเลือดหรือน้ำเหลืองของซอมบี้มาแปะตามตัว  เชื้อไวรัสจะแพร่ผ่านผิวหนังเข้ามาได้ไหม 

แน่นอนว่าทางทฤษฎี  เชื้อโรคย่อมไม่สามารถแพร่ผ่านเซลล์ผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรงได้  แต่ในภาวะวิกฤตที่มนุษย์สุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แบบนี้  ดังนั้นทางกองทัพจึงไม่มีนโนบายส่งประชากรที่เหลืออยู่ไปเป็นหนูทดลองเพื่อทดสอบสมมุติฐาน

แต่ในเมื่อผม  บรูซ  กับเจน  เราสามคนเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้ว  โดยมาตรฐานของทางกองทัพ  ต่อให้พวกเรายังไม่มีไข้  ยังไม่มีอาการของคนที่อาจจะติดเชื้อ  ไม่ว่ายังไง  ทางกองทัพก็ต้องกักกันโรคพวกเราเป็นเวลาอย่างน้อยอีกเจ็ดวัน 

ดังนั้นภายในเจ็ดนี้  เป็นที่แน่นอนแล้วว่าทางฐานทัพจะไม่ส่งคนรับ  และถ้าหากเราติดต่อกับทางกองทัพเป็นระยะๆ  (โดยที่ไม่ติดเชื้อซอมบี้ไปซะก่อน)  พอครบเจ็ดวันทางกองทัพก็จะส่งคนมารับมาในที่สุด

ส่วนเรื่องของอัฐ  บรูซยังไม่ได้บอกกับทางฐานทัพ  บรูซให้เหตุผลว่า  ทางฐานทัพคงไม่เชื่อที่จะมีซอมบี้ช่วยเหลือคนเป็นแบบนี้  และนอกจากจะไม่เชื่อ  ทางฐานทัพคงคิดว่าพวกเราสติแตกไม่ก็ถูกเชื้อไวรัสกินสมองไปแล้วมากกว่า


รอจนเมื่ออัฐลงมาอีกทีพร้อมกับเป้คู่ใจ  ผม  บรูซ  และอัฐ  เราสามคนจึงพร้อมที่จะออกไปข้างนอก  เจนมีหน้าที่อยู่บ้าน  ทำความสะอาดและคอยตอบวิทยุสื่อสาร  ผมกับบรูซพกปืน M4  และปืนสั้นคนละกระบอกเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะขึ้น  ส่วนอัฐ…  เขามีท่าทีสบายๆ  เหมือนกับกำลังจะออกไปเดินเล่น

ก่อนออกจากบ้าน  อัฐสั่งให้ผมกับบรูซเอาคราบของซอมบี้ที่อยู่ตามกำแพงมาแปะเพิ่มที่ตัวและเสื้อผ้าอีกที  เขาให้เหตุผลว่าช่วงนี้อากาศแห้ง  และคราบที่แห้งๆ  ก็ส่งกลิ่นน้อยกว่าคราบเปียกๆ 

คราวนี้บรูซยอมทำตามคำสั่งของอัฐแต่โดยดีไม่อิดออดเพราะเขามีเป้าหมายอยู่แล้ว  ส่วนเรื่องวิธีการเดินทางไปยังเซนทรัลปาร์ก  ตอนแรกผมนึกว่าอัฐจะพาพวกเราเดิน... 

แต่พอออกจากบ้าน  อัฐเดินนำผมกับบรูซไปยังบ้านที่อยู่ห่างออกไปอีกสามสี่บล็อก  ที่นั่นมีจักรยานแม่บ้านและจักรยานแบบทัวร์ริ่งอยู่สามสี่คัน  ดูท่าเจ้าของบ้านในสมัยก่อนคงชอบจักรยานมาก  อัฐสั่งให้ผมเติมลมยาง  หล่อน้ำมันลงโซ่  จนเมื่อทุกอย่างพร้อมใช้งาน อัฐก็กระโดดขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานแม่บ้านที่ผมเป็นคนขี่  ส่วนบรูซรับหน้าที่แบกอุปกรณ์จำพวกมีด  จอบ  เสียมและกรรไกร  ใส่ไว้ในกระเป๋าข้างของจักรยานทั่วริ่ง  เพื่อพวกเราต้องไปขุดหาของกินที่เซนทรัลปาร์ค 

จนเมื่อเราสามคน(?)  แบ่งหน้าที่กันเสร็จเรียบร้อย  ในที่สุด  เราทั้งสามคนก็ได้ฤกษ์ออกไปหาอาหาร  และออกไปสำรวจป่ากันซักที





>>    Best before หมายถึง วันที่ผลิตภัณฑ์อาหารมีสภาพสดและคุณภาพดีเยี่ยมก่อนวันที่ตามที่ระบุไว้  แต่ถ้าเกินวันที่ระบุไปแล้วก็ยังสามารถรับประทานหรือนำมาปรุงอาหารได้ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพอาหาร  หรือถ้าเก็บรักษาไม่ดีก็อาจเน่าเสียได้

>>>  จักรยานแบบทั่วริ่งจะมีที่ซ้อนสำหรับใส่ของได้  แต่รับน้ำหนักคนไม่ได้ค่ะ  จอห์นเลยต้องเสียสละตัวเองขี่จักรยานแม่บ้าน  เพราะอัฐขี้เกียจเดิน...
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 19-08-2017 15:49:14
เมื่อไหร่จะสวีทกันน๊า...รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   :m1: :m13: :m1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 19-08-2017 20:49:01
ดีใจที่มาต่อ.....
เขาสองคน? จะสปาร์คกันตอนไหน????
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 20-08-2017 00:01:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-08-2017 01:37:37
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: noonit ที่ 22-08-2017 08:13:12
มาต่อแล้ววววว มองยังไงอัฐก็น่ารักอ่า ซอมบี้ที่รักได้มั้ย
ขอบคุณสำหรับการอัพค่ะ เสียดายเป็นเรื่องสั้น ถ้าเป็นเรื่องยาวคงจะน่าติดตามมากทีเดียว
แต่ชีวิตประจำวันของอัฐนี่ก็กินขาดแล้ว ฮาาาา
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 24-08-2017 16:33:30
น้องอัฐน่ารว๊ากกก นางมุ้งมิ้งแถมไม่คิดมาก 555
เอาใจช่วยค่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-09-2017 21:06:23
อัฐฉลาดมาก
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 06-10-2017 11:17:24
น้องอัฐน่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: kittvara ที่ 17-11-2017 02:56:12
มาต่อไวๆนะ รอนานแล้ว ชอบเรื่องนี้
อ่านซ้ำหลายรอบแล้ว
อัฐน่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: Honyuchum ที่ 30-11-2017 10:23:53
อัฐตลกอ่ะ 55555555555 เป็นซอมบี้ที่มีความสุขเว่อร์
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: mmacchiato ที่ 19-01-2018 20:12:56
รอเรื่องซอมบี้อยู่นะคะ ปกติไม่ชอบอ่านแนวซอมบี้เลย
แต่พอได้อ่านเรื่องของคุณแล้วเราก็ประทับใจ รอมาต่ออยู่น้าา
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: Pin_12442 ที่ 05-02-2018 18:26:23
น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: dracoismine ที่ 19-03-2018 10:49:49
โอ๊ย เรื่องนี้สนุกมากๆเลยค่ะ ดีใจที่ได้อ่านมาก เนื้อเรื่องนี่อารมณ์ warm body จริงๆ ตื่นเต้นกับการที่ว่าจะเกิดการกลายพันธุ์อะไรขึ้นหรือไม่
น้องเป็นซอมบี้รักสะอาด มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ฮรี่ๆๆๆๆ

นี่ก็รุ่นที่โตมากับ die hard เลยล่ะค่ะ โฮะๆๆๆๆๆๆๆ บ่งบอกสมัยมาก

จะรอเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อเลยนะคะ ผู้แต่งสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 31-03-2018 21:31:04
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น ||My Boyfreind is a Zombie :: 2 100% || 19/8/60 || P.4 หรือ จิ้มลิงค์
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 03-04-2018 04:20:45
คิดถึงอัฐละนะ. เมื่อไหร่จะมาต่อหนอ :mew2:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4
เริ่มหัวข้อโดย: teatimes ที่ 23-11-2019 20:14:03
ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ?! by พี่อิฐ
[/size]




           เนื้อหาในตอนพิเศษนี้ สปอยเนื้อหาหลักเยอะมากกกก มากแบบเกือบเฉลยปมทุกอย่าง ใครไม่อยากถูกสปอยสามารถข้ามไปได้ค่ะ

          จริงๆ ก็แอบรู้สึกผิดที่ทิ้งเรื่องนี้ไปนาน แต่มันมีเหตุขัดข้องนิดหน่อย ไม่สามารถแต่งต่อได้ ได้แต่เอาตอนพิเศษมากราบขอโทษไปก่อน แฮะๆ

         แนะนำตอน

          ตอนพิเศษนี้เป็นเนื้อหาของ พี่ชายของอัฐ พี่อิฐ เป็นแนว ระบบ ค่ะ ถ้าใครไม่ชอบแนวระบบสามารถปิดไปได้อีกเช่นกัน เวลาอ่านระวังงงชื่อของพี่อิฐกับอัฐนะคะ ต่างกันแค่สระตัวเองเดียวเอง Orz



=====================================================



          อิฐไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี ตอนที่รู้ข่าวว่าน้องชายตัวเองสลบจาการพลัดตกเนินสูงแค่สองเมตรแต่ป่านนี้ยังฟื้น

          อิฐนั่งเอามือกุมขมับ วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่น้องชายเขานอนเป็นผักอยู่บนเตียง คือในฐานะพี่ชาย อิฐรู้ว่าอิฐควรเศร้าแต่เนินสูงสองเมตร เอ็งยังโง่เอาหัวไปโหม่งโคลนจนสลบได้อีกนะ

          ไอ้อัฐ...

          “ไอ้อัฐ! ฟื้น!”

          อิฐฟาดกะโหลกน้องชายที่นอนอยู่ไปหนึ่งป้าบจนเพื่อนที่เป็นหมอทหารต้องรีบลากเขาออกมา อิฐเป็นนายทหารประจำเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งนี้มาแล้วห้าปี และปีนี้ก็เป็นปีแรกที่เขาได้ทำงานร่วมกับน้องชาย จริงๆ ตอนที่น้องชายขอมาเป็นสัตวแพทย์อยู่ที่นี่น่ะ เขาก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่หรอกเพราะน้องชายเขามันโก๊ะ เดินอยู่ดีๆ เดี๋ยวก็ตกหลุมอากาศ เดินกลางป่าสิบก้าวก็สะดุดกิ่งไม้ล้มไปแล้วสามรอบ เรียกง่ายๆ ว่าถ้ามาทำงานอยู่ที่นี่ด้วยกันก็น่าจะเป็นการมาเพื่อเพิ่มภาระให้เขามากกว่า

          แล้วก็จริง จากที่ถามคนอื่นมา อัฐมันไปเห็นลูกช้างหลงฝูงเดินกะเผลกๆ อยู่ใกล้ๆ แล้วก็ด้วยความที่มันเป็นสัตวแพทย์เห็นสัตว์เจ็บทีต้องรีบปรี่เข้ารักษาประหนึ่งว่าสัตว์ตัวนั้นเป็นญาติของตัวเอง แล้วตอนที่ไอ้อัฐจะเข้าไปรักษาช้างตัวนั้นน่ะ เพื่อนร่วมทีมที่อยู่ด้วยกันก็ห้ามปรามแล้ว เพราะขึ้นชื่อว่าช้างป่าต่อให้เป็นลูกช้างก็ใช่ว่าจะเชื่อง ยิ่งถ้าตัวลูกมันอยู่ตรงนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโขลงของมันก็ต้องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่แหละ โชคดีที่สุดท้ายรอจนอัฐรักษาแผลให้ลูกช้างตัวนั้นเสร็จโขลงของมันก็ยังไม่โผล่มา แต่ไอ้น้องชายจอมซุ่มซ่ามของเขาก็ยังไม่วายหาเรื่องใส่ตัว ไม่ถูกช้างทั้งโขลงกระทืบตาย แต่ดันเดินตกเนินที่อยู่ใกล้ๆ จนป่านนี้ก็ยังไม่ฟื้น

          อิฐนวดขมับตัวเอง

          โบกมันอีกสักรอบดีไหม เผื่อมันจะฟื้นขึ้นมา

          อิฐพยายามหักห้ามใจ (มือ) ตัวเองแล้วมองน้องชายที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้า ไอ้อัฐ... น้องชายของเขาเหมือนคนที่นอนหลับไปเท่านั้น อัฐหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้ออกยาวเข้าสั้นเหมือนคนที่อยู่ในอาการโคม่า และจากที่ไอ้หมอมันตรวจดู อัฐไม่ได้มีอาการของคนสมองบวม ไม่ได้มีบาดแผลภายนอก ไม่มีแม้แต่รอยแดงด้วยซ้ำ นี่ถ้าไม่ติดว่าอัฐหลับยาวเกิน 24 ชั่วโมงปลุกยังไงก็ปลุกไม่ตื่น ไอ้หมอคงไม่วิทยุมาบอกเขา ให้เขากลับมาจากภารกิจเร็วกว่ากำหนด

          ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมไม่ส่งอัฐไปตรวจที่โรงพยาบาลตั้งแต่สองวันก่อน... ก็นะ ชีวิตจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนที่เห็นในข่าวประชาสัมพันธ์หรอก ไอ้ประเภทที่มีฮอร์เข้ามากลางป่า ดึกดื่นแค่ไหนก็มีคนมารับ เรื่องพวกนี้มันพอทำได้จริงแค่บริเวณชายป่าหรือพื้นที่ที่ปรับปรุงแล้วเท่านั้น แต่บริเวณที่พวกเขาพักกันอยู่นี่ เรียกได้ว่าเป็นกลางป่าจริงๆ กระท่อมมีไว้แค่ซุกหัวนอน แค่กันฝนได้ มีห้องครัวกับห้องน้ำ ไม่ต้องใช้ส้วมหลุมหรือก่อไฟทำอาหารเองแค่นี้ก็บุญหัวพวกเขาแล้ว ส่วนเรื่องรถ รถที่เข้ามาในป่าลึกขนาดนี้ได้ทั้งกรมมีอยู่หกคัน ตอนนี้ทุกคันกำลังออกปฏิบัติภารกิจ มีแต่คันของเขานี่แหละที่รีบกลับมาก่อนเพราะต้องพาอัฐไปโรงพยาบาล

          อิฐจ้องหน้าน้องชาย

          ทำกูเดือดร้อนขนาดนี้ ยังมีหน้ามาทำเป็นหลับสนิทอยู่อีก

          “ปะ พาน้องไปโรงพยาบาลกัน”

          ไอ้หมอเดินมาตบไหล่เขาปุๆ ตอนที่เห็นเขาเอาแต่จ้องหน้าน้องชาย ไม่ยอมเคลื่อนย้ายไอ้อัฐไปไหน ไอ้หมอมันเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วเหลือแค่พาอัฐขึ้นรถเท่านั้น เขายังมองหน้าน้องชายนิ่ง

          ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ ไอ้หมอที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงได้มาสะกิดเขาอีกรอบ มันมองหน้าเขาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หุบปากลง เขาจ้องหน้ามันแทนหน้าน้องชาย

          “รีบไปกันเดี๋ยวฝนตก หรือจะให้กูเป็นคนอุ้มน้องขึ้นรถ”

          ...ถึงเขาจะไม่ได้เป็นพวกรักน้อง แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำถึงขนาดปล่อยให้น้องชายถูกคนอื่นลวนลาม อิฐอุ้มอัฐขึ้นจากที่นอน จัดท่าให้หัวของน้องชายซบอยู่กับไหล่ตัวเอง อัฐไม่ใช่ผู้ชายตัวเล็ก แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาของพี่ชายที่อุ้มน้องชายมาตั้งแต่เด็ก

          อิฐอุ้มน้องอย่างมั่นคงแล้วพาไปที่รถ ไม่สนใจเสียงไอ้หมอที่กำลังบ่นงุ้งงิ้ง

          “กูเป็นหมอก็มีจรรยาบรรณหรือเปล่าวะ ไม่ใช่ว่ากูจ้องแต่จะลวนลามชาวบ้านสักหน่อย ไอ้เพื่อนเวร”



          *

          *

          *



          ระบบหมายเลข 2874343 ยินดีต้อนรับโฮสเข้าสู่ภารกิจ 'ตามหาน้องชายที่หายไป' ขอให้ท่านเพลิดเพลินกับประสบการณ์การเป็นซอมบี้กลายพันธุ์ เมื่อท่านปฏิบัติภารกิจสำเร็จ ท่านจะได้รับรางวัล 'สิทธิพาน้องชายกลับบ้าน'

          กรรรร!!!

          ถ้าก่อนหน้านนั้นอิฐไม่รู้จะจัดการกับน้องชายยังไงดี ตอนนี้อิฐก็รู้คำตอบแล้วว่า ถ้าเขาเจอไอ้น้องชายตัวแสบที่ตกเนินสูงแค่สองเมตร แต่สลบไม่ฟื้นนี่นะ เขาจะ...

          กรรรรร!!!!!

          อิฐคำราม เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายแล้วพุ่งเข้าไปงัดข้อกับกวางมูส จากข้อมูลที่ระบบให้มา ปีนี้เป็นปีที่ 31 หลังจากเกิดเหตุการณ์ซอมบี้ครองเมือง และปีนี้เป็นปีที่สองที่เริ่มมี ‘ซอมบี้กลายพันธุ์’

         ซอมบี้กลายพันธุ์คืออะไร ซอมบี้กลายพันธุ์คือซอมบี้ที่มี ‘ร่างกายแข็งแรงและมีสติปัญญา’ ซอมบี้กลุ่มนี้จะกัดและแพร่เชื้อใส่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างตั้งแต่แมลงไปจนถึงมนุษย์ และด้วยความที่มีสติปัญญา ซอมบี้ที่วิวัฒนาการแล้วจึงไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหิวตายหรือปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอลงเรื่อยๆ

          อิฐเกร็งตัว เรียกพละกำลังทั้งหมดที่มีมาไว้ที่แขน กวางมูสตัวนี้คืออาหารมื้อแรกหลังจากที่เขาถูกดึงเข้ามาในระบบได้สองสัปดาห์

          อิฐไม่รู้หรอกว่าไอ้ ‘ระบบ’ ที่ว่าคืออะไรกันแน่ แต่ตอนนี้เขาหิวแล้ว และต่อให้เขาต้องเสี่ยงกับการถูกกวางมูสขวิดตายแต่เขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้กวางตัวนี้หลุดมือไปเด็ดขาด

          ตึง!!

          กวางมูสถูกล้มลง อิฐเดินไปกระทืบกวางตัวนั้นซ้ำก่อนจะคว้าหินที่อยู่ใกล้ๆ มาทุบกะโหลกกวางจนแตก ในฐานะเจ้าหน้าที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า อิฐรู้ว่าตัวเองกำลังละเมิดคำปฏิญาณที่ว่า 'จะปกป้องและรักษาพื้นป่าด้วยชีวิต' แต่ก็นะ ตอนนี้อิฐเป็นซอมบี้ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อนุรักา์พันธุ์สัตว์ป่า ดังนั้นต่อให้ต้องฆ่ากวางอีกเป็นสิบเป็นร้อยหรือเป็นพันตัวอิฐก็ไม่รู้สึกผิดอยู่ดี

           หลังจากกินกวางจนเกือบหมดตัว อิฐก็เดินทางตามหาน้องชายต่อ จากข้อมูลที่ระบบบอกมา ตอนนี้อัฐอยู่ในไอดาโฮเขตพื้นที่ปลอดภัยเขตที่ 8 ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย หลังจากเขตพักพิงทั้ง 7 แห่งก่อนหน้านี้เต็มแล้ว

           อิฐเดินทางไปตามทางที่ระบบบอก เดี๋ยวขึ้นเหนือ เดี๋ยวลงใต้ เสียเวลาไปเกือบสามเดือนกว่าอิฐจะ ‘เดิน’ มาถึง เขตพื้นที่ปลอดภัยเขตที่ 8

            กรรร...

           อิฐคำรามเบาๆ พลางสูดหากลิ่นน้อง

           ทำกูลำบากขนาดนี้ ถ้าเจอหน้ากัน กูจะกระโดดกัดให้หัวขาด

           แต่ถึงอิฐอยากจะเจอ ‘น้องรัก’ ขนาดไหน แต่อิฐก็คิดว่าตัวเองคงผ่านระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่รอบๆ กำแพงไม่ได้ อิฐมองเห็นกล้องวงจรปิด และอิฐก็ได้กลิ่นคนเป็นลอยออกมาจากด้านในของกำแพง แต่การที่มีคนเป็นอยู่ภายในกำแพง แต่ภายในรัศมี 2 กิโลเมตรกลับไม่มีซอมบี้เลยสักตัว ย่อมต้องหมายถึงการรักษาความปลอดรอบๆ กำแพงมีสูงมาก อิฐยืนนิ่งคิดหาวิธี

            [ท่านต้องการความช่วยเหลือจากระบบหรือไม่]

           พอเลย

           อิฐกดปิดปุ่มไม่รับความหวังดีจากระบบ สามเดือนที่ผ่านมา...

           ถ้ากูตัดสินเดินตามแผนที่มาเอง ป่านนี้กูได้กลับบ้านแล้ว

            [ระบบขออภัยในความผิดพลาด เนื่องจากซอร์ฟแวร์ของระบบมีปัญหาจึงทำให้ท่านได้รับความลำบาก ทางระบบขอเสนอ...]

          พอ!

          อิฐกดปิดปุ่มอีกรอบ

          สามเดือนที่ผ่านมาอิฐเจออะไรมาบ้าง อย่าให้อิฐพูด หลงทางน่ะเรื่องเล็ก แต่เกือบตายแล้วติดอยู่ในระบบตลอดขีวิตน่ะเรื่องใหญ่!

          อิฐไม่สนใจระบบ กลับมาคิดหาวิธีติดต่อน้องต่อ ระบบบอกว่าเจ้าอัฐอยู่ที่นี่สุขสบายดี ถึงจะเป็นซอมบี้แต่ก็สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปกติโดยที่ไม่ถูกเด็ดหัวไปก่อน

          อิฐเดินวนไปวนมาเพื่อหาวิธี ก่อนที่จะเลือกวิธีที่คลาสสิคที่สุด

          ส่งจดหมาย...

          แน่นอนว่าจดหมายที่ว่าไม่ได้หมายถึงการส่งจดหมายแบบกระดาษ อิฐเดินวนรอบๆ บริเวณกำแพง หาก้อนหินก้อนใหญ่ๆ หลายอันมาเรียงหน้าประตูทางเข้าตรงที่บริเวณกล้องวงจรปิดส่งมาถึงเป็นคำว่า

          ไอ้อัฐ กลับบ้าน!

          ภาษาไทย มีหัวครบทุกอักษร อิฐยืนรออยู่ข้างข้อความ นับเวลาถอยหลัง รอให้น้องตัวเองโผล่มา

          ใช้เวลาไม่นาน...

          ห้าชั่วโมง...

          อิฐกระดิก_ีนรอ

          มึงออกมาเมื่อไหร่ มึงเสร็จกูแน่

          ครืน...

          เสียงประตูเหล็กถูกเปิดออก อิฐเห็นซอมบี้ที่วิวัฒนาการแล้วตัวหนึ่งเดินนำออกมาก่อนตามด้วยกลุ่มเพื่อน

          ‘กลุ่มเพื่อน’ นี้ออกจะแปลกประหลาดเพราะประกอบไปด้วย คนเป็นที่ฉีดวัดซีนแล้ว 1 คน และซอมบี้ที่วิวัฒนาการแล้วอีกสองตน อิฐคำราม

          กรรร!!!

          ถ้าไม่ติดว่ามีคนถือปืนตามหลัง ‘น้องชาย’ มา อิฐกระโดดกัดไอ้อัฐขาดไปแล้ว

          ฮรื่ออออออ!

         ซอมบี้ตนแรก... หรือก็คือไอ้อัฐวิ่งโผเข้ามาหาอิฐอย่างดีอกดีใจ อิฐกางมือออก อ้าแขนรับน้องชายที่กระโจนเข้ามาโดยอัตโนมัติ ซอมบี้ตนนี้...

          ซอมบี้ตัวนี้ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่เหมือนกับไอ้อัฐเลยสักนิด ไม่ว่าเป็นส่วนสูง รูปร่างหรือหน้าตา แต่ต่อให้ไอ้อัฐหน้าตาเปลี่ยนไปมากกว่านี้ ต่อให้มันเหลือแค่เพียงฝุ่นธุลี ในฐานะพี่ชายที่เห็นน้องชายมาตั้งแต่วันแรกที่มันเกิด อิฐไม่มีทางที่จะจำน้องชายของตัวเองไม่ได้

          อิฐรับน้องชายเข้ามาอยู่อ้อมกอด ปล่อยให้อัฐเอาหัวมาถูๆ ไถๆ สลับกับเอาจมูกมาดมกลิ่นที่ติดอยู่ตามตัว

          อิฐกอดน้องชายแน่น

          ไอ้อัฐ...

          “อัฐครับ”

          ก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้คนที่เรียกชื่อน้องชายเขาอยู่นี่คือใคร แต่ถ้าสัญชาตญาณทำให้อิฐรับรู้ว่า ซอมบี้แปลกหน้าที่อิฐกำลังกอดอยู่นี่คือไอ้อัฐ

          กับคนแปลกหน้าอีกคนคนนี้...

          สัญชาตญาณก็กำลังบอกกับอิฐอีกเช่นกันว่า

          ไอ้เวรนี่ต้องเป็นตัวการที่ทำให้น้องชายกูไม่ยอมกลับบ้านแน่นอน





          หลังสิ้นสุดช่วงเวลาแห่งความประทับใจ อิฐก็ถูกน้องชายลากเข้ามาอยู่เขตกักกัน เขตกักแห่งนี้ไม่ใช่เขตกักกันโรค แต่เป็นเขตกักกันที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสังเกตดูพฤติกรรมซอมบี้ ดูว่าซอมบี้กลายพันธุ์ตนนีเมียแนวโน้มที่จะทำร้ายคนที่อยู่ในชุมชนหรือไม่

           ฮรื่อออ

          ไอ้อิฐครางพลางวางเนื้อวัวสดที่หั่นแล้วตรงหน้าเขา ตลอดสองวันที่ผ่านมาไอ้อิฐวนเวียนอยู่รอบตัวเขาตลอด อิฐรับเอาวัวเนื้อวัวหนักสามสิบกิโลมากิน ก่อนถามไถ่น้องต่อจากเมื่อวานนี้

          “ตกลงไอ้หนุ่มที่จ้องกูเขม็งนี่เป็นใคร”

           อิฐครางปนคำรามใส่น้องชาย ในสายตาคนอื่น (นอกจากซอมบี้กลายพันธุ์) คงได้ยินแต่เสียงอิฐคำรามเท่านั้น อิฐคิดว่านี่คงเป็นวิวัฒนาการอย่างหนึ่งของพวกซอมบี้กลายพันธ์ุ เพราะถึงเราจะแค่ส่งเสียงครางฮึมๆ ฮัมๆ ใส่กันแต่พวกเราก็สามารถเข้าใจความหมายของมันได้โดยที่ไม่ต้องพูดเป็นประโยคออกมา

           “อ๋ออ นั่นจอห์น เป็นคนที่ผมช่วยไว้เองแหละ”

           ไอ้อัฐยืดอกอวดออกมาอย่างภาคภูมิใจ เมื่อสองวันก่อนอัฐมันเล่าแล้วว่าสิบเอ็ดปีที่ผ่านมามันต้องผจญกับอะไรมาบ้างอิฐสงสารน้องชาย... เพราะรู้ว่าสิบเอ็ดปีที่ผ่านมานี่ อัฐที่ไม่ระบบตัวดีคอยช่วยคงผ่านความลำบากมาไม่น้อย แต่สงสารก็อยู่ส่วนสงสาร เพราะนั่นไม่ใช่คำตอบที่อิฐอยากรู้ อิฐมองผ่านกระจกสังเกตการณ์ สบตากับไอ้เวรคนหนึ่งที่คอยตามมาสังเกตดูพฤติกรรมของเขาทุกครั้งที่ไอ้อัฐเข้ามาในห้องนี้ อิฐจ้องตามันเขม็ง

          “พี่อิฐ พี่จ้องจอห์นทำไมอะ” ไอ้อัฐกะพริบตาปริบ

           อ๋อ เป็นไอ้เวรที่ชื่อจอห์น

          อิฐละสายตาจาก ‘จอห์น’ หันมาจัดการเนื้อวัวที่วางอยู่ตรงหน้า รอจนอัฐกินเนื้อวัวที่อยู่ในจานจนหมด อิฐก็ชวนน้องคุย เข้าเรื่องสำคัญทันที

          “กูมาพามึงกลับบ้าน”

          ไอ้อัฐตาโต ก่อนถามกลับด้วยความไม่เข้าใจว่า

          “หมายถึงกลับไปเที่ยวบ้านที่ประเทศไทยน่ะเหรอ”

          “ไม่ใช่ หมายถึง ที่ที่มึงกับกูจากมา กลับบ้านที่มีแม่กับไอ้อ้นคอยอยู่”

          อิฐเล่าเรื่อง ‘ระบบ’ ให้น้องชายฟัง เล่าว่าหลังจากอิฐเฝ้าไข้น้องชายมาสามวันสามคืน อิฐก็ถูก ‘ระบบ’ ลากเข้ามาอยู่ที่นี่ ภารกิจหลักของอิฐคือการตามหาน้องชายให้เจอ และถ้าเจอ ขอแค่อัฐ เต็มใจยอมกลับบ้าน แค่แตะมืออิฐ ทั้งอัฐและอิฐจะได้กลับไปยังที่ที่จากมา กลับไปอยู่กับแม่และน้อง กลับไปอยู่ในบ้านที่อบอุ่นปลอดภัย ไม่ใช่ที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายทั้งจากคนและซอมบี้ด้วยกันแบบนี้

           อิฐยืนมือไปหาน้อง

           “แม่ห่วงมึงจนจะเข้าโรงพยาบาลตามมึงไปอีกคนแล้ว มึงนอนไม่ตื่นมาหกวันแล้ว นี่ไอ้อ้นก็ต้องลาหยุดเพื่อมาดูแลแม่มึงก็รู้ว่าน้องใกล้จะสอบใบประกอบวิชาชีพพยาบาลแล้ว ถ้าสอบไม่ผ่านน้องก็ต้องรอสอบอีกทีปีหน้า ไป กลับบ้านกันอย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วง”

           อิฐยื่นมือค้างไว้ รอให้น้องมาจับมือ ต่อให้อิฐไม่เชื่อใจระบบเรื่องการแนะนำเส้นทางขนาดไหน แต่เรื่องสำคัญอย่างการ ‘พาน้องชายกลับบ้าน’ อิฐเชื่อว่าระบบไม่โกหกอิฐแน่ เพราะตั้งแต่ที่อิฐเจอหน้าน้อง ระบบก็ร้องโหยหวนกวนสุขภาพจิตและสุขภาพสมองอัฐอยู่ตลอดเวลาว่า

          [ท่านจะใช้สิทธิในการพาน้องชายกลับบ้านเลยหรือไม่]

          “แต่... แต่พี่แน่ใจว่าระบบอะไรนั่นสามารถพาเรากลับไปได้จริงๆ" ไอ้อัฐถามเหมือนลังเลไม่แน่ใจ "ไม่แน่... ไม่น่าว่า เอิ่ม... นี่ผมไม่ได้ด่าพี่นะแต่... แต่พี่น่ะ ประสาทหลอน หูแว่วไปเอง คิดว่าเสียงตัวเองคือระบบอะไรนั่นหรือเปล่า”

          กรรรร!!!!

          อิฐคำรามใส่น้องชายจนน้องชายสะดุ้งโหยงแล้วกระโดดหนีไปอีกทาง ด้วยท่าทางของอิฐตอนนี้ ไอ้น้องชายตัวดีมันคงรู้ตัวแล้วล่ะว่า ถ้ามันยังไม่หนีอีกอีก มันได้ถูกกำปั้นะเขกกะโหลกฐานลามปามแน่ๆ แต่ในสายตาคนนอก อิฐคงเหมือนซอมบี้เกรี้ยวกราดที่พร้อมจะฉีกกระชากซอมบี้ด้วยกันเป็นชิ้นๆ

          ไอ้จอห์นเวร (จองเวร...) รีบเปิดประตูเข้ามาทันที มือของมันถือปืนลูกดอกอาบยายับยั้งการเคลื่อนไหวของซอมบี้

          อิฐคำรามก้อง

          “เรื่องของพี่น้อง มึงไม่ต้องมาเสือก!”

          แต่น่าเสียดายที่ไอ้จอห์นเวรนั่นไม่เข้าใจภาษาของซอมบี้ ไอ้เวรตะไลนั่นยกปืนลูกดอกขึ้นแล้วเล็งตรงมาที่เขา จนไอ้อัฐต้องวิ่งไปขว้างทางปืน

          “อย่า จอห์น นั่น พี่”

          ไอ้อัฐพูดขึ้นพลางเอามือกดปลายปืนที่ถูกปลดเซฟแล้วลง

           อิฐคำรามกร้าวอีกที

          พวกมึงอยู่กันมาได้ยังไง...

          โดยเฉพาะมึงเลย ไอ้เวร มึงไม่เคยสอนน้องชายกูหรือไงวะ ว่าอย่าเที่ยวกดปลายปืนใครทั้งที่ตัวเองยืนขวางปืนอยู่ มันอันตราย!







                * อ้น คือขื่อน้องสาวของอิฐกับอัฐค่ะ เคยถูกพูดถึงแล้วครั้งหนึ่งตอนต้นเรื่อง

                 อัฐจะยอมตามพี่ชายกลับบ้านไหมน้าาาา



หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 23-11-2019 21:28:37
หายไปนานมากเลย..กลับมาแล้ว..ดีใจ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 01-12-2019 19:25:41
แง้ พึ่งเคยอ่านพล็อตแบบนี้ สนุกม้ากกกกกกกก เอ็นดูคู่พี่น้อง ฮื่อ น้องอัฐจะกลับบ้านมั้ยคะเนี่ย รอนะคะ :hao5:
หัวข้อ: Re: รวมเรื่องสั้น||I am Zombie:: ตอนพิเศษ จะกลับหรือไม่กลับ ||23/11/62|| P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 07-12-2019 22:09:08
ดีใจจัง มาต่อแล้ว อยากให้ต่อเรื่องของท่านอ๋องด้วยค่ะ please