ตอนเทพเสือโคร่งภูผา
บทที่สิบหกครอบครัวของเฉินอวี้เป็นครอบครัวใหญ่ ด้วยเฉินอู่ผู้เป็นบิดามีภรรยาสอง อนุสอง ตัวของเขาเป็นบุตรคนที่สองของภรรยารอง
หากจะนับพี่น้องชายหญิงจากมารดาทั้งสี่คนรวมกัน เฉินอวี้มีพี่ชายพี่สาวรวมเก้าคน คือเป็นชายสี่คน และหญิงอีกห้า คนและเขาคือลำดับที่สิบ ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นคนที่บิดามักออกปากชื่นชมบ่อยที่สุดว่ามีความฉลาดผิดกับพี่น้องทุกคน แต่เขาก็ยังต้องเป็นน้องเล็กและต้องรออยู่หลังจากพี่ชายและพี่สาวทุกเรื่อง
ดังนั้นนิสัยอย่างหนึ่งที่ติดตัวเขามาตลอดโดยมิได้ตั้งใจก็คือ เมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ภายในบ้าน เขาจะวางตัวเป็นคนกลางที่เกือบจะกลายเป็นคนนอก ไม่เข้าข้างผู้ใด ไม่สนับสนุนใคร เป็นนิสัยด้อยที่ทำให้บิดารู้สึกกังวลว่าวันหนึ่งเขาอาจกลายเป็นคนที่ไม่มีพี่น้อง
เฉินอู่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวรับรู้การแข่งขันและความขัดแย้งภายในบ้านเป็นอย่างดี แต่เขาก็อ้างกับตนเองว่า มีเหตุผลที่ดีที่จะปฏิบัติต่อบุตรชายคนเล็กเช่นนี้ เพราะนี่เป็นยุคนี้มีการจัดลำดับในสังคมอย่างซับซ้อน คือตั้งแต่ในครอบครัว ไปจนถึงการพบปะบุคคลทั่วไปและการทำงาน
ดังนั้น ต่อให้รักเฉินอวี้บุตรชายคนเล็กมากเพียงใด แต่ก็ยังคงมีความเข้มงวด ไม่ยินยอมให้บุตรผู้นี้วางตนเสมอพี่ ๆ และไม่ได้คัดค้านเรื่องที่ภริยารอง ซึ่งก็คือมารดาของเฉินอวี้จะพาบุตรทั้งสองคนของนาง คือเฉินกั๋วสงกับเฉินอวี้ ไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านพักไปช่วงหลายถนน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขัดใจกับภรรยาเอกที่ส่งบุตรชายของนางไปเรียนในสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียง
แต่เพราะเฉินอวี้เป็นผู้ใฝ่รู้ และไม่ค่อยชอบใจนักเวลาที่ผู้คนวิจารณ์ว่าหน้าตางดงามเหมือนสตรี นอกจากการร่ำเรียนทางวิชาการแล้ว ยังไปฝึกหมัดมวยจากครูมวยต่อไปอีก
วันหนึ่งอาจารย์ที่สถานศึกษาก็มาพบกับเฉินอู่เพื่อแนะนำว่า หากมิต้องการให้เฉินอวี้ช่วยเหลือกิจการทางบ้าน ก็สมควรพาบุตรไปฝากตัวกับข้าราชการ หรืออาจารย์ในวังหลวงเพื่อเตรียมตัวเข้ารับราชการต่อไป แต่ความคิดของเฉินอู่ที่ยังยึดติดอยู่กับลำดับชั้นในครอบครัว จึงไม่ต้องการให้บุตรคนเล็กเติบโตอย่างรวดเร็วจนอาจล้ำหน้าพี่ชายทั้งสี่คนจึงให้เฉินอวี้ย้ายสำนักการศึกษาไปยังสำนักที่ได้รับการยกย่องว่ามีบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งเท่าที่ดูเฉินอวี้มิได้มีความเห็นคัดค้านอะไร ยังคงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างดี ผู้เป็นบิดาจึงสรุปเอาเองว่าบุตรชายว่านอนสอนง่าย
เฉินอู่ถ่วงรั้งการศึกษาของเฉินอวี้ไว้จนกระทั่งเฉินอีจิ้งบุตรชายคนรองรับราชการไปได้สองปี จึงพาไปที่บ้านของหยางจงจินผู้เฒ่าแห่งเมืองลั่วเพื่อแนะนำตัว
แต่บิดามิได้ฝากให้เขาร่ำเรียนอยู่ที่บ้านของท่านผู้เฒ่าหยางหรืออาจารย์ท่านใด เพียงแต่พาไปแนะนำตัว จากนั้นก็พากลับมาบ้านเพื่อให้ท่องตำราอยู่ตามลำพัง
ตรงข้ามกับเมื่อครั้งที่เฉินอีจิ้งพี่ชายคนรองจะเข้ารับราชการ เฉินอู่ผู้เป็นบิดาสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยพาไปขอคำแนะนำจากข้าราชการหลายคน จากนั้นก็พามาฝากตัวรับใช้และศึกษากับผู้เฒ่าหยาง เมื่อสอบเข้ารับราชการได้ก็ซื้อบ้านเล็ก ๆ ให้หลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสำนักงานที่เขาได้รับการบรรจุให้ทำงาน ทั้งว่าจ้างแม่สื่อเพื่อเลือกหาสตรีให้กับบุตรชาย
เฉินอวี้มักบอกกับตนเองว่ามิได้คาดหวังว่าบิดาจะสนับสนุนเขาเท่าเทียมกับพี่รอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็ยังไกลจากความคาดหวังในระดับที่น้อยที่สุดอยู่ดี
ดังนั้นหลังจากที่เข้ารับราชการได้แล้ว เขาจึงยิ่งกดดันตนเองมากขึ้น เพื่อที่จะแสดงให้บิดาเห็นว่า ต่อให้ถูกบิดาวางไว้ในลำดับสุดท้าย แต่เขาก็ยังสามารถอยู่เหนือกว่าพี่ ๆ ได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ การผลักดันแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากบิดา ยังทำให้เฉินอวี้เหินห่างจากครอบครัว และหันไปยึดติดกับคนผู้หนึ่งอย่างเหนียวแน่น
ถัดจากปัญหาในครอบครัวของเฉินอวี้ เรื่องที่สมควรกล่าวถึงในลำดับต่อไปคือ ผู้เฒ่าหยางจงจิน ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้รอบรู้หลากหลายสาขา และอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หากเกิดความขัดแย้งใด ๆ แล้วคิดไปขอรับการสนับสนุนจากผู้เฒ่า สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มและกำลังใจในการทำงานต่อไปเท่านั้น
ตำแหน่งผู้แทนของเมืองลั่ว มิใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โต แต่ความที่ไม่มีศัตรูก็ทำให้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยต่อเนื่องตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาจนถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และการที่เฉินอวี้ติดตามบิดาไปที่บ้านของท่านผู้เฒ่าหยางในวันหนึ่งก็ทำให้ได้พบกับคนผู้นั้น
บ้านของท่านผู้เฒ่าหยางปลูกสร้างในแบบของบ้านเรือนของเมืองลั่ว คือจะเป็นบ้านพักหลายหลังที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน ขณะที่พ่อลูกกำลังรออยู่ที่เรือนหลังใหญ่ด้านหน้า เฉินอวี้ก็รับรู้ว่ามีเงาร่างเคลื่อนไหวอยู่ที่ด้านบนของขื่อหลังคา เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปจึงพบชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างใต้หลังคานั้น
ช่างเป็นเรื่องน่าขัน ที่คนรูปร่างเช่นนั้นขึ้นไปอยู่บนที่สูงทั้งคับแคบ แต่พอหันไปสะกิดเรียกบิดาให้ดู คนผู้นั้นก็หายไปแล้ว
...เฉินอวี้ไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งตั้งแต่วันนั้น ถูกจับตัวเอาไว้แล้วปล่อยไปหลายครั้ง ถูกหลอกลวงอีกหลายครา สูญเสียไปทั้งเลือดและน้ำตา แต่ท้ายก็ยังคงยึดมั่นอยู่ที่คนผู้นี้อย่างมั่นคง
แต่หากรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง จะไม่สนใจคนผู้นั้นได้หรือ
ไม่หรอก...ต่อให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฉินอวี้ก็ยังคงเต็มใจที่จะตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งผู้นั้นอยู่เช่นเดิม...
นับจากวันที่ได้พบกันครั้งแรก เฉินอวี้เก็บความสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่อยู่หลายวัน ในที่สุดก็พบคนผู้นี้เดินปะปนอยู่กับผู้อื่นในตลาดใกล้บ้าน เมื่อตอนที่เห็นอยู่บนขื่อบ้านของท่านผู้เฒ่าหยางก็เห็นว่าคนผู้นี้ตัวใหญ่ยิ่งนัก แต่เมื่อมาเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ก็ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำจนโดดเด่นสะดุดตา เพียงแต่เมื่อไล่ตามมาจนถึงหัวมุมถนน คนผู้นี้กลับลับหายไป
เป็นการหายไปที่เหมือนกับหายไปในความว่างเปล่าของอากาศ...
เมื่อพบกันแล้วครั้งหนึ่งก็ย่อมมีครั้งต่อ ๆ ไป แต่เฉินอวี้มักสรุปเอาเองว่าเป็นเหตุบังเอิญ เนื่องเพราะทุกครั้งที่พบก็คือคนผู้นี้กำลังเดินจากไป หรือไม่ก็กำลังก้มหน้าก้มตาทำการงานบางอย่างอยู่ ไม่เคยมีคำทักทาย หรือแม้แต่หันมาสบตากันเหมือนในวันแรก และอีกหลายหนที่เฉินอวี้คิดว่าเงาร่างสูงใหญ่ที่พบเห็นคือคนผู้นั้น แต่เมื่อหันไปมองซ้ำเงาร่างนั้นก็หายไปแล้ว
มาถึงวันหนึ่งเฉินอวี้ที่เดินออกจากบ้าน ก็พบว่าตนเองกำลังเหลียวมองหาคนผู้นี้ไปตลอดเส้นทางจนกระทั่งถึงสถานที่ประกาศผลการสอบ
ในวันที่ต้องรายงานตัวต่อเสนาบดีฝ่ายขวาติงกั๋วหลง เพื่อจัดสรรไปทำหน้าที่ในกรมกอง เกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปมาก เมื่อองค์ฮ่องเต้เสด็จมา
สายพระเนตรที่มองมายังตนเอง ทำให้เฉินอวี้รู้ตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายเกลียดชังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรับสั่งในวันนั้น
"ในเมื่อพวกเขามีความสามารถยอดเยี่ยม ทั้งพลังสมองและพลังร่างกาย ดังนั้นก็ให้พวกเขาไปฝึกกับทหารใหม่ที่กองทัพฝั่งตะวันตกสักครึ่งปี จากนั้นค่อยมารับการอบรมงานราชการอีกสักครึ่งปี แล้วค่อยมาคัดเลือกว่าพวกเขาเหมาะกับงานใด"
นี่หมายความว่ากลุ่มผู้ที่ทำคะแนนยอดเยี่ยมทั้งห้าคนจะเริ่มงานช้ากว่าผู้อื่นไปครึ่งปี
เฉินอวี้ที่กดดันตนเองให้ต้องอยู่เหนือกว่าพี่ชายทั้งหมดรู้สึกร้อนใจ แต่ก็ต้องข่มใจไม่แสดงออกมาว่ารู้สึกเช่นใด
เมื่อเดินทางกลับมาถึงที่พัก เพื่อแจ้งว่าจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางในอีกครึ่งเดือน ทุกคนในครอบครัวต่างพากันเป็นกังวล โดยเฉพาะเมื่อพี่รองเฉินอีจิ้งตั้งข้อสังเกต
"ในพวกเจ้าห้าคนมีใครที่อยู่ในสกุลของผู้สนับสนุนบรรดาอดีตเจ้าชายที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วบ้างหรือไม่"
เฉินอวี้ส่ายหน้า หากในกลุ่มมีคนผู้นั้นอยู่จริงก็นับได้ว่าเป็นคนที่มีขวัญกล้าแข็งอย่างยิ่ง ถึงได้เข้ามาสอบรับราชการในฮ่องเต้พระองค์นี้
"ต้องมีใครคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้าห้าคนที่ขัดพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้"
แต่หลังจากที่พากันเป็นกังวลอยู่ครึ่งวัน ทุกคนก็กลับมาให้กำลังใจเขา เพราะที่กังวลกันนั้นหาใช่เรื่องความยากลำบาก แต่เกรงว่าจะถูกกลั่นแกล้ง หรือหากถูกรวมกลุ่มไปอยู่กับผู้ที่ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยคนนั้นแล้วอาจจะอายุสั้นได้
เฉินอู่ผู้เป็นบิดากล่าวสรุปว่า "ไม่ได้สอนให้เอาตัวรอดทิ้งเพื่อนพ้อง แต่หากรู้ว่าเป็นผู้ใด ก็ควรให้กำลังใจกันทำหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มแข็ง หากมีผลงานที่ดี เรื่องที่พระองค์ไม่พอพระทัยอยู่ก็อาจจะบรรเทาลงไปได้"
และในคืนนั้นเอง ที่ผู้ซึ่งเป็นเหตุของทุกเรื่องราวก็ปรากฎตัวขึ้นในห้องนอนของเขา
นั่นคือหลังจากที่ปลอบโยนและให้กำลังใจมารดาที่เป็นกังวลอย่างยิ่งที่เขาต้องติดร่างแห เสียเวลาที่จะได้เริ่มต้นการทำงานไปปีหนึ่ง จนกระทั่งมารดาเข้านอนแล้วเฉินอวี้กลับมาที่ห้องพัก ขณะที่กำลังจะเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่อหันกลับมาคนผู้นี้ก็มายืนอยู่ข้างหลัง โดยที่ไม่ได้ยินทั้งเสียงประตู และเสียงฝีเท้า
"ขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน"
ต่อให้การปรากฎตัวครั้งนี้จะน่าตกใจ แต่หลังจากที่มองเห็นผ่านไปผ่านมาอยู่หลายวัน เฉินอวี้แน่ใจว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ภูติผีปีศาจ นิ้วมือสวยชี้ไปที่เก้าอี้ในห้อง "นั่งคุยกันก่อนไหม"
ตลอดวันนี้เฉินอวี้ต้องข่มใจรับแรงกดดันจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย จนมาถึงเรื่องนี้ก็เพียงควบคุมลมหายใจ และรอให้อีกคนกล่าวขึ้นมาก่อน
แต่เทพเสือโคร่งภูผามองว่านั่นคือการแสดงออกของคนใจเย็น
"ไม่โกรธ ไม่ตกใจเลยหรือ" ที่จู่ ๆก็มีคนตัวใหญ่ ๆ โผล่ขึ้นมากลางห้อง
"คุยกันก่อนแล้วค่อยทำแบบนั้นก็ได้"
เทพเสือโคร่งภูผา ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนคร้านที่จะนับแล้วว่ามีอายุเท่าใดกันแน่ คิดเข้าข้างตนเองว่านี่คือคนที่ตนจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้
"ยิ้มอะไร" เฉินอวี้รินน้ำชาให้ผู้อาวุโสกว่า
"นอกจากเจ้าจะเป็นคนรูปงาม เจ้ายังเป็นคนใจเย็นมาก"
เฉินอวี้เลิกคิ้วสูงด้วยแน่ใจว่าตนเองมิใช่คนใจเย็น และกำลังถูกเข้าผิด "เพราะเป็นคนคนรูปงามและใจเย็น ท่านจึงยิ้มให้หรือ"
"เพราะเป็นเจ้าต่างหาก เจ้าทำให้ข้าอยากยิ้มทั้งวัน"
เฉินอวี้คลี่ยิ้มจาง ๆ รู้สึกถึงความตึงเครียดที่ลดลงทีละน้อย "ข้าคือเฉินอวี้"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้าเร็ว ๆ "เสือโคร่งภูผา"
คนรูปงามเอ่ยชมอย่างจริงใจ "ชื่อเหมาะสมกับตัวเองมาก ท่านมาจากที่ใด พักอยู่ที่ไหน"
"ข้ามาจากป่าสีทองเมืองลั่ว"
ดวงตาที่มองมาบ่งบอกว่าไม่เชื่อ
"ปกติข้าจะพักอยู่ที่อารามหลวง เพราะเป็นที่กว้างขวาง สงบเงียบ จะไปจะมาก็ไม่มีใครรู้" นี่ถึงจะไม่ได้ถาม แต่ก็อยากบอกให้ทราบ "แต่ที่วันนั้นพบกันที่เรือนของหยางจงจินก็เพราะจะไปหาหนังสือเก่า แต่พบเจ้า ก็เลยขอเฝ้ามองเจ้าอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้ทำให้ลำบากใจใช่หรือไม่"
ชายหนุ่มสะดุดหูที่เสือโคร่งภูผาเรียกผู้เฒ่าหยางด้วยชื่อเต็ม แต่กลับสนใจเรื่องหนังสือมากกว่า
"ท่านหาหนังสืออะไร"
"เป็นหนังสือเกี่ยวกับเมืองโพ้นทะเล จำได้ว่าครอบครัวเมืองลั่วเคยได้มาเมื่อหลายปีก่อน ก็ว่าจะไปยืมมาอ่านสักหน่อย"
เฉินอวี้ลุกขึ้น แล้วเรียกให้เดินตามมา
บ้านสกุลเฉินพ่อค้าผ้าไหมแห่งเมืองหลวง ไม่ได้มีห้องสมุดใหญ่โต แต่ที่ห้องทำงานของเฉินอู่ มีตู้หนังสือเล็ก ๆ เฉินอวี้เดินตรงไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา แล้วพลิกให้ดูที่หน้าปก
"เล่มนี้หรือ"
ว่าที่จริงเรื่องราวผ่านไปนานมาก เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้ต้องการหนังสือแล้ว แต่ยังต้องการพูดคุยกับอีกคนให้นานอีกสักหน่อย
"ใช่"
"งั้นกลับไปคุยกันข้างนอก" เฉินอวี้มองผ่านไปทางด้านหลัง เห็นคนรับใช้ผู้หนึ่งกำลังลอบมองมาจากด้านหลังประตู
เมื่อจะมีคนลอบมอง ก็พาออกไปนั่งคุยกันที่สวนด้านนอกเสียเลยดีกว่า
แม้จะเป็นเวลาค่ำแล้ว แต่ในเรือนของพ่อค้ายังมีคนที่ทำงานอยู่ในตึกด้านหน้า เฉินอวี้จึงพาไปยืนคุยกันที่สวนด้านหน้าตึกพักของตนเองและพี่ชายที่ยังไม่ได้ออกเรือน
"ทำไมถึงบอกว่าท่านทำให้ข้าเดือดร้อน"
"เพราะข้าไปขัดใจฮ่องเต้ในเรื่องของเจ้า ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย ส่งพวกเจ้าไปกองทัพฝั่งตะวันตก"
สำหรับเฉินอวี้แล้ว การไปที่กองทัพที่เมืองตะวันตกมิใช่เรื่องใหญ่ แต่หากสิ่งที่คนที่เรียกตนเองว่าชื่อเสือโคร่งภูผากล่าวมาเป็นความจริง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้เพื่อนอีกสี่คนต้องเดือดร้อนไปกับการฝึกที่ไม่จำเป็นนี้
...และทำให้โอกาสในการก้าวหน้าในงานราชการล่าช้าไปด้วย...
"ขัดใจฮ่องเต้ในเรื่องของข้าด้วยเรื่องอันใด"
เพราะยังไม่อยากแยกจากกันไปโดยง่ายแท้ ๆ เชียวที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาสารภาพเรื่องที่คอยเฝ้ามองอีกฝ่ายมานานหลายเดือน จนกระทั่งฮ่องเต้มาพบเข้า
เล่ามาถึงตรงนี้เฉินอวี้ก็พอจะเดาออกว่า ฮ่องเต้พอพระทัยคนผู้นี้ ส่วนคนผู้นี้จะคิดอย่างไรกับตนเอง เฉินอวี้ยังไม่กล้ารับไว้ แต่คิดว่า นี่คือผู้ที่สามารถเดินทางไปได้ทุกหนทุกแห่งโดยไม่ถูกพบเห็น ไม่ว่าจะในวังหลวง หรือเรือนท่านผู้เฒ่าหยาง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาย่อมมิใช่คนธรรมดา
...แต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจโดยง่าย
"ขอบใจที่รู้สึกดีต่อข้า" เฉินอวี้ส่งหนังสือให้ "รับหนังสือเล่มนี้ไป แล้วอย่ามาตามเฝ้าข้าอีก"
เทพเสือโคร่งภูผาคลี่ยิ้ม "แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้อยากได้มันแล้ว...อวี้เอ๋อร์"
"เช่นนั้น ท่านต้องการอะไร" นี่เป็นคนแรกที่เรียกเขาว่าอวี้เอ๋อร์ ทำให้รู้สึกแปลกหูจนต้องอมยิ้มเล็ก ๆ
"ข้าต้องการเจ้า" คนตัวใหญ่ก้มลงมาจูบที่มุมปากแล้วหายวับไปต่อหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้สติเฉินอวี้หันไปมองรอบตัว
คนผู้นั้นหายไปต่อหน้าต่อตาจริง ๆ แต่เฉินอวี้กลับจดจำเรื่องนี้ได้ไม่รู้เลือน
ในวันถัดมาเฉินอวี้พบหนังสือเล่มเล็กที่บันทึกเคล็ดวิชา กับยาขวดเล็กสีน้ำตาลที่มีข้อความกำกับว่าให้กินวันละเม็ดวางไว้ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน
ไม่มีเหตุผลใด ๆมารองรับความเชื่อ แต่เฉินอวี้ก็เชื่อว่านี่เป็นของที่เสือโคร่งภูผานำมาวางไว้
เมื่อฝึกวิชาโดยผสานเคล็ดวิชาตามที่หนังสือที่ระบุไว้ และกินยาวันละเม็ดที่สั่ง ก็พบว่ามีขุมกำลังที่เข้มแข็งสายหนึ่งสนับสนุนลมปราณ ส่งเสริมให้วรยุทธ์ก้าวหน้าขึ้น ฝีเท้ารวดเร็ว และไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยโดยง่าย
...เป็นเวลาอีกนานหลายปีที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย และไม่ว่าจะเดินทางไปที่แห่งใดในไท่ชาง เมื่อครบกำหนดเวลาเฉินอวี้จะพบยาขวดใหม่มาวางเปลี่ยนให้เสมอ จนกลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในวันที่ต้องอยู่ก้าวเดินอยู่ตามลำพัง ว่าแท้ที่จริงมิได้อยู่ตามลำพัง ยังมีเจ้าของยาขวดนี้ที่คอยเฝ้ามองอยู่จากที่ใดที่หนึ่ง...
เพียงแต่ตลอดเวลาครึ่งเดือนหลังจากที่ได้รับยาขวดแรกจนถึงวันเดินทาง เฉินอวี้ไม่ได้พบกับเทพเสือโคร่งภูผาอีกเลย ไม่ว่าจะมองหาอย่างไรก็ไม่เห็น เงาวูบไหวที่เคยมองเห็นจากหางตาก็ไม่มี
"ไหนบอกว่าไม่อยากได้หนังสือแต่อยากได้คน ที่แท้ก็ดีแต่พูด" เฉินอวี้บ่นกับตัวเอง
กล่าวถึงสหายอีกสี่คนในรุ่นเดียวกันของเฉินอวี้ หากเรียงตามลำดับอาวุโส จะได้แก่ อู่ติ้งเกา ซุนไป่ซื่อ เฉินหรุ่ย และสีจิ้นอัน ทั้งหมดมาจากครอบครัวของขุนนาง ทำให้เฉินอวี้ไม่เพียงอายุน้อยที่สุด แต่ยังเป็นผู้เดียวที่มาจากครอบครัวพ่อค้า
แต่ครอบครับพ่อค้าสกุลเฉินก็นับเป็นสกุลใหญ่พอตัว พี่ชายสามคนของเฉินอวี้คือพี่ใหญ่ พี่สาม และพี่สี่รับสานต่องานการค้าจากบิดา ส่วนพี่ชายคนรองแม้จะเป็นข้าราชการในระดับล่าง แต่เจ้าตัวก็มิได้เดือดร้อนและมีความสุขกับครอบครัวเล็ก ๆและบ้านหลังเล็กที่อยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ไปหลายช่วงถนน
แม้จะไม่ค่อยพอใจฐานะของตนเองในครอบครัวสักเท่าใด แต่เฉินอวี้ก็ยอมรับว่ากำลังใช้อำนาจเงินของบิดา และชื่อเสียงของพี่รองในการผูกมิตรกับสหายเหล่านี้ รวมไปถึงกลุ่มทหารที่จะต้องออกเดินทางไปด้วยกัน
จนมาถึงวันที่จะต้องออกเดินทาง บิดาและมารดาส่งเขาได้เพียงแค่หน้าบ้าน ขณะที่พี่รองเฉินอีจิ้งเดินมาส่งเขาถึงจุดนัดหมาย
บรรดาพลทหารที่เห็นครอบครัวขุนนางกลุ่มใหญ่ยกขบวนมาส่งกลุ่มคุณชายสี่คนแล้วพากันนึกดูหมิ่นอยู่ในใจ ว่าที่แท้ก็ยังคงเป็นคุณชายที่ถูกพะนอเอาใจ
ส่วนคุณชายเฉินจากร้านผ้าไหมผู้นี้ก็คงมิเท่าไหร่เช่นกัน เพราะคนที่มาส่งก็คือบุตรชายคนรองของครอบครัว ทั้งเป็นข้าราชการระดับล่างที่สมถะเป็นอย่างยิ่ง
ต่อให้มีผลการสอบโดดเด่นเพียงไร แต่ที่แท้ก็คุณชายเล็กปลายแถวที่ถูกครอบครัวละเลย
เมื่อถึงกำหนดเวลา เฉินอวี้ก็เข้าร่วมกับกลุ่มทหาร และเสมียนกองทัพรวมห้าสิบคนออกเดินทางไปที่เมืองฝั่งตะวันตก
เมื่อกลับมาถึงบ้านเฉินอีจิ้งรายงานกับบิดา และมารดารอง ว่าเฉินอวี้หาใช่น้องเล็กของบ้านอีกต่อไปแล้ว
"ที่ผ่านมาน้องอวี้ก็ไม่เคยทำตัวเป็นน้องเล็ก เมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มบัณฑิตและทหาร แม้จะอายุน้อยที่สุด แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่และเยือกเย็นกว่าทุกคน ถ้าเรามัวแต่ฟูมฟายกันอยู่อย่างนี้ จะสนับสนุนให้เขาเติบโตได้อย่างไร"
พี่รองของบ้านสกุลเฉินร้านผ้าไหมรับรู้ว่ามีสายตาดูหมิ่นอยู่รอบตัว แต่เฉินอวี้ที่เยือกเย็นมองข้ามสายตาเหล่านั้น และมุ่งมั่นอยู่ที่การฝึกที่รออยู่ข้างหน้า
"ในวันหนึ่งเขาต้องมีตำแหน่งที่ใหญ่โตอย่างแน่นอน" พี่รองกล่าวอย่างมั่นใจ
ที่เมืองฝั่งตะวันตก อู่ติ้งเกา ซุนไป่ซื่อ เฉินหรุ่ย สีจิ้นอัน และเฉินอวี้ ถูกจัดให้เข้าพักในโรงนอนซึ่งเป็นห้องโล่ง จัดวางเตียงนอนเรียงยาวด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะทำงานและตู้เก็บของใช้ส่วนตัว
อู่ติ้งเกาที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของกลุ่ม ย่อมเลือกเตียงนอนด้านในสุดของห้อง เขากล่าวขึ้นโดยที่ไม่มีผู้ใดไต่ถาม "บิดาของข้ารู้จักกับรองแม่ทัพของที่นี่"
อีกสี่คนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ แต่ยังมิทันที่จะเอ่ยปากขอบใจ อู่ติ้งเกาก็กล่าวขึ้นอีก "บิดาของข้าคิดว่า การที่พวกเราต้องมาฝึกอะไรที่นี่ อาจเพราะเมื่อครั้งที่ไปล่าสัตว์กับฮ่องเต้ครั้งล่าสุดแล้วท่านไปยิงจิ้งจอกที่องค์ฮ่องเต้หมายตาไว้ ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย"
ซุนไป่ซื่อกล่าวขึ้นบ้าง "ท่านอาของข้าเป็นรองแม่ทัพผู้คุ้มกันขบวนหยกล้ำค่ามาจากเมืองทางฝั่งตะวันตก แต่ระหว่างทางถูกโจรปล้น แม้จะรักษาของไว้ได้ครบทุกชิ้น แต่ก็สูญเสียคนไปหลายคน ทั้งเมื่อมาถึงพบว่าหยกชิ้นหนึ่งมีตำหนิ แม้พระองค์จะไม่ถือโทษ แต่พวกเราก็คิดว่า นี่อาจเป็นการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆของพระองค์"
เฉินหรุ่ย นั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่สาม "สามเดือนก่อนมีนางข้าหลวง มาติดต่อให้น้องหญิงของข้าให้เข้าไปรับใช้องค์ฮองเฮา แต่นางไม่ได้เข้าไป "
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับคำกล่าวนี้
"นางเพิ่งอายุสิบสี่ปี ทั้งไม่เคยเข้าเฝ้าพระองค์มาก่อน บิดาของข้าเองรับราชการในตำแหน่งตุลาการก็ไม่เคยเข้าเฝ้าพระองค์ จู่ ๆ มีนางข้าหลวงมาที่เรือน ทุกคนจึงคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ผลการสอบสวนต่อมาพบว่านี่เป็นความจริง ก็...อาจเป็นเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยได้เช่นกัน"
สีจิ้นอันกระแอมไล่ลมในลำคอ "ในข้อสอบเกี่ยวกับการปกครอง ข้าวิจารณ์การปกครองหัวเมืองที่ค่อนข้างรุนแรงเกินไปสักหน่อย"
จากนั้นทุกคนก็หันมามองหน้าเฉินอวี้ที่ได้แต่เกาหน้าผากตนเอง เพราะไม่แน่ใจว่าสามารถบอกเล่าเรื่องที่เทพเสือโคร่งภูผาบอกมาได้หรือไม่
"พี่ชายข้าเป็นข้าราชการระดับล่างอยู่ในกองวัง เคยเข้าเฝ้าครั้งเดียวเมื่อสามปีก่อน ส่วนบิดาของข้าขายผ้าไหม ก็เคยถวายผ้าให้กับพระสนม..."
อีกสี่คนพากันส่ายหน้า แน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องนี้
"เจ้าต้องติดร่างแหมากับพวกเราทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ขอโทษด้วย"
"ไม่ ๆ" เฉินอวี้ รีบโบกมือ "พวกเราอาจทำอะไรที่ผิดพลาดไป โดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้"
ผู้อาวุโสน้อยที่สุดพยายามชี้แจง แต่อู่ติ้งเกาผู้เป็นพี่ใหญ่ชิงกล่าวตัดบท "พ่อค้าผ้าไหม กับพนักงานกองวังจะทำอะไรที่ไปขัดพระเนตรพระกรรณได้"
"น้องอวี้แซ่เดียวกับข้าไง" เฉินหรุ่ยโพล่งขึ้นมา ทำให้ทุกคนยิ่งพากันเวทนาน้องเล็กของกลุ่มมากกว่าเดิม
"พระองค์คงไม่ได้คิดบัญชีแบบรวบยอดเช่นนั้นกระมัง"
ทรงเป็นฮ่องเต้แห่งไท่ชาง จะคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้นได้อย่างไร
"แต่ตอนนี้พวกเราก็มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว และหากไม่เพราะท่านอู่ พวกเราอาจต้องไปนอนในโรงนอนหลังเก่ากับพวกพลทหารแล้วก็เป็นได้" สีจิ้นอันกล่าวขึ้น
นับจากวันนั้น เฉินหรุ่ยก็มักจะนับญาติเรียกเฉินอวี้ว่าน้องอวี้และคอยดูแลดั่งเป็นน้องชายคนเล็กอยู่เสมอ ด้วยรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องชดใช้ให้กับอีกฝ่าย ขณะที่เฉินอวี้ได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกผิดนั้นไว้ในใจ
ที่สำคัญก็คือ จะเชื่อคำพูดของคนพูดนั้นได้สักครึ่งหนึ่งหรือไม่
เมื่อทั้งหมดเข้าไปรายงานตัวต่อแม่ทัพตะวันตกหลิวจิ้ง เรื่องราวก็พลิกผันออกไปอีกครา เมื่อแม่ทัพให้บรรดาคนรับใช้ทั้งหมดออกไปจากห้องก่อน
"เฉินอวี้" แม่ทัพหลิวจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
"ขอรับ"
"รู้จักกับฝ่าบาทมานานแล้วหรือ"
เฉินอวี้งุนงง "ข้าน้อยเคยเข้าเฝ้าฯ ครั้งเดียวก็ตอนที่ไปรายงานตัวกับท่านเสนาบดีฝ่ายขวาขอรับ"
แม่ทัพตะวันตกลูบเครายาว "งั้นก็น่าแปลกมาก เพราะก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึง ข้าได้รับพระบรมราชโองการให้เข้มงวดกับเจ้ามากสักหน่อย"
....เข้มงวดหรือ เฉินอวี้กำลังคิดไปถึงคำกล่าวของเทพเสือโคร่งภูผาก่อนหน้านี้
ท่าทีครุ่นคิดของอีกฝ่ายทำให้แม่ทัพตะวันตกยิ้มขำ "ตอนที่ได้รับพระบรมราชโองการยังแปลกใจว่า เจ้าไปขัดใจอะไรฝ่าบาท แต่พอเห็นหน้าก็คิดไปว่า หรือเจ้าปฏิเสธที่จะถวายตัวเข้าไปรับใช้ฝ่าบาทในวังหลัง"
ครานี้เฉินอวี้ตกใจจนรีบโบกมือ "ไม่ขอรับ ข้าน้อยเคยเข้าเฝ้าฯ ฝ่าบาทเพียงครั้งเดียว แล้วเรื่องถวายตัวอะไรนั่น ยิ่งเป็นไปไม่ได้"
"ข้าคิดเอาเองน่ะ เพราะคนสกุลเฉินอีกคน เจ้าเฉินหรุ่ยนั่น ก็มีเรื่องที่น้องสาวปฏิเสธจะเข้าไปรับใช้พระสนม ก็คิดว่าหรือเจ้าปฏิเสธที่จะถวายตัวต่อฝ่าบาท ข้าก็แค่ถามไปเพราะมีคนบอกกับข้าว่า เจ้าไม่ใช่คนที่ตกใจอะไรง่าย ๆ"
เฉินอวี้เหลียวมองไปรอบตัว จากนั้นก็กลับมาสงสัยตนเองอีกคราว่า เพียงแค่คำจำกัดความว่า ไม่ใช่คนที่ตกใจอะไรง่าย ๆ แล้วเหตุใดถึงคิดไปถึงคนผู้นั้น แต่หากไม่ใช่คนผู้นั้นแล้วจะเป็นใคร
ความคิดนี้ยังไม่ทันจะสิ้นสุดผู้อาวุโสกว่าก็เฉลยขึ้นมาเสียก่อน
"เขาไปแล้ว แค่แวะมาบอกว่า เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขา แล้วก็ฝากให้ข้าอย่าได้ตึงมือกับเจ้ามากนัก"
"เรื่องนี้...." เฉินอวี้มีคำถามมากมาย
"ข้ารับปากได้แค่ว่า ข้าจะทำตามหน้าที่ หากเจ้าทำผิดกฎทหารก็จะถูกลงโทษอย่างทหาร"
"ท่านแม่ทัพขอรับ...." นี่คือคำถามที่เขาอยากรู้มากที่สุด "ท่านรู้จักเขามานานแล้วหรือขอรับ"
แม่ทัพตะวันตกหลิวจิ้งตอบยิ้ม ๆเช่นเดิม "ก็นานเท่ากับอายุของข้านี่แหละ บุญคุณของเขาต่อข้าและครอบครัวยิ่งใหญ่ชนิดที่ต่อให้ตายแทนอีกสิบครั้งก็ชดใช้ให้ไม่หมด และเจ้าเป็นคนแรกที่เขาออกปากขอให้ข้าดูแล"
แม่ทัพตะวันตกรู้ว่าเฉินอวี้เป็นกังวลเรื่องใด "วางใจเถอะ เขาเพียงมาบอกว่า เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าถูกส่งมาที่นี่ และรู้เรื่องพระบรมราชโองการ ทั้งรู้ว่าเจ้าจะไม่ร้อนใจทั้งสองเรื่อง แต่เขาร้อนใจมาก"
เฉินอวี้เอียงคอคิดในใจ
....รู้ว่าข้าไม่ได้สนใจทั้งเรื่องที่ต้องมาที่นี่ และไม่ได้คิดอะไรหากต้องถูกจับตาอย่างเข้มงวด แต่กลับมาร้อนใจเรื่องข้า ทั้งในเวลาเดียวกันก็มีเรื่องให้ต้องเร่งรีบมากถึงขนาดที่แวะมาฝากคนไว้กับผู้อื่น โดยที่ไม่ได้พบหรือคุยกันสักคำ
....คนผู้นี้เข้าใจยากจริง...
"ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านเชื่อเรื่องป่าสีทองแห่งเมืองลั่วหรือไม่ขอรับ"
"นั่นขึ้นอยู่กับเจ้า ว่าจะมองที่นั่นในแบบไหน สำหรับข้า นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมควรแตะต้อง เพราะผู้ที่อยู่ที่นั่นเขาเป็นพวกขี้หวง" แม่ทัพตะวันตกยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี "หวงทั้งป่าผืนนั้น คน และสิ่่งของต่าง ๆ ที่เป็นของเขา"
...จบบทที่สิบหก...ขอบคุณมากครับ