End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60  (อ่าน 47569 ครั้ง)

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0           

                  ____________________________________________________________________




นิยายเรื่องนี้เราเคยเอามาที่เล้าแล้วครั้งหนึ่งและเราได้ทำการรีไรย์เนื้อหาในเรื่องไปถึง90% จึงเปิดบล็อคใหม่และลบบล็อคเก่าทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในเนื้อหา


เข้าใจกันก่อน

 1. เรื่องนี้เป็นแนวMpregหรือก็คือแนวผู้ชายท้องได้  ดังนั้นอย่าได้ตกใจหาจะเจอตัวละครตัวใดที่เป็นผู้ชายท้องได้
 2. เรื่องนี้เราแต่งเพื่อให้ความบันเทิงใจ ไม่อยากให้ทุกคนเครียดหรือจริงจังกับเนื้อเรื่อง
 3. หากมีครงไหนที่ผิดพลาด สามารถบอกเราได้เลย
 4. 1เม้นต่อ1กำลังใจนะคะ เพื่อเพิ่มแรงใจในการอัพวนิยาย



 :mew1:
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2017 19:29:15 โดย wavery »

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
«ตอบ #1 เมื่อ02-12-2016 11:47:03 »

ฤดูอะไรที่คุณคิดว่ามันหนาวเหน็บที่สุดบางทีอาจเป็นฤดูหนาวที่มีลงแรงและหนาวจับใจ แต่สำหรับผมก็คงจะเป็นฤดูหนาวเหมือนกัน แต่คงจะเป็นฤดูหนาวที่มีฝนตกลงมาด้วย เพราะมันทั้งหนาวและเดี่ยวดายที่สุด......................................

ความเจ็บปวดของแต่ละคนแตกต่างกัน คุณเคยเจ็บปวดกับเรื่องของอะไรมากที่สุด               
 
แล้วคุณคิดว่าคุณทนต่อความเจ็บปวดที่ว่านั้นได้มากน้อยแค่ไหนกัน
                               
..............................................................................

       
ผมเจ็บปวด เพราะไม่สามารถปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้ ผมทำให้หัวใจของตัวเองต้องบอบช้ำและหายตัวไป ผมพยายามหาเขา เพื่อขอโทษและชดใช้กับสิ่งที่ผมทำผิดไป 



ผมเจ็บปวด เพราะถูกพรากเอาแก้วตาดวงใจไปต่อหน้า เจ็บปวดเพราะคนที่รักที่สุดหักหลัง ผมเจ็บจนไม่อยากมีลงหายใจอยู่อีกต่อไป

_______________________________________________


สารบัญ


:mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2017 20:37:53 โดย wavery »

ออฟไลน์ J029

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
«ตอบ #2 เมื่อ02-12-2016 12:47:44 »

รอจ้า

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
«ตอบ #3 เมื่อ02-12-2016 15:28:19 »

รออ่านจ้า

พลาก ==> พราก

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
«ตอบ #4 เมื่อ02-12-2016 18:45:09 »

รอค่ะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
หยาดฝน



            “คุณหญิงผมขอล่ะอย่าเอาลูกของผมไปเลย.. อึกๆ  ได้โปรดเถอะ คืนแกมาให้ผมเถอะ”   เสียงร้องอ้อนวอนของเด็กหนุ่มลูกครึ่งตัวบางวัยยี่สิบสองปี ร้องไห้กอดขาหญิงวัยลางคนที่มีศักดิ์เป็นแม่ของคนรักของเด็กหนุ่มที่กำลังจะพรากเอาลูกน้อยวัย 1 เดือนไปจากอกของเขาอย่างเลือดเย็น


           “เอามือสกปรกของแกออกไปจากขาฉันนะ ไอ้เด็กเหลือขอ นี่! ฉันบอกให้ปล่อยไง” หญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าราคาแพงพูดขึ้นอย่างขัดใจ เมื่อคนที่หล่อนตราหน้าว่าเหลือขอยังไม่ยอมแม้จะยอมเลิกรา


            “ผมขอร้องอย่าเอาแกไปเลย คืนลูกมาให้ผมเถอะ แกร้องใหญ่แล้วคุณเห็นไหม”  เด็กหนุ่มยังคงร้องอ้อนวอนอย่างไม่ยอมแพ้ ยิ่งตอนนี้เสียงลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงตรงหน้าเริ่มแผดเสียงร้องดังออกมาจนอยากเข้าไปปลอบลูกน้อยจนใจของเขาแทบจะขาด


              “อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ!!” หล่อนว่าพร้อมเอี้ยวตัวหนี เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าพยายามที่จะเขามาอุ้มหลานชายไป


              “ผมขอล่ะ คืนลูกมาให้ผมเถอะ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมพยายามเข้ามาเพื่อเอาตัวลูกชายคืน


              “แกนี่มันพูดไม่รู้เรื่องหรือยังไงกัน!” คุณหญิงว่าอย่างเหลืออด ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนข้างแก้มขาวอย่างแรงทำให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับเซไปด้านข้างหลายก้าว


               "เกล!!”  เสียงของผู้มาใหม่ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังห้องรับแขกของคอนโดที่เขาและคนรักอาศัยอยู่ร่วมกันมาแรมปีจนมีพยานรักตัวน้อยออกมาให้เชยชม แต่ตอนนี้ห้องรับแขกของเรือนหอแสนสุขของเขากลับไม่เป็นดังเช่นทุกวันเมื่อมีคนที่เขาคุ้นหน้าดีเข้ามาเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ในห้อง


               “พี่ชิน” เกล หรือ ไนติงเกล ร้องเรียกคนรักเสียงสั่นอย่างหาที่พึ่งทันทีที่เห็นอีกคนวิ่งเข้ามาในห้อง เช่นเดียวกับ ชิตรัตน์ ที่รีบวิ่งฝ่าผู้ติดตามของมารดาเข้ามาประคองกอดคนรักที่ร้องไห้หน้าแดงอยู่กลางห้อง

                “พี่ชินช่วยเกลด้วย คุณหญิงจะเอาลูกเราไป พี่ชิน เอาลูกคืนมาให้เกลที”   เกลร้องขออย่างคนที่สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกทั้งกายบางที่เริ่มสั่นเทาอย่างน่าสงสารจนชิตรัตน์ต้องรวบเอาคนรักเข้ามากอดปลอบซึ่งการกระทำของทั้งคู่สร้างความไม่พอใจให้คุณหญิงเป็นอย่างมาก

                 “หยุดน้ำเน่ากันสักทีเถอะ ฉันจะอ้วก” หล่อนว่าก่อนจะเดินอุ้มเด็กน้อยออกไปจากห้องอย่างไม่สนใจท่าทีของเกลที่พยายามดันตัวออกจากชิตรัตน์เพื่อเข้าไปขวางไม่ให้คุณหญิงเอาตัวลูกชายเพียงคนเดียวของเขาไป

                 “พี่ชินปล่อยเกลนะ เกลจะไปเอาลูกคืน พี่ชินปล่อย!!” เกลพยายามดันตัวออกมาจากแรงที่รั้งตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถแต่ด้วยสรีระร่างกายที่ไม่เท่ากัน ตนจึงไม่สามารถจะทำในสิ่งที่คิดเอาไว้ได้

                 “พอแล้วเกล อย่าพยายามเลย” น้ำเสียงที่เหมือนคนสำนึกผิดของชิตรัตน์กลายเป็นสิ่งที่ดึงความสนใจของเกลเอาไว้แทน  เกลหันกลับมามองคนรักที่ยังคงกอดเอวของเขาเอาไว้แน่นแต่เพราะอีกคนซบหน้าลงกับช่วงบ่าด้านหลังของเขาทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าชิตรัตน์พูดออกมาด้วยสีหน้าแบบไหน

                 “อย่าพยายาม?” เกลเอ่ยท้วนคำอย่างไม่เข้าใจ

                  “...”

                  “พี่ชินหมายความว่ายังไงที่ว่า อย่าพยายาม นั่นลูกเรานะ เกลจะไปเอาลูกคืนมันผิดตรงไหน !! พี่ชินปล่อยเกลนะเกลจะไปหาลูก” คำขอร้องที่เคยอ้อนวอนอีกคนเปลี่ยนเป็นคำสั่งให้ปล่อยตัวเขาออกจากแรงเหนียวรั้งนั้นแทนพร้อมคำพูดที่ว่าจะไปหาลูกซ้ำไปมาจนชิตรัตน์ทนเห็นสภาพของคนรักเช่นนี้ต่อไม่ไหว

                  “พอแล้วเกล พอแล้ว พี่ขอโทษ” ชิตรัตน์ว่าเสียงอ่อนพร้อมน้ำตาของเกลที่เริ่มไหลออกมาโดยไร้แม้เสียงสะอื้น

                    “ขอโทษ ขอโทษทำไม” เกลว่าอย่างเลื่อนลอยโดยสายตายังไม่ยอมละไปจากบานประตูที่เปิดกว้าง

                  “ต่อจากนี้ เกลต้องอยู่คนเดียวให้ได้นะ พี่จะพยายามพาลูกมาหาเกล    บ่อยๆ”  สิ้นคำของชิตรัตน์นั้นทำให้เกลหันกลับมามองหน้าคนรักอย่างรวดเร็ว ด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาจากปาก

                   “อยู่คนเดียว? พี่ชินพูดอะไรนะครับ อยู่คนเดียวอะไรกัน ไหนพี่ชินเคยบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง” เกลถามเสียงสั่นอย่างไม่อาจยอมรับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น

                   “พี่ขอโทษจริงๆ เกล แต่เพื่อทุกฝ่ายแล้วพี่ต้องทำ เกลเข้าใจพี่นะ”

                   “ไม่ เกลไม่เข้าใจ”  เกลส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมรับเรื่องที่ได้ยินพร้อมผละตัวออกมาจากชิตรัตน์

                    “เกล” ชิตรัตน์เรียกชื่อคนรักอย่างสงสาร แต่กลับเป็นเกลเองที่พยายามเดินหนีมือคู่นั้นที่พยายามยื่นออกมาจับตนเอาไว้อย่างหวาดกลัว

                    “ไม่จริง พี่ชินโกหกเกล พี่ชินเอาลูกไปจากเกล ไม่จริง”

                    “เกล เกลใจเย็นๆ ”  ชิตรัตน์เห็นท่าทีของเกลแล้วเริ่มใจไม่ดีเมื่อเกลเริ่มมีอาการเหมือนคนที่ไม่ยอมรับความจริงอีกทั้งยังพูดย้ำว่าเขานั้นเป็นคนผิด

                     “พี่ชินโกหก ไหนว่าจะอยู่ด้วยกันไงแล้วทำไมถึงให้คุณหญิงมาเอาตัวลูกของเราไปล่ะ ทำไม!!” เกลตะโกนถามเสียงดังอย่างคนไม่อาจควบคุมอามรณ์ของตนเองได้ ทั้งยังไม่ยอมให้ชิตรัตน์เข้าใกล้อีกด้วย

                    “พี่ขอโทษ” คงมีเพียงแค่คำนี้จริงๆ ที่เขาสามารถพูดออกมาได้ในเวลาเช่นนี้ เขาไม่หวังให้เกลรับเอาคำขอโทษของเขาแต่อย่างน้อยเขาก็ขอให้ได้พูดสิ่งที่เขาอยากจะพูดสำหรับการกระทำที่เขาเองเป็นคนตัดสินใจในครั้งนี้

                     “สารเลว.....”

                      !!

                      “สารเลว เลวที่สุด เกลเกลียดพี่ชินได้ยินไหม เกลเกลียดพี่ เกลียดคุณหญิง เกลียดทุกคนที่เอาลูกของเกลไป เกลียด ได้ยินไหมว่าเกลียด!”

                        ชิตรัตน์ชะงักนิ่งไปกับคำพูดที่กรีดกลางหัวใจของเขาอย่างเจ็บแสบ ไม่มีคำพูดใดที่จะทำร้ายจิตใจเขาไปมากกว่าคำว่า เกลียด จากคนที่เรารักได้อีกแล้ว

                        “แต่พี่รักเกล”

                        “แล้วคนที่รักกันเขาทำกันแบบนี้เหรอ” คำพูดอย่างเหลืออดของเกล ทำให้ชิตรัตน์นิ่งค้างไปอีกรอบ

                        “เกลเกลียดพี่ ได้ยินไหมว่าเกลียด ได้ยินไหม!!!! อึก” 

                          “เกล!!”

                         เกลกรีดร้องออกมาก่อนที่จะล้มพับลงไปกับพื้น  ชิตรัตน์ที่มองดูอย่างตกใจรีบปรี่เข้าไปดูอาการคนรักอย่างตกใจพยามยามที่จะอุ้มอีกคนออกจากห้องเพื่อจะพาไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ แต่มันก็เป็นได้เพียงแค่ความคิดเมื่ออยู่ๆ คนติดตามทั้งสองของคุณหญิงผู้เป็นมารดา เข้ามารั้งตัวเขาเอาไว้เสียก่อน

                         "ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อยไง เกล เกล ได้ยินพี่ไหมเกล” ชิตรัตน์ว่าอย่างขัดใจด้วยอาการร้อนรนเมื่อมองดูคนรักที่นอนอยู่กับพื้นอย่างไร้วี่แววว่าจะตอบสนองต่อเสียงเรียกของเขา

                        “ต้องขอโทษจริงๆ ครับ แต่คุณหญิงสั่งมาให้พาคุณชิตรัตน์ไปเดี๋ยวนี้” ผู้ติดตามหนึ่งในนั้นตอบขณะดันให้ชิตรัตน์ออกจากห้องไป

                         “แต่ฉันจะไปดูเมียฉัน ได้ยินไหมว่าปล่อย!!” ชิตรัตน์พยายามดีดตัวออกจากการเหนี่ยวรั้งนั้นเพื่อเข้าไปดูอาการของเกลที่นอนล้มพับอยู่บนพื้น

                         “คุณหญิงบอกว่าให้คุณกลับไปหาท่านเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้อตกลงทุกอย่างถือเป็นอันยุติ”

                          ชิตรัตน์มีท่าทีคิดหนักเมื่ออยู่ๆ อีกคนพูดถึงข้อตกลงระหว่างเขาและคุณหญิงขึ้นมา แต่แล้วยังไงล่ะตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือร่างของคนรักที่อยู่ตรงหน้าเขามากกว่า ชิตรัตน์จึงอาศัยจังหวะที่ผู้ติดตามทั้งสองเห็นว่าเขานิ่งไปจึงลงการ์ดป้องกันลงสะบัดตัวออกมาหมายจะวิ่งเข้าไปดูคนรัก แต่ก็ช้ากว่าคนที่ถูกฝึกมาเพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องแบบนี้ เมื่อชิตรัตน์สลัดหลุดจากอีกคนได้อีกคนที่เหลืออยู่จึงใช้จังหวะที่ชิตรัตน์ไม่ทันระวังตัวฝาดสันฝ่ามือลงไปที่หลังคอของชิตรัตน์อย่างแรงเป็นผลให้ชายหนุ่มสลบกลางอากาศก่อนจะถูกลากตัวออกจากห้องไป

                           ทิ้งไว้เพียงร่างของคนที่นอนอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางห้องที่เมื่อวานยังเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงร่างของเขาเพียงคนเดียวเหมือนเป็นการตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้วคำว่าครอบครัว หลงเหลือเพียงคำว่า ‘เขา’ เท่านั้น


       
____________________________________________________________________


สวัสดีอีกครั้งนะคะ

ฝนกลางฤดูหนาว ฉบับรีไรย์เสร็จสมบูรณ์ครบทุกตอนแล้วนะคะ

เนื้อเรื่องทั้งหมดถูกแก้ไขกว่า90% เพื่อความสมเหตุสมผลมากขึ้นและมีการแก้ไขจุดที่เขียนผิด



ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 21:27:08 โดย wavery »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สงสารเกล ทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 1


             เรื่องราวเลวร้ายในอดีตที่ผ่านมาบางคนอาจปล่อยวางมันไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่อให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข  หรือบางคนเลือกที่จะเก็บมันไว้ให้ลึกสุดของจิตใจเอาไว้เป็นเครื่องเตือนสติเตือนใจ ว่าอย่าทำผิดพลาดอีกหรือกลับไปเจ็บช้ำเพราะสิ่งนั้นอีก แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่สามารถปล่อยวางจากเรื่องราวเลวร้ายในอดีตได้ และเอามันมาทำร้ายตัวเองจนไม่สามารถเยียวยาได้
 
                  ความเจ็บปวดสำหรับคนๆ หนึ่งที่ได้รับมันจะส่งผลไปถึงคนรอบข้างได้จริงๆ หรือ ?  นี่คือคำถามที่เคยวนเวียนอยู่ในหัว  โจนาธาร แอล.ดี. เอลเมอร์ซี่ เคยคิดและหาคำตอบมานานจนได้คำตอบว่า ความเจ็บปวด มันส่งถึงคนรอบข้างแน่นอนและมันเจ็บยิ่งกว่าคนที่เจ็บปวดเองด้วย แล้วอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แบบชาวตะวันตกที่มีเชื้อสายไทยคนนี้ถึงรู้นะเหรอ นั่นก็เพราะเขาต้องเฝ้ามองน้องชายเพียงคนเดียวของเขาจมอยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดเกือบ 5 ปีเต็ม น้องชายที่เขารักและเฝ้าถนอมมาแต่เล็กแต่น้อย น้องของเขา ไนติงเกล ลักษณสกุล หรือ ไนติงเกล แอล.ดี. เอลเมอร์ซี่   น้องเกลที่ยิ้มง่าย ร่าเริงอยู่ตลอดเวลา อยู่ๆ ก็กลายมาเป็นคนเก็บตัวและชอบเหม่อลอย บางทีก็ร้องไห้ออกมาหรือแม้กระทั้งกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

              มันเป็นมาตั้งแต่วันนั้น วันที่เขามาหาน้องที่ประเทศไทยเพื่อมาเยี่ยมน้องชายและหลาน  แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดเมื่อเขามาถึงห้องที่น้องชายอาศัยอยู่ประตูที่ปิดไม่สนิทสภาพห้องที่ข้าวของเกลื่อนกลาดและร่างของน้องชายที่นอนอยู่กับพื้น  มองไปทางไหนก็ไม่พบคนรักของน้องชายที่น่าจะอาศัยอยู่ด้วยกันที่นี้หรือไม่แม้จะได้ยินเสียงร้องของหลานชายวัยแบเบาะ มันเป็นเหมือนเค้าลางร้ายบางอย่างที่กำลังจะบอกใบ้บางสิ่งให้เขารู้ตัว เขาจึงรีบช้อนร่างของน้องชายขึ้นแนบอกแล้วออกจากห้องไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

                 “เกล เกลต้องไม่เป็นอะไรนะ”

...............
.....

               “คนไข้มีอาการช็อกอย่างหนักและเครียดหมอให้ยานอนหลับไปแล้ว อีกสักพักก็คงจะฟื้น”

               อาการของน้องชายที่เขาได้รับรู้จากแพทย์ที่เข้ามาดูอาการเริ่มทำให้เขาวิตกกังวลขึ้นมาว่าอะไรทำให้น้องของเขาช็อกอย่างหนักได้ขนาดนี้  แต่คำตอบของเรื่องราวก็ไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานจนเกินไปเมื่อเขากลับเข้ามาในห้องอีกครั้งหลังจากออกไปสั่งการเรื่องการตามหาน้องเขยและหลานชายที่หายตัวไปก่อนหน้า

              เสียงความวุ่นวายที่ดังลอดออกมาจากห้องพักฟื้นของน้องชายไหนจะเหล่าพยาบาลที่วิ่งวุ่นเข้าออกห้องอย่างจ้าละหวั่นทำให้เขารีบวิ่งเข้าไปยังห้องพักฟื้นทันทีและภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของเขาแทบสลาย

             หลังมือขาวซีดที่โชกไปด้วยเลือดจากการกระชากสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่ออกอย่างแรงจนเลือดไหลท่วม  ใบหน้าซีดเซียวที่ดูแตกตื่นกว่าปกติ ร่างกายที่พยายามสะบัดออกจากการเหนี่ยวรั้งของสองคนสนิทและบุรุษพยาบาลที่เข้ามาใกล้ ทั้งยังร้องเรียกหาบางสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตรงหน้า

             “ปล่อยเกล ปล่อย เกลจะไปหาลูก ปล่อยนะ”

             เสียงร้องเรียกที่ดังซ้ำๆ วนไปมาทำเอาเขาต้องหลับตาหนีไม่อยากรับรู้ความจริงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับน้องชายที่เขารัก แต่เพราะความเป็นพี่ชายที่เขามี เขารักน้องมากและมากเกินที่จะทนเห็นสภาพที่บีบคั้นหัวใจของเขาไหว เขาจึงแทรกตัวฝ่าวงล้อมของเหล่าคนชุดขาวเข้าไปดึงน้องเข้ามากอดไว้แนบอก

             “พี่อยู่นี่แล้วเกล พี่อยู่นี่”
            แรงดิ้นหนีเริ่มเบาลงตามแรงลูบปลอบของเขาที่ลูบไปตามแผ่นหลังเล็ก

             “เกิดอะไรขึ้น บอกพี่ได้ไหม”
             เขาพยายามเอาน้ำเย็นเขาลูบเพื่อหวังว่าน้องของเขาจะใจเย็นลงบาง แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับมา กลับทำให้จิตใจของเขาร้อนเป็นไฟขึ้นมาแทนอย่างห้ามไม่อยู่

              “คุณหญิง....คุณหญิงเอาตาหนูไป...เขาเอาลูกของเกลไป...พี่ชิน...ทรยศ...พี่ชิน..ตาหนู.อะ อ๊ายยยยยยยยยยยย!!!  ปล่อย!!  ปล่อย!! ปล่อยเกล  เกลจะไปหาลูก  ปล่อยสิ ปล่อย ฮืออ ฮือ ...”

               เกลเริ่มกรีดร้องอย่างไม่มีสติอีกครั้ง แต่คราวนี้พยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบนำเข็มฉีดยาที่บรรจุยานอนหลับชนิดรุนแรงเข้ามาฉีดให้เกลอย่างรวดเร็วทันทีที่คนในอ้อมแขนเขาเริ่มอาละวาดขึ้นมา เพียงไม่กี่อึดใจร่างน้อยในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มอ่อนแรงแล้วสงบลงอย่างง่ายดาย แต่นั่นกลับทิ้งความเจ็บปวดที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไว้ในใจของเขาและผู้คนรอบข้าง
และอาการเช่นนี้ก็ยังคงมีปรากฏให้เห็นวนเวียนอยู่เช่นนี้เกือบทั้งสัปดาห์ ก่อนที่เช้าวันหนึ่งน้องจะตื่นขึ้นมาในสภาพที่เงียบซึมไม่ตอบโต้หรือตอบสนองสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นเขาที่เป็นพี่ชายหรือคนสนิทของตัวเองทั้งสองคนที่อยู่เฝ้าไม่ห่างไปไหน เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น ร่างกายของน้องเขากลับผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ  ทำให้เขาตัดสินใจพาน้องออกจากโรงพยาบาลทันทีในวันนั้นแล้วพากลับอังกฤษด้วยกันตามคำสั่งของบิดาทันที


                ทันทีที่ถึงอังกฤษทุกคนในบ้านดูตกใจกับสภาพของคุณหนูคนเล็กของบ้านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมารดาของเขาที่ถึงกับร้องไห้ไม่หยุดเมื่อทราบเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้น ต่างกับบิดาของเขาที่ยังคงสุขุมและไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีเพียงก็แค่เข้าไปกอดลูกชายคนเล็กเอาไว้เงียบๆ แต่เขารู้ดีว่าพ่อของเขาเองก็เสียใจไม่แพ้ใครที่ต้องมาเห็นสภาพลูกชายของตนเช่นนี้  ส่วนพี่ชายคนโตของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรก่อนจะหลบฉากออกไปพร้อมกับพาแม่ของเขาขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องแทน

                วันต่อมาพ่อของเขาพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุอานามมากกว่าน้องชายเขามาในฐานะหมอส่วนตัว และ ปีแอร์ ก็คือชื่อของหมอหนุ่มคนนั้น เขาพอจะเข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาถึงเลือกผู้ชายคนนี้ให้เข้ามาดูแลทายาทคนเล็กของตน เพราะปีแอร์นั้นเป็นคนร่าเริงออกจะทะเล้นนิดๆ แต่ในความคิดเขาว่าไอ้เด็กนี่มันพูดมากชะมัดอย่างน้อยมันก็เก่งพอตัวที่สามารถดูแลน้องของเขาจนอาการเริ่มดีขึ้นตามลำดับแม้จะช้าไปหน่อย จนในที่สุดน้องเขาก็เริ่มพูดคุยกับคนอื่นขึ้นมาบ้าง

             แต่แล้วเหตุการณ์น่าตกใจก็เกิดขึ้นกับพวกเขาอีกครั้ง  วันนั้นเขาพาน้องกลับมาไทยเพื่อตรวจดูการก่อสร้างบริษัทลูกที่นี่ แต่แล้วอยู่ดีๆ เกลที่นั่งนิ่งมาตลอดทางก็วิ่งออกจากรถไปกลางถนนขณะรถกำลังวิ่งพลุกพล่าน จนเป็นเหตุให้รถยนต์อีกคันที่วิ่งมาด้วยความเร็วไม่สามารถเบรกได้ทันชนเข้ากับร่างของเกลอย่างจัง เขายังจำได้ดีว่าน้องต้องเข้าไปอยู่ในห้องไอซียูนานเกือบสัปดาห์กว่าจะออกมาได้ แต่เหมือนโชคชะตายังเล่นตลกไม่เลิก เมื่อแพทย์ออกมาบอกว่าน้องของเขาไม่สามารถเดินได้และต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันการเป็นอัมพาตอย่างถาวร อีกทั้งสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมาแล้วกลับดิ่งลงเหวอีกครั้งและดูท่าว่าจะแย่งลงกว่าครั้งแรกมากด้วย เมื่อน้องเขาเริ่มมีอาการกรีดร้องออกมาบ้างอย่างไม่มีสาเหตุหรืออยู่ๆ ก็ร้องไห้และเริ่มร้องหาลูกชายอีกครั้ง

                “ต่อจากนี้ตุ๊กตาตัวนี้จะเป็น ‘ตาหนู’ ของลูกนะ”   
                นายโจเซฟ ดี.เอลเมอร์ซี่  นั่งลงตรงหน้าลูกชายคนเล็กพร้อมกับส่งเจ้าตุ๊กตากระต่ายตัวขนาดกลางหูยาวสีเทามาตรงหน้าลูกชายคนเล็กที่นั่งเหม่อลอยออกไปยังสวนหลังคฤหาสน์เก่าแก่สไตล์อังกฤษนิยมหลังงามมรดกตกทองของตระกูล โดยหวังว่ามันจะพอเป็นตัวแทนของหลานชายของเขาได้บ้าง ส่วนภรรยาทั้งสองของลูกชายคนโตหลังจากเกิดเรื่องก็ขอย้ายกลับมาอยู่ที่อังกฤษ เพื่อช่วยดูแล    เกลอีกแรงโดยหวังว่าเด็กๆ ที่เป็นลูกของพวกตนจะสามารถช่วยเยียวยาแผลในใจของเกลได้ไม่มากก็น้อย

                จากเหตุการณ์ในครั้งนี้มันทำให้เขาเชื่ออย่างหมดใจว่าสาเหตุที่ทำให้เกลวิ่งออกจากรถไปในครั้งนั้น สาเหตุมันต้องมาจากผู้ชายคนนั้นอย่างแน่นอน หลังโจนา-ธารจัดการเรื่องของน้องชายจนเริ่มเข้าที่เขาทางดีแล้ว ก็เริ่มกลับมาสนใจเกี่ยวกับเอกสารที่ครั้งหนึ่งเขาเคยให้ลูกน้องตามสืบเรื่องราวคนรักของน้องชายอีกครั้งอย่างจริงจัง  ชิตรัตน์  นพเทพสวัสดิคุณ  ชื่อของผู้ชายที่ทำให้น้องของเขาเสียใจ เขาสัญญาว่าจะต้องพาหลานชายกลับมาหาน้องให้ได้และทำให้ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นเจ็บปวดเหมือนที่น้องเขาเป็น เขาสัญญา
 


                 “ธาร  เครื่องจอดเรียบร้อยแล้วนะ”

                เสียงของ ไรอัล คนสนิทและเพื่อนในวัยเด็กร่างผอมโปร่งของเขาที่เดินมาจากห้องเครื่องควบคุมการบินเอ่ยขึ้นกับโจนาธารซึ่งกำลังมองหน้าน้องชายที่เหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิดให้กลับมาอยู่เหตุการณ์ปัจจุบัน ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณคนสนิทก่อนจะลุกไปนั่งยองๆ ข้างๆ น้องชายพร้อมทั้งเอื้อมมือไปกุมมือ เล็กๆ ของเกลไว้

              “เราถึงไทยแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะพาไปที่บ้านของเรากัน เกลจะได้พักผ่อน”  ส่วนคนฟังไม่พูดเอ่ยอะไรทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น

                ภายในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำที่กำลังแล่นอยู่บนถนนใหญ่ใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครที่มีรถมากมายวิ่งสวนไปมาอย่างหน้าเวียนหัว

               “เดี๋ยวพี่จะเข้าไปส่งเราที่บ้านก่อนนะ พอดีพี่ต้องเข้าไปดูความเรียบร้อยของบริษัทสักหน่อย”  ธารเอ่ยขึ้นกับน้องชายที่นั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ส่วนตัว

               “ไปด้วยได้ไหม”  เกลถามกลับ

               “แล้วน้องไม่เหนื่อยเหรอครับ พี่ว่าเราไปรอที่บ้านดีกว่านะ” ธารเสนออย่างเป็นห่วง แต่เกลกลับส่ายหน้าเพื่อยืนยันคำเดิมว่ายังไม่อยากกลับบ้าน

               “งั้นเอางี้ไหม ใกล้ๆ นี้มีสวนสาธารณะอยู่ น้องเกลไปรอที่นั่นดีไหม เดี๋ยวพี่เสร็จงานแล้วจะรีบมารับ”

               ธารลองเสนออีกวิธี ซึ่งเกลเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ธารจึงหันไปสั่งคนติดตามทั้งสามของน้องชายก่อนจะให้คนรถพาทั้งสี่ไปส่งที่สวนนั้นก่อนจะเลยไปบริษัท

              “อย่าอยู่ห่างจากคุณเกลเข้าใจไหม”

              ธารกำชับทั้งสามคนอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถเพื่อไปยังบริษัท แม้จะห่วงน้องอยู่บ้างแต่เพราะเขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำจะให้เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นที่ตั้งนั้นก็คงไม่สมควร

                ลับหลังพี่ชายจอมขี้ห่วงอย่างธารไปแล้ว ชาย และ พล สองหนุ่มวัยสามสิบกว่าบอดี้การ์ดและคนสนิทของเกล ก็เริ่มเข็นวีลแชร์ที่เกลนั่งอยู่ออกเดินไปตามทางที่ทอดยาวของสวนกลางเมืองแห่งนี้ พร้อมเสียงชวนคุยของคนอัธยาศัยดีอย่างปีแอร์ที่จ้อไม่หยุด

                “เกลลี่ ที่นี่อากาศดีเหมือนกันเนอะ ดูสิมีคนแก่มาเต้นรำกับกระบองด้วยเนาะ นั่นๆ ดูโน่นสิ......”
แม้สำเนียงภาษาไทยของปีแอร์จะยังไม่แข็งแรงจนอาจฟังดูแปลกๆ หรือบางครั้งอาจใช้ภาษาไทยผิดไปก็ได้ชายนี้ล่ะค่อยพูดแก้ให้ทำให้บรรยากาศดูไม่เงียบเหงาจนเกินไป

              ในบางครั้งเกลก็หันมองตามทางที่ปีแอร์ชี้ชวนให้มองบ้างเป็นบางครั้ง เขาชอบนั่งอยู่เฉยๆ แล้วให้อีกคนชี้เขาดูนู่นนี่นั่นไปตามทาง เขารู้สึกดีกับบรรยากาศของที่นี้อาจเพราะเป็นที่กว้างคนไม่เยอะมากทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เยอะ จากการที่ต้องนั่งเครื่องบินตรงจากอังกฤษมาที่ไทยนานหลายชั่วโมงด้วยเครื่องบินส่วนตัว

             “นี่ๆ เกลลี่ทำไมถึงไม่ไปรอบอสที่บ้านล่ะ” อยู่ๆ ปีแอร์ก็หันกลับมาถาม  เกลอีกครั้งหลังจากจ้อกับชายมาได้สักพัก

            “ไม่อยากอยู่คนเดียว”

            แต่คำตอบที่ได้ทำเอาคนถามถูกรุ่นพี่ในตำแหน่งเดียวกันหยิกเข้าที่สีข้างอย่างจังเมื่อดันไปถามคำถามที่ทำให้เจ้านายแสนรักของทั้งคู่ตีหน้าศร้าขึ้นมา

            “อยู่คนเดียวอะไรครับพี่กับพลก็อยู่ปีแอร์ก็อยู่ ไม่มีใครปล่อยให้คุณเกลอยู่คนเดียวหรอกครับ” ชายรีบแก้ต่างขึ้นมาทันที

            “ใช่ครับ” ขนาดคนพูดน้อยอย่างพลยังต้องช่วยเสริมเมื่อเห็นว่าเกลเงยหน้าขึ้นไปมอง

             “ใช่ๆ ผมก็อยู่นี่ไง” ปีแอร์รีบเสริมทัพเมื่อเห็นสายตาเชือดเฉือนของพลที่ส่งมาให้

              เกลมองทั้งสามไปมาก่อนจะเผยร้อยยิ้มออกมานิดๆ อย่างพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ถึงจะเล็กน้อยแต่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้คนใต้การปกครองทั้งสามรู้สึกดีตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้



___________________________________________________________



ฉลองสอบเสร็จเลยลัดคิวลงสองตอนแรกให้ก่อนจากจริงๆว่าจะลงวันที่ 20
ต่อจากนี้จะลงประจำทุกวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ นะคะ


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 21:34:43 โดย wavery »

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 2


                  ภายในห้องทำงานผู้บริหาร บริษัทนพเทพ บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ชิตรัตน์ นพเทพสวัสดิคุณ ผู้บริหารวัยสามสิบปีที่พาบริษัทประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยถ้าเทียบกับประสบการณ์การทำงานในแวดวงศ์สังคมธุรกิจ    ชิตรัตน์กำลังนั่งเคร่งเครียดกับเอกสารที่ตนให้ แก้วกล้า เลขาคนสนิทเป็นคนรวบรวมให้

                 “มันเป็นไปไม่ได้ อยู่ๆ เกลจะโผล่มาแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้เลยมันเป็นไปไม่ได้”   
                 ชิตรัตน์เอ่ยอย่างหัวเสียขณะมองเอกสารที่แก้วกล้าให้คนออกสืบหาข้อมูลของเกลที่อยู่ดีๆ ก็หายสาบสูญไปนานเกือบสี่ปีแล้วอยู่ๆ ก็มีคนพบเมื่อประมาณกลางปีก่อนแล้วก็หายไปอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย
      
                 “แต่มันมีแค่นี้จริงๆ นะครับ ผมให้คนออกตามหาทั่วไปหมดแล้วเช็คข้อมูลที่ได้จากโรงพยาบาลนั้นก็แล้วมันก็มีแค่ว่าชื่ออะไร ประสบอุบัติเหตุอะไร นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว ส่วนข้อมูลที่ได้จากพี่หมอเจ้าของไข้ผมที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะพี่หมอแกไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้องICUด้วย”  สิ้นเสียงเล็กๆ ติดแหลมของแก้วกล้า ชิตรัตน์ก็หันขึ้นไปมองเลขาคนสวยที่กำลังตั้งท้องอยู่อย่างอารมณ์เสีย

            “อย่างน้อยก็น่าจะได้ข้อมูลของคนที่พาเกลมาส่ง หรือไม่ก็ที่ๆ ทำเรื่องย้ายเกลไปรักษาสิ”

                 “คุณชินครับ ต้องให้ผมบอกอีกกี่ครั้งครับว่าผมแฮกข้อมูลของโรงพยาบาลไปแล้ว แต่ไม่พบข้อมูลอะไรเลย รู้แค่ว่าย้ายไปอังกฤษแต่ชื่อโรงพยาบาลที่ย้ายไปผมก็ตรวจสอบแล้วก็ไม่มีประวัติการเข้ารักษาตัวเลย คุณเองก็ไปกับผมด้วยไม่ใช่เหรอก็น่าจะรู้นี่”  แก้วกล้ากดเสียงต่ำลงอย่างข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอว้ากใส่เจ้านายที่เริ่มทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กเวลาไม่ได้ดั่งใจ

                     “แต่....”  แต่เหมือนชิตรัตน์จะไม่รู้ว่าคำพูดของตนทำให้เลขาซึ่งอารมณ์แปรปรวนปรอทแตก

                  “แต่อะไร แต่อะไรอีก นี่คุณชินผมบอกผมอธิบายคุณมาตั้งเท่าไรแล้ว  โอ๊ย!!ปวดหัวจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าคุณเป็นคนจ่ายเงินเดือนผมนะ ผมจะเอาไอ้แฟ้มนี้ ฟาด ๆๆๆๆ ให้สมองคุณมันรีเซตระบบการทำงานใหม่จริงๆ ไอ้ตอนทำน่ะไม่คิด ทีงี้ล่ะมาตามหา”

                     เจ้าตัวว่าพร้อมหยิบแฟ้มที่อยู่ใกล้มือมาฟาดลงกับโต๊ะเป็นฉากประกอบให้เจ้านายตัวเองดู ว่าในมโนภาพของตนนั้นเป็นเช่นไร ก่อนจะค่อยๆ เดินไปทรุดตัวลงที่โซฟาในห้องของชิตรัตน์ เมื่อเขาเริ่มมีอาการปวดหลังขึ้นมานิดๆ หลังจากยืนใส่อารมณ์ไปเมื่อครู่ ซึ่งชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเข้าใจถึงสภาพร่างกายของแก้วกล้าที่กำลังอุ้มท้องลูกน้อยที่ตอนนี้มีอายุครรภ์ 6 เดือนแล้ว และอาจเพราะความสนิทที่ทำงานกันมานาน จนร่างสูงเองมองอีกฝ่ายเหมือนน้องชายที่ตอนนี้กำลังผันตัวมาเป็นแม่เขาอีกคน

                      “ก็ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกนี่  ถ้าไม่ทำแบบนั้น คนที่จะเดือดร้อนมากที่สุดก็คือเกล”

                      “ไม่มีทางเลือกหรือคุณไม่กล้าเลือกกันแน่ครับ”

                  ชิตรัตน์นิ่งเงียบอย่างจนในคำพูดทั้งหมด แล้วก้มซบกับหลังมือทั้งสองข้างที่ค้ำโต๊ะเอาไว้อย่างจนด้วยคำพูด ทำให้แก้วกล้าที่มองดูอยู่ไม่ห่างก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ของคนทั้งคู่

                        เรื่องราวของชิตรัตน์กับเกลทำไมเขาจะไม่รู้ เพราะวันนั้นเขาก็อยู่ในเหตุการณ์  อย่าถามว่าไปอยู่ได้อย่างไร ก็ไอ้ห้องตรงข้ามที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งนั่นน่ะ มันเป็นห้องเขาเอง ถึงในความเป็นจริงต้องบอกว่าเป็นของลุงกับป้าของเขามากกว่า เขาก็แค่ขอมาอาศัยอยู่แบบถาวรเท่านั้น และด้วยความที่เป็นห้องชุดจึงทำให้ชั้นหนึ่งมีอยู่แค่ 2-3 ห้องเท่านั้น แต่เขาทำอะไรมากไม่ได้ เพราะวันนั้นเขาเองก็มีธุระสำคัญต้องไปทำเหมือนกันและถึงอยู่เขาก็ไม่รู้จะช่วยอีกฝ่ายอย่างไรเหมือนกัน ส่วนที่ทำอยู่ตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่ได้ถือว่ามันลำบาก คิดเสียว่าเป็นการไถ่โทษที่ในวันนั้นเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้

                    “แก้วก็รู้นี่ว่าฉันรักเกล  เกลคือคนที่ฉันรักที่สุดและเป็นคนที่ฉันอยากขอโทษมากที่สุดในตอนนี้”

                      “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณชินนะ อย่างน้อยคุณยังมีโอกาสตามหาคุณเกลเจอแล้วขอโทษ  แต่ผมสิ ต่อให้ไปตามหาที่ไหนคงไม่เจอแล้ว ต่อให้อยากขอโทษขนาดไหนก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว”

                      คำพูดของแก้วกล้าทำให้ร่างสูงต้องหันหน้ากลับมามองเลขาที่มีสีหน้าดูเศร้าสร้อยขยับมือลูบวนหน้าท้องที่นูนออกมา หลังนึกย้อนกลับไปในวันนั้นวันที่ แทนไท สถาปนิกหนุ่มคนรักของเขาที่ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตลง ขณะเดินทางไปดูงานก่อสร้างโรงแรมอีกแห่งของเจ้านายที่กำลังเริ่มก่อสร้างในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ เขาจำได้ว่าวันนั้นเขาสองคนทะเลาะกันรุนแรงมาก มากถึงขนาดพูดจาไม่ดีใส่คนรักด้วยถ้อยคำที่เจ็บปวด เมื่อใจเย็นลงเขากลับไม่มีแม้แต่โอกาสให้ขอโทษหรืออยู่ด้วยกันอีก และที่สำคัญที่สุดคนที่จากไปก็ไม่อาจรับรู้ว่าเขากำลังจะได้เป็นพ่อคนอย่างที่ฝันเอาไว้

                 “แก้ว นายโอเคไหม”   

                 “ไหวสิครับ เรื่องมันผ่านมาตั้งสี่เดือนแล้วนะ อีกอย่างหนึ่งไทก็ไม่ได้ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวซะหน่อย นี่ไง ไทเขาทิ้งตัวแทนของเขาไว้ในนี้รออีกสักสามเดือนผมก็จะได้เจอเขาแล้ว”   

                   แก้วกล้าว่าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ยามพูดถึงลูกในท้องที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ชิตรัตน์มองดูคนที่กำลังพูดถึงลูกในท้องที่เปรียบเสมือนตัวแทนความรักของอีกฝ่ายกับคนที่รักแต่พอพูดถึง ‘ลูก’ แล้วตอนนี้ลูกชายเขาล่ะอยู่ไหน เมื่อหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บอกเวลาว่าตอนนี้ได้เวลาเลิกเรียนและสมควรมาถึงบริษัทเขาได้แล้ว

                  “เออใช่ มีอีกเรื่องที่ผมลืมบอกคุณไป” แก้วกล้าเงยหน้าขึ้นเหมือนเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างออกมาได้

                “หือ”

                “พี่ชาติโทรมาบอกว่าลูกชายคุณเบื่อไม่อยากรอคุณเคลียร์งานอยู่ในห้องเลยจะไปรอคุณอยู่ที่สวนสาธารณะแทน เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้วจะเข้ามา”

             ชิตรัตน์พยักหน้ารับกับคำบอกของเลขา ก่อนที่แก้วกล้าจะขอตัวออกไปจัดการงานที่ยังค้างอยู่ต่อ ร่างสูงใหญ่ของชิตรัตน์ไขกุญแจที่ลิ้นชักข้างโต๊ะแล้วเปิดออก ก่อนที่จะค่อยๆ เอาของบางอย่างออกมาดู  ของที่เขาแอบเก็บเอาไว้ให้พ้นจากสายตาผู้เป็นแม่ เก็บเอาไว้แต่เพียงคนเดียว ซึ่งนั่นก็คือรูปถ่ายที่เขาแอบเก็บเอาไว้ รูปของเขาและเกล รูปที่เกลยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ เขา รูปที่ไม่ว่าเขาจะเหนื่อยหรือท้อจากงานหรือจากการตามหาคนในรูปมากเท่าไร แต่พอได้มองรูปถ่ายในกรอบอันนี้แล้ว มันทำให้เขาเหมือนมีแรงใจในการตามหา ‘ดวงใจ’ ของเขาอีกครั้ง เพราะเขาเชื่อเสมอว่าจะต้องเจอกันอีก แต่ว่า....

                “ตอนนี้นายไปอยู่ที่ไหนนะเกล.... นายจะได้ยินพี่ไหม จะยกโทษให้พี่ไหม ถ้าพี่จะบอกว่า พี่ผิดไปแล้ว”




             “นี่ๆๆ เกลลี่ตรงนู้นบรรยากาศดีไปนั่งตรงนู้นไหม”

              หลังจากที่พวกเขาเดินกันมาได้สักระยะปีแอร์ก็ชี้ไปยังม้านั่งยาว ที่หันหน้าออกไปทางสระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งขุดไว้เพื่อสร้างบรรยากาศให้แก่ผู้คนที่มาพักผ่อนได้แวะเวียนมานั่งพัก  ทั้งชายและพลก็เห็นด้วยเมื่อตอนนี้แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ เริ่มสาดแสงจ้าขึ้น ส่วนเกลเองก็ไม่ปฏิเสธอะไร ปีแอร์เลยโมเมว่าอีกคนตกลง จึงเดินนำทุกตนไปบริเวณนั้นก่อนใคร
ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังม้านั่งยาวที่ว่างอยู่ ก่อนที่ปีแอร์จะค่อยๆ พยุงให้    เกลค่อยๆ เดินไปนั่งที่ม้านั่ง ส่วนพลก็เอาวีลแชร์จอดไว้ข้างๆ ม้านั่งแทน

            “อืมมมมมมม อากาศดีจริงๆ เลยเนอะเกลลี่ วันหลังเรามากันอีกดีไหม” ปีแอร์เริ่มเป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้เกลที่เอาแต่นั่งกอดตุ๊กตานิ่งไม่พูดจากับใคร

         “คุณเกลหิวน้ำไหมครับ” ชายเริ่มถามขึ้นอีกคน

         “อือ อยากกินน้ำ” เกลตอบออกมาเบาๆ

          ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้คนทั้งสามที่รายล้อมอยู่รู้สึกดีขึ้นกับการตอบโต้ ก่อนทั้งชายและพลจะถีบส่งให้น้องเล็กในทีมเป็นฝ่ายออกไปซื้อน้ำมาบริการตนทั้งสองกับเจ้านาย และถึงปีแอร์จะโอดครวญขนาดไหน แต่พอเกลพูดออกมานิ่งๆ ก็แทบทำให้ปีแอร์วิ่งหน้าตั้งออกไปในทันที

           “ปีแอร์ไม่อยากไปเหรอ เกลหิวน้ำนะ งั้นพี่ชายกับพี่พลไปซื้อให้เกลได้ไหม”

                “No no ไม่ใช่แบบนั้นนะเกลลี่ เอางี้เดี๋ยวปีแอร์จะรีบไปซื้อมาให้เดี๋ยวนี้เลยดีไหม” ปีแอร์รีบเข้ามาประจบเกลทั้นที

                “งั้นก็รีบไปได้แล้วคุณหมอ” พลเอ่ยไล่กลายๆ

                 “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะรีบไปซื้อน้ำมาให้ พวกพี่ด้วยดูแลเกลลี่ดีๆ นะ”

                 ถึงจะตกปากรับคำไปแล้ว ปีแอร์ก็ยังอดห่วงไม่ได้ คอยหันหลังกลับมาพูดซ้ำๆ ตลอดก่อนจะเลี้ยวไปอีกทางเพื่อหาร้านน้ำจนหายลับไปจากสายตาของพวกเขา

            “พี่ชายกับพี่พลช่วยถอยออกไปหน่อยได้ไหมครับ เกลอยากอยู่คนเดียว”

                 ชายกับพลมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเดินถอยหลังออกมาแต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล แค่ขึ้นมายืนบนพื้นทางเดินแทนที่จะยืนบนพื้นหญ้าข้างๆ เก้าอี้ยาวที่เกลนั่งอยู่ เผื่อว่าหากเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะได้เข้าถึงตัวได้ทัน

             สายลมเอื่อยๆ ที่พัดเอาลมยามบ่าย แม้จะมีไอร้อนปนอยู่บ้างแต่ก็พอทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นมาบ้าง เกลสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อย่างรู้สึกสดชื่นไปกับบรรยากาศริมน้ำตรงนี้ อาจเพราะเขาเพิ่งลงมาจากเครื่องบินที่มีบริเวณอันจำกัดเลยทำให้พอมาเจอสถานที่โล่งๆ แบบนี้แล้วรู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก

                แต่เพราะการนั่งอยู่คนเดียวในที่กว้างๆ ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ของตนเองจมอยู่กับเรื่องราวในอดีตที่ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน เขาก็ยังคงจดจำมันได้แม้ไม่อยากจำก็ตาม

                     “ฮึก...ทำไม...ทำไมทำกับเกลแบบนี้ ฮึก ทำไมพี่ชินทำกับเกลแบบนี้”     

                       อารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายไม่ว่าจะ โกรธ น้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง ส่งผลให้น้ำตาที่หน่วงๆ อยู่บริเวณขอบตาไหลออกมาอย่างหนัก ร่างเล็กซบหน้าลงกับหัวของเจ้าตุ๊กตาแล้วเริ่มสะอื้นออกมาอย่างหนัก แล้วพึมพำออกมากับตัวเองเบาๆ เหมือนว่าถ้าตะโกนออกไปตัวเองอาจขาดใจลงตรงนี้

                   ชายกับพลมองดูอีกคนอยู่ตลอดเวลาก็อดที่จะรู้สึกสะเทือนใจกับภาพซึ่งแม้จะเห็นมานานหลายปี กลับไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พวกเขาจะรู้สึกชินชากับมัน เพราะความรู้สึกเดียวที่พวกเขามีคือความสงสารและเป็นห่วง ยิ่งแรงสะอื้นที่หนักขึ้นจนพวกเขาเริ่มเห็นท่าไม่ดีกลัวว่าเกลจะร้องไห้จนเกิดช็อกขึ้นมาอีกครั้งเช่นในอดีต ทั้งสองจึงตัดสินใจเข้าไปดูอาการของคนเป็นนาย แต่ครั้งนี้พวกเขากลับช้าไปเมื่อมีคนคนหนึ่งเข้ามาทำหน้าที่นี้แทนเสียแล้ว

                    “คุณน้าร้องไห้ทำไมครับ”  เสียงใสของเด็กชายถามขึ้นพลางเอียงคอเล็กๆ นั้นอย่างสงสัย

                     เกลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเงาที่พาดผ่านร่างของเขาอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับชายและพลที่รีบเดินเข้าประชิดตัวผู้เป็นนาย

                     “อะ เกรซให้”  เด็กชายล้วงมือเข้าไปยังกระเป๋ากางเกงของตนเองเพื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนออกมาส่งให้คุณน้าคนสวยตรงหน้า

                        เกลชะงักไปเล็กน้อยกับชื่อที่เด็กชายใช้เรียกแทนตนพลางยื่นมือออกไปรับน้ำใจของเด็กชายมา แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขากลับไม่อาจละไปจากใบหน้าของเด็กตรงหน้าได้เลย และไม่ใช่แค่เกลที่มองไปยังเด็กชายแปลกหน้านิสัยดีคนนี้เพราะชายกับพลเองก็มองด้วยเช่นกัน

เหมือนมาก


              เด็กชายตรงหน้านี้พอมองใกล้ๆ แล้วเหมือนเจ้านายของพวกเขามาก และนั่นแหละคือเหตุผลที่พวกเขาถึงต้องหันมามองหน้ากันเอง เมื่ออยู่ๆ ความคิดบางอย่างก็เข้ามาในหัว

          น้ำตาของเกลที่ยังไม่ทันได้เช็ดให้แห้งกลับไหลออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าโศกอย่างเช่นเมื่อครู่ หากแต่เป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง ขนาดเจ้าตัวเองยังไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ว่าดีใจหรือเสียใจ เกลไม่รู้เลย ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเขายกมือขึ้นมาประกบสองแก้มยุ้ยของเด็กชายตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไร หรือตอนไหนที่หางตาของเขาเหลือบไปเห็นชื่อภาษาอังกฤษซึ่งปักอยู่บนอกเสื้อของเด็กตรงหน้า 

   Great  Charlesrak N.

            ตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวที่ปักอยู่บนอกขวาทำให้เกลไม่อาจละสายตาไปไหนได้ มันเหมือนกับชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยเรียกขานลูกน้อย ทั้งชื่อเรียกและชื่อจริง สองอย่างนี้คือชื่อที่เขาตั้งให้ลูกชายตัวน้อยซึ่งเป็นเหมือนของขวัญแห่งรักที่เขาได้รับมาจากชิตรัตน์ ชื่อที่ต่อให้นานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันลืม

        “ตาหนูของแม่”

        เกลพูดพร้อมน้ำตาขณะดึงเด็กชายตรงหน้าเข้ามากอดอย่างคิดถึง ทั้งกอดและหอมเด็กชายไปมาด้วยความดีใจ แม้ตอนแรกเด็กน้อยตรงหน้าจะมีอาการตกใจและขืนตัวเล็กน้อย แต่พอถูกคุณน้าชายคนสวยตรงหน้ากอด เกรซกลับรู้สึกอบอุ่นและโหยหาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเขารู้จักอ้อมกอดนี้มาก่อน ซึ่งเขาไม่เคยเจอแม่เลยไม่รู้ว่าเวลาโดนแม่กอด ความรู้สึกมันเป็นแบบไหน แต่ความรู้สึกในตอนที่โดนชายแปลกหน้าคนนี้กอดเอาไว้ เขากลับรู้สึกเหมือนตอนที่พ่อกอดเขาเอาไว้ ทำให้เกรซเผลอไผลไปกับอ้อมสัมผัสแสนคุ้นเคยนั้น

       “คุณแม่..”

       สิ้นคำเรียกเบาๆ เกลก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบอย่างหนักพร้อมแรงกอดรัดร่างเล็กของเด็กชายมากขึ้น ซึ่งคราวนี้เด็กขายไม่ดิ้นขัดขืนแต่อย่างใด กลับกอดตอบอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อย

     ชายกับพลเริ่มรู้สึกเหมือนตนเองเป็นส่วนเกินของสองแม่ลูกตรงหน้า จึงเดินหลบฉากออกไปด้านหลัง ประจวบเหมาะกับปีแอร์เดินกลับมาพอดี ทั้งสองจึงหิ้วปีกปีแอร์คนละข้างออกมาก่อนที่เจ้าคนช่างจ้อจะเริ่มถามอะไรที่เป็นการทำลายความสุขเล็กๆ ของเกลที่เพิ่งเกิดขึ้น

...................................................................



อุ แม่ลูกเขาเจอกันแล้วคร้าาา

อย่าแปลกใจถ้าจะเจอกันง่ายเช่นนี้ 555555


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2017 21:47:04 โดย wavery »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เกลจะบอกลูกเลยมั้ยว่าตัวเองเป็นแม่เนี่ย แต่คงยังไม่บอกหรอกมั้งนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Akigigi

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ติดตามค่าา เกลอย่าให้อภัยง่านะ มาพรากแม่พรากลูกอย่างนี้ได้ยังไง เหตุผลอะไรก็ไม่บอก

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2


ฝนหยดที่ 3


           “คุณเป็นคุณแม่ของเกรซจริงๆ เหรอครับ”  นัยน์ตากลมใสของเด็กชายหันสบมองคนข้างกายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้เขาอย่างมีความสุข ทั้งยังให้คุณลุงตัวโตๆ สองคนข้างหลังไปซื้อขนมมาให้เขาอีกต่างหาก ถึงคุณย่ากับคุณพ่อจะสั่งห้ามไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าก็เถอะ แต่กับคนคนนี้เขาปฏิเสธไม่ลงจริงๆ นี่นะ

      “แล้วน้องเกรซคิดว่ายังไงล่ะครับ” รอยยิ้มอ่อนโยนกับฝ่ามืออุ่นนุ่มที่ลูบหัวเขาเบาๆ บอกเลยว่ามันมีแต่ความรักที่ถ่ายทอดออกมาให้เกรซรับรู้เท่านั้น

      “ก็...” เพราะฉะนั้นเขาเลยตอบคำถามไม่ได้

     “น้องเกรซยังไม่ต้องเชื่อแม่ก็ได้ แต่ว่า....”

      “คุณเกรซ!!”

       เกลที่กำลังพูดคุยอยู่กับลูกชายตัวน้อยอยู่นั้น ต้องหยุดการสนทนาลงทันทีเมื่อเสียงตะโกนเรียกชื่อของเด็กชายดังลั่น จนพวกเขาที่อยู่กันในบริเวณนั้นต้องหันกลับไปมองผู้มาใหม่ที่มีอาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด กำลังวิ่งตรงมายังเก้าอี้ยาวที่เกลและเกรซนั่งอยู่

       “คุณเกรซ ทำไมถึงวิ่งออกมาคนเดียวอย่างนี้ครับ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา อาจะไปบอกคุณพ่อของคุณยังไง”

            คนมาใหม่ที่แสนคุ้นเคยของเกลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กชายพร้อมทรุดตัวลงเพื่อกอดร่างเล็กๆ นั้นเอาไว้อย่างเป็นห่วงและโล่งออก เมื่อเห็นว่าลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้านายที่ตนรักและเคารพปลอดภัยดีทุกกระเบียดนิ้ว

      “เกรซขอโทษครับอาชาติ”  มือเล็กๆ นั้นรีบยกขึ้นพนมเข้าหากันพร้อมกับเอ่ยขอโทษคนตรงหน้าที่ตนเรียกอย่างเคารพว่า ‘อา’

       “แค่คุณปลอดภัยอาก็ดีใจแล้วครับ” ชาติเอ่ยกับเด็กชายก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เกรซ ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ช่วยดูแลเจ้านายตัวน้อยให้เขาในระหว่างที่อีกคนวิ่งหนีเขามา

       “ผมต้องขอบคุณคุณมากนะครับทะ.....คุณเกล” แต่ทันทีที่ชาติเงยหน้าขึ้นมามองผู้ชายรูปร่างโปร่งบางข้างๆ เขาก็ถึงกับเบิกตาโตอย่างตกใจจนรีบลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้คนทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ยาวซึ่งเกลนั่งอยู่รีบรุดเข้ามาใกล้ แต่กลับโดนคนที่นั่งอยู่ยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน

        “ไม่เจอกันนานนะ ชาติ”

           รอยยิ้มบางๆ ยังคงประดับอยู่บนหน้าของเกล เมื่อเห็นว่าคนมีท่าทีตกใจตอนเห็นตนนั่งอยู่ตรงนี้นั้นเป็นใคร ชาติ คือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของชิตรัตน์ และเป็นคนที่คอยดูแลเขาแทนชิตรัตน์ในตอนที่เขาทั้งสองคนต้องอยู่ห่างกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ชาติจะจดจำเขาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้

      “อาชาติรู้จักคุณ..เอ่อ...”

          เกรซเอ่ยถามชาติแต่ยังคงละฐานะของเกลเอาไว้อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะพูดว่าอะไรดี แต่ก็ยังไม่วายแอบเหลือบตามองคนข้างๆ ที่พอเห็นว่าเขาหันไปมองก็ส่งยิ้มกลับมาให้อย่างรักใคร่

       “รู้จักสิครับ อารู้จักดีเลย”

            ชาติตอบโดยที่สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าหวานสวยของเกล ใครจะไปคิดกันล่ะว่าอยู่ๆ เขาจะได้มาเจอคนที่เจ้านายตามหามานานง่ายๆ ขนาดนี้ ทีนี้คุณหนูน้อยของเขาจะได้ไม่ต้องทนนอนร้องไห้อีกต่อไป เพราะตอนนี้โชคชะตามันหมุนวนพาทั้งคู่มาพบกันแล้ว.....

   “ก็เขาเป็นแม่ของคุณเกรซนี่ครับ”

   !!

     คราวนี้ถึงตาที่เด็กชายจะแสดงอาการตกใจออกมาบ้าง และไม่ใช่แค่เกรซหรอกที่ตกใจ เพราะอีกสามคนข้างหลังก็ยังคงมองตากันเลิกลั่กกับคำพูดของชาติที่ดูจริงจังอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นจริงอย่างหนึ่งให้กับเกลว่า ตนไม่ได้จำลูกชายตัวน้อยของตนผิดไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือแม้จะไม่ได้เห็นรูปถ่ายของลูกเลยสักใบ แต่เขาก็ยังสามารถจดจำได้ว่า เกรซคือลูกของเขา

   “คุณน้าเป็นแม่ของเกรซจริงๆ เหรอ”

           เกรซหันกลับไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เหมือนคนจะร้องไห้ แต่คนถูกถามกลับไม่ยอมตอบอะไรนอกจากอ้าแขนทั้งสองข้างออกช้าๆ แทนคำตอนที่ถูกถามมา

       ถึงไม่ตอบอะไรออกมา เกรซก็เชื่อสนิทใจแล้วว่าคนตรงหน้าเขานี่แหละคือ แม่ของเขา คราวนี้เขาจึงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยที่จะพุ่งตัวเข้าไปกอดคนตรงหน้าอีกครั้ง

   “คุณแม่ของเกรซ คุณแม่” เด็กน้อยร้องไห้ออกมาพร้อมรอยยิ้มขณะซุกกอดอยู่ตรงอกของเกลแน่นไม่ยอมปล่อย
   


        ทางด้านของโจนาธารที่บอกกับน้องชายว่าจะเข้ามาดูความเรียบร้อยของบริษัทก็หาได้ไปจริงอย่างที่ว่าไม่ เพราะตอนนี้ทั้งเขาและไรอัลกำลังนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม  ‘ดิ พาราไดซ์‘ โรงแรมหรูระดับห้าดาวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่อรอจะเจอกับใครบางคนอยู่

            “แน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนี้ ถ้าเกิดว่า...”

       “มันต้องดีสิ อะไรที่ฉันคิดว่ามันดี มันก็ต้องดี ไอ้หมอนั่นมันต้องเจ็บเหมือนที่น้องฉันเจ็บ”  ธารว่าเสียงเรียบนิ่ง

            “นายเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่ามันให้คนออกตามหาเกล แสดงว่ามันยังรักเกลอยู่และนั่นแหละที่ฉันต้องการ ฉันต้องการให้มันมาเห็นกับตาของมันเองว่าเพราะมันเกลถึงต้องมีสภาพแบบนี้ มันจะต้องจมปลักกับความผิดของมันที่ทำกับ   เกลแบบนั้น  เพราะงี้ไงล่ะ ฉันถึงจงใจปิดบังข้อมูลทุกอย่างของเกลจากมันก็เพื่องานนี้”   ไม่ให้รับรู้อะไร ไม่ให้เจอ กระวนกระวายไปซะเถอะ  แล้วฉันนี่แหละจะเป็นคนพาเกลมาพบแกเอง 

               ไรอัลนั่งมองธารพูดถึงเหตุผลของการที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนต้องมานั่งอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในกิจการหลักของ  ‘นพเทพสวัสดิคุณ กรุ๊ป’  แล้วคนที่พวกเขารออยู่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ชิตรัตน์นั่นแหละ และก่อนที่ธารจะจมกับแผนการในหัวไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาทางที่พวกเขานั่งอยู่จึงสะกิดอีกฝ่ายแล้วยืนขึ้น
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้รอนาน”

          เสียงติดจะแหลมเล็กน้อยของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ธารที่นั่งอยู่ต้องหันกลับไปมองเจ้าของเสียง 

        “ผมเป็นเลขาของคุณชิตรัตน์ชื่อแก้วกล้าครับ  คุณชิตรัตน์ให้ผมมาพาคุณสองคนไปพบที่ห้องทำงานครับ” 

          แก้วกล้าที่เอ่ยทักคนตรงหน้าไปแต่ไม่มีวี่แววว่าจะขยับหรืออย่างไร ก็อดวิตกไม่ได้ ก็ไหนคุณชินบอกว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งพูดไทยได้ไงล่ะ แล้วทำไมยืนนิ่งแบบนี้ หรือว่าเขาเข้าใจอะไรผิด

         “Sorry, I forget to”

            ธารมองสำรวจคนท้องที่เริ่มลนลานรีบแปลถ้อยคำก่อนหน้าเป็นภาษาอังกฤษให้เขาฟังใหม่อีกรอบ เพราะคิดว่าเขาอาจฟังไม่เข้าใจ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันจนยกยิ้มที่มุมปาก

       “ไม่เป็นไร ผมพูดไทยได้ คนของผมเองก็ฟังออกครับ” ธารเอ่ยแก้ความเข้าใจให้อีกคน

             เมื่อได้ยินแบบนั้น แก้วกล้ารู้สึกดีขึ้นก่อนค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยพาแขกและคนติดตามไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปหาเจ้านายของตนที่รออยู่  โดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มเมื่อกี้นี้เผลอทำเอาหัวใจของใครบางเต้นไม่เป็นจังหวะไปซะแล้ว

              แก้วกล้าเดินนำแขกทั้งสองเข้ามาในลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นออฟฟิศของโรงแรม  แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเจอปัญหาเสียแล้วสิ เมื่อเขาต้องมาขึ้นลงลิฟต์ตั้งสิบกว่าชั้นแถมยังต้องเดินไปหาแขกด้วย  ทำให้ตอนนี้เขาเริ่มปวดหลังเบาๆ ซะแล้วสิ

            “คุณปวดหลังเหรอครับ”

         อยู่ๆ ธารก็เอ่ยถามขึ้นมากลางความเงียบ เมื่อธารสังเกตว่าคนตัวเล็กมีอาการปวดหลังแสดงออกมาให้เห็น

           “ใช่ครับ ท้องเริ่มใหญ่ขึ้น เวลายืนนานๆ มันก็ต้องมีบ้างน่ะครับ” 

            เมื่อถูกถามแก้วกล้าเลยตอบไปตามความจริง แล้วก็ต้องรีบโบกมือปฏิเสธความช่วยเหลือของคนเป็นแขกที่จะเข้ามาประคองเขา

            “งั้นมาครับ ผมช่วย” ธารอาสา

หมับ
   แต่มือข้างที่ธารยื่นออกไปจะจับต้นแขนเล็กของอีกฝ่ายกลับโดนมืออีกข้างของแก้วกล้าจับเอาไว้เสียก่อน ธารมองหน้าคนตัวเล็กกว่าอย่างสงสัย ก่อนจะกระจ่างเมื่อแก้วกล้าจับมือข้างนั้นของเขาออกจากต้นแขนของตน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเป็นการรักษามารยาเมื่อรู้สึกไม่ชอบใจแต่ไม่สามารถพูดได้ ก่อนจะเดินออกนำเขาไปทันทีเมื่อลิฟต์เปิดโดยไม่มีการสนทนาใดขึ้นมาอีกเลย

            “ไรอัล นายไปหาประวัติของเด็กคนนี้ให้ฉันหน่อยสิ เอาเพิ่มเติมจากครั้งก่อนนะ”  ธารหันไปพูดกับไรอัลขณะที่อยู่ในลิฟต์เบาๆ แล้วเดินตามอีกคนออกจากลิฟต์ไป

        การปฏิเสธของแก้วกล้าเมื่อครู่นี้ ธารยอมรับเลยว่ารู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อยอาจเพราะว่าตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีใครปฏิเสธพร้อมทำท่าทางเหมือนไม่พอใจใส่เขาเช่นคนคนนี้มาก่อน  ถึงจะรู้สึกเสียหน้าไปบ้าง แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความสนใจ เขาสนใจในตัวเลขาคนนี้ของชิตรัตน์มากกระทั่งเก็บอาการไว้ไม่อยู่ จนต้องเข้าไปแกล้งคนท้องตัวเล็กที่ดูๆ ไม่น่าจะรับน้ำหนักลูกในท้องไหว เมื่อคิดได้ดังนั้นธารจึงรีบเดินตามอีกคนไป ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่แก้วกล้าไม่ทันระวังตัวโอบรั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เพื่อช่วยพยุง โดยให้เหตุผลว่าอีกคนนั้นเดินช้าให้ตนพยุงนั่นแหละจะได้ถึงไวกว่า

         แก้วกล้ามองคนหน้าเป็นที่ลอยหน้าลอยตาไม่สนสายตาของเหล่าพนักงานคนอื่นๆ ที่หันมามองยังพวกเขาสองคน แม้จะไม่พอใจแต่อย่างเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงแขกของเจ้านาย เลยได้แต่บ่นในใจและพยายามบิดตัวออกจากอีกคนแทน เพราะโดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ชอบให้คนไม่รู้จักมาถูกเนื้อต้องตัวเท่าไร แล้วยิ่งตอนนี้ท้องด้วยอารมณ์เลยยิ่งหงุดหงิดมากกว่าปกติ ผิดกับอีกคนที่ทำหน้าระรื่นไม่แยแสเลยว่าจะถูกคนตัวเล็กกว่าด่าอะไรในใจหรือไม่  ซี่งบางทีทั้งคู่อาจลืมไปแล้วว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ ยังมี ไรอัลค่อยเดินตามมาห่างๆ อย่างนึกสงสารเลขาคนสวยที่ดันไปถูกใจเจ้านายตนเข้าอย่างจัง

ก๊อก ก๊อก

           เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกให้ชิตรัตน์เงยหน้าจากเอกสารในมือก่อนจะเชิญให้คนมาใหม่ซึ่งอยู่นอกประตูเข้ามา แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าคนเป็นแขกของเขานั้นเดินพยุงเลขาคนสวยเข้ามาด้วยหน้าตาที่ดูจะมีความสุขไปหน่อยถ้าเทียบกับอีกคนที่ถูกพยุง กลับทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตกลงตรงหน้าเสียให้ได้ 

             “พอดีตอนอยูในลิฟต์ผมเห็นว่าเลขาของคุณเขาปวดหลังเลยช่วยพยุงเดินเข้ามาน่ะ” ธารเอ่ยก่อนจะยอมให้แก้วกล้าบิดตัวออกจากตนไปอย่างง่ายดาย

            “เอ่อ...ครับ ขอบคุณแทนแก้วเขาด้วยยังไงก็เชิญนั่งก่อนสิครับคุณโจนา-ธาร”   เมื่อเข้าใจเรื่องราวชิตรัตน์ก็ผายมือชวนให้อีกคนนั่งบนโซฟาเพื่อคุยเรื่องราวต่างๆ กัน

          “เรียกผมว่า ‘ธาร’ เฉยๆ ก็ได้ครับ ดูแล้วเราสองคนน่าจะอายุพอๆ กัน คงไม่ต้องพิธีอะไรมากหรอกครับ”

          “ได้ครับ”

   “ที่ผมมาในวันนี้ ก็เพราะเห็นว่าบริษัทเราอยู่ไม่ไกลกันมากเลยอยากจะมาทำความรู้จักกันเล็กๆ น้อยๆ” ธารว่าก่อนจะหันไปหาไรอัล เพื่อให้อีกคนนำกระเช้าดอกไม้ที่ตนนำมามอบให้อีกฝ่าย

   “ขอบคุณมากนะครับ สวยมากเลยครับ” ชิตรัตน์ตอบรับน้ำใจพร้อมเอ่ยชมดอกไม้เหล่านั้น แม้สีขาวของกุหลาบในกระเช้าจะทำให้ตนชะงักไปเล็กน้อยก็ตามเมื่อเขายังจำได้ว่ามันเคยเป็นกุหลาบสีโปรดของใคร

   “แน่นอนอยู่แล้วครับ ก็มันเป็นกุหลาบสีโปรดของ ‘น้องชาย’ ผม ผมก็ต้องเลือกอันที่สวยที่สุดอยู่แล้วสิครับ” ธารจงใจเน้นคำว่าน้องชายเป็นพิเศษให้ชิตรัตน์ได้ฟัง

   “อย่างนั้นเหรอครับ” แต่ดูชิตรัตน์จะดูไม่ติดใจอะไรมาก ต่างจากแก้วกล้าที่เริ่มดูมีอคติเล็กน้อยกับธาร จึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจเน้นคำคำนั้นให้ชิตรัตน์ได้ยิน

   “ว่าแต่ คุณโจนาธารมาที่นี่ คงไม่ใช่แค่จะมามอบดอกไม้ให้กันแค่นี้ใช่ไหมครับ” ด้วยความปากไว ทำให้แก้วกล้าโผล่งขึ้นมาเช่นนั้นเสียดื้อๆ จนชิตรัตน์หันไปปราม

   “แก้ว”

   “หึหึ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”  ธารยกยิ้มชอบใจกับท่าทีที่ดูจะระแวดระวังตัวเป็นพิเศษของคนท้อง ถึงจะตัวเล็กเท่าลูกแมวแต่กลับกล้าที่จะชนกับเขาตรงๆ

          “จะพูดยังไงดีน่ะ คือพอดีผมมีที่ดินว่างอยู่ที่หนึ่งทางใต้”

               ธารเกริ่นขึ้นก่อนหยิบเอาซองเอกสารขนาดเล็กที่อยู่ด้านในเสื้อสูทตัวนอกออกมาวางไว้ตรงหน้าชิตรัตน์

        “มันเป็นชายหาดส่วนตัวของที่บ้านผม แต่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร จะปล่อยทิ้งไปเรื่อยๆ ก็ดูน่าเสียดาย ผมเลยเอามาเสนอให้คุณดูเผื่อว่าคุณจะสนใจ”

               ธารว่าอย่างสบายอารมณ์ผิดกับคนข้างกายที่หันขวับมามองเขาอย่างไม่เข้าใจเจตนาสลับกับรูปภาพที่อยู่ในมือของชิตรัตน์ไปมา

       ภาพที่ดินเปล่าติดชายทะเลดูเงียบสงบแต่ก็ไม่ห่างไกลจากความเจริญเสียเท่าไร สำหรับนักธุรกิจด้านการโรงแรมอย่างชิตรัตน์ย่อมมองออกมาว่านี่คือทำเลทองที่จะสามารถทำประโยชน์ให้แก่ธุรกิจของตนเป็นอย่างมาก

           “ที่ดินผืนนี้สวยมากเลยครับ” ชิตรัตน์ว่า ก่อนส่งรูปที่อยู่ในมือให้เลขาไปดูต่อ

        “พอดีผมกำลังมีโครงการใหม่ที่ทางใต้พอดี คุณธารจะรังเกียจอะไรไหมถ้าผมอยากจะขอซื้อที่ดินตรงนี้ของคุณ” 

           ถ้าหากเขาได้ที่ดินตรงนี้มาจริงๆ มันก็เท่ากับว่าเขาสามารถตีตลาดของกลุ่มผู้ชอบความเป็นส่วนตัวได้ดีและนั่นก็หมายถึงผลกำไรที่จะตามมาของบริษัท เขาช่างโชคดีเสียจริงที่คนตรงหน้าเสนอที่ผืนงามนี้มาให้

   “ไม่เลยครับผมยินดีมาก” ธารตอบ

   “แล้วคุณจะเรียกเท่าไรครับ” เมื่อไม่มีอะไรติดขัดชิตรัตน์จึงหันมาคุยเรื่องราคาการค้าขายกับธารแทน

   “ใครว่าผมจะขายครับ” สิ้นคำชิตรัตน์ก็ออกอาการหน้าเหวอทันทีกับคำพูดของธารที่ดูกลับคำกับเมื่อครู่

   “ก็ไหนคุณว่า..”

   “ผมบอกว่าเอามาเสนอให้ มันก็หมายถึงว่าผมเอามาให้คุณ ไม่ได้เอามาขายเสียหน่อย” ธารแก้ไขความเข้าใจของชิตรัตน์ใหม่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องตีหน้าไม่เข้าใจเขามากกว่าเก่า

   “ให้กันฟรีๆ แบบนี้ผมว่ามันคงไม่ใช่แน่ คุณโจนาธารต้องการอะไรกันแน่ครับ” ก่อนที่ชิตรัตน์จะได้พูดอะไรออกมาแก้วกล้าก็เอ่ยตัดหน้าขึ้นมา

         “ดูท่าทางเลขาคุณจะหัวไวใช่ได้เลยนะครับ ดีเหมือนกันผม ชอบ ” ธารมองไปยังคนที่เขานึกสนใจอย่างชื่นชม

       “แล้วคุณต้องการอะไรครับ” ชิตรัตน์ชิงพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเริ่มไม่สบอามรณ์ของแก้วกล้า

       “ผมต้องการกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งของการเป็นผู้ถือหุ้นในสิ่งที่กำลังจะปลูกสร้างในที่ดินผืนนี้และการตัดสินใจใดๆ ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคุณก็ต้องผ่านผมด้วยเช่นกัน”

          คำเรียกร้องของธารที่ฟังดูเหมือนการต่อรองทางธุรกิจทั่วไป แต่มันกลับสะกิดใจคนฟังอย่างชิตรัตน์และแก้วกล้าเป็นอย่างมาก แต่เพื่อไม่ให้เสียลูกค้าที่เสนอตัวเข้ามาร่วมหุ้นกับทางฝ่ายของตัวเอง ชิตรัตน์จึงขอให้ธารสละเวลาเพื่อจะได้นั่งคุยรายละเอียดคร่าวๆ ด้วยกันเพื่อเป็นการสร้างข้อตกลงและทำความเข้าใจของพวกเขาทั้งสองฝ่าย

             เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะการคุยรายละเอียดของการร่วมหุ้นสร้างรีสอร์-ตแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นก็ผ่านไปด้วยดี และคนที่ดูจะดีใจที่สุดคงเป็นแก้วกล้า ที่จะไม่ต้องทนต่อสายตาของใครบางคนซึ่งมักจะเหลือบมองมาทางเขาเป็นระยะๆ

            “งั้นก็เป็นไปตามนี้นะครับ  อีกสองอาทิตย์เราค่อยไปดูที่ที่จะสร้างรีสอร์ตกันส่วนเรื่องวันเวลาค่อยตกลงกันอีกทีนะครับ”

             “ครับ ยังไงก็ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ ผมยังใหม่อยู่สำหรับธุรกิจด้านนี้”   

             เมื่อเห็นว่าการเจรจาเรื่องต่างๆ เป็นไปด้วยดีและทางเขาเองก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรให้กับธารมากนัก ชิตรัตน์จึงกำหนดวันที่จะไปดูที่ดินที่จะร่วมหุ้นกับธาร ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรก่อนธารและไรอัลจะขอตัวกลับก่อน  โดยมีแก้วกล้าเดินไปส่งแค่หน้าลิฟต์เท่านั้น

               “คุณชิน ผมว่าคุณธารอะไรนั่นไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไรเลยนะครับ”  ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงแก้วกล้าก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
 “คิดมาไปหรือเปล่า หรือยังโกรธที่เขาแตะเนื้อต้องตัวนายอยู่” ชิตรัตน์ว่าปัด

                “ก็มีส่วน แต่มันก็จริงๆ นะคุณชิน ผมรู้สึกได้ แววตาขอผู้ชายคนนั้นเวลามองมาที่คุณมันเหมือนซ่อนอะไรเอาไว้ เขาต้องคิดไม่ดีกับคุณแน่ๆ เชื่อผมสิผมสัมผัสได้”

                ชิตรัตน์ส่ายหัวเบาๆ กับความคิดของเลขาตัวเล็ก เพราะเขาคิดว่ามันคงไม่มีอะไรมาก อาจเป็นอาการณ์ของคนท้องที่มักจะกังวลหรือระแวงเกินเหตุไปตามเรื่อง อาจเพราะเมื่อก่อนตอนที่เกลท้องอีกฝ่ายก็มีอาการแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่เขากลับคอนโดดึกกว่าปกติ ร่างสูงจึงรู้ดีว่าควรทำอย่างไรให้คนท้องรู้สึกดีขึ้น

               “โอเคๆ ฉันเชื่อที่เธอพูดนะแก้ว แล้วฉันจะระวังตัวเองละกันนะ”  แต่ดูท่าแล้วการโอนอ่อนตามจะไม่เป็นผลเมื่อนำมาใช้กับแก้วกล้าเวลานี้

                  “ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณเชื่อผมน่ะ  คอยดูนะผมจะหาหลักฐานมาให้ได้เลยว่าเขาน่ะไม่ได้มาแบบบริสุทธิ์ใจ”       
พูดเสร็จแก้วกล้าก็เดินออกจากห้องของเจ้านายเพื่อกลับไปสะสางงานอื่นๆ ต่อ  ทิ้งให้ร่างสูงของชินรัตน์กุมขมับกับอาการที่ท่าทางจะหนักกว่าที่เขาคิดเอาไว้

                 เมื่อถึงโต๊ะประจำของตัวเอง แก้วกล้าก็หมายมั่นว่าจะต้องหาทางจับผิดผู้ชายคนนี้ให้ได้  ถึงจะยอมรับว่าอคติกับอีกฝ่ายแต่นั่นมันส่วนน้อย น้อยนิดจริงๆ นะ ทำไมชิตรัตน์ถึงไม่เชื่อก็ไม่รู้ คนที่อยู่ๆ มาโดนตัวคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะต้องไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์แน่  แต่ก่อนที่คนตัวเล็กจะหมายมั่นกับการหาความจริงอะไรไปมากกว่านั้น เสียงเตือนเรียกเข้าของเขาก็ดังขึ้น มือเรียวหยิบเอาแท็บเล็ตส่วนตัวที่เขามักเอาไว้ใช้สำหรับการจัดตารางงานทั้งของเขาและของชิตรัตน์มาดู พร้อมหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องที่ดังเมื่อกี้มาเทียบดูกำหนดการในวันพรุ่งนี้กับข้อความที่ถูกส่งมาให้  เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาหรือมีกำหนดการอะไรที่เร่งด่วนของตนเอง ว่าที่คุณแม่มือใหม่จึงเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองลงกระเป๋า แล้วเขียนใบลาสำหรับวันพรุ่งนี้เพื่อเอาไปให้ชิตรัตน์พร้อมกำหนดการของเจ้านายในวันพรุ่งนี้ที่ตนไม่ได้มา และส่งเข้าอีเมล์ให้ชาติเพื่อที่อีกคนจะได้จัดการงานต่างๆ แทนตนได้ถูกต้อง 

             “ดูคุณจะสนใจคุณเลขาคนนั้นจังเลยนะ”  ไรอัลพูดขึ้นเมื่อรถยนต์ส่วนตัวที่พวกเขานั่งอยู่นั้นแล่นออกมาได้สักพัก

              “หึ  ก็ไม่ได้สนสักหน่อยนี่ รีบไปหาน้องเกลกันเถอะ ปล่อยให้รอนานแล้วไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไงมั่ง   อ้อ เรื่องประวัตินั่นฉันขอเป็นวันพรุ่งนี้เช้าเลยนะ แต่วันนี้ฉันขอตารางงานของแม่แมวน้อยมาก่อนละกัน” 

                ธารว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนเปิด GPS เพื่อมองหาตำแหน่งที่อยู่ล่าสุดของน้องชายสุดที่รักไปพลางๆ   ผิดกับไรอัลที่อยากถามเหลือเกินว่า แบบนี้คือไม่สนใจแล้ว ถ้าสนใจนี่ไม่ไปแอบซุกอยู่ใต้ที่นอนเลยหรืออย่างไร หนุ่มอังกฤษตัวบางทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องของตนให้จัดการเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายมาเมื่อครู่นี้



                   ตลอดระยะทางตั้งแต่แยกกันที่หน้าลิฟต์จนตอนนี้ที่รถแล่นออกจากโรงแรมหน้าของเลขาคนสวยเป้าหมายของเขายังคงตรึงใจเขาอยู่

                     นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกสนใจได้ขนาดนี้ และนานขนาดไหนกันที่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า เขาเองก็เป็นฝ่ายที่ถูกปฏิเสธได้เหมือนกัน นานแค่ไหนที่เขาเอาแต่คิดถึงท่าทางของแก้วกล้าที่ดูจะไม่ยอมอ่อนลงให้เขาง่ายๆ ยอมรับเลยว่าเขาเองก็คงจะหลงเสน่ห์คนท้องเข้าให้แล้วจริงๆ  ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังท้องอยู่ ซึ่งนั่นหมายความว่าแม่แมวน้อยที่เขาติดใจนั้นต้องมีเจ้าของอยู่แล้ว แต่ใครจะสนล่ะ เขาสนใจซะอย่าง ถึงจะไม่ได้มาแต่แค่ได้หยอกเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นหมาหยอกไก่แบบนี้เขาก็พอใจแล้ว  แต่ถ้าจะให้ดีนะ ต้องไม่มีเจ้าของแล้วเขาจะพอใจมากกว่านี้อีก 

                    แต่พอพูดถึงท่าทีเป็นแมวขู่ของอีกคนแล้วมันทำเขานึกขำเบาๆ  ก็แหม มันไม่มีใครทำท่าทางแบบนี้ใส่เขาเลยนี่นะ จะมีก็แต่ เน็ตตี้ เจ้าเหมียวพันธุ์เปอร์เซียสีขาวตัวโปรดของน้องชาย ซึ่งตอนนี้เขาส่งไปรอที่บ้านแล้วเท่านั้นที่ชอบทำท่าทางขู่ใส่เขา ทั้ง ๆ ที่เขาแค่จะลูบขนมันเล่นแค่นั้นเอง  และอีกเรื่องที่ทำให้หนุ่มลูกครึ่งรู้สึกสนใจคนตัวเล็กนั้นที่จริงแล้วอาจเป็นสายตานั่น  สายตาที่เหมือนจะหาความจริงบางอย่างเวลาที่เผลอไปสบกัน มันเหมือนว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นั่นล่ะที่เขา ชอบ

                     “ฉันอยากรู้จัง ว่าตอนนี้แม่แมวตัวเล็กของฉันจะทำอะไรอยู่นะ”

_______________________________________________________________

อ้าวววว พี่ธารไหนว่าจะมาเคลียร์ปัญหาให้น้องไง ไหนมาหลงหนุ่มแถมนี้ได้ละเนี้ย????
แล้วน้องเกรซจะบอกพ่อไหมว่าเจอแม่แล้ว ????

รอพบคำตอบได้ในวันจันทร์เน้อ :mew1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ



ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ดีใจกับน้องเกรซด้วยนะที่ได้เจอแม่เกลแล้วซะที

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 4


                 “น้องเกรซจะไม่ไปกับแม่จริงๆ เหรอครับ” เกลเอ่ยเสียงเศร้ายามมองลูกชายตัวน้อยที่นั่งพิงอกตนอยู่


                “เกรซก็อยากไปกับคุณแม่ แต่คุณพ่อจะเป็นห่วง แล้วถ้าคุณย่ารู้เกรซก็จะถูกดุ” เด็กชายพูดเสียงเบายามที่ต้องพูดถึงคุณย่า ที่แม้ตอนนี้จะไม่อยู่บ้านแต่ก็ทำให้เกรซอดกลัวไม่ได้อยู่ดี


                “แต่แม่อยากให้เกรซไปกับแม่” เจ้าตัวว่าพร้อมซบหน้าลงกับหัวของลูกชาย


                ชายกับพลเห็นว่าหากยังปล่อยเอาไว้อย่างนี้อีกสักพัก พวกเขาคงไม่สามารถแยกเกลออกจากลูกชายได้ และมันจะทำให้พวกเขาเจอกับปัญหาทางด้านจิตใจของเกล ที่ยังถือว่ายังไม่สมบูรณ์พร้อมและอาจเกิดการอาละวาดขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นคงไม่ดีแน่ถ้าจะต้องให้เด็กตัวเล็กๆ มาเจออะไรแบบนี้


                “เดี๋ยวผมจัดการเอง” ปีแอร์เสนอตัวขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม


                “เกลลี่ ใกล้ได้เวลากลับแล้วนะ” เกลหันมามองคนที่นั่งยองๆ อยู่ด้านข้างของตนเล็กน้อยก่อนหันหนี


                “เกลลี่ส่งน้องเกรซไปให้พี่ชาตินะ” ปีแอร์ว่าอย่างใจเย็นก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปช้อนใต้รักแร้ของเกรซ เพื่อเตรียมอุ้มออกมาช้าๆ แต่กลับถูกเกลขืนแย่งเอาไว้


                “ไม่เอา เกลจะอยู่กับลูก” เจ้าตัวว่าก่อนน้ำตาจะเริ่มไหลออกมาช้าๆ


                “แต่น้องเกรซต้องกลับบ้านนะ” ปีแอร์พยายามให้เหตุผล แต่ดูท่าแล้วเกลจะไม่ยอมลูกเดียว ทำให้คนอีกสามคนที่เหลือต้องเข้ามาพูดเกลี้ยกล่อม


                “ใช่ครับ ถ้าคุณน้องเกรซไม่กลับบ้าน คุณชินจะเป็นห่วงเอาได้นะครับ” ชาติช่วยพูด หลังจากที่เขาได้คุยกับชายและพลมาแล้ว เขาเองก็พอเข้าใจอาการของเกลได้บ้างระดับหนึ่ง ถึงจะสงสารอยู่บ้าง แต่เขาคงไม่สามารถยอมให้เจ้านายตัวน้อยของเขากลับไปกับแม่ของเจ้าตัวได้เหมือนกัน


                “ไม่เอา ถ้าเกลยอมให้ตาหนูคืนไป เกลก็จะไม่ได้เจอลูกอีกน่ะสิ เกลไม่ยอมหรอก”  เกลอุ้มลูกชายเอาไว้แล้วเบี่ยงตัวหนีจากทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมน้ำตาอาบแก้ม


                “ฮึก ถ้าเกลให้เกรซไป เกลจะไม่ได้เจอลูกอีก ฮึก” เกลกระชับแรงกอดรัดให้แน่นขึ้นไปอีก จนคนที่มองอยู่ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนหนทาง


                “คุณเกลครับ”พลที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูดจาอะไรกลับเดินผ่านทุกคนออกไปนั่งอยู่ตรงหน้าของเกลแทน


                “ส่งตัวคุณหนูเกรซมาให้ผมได้ไหมครับ”


                ดวงตาสวยฉ่ำเบิกตากว้างพร้อมส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอม แต่เพราะสายตาจริงจังยามพลจ้องมายังตนไม่เลิกรา เกลจึงจำยอมค่อยๆ ส่งลูกชายไปให้พลที่อยู่ตรงหน้า


                “เช็ดหน้าก่อนครับ”พลรับตัวเกรซมานั่งที่หน้าขาของตน ก่อนยืนผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าเช็ดตา


                “คุณหนูมีอะไรอยากจะพูดกับคุณแม่ไหมครับ” พลหันมาถามเด็กชายแทนที่จะพูดคุยกับเกลซึ่งนั่งอยู่


                “เกรซอยากอยู่กับคุณแม่ ฮึก แต่ถ้าเกรซไม่กลับบ้าน คุณพ่อจะเป็นห่วง” เด็กชายสะอื้นหนักจนพลต้องส่งเกรซให้กับชาติที่เดินเข้ามารอรับ


                “คุณเกลไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เจอคุณเกรซนะครับ” ชาติพูด


                “ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณชินพยายามหาทางที่จะพาตัวคุณกลับมาอยู่ด้วยกัน ยิ่งถ้าได้รู้ว่าคุณกลับมาแล้ว คุณชินต้องดีใจมากแน่ๆ ”

 
                  ชาติพูดเสริมอย่างหวังให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น ซึ่งเขาคิดผิดเพราะเมื่อเกลได้ยินชื่อของใครอีกคนออกจากปากของชาติ แววตาของเกลกลับแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีแต่เจ้าตัวกลับซ่อนมันไม่ให้ใครเห็น


                “อย่างนั้นเหรอ”เกลสูดหายใจเข้ารอบหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมามอง


                “เอางั้นก็ได้ เกลยอมให้ลูกไป แต่เอานี่ไปด้วย” เจ้าตัวว่าก่อนหยิบตุ๊กตาตัวโปรดส่งให้ลูกชายท่ามกลางความตกใจของสามคนสนิทที่มองตามอย่างไม่เข้าใจ


                “คุณเกล” ชายทักท้วง


                “ไม่เป็นอะไรหรอกครับพี่ชาย อย่างน้อยน้องเกรซจะได้รู้ไงครับ ว่าเกรซเจอแม่แล้ว”


                   เด็กชายหันกลับมารับตุ๊กตากระต่ายหูยาวไปกอด แล้วมองหน้าของแม่ที่ยังคงส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ตน แม้ว่าใบหน้าสวยนั้นจะเปื้อนน้ำตาไปบ้างก็ตาม


                “แม่ให้หนูนะครับ”


                “เกลลี่ ดาร์ลิงส่งข้อความมาบอกว่าใกล้จะมาถึงแล้วนะ”   ปีแอร์พูดขึ้นหลังจากได้รับข้องความจากไรอัล ซึ่งเป็นคนรักของตนที่ส่งมาบอกว่าอีกไม่นานจะมาถึงที่นี่แล้ว


                เกลพยักหน้ารับก่อนยื่นแขนสองข้างออกไปหาชายกับพล เพื่อให้ทั้งสองช่วยพยุงไปยังวีลแชร์ซึ่งอยู่บนทางเดิน เกรซกับชาติมองดูอย่างสงสัยจึงอดไม่ได้ที่จะทักขึ้น


                “ทำไมต้องนั่งบนนั้นด้วยล่ะครับ”


                 “ก็เกลลี่เดินไม่ได้นี่ เลยต้องนั่งบนนี้สิ”  คำตอบที่ได้มามันทำให้หัวใจเล็กๆ ของเกรซรู้สึกแปลบๆ ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ


                 “ผมยังไม่รู้เลยว่าจะได้เจอคุณแม่อีกเมื่อไร แต่ผมอยากเจอคุณแม่อีกนะครับ”  เกรซรีบบอกความต้องการของตัวเองออกไปทันที เพราะกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้คุณแม่จะหายไปอีก


                  “ปีแอร์.”


                    !!!


                  “โทรหาปีแอร์ ถ้าอยากคุยกับแม่ให้โทรหาปีแอร์”


                   เด็กชายดีใจมากที่ได้คำตอบแบบนั้น จึงรีบบิดตัวออกจากชาติแล้ววิ่งไปหาอีกคนที่อยู่ข้างหลังของวีลแชร์ ซึ่งทำหน้าประหนึ่งเจอเรื่องที่มันอัศจรรย์อย่างมาก 


                   “พี่ชายของเบอร์หน่อยสิฮะ เร็วๆ ”    ปีแอร์เหมือนได้สติขึ้นมาจากการโดนเด็กตรงหน้าเร่งเร้า


                  “นี้เบอร์ฉันนะ โทรหาได้ตลอด แต่ถ้าจะคุยกับเกลลี่ต้องโทรมาก่อนสามทุ่ม คนป่วยต้องการพักผ่อนเข้าใจไหม  ถ้าอยากให้เกลลี่หายนะ บอยต้องชวนเกลลี่ ออกมาข้างนอกบ่อย ๆ เข้าใจไหม เกลลี่น่ะชอบขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง บอยก็รู้ว่ามันไม่ดีกับคนป่วย” เด็กชายพยักหน้าเข้าใจที่อีกคนพูดก่อนเร่งให้ชาติกดเบอร์ของอีกฝ่ายเร็ว ๆ


                  “น้องเกรซครับ มาหาแม่หน่อยครับ” เกลหันกลับไปกวักมือเรียกลูกชายให้เข้ามาหา


                  “อะไรครับ” เด็กชายวิ่งเข้ามากอดคุณแม่ของตัวอย่างไม่รีรอ


                  “แม่มีอะไรจะบอก...”


                  เกลอุ้มลูกชายขึ้นมานั่งที่ตักก่อนกระซิบบางอย่างให้ได้ยินกันเพียงสองคน เกรซพยักหน้าเข้าใจก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปคนละทาง
 




                หลังแยกกับพวกเกลแล้ว ชาติก็พาเกรซกลับมายังโรงแรมของชิตรัตน์ด้วยสีหน้าดูมีความสุขจนใครๆ ก็สังเกตเห็น จนคนเป็นพ่อต้องหันมามองลูกชายที่ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องจนถึงตอนนี้ยังไม่หุบยิ้มเลย


                “ไปเจอเรื่องอะไรดีๆ มาหรือยังไงตาเกรซ แล้วนั่นไปเอาตุ๊กตามากจากไหนหื้อ”


                 ชิตรัตน์ทนความสงสัยเมื่อเห็นอาการออกนอกหน้านอกตาของลูกชายไม่ไหวเลยเอ่ยถามออกไป เด็กชายที่กำลังมีความสุขรีบหันหน้ามาหาคนเป็นพ่อพร้อมกับจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่เรื่องราวที่เขาได้ฟังมาเมื่อสักครู่นี้อยู่ๆ ก็ลอยเข้ามาในหัว


                  “อย่าบอกคุณพ่อนะครับว่าเจอแม่แล้ว แม่อยากเซอร์ไพรส์คุณพ่อเขา”


                เด็กชายรีบก้มหน้าหลบตาลงทันที แต่ก็ยังเอ่ยตอบบิดากลับไปแค่ว่าตนได้เพื่อนใหม่มาคนหนึ่งจากที่ไปเล่นในสวนมา ส่วนตุ๊กตานี้ก็บอกไปว่าขอให้ชาติซื้อให้เท่านั้น  ซึ่งนั้นก็ทำให้ชาติที่เดินตามเข้ามาถึงกับขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งคนเป็นพ่อก็ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นเมื่อเห็นเด็กชายทำมือเป็นสัญญาณว่าไม่ให้พูดอะไรชาติจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปและชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะถึงเขาจะเลี้ยงลูกให้ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างไร แต่เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ


                   ชิตรัตน์จึงหันไปจัดการกับเอกสารส่วนที่เหลือซึ่งยังค้างอยู่ให้เสร็จ ปล่อยให้เกรซนั่งคุยเล่นกับแก้วกล้าไปตามเรื่อง โดยกว่าที่เอกสารทุกอย่างจะเสร็จก็ใช้เวลาอยู่นานเช่นกัน กว่าจะแยกย้ายกันกลับ


                   “อาแก้วกลับยังไงเหรอครับ ให้เกรซกับคุณพ่อไปส่งไหมครับ”


                   “ไม่เป็นไรครับ วันนี้อาแก้วเอารถมาเอง ขับกลับเองได้ครับ”


                    “แต่ว่าท้องอาแก้วโตขนาดนี้จะขับได้เหรอ” 


                    เกรซเอ่ยถามอาแก้วโดยไม่ลืมเป็นห่วงคนท้องที่ต้องขับรถกลับบ้านเอง ซึ่งเขาเองก็เป็นห่วงกลัวว่าคุณอาคนสวยจะขับรถลำบาก ถ้าเกิดเป็นอะไรระหว่างทางขึ้นมาจะทำอย่างไร


                  “ไม่ต้องห่วงนะครับ อาแก้วจะขับช้าๆ อย่างระมัดระวัง รับรองว่าถึงบ้านปลอดภัยแน่นอน”


                   “ถ้าท้องใหญ่ขึ้นกว่านี้ ฉันว่าเธอนั่งแท็กซี่มามันจะดีกว่า เดี๋ยวฉันออกค่ารถให้”


                   เกรซรีบพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณพ่อที่เอ่ยออกมาสนับสนุนเขา เพราะอาแก้วอยู่เขามานานตั้งแต่จำความได้ อาแก้วค่อยมาเป็นเพื่อนเล่นกับเขาตลอดเวลาที่มารอคุณพ่อ บางทีก็มีขนมบ้างของกินบ้างรองท้องเวลาวันไหนที่คุณพ่อยังทำงานไม่เสร็จ  ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เด็กชายจะรักและเป็นห่วงคุณอาเลขาคนสวยของคุณพ่อ


                   “ถ้าออกให้เป็นเบี้ยพิเศษนี่แก้วตกลงนะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า”


                    เมื่อเลขาเสนอมาเช่นนี้มีหรือที่เจ้านายใจดีอย่างชิตรัตน์จะปฏิเสธ คำตอบตกลงของเจ้านายทำเอาว่าที่คุณแม่หัวเราะไม่ออก ก็ใครมันจะคิดล่ะว่าเจ้านายเขาจะใจปล้ำขนาดนี้ แถมลูกเจ้านายก็ยังเห็นดีเห็นงามด้วยอีก แล้วแบบนี้เขาจะขัดใจเจ้านายได้อย่างไรล่ะ จริงไหม   และเมื่อตกลงเรื่องกันได้โดยถูกใจทั้งสองฝ่ายจึงได้เวลาแยกย้ายกันจริงๆ สักที
 



                ทันทีที่ถึงบ้านเกรซก็รีบวิ่งกลับขึ้นห้องของตัวเองทันทีโดยไม่สนว่าใครจะเรียกอะไร ซึ่งชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตัวเขาเองก็กลับไปที่ห้องเช่นกัน เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาทานมื้อเย็น  ฝ่ายเด็กชายเมื่อเข้ามาในห้องก็รีบทำการล็อคประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบไขกุนแจลิ้นชักข้างหัวเตียงทันที แล้วค่อยๆ หยิบเอา สมุดโน้ตเล่มหนึ่งออกมา

เรื่องของคุณแม่

                  สมุดโน้ตเล่มนี้เป็นสมุดที่เจ้าตัวมักจะแอบเขียนเรื่องราวที่ตัวเองรู้เกี่ยวกับ แม่ ซึ่งเขาเริ่มเขียนตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปีตอนที่เขาเริ่มอ่านออกเขียนได้จากการแนะนำของอาแก้ว ถ้าอยากรู้เรื่องของคุณแม่ให้เขาจดบันทึกเรื่องราวของคุณแม่ลงไป โดยมีอาแก้วคอยช่วยอยู่ข้าง ๆ ตลอด มันทำให้เกรซรู้สึกเสมอว่าคุณแม่อยู่ไม่ไกล  โดยทุก ๆ คืนก่อนนอนคุณพ่อจะเข้ามาเล่าเรื่องราวของคุณแม่ให้ฟังทุกคืนแทนการเล่านิทาน และเขาก็จะเขียนเรื่องที่ได้ฟังมาลงในสมุดเล่มนี้


                  เริ่มด้วยหน้าแรกที่เป็นรูปถ่ายข้างหลังของคนคนหนึ่งซึ่งหันหน้าออกไปที่น้ำตก พร้อมกับวงเล็บไว้ข้างๆ รูปว่า ‘คุณแม่’ ถามว่าเกรซรู้ได้อย่างไรว่านี่คือรูปใคร คงเพราะวันนั้นเขาบังเอิญตื่นขึ้นมาตอนดึก แล้วแอบได้ยินเสียงคุณพ่อทะเลาะกับคุณย่าดังออกมาจากห้องทำงานของคุณพ่อ


                   “แกยังออกตามหาไอ้เด็กนี่อยู่อีกเหรอฮะตาชิน!!”

                   “.....”

                   “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกทำอะไรอยู่  ถึงแกเจอตัวมันก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะยอมรับมันเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านนี้น่ะ”

                    “แต่เกลเป็นเมียผมและยังเป็นแม่ของตาเกรซด้วย คุณแม่จะไม่ยอมรับได้ยังไง”

                    “เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้นน่ะ ฉันไม่ยอมรับหรอก ถึงแกจะอ้างว่ามันเป็นแม่ของหลานฉันแล้วยังไง  แกหามันมาตั้งกี่ปี 5ปี 5ปีนี้แกเจออะไรมั่ง หึ ฉันว่าป่านนี้น่ะมันคงตายไปแล้วล่ะ หรือไม่ก็คงไปมีผัวใหม่”

                    “ผมไม่เชื่อ!!  เกลยังไม่ตาย แล้วเกลก็ไม่มีทางมีคนอื่นด้วย วันนั้นผมไม่น่าทำตามข้อตกลงของคุณแม่เลยจริงๆ ไม่งั้นตอนนี้ลูกของผมเขาก็คงมีแม่อย่างคนอื่นแล้ว ผมคิดผิดจริงๆ ที่ทำตามคุณแม่”

                    “แกหาว่าฉันผิดเหรอตาชิน! ฉันเป็นแม่แกนะ!!”



                    เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เขาเองก็ยังไม่รู้หรอกว่าที่ผู้ใหญ่สองคนพูดน่ะคืออะไร หลังจากเสียงทะเลาะกันที่ดังออกมา เขาเห็นคุณย่าเอารูปบางอย่างออมาจากซองสีน้ำตาล ซึ่งมันทำให้คุณพ่อของเขามีสีหน้าตกใจมาก ก่อนที่คุณย่าจะฉีกรูปพวกนี้ทิ้งคุณพ่อก็เข้ามา พยายามแย่งจนมันกระจายไปทั่วห้อง แล้วรูปใบนี้ก็ปลิวลอดช่องประตูออกมาหาเขา เด็กชายไม่รอช้ารีบเอารูปดังกล่าวกลับห้องทันที เช้าวันต่อมา คุณพ่อกับคุณย่าดูเหมือนจะยังไม่คืนดีกัน และคุณย่าก็มักจะเข้ามาหาเขาแล้วพูดจาว่าร้ายแม่ต่างๆ นานา หาว่าแม่ของเขาเป็นคนไม่ดี ทิ้งเขาไว้กับพ่อบ้างล่ะ หนีไปมีครอบครัวใหม่บ้างล่ะ ไม่รักเขาบ้างล่ะ หาว่าแม่เขาทำร้ายร่างกายคุณย่าบ้างล่ะ  ซึ่งเขาไม่ชอบที่คุณย่าทำแบบนี้เลย ถึงเขาจะยังเด็กแต่นั่นแม่เขานะ มาว่าแม่เขาแบบนี้ได้อย่างไร และยิ่งหลังจากทะเลาะกับคุณพ่อคืนนั้น คำว่าร้ายของคุณย่าก็เพิ่มมากขึ้นจนเขารับไม่ได้


                “คุณพ่อครับ คุณแม่เป็นคนยังไงเหรอ ฮึก คุณแม่ไม่ได้เป็นแบบ..ฮึก ..ที่คุณย่าพูดใช่ไม...คุณแม่ยังรักเกรซ ฮึก ใช่ไหม คุณแม่จะกลับมาหาเกรซใช่ไหม คุณพ่อตอบเกรซมาสิ ฮืออออ คุณแม่อยู่ไหน ฮืออออ เกรซจะหาคุณแม่ ฮือออออออออ”

               
               เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร เด็กชายวัยห้าขวบจึงตัดสินใจวิ่งไปหาคุณพ่อแล้วถามในสิ่งที่อยากรู้พร้อมน้ำตา พ่อทำได้เพียงอุ้มเขามาปลอบแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาอยากรู้ให้ฟัง


              “คุณแม่ของเกรซเป็นคนดี เป็นผู้ชายที่พ่อรักมากที่สุด รู้ไหมว่าสีตากับปากของเกรซนี่เหมือนคุณแม่มากเลยนะ.......”

                 
                และวันนั้นเขาก็ได้รู้ว่า แม่เขาเป็นคนอย่างไร คุณพ่อบอกว่าคุณแม่น่ะเวลายิ้มแล้วทั้งโลกดูสดใสมาก ร่าเริงแล้วก็ใจดี แล้วยังบอกอีกว่าคุณแม่น่ะรักเกรซมากที่สุดอีกด้วย แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว แต่ว่านะ ทำไมคุณพ่อต้องทำหน้าเศร้าแบบนั้นด้วยเวลาที่พูดถึงคุณแม่ ทุกครั้งที่เขาเข้ามาถามเรื่องของคุณแม่ เมื่อเขาออกจากห้องไปแล้วคุณพ่อมักจะเหม่อออกไปข้างนอกบ่อยๆ  จนวันหนึ่งเขาแอบได้ยินคุณพ่อละเมอออกมา มันทำให้เขารู้ว่าคุณแม่ชื่อว่าอะไร คุณพ่อละเมอชื่อคุณแม่ซ้ำไปซ้ำมาสลับกับคำว่าขอโทษและบอกรัก เด็กชายรู้ดีว่าคุณพ่อรักคุณแม่มาก เขาจึงคิดว่าถ้าเขายังเอาแต่ถามถึงคุณแม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณพ่อก็จะเศร้าเพราะคิดถึง เขาจึงตั้งใจว่าจะเอาเรื่องต่างๆ ที่ได้ยินมาประติดประต่อเรื่องราวของคุณแม่เอง ถึงส่วนใหญ่จะเป็นคำว่าร้ายจากคุณย่าก็เถอะ แต่คุณแม่เป็นคนดีไม่เหมือนคุณย่าหรอกนี่คือสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดและเฝ้าเขียนเรื่องราวนั้นมาเรื่อยๆ มีเรื่องของคุณแม่สลับกับเรื่องของเขาไปมา โดยหวังว่าสักวันหนึ่งคุณแม่จะได้มาอ่านมัน

                และวันนั้นก็มาถึงแล้ว วันที่เขาเฝ้ารอมาตั้งแต่เกิด วันที่จะได้พบกับคุณแม่ เด็กชายเขียนเล่าเหตุการณ์และความรู้สึกที่มีลงไปในกระดาษด้วยสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม  คุณแม่ของเกรซน่ะรักเกรซเหมือนที่คุณพ่อบอกจริงๆ ก่อนจะรีบลงไปทานข้าวพร้อมกับคุณพ่อ เมื่อกินเสร็จแล้วจะได้รีบมาคุยคุณแม่



                “อย่างงั้นเหรอ แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ นายไปดูแลเกลต่อเถอะ”  ธารเอ่ยกับสามคนสนิทของเกลที่เข้ามารายงานเรื่องราวของเจ้าตัวที่ไปเจอมาวันนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความพึงพอใจให้คนฟังได้อย่างดี ดูเหมือนว่าอะไรๆ ก็จะเข้าข้างพวกเขาไปเสียทุกเรื่องอย่างนี้ ซึ่งมันทำให้เขาสามารถทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น เพื่อพาหลานชายของเขากลับคืนมา ธารคุยต่ออีกสักพักก่อนปล่อยให้ทั้งสามกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เพื่อรอคอยบางอย่างที่เขารอมาทั้งวัน

                 “นี่คือข้อมูลของคุณแก้วกล้าบางส่วนกับตารางงานของวันพรุ่งนี้” ไรอัลเปิดประตูเข้ามาก่อนจะวางซองเอกสารกับกระดาษหนึ่งแผ่นไว้บนโต๊ะของธาร

 
                  “ขอบคุณมาก นายไปพักได้แล้วล่ะ”  ไรอัลค้อมหัวลงแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เจ้านายของตัวเองอ่านประวัติของคนที่ไรอัลคิดว่าต่อไปนี้เขาคงจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายทุกวันแน่ๆ  คิดแล้วเขาก็เหนื่อยใจแทนว่าที่คุณแม่คนนั้นจริงๆ เลย


Rrrrrrrrrrrrrrr

                เสียงโทรศัพท์ของปีแอร์ดังขึ้นขณะที่เขากำลังนั่งรอร่างบางของเจ้านายซึ่งกำลังนั่งทานมื้อเย็นอยู่บนเตียง โดยมีธารนั่งป้อนอยู่ข้าง ๆ เขารีบขออนุญาตทั้งคู่ออกไปรับสายที่ว่า แต่เพราะเป็นเบอร์แปลก เขาจึงไม่ได้บันทึกไว้ ทำให้เขาไม่เอ่ยอะไรออกไปก่อน


               “.......”


               “ฮัลโหล”


               “.......”


              “พี่ปีแอร์ใช่ไหม ผมเองเกรซคนที่เจอเมื่อเย็นไง”  เมื่อระลึกได้ว่าเป็นใครที่โทรมา ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อคนที่เกลลี่ของเขารอโทรมาแล้ว


              “Hi Boy นั่นเอง โทรมาเร็วจังนะ”


              “คือ..ผมอยากคุณกับคุณแม่หน่อยน่ะครับ คือ....ผมคุยได้ไหม”


             “ได้อยู่แล้ว แต่รอหน่อยนะ เกลลี่กำลังทานข้าวอยู่น่ะ”


              เมื่อเด็กชายรับคำ ปีแอร์จึงเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้านายตัวบางของเขากินข้าวเสร็จพอดี แล้วบอสเองก็หันมาถามด้วยว่าใครโทรมา เขาก็เลยตอบไปตามความจริงว่า


             “น้องดีเยี่ยมโทรมาครับ น้องดีเยี่ยมอยากคุยกับเกลลี่”


              “น้องดีเยี่ยมเหรอ?”


             “ก็บอสบอกว่าให้ผมพูดภาษาไทย เกรซแปลว่าดีเยี่ยม ผมก็ต้องพูดเป็นภาษาไทยสิครับ”


             คำพูดของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเจ้านายทั้งสองได้ทันที เก-ลเองเมื่อรู้ว่าใครที่อยากคุยกับตนก็ไม่รีรอรีบให้ปีแอร์ส่งโทรศัพท์มาทันที ส่วนธารเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็ให้คนเอาถาดอาหารออกไป ส่วนตนก็หันมากำชับกับน้องชาย ว่าอย่านอนดึกนักแล้วจึงค่อยออกไป


              “น้องเกรซ”


               “คุณแม่!!”


                การคุยกันครั้งนี้ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเป็นฝ่ายเด็กชายเท่านั้นที่พูดอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ทำให้เด็กชายรู้สึกไม่ดีหรืออะไร เพราะเขาขอให้ปีแอร์ช่วยเปิด VDO Call ให้เพื่อจะได้เห็นหน้าของอีกฝ่าย ทำให้เขาได้รับรู้ว่าปลายสายนั้นยังฟัง เขาพูดอยู่ตลอด และมีเวลาพิจารณาใบหน้าของคุณแม่ให้ชัดๆ เต็มตา ถึงจะเห็นผ่านกล้องแต่แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว แม้จะได้คุยกันแค่ครู่เดียวเพราะคุณแม่เผลอหลับไปซะก่อน พี่ปีแอร์บอกว่าคุณแม่คงเพลียจากการเดินทางเลยหลับไปอย่างรวดเร็ว  ซึ่งเด็กชายก็ไม่ได้น้อยใจเลย เขาจึงบอกอีกฝ่ายว่าขอโทรมาทุกวันได้ไหม และปีแอร์ก็ไม่ทำให้ความหวังของเด็กน้อยสูญเปล่าเมื่อเขายินดีอย่างยิ่งที่จะให้เด็กชายได้โทรมาหา หนุ่มอิตาลีคงไม่รู้หรอว่าการที่ตัวเองยอมให้เด็กชายตัวน้อยได้คุยเกลลี่ของเขาน่ะ มันทำให้เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งนอนยิ้มไม่หุบไปตลอดทั้งคืนเลย


“ฝันดีนะครับ คุณแม่”


___________________________________________________________________


อย่างที่รู้ๆกันในตอนต้นเนอะที่ว่าเกลโดนพรากเอาลูกไปเลยทำให้ตอนนี้เกลอาจเหมือนคนที่มีอาการทางจิตอ่อนๆด้วย
ส่วนที่เกลบอกไม่ให้ลูกบอกกับชินเรื่องที่เจอตัวแม่แล้วก็เจ้าตัวยังกลัวอยู่ว่าถ้าชิตรัตน์รู้ว่าตนเจอกับลูกแล้วลูกจะถูกพาหนีไปอีก(
จากคนที่คุณก็รู้ว่าใคร)

นิยายเรื่องนี้ไม่มาม่า น่ารักใสๆ เนอะ ^^ :katai5:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ดีใจด้วยนะน้องเกรซที่ได้เจอแม่ซะที

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 ฉากซึ้งจริงๆ น้องเกรทได้คุยกับแม่ล่ะ ต่อไปก็พ่อชินตามหาเมียเจอสักที

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 5
(ธารxแก้ว)


             มีคนเคยบอกว่าคนท้องห้ามเครียดเพราะมันจะส่งผลต่อเด็กในท้อง แต่ตอนนี้ ‘แก้วกล้า’ บอกได้เลยว่าไม่ให้เครียดก็คงไม่ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็อยู่ดีๆ คุณโจนาธารว่าที่หุ้นส่วนใหญ่ของเจ้านายเขาที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อวาน อยู่ๆ ก็โผล่มาอยู่ด้านล่างคอนโดเขาได้อย่างไรไม่ทราบ ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงมาหาคนรู้จักที่นี่ แต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาทักเขาเองถึงที่ขนาดนี้น่ะ

             “วันนี้คุณเลขาไม่เข้างานเหรอครับ”  ไม่ว่าเปล่าผู้บุกรุกในความคิดของแก้วกล้าก็เดินเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจส่งมาให้ ก่อนจะพยายามแย่งเอากระเป๋าสะพายของเขาไปถือจนเขาต้องเบี่ยงตัวหลบเบาๆ

             “ผมจะไปทำงานหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนะครับ คุณโจนาธาร” แก้วกล้าว่าอย่างตั้งแง่

             “เกี่ยวสิครับ ผมเห็นว่าคุณกำลังท้องอยู่ จะให้ไปเองก็คงจะลำบาก ผมเลยอาสาที่จะไปส่งนี่ไง”

            “ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะครับ แต่ไม่เป็นไร ผมไปเองได้ ขอตัว”   เขารีบเดินผ่านอีกฝ่ายไปทันทีที่พูดจบ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล แค่สองสามก้าวเท่านั้นเองก็ถูกมือหนาๆ คว้าเขาที่ข้อมือ คนท้องรีบหันหน้ากลับมามองอย่างไม่ชอบใจพลางบิดข้อมือออกจากมือของอีกฝ่ายไปด้วย

            “นี่คุณปล่อยผมนะ ผมรีบ”

            “ก็รู้ว่ารีบไง ปะ เราไปกันเถอะ ฉันจอดรถไว้หน้าตึกเนี่ย”

            “นี่คุณปล่อยนะ!”  ดูเหมือนความพยายามของแก้วกล้าจะไม่เป็นผลสำเร็จสักเท่าไรเมื่อสุดท้ายเขาก็ต้องมานั่งอยู่กับอีกฝ่ายบนรถ

             “วันนี้คุณจะไปโรง’บาลใช่ไหมเดี๋ยวผมพาไป”

             “คุณรู้ได้ไงว่าผมจะไปไหน”  แก้วกล้ามองคนข้างๆ ที่ทำเพียงแค่ยิ้มมุมปากแล้วเริ่มออกรถอย่างรู้สึกระแวง เป็นใครจะไม่ระแวงมั่งล่ะ อยู่ๆ ดีมีใครที่ไหนก็ไม่รู้ เจอกันแค่วันเดียว กลับรู้ว่าวันนี้เขาจะไปที่ไหน แบบนี้มันพวกโรคจิตแน่ๆ คนตัวเล็กนั่งคิดจนหัวคิ้วสองข้างแถบจะผูกโบว์กันได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจเลยว่าคนข้างๆ ที่ขับรถอยู่น่ะ แอบยิ้มขำๆ กับท่าทางที่ดูระแวงเกินเหตุของตัวเอง


                  เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ตอนแรกแก้วกล้าคิดว่าอีกฝ่ายคงแค่มาส่งตนเอง เฉยๆ แล้วคงกลับ แต่ความคิดของเขานั้นผิดมหันต์เมื่อคนที่ควรจะกลับไปได้แล้วกลับมานั่งรอคิวตรวจเป็นเพื่อนเขาอยู่ข้างๆ แถมพวกบรรดาว่าที่คุณแม่ทั้งหลายรวมถึงพยาบาลต่างเอ่ยชมกันใหญ่ที่คุณพ่อพาคุณแม่มาหาหมอด้วยกัน คือจะให้เขาแก้ข่าวอย่างไรดีล่ะ ก็แขกไม่ได้รับเชิญข้างๆ เขาเนี่ยเล่นเออออห่อหมกกับทุกคนไปอย่างนั้น ดีที่ว่ารอคิวได้ไม่นานก็มีพยาบาลมาเรียกเพราะถึงคิวเขาสักที คนตัวเล็กจึงรีบลุกเข้าไปในห้องตรวจทันทีโดยไม่ยอมบอกหรือรอว่าที่คุณพ่อกำมะลอ

                  “เป็นไรไปน่ะแก้ว ทำคิ้วผูกโบว์เข้ามาเชียว”   

                    เสียงหวานของ คุณหมอพลอยรัมภา คุณหมอเจ้าของไข้เขาดังขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้

                   “พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเครียดน่ะ เดี๋ยวมันจะส่งผลถึงเจ้าตัวเล็กในท้องนะ หืออ”

                    “ขอโทษครับพี่หมอ พอดีแก้วมีเรื่องไม่ชอบใจนิดหน่อยน่ะครับ”
 
                    “อย่างงั้นเหรอ”

                   เขาทำเพียงพยักหน้าให้ก่อนที่คุณหมอสาวจะเริ่มตรวจและถามอาการต่างๆ ของคนไข้ตามปกติ และอาจมีถามสารทุกข์สุขดิบบ้างตามประสาคนรู้จัก  เพราะเขากับคุณหมอสาวรู้จักกันผ่านทาง แทนไท คนรักที่เสียชีวิตไปแล้วของแก้วกล้า ด้วยความที่คุณหมอเป็นเพื่อนสนิทของแทนไทตั้งแต่สมัยเรียน และเป็นคนดูแลแก้วกล้าในวันที่แทนไทจากไปอย่างไม่วันหวนกลับ ทำให้แก้วกล้ามีความสนิทสนมกับคุณหมอสาวคนนี้ในระดับหนึ่ง

               “ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กจะดิ้นบ่อยหน่อยนะ เตรียมตัวปวดหลังไว้ได้เลย แล้วนี่เราจะไม่ลองซาวด์ดูหน่อยเหรอว่าเจ้าตัวเล็กนี้น่ะเป็นหญิงหรือชาย”

               “ยังดีกว่า ผมว่าไปลุ้นเอาตอนคลอดเลยดีกว่า น่าตื่นตะ....”

                “คุณจะเข้ามาห้องตรวจ ทำไมไม่บอกผมล่ะ นี่ผมเดินหาคุณไปทั่วเลยนะ”    เสียงของธารที่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาแล้วพูดขัดประโยคของแก้วกล้า มันยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากซัดคนตัวโตนี่จริงๆ เลย

                “เอ่ออ.... ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ คนที่จะเขามาในห้องตรวจได้ต้องปะ.....”

                “ผมเป็น ว่าที่พ่อของเด็กในท้อง ครับ”

                !!!!

                เกิดความเงียบขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมายกับคำพูดของคนที่มาใหม่ ซึ่งพลอยรัมภากับแก้วกล้าได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจเจตนาของอีกคน และยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีกเมื่อคนที่เพิ่งเปิดประตูเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขาอย่างถือสิทธิ แล้วยังมาพูดว่าเป็น ‘ว่าที่พ่อ’ ของลูกเขาอีก

                 “นี่คุณ!!”

                “จุ๊ๆๆ ไม่เอาสิที่รัก ขึ้นเสียงแบบนี้เดี๋ยวลูกเราตกใจหมดหรอก โอ๋ๆๆ ไม่ตกใจนะเด็กดี”

                นอกจากไม่สะทกสะท้านอะไรแล้วยังมีหน้ามาสั่งสอนเขาอีก แถมยังเอามือมาลูบท้องเขาทำมาเป็นปลอบใจลูกเขาอีก มันจะมากไปแล้วนะเฮ่ยยย!!!

                 “เอ่อ ใจเย็นๆ กันก่อนนะคะทั้งสองคน”

                เสียงของคุณหมอสาวดูเหมือนจะได้สติกลับมาครบแล้ว รีบเอ่ยปากห้ามทัพทันทีที่เห็นว่าคนท้องเริ่มตั้งท่าจะกินหัวคนที่เข้ามาใหม่ให้ได้

                 “คือ คุณบอกว่าเป็นใครนะคะ”

                 “ว่าที่พ่อของเด็กครับ” คนตัวโตไม่สนใจกับสายตาจิกกัดของคนตัวเล็กที่ส่งมาให้อย่างไม่พอใจ แถมเขายังตอบคำถามได้อย่างเสียงดังฟังชัดอีก น่าภูมิใจจริงๆ

                “เอ่อ...ถ้าอย่างงั้นก็อยู่ฟังด้วยเลยละกันนะคะ” รู้สึกเข้าใจอารมณ์ของน้องแก้วซะแล้วสิ ปวดหัวค่ะ

                “คือเรื่องที่พี่จะพูดคือ พี่อยากให้เราน่ะระวังเรื่องสภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น อย่างที่รู้ว่าการตั้งครรภ์ในเพศชายมีสิทธิที่จะเกิดภาวะพวกนี้ได้ง่ายกว่าผู้หญิง ดังนั้นถ้าเราอยู่ๆ น้ำหนักก็เพิ่มอย่ารวดเร็ว มือเท้าบวม ความดันเกินหรือมีอาการปวดหัว ตาพร่ามัว หรือปวดท้องให้รีบมาหาพี่เลยเข้าใจไหม แล้วที่สำคัญนะอย่าเครียดเพราะมันส่งผลถึงเจ้าตัวเล็กด้วย” คุณหมอสาวทำเสียงดุใส่คนไข้เล็กน้อย

                 “ครับ”

                 “วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาแล้วล่ะ”

                  “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”   
                   เมื่อไม่มีอะไรแล้วแก้วกล้าก็ลุกเพื่อจะกลับสักทีแต่ก็ไม่วายโดนคนตัวโตทำท่าจะมาพยุงเขาให้ได้จนน่าหงุดหงิด

                 “คุณว่าที่คุณพ่อคะ ช่วยอยู่คุยกับหมอก่อนได้ไหมคะ”
                  เสียงของผู้หญิงคนเดียวในห้องเอ่ยเรียกความสนใจจากคนทั้งสองให้หันกลับมาสนใจทันที

                 “คุณหมอมีอะไรจะคุณกับผมเหรอครับ”

                 “นิดหน่อยน่ะค่ะ แก้วออกไปรอข้างนอกก่อนนะ พี่ขอยืมตัวเขาแปปนะ”
                  แก้วกล้ามองพี่หมออย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมเดินออกจากห้องไปตามคำขอของคุณหมอสาว

                   ธารมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นไปก่อนจะย้อนกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งหลังจากที่กำชับคนท้องว่าให้รอเขาอยู่หน้าห้องอย่าหนีไปไหน ซึ่งดูท่าแล้วคนถูกสั่งออกจะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร แต่อย่าถามเลยว่าสนไหม ไม่อะ เขาไม่สนอยู่แล้วเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ไปไหนไม่ได้หรอกก็กระเป๋าของเจ้าตัวน่ะอยู่กับเขา

                  “คุณหมอมีอะไรจะพูดเหรอครับ”

                   “แหม เปิดประเด็นเร็วจังนะคะ กลัวว่าแก้วจะหายเหรอคะ”

                   คนเป็นหมอแซว แต่อีกคนทำเพียงแค่ยักไหล่เท่านั้น ก่อนจะกลับมาสนใจคุณหมอคนสวยตรงหน้าที่ดูท่าทางจะอยากเปลี่ยนอาชีพจากหมอสูติมาเป็นพนักงานสอบสวน

                   “คุณรู้จักกับแก้วนานหรือยังคะ”

                  “ ผมว่านี่ไม่น่าใช่ข้อมูลที่เอาไว้ตรวจนะครับ”

                  “ตอบมาเถอะค่ะ บางทีฉันอาจบอกวิธีรับมือกับแก้วให้คุณก็ได้นะคะ”   

                   เมื่อคุณหมอมีข้อแลกเปลี่ยนที่ดูเข้าท่า มีหรือคนอย่างโจนาธารจะปล่อยให้ข้อแลกเปลี่ยนนี้หลุดมือ

                  “ถ้าถามว่ารู้จักนานหรือยังก็คงจะหลายปีอยู่ แต่เพิ่งเคยเจอแล้วก็คุยกันจริงๆก็หนึ่งวัน เพิ่งเจอกันเมื่อวาน”

                   ก็เขาตามสืบเรื่องของชิตรัตน์มาตั้งห้าปี การที่เขาจะรู้จักกับแก้วกล้าด้วยนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  แล้วเขาพูดอะไรผิดไปหรือไง ทำไมคุณหมอคนสวยต้องยกมือกุมขมับ อ้าปากค้างแบบนั้นด้วย

                   “อะไรนะ!!”
                    คุณหมอสาวที่ควานหาเสียงของตัวเองจนเจอก็ร้องเสียงหลงออกมาอย่างตกใจ

                   “เอาใหม่สิ เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณเพิ่งเจอกับแก้วแค่วันเดียว ใจเย็นๆ นะคุณ สูดหายใจเข้าลึกๆ โอเค ดีแล้ว  เอาใหม่ถามใหม่ คุณมาทำแบบนี้ทำไมเนี่ย”
                    ดูท่าแล้วไอ้ที่ให้ใจเย็นน่ะคงจะเป็นการบอกตัวเองไม่ใช่บอกเขาสินะ ธารคิด เพราะดูท่าแล้วคุณหมอตรงหน้าเขาท่าจะอาการหนัก

                   “แบบไหน แบบเมื่อกี้น่ะเหรอ ถ้าแบบเมื่อกี้นะ ผมบอกให้ก็ได้ว่าผมสนใจเขา อยากรู้จักให้มากกว่านี้”
                    ใช่ เขายอมรับว่าสนใจ แต่ไอ้จะให้บอกว่า รู้สึกชอบ ตั้งแต่เห็นหน้าก็กลัวจะโดนคุณหมอแซวเอา ไม่ได้ๆ เสียฟอร์มหมด

                     “ถ้าคุณแค่ สนใจ ฉันว่าคุณควรหยุดซะเถอะค่ะ” พลอยรัมภาว่าเสียงเครียด

                     “เพราะอะไรเหรอครับคุณหมอ ถ้าบอกเหตุผลดีๆ ให้ผมได้ ผมอาจหยุดก็ได้นะ”

                      หนุ่มลูกครึ่งว่าเสียงยียวนซึ่งนั่นทำให้คุณหมอพลอยรัมภาเลือกที่จะเงียบไม่ตอบหรือหาเหตุผลอะไรไปให้คนตรงหน้าอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ เธอแค่กำลังประเมินสถานการณ์ เพราะตัวเธอเองก็เห็นแก้วกล้าเหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่ง และอีกอย่างเธอสัญญากับแทนไทเอาไว้แล้วว่า เธอจะเป็นคนดูแลคนรักของเพื่อนเอง ดังนั้นถ้ามีใครเข้ามาในชีวิตของแก้วกล้าแล้วล่ะก็ ต้องผ่านเธอไปให้ได้ซะก่อน

            “คุณคิดจะจริงจังกับแก้วเขามากแค่ไหนกัน”   

             สุดท้ายเมื่อไม่เห็นว่าจะหาเหตุผลอะไรได้ เธอจึงเลือกตั้งคำถามเอาซะดีกว่า ซึ่งชายหนุ่มเองก็เปลี่ยนท่าทางเหมือนเล่นในตอนแรกที่คุยเป็นจริงจังจนเธอรู้สึกได้

                “มาก มากที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสนใจในตัวของใครได้”

                 “แล้วคุณรับได้เหรอ แก้วน่ะท้องอยู่นะ เขาไม่ได้เป็นของคุณคนแรก คุณรับได้เหรอ”

                 “คุณหมอ ถ้าคุณชอบหรือรักใครน่ะ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร คุณจะรับเขาได้เสมอ แก้วน่ะถึงผมจะเพื่งเจอเขาแค่วันเดียว แต่ผมเชื่อว่านี้ล่ะคนที่ผมตามหา และต่อให้เขามีสามีมาแล้วแปดคนหรือมีลูกมาอีกเป็นโหลผมก็รับได้”

                 ธารเอ่ยอย่างจริงจังตามที่เขาต้องรู้สึก เพราะถ้าเป็นคนที่เขาเลือกแล้ว ต่อให้อีกคนเป็นเช่นไร เขาก็จะยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นให้ได้ อย่างแก้วกล้าเองก็เหมือนกัน ถึงจะกำลังท้องแล้วอย่างไรล่ะ สามีก็ไม่มีแล้วไม่ใช่หรือไง เพราะงั้นเขาก็มีสิทธิสิถูกไหม เขารับได้ทุกอย่างแหละ

                  จากคำพูดและแววตาที่ดูจริงจังของคนตรงหน้า คุณหมอพลอยรัมภาก็ค่อยๆ ยิ้มออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ ผ่าน คนคนนี้ผ่านด่านเธอ ถามว่าทำไมถึงง่ายนักเธอเองก็ตอบไม่ได้หรอก แต่สำหรับเธอแล้วแววตาจริงจังในตอนที่ตอบคำถามของเธอน่ะ เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้โกหก บางทีผู้ชายคนนี้อาจเข้ามาดูแลแก้วกล้าต่อจากเพื่อนเธอได้จริงๆ

                  “ได้ยินคุณพูดแบบนี้ฉันก็ดีใจค่ะ  คุณชื่ออะไรเหรอคะ แล้วคุณน่ะรู้อะไรเกี่ยวกับแก้วเขามั่งล่ะคะ”

                  “ผมชื่อโจนาธาร คุณหมอเรียกว่า ธาร เฉยๆ ก็ได้เรื่องของแก้วนะเหรอ ผมรู้แค่ว่า แก้วทำงานเป็นเลขาของคุณชิตรัตน์ เจ้าของบริษัทนพเทพ เขากำลังท้องหกเดือน มีแฟนแต่ยังไม่ได้จดทะเบียน แฟนชื่อ แทนไท เสียชีวิตแล้ว แค่นี้พอไหมครับสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันหนึ่งวัน” 

                   ธารบอกไปแค่บางส่วนที่เขารู้ ไอ้การจะให้เขาบอกประวัติทั้งหมดของแก้วที่เขาเพิ่งได้มาจากไรอัลเมื่อเช้าให้คนตรงหน้าฟังหมดน่ะ เขาก็โดนหาว่าเป็นพวกโรคจิตไม่ก็สโตกเกอร์กันพอดี

                   “พอค่ะ แต่ออกจะเกินไปสักหน่อยนะคะ” หล่อนหัวเราะออกมากับข้อมูลที่อีกฝ่ายบอก ถือว่าคนตรงหน้าก็ทำการบ้านเหมือนกันนะ แถมรู้เยอะขนาดนี้คงจะจริงจังน่าดู

                    “ฉันดีใจนะที่จะมีคนมาดูแลเด็กคนนั้นต่อจากเพื่อนฉัน  เพราะตั้งแต่ไทเสียไปเด็กคนนั้นก็ต้องอยู่คนเดียวแถมยังท้องแบบนี้อีก  พ่อแม่ก็เสียไปหมดแล้ว เหลือก็แค่ลุงกับป้า แก้วเป็นพวกมีอะไรไม่ค่อยบอกด้วย ฉันเองมีงานยุ่งไม่ค่อยได้ดูแลเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณพูดมาแบบนั้นฉันจะวางใจค่ะ ยังไงก็ฝากแก้วด้วยนะคะ”

                     หมอพลอยรัมภาพูดในสิ่งที่ตนคิดให้ชายหนุ่มฟัง อย่างน้อยๆ มีคนค่อยอยู่ด้วยเวลามีปัญหาอะไรแก้วก็จะได้ไม่เป็นไร   และเมื่อหมดธุระแล้วธารจึงขอตัวไปหาคนที่รออยู่ข้างนอก แต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูออกไป เสียงคุณหมอสาวก็เรียกเขาอีกครั้ง

                     “คุณธารคะ  แก้วไม่ชอบให้ใครที่ไม่สนิทโดนตัวถ้าไม่จำเป็น ยังไงถ้าไม่อยากให้แก้วขู่เป็นแมวใส่บ่อยๆ ก็เนียนๆ หน่อยนะคะ หึหึหึ”

                       ชายหนุ่มค้อมหัวขอบคุณสำหรับคำแนะนำเมื่อครู่จึงเดินออกจากห้องไปก็เจอคนที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่นั่งหน้าหงิกอยู่บนเก้าอี้

                       “คุณคุยอะไรกับพี่หมอ”

                       “ทำไมครับ หึงผมแล้วเหรอ”

                        แก้วกล้าสะบัดหน้าหนีคำแซวของอีกฝ่ายก่อนจะเดินนำคนตัวโตไปยังช่องรับบัตรนัดของเดือนหน้าและรอจะจ่ายเงินแต่ก็ถูกอีกฝ่ายชิงตัดหน้าไปก่อน แถมถูกอีกฝ่ายลากกลับมาที่รถอีกครั้ง

                        “นี่คุณไม่มีการมีงานทำหรือไงถึงได้มาตามติดผมเป็นเจ้ากรรมนายเวรแบบนี้เนี่ย”

                        “มีแต่ไม่ทำ”  แก้วกล้ากรอกตาไปมาอย่างระอาใจกับคำตอบซึ่งดูขาดความรับผิดชอบของคนด้านข้าง จนเขาต้องนั่งสะกดจิตตัวเองให้ทำใจเย็นๆ จะได้ไม่ต้องเผลอไปถวายสองขาคู่ให้อีกคน

                         “จริงสิ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วแก้วหิวยัง”   

                         “ผมไม่หิว ผมจะกลับบ้าน”

                         “ได้ยังไงกันล่ะแก้ว คุณไม่หิวแต่ลูกเราหิวนะ”

                          คำว่า ‘ลูกเรา’ ที่ออกมาจากปากของธารมันช่างรู้สึกระคายหูของแก้วกล้าเป็นอย่างมาก จนอยากจะออกปากเถียงเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ท้องเจ้ากรรมก็ดันไม่ให้ความร่วมมือ ดันร้องออกมาไม่เกรงใจเขาเลย

                         “ไหนว่าไม่หิวไง เอาน่ามื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ไม่ต้องเกรงใจนะ”

                          ธารยิ้มขำกับท่าทีของอีกคน ก่อนจะขับพาว่าที่คุณแม่ไปเรื่อยๆ จนถึงร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งตามรายงานที่เขาได้มาจากไรอัล ว่าร้านแห่งนี้เป็นร้านประจำของเจ้าตัว จึงมักจะแวะเวียนมาที่นี้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ถ้าจะถามว่าชอบกินขนาดไหนน่ะเหรอ ก็คงต้องบอกว่ามากเลยล่ะ ไม่เชื่อก็ดูเอาสิ นี่ขนาดยังไม่ทันจะได้จอดรถเลยนะ ตากลมๆ นั่นก็โตเป็นเด็กได้ของถูกใจซะแล้ว

                          น่ารักจริงๆ เลย ว่าที่เมียใครเนี่ย

                          บรรยากาศภายในร้านที่เป็นแบบโมเดิร์นผสมกับการตกแต่งแบบญี่ปุ่นดูเรียบง่ายแต่แฝงความโดดเด่นเฉพาะตัวเอาไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งธารเองก็แอบรู้สึกพอใจกับการจัดร้านเช่นนี้อยู่พอควรและเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูถูกอกถูกใจร้านนี้เป็นพิเศษ

                           ธารเลือกที่นั่งแบบครอบครัวด้านในของร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว แม้ตอนนี้คนจะยังไม่เยอะมาก แต่เท่าที่เขาคะเนเอาไว้แล้วอีกไม่นานคนคงจะเริ่มทะยอมมากัน

                            พอได้ที่นั่งเรียบร้อยบริกรชายก็เดินเข้ามาพร้อมสมุดรายการอาหารพร้อมทักทายแก้วกล้าบางเล็กน้อยตามประสาคนคุ้นหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองกลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้าเอาแต่คุยกับเด็กหนุ่มอายุน้อยคนนั้นอย่างสนิทสนม เขาเลยจัดการเรียกเด็กนั่นเข้ามาสั่งอาหารเพื่อเป็นการไล่แมลงออกจากดอกไม้หอมของเขาไปไวๆ

                            ระหว่างที่รออาหารมา แก้วกล้าลอบมองท่าทีของคนตัวโตอยู่หลายครั้งก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่มันค้างคาใจเขามาตั้งแต่เมื่อวานออกมา

                            “คุณต้องการอะไรถึงทำแบบนี้”

                            “หืออ นี่น่ะเหรอ ก็ตามจีบเธอไง ดูไม่ออกเหรอครับคุณแก้วกล้า”

                            ธารส่งยิ้มหวานตอบกลับไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าเขารู้สึกอะไรมากไปกว่าการตีหน้ายุ่งกว่าเดิม พร้อมรีบถามคำถามใหม่ที่มันชัดเจนกว่าเดิม

                           “ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ผมหมายถึงที่คุณเข้ามาร่วมธุรกิจกับคุณชินต่างหากเล่า” 

                            “คุณหมายถึงอะไร”  ธารแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่รู้ถึงคำถามที่คนตัวเล็กถามมาพร้อมทั้งยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเหมือนไม่มีอะไร

                             “ คุณอย่าคิดว่าผมดูไม่ออกนะ  คุณมีแผนอะไรถึงเข้าหาคุณชินฮะ!!”

                            “คนท้องนี่คิดมากอย่างนี้ทุกคนเลยหรือไง”    เพราะไม่อยากตอบคำถามของคนตัวเล็กธารเลยเลือกที่จะถามกลับบ้าง

                             “แววตาของคุณมันบอก มันบอกว่าคุณกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดจะทำอะไร  แต่คุณชินเป็นเจ้านายผมถ้าคุณคิดไม่ดีล่ะก็ผมไม่ปล่อยคุณไว้เหมือนกัน”

                               ธารหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ตัวเท่าลูกแมว อ้อไม่สิ ต้องแม่แมวถึงจะถูกแถมกำลังท้องอยู่ด้วย ตัวแค่นี้อะนะจะมาสู้กับผู้ชายตัวโตเป็นหมีอย่างเขา

                               “ดูคุณเลขาจะเป็นห่วงเจ้านายเหลือเกินนะ”

                              “ก็แน่สิ เพราะถ้าคุณทำอะไรเจ้านายผมแล้วใครจะจ่ายเงินเดือนผมล่ะ ผมต้องกินต้องใช้นะ”

                              สิ้นคำตอบของแม่แมวตัวน้อย ธารมองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆก่อนสมองจะประมวลผลแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อายว่าใครจะมองหรอเปล่า ทำไงได้ล่ะ ก็มันจี้อะ อะไรจะตรงปานนั้น นี่ถ้านายชิตรัตน์มาได้ยินถึงความสำคัญของตัวเองที่มีต่อเลขาคนสวย ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะทำหน้าอย่างไร แถมคนตรงหน้ายังทำหน้างงใส่เขาอีกประมาณว่าเจ้าตัวพูดอะไรผิด

                            โอ๊ย  อย่ามาทำให้ชอบมากกว่านี้เลยจริงๆ
 


                แต่ก่อนที่ธารจะได้ขำจนกรามค้างจริงๆ พนักงานก็เอาอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟพอดีทำให้การสนทนาครั้งนี้จบลงแม้ คนตัวโตจะเผลอขำออกมาเป็นระยะๆ บ้างก็ตาม   และเมื่อกินอาหารเสร็จเรียบร้อยคนตัวโตจึงอาสาตัวเองไปส่งอีกฝ่ายอย่างไม่ฟังคำทัดทานอะไร ซึ่งคนตัวเล็กเริ่มที่จะปลงบ้างแล้วล่ะ แต่ก็ไม่วายต้องปวดหัวอีก เมื่ออยู่ๆ คนที่บอกว่าจะมาส่งดันลงจากรถแล้วตามเขาเข้ามาในลิฟต์ด้วยซะอย่างนั้น

                   “นี่คุณจะตามผมมาทำไมเนี่ย กลับไปได้แล้ว”

                   “ใจร้ายจังนะ ผมมารับคุณไปหาหมอแถมพาไปเลี้ยงข้าวแถมยังมาส่งอีกจะไม่ให้ผมขึ้นไปดื่มน้ำให้ชื่นใจหน่อยเหรอ ไหนคุณแม่ผมท่านบอกว่าคนไทยมีน้ำใจไง แค่นี้ก็ไม่ได้”

                   คนตัวเล็กอยากจะพูดออกไปมากเลยว่า ไม่ได้ขอ แต่ทำไงได้ล่ะตามมาขนาดนี้แล้วก็ต้องหาน้ำให้ดื่มอย่างที่อีกฝ่ายต้องการเดี๋ยวจะหาว่าเขาแล้งน้ำใจ  เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจึงเห็นส่วนทางเดิน เจ้าของห้องชุดเดินไปเปิดประตูให้คนที่คิดว่าตัวเองเป็นแขกได้เข้ามา  ภายในห้องชุดสองชั้นซึ่งคนตัวเล็กอาศัยอยู่ถือว่าราคาแพงถ้าเทียบกับเงินเดือนของคนที่มีตำแหน่งเป็นแค่เลขา

                   “ห้องนี้เป็นของคุณลุงน่ะ ท่านไม่ค่อยอยู่เลยยกห้องนี้ให้ผม คุณนั่งรอก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะเอาน้ำเย็นชื่นใจมาให้”

                   เหมือนคนตัวเล็กจะคิดว่าอีกฝ่ายต้องถามแน่เลยชิงพูดดักไว้ก่อนจะกระแทกเสียงจิกกัดในตอนท้าย แต่ถึงเขาไม่บอกคนตัวโตก็รู้อยู่แล้วละ  ลุงกับป้าของคนตัวเล็กน่ะเป็นถึงผู้พิพากษากับส.ส.ท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในจังหวัดแห่งหนึ่ง เรื่องเงินเดือนคงไม่ต้องพูดถึงหรอก

                 “เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยโทรศัพท์หน่อยนะ”

                   ธารเอ่ยกับเจ้าของห้องที่ทำเพียงชี้ไปที่นอกระเบียงก่อนเดินไปยังสระน้ำเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกระเบียง เพื่อโทรศัพท์หาไรอัล ถามเรื่องงานที่บริษัทว่ามีอะไรที่เขาต้องเซ็นหรือไม่พร้อมบอกว่าเดี๋ยวตอนเย็นจะเข้าไป เพราะถ้าไม่เข้าไปไรอัลจะกลับบ้านอย่างไร ในเมื่อเขาเอาไรอัลไปปล่อยทิ้งไว้ที่บริษัทแล้วตีรถกลับมาเสนอหน้าหาคนตัวเล็กตั้งแต่เช้า รับรองได้เลยว่าเขาต้องโดนเจ้าตัวงอนแน่นอนแถมอาจยังต้องนั่งฟังเสียงบ่นจากเจ้าตัวอีกด้วยแต่จากที่ฟังน้ำเสียงแล้วท่าทางเขาจะโดนงอนไปแล้วจริงๆ สินะ สงสัยงานนี้ต้องซื้ออะไรไปง้อซะหน่อยแล้ว 

                     หลังจากว่างสายจากไรอัลเรียบร้อย เขาต่อสายหาปีแอร์ต่อทันทีที่เพื่อถามถึงน้องเกลสุดที่รัก และได้คำตอบว่าน้องน้อยของเขากำลังนอนกลางวันอยู่ ซึ่งวันนี้เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษนอกจากอ่านหนังสืออยู่ในห้อง นั่งดูซีรีส์กับปีแอร์ ซึ่งถ้าให้เขาเดา เจ้าหมอสติเพี้ยนคนนี้แหละที่เป็นคนอยากดูเลยให้น้องชายเขาดูเป็นเพื่อนเขาล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไรอัลยอมตกลงปลงใจกับเจ้าเด็กนี่ได้อย่างไร

                เมื่อไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้วธารจึงเดินกลับไปที่โซฟาเหมือนเดิม จะต่างออกไปหน่อยก็ตรงเจ้าของห้องกลับนั่งหลับแทนที่เขาไปซะแล้ว ชายหนุ่มทำเพียงนั่งลงบนโซฟาข้างๆ คนตัวเล็กเบาๆ เพราะกลัวคนหลับจะตื่น ก่อนค่อยๆ ขยับให้อีกคนมานอนหนุนตักเขาดีๆ โชคดีว่าโซฟาห้องนี้เป็นแบบใหญ่เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าถ้าต้องนอนแล้วจะกลิ้งตกลงไป

                “นั่งหลับแบบนี้ก็ปวดหลังหมดสิ”

                ธารว่าเบาๆ ตามที่ตัวเองคิดก่อนจะนั่งมองหน้าคนหลับบนตักเขาแล้วเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องนูนของคนตัวเล็กเบาๆ

                “เรื่องของฉันเธอยังไม่ต้องรู้ตอนนี้หรอก  แม่แมวน้อย”

                    ___________________________________________________________


พักเบรกชีวิตครอบครัวกันสักครู่แล้วมาจอยกับความหน้ามึนของคุณพี่ชายกันก่อนสักเล็กน้อย
ตอนหน้า จะเป็นการพบกันของ ของ ของ   .......
ของใครดีหน่า???

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ดูเป็นผู้ชายใจกว้างและอบอุ่นมากกกกกกเลยค่ะ แต่อย่าทำให้เขาโกรธนะไม่งั้นคงจะเหมือนกับที่ชินกำลังโดนแน่ๆ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 6




              ความสุขเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานี่คงเป็นเรื่องจริงสินะ เพราะตลอดช่วงเวลาตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาของเกรซ หากจะบอกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขก็คงจะได้เพราะเวลาแค่เพียงเท่านี้มันทำให้หัวใจของเด็กชายอายุห้าปีได้เรียนรู้จักคำว่า ครอบครัว ว่าเป็นอย่างไร ครอบครัวที่มีกันทั้ง พ่อ แม่ และลูก


              ตอนกลางวันอยู่กับคุณพ่อ ได้คุยได้กินข้าวด้วยกันเหมือนปกติ เพิ่มเติมคือตอนกลางคืนก่อนนอนเขายังได้คุยกับคุณแม่ มีบอกฝันดีกันทุกคืนเลยด้วยนะ ไม่อยากจะอวด    ถึงแม้ว่าคนเป็นพ่อจะไม่ได้รับรู้ด้วยว่า ‘แม่’ ของเขากลับมาแล้วก็เถอะ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ว่าคุณพ่อเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่เป็นแบบนี้ แต่เด็กชายก็ไม่ได้โกรธอะไรบิดาตนเองเลยเพราะเขาคิดว่า ‘พ่อ’ ต้องมีเหตุผลที่ทำลงไป แต่ถ้าถามว่าเคืองไหม ขอตอบเลยมาก มาก ถึงมากที่สุด และการที่เขาไม่ยอมบอกนั้นก็คงจะเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยตามประสาเด็กของเขาล่ะมั้ง เพราะอย่างไรเขาก็รู้ดีว่าคุณพ่อออกตามหาคุณแม่ตลอด คุณพ่อยังรักและยังคอยเป็นห่วงคุณแม่อยู่ตลอด แต่คุณพ่อไม่ได้เรื่องเองนี่นะ ช่วยไม่ได้ ส่วนคุณย่าน่ะเหรอ ไม่เอาอะ ไม่อยากพูดถึง อาแก้วชอบพูดไว้ อะไรที่ไม่ดีไม่น่าจำก็ไม่ต้องเอามาใส่ใจ เพราะเขาไม่ชอบคุณย่า เวลาอยู่ด้วยแล้วมีแต่เรื่องไม่น่าจำเพราะงั้นไม่เอาไม่พูดถึง ไม่ดีๆ


               แต่เมื่อมีความสุขก็ต้องมีความอิจฉาจริงไหม? และคำว่า อิจฉา นี่ล่ะคือความรู้สึกที่เกรซได้เรียนรู้มัน ถามว่าอิจฉาใครก็คงไม่ถูก ต้องถามว่าอิจฉาอะไรมากกว่า เพราะจะให้เขาอิจฉาพี่ปีแอร์ก็คงไม่ใช่ เพราะรายนั้นน่ะสะพานไม้สักทองของเขาเชียวนะ หากไม่มีแล้วเขาจะได้คุยกับคุณแม่ทุกคืนแบบนี้เหรอ ถ้าจะให้บอกล่ะก็ได้อยู่หรอก ไอ้ที่เขาอิจฉาน่ะมันก็คือ ‘เจ้าเหมียวแมวผีเน็ตตี้’ เวลาเขาเปิด VDO Call กับคุณแม่ทีไรมันต้องโผล่มาออดอ้อนคุณแม่ให้อุ้มมันบางล่ะ ลูบหัวลูบหางให้มันบ้างล่ะ แถมยังมาจุ๊บคุณแม่เขาให้จุ๊บมันคืนอีก แถมยังมาทำลอยหน้าลอยตาใส่เขา มันน่านัก มันน่าเอาไปปล่อยวัดให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ


              “เน็ตตี้...ไม่เอาสิ อย่าบังกล้อง เกลมองไม่เห็นหน้าน้องเกรซนะ”


               นั่นไง มันเริ่มอีกแล้วเพราะว่าคุณแม่เปิดกล้องจากโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ที่พี่ปีแอร์บอกว่าพี่ชายของคุณแม่ลงทุนซื้อให้ใหม่เลย ไหนจะยังซื้อโทรศัพท์มือถือให้ใหม่ด้วย แหมดูท่าทางคุณลุงของเกรซนี่จะติดน้องมากเลย  ซึ่งไอ้แมวผีมันมักจะมานั่งบนเครื่อง คือตัวมันก็ใช่ว่าจะเล็กๆ นะเฮ้ย นั่งทีบังมิดเลย และสงสัยว่าพูดไปมันคงไม่ฟังเพราะสุดท้ายเขาเห็นว่าคุณแม่ต้องเอื้อมมาอุ้มมันไปวางไว้ที่ตักแทน  นั่นๆๆ มันยังมาทำลอยหน้าลอยตาใส่เขาอีก นี่ถ้าไม่ติดว่าภาพลักษณ์เด็กดีที่เขาอุตส่าห์สร้างให้คุณแม่ดูตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาจะเสียเปล่านะ จะด่าให้ลืมชื่อเลยไอ้แมวบ้า พอยุติเรื่องไอ้แมวผีจบเขาถึงได้คุยกับคุณแม่ต่ออีกนิดหน่อย พี่ชายของคุณแม่ก็จะเข้ามาเพื่อพาคุณแม่เข้านอน ซึ่งพลอยทำให้เขาได้เห็นหน้าคุณลุงไปด้วย ได้คุยกันบ้างเป็นบางครั้ง คุณลุงของเขาหน้าตาไม่ค่อยเหมือนคุณแม่เท่าไร นอกจากสีผมและสีตาแล้วไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย อาจเป็นเพราะคุณลุงออกไปทางคนต่างชาติมากกว่าคุณแม่ที่ยังพอเดาได้ว่าเป็นลูกครึ่ง   
     
         
                 “น้องเกลครับ ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้น้องเกรซต้องตื่นไปเรียนแต่เช้านะครับ”  ธารว่าพร้อมเข้ามานั่งข้างๆ เกลบนเตียงนอน


                 “ก็ได้ครับพี่ธาร”
                  แม้เจ้าตัวจะยู่หน้าไม่พอใจนิดๆ เหมือนทุกครั้ง แต่สุดท้ายเกลก็ยอมเอ่ยลาลูกชายตัวน้อยสำหรับคืนนี้แต่โดยดี


                “ฝันดีนะครับน้องเกรซ อย่าลืมเอาโทรศัพท์ไปคืนอาชาติด้วยนะครับ”


                “ครับ ฝันดีนะครับคุณแม่ คุณลุง”


               เด็กชายทำท่าตะเบะรับทราบแต่ก็ยังไม่กดปิดหน้าจอ เพราะเขาอยากมองดูภาพคุณแม่ตอนเข้านอน เพราะมันเป็นภาพน่ารักๆ ที่เขาจะได้เห็นคุณลุงตัวหมีของเขาจัดหมอนจัดท่านอนให้คุณแม่ แถมมีกดจูบไปที่ขมับของคุณแม่เบาๆ ให้คุณแม่เขาหอมแก้มกลับด้วย 


                น่ารักกกกก เขาก็อยากทำแบบนี้กับคุณแม่เหมือนกันนะ


              “นอนได้แล้วไอ้ลูกหมา”

                เสียงคุณลุงเอ็ดเบาๆ ก่อนหน้าจอจะดับลง เกรซจึงจัดการวางอุปกรณ์สื่อสารของอาชาติที่ตนมักจะยืมมาคุยกับคุณแม่ทุกคืนไว้ที่โต๊ะตรงหัวเตียงเพื่อรอเวลาที่อาชาติจะเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยของตนก่อนเข้านอน  เด็กน้อยคว้าเจ้าตุ๊กตาหูยาวที่คุณแม่เคยให้ไว้ในครั้งแรกที่เจอกันเข้ามากอดพร้อมกับนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงก่อนจะนึกได้ว่าเขายังไม่เคยคุยกับคุณลุงเลยนี้น่า ถึงจะมีเห็นหน้ากันบ้างแต่คุณลุงก็ไม่เคยมองมาที่เขาตรงๆเลยสักครั้งมีแต่มองผ่านๆ  แต่ช่างมันเถอะเดี๋ยวก็คงได้มีโอกาสคุยกันเองนั้นแหละแต่ตอนนี้นอนดีกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า


..........................................

               ภายในห้องทำงานที่กิจวัตรประจำวันต่างๆ ก็ยังคงวนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำไปมา แต่ดูท่าทางวันนี้จะมีบางอย่างที่ต่างออกไปเมื่อเลขาตัวเล็กของเขาเดินเข้ามาในห้องพร้อมเอกสารที่เขาต้องเซ็นกำกับอย่างเช่นทุกวัน แต่ที่ไม่ปกติคือสีหน้าบอกบุญไม่รับของอีกฝ่ายหลังจากได้รับเมล์จากหุ้นส่วนคนใหม่ของเขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ทำให้คนที่มองอยู่อย่างเขาได้แต่มองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ


              “ไม่เอาน่าแก้ว ยังไงๆ เราก็ต้องร่วมธุรกิจกับเขา การไปกินข้าวด้วยกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่”   


              ชิตรัตน์พยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย แค่กินอาหารกับหุ้นส่วนของบริษัทใช่ว่าอีกคนจะไม่เคยเสียที่ไหนกัน แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่เป็นผลเพราะพูดจบรายนั้นหันขวับมามองเขาตาเขียวทันที


              “ผมเข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่คุณชินคุณก็รู้ว่าผมไม่ไว้ใจไอ้คุณธารนั่นนะ แล้วนี่อะไรชวนกินข้าวก็ชวนแค่คุณกับน้องเกรซสิ จะชวนผมไปทำไม มันจะใจดีเกินไปหน่อยไหม”


               “แล้วไม่ดีหรือไง”


                “ไม่ดี!!” ตอบทันควันจริงๆ ไม่มีคิดก่อนตอบด้วย


                 ชิตรัตน์ได้แต่กุมขมับกับท่าทีเหมือนแมวขู่ฟ่อๆ ของเลขาตัวเองอย่างหนักใจ ไม่รู้ว่าคุณธารไปเหยียบหางเลขาเขาเข้าตอนไหน รายนั้นถึงได้ออกตัวแรงเหลือเกินว่าไม่ชอบขี้หน้า


                 “ก็ผมไม่ไว้ใจเขานี่  คุณชินเชื่อแก้วนะ ผู้ชายคนนั้นเข้ามาเพื่อจะทำอะไรสักอย่างกับคุณชินแน่นอน แล้วถ้าเขาทำจริงๆ แก้วจะทำยังไง แก้วยังมีลูกต้องเลี้ยงนะถ้าไม่มีคุณชินใครจะจ่ายเงินเดือนแก้วล่ะ”


                  เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ตอนแรกเขาก็รู้สึกซาบซึ้งนะที่ลูกน้องเป็นห่วงเขาขนาดนี้ แต่ถ้าไม่มีไอ้ประโยคสุดท้ายเนี่ยจะดีมากเลย เพราะมันทำให้เขารู้แล้วว่าค่าของเขามันมีแค่จ่ายเงินเดือนสำหรับอีกฝ่าย ซาบซึ้งใจจนอยากลดเงินเดือนแล้วริบโบนัสคืนให้หมดจริงๆ


                 “มองผมแบบนั้นหมายความว่าไง นี่แก้วจริงจังนะ” แก้วกล้าหันกลับมาเหวี่ยงใส่เขาอีกครั้ง


                  “แต่ผมก็เป็นห่วงคุณจริงๆ นะคุณชิน”


                   “ถ้างั้นวันนี้เธอก็ไปด้วยกันสิ ถ้าเธอไปอย่างน้อยตาเกรซก็ยังมีเพื่อนคุยระหว่างที่ฉันคุยธุระนะ” เขาพูดขึ้นพร้อมปิดแฟ้มเอกสารอันสุดท้ายลง


                   “โน งานนี้แก้วขอผ่าน ถึงจะเป็นร้านที่แก้วอยากไปกินก็เถอะ แค่ครั้งนั้นก็พอแล้วที่แก้วจะร่วมโต๊ะกับผู้ชายเจ้าเล่ห์นั่น จนกว่าจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร แก้วจะไม่นั่งร่วมโต๊ะกับคุณธารแน่นอน”
เจ้าตัวกอดอกยื่นคำขาดเสียงแข็งแสดงเจตนาของตนอย่างชัดแจ้งจนชิตรัตน์เองก็จนใจที่จะเกลี่ยกล่อมอีกคน


                     “ตามใจนะ รู้อะไรก็บอกด้วยละกัน”


                      เพราะรบเร้าไปก็เท่านั้น เมื่อคนตัวเล็กพูดแบบนั้นเขาคงขัดไม่ได้หรอก  แต่การที่อีกฝ่ายเข้าหาเลขาเขานี่มันก็น่าคิดเหมือนกันนะ ว่าจุดประสงค์คือการเข้าหาแก้วผ่านทางเขา แต่ถ้าแก้วบอกว่าคุณธารเข้ามาเพราะมีจุดประสงค์เป็นตัวเขา เขาก็จะระวังตัว เพราะแก้วกล้าเป็นคนประเภทที่มองคนออกและถูกเสมอ คำพูดของคนตัวเล็กจึงเป็นอะไรที่เขามักจะทำตามประหนึ่งมีเลขาเป็นหมอดู ก็แบบทูอินวันไง ได้เลขาบวกหมอดูเก๋ๆ


                     “แล้วตาเกรซเมื่อไรจะมา ชาติไปรับนานแล้วนะ” 
                      ชิตรัตน์หันไปถามแก้วกล้าเมื่อหันไปมองนาฬิกา แล้วพบว่ามันเลยเวลาที่ลูกชายของตนจะต้องมาถึงได้แล้ว


                       “คงใกล้ถึงแล้วล่ะมั้งครับ เห็นว่าวันนี้มีกิจกรรมเล็กๆ ด้วยคงช้าหน่อย”

                       นอกจากตารางงานของคนพ่อแล้ว แก้วกล้ายังมีตารางเรียนและตารางกิจกรรมของคนลูกด้วย จนบางทีเขาก็คิดนะว่าทำงานคุ้มเงินเดือนไปไหม บางทีเขาน่าจะของขึ้นเงินเดือนเพิ่มจริงๆ


                      รอไม่นานประตูก็เปิดออกโดยมีเด็กชายในหัวข้อสนทนาเมื่อครู่เดินเข้ามา พร้อมกับผู้ชายวัยไม่เกินสามสิบใส่สูทดำถือของที่เจ้านายสั่งเข้ามาด้วย

                     “สวัสดีครับคุณพ่อ อาแก้ว”


                      เด็กชายเดินเข้ามากล่าวสวัสดีทุกคนในห้องก่อนจะวิ่งมานั่งข้างๆ อาแก้วคนสวยของตนที่นั่งอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งเอามือมาลูบและคุยกับน้องในท้องนูนๆ ของอาแก้วเหมือนทุกวัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่เขาไปเจอมาวันนี้ โดยมีอาแก้วคอยตอบแทนน้องในท้องเป็นระยะ


                    “เกรซ เดี๋ยวลูกเข้าไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยววันนี้เราจะไปกินข้าวกับหุ้นส่วนที่จะมาเปิดรีสอร์ตกับพ่อกัน ชาติเอาถุงเสื้อผ้าให้น้องด้วย”       
ชิตรัตน์เอ่ยกับลูกชาย พร้อมทั้งบอกพี่เลี้ยงของเด็กชายส่งของที่ตนให้หยิบติดมือมาแก่เด็กน้อยด้วย


                   “ผมต้องไปด้วยเหรอครับคุณพ่อ”


                   “ใช่ เพราะพ่อไม่รู้ว่าจะกลับดึกหรือเปล่า พ่อไม่อยากปล่อยเราให้กินข้าวคนเดียวด้วย”


                   เด็กชายพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำเล็กๆ ในห้องทำงานของบิดา  เกรซรู้ว่าคุณพ่อเป็นห่วง ไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงาเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน พ่อจะต้องกลับมากินข้าวกับเขาเสมอ ถึงบางครั้งจะกลับมาแค่นั่งกินข้าวกับเขาแค่นั้นก็ตาม


              “อ๊ะ โทรศัพท์อยู่กับอาชาติ แล้วอย่างนี้จะบอกคุณแม่ยังไงล่ะเนี่ย ไม่เป็นไรเดี๋ยวใกล้ถึงเวลาแล้วค่อยให้อาชาติเตือน”
              เกรซพึมพำเบาๆ ขณะกำลังถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ก่อนจะละความสนใจจากสิ่งนั้นไปเสียสนิท


...............................................................


                เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย ชิตรัตน์จึงให้ชาติขับรถไปส่งแก้วกล้าที่คอนโดก่อนจะเลยไปร้านอาหารที่ตนนัดกับธารไว้ แต่ไม่วายที่เด็กชายจะบ่นออกมาเพราะงานนี้ไม่มีอาแก้วคอยนั่งเป็นเพื่อนเวลาพ่อของเขาคุยงานนี่นะ แบบนี้ก็น่าเบื่อแย่สิ


                อาจเพราะมาก่อนเวลา ชิตรัตน์เลยพาลูกชายมานั่งรอที่โต๊ะซึ่งจองไว้ระหว่างรอแขกอีกคนที่ยังไม่มา โดยระหว่างรอชิตรัตน์ก็อธิบายรายละเอียดคร่าวๆ ให้ลูกชายตนฟังว่า คนที่จะมาเจอนั้นเป็นใครเกี่ยวข้องกับงานของตนอย่างไร และมีแผนธุรกิจร่วมกันอย่างไรบ้าง เพราะชายหนุ่มถือว่าเรื่องพวกนี้ ลูกชายของตนควรได้รับรู้ไว้ เพราะถึงจะเป็นเด็กแต่ต่อไปก็ต้องมาทำงานต่อจากเขา อย่างไรก็ควรรับรู้เรื่องพวกนี้บ้าง ถึงจะไม่หมดแต่ถ้าเป็นเรื่องงานหรือโครงการต่างๆ ของบริษัท เขามักจะเอามาพูดคุยกับลูกพร้อมทั้งถามความเห็นของลูกชายบ้าง เพราะเขาอยากให้ลูกมีส่วนร่วมกับงานของเขาทุกอย่าง ถึงจะเล็กน้อยก็ตาม ระหว่างที่กำลังอธิบายเรื่องราวให้ลูกชายฟังอยู่นั้นแขกที่ว่าก็มาถึงแล้วเช่นกัน


           “ผมว่าผมมาเร็วแล้วนะ คุณชินยังมาก่อนผมอีกนะครับ”


            เสียงของผู้มาใหม่ทำให้ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างอย่างตกใจ เกรซรีบหันหน้าไปมองยังต้นเสียงของผู้มาใหม่ ถึงจะไม่เคยเห็นหน้าตรงชัดๆ แต่ถ้าเป็นเสียงน่ะเขาจำได้ดีเลยล่ะ แต่ใครมันจะไปรู้ว่าคนที่จะมาร่วมธุรกิจกับพ่อเขาจะเป็น ‘คุณลุงธาร’  พี่ชายของคุณแม่ !!!


             “นี่ผมมาช้าไปหรือเปล่าครับเนี่ย”


             “ไม่หรอกครับ พวกผมมาก่อนเวลาเอง นั่งลงก่อนสิครับ”


              ชิตรัตน์เอ่ยกับอีกฝ่ายที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับคนติดตาม แต่ดูท่าทางแล้วจะไม่ค่อยสนใจเขาสักเท่าไร เพราะมัวแต่ส่งสายตาไปซ้ายทีไปขวาทีเหมือนกับกำลังหาใครอยู่ คงไม่ต้องให้เขาเดาก็พอรู้ได้อยู่แล้วว่า อีกฝ่ายกำลังมองหาใคร ถ้าไม่ใช่เลขาตัวเล็กของเขา


               “ถ้ามองหาแก้วล่ะก็ เขาไม่มาหรอกครับ ต้องขอโทษแทนด้วย”


               ชิตรัตน์ชิงพูดในสิ่งที่ธารอยากรู้ ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวก็พอรู้อยู่บ้างแล้วว่าเลขาของเขาจะไม่มา เพราะธารทำเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น


               “ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะครับว่าต้องไม่มา แต่ดูท่าคุณชินคงจะมีผู้ช่วยคนใหม่แล้วนี่ครับ”   


               ประโยคแรกธารดูเหมือนจะเป็นคำพึมพำซะมากกว่าการพูดกับชิตรัตน์ แต่ประโยคหลังคนตัวโตเอ่ยกับเด็กชายที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ชิตรัตน์แทน จนเขาต้องสะกิดแขนลูกชายให้เงยหน้าขึ้นพร้อมแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จัก


                “ นี่ลูกชายผมเองครับ ชื่อชาณรัก จะเรียกว่า เกรซ ก็ได้ครับ” 
                เมื่อโดนแนะนำแบบนั้น เจ้าของชื่อตัวน้อยก็จำยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายพร้อมพนมมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า


               “ สะ สวัสดีครับ คุณลุง” ธารเมื่อได้เห็นหน้าเด็กชายชัดๆ ก็ยกยิ้มมุมปากพร้อมส่งซิกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นการตอบรับมารยาทของเด็กชายเมื่อครู่


                   “สวัสดีครับหนุ่มน้อย เรียกลุงว่าลุงธารก็ได้นะ”


                   เกรซทำเพียงพยักหน้าตอบคุณลุงตรงหน้าก่อนหันไปสนใจบริกรหนุ่มที่นำอาหารมาเสิร์ฟ เขาทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าแทนการที่จะทำเป็นว่าสนใจผู้ใหญ่คุยกัน แต่อาจมีบางทีถ้าใครถามความเห็นเขาเขาก็จะตอบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองมากกว่าที่คุยกันในเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าวันศุกร์ที่จะถึงนี้พวกเขาจะไปดูที่ทางภาคใต้ซึ่งจะนำมาสร้างเป็นรีสอร์ต ส่วนที่พักจะเป็นบ้านของคุณลุงธาร การเดินทางจะเป็นการนั่งเครื่องไปแล้วคนของคุณลุงจะมารับที่สนามบิน  ซึ่งงานนี้คุณพ่อจะเอาเขาไปด้วย เขาก็ไม่ได้คิดว่าแย่อะไรดีซะอีกเขาจะได้ไปเที่ยวมั่ง


                 “แต่งานนี้ผมขอพาน้องชายผมไปด้วย คงไม่ว่าอะไรนะครับ”   

                 การที่ลุงธารพูดแบบนั้นทำเอาเด็กชายตาโตสุดๆ อย่างตกใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเจอคุณแม่นะ แต่ถ้าคุณแม่มาเจอคุณพ่อจะเป็นยังไง ถ้าคุณแม่ไม่โอเคกับการเจอคุณพ่อแล้วๆๆๆ

                “ไม่ว่าหรอกครับ แต่ผมไม่ทราบมาก่อนเลยนะครับว่าคุณธารมีน้องชายด้วย”  ชิตรัตน์เอ่ยขณะยกน้ำขึ้นจิบ


               “ครับ ผมมีน้องชายอยู่คนหนึ่งอายุน่าจะอ่อนกว่าเลขาของคุณซะหน่อยตอนนี้แกป่วยอยู่น่ะครับ ผมคิดว่าถ้าให้แกออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย แกน่าจะชอบ”


               ธารที่พูดเรื่องของน้องชายออกไป แต่ว่าสายตานั้นไม่ละออกไปจากใบหน้าของคู่สนทนาเลยสักนิด ซึ่งมันทำให้ชิตรัตน์เกิดอาการแปลกๆ ขึ้นมา เหมือนกับว่าตนกำลังโดนลองเชิงอยู่กลายๆ อย่างไรอย่างนั้น


                “ดูคุณจะรักน้องชายมากเลยนะครับ”


                “แน่อยู่แล้วล่ะครับ ผมมีน้องชายคนเดียวนี่นะ ถ้าใครมันมาทำให้น้องชายผมเจ็บ ผมจะเอามันคืนอย่างสาสมเลย ล่ะครับ”


               ชิตรัตน์ไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ ว่าคนตรงหน้าดูน่ากลัวขึ้นมาทั้งๆ ตลอดเวลาที่พูดธารก็ยิ้มอยู่ตลอด แต่น้ำเสียงกับแววตามันบอกว่า เขาไม่รอดแน่


               แต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ ไรอัลก็วิ่งเข้ามาหาเจ้านายของตน แล้วรีบกระซิบอะไรบางอย่างอย่างรีบร้อนจนอีกสองคนที่เหลือต้องหันไปมองอย่างสนใจ ธารที่ได้ฟังความจากคนสนิทก็ทำหน้าตกใจ ก่อนจะรีบขอตัวลุกออกไปอย่างรวดเร็ว


            “ผมขอโทษด้วยนะครับ พอดีที่บ้านเกิดปัญหาขึ้น ขอกลับก่อนนะครับ ขอโทษด้วยจริงๆ”  ว่าเสร็จร่างใหญ่โตของธารก็รีบวิ่งออกจากร้านไป ปล่อยให้สองคนพ่อลูกที่เหลือมองหน้ากันอย่างฉงนแล้วก็เรียกให้บริกรมาเช็คบิลก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะได้ฤกษ์ออกจากร้านกลับบ้านเหมือนกัน แต่เด็กชายนี่สิกลับรู้สึกว่าปัญหาที่คุณลุงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดหรอกนะ




 
                ทางด้านธารที่รีบกลับบ้านทันทีที่ได้รับแจ้งจากไรอัลว่าปีแอร์ติดต่อมาเพราะน้องชายคนเดียวของเขาอยู่ดีๆ ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่มีอาการแบบนี้มานานแล้ว เขากลัว กลัวว่าน้องจะเริ่มทำร้ายตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง  ทันทีที่เขากลับถึงบ้านชายหนุ่มรีบวิ่งไปยังห้องนอนของน้องชาย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เขาพบว่าน้องน้อยกำลังซุกอยู่กับอกคนสนิทของตนแล้วร้องไห้จนตัวสั่นให้อีกคนปลอบเบาๆ  ธารเดินเข้าไปหาเอามือแตะเบาๆ บนหัวของคนตัวเล็กกว่าจนอีกคนสะดุ้งเฮือกอย่างแรง แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็โผเขาซบกับอกของเขาแทน ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้คนสนิทของน้องชายเป็นเชิงให้ออกไปก่อน ซึ่งปีแอร์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย เดินออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้เจ้านายด้วย


                “น้องเกลครับ เป็นอะไรใครทำอะไรเราไหนบอกพี่สิ”  ธารลูบผมน้องชายเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยนพร้อมถามคนตัวบางที่สั่นไปตามแรงสะอื้น


                “ไม่โทรมา.....น้องเกรซไม่โทรมา ฮึก  น้องเกรซ ทิ้งเกล ฮึก เกลถูกทิ้งอีกแล้ว  ฮึก เชาเอาลูกของเกลไปอีกแล้ว  ฮือ”


                “ไม่จริงซะหน่อยเกล น้องเกรซเขาอาจติดธุระก็ได้ อาจออกไปกินข้าวกับพ่อแล้วยังไม่กลับเลยยังไม่ได้โทรหาเราไง”


                “จริง.. ฮึก  จริงนะครับ  พี่ธารไม่ได้โกหกเกลใช่ไหม”


                 “จริงสิครับ พี่ไม่เคยโกหกน้องเกลอยู่แล้ว พอแล้วไม่ร้องนะ ดูสิตาช้ำไปหมดแล้ว ไม่สวยเลย ปะเดี๋ยวพี่ไปล้างหน้านะ”


                   ธารปลอบน้องชายจนสงบได้ก็ค่อยๆ ช้อนตัวน้องชายขึ้นแล้วเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาก่อนจะพากลับมานอนที่เตียง จัดท่าให้น้องได้นอนสบายๆ ก่อนจะกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ จนน้องหลับไปอย่างง่ายดาย  ชายหนุ่มมองหน้าน้องน้อยของเขาพร้อมทั้งเอามือลูบเบาๆ ไปตามเส้นผมยาวปะบ่านั้นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของปีแอร์ที่เดินเข้ามา

                  “มีอะไร”


                “คือ คุณหนูเกรซโทรมาครับ”


                “บอกไปว่าเกลหลับไปแล้ว ค่อยโทรมาใหม่พรุ่งนี้”


                “แต่ว่า....”


                 ปีแอร์เห็นสายตาของเจ้านายที่ส่งมาให้จึงทำได้เพียงแค่รับคำ แต่ก่อนเขาจะออกไปจากห้อง เสียงเล็กของคนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ดังออกมาเบาๆ


                “คุย....เกลจะคุย ปืแอร์ส่งมือถือมา”


              ธารอยากจะพูดห้ามเพราะเห็นว่าน้องเขามีสภาพเหมือนจะทรุดลงอีก แต่เขาก็ไม่กล้าห้ามจึงปล่อยให้ปีแอร์ส่งมือถือให้เกล ส่วนตนนั่งอยู่ข้างๆ น้องชาย


                “น้องเกรซไปไหนมาเหรอครับ” เสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปากบางๆ นั้นเบาบางมากเหมือนกำลังจะหมดแรง จนคนเป็นพี่อย่างเขาแทบอยากจะเอามาคุยแทนพร้อมกับสั่งสอนเด็กนั่นที่ไปไหนไม่บอก ปล่อยให้น้องเขาคิดอะไรไปต่างๆ นานา


                “เกรซออกไปกินข้าวกับคุณพ่อมาครับ ขอโทษที่ทำให้คุณแม่เป็นห่วงนะครับ”


                “แค่เกรซ ไม่ได้หนีแม่ไปไหน แค่นี้ก็พอแล้ว..ครับ”


                “ผมขอโทษจริงๆ นะครับ”


                 ทั้งคู่คุยกันต่ออีกนิดหน่อยก็ต้องวางสายเพราะสภาพของเกลดูอ่อนเพลียจากการร้องไห้อย่างหนัก พอวางสายได้ไม่นานเกลก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที อาจเพราะไม่มีเรื่องค้างคาใจอะไรแล้ว เกลเลยหลับได้อย่างสนิทใจ


                 ธารเห็นว่าเกลหลับไปแล้วจึงค่อยๆ ลุกออกมาเบาๆ ก่อนจะเรียกคนสนิททั้งสามของเกลกับไรอัลเข้าไปคุยในห้องทำงานของตน


                 “ครั้งนี้เกลมีอาการนานแค่ไหน”


                 “เกือบสามชั่วโมงครับ ปกติแล้วคุณหนูเกรซจะโทรมาช่วงสองทุ่ม แต่วันนี้แกโทรมาช้ากว่าปกติ” พลตอบ


                 “งั้นหรอ มีอาการแบบไหนมั่ง”


               “ตอนแรกก็กระวนกระวาย สักพักจึงเริ่มเหม่อแล้วก็เริ่มร้องไห้ ผมกับคนอื่นๆ พยายามปลอบ จนช่วงสามทุ่มที่มีอาการหนักกรีดร้องออกมา ผมจึงรีบโทรตามบอสมานี่ล่ะครับ”  ชายตอบพลางนึกไล่ลำดับเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่อาการแสดงออกมาไปด้วย


               “ผมตรวจชีพจรและความดันของเกลลี่แล้ว เกลลี่ปกติดีครับ แต่อาจมีความเครียดอ่อนๆ จากเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจ ผมว่าทางที่ดีเราควรจะรักษาเกลลี่ให้ตรงจุดไปเลยจะดีกว่า เผื่อว่าอาการของเกลลี่จะดีขึ้น”


                 พอได้ฟังอาการจากปากของปีแอร์ ธารก็อดเป็นห่วงน้องน้อยของตนเองไม่ได้ว่า ถ้าเขามาช้ากว่านี้อีกหน่อยน้องเขาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาคิดถูกแล้วล่ะถ้าสุดสัปดาห์นี้ เขาจะพาน้องไปพักเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และจะได้จัดการเรื่องอะไรที่มันคาราคาซังพวกนี้ให้จบเสียที


                    “พวกนายสามคนไปเตรียมของของพวกนายและเกลให้เรียบร้อย วันศุกร์เราจะลงใต้กันสักสามวันสองคืน”
 
___________________________________________________


สวัสดีวันปีใหม่ (ล่วงหน้า1วัน) คร้าาา !!!
วันหยุดยาวอย่างนี้เพื่อนๆไปเที่ยวไหนกันเอ๋ย??
ถ้าใครไปเที่ยวก็ขอให้เที่ยวให้สนุกเดินทางปลอดภัยนะคะ แต่ถ้าใครไม่ได้ไปเรามาจับมือกันอ่านนิยายกันเถอะ ^^

ปีใหม่นี้ก็ขอให้เพื่อนๆทุกคนพบเจอแต่สิ่งใหม่ๆที่ดีๆกันนะคะ

 :mew1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2016 20:49:42 โดย wavery »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ใกล้ได้เจอกันแล้วซินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Psycho

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 388
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
นอกจาชินจะเสียใจ คุณย่าคงจะตะลึง ไงหล่ะคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 7



                คล้อยหลังคนสนิททั้งสามของเกลเดินออกไป ไรอัลที่ยังอยู่ในห้องก็ค่อยๆก้าวเข้ามาตรงหน้าของธารด้วยสีหน้าดูเป็นกังวลจนเห็นได้ชัดและคงมีบางสิ่งอยากจะถามเขา ซึ่งธารเองก็พอรู้อยู่ว่าสิ่งที่ติดอยู่ในใจของคนตรงหน้าคือเรื่องอะไรเขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันไปสบตากับร่างตรงหน้าเชิงว่าให้พูดออกมา


               “นายคิดดีแล้วเหรอที่จะพาเกลไปด้วย”


               ไรอัลเปิดประเด็นขึ้นมาทันทีอย่างไม่อ้อมค้อมเพราะเขารู้ดีว่าคนตรงหน้านั้นรักน้องมาเพียงใด แต่การที่ชายหนุ่มทำแบบนี้มันอาจทำให้คนป่วยทรุดลงหรืออาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ เขาจึงเริ่มไม่ค่อยจะมั่นใจแล้วว่าแผนของคนตรงหน้าจะดีเหมือนที่ตนคิดหรือไม่


                 “นายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เกลน่ะถึงจะดูบอบบางอ่อนแอยังไง แต่ฉันเป็นคนเลี้ยงเขามาเอง ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะว่าน้องฉันเป็นคนยังไง หรือนายจะปฏิเสธว่านายไม่รู้นิสัยจริงๆ ของเจ้าตัวเล็กน่ะ”   


                   ใช่ เขารู้ แต่เขาไม่แน่ใจน่ะสิว่ามันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง เพราะด้วยอะไรๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นทำให้ร่างโปร่งของไรอัลไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าของหัวข้อสนทนานี้จะรับมันไหว  ธารมองสีหน้าหนักใจของอีกฝ่าย ก็ไรอัลน่ะเป็นพวกคิดมากคิดเยอะ ยิ่งเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวล่ะก็ยิ่งคิดเยอะกว่าปกติหลายเท่า ส่วนบางเรื่องถ้าเจ้าตัวไม่ชอบหรือไม่อยากยุ่งก็จะไม่คิดอะไรเลย ปล่อยผ่านไป จะเป็นจะตายช่างหัวมัน


                    “นายไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ เรื่องนี้ฉันรับรองได้เลยว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้านายกังวลว่าเกลจะเจอกับผู้ชายคนนั้นล่ะก็ ฉันจะส่งเกลไปรอที่บ้านนั้นก่อนดีไหม”
     

                     ธารที่เห็นว่าคนตรงหน้าไม่ยอมคลายกังวลกับเรื่องที่คิดสักที ชายหนุ่มเลยเดินเข้าไปประคองใบหน้าขาวของคนคิดมาก แล้วเอ่ยข้อเสนอที่ตนคิดขึ้นซึ่งก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมเห็นด้วย โดยทำเพียงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อน  ส่วนธารอยู่เคลียร์เอกสารต่ออีกสักหน่อย จึงกลับไปที่ห้องเพื่อจะได้พักเช่นเดียวกัน


                     และนับว่าวันนี้เป็นโชคดีของธารที่เป็นเช้าวันหยุด ทำให้เขามีเวลามากพอที่จะนอนตื่นสายได้เหมือนมนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ ซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากงานมาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่สำหรับเขาแล้วคงจะพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไรว่าทั้งสัปดาห์เพราะอันที่จริงแล้ว เขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเข้าไปอยู่ในเป็นเพื่อนเกลที่ห้องของเจ้าตัวหลังจากชายซึ่งมีหน้าที่สลับกับพลมานอนเป็นเพื่อนเกลเดินมาเคาะห้องของเขากลางดึก เมื่ออยู่ๆ น้องเขากลับมีอาการทรุดลงในช่วงกลางดึกโดยละเมอเพ้อขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่ ทำให้เขาต้องรับบทพี่ชายแสนดีคอยดูแลน้องทั้งคืนจนอาการค่อยๆ ดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติในช่วงรุ่งสาง


                      “น้องเกลครับ วันพุธที่จะถึงนี้เราจะลงใต้กันนะครับ”


                       ธารบอกน้องชายที่นั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กอยู่บนชิงช้ายาวในสวนหลังบ้านซึ่งเจ้าของชื่อทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาสบตาพี่ชายเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรอีกเหมือนกำลังรอฟังคำพูดต่อจากนี้ของพี่ชาย


                       “คือ น้องเกลจำเรื่องที่พี่เคยบอกว่า พี่เอาที่ดินในส่วนของพี่ไปเสนอให้เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการร่วมลงทุนได้ไหมครับ” เกลนึกตามก่อนจะพยักหน้ารับ


                “คือวันศุกร์นี้พี่จะพาเขาลงไปดูที่ดินที่ว่านั่น พี่เลยจะให้น้องลงไปรอพี่ที่นั่นก่อน เผื่อน้องไม่อยากนั่งเครื่องบินร่วมกับใคร เดี๋ยววันศุกร์พี่กับคนอื่นๆ จะตามลงไปนะครับ” 


                   เกลพยักหน้ารับพี่ชายก่อนที่ทั้งสองจะคุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ อีกนิดหน่อยแล้ว พี่ธารก็ขอตัวออกไปทำธุระข้างนอก เกลปิดหนังสือในมือก่อนจะเรียกหมอหนุ่มซึ่งทำหน้าชื่นตาบานกับคำว่าทะเลให้มาช่วยพยุงตนที่กำลังอยู่ในช่วงหัดเดินเพื่อกลับเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อรู้สึกถึงไอแดดยามสายที่เริ่มส่องแรงขึ้นจนแสบผิว


...............................................................



              “นี่ๆๆ เกลลี่เอาชุดนี้ไปด้วยดีไหม ดูท่าจะใส่สบายนะ นี่ๆๆแล้วชุดนี้ล่ะเอาไปดีไหม เผื่อว่าเกลลี่อยากจะเล่นน้ำไง นี่ๆๆๆ..............”


               บางทีเขาน่าจะบอกกับปีแอร์ว่าไม่ต้องตื่นเต้นกับการไปทะเลในครั้งนี้มากก็ได้ เพราะขนาดเขาเองยังไม่ค่อยจะรู้สึกตื่นเต้นมากเสียเท่าไรเพราะมันยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวันในการจัดเตรียมเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ แต่ก็นะเขาเองไม่อยากจะขัดความสุขเล็กๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งสักเท่าไร เวลาที่เห็นหน้าตามีความสุขกับรอยยิ้มกว้างๆ เหมือนกับเด็กๆ แบบนั้น จะให้เขาขัดก็คงไม่ดี เลยต้องปล่อยเลยตามเลยไปซะแบบนี้ตลอด


                “แต่ว่านะ อยู่ๆ บอสจะให้เกลลี่ไปอยู่กับคนแปลกหน้าแบบนี้ บอสคิดอะไรอยู่กันแน่นะ”  ปีแอร์บ่นออกมาพลางจัดเสื้อผ้าของเขาลงกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมไปด้วย


                 “ไปถามพี่ธารสิ” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ


                 “โฮ่ เกลลี่ก็รู้ว่าบอสน่ะ ไม่มีทางบอกแน่ ขนาดดาร์ลิงสุดที่รักของปีแอร์ยังไม่ยอมพูดอะไรให้ฟังเลย” เจ้าตัวบ่น


                  “บางทีพี่ธารอาจมีเตรียมอะไรไว้รอเซอร์ไพรส์พวกเราอยู่หรือเปล่า”   ปีแอร์ตาโตกับคำพูดชวนลุ้นของเขา จนเบนเข็มความสนใจจากกองเสื้อผ้าตรงหน้ามาเป็นตัวเขาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงแทน


                      มองหน้าอีกคนนิ่งๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจโดยหันไปเกาคางให้เน็ตตี้แทน เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาไม่คิดจะตอบอะไรไป เดี๋ยวเด็กโข่งตรงหน้าก็กลับไปสนใจกับสิ่งของรอบๆ ตัวแทน ซึ่งมันก็จริงดังเขาว่า เมื่อได้ยินเสียงพึมพำเป็นภาษาบ้านเกิดของอีกฝ่าย อันที่จริงเขาไม่ได้จะปิดบังหรือว่าอะไรกับปีแอร์ แต่เพราะเขาเองยังไม่แน่ใจกับเรื่องที่เขาก็ได้รับรู้มาจากพลถึงเบื้อหลังการไปดูที่ดินในครั้งนี้ก็เท่านั้น เขาแค่ขอเวลาอีกสักพักให้แน่ใจก่อนว่า มันเป็นเรื่องจริงเพราะขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถรับมือกับเหตุการณ์เช่นนั้นได้จริงหรือเปล่า


                     เกลนอนคิดอะไรต่อไปเรื่อยๆ สลับกับหันมามองท่าทางดี๊ด๊ามีความสุขในโลกส่วนตัวของปีแอร์อยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเผลอหลับไป

...........................................................................
 


                คำนิยามของคำว่า ‘วันหยุด’ นั้นก็คือการที่เราจะได้หยุดพักผ่อนจากสิ่งตึงเครียดต่างๆ แต่สำหรับแก้วกล้าแล้ว คำนิยามที่ว่ากำลังจะสลายหายไปพร้อมกับการที่เขากลับมาจากซื้อของที่ซุปเปอร์ด้านล่างคอนโดแล้วพบว่าห้องของเขาโดนคนแปลกหน้าที่รู้จักดีเข้ามารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเขาพร้อมถือวิสาสะเข้ามานั่งบนโซฟายาวในห้องโดยที่เขายังไม่ทันได้อนุญาตซึ่งดูท่าทางของผู้ร้ายที่ลักลอบเข้าห้องของเขาจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย  ไหนใครบอกว่าคนอังกฤษเป็นผู้ดีไงแล้วทำไมไอ้ลูกครึ่งอังกฤษตรงหน้าเขามันถึงไม่มีมารยาท แล้วยังจะหันมามองด้วยสายตายียวนชวนถีบสองขาคู่นั่นอีก เห็นแล้วมันขึ้น!!


                  “ผมจะถามคุณอีกครั้งนะ ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วใครอนุญาตให้คุณเข้ามากัน” เขาถามอย่างไม่พอใจกับสิ่งที่คนตัวโตทำ ขณะวางของมากมายที่ไปซื้อมาลงกับเคาน์เตอร์หินอ่อนสีดำก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้บุกรุก


                   “ผมก็บอกแล้วไงว่าผมมาหาคุณ  เฮ้อ... ทำไมคุณถึงเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากแบบนี้กันนะ”


                    เขากอดอกอย่างไม่พอใจกับคำพูดที่ดูเหมือนว่าเขาเป็นฝ่ายผิดทั้งๆ คนที่ผิดมันเป็นอีกคนต่างหาก จริงสิ! แล้วนี่รปภ.ทำไมถึงยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาเสนอหน้าในห้องของเขาได้เนี่ย ถ้าเกิดข้าวของในห้องเขาหายขึ้นมาจะทำอย่างไร เสียชื่อคอนโดในเครือนพเทพหมด


                   “นี่คุณ”  เขาตวัดสายตาไปมองคนที่เรียกเขาอย่างไม่พอใจ

 
                   “เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก มานั่งนี่ดีกว่า” ไม่ว่าเปล่า ธารยังตบลงไปยังพื้นที่ว่างของโซฟาข้างๆ ตนสองสามทีเป็นเชิงเรียก


                   เขาล่ะอยากตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดเลยว่า นี่มันห้องของเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ แล้วอีกอย่างนะ เขาไม่ใช่อีหนูเด็กเสี่ยที่ไหนที่จะต้องมาเรียกกันด้วยวิธีแบบนี้  นี่ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เขาเองเริ่มจะปวดหลังขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมนั่งตามที่อีกคนเรียก ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะหยุดอยู่ห้องสบายๆ อ่านหนังสือสำหรับเตรียมรับมือกับเจ้าตัวเล็ก พอตอนเย็นก็ทำอาหารที่ชอบกินอย่างเป็นสุข แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเพราะไอ้แขกไม่ได้รับเชิญข้างๆ นี่


                  แต่ก่อนที่คนท้องจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปมากกว่านั้น เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งที่อยู่ดีๆ แขกไม่ได้รับเชิญที่ว่าดันมาล้มตัวลงบนตักของเขาอย่างสบายอารมณ์เสียดื้อๆ


                 “นี่คุณ!! ลุกออกไปเลยนะ นี่มันหนักนะ ลุกออกไปสิ ลุกสิ โอ๊ะ!”  ธารที่ตอนแรกยังคงนอนยิ้มอย่างสบายใจ ไม่ทุกข์ร้อนกับแรงเท่าแมวของอีกคนซึ่งพยายามทั้งผลักทั้งดันตัวเขาให้ลุกขึ้นกลับต้องเด้งตัวขึ้นอย่างเร็วกับเรียงร้องดูเจ็บปวดไม่แพ้ใบหน้าที่แสดงออกมาให้เขาได้เห็น


                 “คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า แก้วเป็นอะไรบอกฉันสิ”   
 

                  เขาว่าอย่างร้อนรนกับท่าทีของอีกคน แม้จะพยายามส่ายหน้าแล้วบอกกับเขาว่าตนไม่เป็นอะไร แต่การที่แก้วกล้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหลับตาหยีแถมมือก็ยังค่อยประคองท้องนูนโตนั้นเอาไว้ไม่ปล่อย ถ้ามองไม่ผิดเขาเห็นว่ามือเล็กๆ นั้นกดลงไปที่หน้าท้องด้วย


                  “แก้ว แก้วปวดท้องเหรอปวดมากไหม ปะ....”


                   เมื่อคิดว่าคนตัวเล็กปวดท้องธารจึงรีบถามไถ่พร้อมเอามือวางทับมือเล็กข้างนั้น แต่ก็ต้องชะงักรู้สาเหตุก่อนค่อยๆ ยิ้มออกมา เพราะที่คนตัวเล็กร้องออกมาไม่ใช่ว่าคนตัวเล็กปวดท้องหรืออะไร แต่เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ในท้องนั้นต่างหากที่เป็นเหตุ


                “ลูกดิ้น แก้วลูกดิ้น” เขาร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมกับก้มลงเอาหูแนบกับหน้าท้องโต


                "ไงครับคนเก่ง ไหนทักทายแด๊ดดี้อีกทีสิ โอ๊ยย แก้วอย่าดึง”  ร่างสูงที่ตอนแรกดี๊ด๊ากับการทักทายของเจ้าหนูในท้องต้องร้องออกมา เมื่อถูกแม่ของเจ้าตัวเล็กในท้องดึงหูอย่าแรงให้ลุกขึ้น


                “ผมไม่แน่ใจว่าเราสนิทกันขนาดคุณจะมาเรียกชื่อผมอย่างนี้ได้นะ แล้วก็ไม่ต้องมาเนียนเลยใครลูกคุณ นี่ลูกของผมครับคุณโจนาธาร”
 เมื่อโดนแม่แมวขู่ใส่ขนาดนี้ เขาเองก็ได้แต่ทำท่ายอมแพ้ก่อนจะกลับไปนั่งดีๆ มองคนตัวเล็กอมยิ้มขณะลูบท้องไปด้วยเงียบๆ


                   “ผมว่าคุณบอกมาดีกว่าว่าคุณมาที่นี่ทำไม คงไม่ได้มาแค่กวนประสาทผมหรอกใช่ไหมครับ” 
หลังรู้สึกว่าตนเองถูกจ้องมองแก้วกล้าจึงหันไปพูดกับคนที่ทำตัวถ้ำมองเขาถึงจุดประสงค์แท้จริงของการมาที่นี้อย่างจริงจัง


                   “ผมแค่จะมาบอกคุณเรื่องที่วันศุกร์ที่จะถึงนี้ว่าผมจะพาพวกคุณไปดูที่ทำรีสอร์ตแห่งใหม่และผมหวังว่าคุณจะไปด้วย แต่ถ้าคุณจะไม่ไปผมก็เข้าใจ” 


                     การจะให้คนท้องโตเดินทางไกลแบบนี้มันก็คงไม่สะดวกเท่าไรอันนี้เขาเองก็พอเข้าใจถ้าจะถูกอีกฝ่ายปฏิเสธแม้ใจในเขาจะอยากกอดขาอ้อนวอนอยากให้ไปด้วยขนาดไหนก็ตาม


                        “ได้ ผมจะไป สามวันใช่ไหม ผมจะได้ลงในตารางไว้ แล้วเรื่องที่พัก การเดินทางล่ะว่ายังไง”
 แก้วกล้าตอบรับก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเอาสมุดโน้ตกับปากกาที่อยู่ใกล้ๆมารอจดรายละเอียดโดยไม่สนสีหน้าตกใจของคนตัวโตข้างๆ


                “อ้าวคุณ เงียบทำไมล่ะ ผมขอรายละเอียดด้วยสิ”


                “คุณยอมไปจริงๆ เหรอ” เสียงของอีกคนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเองกับอีแค่การที่เขายอมจะไปง่ายๆ แบบนี้มันน่าตกใจอะไรขนาดนั้นกัน เดี๋ยวพอไม่ไปก็ตื้อจนน่ารำคาญ พอไปก็ดูทำตัว ความพอดีของผู้ชายตรงหน้านี้มันมีบ้างไหมเนี่ย


                 “นี่คุณ ผมยอมไปแล้วคุณยังจะเอาอะไรอีก นี่มันงานนะ ผมแยกแยะออกหรอก” ใครมันจะบอกล่ะว่าที่ไปน่ะ เขาไปเพื่อจับผิดพฤติกรรมของอีกฝ่ายกัน งานนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ชายคนนี้มีแผนอะไรกันแน่ และเขานี่แหละจะเป็นคนขัดขวางทุกทางถ้าหากว่ามันจะส่งผลร้ายต่อเจ้านายของเขา


                       “แต่ผมดีใจนะที่แก้วจะไปด้วย”  แก้วกล้าไม่รู้เป็นอะไรพอได้ยินคำพูดนั้นแล้วหน้าเขาก็รู้สึกร้อนๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง


               “จะบอกได้หรือยัง เดี๋ยวผมก็เปลี่ยนใจซะเลยนี่ ลีลาอยู่ได้”


                “คร้าบบบบบ คุณเลขา” เขามองหน้าอีกคนอย่างเอือมระอา กว่าอีกคนจะง้างปากพูดเรื่องที่เขาต้องการก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน และกว่าจะแงะคนตัวโตให้ออกจากห้องเขาได้ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว


                “เดี๋ยววันศุกร์ฉันจะให้คนมารับนะ” ธารเอ่ยกับคนตัวเล็กที่อุตส่าห์มีน้ำใจเดินออกมาส่งเขาที่หน้าห้องแม้เขาเองจะบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม 


                “ผมรู้แล้วและผมก็บอกคุณหลายครั้งหลายรอบแล้วเหมือนกันว่าไม่ต้อง”   ธารหลุดขำกับอาการเหวี่ยงของคนตรงหน้า  ซึ่งเขาทำแค่ยกมือทำท่ายอมแพ้แล้วยอมกลับไปแต่โดยดีแต่ก็ไม่วายหันมาปล่อยระเบิดหนึ่งลูกให้คนท้องได้เขินเล่น


                 “ผมไปแล้วอย่ามั่วแต่คิดถึงผมจนไม่เป็นอันทำอะไรนะครับ ที่รัก”  ธารรีบวิ่งเข้าลิฟต์ทันทีเมื่อพูดเสร็จ เพื่อให้รอดพ้นจากเสียงบ่นของคนตัวเล็กที่เขาเพิ่งแหย่ไป  ทิ้งให้คนท้องหน้าเห่อร้อนเล่นอยู่คนเดียวตรงหน้าประตูห้องอย่างเสียไม่ได้


               “ไอ้หมีควาย”    แก้วกล้าสถบออกมาเบาๆ พร้อมกับเผลอยกยิ้มที่มุมปากนิดๆอย่างไม่รู้ตัว


                นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครมาทำอะไรแบบนี้กับเขา นานแค่ไหนกันแล้วที่เขาเผลอตัวเผลอใจไปกับบางสิ่งที่ดูแปลกใหม่จนเหมือนกำแพงในใจของตัวเองจะค่อยๆ พังลงเพราะมือของเขาเอง


                “จะผิดหรือเปล่าถ้าผมจะขอเริ่มชีวิตใหม่กับคนคนนี้”


                คำพูดของคนเพียงคนเดียวบนรถหรูภายในลานจอดรถของคอนโด พูดขึ้นกับรูปภาพใบเล็กในล็อกเก็ตแบบมีฝาเปิดปิด ในนั้นมีรูปหญิงสาวต่างชาติหน้าตาสะสวยขนาดเต็มตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมหันมาส่งยิ้มให้เขาที่มองดูอยู่


                “เขาเหมือนคุณ ไม่สิเขาไม่เหมือนคุณเลยต่างหาก แต่เขากลับทำให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับคุณ ถ้าเป็นคนนี้ ผมมั่นใจว่าคุณกับลูกก็คงชอบเหมือนกับผม มาเรีย”


                เขายิ้มบางให้คนในรูปที่เหมือนว่าจะมีแค่หนึ่ง แต่ไม่ใช่ในเมื่อความจริงแล้วยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ยังไม่ได้ลืมตาออกมาเป็นความสุขให้คนรออยู่ในท้องของผู้หญิงในรูปคนนี้


_________________________________________________

สวัสดีคร้าาาา
ปีเก่าผ่านไปแล้ว พอมานึกๆดูแล้วเวลาปีๆหนึ่งนี้ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันเนอะ เรื่องบางเรื่องยังไม่ทันจะได้ทำเป็นชิ้นเป็นอันเลย
แต่ไม่เป็นไร เรามาทำให้สำเร็จในปีนี้กันดีกว่า!!

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
พี่ธารรุกหนักแล้ว ขอให้เรื่องครอบครัวน้องเกลไม่กระทบกับความสัมพันธ์กับคุณแก้วนะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เวอร์ชั่นนี้พี่ธารเคยมีลูกเมียด้วยอ่ะ ชักอยากรู้แล้วซิว่าเป็นเพราะสาเหตุใดถึงได้เสียพวกเขาไป รอตอนต่อไปนะคั

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 795
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
รอจ้าาาา

ขอให้น้องเกลหายไวๆ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  รออ่านชินกับเกลเจอกัน ลุ้นๆว่าสถานการ์ณจะเป็นไง

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2

ฝนหยดที่ 8


                “สวัสดีครับ ผม ฌอง ปีแอร์ อายุ 2 8ปี สัญชาติอิตาลี เกิดและโตที่มิลาน ทำงานที่อังกฤษมา 4 ปี และตอนนี้ผมอยู่เมืองไทยครับ ส่วนข้างๆ ผม แท๊น แทนนนน เจ้านายผมเอง เกลลี่ น่ารักใช่ไหมล่ะ ส่วนนั่นพี่ชาย ส่วนคนขับพี่พล เอาหันมาหน่อยเร็ว อิอิอิ ตอนนี้นะครับพวกผมกำลังจะลงใต้ไปเที่ยวทะเลกัน เฮ้ย! ไม่ใช่ เราจะพาเกลลี่ไปพักผ่อนกันต่างหาก ส่วนตอนนี้นะครับเราอยู่ที่..........”

                เสียงดังกล่าวหาใช่การถ่ายรายการสารคดีเชิงท่องเที่ยวแต่อย่างใด แต่นี่คือการอัดคลิปวีดีโอส่วนตัวของเจ้าคนช่างจ้ออย่าง ‘ปีแอร์’ ที่กำลังถ่ายวีดีโอการเดินทางพร้อมทั้งบรรยายนู่นนี่ เสมือนว่าตนเองเป็นพิธีกรรายการนำเที่ยวของปีแอร์ที่มีการเรียกเอาผู้ร่วมรถทั้งสามเข้ากล้องด้วย อีกสองคนด้านหน้าก็ให้ความร่วมมือดีใช้ได้ ทั้งส่งเสียงทั้งเล่นกับกล้องแถมมีมาสคอตกิตติมศักดิ์อย่างเจ้าเหมียวเน็ตตี้คอยเกาะอยู่ตามไหล่มั่ง ปีนขึ้นหัวบ้างอย่างรู้ว่ากำลังออกกล้อง ทำให้เกลอดไม่ได้จะอมยิ้มขำกับบรรยากาศรอบตัว ก่อนจะหันหน้าออกไปมองข้างทางแทนการสนใจพิธีกรจำเป็นข้างๆ ที่พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอตลอดสองข้างทางตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงตอนนี้กับกล้องที่ถ่ายอยู่  ซึ่งตอนนี้พวกเขาเดินทางเขาสู่เขตจังหวัดที่เป็นจุดหมายแล้วหลังจากออกเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่เช้ามืดเพราะต้องเผื่อเวลาสำหรับการลั้นลาของเจ้าหนุ่มตัวโตข้างๆ เขา จึงทำให้กว่าจะเข้าเขตจังหวัดก็เย็นพอดี  เกลมองดูบ้านเมืองอย่างตื่นตาแต่ก็มักจะหันกลับทุกครั้งเมื่อมีใครเผลอหันมาทางเขาที่อยู่บนรถ  ส่วนการกระทำของเจ้าพิธีกรจอมพูดมากนี้ มันดูผิดไปจากตอนก่อนออกจากบ้านอย่างลิบลับ

                ถามว่าต่างยังไงน่ะเหรอ จะอธิบายสั้นๆ เลยว่า ไอ้ท่าทีดี๊ด๊าจนออกนอกหน้านอกตาเนี่ยไม่มีปรากฏให้เห็นเลยตอนออกมา มีแต่ลูกหมากำลังจะโดนพรากจากอกเจ้าของที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายให้ได้

                “ไม่เอา ปีแอร์อยากให้ดาร์ลิงไปพร้อมปีแอร์”

                เสียงเจ้าคนติดเมียที่ดังขึ้นตั้งแต่เช้า และเป็นภาพที่ทำเอาคนมองดูรู้สึกเอือมระอาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะไรอัลที่ถูกกอดแน่นจนได้แต่กรอกตาไปมากับความเป็นเด็กของแฟนหนุ่ม

                “อีกสองวันเดี๋ยวจะตามลงไป นายมีหน้าที่ดูแลเกล ส่วนฉันมีหน้าที่ดูแลธารอย่างอแงให้มากนัก”

            เขาพยายามปรามเล็กน้อยเพื่อหวังว่าอีกคนจะเข้าใจหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผลเสียเท่าไรเมื่อเด็กโข่งตรงหน้าเงยหน้าที่ซุกอยู่กับไหล่ของเขาขึ้นมามองครู่หนึ่งก่อนจะตวัดสายตาไม่พอใจไปหาคนที่ถูกอ้างชื่อ

                “เพราะบอสนั่นแหละ ทำตัวไม่รู้จักโต ดาร์ลิงของปีแอร์เลยต้องคอยดูแล”

                ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักโต เขาล่ะอยากจะตะโกนใส่หูอีกคนให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ  แต่เพราะคำพูดของอีกคนกับท่าทีเหมือนโลกจะแตกของเขา กลับกลายเป็นเหมือนเรื่องตลกยามเช้าที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะของคนมองตามจุดต่างๆ ของบ้านได้อย่างดี

                นี่เขาเป็นถึงหัวหน้าการ์ดนะ ทำอะไรก็ไว้หน้ากันบ้างเถอะไอ้เด็กโข่ง ทำแบบนี้แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แค่นี้ก็แทบจะไม่มีใครเคารพเขาอยู่แล้วตั้งแต่รู้ว่าเขาโดนเด็กกินเนี่ย

                และคนที่กลายเป็นฮีโร่ช่วยกู้หน้าให้ไรอัลนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็ธารนั่นแหละที่แยกเขี้ยวใส่ปีแอร์ก่อนจะจับอีกฝ่ายโยนใส่รถไปเป็นคนแรก ข้อหารำคาญบวกกับทำให้คนอื่นเสียเวลาเดินทางมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จึงเป็นการยุติเรื่องแต่เพียงเท่านี้ แต่เมื่อมาดูตอนนี้ที่รถแล่นออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ไอ้อาการจะเป็นจะตายเมื่อเช้านี้ก็หายไปหมด เหลือแต่ความดี๊ด๊าบ้าบอเกินคนอย่างที่เห็นจนพลยังอดไม่ได้ที่จะสั่งให้ชายแอบถ่ายพฤติกรรมลับหลังเมีย ส่งกลับไปให้น้องชายสุดที่ของตนอย่างไรอัลได้รู้

               “คุณเกลครับใกล้ถึงแล้วนะครับ”  ชายเอ่ยขึ้นขัดเสียงดี๊ด๊าของปีแอร์ที่ตอนนี้ปีนไปนั่งอยู่บนเบาะแถวหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                เกลพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับมานั่งมองวิวภูเขาทะเลและผู้คนจากทางหน้าต่างฝั่งเขาเองไปเรื่อยๆ จนรถจอนสนิทแล้วเขาจึงหันไปมองปีแอร์ที่เปิดประตูรถ แล้วถ่ายวีดีโอด้านหน้าบ้านอยู่สักครู่แล้วปิดกล้องลงก่อนจะหันกลับมาหาเขาที่ยังนั่งอยู่บนรถ           
                               
              “ถึงแล้วเกลลี่ ติดทะเลเลย”

                เกลยิ้มเบาๆ กับท่าทีตื่นเต้นของปีแอร์ที่เข้ามาพยุงเขาออกจากรถให้ไปนั่งที่วีลแชร์ที่พี่พลไปยกมาให้จากหลังรถ HYUNDAI H-1 พร้อมทั้งข้าวของของพวกเขาที่เริ่มทยอยเอาลงมา ร่างบางมองไปยังบ้านตรงหน้าอย่างคิดถึง

นานแล้วนะที่ไม่ได้มา

                บ้านทรงไทยประยุกต์สีขาวสองชั้นสามารถมองเห็นพื้นที่ที่จะสร้างรีสอร์ตได้ชัดเจนอีกทั้งยังติดกับทะเลอีกด้วยแบบนี้คงสมใจปีแอร์เขาเลยล่ะ เกลปล่อยให่ปีแอร์เดินถ่ายนู่นถ่ายนี่ทั้งในและรอบตัวบ้านส่วนตัว เขาให้พี่ชายพาเข้าไปรอในบ้านก่อนพร้อมเจ้าเน็ตตี้ ภายในบ้านดูไม่เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้มาเสียเท่าไร อาจมีพวกของอำนวยความสะดวกสำหรับเขาเพิ่มเข้ามาแต่ถึงไม่มีของในบ้านทุกอย่างก็ครบทุกความต้องการอยู่แล้ว

                 สองห้องนอนล่างกับอีกสามห้องนอนบนพร้อมห้องอาบน้ำในตัวที่ได้รับการทำความสะอาดใหม่เรียบร้อยจากบริษัททำความสะอาดที่ธารมักจะโทรเรียกมาประจำ  ส่วนเรื่องอาหารก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะพี่ชายกับปีแอร์ไปซื้อจากซุปเปอร์ในห้างมาเตรียมไว้บางส่วนแล้วก่อนเข้ามาเรียบร้อยแล้ว

                 ห้องนอนด้านล่างถูกยกให้เป็นห้องส่วนตัวของเขาเพื่อสะดวกในการเข้าออกด้วยตัวเองถูกจัดแต่งใหม่เพื่อรองรับการอยู่อาศัยซึ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษโดยเฉพาะปุ่มกดขอความช่วยเหลือที่หัวเตียงที่ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้มาติดตั้ง  เขายิ้มให้กับความเอาใจใส่ของพี่ชายที่น่ารักของตนก่อนจะหันไปตามเสียงผ้าม่านที่ถูกเปิดออกจนสามารถมองเห็นวิวริมชายหาด

                “อากาศวันนี้ไม่ร้อนมาก ถ้าคุณเกลอยากออกไปนั่งเล่นข้างนอกก็บอกผมนะครับ ส่วนข้าวของของคุณพี่จัดเข้าตู้และในห้องน้ำให้หมดแล้ว”  เขายิ้มขอบคุณก่อนจะขอให้ชายช่วยพยุงไปนั่งที่เตียงเพราะตอนนี้เขาเองรู้สึกล้ากับการเดินทางไกลพอสมควรจึงอยากนอนพักและให้อีกคนได้พักเช่นกันซึ่งชายเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าการทิ้งท้ายว่าให้พักผ่อนได้เต็มทีเดี๋ยวตนจะเข้ามาเรียกเมื่อถึงมื้อเย็น

                แต่พอได้อยู่คนเดียวตามต้องการแล้วคนที่บอกว่าจะพักผ่อนกลับไม่ทำอย่างที่พูดถึงจะเห็นว่าคนตัวบางพิงกับหัวเตียงแล้วทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างแทน ที่บอกว่าไม่ทำตามน่ะไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นความคิดต่างหากที่ไม่ยอมพัก เพราะการมาทะเลมันทำให้เขาคิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
 


               “พี่ชินพาเกลมาทะเลทำไมหรือครับ” 

               เสียงคลื่นทะเลยามเย็นในวันนั้นเขายังจำได้ดี โดยเฉพาะเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่อยู่ๆ ก็บุกมาที่บ้านแล้วพาเขามาที่นี้โดยไม่พูดไม่จาอะไร ปกติชิตรัตน์จะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งแต่ในยามนั้นเขาเห็นความประหม่าทั้งในสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน

               “พี่ชินครับ”

                ไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกอีกฝ่ายอย่างไร ฝ่ายนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเสียงของเขาที่เอ่ยเรียกออกไปเลยสักนิดแถมยังดูเคร่งเครียดกว่าเดิมจนเขาเองไม่กล้าจะเรียกหรือทักอะไรออกไปมากกว่านั้น กระทั่งเขาเองก็อดรู้สึกไม่ดีไม่ได้และเริ่มทำตัวไม่ถูกคิดไปต่างๆ นานาว่า เขาทำอะไรไม่ดีหรือว่าอีกฝ่ายไปเจอเรื่องอะไรมา  แต่ก่อนที่ความคิดของเขาจะแตกแขนงไปต่างๆ นานาอยู่ๆ คนที่เงียบไปพักใหญ่ๆ กลับตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

              “เป็นแฟนกับพี่นะ!!”

                   !!!

                ประโยคที่ดังออกมจากคนตัวโตข้างๆ ทำเอาทั้งตกใจดีใจและอายมาก จะไม่ให้อายเลยก็คงไม่ได้หรอก เล่นพูดซะดังลั่นหาดขนาดนั้นแถมตอนนี้เพิ่งแค่ช่วงเย็นคนมาเล่นน้ำก็มาเยอะ แถมทุกคนยังหันมามองที่พวกเขาอีก คนบ้า แล้วนั่น! ลงไปคุกเข่าทำไมคนมองหมดแล้วเห็นไหม

                “พี่ชินทำอะไรน่ะ ลุกขึ้นคนมองหมดแล้ว”

            “ไม่จนกว่าเกลจะยอมคบกับพี่      นะได้โปรดเถอะคนดีพี่อยากดูแลเราให้มากกว่านี้ พี่สัญญาว่าจะรักและดูแลเกลคนเดียว จะไม่ให้อะไรมาทำให้คนดีของพี่ต้องเสียใจ ได้โปรดรับความรักจากหัวใจผู้ชายคนนี้ไว้จะได้ไหม เพราะมันเรียกร้องออกมาเสมอว่าอยากให้เด็กน้อยคนนี้เป็นคนดูแล พี่รักเกลนะ”

             ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้าอย่างไร แต่คำบอกรักของผู้ชายตรงหน้าทำเอาเขาหน้าร้อนไปหมด แถมยังจูบลงบนหลังมือทั้งสองข้างของเขาอีก ไหนจะเสียงเชียร์จากคนรอบข้าง ไหนจะสายตาที่รอคำตอบอย่างมีความหวังของรุ่นพี่หนุ่มที่เขาเองก็เผลอมีใจให้ แล้วแบบนี้จะให้เขาตอบอย่างไรได้ล่ะ นอกจากพยักหน้าตอบตกลงไป

                “อือ เกลก็รักพี่ชิน”

                สิ้นคำบอกรักของเขาคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีแล้วลุกขึ้นมากอดเขาแน่น พร้อมพึมพำบอกขอบคุณเขาท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของคนรอบข้างที่มายืนเป็นสักขีพยานจำเป็นให้พวกเขากลางชายหาด ซึ่งเขาเองก็ทำแค่ซุกหน้าแดงๆ เอากับอกของอีกคนเท่านั้น  ก็มันเขินนี่นะ ทันทีที่กลับถึงกรุงเทพพี่ชินก็ให้เขาย้ายไปอยู่ด้วยกันที่คอนโด เราอยู่ด้วยกันสร้างเรื่องราวดีๆ ด้วยกันในช่วงเวลานั้น มันเป็นเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดอีกช่วงหนึ่งของชีวิต แต่เรื่องราวที่เหมือนว่าดีมันย่อมมีเรื่องร้ายอยู่ด้วย เพราะเรื่องที่ทะเลวันนั้นรู้เข้าถึงหูของ คุณหญิงโฉมฉวี นพเทพสวัสดิคุณ คุณแม่ของพี่ชิน ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่ต่างไปจากความนึกคิดของเขาเท่าไร

                 เพราะการมาเรียนที่ประเทศไทยในครั้งนั้นเขาเข้ามาในฐานะ ไนติงเกล ลักษณสกุล เด็กผู้ชายธรรมดาที่อาศัยอยู่คนเดียว เนื่องจากแม่เสียชีวิตโดยมีพ่อส่งค่าเลี้ยงดูให้ นี่คือข้อมูลปลอมที่แด๊ดดี้ของเขาให้คนช่วยปลอมมันขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาที่ยืนยันว่าจะอยู่ที่ประเทศไทยต่อหลังจากที่แม่ของเขากลับไปอยู่ที่อังกฤษ    และการเป็นลูกกำพร้าที่ฐานะทางบ้านอยู่ในระดับปานกลางมีหรือคนหัวสูงอย่างคุณหญิงโฉมฉวีจะยอมรับเขากัน

                 “แค่ไปเรียนต่อเองเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่เห็นเป็นไรเลย”

                  เขาพูดขึ้นขณะช่วยเก็บเสื้อผ้าบางส่วนของคนรักลงกระเป๋าเดินทาง่ใบใหญ่ที่นำออกมาเตรียมไว้เพื่อใช้ในการเดินทาง

                 “แต่พี่ไม่อยากไปพี่อยากอยู่กับเกล  ทำไมคุณแม่ถึงไม่เข้าใจนะ”

                    เขานั่งฟังคนรักระบายเรื่องราวต่างๆ ออกมามากมายเหมือนอัดอั้น ซึ่งเขาเข้าใจดีว่าเขาในตอนนี้อยู่ในสถานะอะไร เพราะเลือกจะมาอยู่ที่ไทยอย่างคนธรรมดา ไม่ใช่  ไนติงเกล แอล.ดี. เอลเมอร์ซี่  ลูกชายคนเล็กของตระกูลขุนนางเก่าแก่ของอังกฤษ เจ้าของธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศซึ่งเป็นที่ยอมรับระดับโลก  การที่แม่ของอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในเมื่อเป็นแบบนี้คงมีแต่ต้องรับมันให้ได้เท่านั้น คนตัวบางทำเพียงเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ แล้วประคองหน้าของคนรักเอาไว้

                    “พี่ก็รีบเรียนให้จบสิแล้วรีบกลับมาหาเกล เกลจะรอนะ”

                       “เกลอยากให้พี่ไปจริงๆ เหรอ”

                        “เกลเข้าใจ เพราะงั้นรีบกลับมาหาเกลนะ”


                       ถึงไม่อยากให้ไปแต่ก็คงห้ามอะไรไม่ได้เพราะฉะนั้นเลยต้องปล่อยไป ทั้งคู่มองหน้ากันพร้อมประทับริมฝีปากเข้าด้วยกันแลกเปลี่ยนความรักที่หวานซึ้งก่อนจากลา และไม่รู้เพราะอารมณ์พาไปหรืออะไร เขาจึงยอมมอบร่างกายนี้ให้แก่คนตรงหน้าเพื่อตอกย้ำว่าพวกเขาเป็นของกันและกัน ให้ทุกสัมผัสที่ได้รับ ทุกรอยรักที่ได้ฝากไว้จะผสานพวกเขาให้ความรักยังคงมีอยู่ต่อไป..........................


                       หลังจากอีกฝ่ายไปเรียนต่อเขาก็ยังคงอยู่ที่คอนโดต่อไปตามคำขอของอีกฝ่าย แม้จะอยู่ไกลกันก็ยังติดต่อหากันตลอด บางครั้งอีกฝ่ายก็จะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้เขาเพื่อได้เจอกันตามโอกาสจะอำนวย แต่เรื่องวุ่นวายใช่ว่าจะจบ เพราะคุณหญิงยังคอยตามราวีเขาอยู่ไม่เคยขาด และเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนอีกฝ่ายกลับมา หลังจากนั้นจึงเริ่มหนักข้อขึ้นเมื่อลูกชายของคุณหญิงยืนกรานจะมาอยู่กับเขา แล้วก็หายไปจนคิดว่าคงจะไม่เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วในตอนที่เขารู้ตัวว่าตั้งท้อง แต่เขาคิดผิดเพราะคราวนี้คุณหญิงกลับมาเพื่อพรากเอาลูกเขาไป เหยียบขยี้ใจเขาให้แหลกลงกับพื้น แม้แต่คนที่เขารักยังไม่สามารถช่วยเขาได้



                       ใช่แล้ว ตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันเกิดมาจากคุณหญิง คุณหญิงคนเดียวที่ทำให้เรื่อองราวบ้าๆ พวกนี้เกิดขึ้น ยิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านั้นมากเท่าไร มือเรียวขาวของเขาก็กำผ้าปูแน่นขึ้นจนข้อมือสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

                      “คนที่ต้องชดใช้คือคุณหญิงไม่ใช่พี่ชิน  นังแก่นั้นจะต้องไม่เหลืออะไร”


ก๊อก ก๊อก


                เกลสลัดความโกรธในใจออกก่อนหันไปเชิญให้คนที่มาเคาะประตูอยู่นอกห้องเข้ามาด้านใน

                “เกลลี่!! ดูนี้สิผมไปถ่ายวิวรอบๆ บ้านมาด้วยล่ะ สวยมากเลยยยยยย”

                 เสียงของปีแอร์ที่เปิดประตูเข้ามาทันทีที่ได้รับอนุญาต ถึงจะสนิทกันอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเจ้านายเขา เรื่องมารยาทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อันนี้บอสสอนมาดีปีแอร์ภูมิใจ  เจ้าเด็กโข่งรีบวิ่งลงมานั่งข้างเตียงพร้อมกับเปิดกล้องที่เขาถ่ายให้ดูทั้งแบบเคลื่อนไหวและภาพนิ่ง ทั้งยังเล่านู่นเล่านี่ไม่หยุด จนเกลต้องยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่าย

                “พูดมากเป็นเด็กเลยนะ” เกลว่าอย่างเอือมระอากับคนข้างๆ

                “ก็แหม ได้มาเที่ยวทั้งทีนี่ มันก็ต้องมีบ้าง นี่ๆๆ เน็ตตี้ก็ชอบถูกไหม”

                ปีแอร์ว่าก่อนหันไปหาแนวร่วมสี่ขาที่ยังคงเกาะอยู่บนไหล่ของเขาไม่ยอมปล่อย พอถูกถามความเห็นก็ส่งเสียงตอบกลับมาเหมือนว่าฟังรู้เรื่องให้ปีแอร์ดีใจ   

                เขาส่ายหน้าเบาๆ กับความตื่นเต้นเกินวัย แต่ก็ยอมนั่งฟังคนช่างพูดได้พูดต่อโดยไม่ขัดใดๆ จนเวลาล่วงเข้าสู่มื้อเย็นจนพี่พลเดินเข้ามาตามทั้งคู่ที่ห้อง  โดยเกลเลือกออกไปนั่งกินที่เทอเรสร่วมกับทั้งสามคน

                “หายากนะครับที่คุณจะออกมานั่งทางอาหารนอกห้อง” ชายเอ่ยขึ้นหลังจากตักข้าวให้ทุกคนเสร็จ

                “ก็แค่เบื่อๆ ไม่อยากกินคนเดียว” เกลว่าก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหารตรงหน้า

                “แต่ก็ดีแล้วครับ วันนี้อากาศกำลังดีคุณเกลออกมารับลมบ้างจะได้สดชื่น” พลเอ่ยขึ้นบ้างก่อนจะหันไปเอ็ดเจ้าผู้ใหญ่นิสัยเด็กด้านตรงข้ามให้หยุดเล่นกับเจ้าก้อนกลมขนฟูนั้นเสียที

                “เลิกเล่นได้แล้วนะปีแอร์ ชายนายมาเอาเน็ตตี้เข้าไปกินอาหารในครัวได้แล้ว” พลสั่งเสียงนิ่ง ไม่สนสีหน้าหงอยยามชายมาอุ้มเจ้าสี่ขากลับเข้าไปในครัวแล้วปิดประตูกั้นไม่ให้มันออกมา

                “โห พี่พลอะ เน็ตตี้เหงาแย่เลยสิ ถ้าต้องกินข้าวตัวเดียวเปลี่ยวใจแบบนั้นน่ะ”  เจ้าตัวว่า

                “แต่ฉันว่าคนที่เปลี่ยวใจตอนนี้น่าจะเป็นนายนะ”

                “Cosa?  อะไรนะ หมายความว่าไง”

                พลกับชายหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าเหนือกว่าเมื่อคนตรงหน้ามีท่าทีไม่เข้าใจ พลหันไปพยักหน้าให้เพื่อนสนิทของตนที่นั่งข้างๆ หยิบบางอย่างออกมา

                “เอามือถือออกมาทำไมครับพี่ชาย” เกลถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

                “ก็เผื่อบางคนแถวนี้มันจะคิดได้น่ะครับ ว่าลืมอะไร”
ชายตอบพร้อมรอยยิ้มตามปกติ แต่เน้นสายตาจ้องไปทางปีแอร์ที่เอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์นิ่ง ก่อนจู่ๆ จะร้องออกมาลั่นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                “เฮ้ย!!! ดาร์ลิง”

                ปีแอร์ร้องเสียงดังขึ้นมาทันทีหลังจากนึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่มาถึงจนตอนนี้เขายังไม่ได้โทรบอกดาร์ลิงเลยนี่หว่า ตายๆๆ ป่านนี้เขาไม่โดนโกรธแย่แล้วเหรอ เท่านั้นแหละปีแอร์รีบจัดการอาหารเย็นตรงหน้าอย่างรวดเร็วแล้วรีบขอตัวกลับเข้าไปในห้องพักของตนเอง ท่ามกลางสายตาขบขันของทั้งสามคนที่ยังนั่งกินอาหารกันอยู่ที่เดิม

                “ดูท่าทางนิสัยติดเมียนี่จะแก้ไม่หายเนอะ” ชายยิ้มขำกับนิสัยติดเมียจนดูว่าน่าจะคล้อยไปทางกลัวนิดๆ ของเด็กหนุ่ม

                “พี่ๆ ก็ไปแกล้งปีแอร์”

                เกลว่าอย่างไม่จริงจังเท่าไรกับนิสัยขี้แกล้งของหนุ่มใหญ่ทั้งสอง โดยเฉพาะหัวโจกอย่างพลที่พร้อมจะตลบหลังปีแอร์ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ก็นะความหรรษาเล็กๆ น้อยๆ ของพลคือการได้เห็นคู่รักเด็กน้อยสองคนนี้ทะเลาะกัน พูดแล้วก็ส่งอะไรไปปั่นเพิ่มดีกว่า


                การกินอาหารร่วมกันในครั้งนี้ผ่านไปด้วยดีกับบรรยากาศครื้นเครงในการสุมหัวกันวางแผนแกล้งคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนา

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

                เกลละสายตาจากเอกสารในมือที่นั่งอ่านมาได้สักพักลง ก่อนจะหันไปกดรับสายจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกล พร้อมส่งสัญญาณบอกคนที่ยังอยู่ในห้องกับเขาให้ออกไปก่อน

                “สวัสดีครับคุณแม่”

                เสียงเจี๊ยวจ๊าวสดใสของเด็กชายที่ดังมาตามสาย แค่ได้ยินเสียงความตึงเครียดเมื่อครู่นี้ก็พลันหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ เหลือไว้แต่เพียงความสุขและกำลังใจ

                “ครับ ตาหนูของแม่”

__________________________________________________________________

ยังมีใครไม่นอนบ้างงงง
วันนี้มาสะดึกเลยจะยังมีคนรอกันอยู่มั้ยเอ๋ย??

 :katai5:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  สงสารเกลจริงๆ เจอคนอย่างคุณหญิง ทำให้โกรธนี่มันฝังใจจนแค้นอาฆาตเลยนะ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ฝนหยดที่ 9


           “ตาเกรซ อย่างเพิ่งกวนอาแก้วสิลูก ให้อาเขาทำงานก่อน”

                ชิตรัตน์เอ็ดลูกชายตัวน้อยเบาๆ ขณะกำลังตรวจสอบเอกสารการทำสัญญาต่างๆ ที่จะใช้ในการเดินทางไปใต้ครั้งนี้ โดยมีแก้วกล้าเลขาส่วนตัวมาช่วยตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางตั้งแต่เมื่อคืน  ถามว่าทำไมต้องตั้งแต่เมื่อคืนน่ะเหรอ?  มันคงต้องเท้าความย้อนกลับไปตอนเย็นของเมื่อวานที่อยู่ๆ เจ้าตัวก็เดินเข้ามาหาเขาที่ห้องทำงาน แล้วพูดประโยคที่ทำเอาทั้งเขาและชาติยังต้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย

                “คืนนี้ผมขอไปค้างที่บ้านของคุณได้ไหมครับ” 

            “มีอะไรหรือเปล่าแก้ว ถ้าเรื่องเอกสารเราค่อยตรวจอีกรอบตอนเช้าก็น่าจะทันนะ”

            “เปล่าหรอกครับ ผมแค่..เอ่อ.. ผมแค่ไม่อยากให้มันเสียเวลาน่ะครับ เดี๋ยวตอนเย็นผมกลับไปเก็บของที่คอนโดแล้วจะตามไปหาคุณที่บ้านนะครับ ผมกลับไปทำงานก่อนนะครับ”

                เรื่องมันก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ โดนมัดมือชกขนาดนี้แล้วจะให้เขาทำอะไรได้นอกจากโทรไปบอกแม่บ้านที่บ้านจัดห้องนอนให้แก้วห้องหนึ่ง แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆ อีกคนมาขอนอนด้วย แต่ท่าทางเลี่ยงการตอบคำถามของเขากับชาติตลอดแบบนี้เ ขาก็ป่วยการที่จะซักไซ้  และกว่าเขาจะได้คำตอบของเรื่องทั้งหมดก็คงจะเป็นตอนนี้นี่แหละ

Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

                “ครับ คุณธาร”  เขากดรับสายที่โทรเข้ามาพร้อมกับเหลือบหางตาไปเห็นคนที่กำลังนั่งคุยกับลูกชายเขาหันมามอง

                // ผมกำลังจะไปสนามบินนะครับ//

                “หื้อ แต่นี่ยังอีกตั้งเกือบสองชั่วโมงเลยนะครับกว่าเครื่องจะขึ้น”  เขาถามอีกฝ่ายอย่างตกใจพลางมองนาฬิกาทรงสูงที่กลางห้องอย่างฉงน

                // พอดีผมจะออกไปธุระสักครู่ก่อน ว่าแต่ทำไมผมโทรหาเลขาของคุณไม่ติดเลย//

                เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนเอาโทรศัพท์ออกห่างตัวเล็กน้อย แล้วตะโกนถามคนที่อยู่ไกลถึงสาเหตุที่ปลายสายถามมาก่อนจะได้ความจากเจ้าตัวว่าปิดเครื่อง

                // นั่นแก้วอยู่กับคุณเหรอ//

                “ครับ พอดีแก้วมานอนค้างที่บ้านผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะครับ”

                //...//

                “คุณธารมีอะไรหรือเปล่าครับ”

                // เจอกันที่สนามบินนะครับ//   งานนี้ชิตรัตน์รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจกลายๆจนเขาเองเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสรุปเขาทำอะไรหรือพูดผิดไปหรือเปล่า ครั้นจะหันไปถามเรื่องกับคนที่น่าจะเป็นสาเหตุของเรื่องอีกฝ่ายก็ดันทำหน้าซื่อไม่หันไม่สนใจเสียงเรียกของเขาจนเขารู้สึกป่วยการที่จะถามไถ่ แต่เขามั่นใจได้อย่างหนึ่งแล้วล่ะว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเลขาของเขาแน่ๆ

ก๊อก ก๊อก

แอ๊ด

                “ผมให้คนเอาของไปใส่ไว้ในรถเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ทราบว่าจะไปกันเลยไหม”  ชาติที่เดินเข้ามาใหม่เอ่ยถามเจ้านายของตนที่นั่งทำหน้าคิดหนักอยู่บนเก้าอี้หนังกลางห้องหลังโต๊ะทำงาน

                “อือ ไปเลยก็ได้เผื่อรถติด”

                ชิตรัตน์ตอบก่อนไล่สองอาหลานไปเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปสนามบินเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องเดินทางไปดูที่ดินของธารที่เคยเสนอให้เขาในการก่อสร้างทำรีสอร์ตที่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าเขาจะตอบรับข้อเสนอทางการตลาดในครั้งนี้กับอีกฝ่ายดีหรือไม่ ซึ่งในความจริงแล้วการเดินทางไกลที่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำเกือบสองชั่วโมง แถมยังต้องต่อรถต่อเครื่องแบบนี้เขาเองก็ไม่เห็นด้วยเท่าไรที่คนท้องโตอย่างแก้วกล้าจะร่วมเดินทางไปด้วย เพราะถึงแก้วกล้าจะไม่ไปเขาก็ยังมีชาติที่เป็นเลขาอีกคนคอยช่วยงาน แต่อีกคนนี้ก็ดื้อรั้นเหลือเกินแถมยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไปให้ได้

                “แก้วจะไปด้วย งานนี้แก้วต้องรู้ให้ได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร คุณชินห้ามแก้วไม่ได้หรอกนะ”

โดนพูดขนาดนี้แล้วคงเสียเวลาเปล่าถ้าจะห้าม แก้วกล้าน่ะดื้อถ้าคิดจะทำอะไรแล้วล่ะก็ ต้องทำให้ได้ อยากรู้อะไรก็ต้องรู้ ครั้งนี้คงเหมือนกัน และเขาเองก็เริ่มจะคิดเช่นเดียวกับคนตัวเล็กแล้วเหมือนกันตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวด้วยกันวันนั้น สายตาแบบนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่า ผู้ชายคนนั้นกุมความลับบางอย่างอยู่ และที่สำคัญมันต้องเกี่ยวข้องกับเขาไม่มากก็น้อยด้วย

หลังจากเสียเวลาอีกเล็กน้อยก็ถึงเวลาสมควรที่พวกจะเดินทางไปยังสนามบินเพื่อไปสมทบกับอีกหนึ่งผู้ร่วมเดินทาง  พอไปถึงเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมาพอดีจึงเข้าไปทักทายเพื่อจะได้เข้าไปเกทพร้อมกัน

                “คุณธารครับ”

                เสียงทักจากบุคคลที่ไม่ต้องเดาเขาก็พอจะเดาได้ไม่ยากเท่าไรดังขึ้นพร้อมกับแรงสะกิดจากไรอัลที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทำให้เขาหันหลังกลับไปหากลุ่มคนที่เดินเข้ามาใหม่

                “อ้าว คุณชินมาเร็วเหมือนกันนะครับ ว่าไงครับหนุ่มน้อย”  ธารลุกขึ้นพร้อมเอ่ยทักกลับไปให้ชิตรัตน์ แม้จะไม่ชอบหน้าแต่เขาก็มีมารยาทพอจะตอบรับคำทักทายของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปอุ้มหลานชายตัวน้อยของเขาขึ้นมาพร้อมฟัดแก้มยุ้ยๆนั้นไปทีหนึ่ง แถมดูท่าทางเจ้าตัวเล็กจะชอบเสียด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าหลานจะกลัวเขาเสียอีก เห็นตอนแรกที่เจอกันเจ้าตัวเอาแต่หลบหน้าหลบตาเขาตลอด แต่จะว่าไปแล้วหลานเขาก็หน้าเหมือนน้องชายที่เป็นแม่มากกว่าพ่อนะเนี่ย เฮ้ออ เห็นแล้วคิดถึงน้องเกลจังเลย กดวาร์ปไปอยู่หน้าบ้านเลยได้ไหมเนี่ย แต่ก่อนจะวาร์ปไปขอเขาเคลียร์ปัญหาใจก่อนแล้วกัน

                “ว่าแต่แก้วเนี่ย ใจร้ายจังเลยนะ ฉันอุตส่าห์บอกจะไปรับแท้ๆ แต่กลับหนีไปนอนบ้านชายอื่น” เขาตัดพ้ออย่างน้อยใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คนท้องเห็นใจเสียเท่าไรแถมยังกรอกตาไปมาอย่างเหลือทนอีกด้วย

                “ไม่จำเป็น” แก้วกล้าตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย อีกทั้งเขายังรู้สึกเหมือนว่าอีกคนดูจะมีเรื่องเคืองเขาอยู่นิดๆเช่นกัน แต่คิดเหรอว่าแค่นี้จะทำให้คนอย่างเขายอมแพ้ง่ายๆ  เขาวางหลายชายลงบนพื้นเช่นเดิมก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายใกล้ๆ

“เอามานี่แก้ว ฉันถือให้คนท้องคนไส้ใครเขาให้ถือของหนักกัน” เขาว่าพร้อมแย่งกระเป๋าสะพายของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เอง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้หนักอะไรอย่างที่เขาพูดออกมาก็เถอะ  และอย่าถามว่าเขาแคร์กับสายตาไม่พอใจของอีกฝ่ายที่มองค้อนเขาพร้อมเดินหนีไปนั้นด้วยหรือไม่ ขอบอกเลยว่าไม่ แต่ตอนนี้เขาคงต้องขอตัวตามว่าที่เมียสุดที่รัก(?)ไปก่อนดีกว่า

และเหตุการณ์นั้นก็ทำเอาชิตรัตน์กับชาติที่มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ที่ดูท่าทางมันน่าจะเกินเลยกว่าคำว่าผู้ร่วมงานกันไปมากโข โดยเฉพาะสรรพนามที่ธารใช้เรียกแก้วกล้าช่างดูสนิทสนมกันเกินไปอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าไปสนใจคนบ้าเลยครับ”

ไรอัลว่าอย่างเหนื่อยหน่ายใจก่อนจะผายมือเชิญให้ชิตรัตน์ที่อุ้มลูกชายอยู่เดินตามธารและแก้วกล้าไป แต่ถ้าเมื่อกี้ชิตรัตน์มองไม่ผิดเขาแอบเห็นหนุ่มอังกฤษตัวบางก็ยกมือขึ้นคลึงขมับเบาๆ

พวกเขาใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเดินทางโดยเครื่องบินเพื่อมาถึงสนามบินอีกแห่ง และทันทีที่มาถึงที่หมายก็มีคนที่ธารแนะนำให้พวกเขารู้จักชื่อพล ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ติดตามของน้องชายอีกฝ่ายที่เดินทางมารออยู่แล้ว

“เดี๋ยวเราเข้าไปพักที่บ้านผมก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยออกไปพื้นที่กัน” ธารพูดขึ้นเมื่อพวกเขาทุกคนขึ้นมานั่งอยู่บนรถกันครบแล้ว ซึ่งชิตรัตน์เองก็เห็นด้วยเพราะถึงจะไม่ได้ขับรถเองแต่การนั่งอยู่กับที่นานๆ มันก็ทำให้ปวดเมื่อยได้เช่นกัน

                “จริงสิ ผมว่าจะถามคุณตั้งแต่อยู่กรุงเทพแล้วทำไมน้องชายของคุณถึงได้ลงมาก่อนละครับ ” ชิตรัตน์ที่เพิ่งนึกเรื่องที่จะถามได้พูดขึ้น

“อ้อ พอดีว่าอยู่ๆ น้องผมอาการทรุดลงนิดหน่อยน่ะครับ ก็เลยให้ลงมาก่อนอีกอย่างหนึ่ง น้องผมไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รู้จักน่ะครับ”  ธารตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ แตกต่างจากข้อความที่พูดมาอย่างมาก

“แล้วอย่างนี้จะไม่เป็นการรบกวนหรือครับ” ชิตรัตน์ถามเสียงเครียด

“ไม่เลยครับ ถ้าเป็นพวกคุณ”

อีกแล้ว ความรู้สึกนี้อีกแล้วทุกครั้งที่ถามเรื่องน้องชายของอีกฝ่าย เขามักรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่ถูกส่งออกมา แล้วยังคำพูดแบบนั้นอีก ชิตรัตน์พยายามไม่คิดอะไรแล้วเดินขึ้นรถตามอีกฝ่ายไป ผิดกับลูกชายของเขาที่เริ่มทำหน้าเหมือนคิดหนักจนแก้วกล้าต้องโอบร่างเล็กๆ ของเด็กชายเข้ามาพร้อมคุยอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่สามารถได้ยิน

ในความรู้สึกของชิตรัตน์ตอนนี้ สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่สำหรับเขาแล้วมันรู้สึกกดดันแบบแปลกๆ โดยเฉพาะสายตาของคนชื่อพลที่มักมองเขาผ่านกระจกมองหลังมาเป็นระยะๆ นั้นอีก ถึงเขาจะรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายอยู่ก็เถอะแต่มามองแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ อะไรที่คนพวกนี้ปิดบังเขาอยู่

                บางทีคำตอบที่เราไม่เร่งร้อนอยากรู้ มันมักจะมาหาเราเร็วเสมอ คุณคิดว่าอย่างนั้นไหม ?

                การเดินทางจากสนามบินมาถึงบ้านพักตากอากาศของธารที่อนุญาตให้พวกเขาได้ใช้พักตลอดสามวันสองคืน อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนักอีกทั้งตลอดทางมีร้านค้าและสถานที่ท่องเที่ยวให้เห็นได้ประปราย ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของรั้วบ้านยังติดกับทะเล บรรยากาศโดยรวมแล้วดีมาก

ขณะตัวรถคันใหญ่มาจอดสนิทอยู่ภายในบริเวณบ้าน ซึ่งมีผู้ชายอีกคนการแต่งตัวคล้ายๆ กับผู้ชายที่ชื่อพลเดินมาเปิดประตูต้อนรับพวกเขา

                “ผมขอแนะนำนะ นี่คือ ชาย ชายกับพลเป็นการ์ดของน้องชายผมเอง และพวกเขาจะรับหน้าที่ดูแลเราทั้งหมดตลอดเวลาที่เราพักกันอยู่ที่นี่ อันที่จริงยังมีอีกคนนะ แต่สำหรับคนนั้นผมว่ารอให้ไรอัลแนะนำจะดีกว่า” ธารเหล่ตามองคนสนิทของตนตั้งแต่มาถึงก็ทำหน้าหงิกหน้างอตลอดเวลา แถมพอเจอเขาแซวเข้าไปก็สะบัดหน้าเดินหนีเข้าบ้านไปเสียดื้อๆ  ได้แกล้งคนแล้วมีความสุข

                “หึ อย่าไปสนใจคนขี้งอนเลยครับ” ธารว่า ก่อนจะให้ชายกับพลช่วยกันยกของเข้าไปในบ้าน โดยมีชาติคอยช่วยพยุงคนท้องเข้าไปนั่งพักด้านในตัวบ้าน

                “ส่วนคุณมาทางนี้กับผม” เขาเรียกชิตรัตน์ให้เดินตามไปอีกด้าน ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจุดที่เขาเคยพูดเอาไว้

                “คุณเห็นส่วนที่แหลมออกไปตรงนั้นไหม นั่นล่ะคือที่ที่ผมจะให้ใช้ทำรีสอร์ต” ชิตรัตน์มองตามมือของอีกฝ่ายที่ชี้ออกไป มองจากตรงนี้สามารถมองเห็นบริเวณรอบๆ ได้ชัดเจนเลย มีพื้นที่ติดกับทะเลดูแล้วน่าจะเป็นหาดส่วนตัว เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเดินสักเท่าไร ทั้งสองคุยกันนิดหน่อยก่อนธารจะขอตัวเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้เขากับลูกชายยืนรับลมตรงนั้นอีกสักพัก

“เข้าไปข้างในกันเถอะ แดดเริ่มแรงแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เขาว่าพร้อมขยับหมวกปีกกว้างของลูกชายให้เข้าที่ก่อนจะเดินจูงมือลูกชายกลับไปตามทางที่เดินมา แต่อยู่ดีๆเขาก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ จนเด็กน้อยได้แต่มองผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจ

“เอ่อ เดี๋ยวลูกเดินกลับเข้าไปในบ้านเองก่อนได้ไหมครับ”

“ครับ”

ชิตรัตน์ยืนมองดูจนแน่ใจว่าลูกชายของตนเดินเข้าประตูบ้านไปแล้วเรียบร้อย เขาจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงจากตัวบ้านไปอีกทางแทน  ทางที่เขาเดินไปนั้นเป็นทางเดินตัดสนามหญ้าแบบอังกฤษ จากส่วนหน้าของทางเข้าบ้านเข้าไปยังส่วนนั่งเล่นของสนาม และ ณ ตรงนั้นเองที่ทำเอาหัวใจเขาแทบจะหยุดเต้น ถึงเวลาจะผ่านมานานหลายปี ถึงอีกคนจะมีรูปร่างเปลี่ยนไปมาก แต่เขาจำได้ดี และไม่มีวันลืม

“เกล!!”

                !!!
 
เสียงเรียกทำเอาคนที่กำลังอ่านหนังสือวรรณกรรมเล่มโปรดอยู่กลางสวนถึงกับสะดุ้งตาม ขณะหันกลับไปมองคนที่เข้ามาทำลายบรรยากาศการอ่านหนังสือยามบ่ายซึ่งแดดไม่ค่อยมีของเขาลง แล้วจึงเบิกตากว้างเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่หลังต้นสนขนาดเล็กที่ใช้ตกแต่งสวน และก่อนจะทันได้ตั้งตัว คนตรงหน้าที่ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรสักวันก็ต้องได้เจอกัน พุ่งตัวเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่นพร้อมพึมพำความในใจออกมาให้เขาได้ยิน

                “พี่เจอเกลแล้ว พี่เจอเกลแล้ว พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ” ชิตรัตน์เอ่ยออกมาซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างยินดี เขาดีใจที่ได้เจอคนตรงหน้า มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว เกลอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้อีกคนหนีหายไปจากสายตาเขาอีกแล้ว

ชิตรัตน์กอดร่างนั้นแน่นจนอดคิดไม่ได้ว่าเกลนั้นผอมลงจากครั้งสุดท้ายที่เขากอดอีกฝ่ายมาก มากจนเขากลัวว่าถ้าหากกอดแรงกกว่านี้เขาจะเผลอทำให้อีกคนเจ็บ แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาทำให้คนในอ้อมกอดหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ

                “พี่ชิน”

                เกลเรียกชื่ออีกคนเสียงบางเบาติดจะสั่นเล็กน้อย แม้ความรู้สึกในใจของเขาจะยินดีที่ได้เจอกับอีกคน แต่ลึกๆ แล้วเขากลับกลัวการพบเจอครั้งนี้อีกด้วย กลัวจนขนาดที่ร่างกายของเขาเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อยจนอีกคนรู้สึกได้ จึงต้องผละออกแล้วหันมาจ้องหน้าเขาตรงๆ

                “เกลเป็นอะไร ทำไมตัวสั่นแบบนี้”

                ยิ่งมองความทรงจำครั้งสุดท้ายที่มีร่วมกันก็ยิ่งทำให้เขากลัวจนพูดอะไรไม่ออก ประสาทการได้ยินอื้ออึงไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงของอีกคน ความร้อนผ่าวรอบดวงตาพร้อมหยาดน้ำสีใสที่ค่อยไหลออกมาจากดวงตาหวาน

                “เกลร้องไห้ทำไม เกลพี่ขอโทษ”

                ชิตรัตน์เริ่มรนรานทำอะไรไม่ถูกที่เห็นน้ำตาจากความผิดปกติของคนรักที่มีอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะแววตาหวาดกลัวที่จ้องมองมาที่เขา จนหัวใจเขาปวดหนึบ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“ออกมาจากเกลลี่เดี๋ยวนี้นะ!!!!”

ปีแอร์ที่เดินกลับออกมาพร้อมของว่างที่เจ้าตัวตั้งใจนำมาให้เกลเป็นอันต้องพับความคิดนั้นทันที เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักอยู่กับเจ้านายของเขาด้วย ซึ่งมันอาจดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะอาการขั้นแรกของเกลเริ่มแสดงออกมาให้เห็น แล้วแบบนี้มีหรือคนสนิทหมายเลขหนึ่งของเกลลี่ที่เจ้าตัวอุตส่าห์สถาปนาตนขึ้นเองอย่างเขาจะยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้านายของเขาได้ ไม่มีทาง!!

เขาไม่รอช้าที่จะเข้าไปกระชากอีกฝ่ายให้ออกมาห่างๆ ก่อนส่งหมัดหนักๆเข้าไปเต็มๆ ข้างแก้มจนอีกคนลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

“แกเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้ทำให้เกลลี่เป็นแบบนี้”

เขาตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อเชิ้ตแบรนด์ดังของอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมตั้งท่าจะเข้าใส่อีกฝ่ายอีกครั้ง แต่งานนี้ชิตรัตน์พอตั้งสติได้จึงผลักเขาออกอย่างแรงจนเซ ทำให้คุณหมอเลือดร้อนอย่างเขาตั้งท่าจะเข้าไปต่อยคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แต่ร่างผอมบางของคนที่สมควรจะนั่งอยู่บนวีลแชร์อย่างที่ควรเป็น กลับพุ่งตัวเข้าไปกอดคนแปลกหน้าเอาไว้แล้วเอาตัวบังอีกฝ่ายไว้จากเขา

“ปีแอร์หยุดนะ!! อย่าทำร้ายพี่ชินนะ”

เขาร้องห้ามเสียงสั่นทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังง้างหมัดเตรียมจะใส่ชิตรัตน์อีกครั้ง ถึงจะเจ็บปวดเพราะอีกคน แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ใครทำร้ายคนที่เขารักอย่างนี้

“พี่ชินเป็นอะไรไหม”

 เขาละสายตาจากปีแอร์กลับมามองใบหน้าของชิตรัตน์ ที่มุมปากช้ำและมีเลือดซึมออกมานิดๆ จนเผลอยกมือที่กอดเอวอีกฝ่ายไว้เพื่อพยุงตัวขึ้นไปแตะ ทำให้ร่างตัวเองเซเกือบล้ม แต่โชคดีที่อีกคนไวพอจะรวบเอวบางของเขาเอาไว้ทัน ท่ามกลางสายตาไม่เข้าใจของปีแอร์ที่ได้แต่ยืนนิ่งมองคนทั้งสองแสดงความรักความห่วงใยให้กัน

                แต่เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำให้คนภายในบ้านทั้งหมดรีบพากันเดินออกมาดู

                “คุณชิน/คุณพ่อ”

 เสียงของแก้วกล้ากับเกรซดังผสานกันทันทีที่เห็นสภาพของชิตรัตน์มีรอยช้ำที่ใบหน้าและเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยยืนพยุงร่างของใครบางคนที่หันหลังให้พวกเขา  ก่อนแก้วกล้าและชาติจะต้องตกใจอีกครั้งเมื่อคนคนนั้นหันหน้ามามองพวกเขา

                “คุณเกล”

                “คุณแม่”

 เกรซยิ้มร่าอย่างไร้เดียงสายามเห็นพ่อกับแม่ของตนยืนอยู่ในท่าที่เจ้าตัวคิดเอาเองว่าทั้งคู่ยืนกอดกัน  เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปกอดที่ขาของคนเป็นแม่ เกลจึงค่อยๆทรุดตัวลงไปกอดลูกชายตัวเองแน่น

                “อ้าว เจอกันเร็วจัง”

                แต่มีอีกคนดูจะไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไร ออกจะสบายๆ และไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ จนแก้วกล้าที่มองดูอยู่ต้องหันกลับมามองธารสลับกับภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสมองของเขาจะเริ่มลำดับเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน


………………………………


             
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2017 20:42:35 โดย wavery »

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
 :mew3:


    เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พวกเข้าทุกคนจึงกลับเข้ามารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักคน จนคนที่มองเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งอย่างแก้วกล้าอดทนต่อไปไม่ไหว

                “มีใครพอจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นพวกนี้ได้มั่ง”

                เขาพูดขึ้นโดยไม่เจาะจงบุคคล แต่จะให้เขาคิดว่าคนที่เอาแต่กอดลูกชายแน่นไม่ยอมปล่อยนั้นเป็นคนตอบคำถามเขาแล้วล่ะก็คงไม่ใช่แน่  และเหมือนคนถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษนั้นจะรู้ตัว

                “แล้วแก้วอยากจะได้ยินเรื่องแบบไหนกันดีล่ะ”

                ธารถามกลับอย่างยียวนโดยสายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าช้ำของชิตรัตน์ที่เอาแต่จ้องมองไปยังคนรักและลูกชายอยู่ตลอดเวลา จนไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาของแก้วกล้าซึ่งมองมายังตนว่ามันเป็นเช่นไร

                “คุณธาร”  แก้วกล้าเริ่มไม่พอใจกับสีหน้าและการกระทำของอีกคนจนเผลอขึ้นเสียงใส่อย่างลืมตัว

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ!”
ธารเผลอตัวตวัดสายตาไม่พอใจกลับมาให้พร้อมตะคอกเสียใส่จนอีกคนสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ และไม่ใช่แค่แก้วกล้าเท่านั้นที่ตกใจ เกรซที่ยังเด็กมากสะดุ้งตามจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง

“แง แง ฮืออออออออออ”

                “พี่ธาร!”

                เกลปรามพี่ชายตนเองก่อนก้มลงไปปลอบลูกชายที่ดูจะตกใจเสียงเมื่อครู่จนขวัญเสีย และนั่นทำให้ธารได้สติกลับมาจนต้องรีบหันหน้ากลับไปมองแก้วกล้าที่นั่งก้มหน้านิ่ง

                “แก้ว คือวะ..”

                “ผมขอตัวนะครับ”

                เขาพูดขัดขึ้นอย่างไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆ ของอีกคน ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ไม่รู้ว่าเพราะลุกขึ้นเร็วหรืออย่างไร เขาถึงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาจนเซเล็กน้อย โชคดีธารลุกขึ้นมาประคองตัวเขาเอาไว้ทัน

                “ขอบคุณ”

                เขาพูดแค่นั้นก่อนสะบัดตัวออกจากอีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องของตัวเอง โดยมีชายยืนอยู่ไม่ไกลอาสาช่วยประคองพาเขาขึ้นไปส่งอย่างยินดี

                ธารมองตามอีกคนไปอย่างไปพอใจเท่าไรที่แก้วกล้ายินยอมที่จะให้คนอื่นที่ไม่ใช่เขาเตะเนื้อต้องตัวอย่างง่ายดายเช่นนั้น และไม่ต้องคิดอะไรให้มากความสองขายาวของเขาก็ก้าวตามอีกคนขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็วแม้จะห่วงน้องน้อยของตัวเองแต่เขาก็ไม่อยากให้อีกคนคิดผูกใจเจ็บกับเขานานเช่นกัน

                “ใครมีอะไรจะทำก็ไปทำเถอะครับ” เกลพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าองค์ประชุมครั้งนี้ดูจะยังไม่พร้อมเสียเท่าไร

                “พี่จะไปเตรียมอาหาร มีอะไรก็เรียกได้เลยนะครับ”

พลเอ่ยขึ้นแม้จะมีท่าทีลังเลอยู่ไม่น้อย แต่เพราะเกลเอ่ยปากว่าไม่เป็นอะไรเขาจึงขอตัวกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารสำหรับคืนนี้ โดยมีไรอัลที่เสนอตัวเข้าไปช่วยด้วย ด้วยหวังจะหลีกเลี่ยงการอยู่ลำพังกับปีแอร์ที่ตามติดตนไม่ห่างอย่างรำคาญ

                หลังจากคนอื่นๆ แยกย้านกันไปหมดแล้ว ทำให้ภายในห้องนั่งเล่นแห่งนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาสามคนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ส่วนเกรซเองก็ดูเหมือนจะเริ่มเพลียกับการเดินทางและการร้องไห้เมื่อครู่จนออกอาการงัวเงียอย่างเห็นได้ชัด

                “ลูกง่วงแล้ว พาลูกไปนอนที่ห้องเถอะ”

                ชิตรัตน์เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก่อนยื่นมือออกไปหมายจะอุ้มลูกชายออกมาจากอ้อมกอดของคนรัก เพื่อพาไปนอนบนห้องที่ธารจัดเตรียมไว้ให้  เกลที่เห็นเช่นนั้นกลับเบี่ยงตัวหนีไม่ยอมให้ชิตรัตน์มาเอาลูกไป

                “ไม่ ไม่เอา ถ้าพี่ชินเอาลูกไปเกลจะไม่ได้เจอลูกอีก ไม่เอา”

                ชิตรัตน์หัวใจกระตุกวูบกับท่าทีหวาดกลัวของคนรักขณะพยายามเอาตัวบังลูกชายที่อุ้มอยู่ให้ออกจากจากตัวเขา อาการสั่นของร่างกายกับการพูดจาซ้ำๆ แบบนี้มันทำให้เขารู้สึกหมดแรงและเจ็บปวด นี่เขาทำร้ายคนรักมากขนาดนี้ มากพอจนสร้างบาดแผลในใจให้อีกคนลึกขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ

                “พี่ไม่ได้จะพาลูกไปจากเกลนะ” เขาพยายามพูดให้อีกคนเข้าใจ

                “ไม่จริง พี่ชินจะเอาลูกไป เหมือนตอนนั้น”
ท่าทางรนรานและไม่ยอมรับฟังสิ่งใดจากเขา มันทำให้เขาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะรั้งคนทั้งสองเข้ามากอด

                “พี่พูดจริงๆ คราวนี้พี่จะไม่พาลูกไปจากเกลอีกแล้ว”
เพราะการกอดอีกคนเอาไว้แบบนี้ ทำให้เขารู้ว่าเกลมีอาการสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด

                “เชื่อพี่นะ พี่จะไม่ทำอีกแล้ว”

เขาพยายามพูดปลอบอีกฝ่ายอยู่นานกว่าเกลจะยอมสงบลง แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจการเดินของอีกคนแต่เขาก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้แทนเพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอามาพูดในตอนนี้ เขาจึงเลือกที่จะอีกฝ่ายและลูกเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อนแทน

                ชิตรัตน์ค่อยๆ วางร่างคนรักลงบนเตียงนอนข้างๆ ร่างเล็กของลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง ก่อนจะตั้งท่าลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเพื่อให้ทั้งคู่ได้พักผ่อน แต่กลับโดนแรงดึงที่ท่อนแขนหนาของตนรั้งตัวเอาไว้ให้หันกลับมามองคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

                “พี่ชินจะไปไหน”
                คำหวาดหวั่นที่ดังออกมาเบาๆ ของเกลทำให้เขาไม่กล้าเดินไปไหนต่อ ดังนั้นเขาจึงเลือกนั่งลงที่ขอบเตียงโดยหันหลังให้อีกคนแทน

                “พี่คิดว่าเกลไม่อยากจะเห็นหน้าพี่เสียอีก”

                “เกลคิดถึงพี่”

                เขาพูดพร้อมซบลงไปบนไหล่หนาที่ลู่ลงของคนนั่งหันข้างให้กับเขา ถึงไม่อยากเห็นหน้าแต่ก็ไม่เคยมีสักวันที่เขาจะไม่คิดถึงอีกคน ต่อให้เจ็บปวดกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะไม่รัก และครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงจะกลัวว่าถ้าเขาเผลอไปแล้วอีกฝ่ายจะพาลูกหนีหายไปจากเขาอีก แต่เขาก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ต่อไป

                “เกลไม่โกรธพี่เหรอ”

                “โกรธสิ พี่ชินเอาลูกไปจากเกลนะ พี่ชินทิ้งเกลนะ จะไม่ให้เกลโกรธเลยก็คงไม่ใช่”

                “...”

                “แต่เกลก็ยังรักพี่ชิน”

                ไม่เคยเกลียดลงได้เลยสักครั้ง ยิ่งมารู้ว่าอีกคนพยายามตามหาเขาแบบนี้ด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขาโกรธเกลียดไม่ลงจริงๆ บางทีเขาคงจะบ้าไปแล้วจริงๆที่ยังคงรักอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้

                “เกลควรจะด่าพี่ เกลียดพี่ให้สมกับสิ่งที่พี่ทำสิ  ยิ่งเกลทำแบบนี้พี่ยิ่งรู้สึกผิด”

                ชิตรัตน์ก้มด่าตัวเองออกมาให้อีกคนได้ยิน หากได้ยินคำด่าว่าตัดพ้อจากอีกฝ่ายเขาอาจรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้ ขณะที่เขากำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่นั้น คนที่ซบอยู่กับไหล่ของเขากลับผละออกแล้วดันไหล่ของเขาให้หันกลับมาประจันหน้ากัน

                “เกลบอกแล้วไงว่าเกลโกรธพี่ชิน แล้วพี่ชินก็ขอโทษกับสิ่งที่พี่ทำไปแล้ว” หน้าผากมนประกบเข้ากับหน้าผากของเขาเบาๆ

                “เกลให้อภัย แต่พี่ชินต้องสัญญากับเกลก่อนนะว่า ต่อจากนี้พี่จะไม่ทิ้งเกลให้อยู่คนเดียวอีก”

                “ได้ พี่สัญญา”

                ชิตรัตน์ยื่นนิ้วก้อยของตนออกไปเกี่ยวกับคนรักที่ยกขึ้นมารอเขาอยู่แล้วเหมือนเมื่อก่อนนี้ ทุกครั้งที่สัญญาอะไรกัน พวกเขาสองคนมักทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนโผเข้ากอดกัน ถึงความรู้สึกที่มีในตอนนี้จะยังไม่เต็มร้อย แต่เกลก็ปฏิเสธได้ไม่เต็มปากหรอกว่า เขากลัวใจของอีกคนว่าจะผิดคำสัญญาขึ้นมาอีกครั้ง แต่พอกลับเข้ามาอยู่ในออมกอดของอีกฝ่ายอย่างนี้แล้ว เขากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

                “คืนนี้อยู่ด้วยกันนะ เกลอยากอยู่กับพี่ชินแล้วก็ลูก อยู่ด้วยกัน”

ทั้งคู่นอนคุยกันบนเตียงจนชายมาตามเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความเงียบก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันหลังจากกินเสร็จ

ชิตรัตน์อาสาดูแลเกลเองแม้จะต้องเจอสีหน้าไม่พอใจของปีแอร์ที่รู้สึกเหมือนโดนแย่งความสำคัญไป แต่ก็โดนไรอัลลากตัวออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ส่วนธารก็ไม่กล้าขัดใจเมื่อเห็นว่าเกลอนุญาตให้อีกฝ่ายดูแล ธารเลยได้โอกาสนี้ตามง้อแก้วกล้าที่โกรธเขาอยู่ ส่วนเกรซก็เดินกลับไปที่ห้องของตนเพื่อไปทำธุระส่วนตัว
 
ก๊อก ก๊อก
แอ๊ดดด

                “คืนนี้ผมขอนอนด้วยได้ไหมครับ คุณแม่” แขกตัวน้อยเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ อยู่หน้าประตู   เรียกความสนใจจากเกลและชิตรัตน์ที่นั่งอยู่บนเตียงนอนให้หันกลับไปมองลูกชาย       
           
“ได้สิครับ” เกรซยิ้มกว้างก่อนจะขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับกอดเข้าที่เอวของคุณแม่ที่นั่งหลังพิงกับหัวเตียงอยู่

                “งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะ”  ชิตรัตน์อมยิ้มกับภาพตรงหน้าก่อนจะเปิดโอกาสนี้ให้ลูกชายของตนได้อ้อนคุณแม่ของเขาสักหน่อย

                “ผมมีอะไรมาให้คุณแม่ด้วย แต่คุณแม่อย่าเพิ่งอ่านตอนนี้นะ คือเกรซไม่ อยากให้คุณพ่อเห็น” เกรซยื่นสมุดโน้ตของตัวเองให้พร้อมท่าทางเขินอายจนเกลชัก อยากจะรู้แล้วสิว่า ลูกชายตัวน้อยของเขานั้นเขียนอะไรเอาไว้บ้าง

                “งั้นเอาไว้เราอ่านด้วยกันพรุ่งนี้...ดีไหม”  เกลเสนอขึ้นมาทำให้เกรซรีบพยักหน้าตอบตกลงรับทันที

                “คืนนี้เกรซจะได้นอนกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว” เกรซยิ้มตาหยีพร้อมกับกอดรัดเจ้าตุ๊กตาหูยาวที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมอบมันไว้ให้เพื่อเป็นของดูต่างหน้า ซึ่งมันทำให้เกลที่มองดูพฤติกรรมนั้นของลูกชายอดจะขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ 

                “พรุ่งผมตื่นมาจะยังเจอคุณแม่อยู่ใช่ไหมครับ” แต่อยู่ๆ ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นกลับหมองลงและเริ่มจะร้องไห้ เมื่ออยู่ๆ คำพูดที่คุณย่ามักจะพูดกรอกหูเขามานานนั้นดังขึ้นมาในหัว

                “เจอสิครับ แต่ถ้ากลัวก็กอดไว้แน่นๆ นะ คุณแม่ก็จะกอดน้องเกรซเอาไว้ด้วยดีไหม” เกลว่าพร้อมโน้มตัวลงมาแล้วเอาแขนพาดลงบนตัวของเกรซ เด็กชายยิ้มพร้อมเพิ่มแรงกอดมากขึ้นก่อนที่จะหลับไป อาจเพราะว่าวันนี้เดินทางมาไกลบวกกับต้องมาเจอเรื่องราวต่างๆ ทำให้เด็กชายหลับลงไปได้อย่างง่ายดาย  หลังจากนั้นไม่นานชิตรัตน์จึงเดินออมาจากห้องน้ำ กำลังอ้าปากจะถามเกลก็ยกนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากให้เงียบไว้ ชิตรัตน์รับรู้ก่อนจะเดินมาที่เตียง โอบเอวเกลไว้หลวมๆ พร้อมกดจูบลงไปบนลาดไหล่เล็ก

                “เกลก็นอนได้แล้วนะ”  ชิตรัตน์ว่าก่อนจะช่วยขยับตัวให้เกลลงไปนอนกอดลูกชายส่วนเขากอดเกลเอาไว้จากด้านหลัง  แค่นี้เขาก็มีความสุขจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว มันเหมือนเขาได้ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดต่างๆ ได้รับการให้อภัยจากคนรัก ได้ทำให้ลูกมีความสุข ได้กอดคนที่เขารักเวลานอนหลับ ได้อยู่ด้วยกัน ได้มองหน้ากันและเขาก็เชื่อว่าลูกชายของเขาเองก็ต้องมีความสุขเหมือนกันเวลาที่ได้นอนอยู่ในอ้อมแขนของแม่  เขาหวังว่าในทุกๆ วันเวลาเขาที่ตื่นนอน เขาจะได้เจอกับเกลและได้บอกรักกันก่อนนอนเหมือนดังเช่นในคืนนี้..........

                “พี่รักเกลนะ”

                “เกลก็รักพี่ชินครับ”

______________________________________________________

เขาเจอกันแล้ววววว  :katai2-1:

หลายคนอาจมองว่า เอ๊ะ ทำไมเกลยอมชินง่ายจังลยทั้งๆที่ชินเองก็มีส่วนในเรื่องนี้อยู่บ้าง

มันก็คล้ายๆกับเวลาที่เราไม่พอใจในสิ่งที่เราชอบหรือคนที่เรารักนั้นแหละ ที่ถึงภายนอกส่วนใหญ่จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่ในใจลึกๆมันก็มีความไม่พอใจอยู่

ซึ่งเกลก็เป็นแบบนั้นแหละ เพราะอย่างหนึ่งที่สำคัญคือเกลปักใจเชื่อไปเกือบหมดแล้วว่าคุณหญิงคือตัวต้นเรื่อง ส่วนชินแค่คนไม่สามารถปฎิเสธได้

สำหรับชินแล้วเกลเลยมีแค่ความรู้สึกหวาดระแวง กลัวว่าจะถูกแย่งลูกไปอีกเท่านั้น


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2017 20:41:50 โดย wavery »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด