พิมพ์หน้านี้ - End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: wavery ที่ 01-12-2016 13:21:55

หัวข้อ: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 01-12-2016 13:21:55
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)           

                  ____________________________________________________________________




นิยายเรื่องนี้เราเคยเอามาที่เล้าแล้วครั้งหนึ่งและเราได้ทำการรีไรย์เนื้อหาในเรื่องไปถึง90% จึงเปิดบล็อคใหม่และลบบล็อคเก่าทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในเนื้อหา


เข้าใจกันก่อน

 1. เรื่องนี้เป็นแนวMpregหรือก็คือแนวผู้ชายท้องได้  ดังนั้นอย่าได้ตกใจหาจะเจอตัวละครตัวใดที่เป็นผู้ชายท้องได้
 2. เรื่องนี้เราแต่งเพื่อให้ความบันเทิงใจ ไม่อยากให้ทุกคนเครียดหรือจริงจังกับเนื้อเรื่อง
 3. หากมีครงไหนที่ผิดพลาด สามารถบอกเราได้เลย
 4. 1เม้นต่อ1กำลังใจนะคะ เพื่อเพิ่มแรงใจในการอัพวนิยาย



 :mew1:
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-12-2016 11:47:03
ฤดูอะไรที่คุณคิดว่ามันหนาวเหน็บที่สุดบางทีอาจเป็นฤดูหนาวที่มีลงแรงและหนาวจับใจ แต่สำหรับผมก็คงจะเป็นฤดูหนาวเหมือนกัน แต่คงจะเป็นฤดูหนาวที่มีฝนตกลงมาด้วย เพราะมันทั้งหนาวและเดี่ยวดายที่สุด......................................

ความเจ็บปวดของแต่ละคนแตกต่างกัน คุณเคยเจ็บปวดกับเรื่องของอะไรมากที่สุด               
 
แล้วคุณคิดว่าคุณทนต่อความเจ็บปวดที่ว่านั้นได้มากน้อยแค่ไหนกัน
                               
..............................................................................

       
ผมเจ็บปวด เพราะไม่สามารถปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้ ผมทำให้หัวใจของตัวเองต้องบอบช้ำและหายตัวไป ผมพยายามหาเขา เพื่อขอโทษและชดใช้กับสิ่งที่ผมทำผิดไป 



ผมเจ็บปวด เพราะถูกพรากเอาแก้วตาดวงใจไปต่อหน้า เจ็บปวดเพราะคนที่รักที่สุดหักหลัง ผมเจ็บจนไม่อยากมีลงหายใจอยู่อีกต่อไป

_______________________________________________


สารบัญ


:mew1:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 02-12-2016 12:47:44
รอจ้า
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 02-12-2016 15:28:19
รออ่านจ้า

พลาก ==> พราก
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) 1-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 02-12-2016 18:45:09
รอค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -หยาดฝน- 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 18-12-2016 20:59:39
หยาดฝน



            “คุณหญิงผมขอล่ะอย่าเอาลูกของผมไปเลย.. อึกๆ  ได้โปรดเถอะ คืนแกมาให้ผมเถอะ”   เสียงร้องอ้อนวอนของเด็กหนุ่มลูกครึ่งตัวบางวัยยี่สิบสองปี ร้องไห้กอดขาหญิงวัยลางคนที่มีศักดิ์เป็นแม่ของคนรักของเด็กหนุ่มที่กำลังจะพรากเอาลูกน้อยวัย 1 เดือนไปจากอกของเขาอย่างเลือดเย็น


           “เอามือสกปรกของแกออกไปจากขาฉันนะ ไอ้เด็กเหลือขอ นี่! ฉันบอกให้ปล่อยไง” หญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าราคาแพงพูดขึ้นอย่างขัดใจ เมื่อคนที่หล่อนตราหน้าว่าเหลือขอยังไม่ยอมแม้จะยอมเลิกรา


            “ผมขอร้องอย่าเอาแกไปเลย คืนลูกมาให้ผมเถอะ แกร้องใหญ่แล้วคุณเห็นไหม”  เด็กหนุ่มยังคงร้องอ้อนวอนอย่างไม่ยอมแพ้ ยิ่งตอนนี้เสียงลูกน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงตรงหน้าเริ่มแผดเสียงร้องดังออกมาจนอยากเข้าไปปลอบลูกน้อยจนใจของเขาแทบจะขาด


              “อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ!!” หล่อนว่าพร้อมเอี้ยวตัวหนี เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าพยายามที่จะเขามาอุ้มหลานชายไป


              “ผมขอล่ะ คืนลูกมาให้ผมเถอะ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมพยายามเข้ามาเพื่อเอาตัวลูกชายคืน


              “แกนี่มันพูดไม่รู้เรื่องหรือยังไงกัน!” คุณหญิงว่าอย่างเหลืออด ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนข้างแก้มขาวอย่างแรงทำให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับเซไปด้านข้างหลายก้าว


               "เกล!!”  เสียงของผู้มาใหม่ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังห้องรับแขกของคอนโดที่เขาและคนรักอาศัยอยู่ร่วมกันมาแรมปีจนมีพยานรักตัวน้อยออกมาให้เชยชม แต่ตอนนี้ห้องรับแขกของเรือนหอแสนสุขของเขากลับไม่เป็นดังเช่นทุกวันเมื่อมีคนที่เขาคุ้นหน้าดีเข้ามาเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่ในห้อง


               “พี่ชิน” เกล หรือ ไนติงเกล ร้องเรียกคนรักเสียงสั่นอย่างหาที่พึ่งทันทีที่เห็นอีกคนวิ่งเข้ามาในห้อง เช่นเดียวกับ ชิตรัตน์ ที่รีบวิ่งฝ่าผู้ติดตามของมารดาเข้ามาประคองกอดคนรักที่ร้องไห้หน้าแดงอยู่กลางห้อง

                “พี่ชินช่วยเกลด้วย คุณหญิงจะเอาลูกเราไป พี่ชิน เอาลูกคืนมาให้เกลที”   เกลร้องขออย่างคนที่สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกทั้งกายบางที่เริ่มสั่นเทาอย่างน่าสงสารจนชิตรัตน์ต้องรวบเอาคนรักเข้ามากอดปลอบซึ่งการกระทำของทั้งคู่สร้างความไม่พอใจให้คุณหญิงเป็นอย่างมาก

                 “หยุดน้ำเน่ากันสักทีเถอะ ฉันจะอ้วก” หล่อนว่าก่อนจะเดินอุ้มเด็กน้อยออกไปจากห้องอย่างไม่สนใจท่าทีของเกลที่พยายามดันตัวออกจากชิตรัตน์เพื่อเข้าไปขวางไม่ให้คุณหญิงเอาตัวลูกชายเพียงคนเดียวของเขาไป

                 “พี่ชินปล่อยเกลนะ เกลจะไปเอาลูกคืน พี่ชินปล่อย!!” เกลพยายามดันตัวออกมาจากแรงที่รั้งตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถแต่ด้วยสรีระร่างกายที่ไม่เท่ากัน ตนจึงไม่สามารถจะทำในสิ่งที่คิดเอาไว้ได้

                 “พอแล้วเกล อย่าพยายามเลย” น้ำเสียงที่เหมือนคนสำนึกผิดของชิตรัตน์กลายเป็นสิ่งที่ดึงความสนใจของเกลเอาไว้แทน  เกลหันกลับมามองคนรักที่ยังคงกอดเอวของเขาเอาไว้แน่นแต่เพราะอีกคนซบหน้าลงกับช่วงบ่าด้านหลังของเขาทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าชิตรัตน์พูดออกมาด้วยสีหน้าแบบไหน

                 “อย่าพยายาม?” เกลเอ่ยท้วนคำอย่างไม่เข้าใจ

                  “...”

                  “พี่ชินหมายความว่ายังไงที่ว่า อย่าพยายาม นั่นลูกเรานะ เกลจะไปเอาลูกคืนมันผิดตรงไหน !! พี่ชินปล่อยเกลนะเกลจะไปหาลูก” คำขอร้องที่เคยอ้อนวอนอีกคนเปลี่ยนเป็นคำสั่งให้ปล่อยตัวเขาออกจากแรงเหนียวรั้งนั้นแทนพร้อมคำพูดที่ว่าจะไปหาลูกซ้ำไปมาจนชิตรัตน์ทนเห็นสภาพของคนรักเช่นนี้ต่อไม่ไหว

                  “พอแล้วเกล พอแล้ว พี่ขอโทษ” ชิตรัตน์ว่าเสียงอ่อนพร้อมน้ำตาของเกลที่เริ่มไหลออกมาโดยไร้แม้เสียงสะอื้น

                    “ขอโทษ ขอโทษทำไม” เกลว่าอย่างเลื่อนลอยโดยสายตายังไม่ยอมละไปจากบานประตูที่เปิดกว้าง

                  “ต่อจากนี้ เกลต้องอยู่คนเดียวให้ได้นะ พี่จะพยายามพาลูกมาหาเกล    บ่อยๆ”  สิ้นคำของชิตรัตน์นั้นทำให้เกลหันกลับมามองหน้าคนรักอย่างรวดเร็ว ด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาจากปาก

                   “อยู่คนเดียว? พี่ชินพูดอะไรนะครับ อยู่คนเดียวอะไรกัน ไหนพี่ชินเคยบอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง” เกลถามเสียงสั่นอย่างไม่อาจยอมรับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น

                   “พี่ขอโทษจริงๆ เกล แต่เพื่อทุกฝ่ายแล้วพี่ต้องทำ เกลเข้าใจพี่นะ”

                   “ไม่ เกลไม่เข้าใจ”  เกลส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมรับเรื่องที่ได้ยินพร้อมผละตัวออกมาจากชิตรัตน์

                    “เกล” ชิตรัตน์เรียกชื่อคนรักอย่างสงสาร แต่กลับเป็นเกลเองที่พยายามเดินหนีมือคู่นั้นที่พยายามยื่นออกมาจับตนเอาไว้อย่างหวาดกลัว

                    “ไม่จริง พี่ชินโกหกเกล พี่ชินเอาลูกไปจากเกล ไม่จริง”

                    “เกล เกลใจเย็นๆ ”  ชิตรัตน์เห็นท่าทีของเกลแล้วเริ่มใจไม่ดีเมื่อเกลเริ่มมีอาการเหมือนคนที่ไม่ยอมรับความจริงอีกทั้งยังพูดย้ำว่าเขานั้นเป็นคนผิด

                     “พี่ชินโกหก ไหนว่าจะอยู่ด้วยกันไงแล้วทำไมถึงให้คุณหญิงมาเอาตัวลูกของเราไปล่ะ ทำไม!!” เกลตะโกนถามเสียงดังอย่างคนไม่อาจควบคุมอามรณ์ของตนเองได้ ทั้งยังไม่ยอมให้ชิตรัตน์เข้าใกล้อีกด้วย

                    “พี่ขอโทษ” คงมีเพียงแค่คำนี้จริงๆ ที่เขาสามารถพูดออกมาได้ในเวลาเช่นนี้ เขาไม่หวังให้เกลรับเอาคำขอโทษของเขาแต่อย่างน้อยเขาก็ขอให้ได้พูดสิ่งที่เขาอยากจะพูดสำหรับการกระทำที่เขาเองเป็นคนตัดสินใจในครั้งนี้

                     “สารเลว.....”

                      !!

                      “สารเลว เลวที่สุด เกลเกลียดพี่ชินได้ยินไหม เกลเกลียดพี่ เกลียดคุณหญิง เกลียดทุกคนที่เอาลูกของเกลไป เกลียด ได้ยินไหมว่าเกลียด!”

                        ชิตรัตน์ชะงักนิ่งไปกับคำพูดที่กรีดกลางหัวใจของเขาอย่างเจ็บแสบ ไม่มีคำพูดใดที่จะทำร้ายจิตใจเขาไปมากกว่าคำว่า เกลียด จากคนที่เรารักได้อีกแล้ว

                        “แต่พี่รักเกล”

                        “แล้วคนที่รักกันเขาทำกันแบบนี้เหรอ” คำพูดอย่างเหลืออดของเกล ทำให้ชิตรัตน์นิ่งค้างไปอีกรอบ

                        “เกลเกลียดพี่ ได้ยินไหมว่าเกลียด ได้ยินไหม!!!! อึก” 

                          “เกล!!”

                         เกลกรีดร้องออกมาก่อนที่จะล้มพับลงไปกับพื้น  ชิตรัตน์ที่มองดูอย่างตกใจรีบปรี่เข้าไปดูอาการคนรักอย่างตกใจพยามยามที่จะอุ้มอีกคนออกจากห้องเพื่อจะพาไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ แต่มันก็เป็นได้เพียงแค่ความคิดเมื่ออยู่ๆ คนติดตามทั้งสองของคุณหญิงผู้เป็นมารดา เข้ามารั้งตัวเขาเอาไว้เสียก่อน

                         "ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อยไง เกล เกล ได้ยินพี่ไหมเกล” ชิตรัตน์ว่าอย่างขัดใจด้วยอาการร้อนรนเมื่อมองดูคนรักที่นอนอยู่กับพื้นอย่างไร้วี่แววว่าจะตอบสนองต่อเสียงเรียกของเขา

                        “ต้องขอโทษจริงๆ ครับ แต่คุณหญิงสั่งมาให้พาคุณชิตรัตน์ไปเดี๋ยวนี้” ผู้ติดตามหนึ่งในนั้นตอบขณะดันให้ชิตรัตน์ออกจากห้องไป

                         “แต่ฉันจะไปดูเมียฉัน ได้ยินไหมว่าปล่อย!!” ชิตรัตน์พยายามดีดตัวออกจากการเหนี่ยวรั้งนั้นเพื่อเข้าไปดูอาการของเกลที่นอนล้มพับอยู่บนพื้น

                         “คุณหญิงบอกว่าให้คุณกลับไปหาท่านเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้อตกลงทุกอย่างถือเป็นอันยุติ”

                          ชิตรัตน์มีท่าทีคิดหนักเมื่ออยู่ๆ อีกคนพูดถึงข้อตกลงระหว่างเขาและคุณหญิงขึ้นมา แต่แล้วยังไงล่ะตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือร่างของคนรักที่อยู่ตรงหน้าเขามากกว่า ชิตรัตน์จึงอาศัยจังหวะที่ผู้ติดตามทั้งสองเห็นว่าเขานิ่งไปจึงลงการ์ดป้องกันลงสะบัดตัวออกมาหมายจะวิ่งเข้าไปดูคนรัก แต่ก็ช้ากว่าคนที่ถูกฝึกมาเพื่อเตรียมรับมือกับเรื่องแบบนี้ เมื่อชิตรัตน์สลัดหลุดจากอีกคนได้อีกคนที่เหลืออยู่จึงใช้จังหวะที่ชิตรัตน์ไม่ทันระวังตัวฝาดสันฝ่ามือลงไปที่หลังคอของชิตรัตน์อย่างแรงเป็นผลให้ชายหนุ่มสลบกลางอากาศก่อนจะถูกลากตัวออกจากห้องไป

                           ทิ้งไว้เพียงร่างของคนที่นอนอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางห้องที่เมื่อวานยังเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงร่างของเขาเพียงคนเดียวเหมือนเป็นการตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้วคำว่าครอบครัว หลงเหลือเพียงคำว่า ‘เขา’ เท่านั้น


       
____________________________________________________________________


สวัสดีอีกครั้งนะคะ

ฝนกลางฤดูหนาว ฉบับรีไรย์เสร็จสมบูรณ์ครบทุกตอนแล้วนะคะ

เนื้อเรื่องทั้งหมดถูกแก้ไขกว่า90% เพื่อความสมเหตุสมผลมากขึ้นและมีการแก้ไขจุดที่เขียนผิด



ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 1- 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-12-2016 21:10:34
สงสารเกล ทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 1- 18-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 18-12-2016 21:12:34
ฝนหยดที่ 1


             เรื่องราวเลวร้ายในอดีตที่ผ่านมาบางคนอาจปล่อยวางมันไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่อให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุข  หรือบางคนเลือกที่จะเก็บมันไว้ให้ลึกสุดของจิตใจเอาไว้เป็นเครื่องเตือนสติเตือนใจ ว่าอย่าทำผิดพลาดอีกหรือกลับไปเจ็บช้ำเพราะสิ่งนั้นอีก แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่สามารถปล่อยวางจากเรื่องราวเลวร้ายในอดีตได้ และเอามันมาทำร้ายตัวเองจนไม่สามารถเยียวยาได้
 
                  ความเจ็บปวดสำหรับคนๆ หนึ่งที่ได้รับมันจะส่งผลไปถึงคนรอบข้างได้จริงๆ หรือ ?  นี่คือคำถามที่เคยวนเวียนอยู่ในหัว  โจนาธาร แอล.ดี. เอลเมอร์ซี่ เคยคิดและหาคำตอบมานานจนได้คำตอบว่า ความเจ็บปวด มันส่งถึงคนรอบข้างแน่นอนและมันเจ็บยิ่งกว่าคนที่เจ็บปวดเองด้วย แล้วอะไรที่ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แบบชาวตะวันตกที่มีเชื้อสายไทยคนนี้ถึงรู้นะเหรอ นั่นก็เพราะเขาต้องเฝ้ามองน้องชายเพียงคนเดียวของเขาจมอยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดเกือบ 5 ปีเต็ม น้องชายที่เขารักและเฝ้าถนอมมาแต่เล็กแต่น้อย น้องของเขา ไนติงเกล ลักษณสกุล หรือ ไนติงเกล แอล.ดี. เอลเมอร์ซี่   น้องเกลที่ยิ้มง่าย ร่าเริงอยู่ตลอดเวลา อยู่ๆ ก็กลายมาเป็นคนเก็บตัวและชอบเหม่อลอย บางทีก็ร้องไห้ออกมาหรือแม้กระทั้งกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

              มันเป็นมาตั้งแต่วันนั้น วันที่เขามาหาน้องที่ประเทศไทยเพื่อมาเยี่ยมน้องชายและหลาน  แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมดเมื่อเขามาถึงห้องที่น้องชายอาศัยอยู่ประตูที่ปิดไม่สนิทสภาพห้องที่ข้าวของเกลื่อนกลาดและร่างของน้องชายที่นอนอยู่กับพื้น  มองไปทางไหนก็ไม่พบคนรักของน้องชายที่น่าจะอาศัยอยู่ด้วยกันที่นี้หรือไม่แม้จะได้ยินเสียงร้องของหลานชายวัยแบเบาะ มันเป็นเหมือนเค้าลางร้ายบางอย่างที่กำลังจะบอกใบ้บางสิ่งให้เขารู้ตัว เขาจึงรีบช้อนร่างของน้องชายขึ้นแนบอกแล้วออกจากห้องไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

                 “เกล เกลต้องไม่เป็นอะไรนะ”

...............
.....

               “คนไข้มีอาการช็อกอย่างหนักและเครียดหมอให้ยานอนหลับไปแล้ว อีกสักพักก็คงจะฟื้น”

               อาการของน้องชายที่เขาได้รับรู้จากแพทย์ที่เข้ามาดูอาการเริ่มทำให้เขาวิตกกังวลขึ้นมาว่าอะไรทำให้น้องของเขาช็อกอย่างหนักได้ขนาดนี้  แต่คำตอบของเรื่องราวก็ไม่ได้ปล่อยให้เขารอนานจนเกินไปเมื่อเขากลับเข้ามาในห้องอีกครั้งหลังจากออกไปสั่งการเรื่องการตามหาน้องเขยและหลานชายที่หายตัวไปก่อนหน้า

              เสียงความวุ่นวายที่ดังลอดออกมาจากห้องพักฟื้นของน้องชายไหนจะเหล่าพยาบาลที่วิ่งวุ่นเข้าออกห้องอย่างจ้าละหวั่นทำให้เขารีบวิ่งเข้าไปยังห้องพักฟื้นทันทีและภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของเขาแทบสลาย

             หลังมือขาวซีดที่โชกไปด้วยเลือดจากการกระชากสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่ออกอย่างแรงจนเลือดไหลท่วม  ใบหน้าซีดเซียวที่ดูแตกตื่นกว่าปกติ ร่างกายที่พยายามสะบัดออกจากการเหนี่ยวรั้งของสองคนสนิทและบุรุษพยาบาลที่เข้ามาใกล้ ทั้งยังร้องเรียกหาบางสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตรงหน้า

             “ปล่อยเกล ปล่อย เกลจะไปหาลูก ปล่อยนะ”

             เสียงร้องเรียกที่ดังซ้ำๆ วนไปมาทำเอาเขาต้องหลับตาหนีไม่อยากรับรู้ความจริงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับน้องชายที่เขารัก แต่เพราะความเป็นพี่ชายที่เขามี เขารักน้องมากและมากเกินที่จะทนเห็นสภาพที่บีบคั้นหัวใจของเขาไหว เขาจึงแทรกตัวฝ่าวงล้อมของเหล่าคนชุดขาวเข้าไปดึงน้องเข้ามากอดไว้แนบอก

             “พี่อยู่นี่แล้วเกล พี่อยู่นี่”
            แรงดิ้นหนีเริ่มเบาลงตามแรงลูบปลอบของเขาที่ลูบไปตามแผ่นหลังเล็ก

             “เกิดอะไรขึ้น บอกพี่ได้ไหม”
             เขาพยายามเอาน้ำเย็นเขาลูบเพื่อหวังว่าน้องของเขาจะใจเย็นลงบาง แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับมา กลับทำให้จิตใจของเขาร้อนเป็นไฟขึ้นมาแทนอย่างห้ามไม่อยู่

              “คุณหญิง....คุณหญิงเอาตาหนูไป...เขาเอาลูกของเกลไป...พี่ชิน...ทรยศ...พี่ชิน..ตาหนู.อะ อ๊ายยยยยยยยยยยย!!!  ปล่อย!!  ปล่อย!! ปล่อยเกล  เกลจะไปหาลูก  ปล่อยสิ ปล่อย ฮืออ ฮือ ...”

               เกลเริ่มกรีดร้องอย่างไม่มีสติอีกครั้ง แต่คราวนี้พยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบนำเข็มฉีดยาที่บรรจุยานอนหลับชนิดรุนแรงเข้ามาฉีดให้เกลอย่างรวดเร็วทันทีที่คนในอ้อมแขนเขาเริ่มอาละวาดขึ้นมา เพียงไม่กี่อึดใจร่างน้อยในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มอ่อนแรงแล้วสงบลงอย่างง่ายดาย แต่นั่นกลับทิ้งความเจ็บปวดที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าไว้ในใจของเขาและผู้คนรอบข้าง
และอาการเช่นนี้ก็ยังคงมีปรากฏให้เห็นวนเวียนอยู่เช่นนี้เกือบทั้งสัปดาห์ ก่อนที่เช้าวันหนึ่งน้องจะตื่นขึ้นมาในสภาพที่เงียบซึมไม่ตอบโต้หรือตอบสนองสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นเขาที่เป็นพี่ชายหรือคนสนิทของตัวเองทั้งสองคนที่อยู่เฝ้าไม่ห่างไปไหน เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น ร่างกายของน้องเขากลับผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ  ทำให้เขาตัดสินใจพาน้องออกจากโรงพยาบาลทันทีในวันนั้นแล้วพากลับอังกฤษด้วยกันตามคำสั่งของบิดาทันที


                ทันทีที่ถึงอังกฤษทุกคนในบ้านดูตกใจกับสภาพของคุณหนูคนเล็กของบ้านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมารดาของเขาที่ถึงกับร้องไห้ไม่หยุดเมื่อทราบเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้น ต่างกับบิดาของเขาที่ยังคงสุขุมและไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะมีเพียงก็แค่เข้าไปกอดลูกชายคนเล็กเอาไว้เงียบๆ แต่เขารู้ดีว่าพ่อของเขาเองก็เสียใจไม่แพ้ใครที่ต้องมาเห็นสภาพลูกชายของตนเช่นนี้  ส่วนพี่ชายคนโตของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรก่อนจะหลบฉากออกไปพร้อมกับพาแม่ของเขาขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องแทน

                วันต่อมาพ่อของเขาพาเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุอานามมากกว่าน้องชายเขามาในฐานะหมอส่วนตัว และ ปีแอร์ ก็คือชื่อของหมอหนุ่มคนนั้น เขาพอจะเข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาถึงเลือกผู้ชายคนนี้ให้เข้ามาดูแลทายาทคนเล็กของตน เพราะปีแอร์นั้นเป็นคนร่าเริงออกจะทะเล้นนิดๆ แต่ในความคิดเขาว่าไอ้เด็กนี่มันพูดมากชะมัดอย่างน้อยมันก็เก่งพอตัวที่สามารถดูแลน้องของเขาจนอาการเริ่มดีขึ้นตามลำดับแม้จะช้าไปหน่อย จนในที่สุดน้องเขาก็เริ่มพูดคุยกับคนอื่นขึ้นมาบ้าง

             แต่แล้วเหตุการณ์น่าตกใจก็เกิดขึ้นกับพวกเขาอีกครั้ง  วันนั้นเขาพาน้องกลับมาไทยเพื่อตรวจดูการก่อสร้างบริษัทลูกที่นี่ แต่แล้วอยู่ดีๆ เกลที่นั่งนิ่งมาตลอดทางก็วิ่งออกจากรถไปกลางถนนขณะรถกำลังวิ่งพลุกพล่าน จนเป็นเหตุให้รถยนต์อีกคันที่วิ่งมาด้วยความเร็วไม่สามารถเบรกได้ทันชนเข้ากับร่างของเกลอย่างจัง เขายังจำได้ดีว่าน้องต้องเข้าไปอยู่ในห้องไอซียูนานเกือบสัปดาห์กว่าจะออกมาได้ แต่เหมือนโชคชะตายังเล่นตลกไม่เลิก เมื่อแพทย์ออกมาบอกว่าน้องของเขาไม่สามารถเดินได้และต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันการเป็นอัมพาตอย่างถาวร อีกทั้งสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมาแล้วกลับดิ่งลงเหวอีกครั้งและดูท่าว่าจะแย่งลงกว่าครั้งแรกมากด้วย เมื่อน้องเขาเริ่มมีอาการกรีดร้องออกมาบ้างอย่างไม่มีสาเหตุหรืออยู่ๆ ก็ร้องไห้และเริ่มร้องหาลูกชายอีกครั้ง

                “ต่อจากนี้ตุ๊กตาตัวนี้จะเป็น ‘ตาหนู’ ของลูกนะ”   
                นายโจเซฟ ดี.เอลเมอร์ซี่  นั่งลงตรงหน้าลูกชายคนเล็กพร้อมกับส่งเจ้าตุ๊กตากระต่ายตัวขนาดกลางหูยาวสีเทามาตรงหน้าลูกชายคนเล็กที่นั่งเหม่อลอยออกไปยังสวนหลังคฤหาสน์เก่าแก่สไตล์อังกฤษนิยมหลังงามมรดกตกทองของตระกูล โดยหวังว่ามันจะพอเป็นตัวแทนของหลานชายของเขาได้บ้าง ส่วนภรรยาทั้งสองของลูกชายคนโตหลังจากเกิดเรื่องก็ขอย้ายกลับมาอยู่ที่อังกฤษ เพื่อช่วยดูแล    เกลอีกแรงโดยหวังว่าเด็กๆ ที่เป็นลูกของพวกตนจะสามารถช่วยเยียวยาแผลในใจของเกลได้ไม่มากก็น้อย

                จากเหตุการณ์ในครั้งนี้มันทำให้เขาเชื่ออย่างหมดใจว่าสาเหตุที่ทำให้เกลวิ่งออกจากรถไปในครั้งนั้น สาเหตุมันต้องมาจากผู้ชายคนนั้นอย่างแน่นอน หลังโจนา-ธารจัดการเรื่องของน้องชายจนเริ่มเข้าที่เขาทางดีแล้ว ก็เริ่มกลับมาสนใจเกี่ยวกับเอกสารที่ครั้งหนึ่งเขาเคยให้ลูกน้องตามสืบเรื่องราวคนรักของน้องชายอีกครั้งอย่างจริงจัง  ชิตรัตน์  นพเทพสวัสดิคุณ  ชื่อของผู้ชายที่ทำให้น้องของเขาเสียใจ เขาสัญญาว่าจะต้องพาหลานชายกลับมาหาน้องให้ได้และทำให้ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นเจ็บปวดเหมือนที่น้องเขาเป็น เขาสัญญา
 


                 “ธาร  เครื่องจอดเรียบร้อยแล้วนะ”

                เสียงของ ไรอัล คนสนิทและเพื่อนในวัยเด็กร่างผอมโปร่งของเขาที่เดินมาจากห้องเครื่องควบคุมการบินเอ่ยขึ้นกับโจนาธารซึ่งกำลังมองหน้าน้องชายที่เหม่อออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิดให้กลับมาอยู่เหตุการณ์ปัจจุบัน ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณคนสนิทก่อนจะลุกไปนั่งยองๆ ข้างๆ น้องชายพร้อมทั้งเอื้อมมือไปกุมมือ เล็กๆ ของเกลไว้

              “เราถึงไทยแล้วนะ เดี๋ยวพี่จะพาไปที่บ้านของเรากัน เกลจะได้พักผ่อน”  ส่วนคนฟังไม่พูดเอ่ยอะไรทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น

                ภายในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำที่กำลังแล่นอยู่บนถนนใหญ่ใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครที่มีรถมากมายวิ่งสวนไปมาอย่างหน้าเวียนหัว

               “เดี๋ยวพี่จะเข้าไปส่งเราที่บ้านก่อนนะ พอดีพี่ต้องเข้าไปดูความเรียบร้อยของบริษัทสักหน่อย”  ธารเอ่ยขึ้นกับน้องชายที่นั่งเหม่อออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ส่วนตัว

               “ไปด้วยได้ไหม”  เกลถามกลับ

               “แล้วน้องไม่เหนื่อยเหรอครับ พี่ว่าเราไปรอที่บ้านดีกว่านะ” ธารเสนออย่างเป็นห่วง แต่เกลกลับส่ายหน้าเพื่อยืนยันคำเดิมว่ายังไม่อยากกลับบ้าน

               “งั้นเอางี้ไหม ใกล้ๆ นี้มีสวนสาธารณะอยู่ น้องเกลไปรอที่นั่นดีไหม เดี๋ยวพี่เสร็จงานแล้วจะรีบมารับ”

               ธารลองเสนออีกวิธี ซึ่งเกลเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ธารจึงหันไปสั่งคนติดตามทั้งสามของน้องชายก่อนจะให้คนรถพาทั้งสี่ไปส่งที่สวนนั้นก่อนจะเลยไปบริษัท

              “อย่าอยู่ห่างจากคุณเกลเข้าใจไหม”

              ธารกำชับทั้งสามคนอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถเพื่อไปยังบริษัท แม้จะห่วงน้องอยู่บ้างแต่เพราะเขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำจะให้เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นที่ตั้งนั้นก็คงไม่สมควร

                ลับหลังพี่ชายจอมขี้ห่วงอย่างธารไปแล้ว ชาย และ พล สองหนุ่มวัยสามสิบกว่าบอดี้การ์ดและคนสนิทของเกล ก็เริ่มเข็นวีลแชร์ที่เกลนั่งอยู่ออกเดินไปตามทางที่ทอดยาวของสวนกลางเมืองแห่งนี้ พร้อมเสียงชวนคุยของคนอัธยาศัยดีอย่างปีแอร์ที่จ้อไม่หยุด

                “เกลลี่ ที่นี่อากาศดีเหมือนกันเนอะ ดูสิมีคนแก่มาเต้นรำกับกระบองด้วยเนาะ นั่นๆ ดูโน่นสิ......”
แม้สำเนียงภาษาไทยของปีแอร์จะยังไม่แข็งแรงจนอาจฟังดูแปลกๆ หรือบางครั้งอาจใช้ภาษาไทยผิดไปก็ได้ชายนี้ล่ะค่อยพูดแก้ให้ทำให้บรรยากาศดูไม่เงียบเหงาจนเกินไป

              ในบางครั้งเกลก็หันมองตามทางที่ปีแอร์ชี้ชวนให้มองบ้างเป็นบางครั้ง เขาชอบนั่งอยู่เฉยๆ แล้วให้อีกคนชี้เขาดูนู่นนี่นั่นไปตามทาง เขารู้สึกดีกับบรรยากาศของที่นี้อาจเพราะเป็นที่กว้างคนไม่เยอะมากทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายได้เยอะ จากการที่ต้องนั่งเครื่องบินตรงจากอังกฤษมาที่ไทยนานหลายชั่วโมงด้วยเครื่องบินส่วนตัว

             “นี่ๆ เกลลี่ทำไมถึงไม่ไปรอบอสที่บ้านล่ะ” อยู่ๆ ปีแอร์ก็หันกลับมาถาม  เกลอีกครั้งหลังจากจ้อกับชายมาได้สักพัก

            “ไม่อยากอยู่คนเดียว”

            แต่คำตอบที่ได้ทำเอาคนถามถูกรุ่นพี่ในตำแหน่งเดียวกันหยิกเข้าที่สีข้างอย่างจังเมื่อดันไปถามคำถามที่ทำให้เจ้านายแสนรักของทั้งคู่ตีหน้าศร้าขึ้นมา

            “อยู่คนเดียวอะไรครับพี่กับพลก็อยู่ปีแอร์ก็อยู่ ไม่มีใครปล่อยให้คุณเกลอยู่คนเดียวหรอกครับ” ชายรีบแก้ต่างขึ้นมาทันที

            “ใช่ครับ” ขนาดคนพูดน้อยอย่างพลยังต้องช่วยเสริมเมื่อเห็นว่าเกลเงยหน้าขึ้นไปมอง

             “ใช่ๆ ผมก็อยู่นี่ไง” ปีแอร์รีบเสริมทัพเมื่อเห็นสายตาเชือดเฉือนของพลที่ส่งมาให้

              เกลมองทั้งสามไปมาก่อนจะเผยร้อยยิ้มออกมานิดๆ อย่างพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ถึงจะเล็กน้อยแต่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้คนใต้การปกครองทั้งสามรู้สึกดีตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้



___________________________________________________________



ฉลองสอบเสร็จเลยลัดคิวลงสองตอนแรกให้ก่อนจากจริงๆว่าจะลงวันที่ 20
ต่อจากนี้จะลงประจำทุกวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ นะคะ


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 2- 20-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-12-2016 21:21:33
ฝนหยดที่ 2


                  ภายในห้องทำงานผู้บริหาร บริษัทนพเทพ บริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ชิตรัตน์ นพเทพสวัสดิคุณ ผู้บริหารวัยสามสิบปีที่พาบริษัทประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยถ้าเทียบกับประสบการณ์การทำงานในแวดวงศ์สังคมธุรกิจ    ชิตรัตน์กำลังนั่งเคร่งเครียดกับเอกสารที่ตนให้ แก้วกล้า เลขาคนสนิทเป็นคนรวบรวมให้

                 “มันเป็นไปไม่ได้ อยู่ๆ เกลจะโผล่มาแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้เลยมันเป็นไปไม่ได้”   
                 ชิตรัตน์เอ่ยอย่างหัวเสียขณะมองเอกสารที่แก้วกล้าให้คนออกสืบหาข้อมูลของเกลที่อยู่ดีๆ ก็หายสาบสูญไปนานเกือบสี่ปีแล้วอยู่ๆ ก็มีคนพบเมื่อประมาณกลางปีก่อนแล้วก็หายไปอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย
      
                 “แต่มันมีแค่นี้จริงๆ นะครับ ผมให้คนออกตามหาทั่วไปหมดแล้วเช็คข้อมูลที่ได้จากโรงพยาบาลนั้นก็แล้วมันก็มีแค่ว่าชื่ออะไร ประสบอุบัติเหตุอะไร นอกนั้นก็ไม่มีแล้ว ส่วนข้อมูลที่ได้จากพี่หมอเจ้าของไข้ผมที่บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะพี่หมอแกไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้องICUด้วย”  สิ้นเสียงเล็กๆ ติดแหลมของแก้วกล้า ชิตรัตน์ก็หันขึ้นไปมองเลขาคนสวยที่กำลังตั้งท้องอยู่อย่างอารมณ์เสีย

            “อย่างน้อยก็น่าจะได้ข้อมูลของคนที่พาเกลมาส่ง หรือไม่ก็ที่ๆ ทำเรื่องย้ายเกลไปรักษาสิ”

                 “คุณชินครับ ต้องให้ผมบอกอีกกี่ครั้งครับว่าผมแฮกข้อมูลของโรงพยาบาลไปแล้ว แต่ไม่พบข้อมูลอะไรเลย รู้แค่ว่าย้ายไปอังกฤษแต่ชื่อโรงพยาบาลที่ย้ายไปผมก็ตรวจสอบแล้วก็ไม่มีประวัติการเข้ารักษาตัวเลย คุณเองก็ไปกับผมด้วยไม่ใช่เหรอก็น่าจะรู้นี่”  แก้วกล้ากดเสียงต่ำลงอย่างข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอว้ากใส่เจ้านายที่เริ่มทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กเวลาไม่ได้ดั่งใจ

                     “แต่....”  แต่เหมือนชิตรัตน์จะไม่รู้ว่าคำพูดของตนทำให้เลขาซึ่งอารมณ์แปรปรวนปรอทแตก

                  “แต่อะไร แต่อะไรอีก นี่คุณชินผมบอกผมอธิบายคุณมาตั้งเท่าไรแล้ว  โอ๊ย!!ปวดหัวจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าคุณเป็นคนจ่ายเงินเดือนผมนะ ผมจะเอาไอ้แฟ้มนี้ ฟาด ๆๆๆๆ ให้สมองคุณมันรีเซตระบบการทำงานใหม่จริงๆ ไอ้ตอนทำน่ะไม่คิด ทีงี้ล่ะมาตามหา”

                     เจ้าตัวว่าพร้อมหยิบแฟ้มที่อยู่ใกล้มือมาฟาดลงกับโต๊ะเป็นฉากประกอบให้เจ้านายตัวเองดู ว่าในมโนภาพของตนนั้นเป็นเช่นไร ก่อนจะค่อยๆ เดินไปทรุดตัวลงที่โซฟาในห้องของชิตรัตน์ เมื่อเขาเริ่มมีอาการปวดหลังขึ้นมานิดๆ หลังจากยืนใส่อารมณ์ไปเมื่อครู่ ซึ่งชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเข้าใจถึงสภาพร่างกายของแก้วกล้าที่กำลังอุ้มท้องลูกน้อยที่ตอนนี้มีอายุครรภ์ 6 เดือนแล้ว และอาจเพราะความสนิทที่ทำงานกันมานาน จนร่างสูงเองมองอีกฝ่ายเหมือนน้องชายที่ตอนนี้กำลังผันตัวมาเป็นแม่เขาอีกคน

                      “ก็ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือกนี่  ถ้าไม่ทำแบบนั้น คนที่จะเดือดร้อนมากที่สุดก็คือเกล”

                      “ไม่มีทางเลือกหรือคุณไม่กล้าเลือกกันแน่ครับ”

                  ชิตรัตน์นิ่งเงียบอย่างจนในคำพูดทั้งหมด แล้วก้มซบกับหลังมือทั้งสองข้างที่ค้ำโต๊ะเอาไว้อย่างจนด้วยคำพูด ทำให้แก้วกล้าที่มองดูอยู่ไม่ห่างก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ของคนทั้งคู่

                        เรื่องราวของชิตรัตน์กับเกลทำไมเขาจะไม่รู้ เพราะวันนั้นเขาก็อยู่ในเหตุการณ์  อย่าถามว่าไปอยู่ได้อย่างไร ก็ไอ้ห้องตรงข้ามที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งนั่นน่ะ มันเป็นห้องเขาเอง ถึงในความเป็นจริงต้องบอกว่าเป็นของลุงกับป้าของเขามากกว่า เขาก็แค่ขอมาอาศัยอยู่แบบถาวรเท่านั้น และด้วยความที่เป็นห้องชุดจึงทำให้ชั้นหนึ่งมีอยู่แค่ 2-3 ห้องเท่านั้น แต่เขาทำอะไรมากไม่ได้ เพราะวันนั้นเขาเองก็มีธุระสำคัญต้องไปทำเหมือนกันและถึงอยู่เขาก็ไม่รู้จะช่วยอีกฝ่ายอย่างไรเหมือนกัน ส่วนที่ทำอยู่ตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่ได้ถือว่ามันลำบาก คิดเสียว่าเป็นการไถ่โทษที่ในวันนั้นเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้

                    “แก้วก็รู้นี่ว่าฉันรักเกล  เกลคือคนที่ฉันรักที่สุดและเป็นคนที่ฉันอยากขอโทษมากที่สุดในตอนนี้”

                      “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณชินนะ อย่างน้อยคุณยังมีโอกาสตามหาคุณเกลเจอแล้วขอโทษ  แต่ผมสิ ต่อให้ไปตามหาที่ไหนคงไม่เจอแล้ว ต่อให้อยากขอโทษขนาดไหนก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว”

                      คำพูดของแก้วกล้าทำให้ร่างสูงต้องหันหน้ากลับมามองเลขาที่มีสีหน้าดูเศร้าสร้อยขยับมือลูบวนหน้าท้องที่นูนออกมา หลังนึกย้อนกลับไปในวันนั้นวันที่ แทนไท สถาปนิกหนุ่มคนรักของเขาที่ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตลง ขณะเดินทางไปดูงานก่อสร้างโรงแรมอีกแห่งของเจ้านายที่กำลังเริ่มก่อสร้างในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ เขาจำได้ว่าวันนั้นเขาสองคนทะเลาะกันรุนแรงมาก มากถึงขนาดพูดจาไม่ดีใส่คนรักด้วยถ้อยคำที่เจ็บปวด เมื่อใจเย็นลงเขากลับไม่มีแม้แต่โอกาสให้ขอโทษหรืออยู่ด้วยกันอีก และที่สำคัญที่สุดคนที่จากไปก็ไม่อาจรับรู้ว่าเขากำลังจะได้เป็นพ่อคนอย่างที่ฝันเอาไว้

                 “แก้ว นายโอเคไหม”   

                 “ไหวสิครับ เรื่องมันผ่านมาตั้งสี่เดือนแล้วนะ อีกอย่างหนึ่งไทก็ไม่ได้ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวซะหน่อย นี่ไง ไทเขาทิ้งตัวแทนของเขาไว้ในนี้รออีกสักสามเดือนผมก็จะได้เจอเขาแล้ว”   

                   แก้วกล้าว่าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ยามพูดถึงลูกในท้องที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ชิตรัตน์มองดูคนที่กำลังพูดถึงลูกในท้องที่เปรียบเสมือนตัวแทนความรักของอีกฝ่ายกับคนที่รักแต่พอพูดถึง ‘ลูก’ แล้วตอนนี้ลูกชายเขาล่ะอยู่ไหน เมื่อหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บอกเวลาว่าตอนนี้ได้เวลาเลิกเรียนและสมควรมาถึงบริษัทเขาได้แล้ว

                  “เออใช่ มีอีกเรื่องที่ผมลืมบอกคุณไป” แก้วกล้าเงยหน้าขึ้นเหมือนเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างออกมาได้

                “หือ”

                “พี่ชาติโทรมาบอกว่าลูกชายคุณเบื่อไม่อยากรอคุณเคลียร์งานอยู่ในห้องเลยจะไปรอคุณอยู่ที่สวนสาธารณะแทน เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้วจะเข้ามา”

             ชิตรัตน์พยักหน้ารับกับคำบอกของเลขา ก่อนที่แก้วกล้าจะขอตัวออกไปจัดการงานที่ยังค้างอยู่ต่อ ร่างสูงใหญ่ของชิตรัตน์ไขกุญแจที่ลิ้นชักข้างโต๊ะแล้วเปิดออก ก่อนที่จะค่อยๆ เอาของบางอย่างออกมาดู  ของที่เขาแอบเก็บเอาไว้ให้พ้นจากสายตาผู้เป็นแม่ เก็บเอาไว้แต่เพียงคนเดียว ซึ่งนั่นก็คือรูปถ่ายที่เขาแอบเก็บเอาไว้ รูปของเขาและเกล รูปที่เกลยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ เขา รูปที่ไม่ว่าเขาจะเหนื่อยหรือท้อจากงานหรือจากการตามหาคนในรูปมากเท่าไร แต่พอได้มองรูปถ่ายในกรอบอันนี้แล้ว มันทำให้เขาเหมือนมีแรงใจในการตามหา ‘ดวงใจ’ ของเขาอีกครั้ง เพราะเขาเชื่อเสมอว่าจะต้องเจอกันอีก แต่ว่า....

                “ตอนนี้นายไปอยู่ที่ไหนนะเกล.... นายจะได้ยินพี่ไหม จะยกโทษให้พี่ไหม ถ้าพี่จะบอกว่า พี่ผิดไปแล้ว”




             “นี่ๆๆ เกลลี่ตรงนู้นบรรยากาศดีไปนั่งตรงนู้นไหม”

              หลังจากที่พวกเขาเดินกันมาได้สักระยะปีแอร์ก็ชี้ไปยังม้านั่งยาว ที่หันหน้าออกไปทางสระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งขุดไว้เพื่อสร้างบรรยากาศให้แก่ผู้คนที่มาพักผ่อนได้แวะเวียนมานั่งพัก  ทั้งชายและพลก็เห็นด้วยเมื่อตอนนี้แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ เริ่มสาดแสงจ้าขึ้น ส่วนเกลเองก็ไม่ปฏิเสธอะไร ปีแอร์เลยโมเมว่าอีกคนตกลง จึงเดินนำทุกตนไปบริเวณนั้นก่อนใคร
ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังม้านั่งยาวที่ว่างอยู่ ก่อนที่ปีแอร์จะค่อยๆ พยุงให้    เกลค่อยๆ เดินไปนั่งที่ม้านั่ง ส่วนพลก็เอาวีลแชร์จอดไว้ข้างๆ ม้านั่งแทน

            “อืมมมมมมม อากาศดีจริงๆ เลยเนอะเกลลี่ วันหลังเรามากันอีกดีไหม” ปีแอร์เริ่มเป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้เกลที่เอาแต่นั่งกอดตุ๊กตานิ่งไม่พูดจากับใคร

         “คุณเกลหิวน้ำไหมครับ” ชายเริ่มถามขึ้นอีกคน

         “อือ อยากกินน้ำ” เกลตอบออกมาเบาๆ

          ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้คนทั้งสามที่รายล้อมอยู่รู้สึกดีขึ้นกับการตอบโต้ ก่อนทั้งชายและพลจะถีบส่งให้น้องเล็กในทีมเป็นฝ่ายออกไปซื้อน้ำมาบริการตนทั้งสองกับเจ้านาย และถึงปีแอร์จะโอดครวญขนาดไหน แต่พอเกลพูดออกมานิ่งๆ ก็แทบทำให้ปีแอร์วิ่งหน้าตั้งออกไปในทันที

           “ปีแอร์ไม่อยากไปเหรอ เกลหิวน้ำนะ งั้นพี่ชายกับพี่พลไปซื้อให้เกลได้ไหม”

                “No no ไม่ใช่แบบนั้นนะเกลลี่ เอางี้เดี๋ยวปีแอร์จะรีบไปซื้อมาให้เดี๋ยวนี้เลยดีไหม” ปีแอร์รีบเข้ามาประจบเกลทั้นที

                “งั้นก็รีบไปได้แล้วคุณหมอ” พลเอ่ยไล่กลายๆ

                 “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะรีบไปซื้อน้ำมาให้ พวกพี่ด้วยดูแลเกลลี่ดีๆ นะ”

                 ถึงจะตกปากรับคำไปแล้ว ปีแอร์ก็ยังอดห่วงไม่ได้ คอยหันหลังกลับมาพูดซ้ำๆ ตลอดก่อนจะเลี้ยวไปอีกทางเพื่อหาร้านน้ำจนหายลับไปจากสายตาของพวกเขา

            “พี่ชายกับพี่พลช่วยถอยออกไปหน่อยได้ไหมครับ เกลอยากอยู่คนเดียว”

                 ชายกับพลมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเดินถอยหลังออกมาแต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล แค่ขึ้นมายืนบนพื้นทางเดินแทนที่จะยืนบนพื้นหญ้าข้างๆ เก้าอี้ยาวที่เกลนั่งอยู่ เผื่อว่าหากเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะได้เข้าถึงตัวได้ทัน

             สายลมเอื่อยๆ ที่พัดเอาลมยามบ่าย แม้จะมีไอร้อนปนอยู่บ้างแต่ก็พอทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นมาบ้าง เกลสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อย่างรู้สึกสดชื่นไปกับบรรยากาศริมน้ำตรงนี้ อาจเพราะเขาเพิ่งลงมาจากเครื่องบินที่มีบริเวณอันจำกัดเลยทำให้พอมาเจอสถานที่โล่งๆ แบบนี้แล้วรู้สึกดีขึ้นเป็นอย่างมาก

                แต่เพราะการนั่งอยู่คนเดียวในที่กว้างๆ ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ของตนเองจมอยู่กับเรื่องราวในอดีตที่ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน เขาก็ยังคงจดจำมันได้แม้ไม่อยากจำก็ตาม

                     “ฮึก...ทำไม...ทำไมทำกับเกลแบบนี้ ฮึก ทำไมพี่ชินทำกับเกลแบบนี้”     

                       อารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายไม่ว่าจะ โกรธ น้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง ส่งผลให้น้ำตาที่หน่วงๆ อยู่บริเวณขอบตาไหลออกมาอย่างหนัก ร่างเล็กซบหน้าลงกับหัวของเจ้าตุ๊กตาแล้วเริ่มสะอื้นออกมาอย่างหนัก แล้วพึมพำออกมากับตัวเองเบาๆ เหมือนว่าถ้าตะโกนออกไปตัวเองอาจขาดใจลงตรงนี้

                   ชายกับพลมองดูอีกคนอยู่ตลอดเวลาก็อดที่จะรู้สึกสะเทือนใจกับภาพซึ่งแม้จะเห็นมานานหลายปี กลับไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พวกเขาจะรู้สึกชินชากับมัน เพราะความรู้สึกเดียวที่พวกเขามีคือความสงสารและเป็นห่วง ยิ่งแรงสะอื้นที่หนักขึ้นจนพวกเขาเริ่มเห็นท่าไม่ดีกลัวว่าเกลจะร้องไห้จนเกิดช็อกขึ้นมาอีกครั้งเช่นในอดีต ทั้งสองจึงตัดสินใจเข้าไปดูอาการของคนเป็นนาย แต่ครั้งนี้พวกเขากลับช้าไปเมื่อมีคนคนหนึ่งเข้ามาทำหน้าที่นี้แทนเสียแล้ว

                    “คุณน้าร้องไห้ทำไมครับ”  เสียงใสของเด็กชายถามขึ้นพลางเอียงคอเล็กๆ นั้นอย่างสงสัย

                     เกลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเงาที่พาดผ่านร่างของเขาอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับชายและพลที่รีบเดินเข้าประชิดตัวผู้เป็นนาย

                     “อะ เกรซให้”  เด็กชายล้วงมือเข้าไปยังกระเป๋ากางเกงของตนเองเพื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนออกมาส่งให้คุณน้าคนสวยตรงหน้า

                        เกลชะงักไปเล็กน้อยกับชื่อที่เด็กชายใช้เรียกแทนตนพลางยื่นมือออกไปรับน้ำใจของเด็กชายมา แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขากลับไม่อาจละไปจากใบหน้าของเด็กตรงหน้าได้เลย และไม่ใช่แค่เกลที่มองไปยังเด็กชายแปลกหน้านิสัยดีคนนี้เพราะชายกับพลเองก็มองด้วยเช่นกัน

เหมือนมาก


              เด็กชายตรงหน้านี้พอมองใกล้ๆ แล้วเหมือนเจ้านายของพวกเขามาก และนั่นแหละคือเหตุผลที่พวกเขาถึงต้องหันมามองหน้ากันเอง เมื่ออยู่ๆ ความคิดบางอย่างก็เข้ามาในหัว

          น้ำตาของเกลที่ยังไม่ทันได้เช็ดให้แห้งกลับไหลออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความรู้สึกเศร้าโศกอย่างเช่นเมื่อครู่ หากแต่เป็นอีกความรู้สึกหนึ่ง ขนาดเจ้าตัวเองยังไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ว่าดีใจหรือเสียใจ เกลไม่รู้เลย ไม่รู้แม้กระทั้งว่าเขายกมือขึ้นมาประกบสองแก้มยุ้ยของเด็กชายตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไร หรือตอนไหนที่หางตาของเขาเหลือบไปเห็นชื่อภาษาอังกฤษซึ่งปักอยู่บนอกเสื้อของเด็กตรงหน้า 

   Great  Charlesrak N.

            ตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวที่ปักอยู่บนอกขวาทำให้เกลไม่อาจละสายตาไปไหนได้ มันเหมือนกับชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยเรียกขานลูกน้อย ทั้งชื่อเรียกและชื่อจริง สองอย่างนี้คือชื่อที่เขาตั้งให้ลูกชายตัวน้อยซึ่งเป็นเหมือนของขวัญแห่งรักที่เขาได้รับมาจากชิตรัตน์ ชื่อที่ต่อให้นานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันลืม

        “ตาหนูของแม่”

        เกลพูดพร้อมน้ำตาขณะดึงเด็กชายตรงหน้าเข้ามากอดอย่างคิดถึง ทั้งกอดและหอมเด็กชายไปมาด้วยความดีใจ แม้ตอนแรกเด็กน้อยตรงหน้าจะมีอาการตกใจและขืนตัวเล็กน้อย แต่พอถูกคุณน้าชายคนสวยตรงหน้ากอด เกรซกลับรู้สึกอบอุ่นและโหยหาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเขารู้จักอ้อมกอดนี้มาก่อน ซึ่งเขาไม่เคยเจอแม่เลยไม่รู้ว่าเวลาโดนแม่กอด ความรู้สึกมันเป็นแบบไหน แต่ความรู้สึกในตอนที่โดนชายแปลกหน้าคนนี้กอดเอาไว้ เขากลับรู้สึกเหมือนตอนที่พ่อกอดเขาเอาไว้ ทำให้เกรซเผลอไผลไปกับอ้อมสัมผัสแสนคุ้นเคยนั้น

       “คุณแม่..”

       สิ้นคำเรียกเบาๆ เกลก็ปล่อยโฮออกมาอีกรอบอย่างหนักพร้อมแรงกอดรัดร่างเล็กของเด็กชายมากขึ้น ซึ่งคราวนี้เด็กขายไม่ดิ้นขัดขืนแต่อย่างใด กลับกอดตอบอีกฝ่ายแน่นไม่ยอมปล่อย

     ชายกับพลเริ่มรู้สึกเหมือนตนเองเป็นส่วนเกินของสองแม่ลูกตรงหน้า จึงเดินหลบฉากออกไปด้านหลัง ประจวบเหมาะกับปีแอร์เดินกลับมาพอดี ทั้งสองจึงหิ้วปีกปีแอร์คนละข้างออกมาก่อนที่เจ้าคนช่างจ้อจะเริ่มถามอะไรที่เป็นการทำลายความสุขเล็กๆ ของเกลที่เพิ่งเกิดขึ้น

...................................................................



อุ แม่ลูกเขาเจอกันแล้วคร้าาา

อย่าแปลกใจถ้าจะเจอกันง่ายเช่นนี้ 555555


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 2- 20-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-12-2016 16:57:55
เกลจะบอกลูกเลยมั้ยว่าตัวเองเป็นแม่เนี่ย แต่คงยังไม่บอกหรอกมั้งนะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 2- 20-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Akigigi ที่ 21-12-2016 22:10:32
ติดตามค่าา เกลอย่าให้อภัยง่านะ มาพรากแม่พรากลูกอย่างนี้ได้ยังไง เหตุผลอะไรก็ไม่บอก
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 3- 23-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-12-2016 20:57:25


ฝนหยดที่ 3


           “คุณเป็นคุณแม่ของเกรซจริงๆ เหรอครับ”  นัยน์ตากลมใสของเด็กชายหันสบมองคนข้างกายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้เขาอย่างมีความสุข ทั้งยังให้คุณลุงตัวโตๆ สองคนข้างหลังไปซื้อขนมมาให้เขาอีกต่างหาก ถึงคุณย่ากับคุณพ่อจะสั่งห้ามไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าก็เถอะ แต่กับคนคนนี้เขาปฏิเสธไม่ลงจริงๆ นี่นะ

      “แล้วน้องเกรซคิดว่ายังไงล่ะครับ” รอยยิ้มอ่อนโยนกับฝ่ามืออุ่นนุ่มที่ลูบหัวเขาเบาๆ บอกเลยว่ามันมีแต่ความรักที่ถ่ายทอดออกมาให้เกรซรับรู้เท่านั้น

      “ก็...” เพราะฉะนั้นเขาเลยตอบคำถามไม่ได้

     “น้องเกรซยังไม่ต้องเชื่อแม่ก็ได้ แต่ว่า....”

      “คุณเกรซ!!”

       เกลที่กำลังพูดคุยอยู่กับลูกชายตัวน้อยอยู่นั้น ต้องหยุดการสนทนาลงทันทีเมื่อเสียงตะโกนเรียกชื่อของเด็กชายดังลั่น จนพวกเขาที่อยู่กันในบริเวณนั้นต้องหันกลับไปมองผู้มาใหม่ที่มีอาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด กำลังวิ่งตรงมายังเก้าอี้ยาวที่เกลและเกรซนั่งอยู่

       “คุณเกรซ ทำไมถึงวิ่งออกมาคนเดียวอย่างนี้ครับ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา อาจะไปบอกคุณพ่อของคุณยังไง”

            คนมาใหม่ที่แสนคุ้นเคยของเกลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กชายพร้อมทรุดตัวลงเพื่อกอดร่างเล็กๆ นั้นเอาไว้อย่างเป็นห่วงและโล่งออก เมื่อเห็นว่าลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้านายที่ตนรักและเคารพปลอดภัยดีทุกกระเบียดนิ้ว

      “เกรซขอโทษครับอาชาติ”  มือเล็กๆ นั้นรีบยกขึ้นพนมเข้าหากันพร้อมกับเอ่ยขอโทษคนตรงหน้าที่ตนเรียกอย่างเคารพว่า ‘อา’

       “แค่คุณปลอดภัยอาก็ดีใจแล้วครับ” ชาติเอ่ยกับเด็กชายก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เกรซ ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ช่วยดูแลเจ้านายตัวน้อยให้เขาในระหว่างที่อีกคนวิ่งหนีเขามา

       “ผมต้องขอบคุณคุณมากนะครับทะ.....คุณเกล” แต่ทันทีที่ชาติเงยหน้าขึ้นมามองผู้ชายรูปร่างโปร่งบางข้างๆ เขาก็ถึงกับเบิกตาโตอย่างตกใจจนรีบลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้คนทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ยาวซึ่งเกลนั่งอยู่รีบรุดเข้ามาใกล้ แต่กลับโดนคนที่นั่งอยู่ยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน

        “ไม่เจอกันนานนะ ชาติ”

           รอยยิ้มบางๆ ยังคงประดับอยู่บนหน้าของเกล เมื่อเห็นว่าคนมีท่าทีตกใจตอนเห็นตนนั่งอยู่ตรงนี้นั้นเป็นใคร ชาติ คือคนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของชิตรัตน์ และเป็นคนที่คอยดูแลเขาแทนชิตรัตน์ในตอนที่เขาทั้งสองคนต้องอยู่ห่างกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ชาติจะจดจำเขาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้

      “อาชาติรู้จักคุณ..เอ่อ...”

          เกรซเอ่ยถามชาติแต่ยังคงละฐานะของเกลเอาไว้อย่างไม่แน่ใจว่าควรจะพูดว่าอะไรดี แต่ก็ยังไม่วายแอบเหลือบตามองคนข้างๆ ที่พอเห็นว่าเขาหันไปมองก็ส่งยิ้มกลับมาให้อย่างรักใคร่

       “รู้จักสิครับ อารู้จักดีเลย”

            ชาติตอบโดยที่สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าหวานสวยของเกล ใครจะไปคิดกันล่ะว่าอยู่ๆ เขาจะได้มาเจอคนที่เจ้านายตามหามานานง่ายๆ ขนาดนี้ ทีนี้คุณหนูน้อยของเขาจะได้ไม่ต้องทนนอนร้องไห้อีกต่อไป เพราะตอนนี้โชคชะตามันหมุนวนพาทั้งคู่มาพบกันแล้ว.....

   “ก็เขาเป็นแม่ของคุณเกรซนี่ครับ”

   !!

     คราวนี้ถึงตาที่เด็กชายจะแสดงอาการตกใจออกมาบ้าง และไม่ใช่แค่เกรซหรอกที่ตกใจ เพราะอีกสามคนข้างหลังก็ยังคงมองตากันเลิกลั่กกับคำพูดของชาติที่ดูจริงจังอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นจริงอย่างหนึ่งให้กับเกลว่า ตนไม่ได้จำลูกชายตัวน้อยของตนผิดไป ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือแม้จะไม่ได้เห็นรูปถ่ายของลูกเลยสักใบ แต่เขาก็ยังสามารถจดจำได้ว่า เกรซคือลูกของเขา

   “คุณน้าเป็นแม่ของเกรซจริงๆ เหรอ”

           เกรซหันกลับไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เหมือนคนจะร้องไห้ แต่คนถูกถามกลับไม่ยอมตอบอะไรนอกจากอ้าแขนทั้งสองข้างออกช้าๆ แทนคำตอนที่ถูกถามมา

       ถึงไม่ตอบอะไรออกมา เกรซก็เชื่อสนิทใจแล้วว่าคนตรงหน้าเขานี่แหละคือ แม่ของเขา คราวนี้เขาจึงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยที่จะพุ่งตัวเข้าไปกอดคนตรงหน้าอีกครั้ง

   “คุณแม่ของเกรซ คุณแม่” เด็กน้อยร้องไห้ออกมาพร้อมรอยยิ้มขณะซุกกอดอยู่ตรงอกของเกลแน่นไม่ยอมปล่อย
   


        ทางด้านของโจนาธารที่บอกกับน้องชายว่าจะเข้ามาดูความเรียบร้อยของบริษัทก็หาได้ไปจริงอย่างที่ว่าไม่ เพราะตอนนี้ทั้งเขาและไรอัลกำลังนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรม  ‘ดิ พาราไดซ์‘ โรงแรมหรูระดับห้าดาวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่อรอจะเจอกับใครบางคนอยู่

            “แน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนี้ ถ้าเกิดว่า...”

       “มันต้องดีสิ อะไรที่ฉันคิดว่ามันดี มันก็ต้องดี ไอ้หมอนั่นมันต้องเจ็บเหมือนที่น้องฉันเจ็บ”  ธารว่าเสียงเรียบนิ่ง

            “นายเป็นคนบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่ามันให้คนออกตามหาเกล แสดงว่ามันยังรักเกลอยู่และนั่นแหละที่ฉันต้องการ ฉันต้องการให้มันมาเห็นกับตาของมันเองว่าเพราะมันเกลถึงต้องมีสภาพแบบนี้ มันจะต้องจมปลักกับความผิดของมันที่ทำกับ   เกลแบบนั้น  เพราะงี้ไงล่ะ ฉันถึงจงใจปิดบังข้อมูลทุกอย่างของเกลจากมันก็เพื่องานนี้”   ไม่ให้รับรู้อะไร ไม่ให้เจอ กระวนกระวายไปซะเถอะ  แล้วฉันนี่แหละจะเป็นคนพาเกลมาพบแกเอง 

               ไรอัลนั่งมองธารพูดถึงเหตุผลของการที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนต้องมานั่งอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในกิจการหลักของ  ‘นพเทพสวัสดิคุณ กรุ๊ป’  แล้วคนที่พวกเขารออยู่นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ชิตรัตน์นั่นแหละ และก่อนที่ธารจะจมกับแผนการในหัวไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามีคนเดินมาทางที่พวกเขานั่งอยู่จึงสะกิดอีกฝ่ายแล้วยืนขึ้น
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ต้องให้รอนาน”

          เสียงติดจะแหลมเล็กน้อยของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ธารที่นั่งอยู่ต้องหันกลับไปมองเจ้าของเสียง 

        “ผมเป็นเลขาของคุณชิตรัตน์ชื่อแก้วกล้าครับ  คุณชิตรัตน์ให้ผมมาพาคุณสองคนไปพบที่ห้องทำงานครับ” 

          แก้วกล้าที่เอ่ยทักคนตรงหน้าไปแต่ไม่มีวี่แววว่าจะขยับหรืออย่างไร ก็อดวิตกไม่ได้ ก็ไหนคุณชินบอกว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งพูดไทยได้ไงล่ะ แล้วทำไมยืนนิ่งแบบนี้ หรือว่าเขาเข้าใจอะไรผิด

         “Sorry, I forget to”

            ธารมองสำรวจคนท้องที่เริ่มลนลานรีบแปลถ้อยคำก่อนหน้าเป็นภาษาอังกฤษให้เขาฟังใหม่อีกรอบ เพราะคิดว่าเขาอาจฟังไม่เข้าใจ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันจนยกยิ้มที่มุมปาก

       “ไม่เป็นไร ผมพูดไทยได้ คนของผมเองก็ฟังออกครับ” ธารเอ่ยแก้ความเข้าใจให้อีกคน

             เมื่อได้ยินแบบนั้น แก้วกล้ารู้สึกดีขึ้นก่อนค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยพาแขกและคนติดตามไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปหาเจ้านายของตนที่รออยู่  โดยไม่รู้ว่ารอยยิ้มเมื่อกี้นี้เผลอทำเอาหัวใจของใครบางเต้นไม่เป็นจังหวะไปซะแล้ว

              แก้วกล้าเดินนำแขกทั้งสองเข้ามาในลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังชั้นออฟฟิศของโรงแรม  แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเจอปัญหาเสียแล้วสิ เมื่อเขาต้องมาขึ้นลงลิฟต์ตั้งสิบกว่าชั้นแถมยังต้องเดินไปหาแขกด้วย  ทำให้ตอนนี้เขาเริ่มปวดหลังเบาๆ ซะแล้วสิ

            “คุณปวดหลังเหรอครับ”

         อยู่ๆ ธารก็เอ่ยถามขึ้นมากลางความเงียบ เมื่อธารสังเกตว่าคนตัวเล็กมีอาการปวดหลังแสดงออกมาให้เห็น

           “ใช่ครับ ท้องเริ่มใหญ่ขึ้น เวลายืนนานๆ มันก็ต้องมีบ้างน่ะครับ” 

            เมื่อถูกถามแก้วกล้าเลยตอบไปตามความจริง แล้วก็ต้องรีบโบกมือปฏิเสธความช่วยเหลือของคนเป็นแขกที่จะเข้ามาประคองเขา

            “งั้นมาครับ ผมช่วย” ธารอาสา

หมับ
   แต่มือข้างที่ธารยื่นออกไปจะจับต้นแขนเล็กของอีกฝ่ายกลับโดนมืออีกข้างของแก้วกล้าจับเอาไว้เสียก่อน ธารมองหน้าคนตัวเล็กกว่าอย่างสงสัย ก่อนจะกระจ่างเมื่อแก้วกล้าจับมือข้างนั้นของเขาออกจากต้นแขนของตน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเป็นการรักษามารยาเมื่อรู้สึกไม่ชอบใจแต่ไม่สามารถพูดได้ ก่อนจะเดินออกนำเขาไปทันทีเมื่อลิฟต์เปิดโดยไม่มีการสนทนาใดขึ้นมาอีกเลย

            “ไรอัล นายไปหาประวัติของเด็กคนนี้ให้ฉันหน่อยสิ เอาเพิ่มเติมจากครั้งก่อนนะ”  ธารหันไปพูดกับไรอัลขณะที่อยู่ในลิฟต์เบาๆ แล้วเดินตามอีกคนออกจากลิฟต์ไป

        การปฏิเสธของแก้วกล้าเมื่อครู่นี้ ธารยอมรับเลยว่ารู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อยอาจเพราะว่าตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีใครปฏิเสธพร้อมทำท่าทางเหมือนไม่พอใจใส่เขาเช่นคนคนนี้มาก่อน  ถึงจะรู้สึกเสียหน้าไปบ้าง แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความสนใจ เขาสนใจในตัวเลขาคนนี้ของชิตรัตน์มากกระทั่งเก็บอาการไว้ไม่อยู่ จนต้องเข้าไปแกล้งคนท้องตัวเล็กที่ดูๆ ไม่น่าจะรับน้ำหนักลูกในท้องไหว เมื่อคิดได้ดังนั้นธารจึงรีบเดินตามอีกคนไป ก่อนจะฉวยโอกาสตอนที่แก้วกล้าไม่ทันระวังตัวโอบรั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เพื่อช่วยพยุง โดยให้เหตุผลว่าอีกคนนั้นเดินช้าให้ตนพยุงนั่นแหละจะได้ถึงไวกว่า

         แก้วกล้ามองคนหน้าเป็นที่ลอยหน้าลอยตาไม่สนสายตาของเหล่าพนักงานคนอื่นๆ ที่หันมามองยังพวกเขาสองคน แม้จะไม่พอใจแต่อย่างเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงแขกของเจ้านาย เลยได้แต่บ่นในใจและพยายามบิดตัวออกจากอีกคนแทน เพราะโดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ชอบให้คนไม่รู้จักมาถูกเนื้อต้องตัวเท่าไร แล้วยิ่งตอนนี้ท้องด้วยอารมณ์เลยยิ่งหงุดหงิดมากกว่าปกติ ผิดกับอีกคนที่ทำหน้าระรื่นไม่แยแสเลยว่าจะถูกคนตัวเล็กกว่าด่าอะไรในใจหรือไม่  ซี่งบางทีทั้งคู่อาจลืมไปแล้วว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ ยังมี ไรอัลค่อยเดินตามมาห่างๆ อย่างนึกสงสารเลขาคนสวยที่ดันไปถูกใจเจ้านายตนเข้าอย่างจัง

ก๊อก ก๊อก

           เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกให้ชิตรัตน์เงยหน้าจากเอกสารในมือก่อนจะเชิญให้คนมาใหม่ซึ่งอยู่นอกประตูเข้ามา แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าคนเป็นแขกของเขานั้นเดินพยุงเลขาคนสวยเข้ามาด้วยหน้าตาที่ดูจะมีความสุขไปหน่อยถ้าเทียบกับอีกคนที่ถูกพยุง กลับทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตกลงตรงหน้าเสียให้ได้ 

             “พอดีตอนอยูในลิฟต์ผมเห็นว่าเลขาของคุณเขาปวดหลังเลยช่วยพยุงเดินเข้ามาน่ะ” ธารเอ่ยก่อนจะยอมให้แก้วกล้าบิดตัวออกจากตนไปอย่างง่ายดาย

            “เอ่อ...ครับ ขอบคุณแทนแก้วเขาด้วยยังไงก็เชิญนั่งก่อนสิครับคุณโจนา-ธาร”   เมื่อเข้าใจเรื่องราวชิตรัตน์ก็ผายมือชวนให้อีกคนนั่งบนโซฟาเพื่อคุยเรื่องราวต่างๆ กัน

          “เรียกผมว่า ‘ธาร’ เฉยๆ ก็ได้ครับ ดูแล้วเราสองคนน่าจะอายุพอๆ กัน คงไม่ต้องพิธีอะไรมากหรอกครับ”

          “ได้ครับ”

   “ที่ผมมาในวันนี้ ก็เพราะเห็นว่าบริษัทเราอยู่ไม่ไกลกันมากเลยอยากจะมาทำความรู้จักกันเล็กๆ น้อยๆ” ธารว่าก่อนจะหันไปหาไรอัล เพื่อให้อีกคนนำกระเช้าดอกไม้ที่ตนนำมามอบให้อีกฝ่าย

   “ขอบคุณมากนะครับ สวยมากเลยครับ” ชิตรัตน์ตอบรับน้ำใจพร้อมเอ่ยชมดอกไม้เหล่านั้น แม้สีขาวของกุหลาบในกระเช้าจะทำให้ตนชะงักไปเล็กน้อยก็ตามเมื่อเขายังจำได้ว่ามันเคยเป็นกุหลาบสีโปรดของใคร

   “แน่นอนอยู่แล้วครับ ก็มันเป็นกุหลาบสีโปรดของ ‘น้องชาย’ ผม ผมก็ต้องเลือกอันที่สวยที่สุดอยู่แล้วสิครับ” ธารจงใจเน้นคำว่าน้องชายเป็นพิเศษให้ชิตรัตน์ได้ฟัง

   “อย่างนั้นเหรอครับ” แต่ดูชิตรัตน์จะดูไม่ติดใจอะไรมาก ต่างจากแก้วกล้าที่เริ่มดูมีอคติเล็กน้อยกับธาร จึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจเน้นคำคำนั้นให้ชิตรัตน์ได้ยิน

   “ว่าแต่ คุณโจนาธารมาที่นี่ คงไม่ใช่แค่จะมามอบดอกไม้ให้กันแค่นี้ใช่ไหมครับ” ด้วยความปากไว ทำให้แก้วกล้าโผล่งขึ้นมาเช่นนั้นเสียดื้อๆ จนชิตรัตน์หันไปปราม

   “แก้ว”

   “หึหึ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”  ธารยกยิ้มชอบใจกับท่าทีที่ดูจะระแวดระวังตัวเป็นพิเศษของคนท้อง ถึงจะตัวเล็กเท่าลูกแมวแต่กลับกล้าที่จะชนกับเขาตรงๆ

          “จะพูดยังไงดีน่ะ คือพอดีผมมีที่ดินว่างอยู่ที่หนึ่งทางใต้”

               ธารเกริ่นขึ้นก่อนหยิบเอาซองเอกสารขนาดเล็กที่อยู่ด้านในเสื้อสูทตัวนอกออกมาวางไว้ตรงหน้าชิตรัตน์

        “มันเป็นชายหาดส่วนตัวของที่บ้านผม แต่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร จะปล่อยทิ้งไปเรื่อยๆ ก็ดูน่าเสียดาย ผมเลยเอามาเสนอให้คุณดูเผื่อว่าคุณจะสนใจ”

               ธารว่าอย่างสบายอารมณ์ผิดกับคนข้างกายที่หันขวับมามองเขาอย่างไม่เข้าใจเจตนาสลับกับรูปภาพที่อยู่ในมือของชิตรัตน์ไปมา

       ภาพที่ดินเปล่าติดชายทะเลดูเงียบสงบแต่ก็ไม่ห่างไกลจากความเจริญเสียเท่าไร สำหรับนักธุรกิจด้านการโรงแรมอย่างชิตรัตน์ย่อมมองออกมาว่านี่คือทำเลทองที่จะสามารถทำประโยชน์ให้แก่ธุรกิจของตนเป็นอย่างมาก

           “ที่ดินผืนนี้สวยมากเลยครับ” ชิตรัตน์ว่า ก่อนส่งรูปที่อยู่ในมือให้เลขาไปดูต่อ

        “พอดีผมกำลังมีโครงการใหม่ที่ทางใต้พอดี คุณธารจะรังเกียจอะไรไหมถ้าผมอยากจะขอซื้อที่ดินตรงนี้ของคุณ” 

           ถ้าหากเขาได้ที่ดินตรงนี้มาจริงๆ มันก็เท่ากับว่าเขาสามารถตีตลาดของกลุ่มผู้ชอบความเป็นส่วนตัวได้ดีและนั่นก็หมายถึงผลกำไรที่จะตามมาของบริษัท เขาช่างโชคดีเสียจริงที่คนตรงหน้าเสนอที่ผืนงามนี้มาให้

   “ไม่เลยครับผมยินดีมาก” ธารตอบ

   “แล้วคุณจะเรียกเท่าไรครับ” เมื่อไม่มีอะไรติดขัดชิตรัตน์จึงหันมาคุยเรื่องราคาการค้าขายกับธารแทน

   “ใครว่าผมจะขายครับ” สิ้นคำชิตรัตน์ก็ออกอาการหน้าเหวอทันทีกับคำพูดของธารที่ดูกลับคำกับเมื่อครู่

   “ก็ไหนคุณว่า..”

   “ผมบอกว่าเอามาเสนอให้ มันก็หมายถึงว่าผมเอามาให้คุณ ไม่ได้เอามาขายเสียหน่อย” ธารแก้ไขความเข้าใจของชิตรัตน์ใหม่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำให้ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องตีหน้าไม่เข้าใจเขามากกว่าเก่า

   “ให้กันฟรีๆ แบบนี้ผมว่ามันคงไม่ใช่แน่ คุณโจนาธารต้องการอะไรกันแน่ครับ” ก่อนที่ชิตรัตน์จะได้พูดอะไรออกมาแก้วกล้าก็เอ่ยตัดหน้าขึ้นมา

         “ดูท่าทางเลขาคุณจะหัวไวใช่ได้เลยนะครับ ดีเหมือนกันผม ชอบ ” ธารมองไปยังคนที่เขานึกสนใจอย่างชื่นชม

       “แล้วคุณต้องการอะไรครับ” ชิตรัตน์ชิงพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเริ่มไม่สบอามรณ์ของแก้วกล้า

       “ผมต้องการกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งของการเป็นผู้ถือหุ้นในสิ่งที่กำลังจะปลูกสร้างในที่ดินผืนนี้และการตัดสินใจใดๆ ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคุณก็ต้องผ่านผมด้วยเช่นกัน”

          คำเรียกร้องของธารที่ฟังดูเหมือนการต่อรองทางธุรกิจทั่วไป แต่มันกลับสะกิดใจคนฟังอย่างชิตรัตน์และแก้วกล้าเป็นอย่างมาก แต่เพื่อไม่ให้เสียลูกค้าที่เสนอตัวเข้ามาร่วมหุ้นกับทางฝ่ายของตัวเอง ชิตรัตน์จึงขอให้ธารสละเวลาเพื่อจะได้นั่งคุยรายละเอียดคร่าวๆ ด้วยกันเพื่อเป็นการสร้างข้อตกลงและทำความเข้าใจของพวกเขาทั้งสองฝ่าย

             เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะการคุยรายละเอียดของการร่วมหุ้นสร้างรีสอร์-ตแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นก็ผ่านไปด้วยดี และคนที่ดูจะดีใจที่สุดคงเป็นแก้วกล้า ที่จะไม่ต้องทนต่อสายตาของใครบางคนซึ่งมักจะเหลือบมองมาทางเขาเป็นระยะๆ

            “งั้นก็เป็นไปตามนี้นะครับ  อีกสองอาทิตย์เราค่อยไปดูที่ที่จะสร้างรีสอร์ตกันส่วนเรื่องวันเวลาค่อยตกลงกันอีกทีนะครับ”

             “ครับ ยังไงก็ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ ผมยังใหม่อยู่สำหรับธุรกิจด้านนี้”   

             เมื่อเห็นว่าการเจรจาเรื่องต่างๆ เป็นไปด้วยดีและทางเขาเองก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรให้กับธารมากนัก ชิตรัตน์จึงกำหนดวันที่จะไปดูที่ดินที่จะร่วมหุ้นกับธาร ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรก่อนธารและไรอัลจะขอตัวกลับก่อน  โดยมีแก้วกล้าเดินไปส่งแค่หน้าลิฟต์เท่านั้น

               “คุณชิน ผมว่าคุณธารอะไรนั่นไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไรเลยนะครับ”  ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงแก้วกล้าก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
 “คิดมาไปหรือเปล่า หรือยังโกรธที่เขาแตะเนื้อต้องตัวนายอยู่” ชิตรัตน์ว่าปัด

                “ก็มีส่วน แต่มันก็จริงๆ นะคุณชิน ผมรู้สึกได้ แววตาขอผู้ชายคนนั้นเวลามองมาที่คุณมันเหมือนซ่อนอะไรเอาไว้ เขาต้องคิดไม่ดีกับคุณแน่ๆ เชื่อผมสิผมสัมผัสได้”

                ชิตรัตน์ส่ายหัวเบาๆ กับความคิดของเลขาตัวเล็ก เพราะเขาคิดว่ามันคงไม่มีอะไรมาก อาจเป็นอาการณ์ของคนท้องที่มักจะกังวลหรือระแวงเกินเหตุไปตามเรื่อง อาจเพราะเมื่อก่อนตอนที่เกลท้องอีกฝ่ายก็มีอาการแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่เขากลับคอนโดดึกกว่าปกติ ร่างสูงจึงรู้ดีว่าควรทำอย่างไรให้คนท้องรู้สึกดีขึ้น

               “โอเคๆ ฉันเชื่อที่เธอพูดนะแก้ว แล้วฉันจะระวังตัวเองละกันนะ”  แต่ดูท่าแล้วการโอนอ่อนตามจะไม่เป็นผลเมื่อนำมาใช้กับแก้วกล้าเวลานี้

                  “ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณเชื่อผมน่ะ  คอยดูนะผมจะหาหลักฐานมาให้ได้เลยว่าเขาน่ะไม่ได้มาแบบบริสุทธิ์ใจ”       
พูดเสร็จแก้วกล้าก็เดินออกจากห้องของเจ้านายเพื่อกลับไปสะสางงานอื่นๆ ต่อ  ทิ้งให้ร่างสูงของชินรัตน์กุมขมับกับอาการที่ท่าทางจะหนักกว่าที่เขาคิดเอาไว้

                 เมื่อถึงโต๊ะประจำของตัวเอง แก้วกล้าก็หมายมั่นว่าจะต้องหาทางจับผิดผู้ชายคนนี้ให้ได้  ถึงจะยอมรับว่าอคติกับอีกฝ่ายแต่นั่นมันส่วนน้อย น้อยนิดจริงๆ นะ ทำไมชิตรัตน์ถึงไม่เชื่อก็ไม่รู้ คนที่อยู่ๆ มาโดนตัวคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตน่ะต้องไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์แน่  แต่ก่อนที่คนตัวเล็กจะหมายมั่นกับการหาความจริงอะไรไปมากกว่านั้น เสียงเตือนเรียกเข้าของเขาก็ดังขึ้น มือเรียวหยิบเอาแท็บเล็ตส่วนตัวที่เขามักเอาไว้ใช้สำหรับการจัดตารางงานทั้งของเขาและของชิตรัตน์มาดู พร้อมหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องที่ดังเมื่อกี้มาเทียบดูกำหนดการในวันพรุ่งนี้กับข้อความที่ถูกส่งมาให้  เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาหรือมีกำหนดการอะไรที่เร่งด่วนของตนเอง ว่าที่คุณแม่มือใหม่จึงเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองลงกระเป๋า แล้วเขียนใบลาสำหรับวันพรุ่งนี้เพื่อเอาไปให้ชิตรัตน์พร้อมกำหนดการของเจ้านายในวันพรุ่งนี้ที่ตนไม่ได้มา และส่งเข้าอีเมล์ให้ชาติเพื่อที่อีกคนจะได้จัดการงานต่างๆ แทนตนได้ถูกต้อง 

             “ดูคุณจะสนใจคุณเลขาคนนั้นจังเลยนะ”  ไรอัลพูดขึ้นเมื่อรถยนต์ส่วนตัวที่พวกเขานั่งอยู่นั้นแล่นออกมาได้สักพัก

              “หึ  ก็ไม่ได้สนสักหน่อยนี่ รีบไปหาน้องเกลกันเถอะ ปล่อยให้รอนานแล้วไม่รู้ป่านนี้จะเป็นไงมั่ง   อ้อ เรื่องประวัตินั่นฉันขอเป็นวันพรุ่งนี้เช้าเลยนะ แต่วันนี้ฉันขอตารางงานของแม่แมวน้อยมาก่อนละกัน” 

                ธารว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนเปิด GPS เพื่อมองหาตำแหน่งที่อยู่ล่าสุดของน้องชายสุดที่รักไปพลางๆ   ผิดกับไรอัลที่อยากถามเหลือเกินว่า แบบนี้คือไม่สนใจแล้ว ถ้าสนใจนี่ไม่ไปแอบซุกอยู่ใต้ที่นอนเลยหรืออย่างไร หนุ่มอังกฤษตัวบางทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องของตนให้จัดการเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายมาเมื่อครู่นี้



                   ตลอดระยะทางตั้งแต่แยกกันที่หน้าลิฟต์จนตอนนี้ที่รถแล่นออกจากโรงแรมหน้าของเลขาคนสวยเป้าหมายของเขายังคงตรึงใจเขาอยู่

                     นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกสนใจได้ขนาดนี้ และนานขนาดไหนกันที่ไม่มีใครทำให้เขารู้สึกเหมือนว่า เขาเองก็เป็นฝ่ายที่ถูกปฏิเสธได้เหมือนกัน นานแค่ไหนที่เขาเอาแต่คิดถึงท่าทางของแก้วกล้าที่ดูจะไม่ยอมอ่อนลงให้เขาง่ายๆ ยอมรับเลยว่าเขาเองก็คงจะหลงเสน่ห์คนท้องเข้าให้แล้วจริงๆ  ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังท้องอยู่ ซึ่งนั่นหมายความว่าแม่แมวน้อยที่เขาติดใจนั้นต้องมีเจ้าของอยู่แล้ว แต่ใครจะสนล่ะ เขาสนใจซะอย่าง ถึงจะไม่ได้มาแต่แค่ได้หยอกเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นหมาหยอกไก่แบบนี้เขาก็พอใจแล้ว  แต่ถ้าจะให้ดีนะ ต้องไม่มีเจ้าของแล้วเขาจะพอใจมากกว่านี้อีก 

                    แต่พอพูดถึงท่าทีเป็นแมวขู่ของอีกคนแล้วมันทำเขานึกขำเบาๆ  ก็แหม มันไม่มีใครทำท่าทางแบบนี้ใส่เขาเลยนี่นะ จะมีก็แต่ เน็ตตี้ เจ้าเหมียวพันธุ์เปอร์เซียสีขาวตัวโปรดของน้องชาย ซึ่งตอนนี้เขาส่งไปรอที่บ้านแล้วเท่านั้นที่ชอบทำท่าทางขู่ใส่เขา ทั้ง ๆ ที่เขาแค่จะลูบขนมันเล่นแค่นั้นเอง  และอีกเรื่องที่ทำให้หนุ่มลูกครึ่งรู้สึกสนใจคนตัวเล็กนั้นที่จริงแล้วอาจเป็นสายตานั่น  สายตาที่เหมือนจะหาความจริงบางอย่างเวลาที่เผลอไปสบกัน มันเหมือนว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร นั่นล่ะที่เขา ชอบ

                     “ฉันอยากรู้จัง ว่าตอนนี้แม่แมวตัวเล็กของฉันจะทำอะไรอยู่นะ”

_______________________________________________________________

อ้าวววว พี่ธารไหนว่าจะมาเคลียร์ปัญหาให้น้องไง ไหนมาหลงหนุ่มแถมนี้ได้ละเนี้ย????
แล้วน้องเกรซจะบอกพ่อไหมว่าเจอแม่แล้ว ????

รอพบคำตอบได้ในวันจันทร์เน้อ :mew1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 3- 23-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 23-12-2016 21:43:02
ดีใจกับน้องเกรซด้วยนะที่ได้เจอแม่เกลแล้วซะที
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 4- 26-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 26-12-2016 20:32:48

ฝนหยดที่ 4


                 “น้องเกรซจะไม่ไปกับแม่จริงๆ เหรอครับ” เกลเอ่ยเสียงเศร้ายามมองลูกชายตัวน้อยที่นั่งพิงอกตนอยู่


                “เกรซก็อยากไปกับคุณแม่ แต่คุณพ่อจะเป็นห่วง แล้วถ้าคุณย่ารู้เกรซก็จะถูกดุ” เด็กชายพูดเสียงเบายามที่ต้องพูดถึงคุณย่า ที่แม้ตอนนี้จะไม่อยู่บ้านแต่ก็ทำให้เกรซอดกลัวไม่ได้อยู่ดี


                “แต่แม่อยากให้เกรซไปกับแม่” เจ้าตัวว่าพร้อมซบหน้าลงกับหัวของลูกชาย


                ชายกับพลเห็นว่าหากยังปล่อยเอาไว้อย่างนี้อีกสักพัก พวกเขาคงไม่สามารถแยกเกลออกจากลูกชายได้ และมันจะทำให้พวกเขาเจอกับปัญหาทางด้านจิตใจของเกล ที่ยังถือว่ายังไม่สมบูรณ์พร้อมและอาจเกิดการอาละวาดขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นคงไม่ดีแน่ถ้าจะต้องให้เด็กตัวเล็กๆ มาเจออะไรแบบนี้


                “เดี๋ยวผมจัดการเอง” ปีแอร์เสนอตัวขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม


                “เกลลี่ ใกล้ได้เวลากลับแล้วนะ” เกลหันมามองคนที่นั่งยองๆ อยู่ด้านข้างของตนเล็กน้อยก่อนหันหนี


                “เกลลี่ส่งน้องเกรซไปให้พี่ชาตินะ” ปีแอร์ว่าอย่างใจเย็นก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปช้อนใต้รักแร้ของเกรซ เพื่อเตรียมอุ้มออกมาช้าๆ แต่กลับถูกเกลขืนแย่งเอาไว้


                “ไม่เอา เกลจะอยู่กับลูก” เจ้าตัวว่าก่อนน้ำตาจะเริ่มไหลออกมาช้าๆ


                “แต่น้องเกรซต้องกลับบ้านนะ” ปีแอร์พยายามให้เหตุผล แต่ดูท่าแล้วเกลจะไม่ยอมลูกเดียว ทำให้คนอีกสามคนที่เหลือต้องเข้ามาพูดเกลี้ยกล่อม


                “ใช่ครับ ถ้าคุณน้องเกรซไม่กลับบ้าน คุณชินจะเป็นห่วงเอาได้นะครับ” ชาติช่วยพูด หลังจากที่เขาได้คุยกับชายและพลมาแล้ว เขาเองก็พอเข้าใจอาการของเกลได้บ้างระดับหนึ่ง ถึงจะสงสารอยู่บ้าง แต่เขาคงไม่สามารถยอมให้เจ้านายตัวน้อยของเขากลับไปกับแม่ของเจ้าตัวได้เหมือนกัน


                “ไม่เอา ถ้าเกลยอมให้ตาหนูคืนไป เกลก็จะไม่ได้เจอลูกอีกน่ะสิ เกลไม่ยอมหรอก”  เกลอุ้มลูกชายเอาไว้แล้วเบี่ยงตัวหนีจากทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าพร้อมน้ำตาอาบแก้ม


                “ฮึก ถ้าเกลให้เกรซไป เกลจะไม่ได้เจอลูกอีก ฮึก” เกลกระชับแรงกอดรัดให้แน่นขึ้นไปอีก จนคนที่มองอยู่ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนหนทาง


                “คุณเกลครับ”พลที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูดจาอะไรกลับเดินผ่านทุกคนออกไปนั่งอยู่ตรงหน้าของเกลแทน


                “ส่งตัวคุณหนูเกรซมาให้ผมได้ไหมครับ”


                ดวงตาสวยฉ่ำเบิกตากว้างพร้อมส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอม แต่เพราะสายตาจริงจังยามพลจ้องมายังตนไม่เลิกรา เกลจึงจำยอมค่อยๆ ส่งลูกชายไปให้พลที่อยู่ตรงหน้า


                “เช็ดหน้าก่อนครับ”พลรับตัวเกรซมานั่งที่หน้าขาของตน ก่อนยืนผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายเช็ดหน้าเช็ดตา


                “คุณหนูมีอะไรอยากจะพูดกับคุณแม่ไหมครับ” พลหันมาถามเด็กชายแทนที่จะพูดคุยกับเกลซึ่งนั่งอยู่


                “เกรซอยากอยู่กับคุณแม่ ฮึก แต่ถ้าเกรซไม่กลับบ้าน คุณพ่อจะเป็นห่วง” เด็กชายสะอื้นหนักจนพลต้องส่งเกรซให้กับชาติที่เดินเข้ามารอรับ


                “คุณเกลไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เจอคุณเกรซนะครับ” ชาติพูด


                “ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณชินพยายามหาทางที่จะพาตัวคุณกลับมาอยู่ด้วยกัน ยิ่งถ้าได้รู้ว่าคุณกลับมาแล้ว คุณชินต้องดีใจมากแน่ๆ ”

 
                  ชาติพูดเสริมอย่างหวังให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น ซึ่งเขาคิดผิดเพราะเมื่อเกลได้ยินชื่อของใครอีกคนออกจากปากของชาติ แววตาของเกลกลับแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีแต่เจ้าตัวกลับซ่อนมันไม่ให้ใครเห็น


                “อย่างนั้นเหรอ”เกลสูดหายใจเข้ารอบหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมามอง


                “เอางั้นก็ได้ เกลยอมให้ลูกไป แต่เอานี่ไปด้วย” เจ้าตัวว่าก่อนหยิบตุ๊กตาตัวโปรดส่งให้ลูกชายท่ามกลางความตกใจของสามคนสนิทที่มองตามอย่างไม่เข้าใจ


                “คุณเกล” ชายทักท้วง


                “ไม่เป็นอะไรหรอกครับพี่ชาย อย่างน้อยน้องเกรซจะได้รู้ไงครับ ว่าเกรซเจอแม่แล้ว”


                   เด็กชายหันกลับมารับตุ๊กตากระต่ายหูยาวไปกอด แล้วมองหน้าของแม่ที่ยังคงส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ตน แม้ว่าใบหน้าสวยนั้นจะเปื้อนน้ำตาไปบ้างก็ตาม


                “แม่ให้หนูนะครับ”


                “เกลลี่ ดาร์ลิงส่งข้อความมาบอกว่าใกล้จะมาถึงแล้วนะ”   ปีแอร์พูดขึ้นหลังจากได้รับข้องความจากไรอัล ซึ่งเป็นคนรักของตนที่ส่งมาบอกว่าอีกไม่นานจะมาถึงที่นี่แล้ว


                เกลพยักหน้ารับก่อนยื่นแขนสองข้างออกไปหาชายกับพล เพื่อให้ทั้งสองช่วยพยุงไปยังวีลแชร์ซึ่งอยู่บนทางเดิน เกรซกับชาติมองดูอย่างสงสัยจึงอดไม่ได้ที่จะทักขึ้น


                “ทำไมต้องนั่งบนนั้นด้วยล่ะครับ”


                 “ก็เกลลี่เดินไม่ได้นี่ เลยต้องนั่งบนนี้สิ”  คำตอบที่ได้มามันทำให้หัวใจเล็กๆ ของเกรซรู้สึกแปลบๆ ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ


                 “ผมยังไม่รู้เลยว่าจะได้เจอคุณแม่อีกเมื่อไร แต่ผมอยากเจอคุณแม่อีกนะครับ”  เกรซรีบบอกความต้องการของตัวเองออกไปทันที เพราะกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้คุณแม่จะหายไปอีก


                  “ปีแอร์.”


                    !!!


                  “โทรหาปีแอร์ ถ้าอยากคุยกับแม่ให้โทรหาปีแอร์”


                   เด็กชายดีใจมากที่ได้คำตอบแบบนั้น จึงรีบบิดตัวออกจากชาติแล้ววิ่งไปหาอีกคนที่อยู่ข้างหลังของวีลแชร์ ซึ่งทำหน้าประหนึ่งเจอเรื่องที่มันอัศจรรย์อย่างมาก 


                   “พี่ชายของเบอร์หน่อยสิฮะ เร็วๆ ”    ปีแอร์เหมือนได้สติขึ้นมาจากการโดนเด็กตรงหน้าเร่งเร้า


                  “นี้เบอร์ฉันนะ โทรหาได้ตลอด แต่ถ้าจะคุยกับเกลลี่ต้องโทรมาก่อนสามทุ่ม คนป่วยต้องการพักผ่อนเข้าใจไหม  ถ้าอยากให้เกลลี่หายนะ บอยต้องชวนเกลลี่ ออกมาข้างนอกบ่อย ๆ เข้าใจไหม เกลลี่น่ะชอบขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง บอยก็รู้ว่ามันไม่ดีกับคนป่วย” เด็กชายพยักหน้าเข้าใจที่อีกคนพูดก่อนเร่งให้ชาติกดเบอร์ของอีกฝ่ายเร็ว ๆ


                  “น้องเกรซครับ มาหาแม่หน่อยครับ” เกลหันกลับไปกวักมือเรียกลูกชายให้เข้ามาหา


                  “อะไรครับ” เด็กชายวิ่งเข้ามากอดคุณแม่ของตัวอย่างไม่รีรอ


                  “แม่มีอะไรจะบอก...”


                  เกลอุ้มลูกชายขึ้นมานั่งที่ตักก่อนกระซิบบางอย่างให้ได้ยินกันเพียงสองคน เกรซพยักหน้าเข้าใจก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปคนละทาง
 




                หลังแยกกับพวกเกลแล้ว ชาติก็พาเกรซกลับมายังโรงแรมของชิตรัตน์ด้วยสีหน้าดูมีความสุขจนใครๆ ก็สังเกตเห็น จนคนเป็นพ่อต้องหันมามองลูกชายที่ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องจนถึงตอนนี้ยังไม่หุบยิ้มเลย


                “ไปเจอเรื่องอะไรดีๆ มาหรือยังไงตาเกรซ แล้วนั่นไปเอาตุ๊กตามากจากไหนหื้อ”


                 ชิตรัตน์ทนความสงสัยเมื่อเห็นอาการออกนอกหน้านอกตาของลูกชายไม่ไหวเลยเอ่ยถามออกไป เด็กชายที่กำลังมีความสุขรีบหันหน้ามาหาคนเป็นพ่อพร้อมกับจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่เรื่องราวที่เขาได้ฟังมาเมื่อสักครู่นี้อยู่ๆ ก็ลอยเข้ามาในหัว


                  “อย่าบอกคุณพ่อนะครับว่าเจอแม่แล้ว แม่อยากเซอร์ไพรส์คุณพ่อเขา”


                เด็กชายรีบก้มหน้าหลบตาลงทันที แต่ก็ยังเอ่ยตอบบิดากลับไปแค่ว่าตนได้เพื่อนใหม่มาคนหนึ่งจากที่ไปเล่นในสวนมา ส่วนตุ๊กตานี้ก็บอกไปว่าขอให้ชาติซื้อให้เท่านั้น  ซึ่งนั้นก็ทำให้ชาติที่เดินตามเข้ามาถึงกับขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งคนเป็นพ่อก็ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นเมื่อเห็นเด็กชายทำมือเป็นสัญญาณว่าไม่ให้พูดอะไรชาติจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปและชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะถึงเขาจะเลี้ยงลูกให้ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างไร แต่เด็กก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ


                   ชิตรัตน์จึงหันไปจัดการกับเอกสารส่วนที่เหลือซึ่งยังค้างอยู่ให้เสร็จ ปล่อยให้เกรซนั่งคุยเล่นกับแก้วกล้าไปตามเรื่อง โดยกว่าที่เอกสารทุกอย่างจะเสร็จก็ใช้เวลาอยู่นานเช่นกัน กว่าจะแยกย้ายกันกลับ


                   “อาแก้วกลับยังไงเหรอครับ ให้เกรซกับคุณพ่อไปส่งไหมครับ”


                   “ไม่เป็นไรครับ วันนี้อาแก้วเอารถมาเอง ขับกลับเองได้ครับ”


                    “แต่ว่าท้องอาแก้วโตขนาดนี้จะขับได้เหรอ” 


                    เกรซเอ่ยถามอาแก้วโดยไม่ลืมเป็นห่วงคนท้องที่ต้องขับรถกลับบ้านเอง ซึ่งเขาเองก็เป็นห่วงกลัวว่าคุณอาคนสวยจะขับรถลำบาก ถ้าเกิดเป็นอะไรระหว่างทางขึ้นมาจะทำอย่างไร


                  “ไม่ต้องห่วงนะครับ อาแก้วจะขับช้าๆ อย่างระมัดระวัง รับรองว่าถึงบ้านปลอดภัยแน่นอน”


                   “ถ้าท้องใหญ่ขึ้นกว่านี้ ฉันว่าเธอนั่งแท็กซี่มามันจะดีกว่า เดี๋ยวฉันออกค่ารถให้”


                   เกรซรีบพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณพ่อที่เอ่ยออกมาสนับสนุนเขา เพราะอาแก้วอยู่เขามานานตั้งแต่จำความได้ อาแก้วค่อยมาเป็นเพื่อนเล่นกับเขาตลอดเวลาที่มารอคุณพ่อ บางทีก็มีขนมบ้างของกินบ้างรองท้องเวลาวันไหนที่คุณพ่อยังทำงานไม่เสร็จ  ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เด็กชายจะรักและเป็นห่วงคุณอาเลขาคนสวยของคุณพ่อ


                   “ถ้าออกให้เป็นเบี้ยพิเศษนี่แก้วตกลงนะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า”


                    เมื่อเลขาเสนอมาเช่นนี้มีหรือที่เจ้านายใจดีอย่างชิตรัตน์จะปฏิเสธ คำตอบตกลงของเจ้านายทำเอาว่าที่คุณแม่หัวเราะไม่ออก ก็ใครมันจะคิดล่ะว่าเจ้านายเขาจะใจปล้ำขนาดนี้ แถมลูกเจ้านายก็ยังเห็นดีเห็นงามด้วยอีก แล้วแบบนี้เขาจะขัดใจเจ้านายได้อย่างไรล่ะ จริงไหม   และเมื่อตกลงเรื่องกันได้โดยถูกใจทั้งสองฝ่ายจึงได้เวลาแยกย้ายกันจริงๆ สักที
 



                ทันทีที่ถึงบ้านเกรซก็รีบวิ่งกลับขึ้นห้องของตัวเองทันทีโดยไม่สนว่าใครจะเรียกอะไร ซึ่งชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตัวเขาเองก็กลับไปที่ห้องเช่นกัน เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาทานมื้อเย็น  ฝ่ายเด็กชายเมื่อเข้ามาในห้องก็รีบทำการล็อคประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบไขกุนแจลิ้นชักข้างหัวเตียงทันที แล้วค่อยๆ หยิบเอา สมุดโน้ตเล่มหนึ่งออกมา

เรื่องของคุณแม่

                  สมุดโน้ตเล่มนี้เป็นสมุดที่เจ้าตัวมักจะแอบเขียนเรื่องราวที่ตัวเองรู้เกี่ยวกับ แม่ ซึ่งเขาเริ่มเขียนตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปีตอนที่เขาเริ่มอ่านออกเขียนได้จากการแนะนำของอาแก้ว ถ้าอยากรู้เรื่องของคุณแม่ให้เขาจดบันทึกเรื่องราวของคุณแม่ลงไป โดยมีอาแก้วคอยช่วยอยู่ข้าง ๆ ตลอด มันทำให้เกรซรู้สึกเสมอว่าคุณแม่อยู่ไม่ไกล  โดยทุก ๆ คืนก่อนนอนคุณพ่อจะเข้ามาเล่าเรื่องราวของคุณแม่ให้ฟังทุกคืนแทนการเล่านิทาน และเขาก็จะเขียนเรื่องที่ได้ฟังมาลงในสมุดเล่มนี้


                  เริ่มด้วยหน้าแรกที่เป็นรูปถ่ายข้างหลังของคนคนหนึ่งซึ่งหันหน้าออกไปที่น้ำตก พร้อมกับวงเล็บไว้ข้างๆ รูปว่า ‘คุณแม่’ ถามว่าเกรซรู้ได้อย่างไรว่านี่คือรูปใคร คงเพราะวันนั้นเขาบังเอิญตื่นขึ้นมาตอนดึก แล้วแอบได้ยินเสียงคุณพ่อทะเลาะกับคุณย่าดังออกมาจากห้องทำงานของคุณพ่อ


                   “แกยังออกตามหาไอ้เด็กนี่อยู่อีกเหรอฮะตาชิน!!”

                   “.....”

                   “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกทำอะไรอยู่  ถึงแกเจอตัวมันก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะยอมรับมันเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านนี้น่ะ”

                    “แต่เกลเป็นเมียผมและยังเป็นแม่ของตาเกรซด้วย คุณแม่จะไม่ยอมรับได้ยังไง”

                    “เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้นน่ะ ฉันไม่ยอมรับหรอก ถึงแกจะอ้างว่ามันเป็นแม่ของหลานฉันแล้วยังไง  แกหามันมาตั้งกี่ปี 5ปี 5ปีนี้แกเจออะไรมั่ง หึ ฉันว่าป่านนี้น่ะมันคงตายไปแล้วล่ะ หรือไม่ก็คงไปมีผัวใหม่”

                    “ผมไม่เชื่อ!!  เกลยังไม่ตาย แล้วเกลก็ไม่มีทางมีคนอื่นด้วย วันนั้นผมไม่น่าทำตามข้อตกลงของคุณแม่เลยจริงๆ ไม่งั้นตอนนี้ลูกของผมเขาก็คงมีแม่อย่างคนอื่นแล้ว ผมคิดผิดจริงๆ ที่ทำตามคุณแม่”

                    “แกหาว่าฉันผิดเหรอตาชิน! ฉันเป็นแม่แกนะ!!”



                    เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เขาเองก็ยังไม่รู้หรอกว่าที่ผู้ใหญ่สองคนพูดน่ะคืออะไร หลังจากเสียงทะเลาะกันที่ดังออกมา เขาเห็นคุณย่าเอารูปบางอย่างออมาจากซองสีน้ำตาล ซึ่งมันทำให้คุณพ่อของเขามีสีหน้าตกใจมาก ก่อนที่คุณย่าจะฉีกรูปพวกนี้ทิ้งคุณพ่อก็เข้ามา พยายามแย่งจนมันกระจายไปทั่วห้อง แล้วรูปใบนี้ก็ปลิวลอดช่องประตูออกมาหาเขา เด็กชายไม่รอช้ารีบเอารูปดังกล่าวกลับห้องทันที เช้าวันต่อมา คุณพ่อกับคุณย่าดูเหมือนจะยังไม่คืนดีกัน และคุณย่าก็มักจะเข้ามาหาเขาแล้วพูดจาว่าร้ายแม่ต่างๆ นานา หาว่าแม่ของเขาเป็นคนไม่ดี ทิ้งเขาไว้กับพ่อบ้างล่ะ หนีไปมีครอบครัวใหม่บ้างล่ะ ไม่รักเขาบ้างล่ะ หาว่าแม่เขาทำร้ายร่างกายคุณย่าบ้างล่ะ  ซึ่งเขาไม่ชอบที่คุณย่าทำแบบนี้เลย ถึงเขาจะยังเด็กแต่นั่นแม่เขานะ มาว่าแม่เขาแบบนี้ได้อย่างไร และยิ่งหลังจากทะเลาะกับคุณพ่อคืนนั้น คำว่าร้ายของคุณย่าก็เพิ่มมากขึ้นจนเขารับไม่ได้


                “คุณพ่อครับ คุณแม่เป็นคนยังไงเหรอ ฮึก คุณแม่ไม่ได้เป็นแบบ..ฮึก ..ที่คุณย่าพูดใช่ไม...คุณแม่ยังรักเกรซ ฮึก ใช่ไหม คุณแม่จะกลับมาหาเกรซใช่ไหม คุณพ่อตอบเกรซมาสิ ฮืออออ คุณแม่อยู่ไหน ฮืออออ เกรซจะหาคุณแม่ ฮือออออออออ”

               
               เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร เด็กชายวัยห้าขวบจึงตัดสินใจวิ่งไปหาคุณพ่อแล้วถามในสิ่งที่อยากรู้พร้อมน้ำตา พ่อทำได้เพียงอุ้มเขามาปลอบแล้วเล่าเรื่องทุกอย่างที่เขาอยากรู้ให้ฟัง


              “คุณแม่ของเกรซเป็นคนดี เป็นผู้ชายที่พ่อรักมากที่สุด รู้ไหมว่าสีตากับปากของเกรซนี่เหมือนคุณแม่มากเลยนะ.......”

                 
                และวันนั้นเขาก็ได้รู้ว่า แม่เขาเป็นคนอย่างไร คุณพ่อบอกว่าคุณแม่น่ะเวลายิ้มแล้วทั้งโลกดูสดใสมาก ร่าเริงแล้วก็ใจดี แล้วยังบอกอีกว่าคุณแม่น่ะรักเกรซมากที่สุดอีกด้วย แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว แต่ว่านะ ทำไมคุณพ่อต้องทำหน้าเศร้าแบบนั้นด้วยเวลาที่พูดถึงคุณแม่ ทุกครั้งที่เขาเข้ามาถามเรื่องของคุณแม่ เมื่อเขาออกจากห้องไปแล้วคุณพ่อมักจะเหม่อออกไปข้างนอกบ่อยๆ  จนวันหนึ่งเขาแอบได้ยินคุณพ่อละเมอออกมา มันทำให้เขารู้ว่าคุณแม่ชื่อว่าอะไร คุณพ่อละเมอชื่อคุณแม่ซ้ำไปซ้ำมาสลับกับคำว่าขอโทษและบอกรัก เด็กชายรู้ดีว่าคุณพ่อรักคุณแม่มาก เขาจึงคิดว่าถ้าเขายังเอาแต่ถามถึงคุณแม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณพ่อก็จะเศร้าเพราะคิดถึง เขาจึงตั้งใจว่าจะเอาเรื่องต่างๆ ที่ได้ยินมาประติดประต่อเรื่องราวของคุณแม่เอง ถึงส่วนใหญ่จะเป็นคำว่าร้ายจากคุณย่าก็เถอะ แต่คุณแม่เป็นคนดีไม่เหมือนคุณย่าหรอกนี่คือสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดและเฝ้าเขียนเรื่องราวนั้นมาเรื่อยๆ มีเรื่องของคุณแม่สลับกับเรื่องของเขาไปมา โดยหวังว่าสักวันหนึ่งคุณแม่จะได้มาอ่านมัน

                และวันนั้นก็มาถึงแล้ว วันที่เขาเฝ้ารอมาตั้งแต่เกิด วันที่จะได้พบกับคุณแม่ เด็กชายเขียนเล่าเหตุการณ์และความรู้สึกที่มีลงไปในกระดาษด้วยสีหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม  คุณแม่ของเกรซน่ะรักเกรซเหมือนที่คุณพ่อบอกจริงๆ ก่อนจะรีบลงไปทานข้าวพร้อมกับคุณพ่อ เมื่อกินเสร็จแล้วจะได้รีบมาคุยคุณแม่



                “อย่างงั้นเหรอ แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ นายไปดูแลเกลต่อเถอะ”  ธารเอ่ยกับสามคนสนิทของเกลที่เข้ามารายงานเรื่องราวของเจ้าตัวที่ไปเจอมาวันนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความพึงพอใจให้คนฟังได้อย่างดี ดูเหมือนว่าอะไรๆ ก็จะเข้าข้างพวกเขาไปเสียทุกเรื่องอย่างนี้ ซึ่งมันทำให้เขาสามารถทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น เพื่อพาหลานชายของเขากลับคืนมา ธารคุยต่ออีกสักพักก่อนปล่อยให้ทั้งสามกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เพื่อรอคอยบางอย่างที่เขารอมาทั้งวัน

                 “นี่คือข้อมูลของคุณแก้วกล้าบางส่วนกับตารางงานของวันพรุ่งนี้” ไรอัลเปิดประตูเข้ามาก่อนจะวางซองเอกสารกับกระดาษหนึ่งแผ่นไว้บนโต๊ะของธาร

 
                  “ขอบคุณมาก นายไปพักได้แล้วล่ะ”  ไรอัลค้อมหัวลงแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เจ้านายของตัวเองอ่านประวัติของคนที่ไรอัลคิดว่าต่อไปนี้เขาคงจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายทุกวันแน่ๆ  คิดแล้วเขาก็เหนื่อยใจแทนว่าที่คุณแม่คนนั้นจริงๆ เลย


Rrrrrrrrrrrrrrr

                เสียงโทรศัพท์ของปีแอร์ดังขึ้นขณะที่เขากำลังนั่งรอร่างบางของเจ้านายซึ่งกำลังนั่งทานมื้อเย็นอยู่บนเตียง โดยมีธารนั่งป้อนอยู่ข้าง ๆ เขารีบขออนุญาตทั้งคู่ออกไปรับสายที่ว่า แต่เพราะเป็นเบอร์แปลก เขาจึงไม่ได้บันทึกไว้ ทำให้เขาไม่เอ่ยอะไรออกไปก่อน


               “.......”


               “ฮัลโหล”


               “.......”


              “พี่ปีแอร์ใช่ไหม ผมเองเกรซคนที่เจอเมื่อเย็นไง”  เมื่อระลึกได้ว่าเป็นใครที่โทรมา ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อคนที่เกลลี่ของเขารอโทรมาแล้ว


              “Hi Boy นั่นเอง โทรมาเร็วจังนะ”


              “คือ..ผมอยากคุณกับคุณแม่หน่อยน่ะครับ คือ....ผมคุยได้ไหม”


             “ได้อยู่แล้ว แต่รอหน่อยนะ เกลลี่กำลังทานข้าวอยู่น่ะ”


              เมื่อเด็กชายรับคำ ปีแอร์จึงเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้านายตัวบางของเขากินข้าวเสร็จพอดี แล้วบอสเองก็หันมาถามด้วยว่าใครโทรมา เขาก็เลยตอบไปตามความจริงว่า


             “น้องดีเยี่ยมโทรมาครับ น้องดีเยี่ยมอยากคุยกับเกลลี่”


              “น้องดีเยี่ยมเหรอ?”


             “ก็บอสบอกว่าให้ผมพูดภาษาไทย เกรซแปลว่าดีเยี่ยม ผมก็ต้องพูดเป็นภาษาไทยสิครับ”


             คำพูดของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากเจ้านายทั้งสองได้ทันที เก-ลเองเมื่อรู้ว่าใครที่อยากคุยกับตนก็ไม่รีรอรีบให้ปีแอร์ส่งโทรศัพท์มาทันที ส่วนธารเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็ให้คนเอาถาดอาหารออกไป ส่วนตนก็หันมากำชับกับน้องชาย ว่าอย่านอนดึกนักแล้วจึงค่อยออกไป


              “น้องเกรซ”


               “คุณแม่!!”


                การคุยกันครั้งนี้ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเป็นฝ่ายเด็กชายเท่านั้นที่พูดอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ทำให้เด็กชายรู้สึกไม่ดีหรืออะไร เพราะเขาขอให้ปีแอร์ช่วยเปิด VDO Call ให้เพื่อจะได้เห็นหน้าของอีกฝ่าย ทำให้เขาได้รับรู้ว่าปลายสายนั้นยังฟัง เขาพูดอยู่ตลอด และมีเวลาพิจารณาใบหน้าของคุณแม่ให้ชัดๆ เต็มตา ถึงจะเห็นผ่านกล้องแต่แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว แม้จะได้คุยกันแค่ครู่เดียวเพราะคุณแม่เผลอหลับไปซะก่อน พี่ปีแอร์บอกว่าคุณแม่คงเพลียจากการเดินทางเลยหลับไปอย่างรวดเร็ว  ซึ่งเด็กชายก็ไม่ได้น้อยใจเลย เขาจึงบอกอีกฝ่ายว่าขอโทรมาทุกวันได้ไหม และปีแอร์ก็ไม่ทำให้ความหวังของเด็กน้อยสูญเปล่าเมื่อเขายินดีอย่างยิ่งที่จะให้เด็กชายได้โทรมาหา หนุ่มอิตาลีคงไม่รู้หรอว่าการที่ตัวเองยอมให้เด็กชายตัวน้อยได้คุยเกลลี่ของเขาน่ะ มันทำให้เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งนอนยิ้มไม่หุบไปตลอดทั้งคืนเลย


“ฝันดีนะครับ คุณแม่”


___________________________________________________________________


อย่างที่รู้ๆกันในตอนต้นเนอะที่ว่าเกลโดนพรากเอาลูกไปเลยทำให้ตอนนี้เกลอาจเหมือนคนที่มีอาการทางจิตอ่อนๆด้วย
ส่วนที่เกลบอกไม่ให้ลูกบอกกับชินเรื่องที่เจอตัวแม่แล้วก็เจ้าตัวยังกลัวอยู่ว่าถ้าชิตรัตน์รู้ว่าตนเจอกับลูกแล้วลูกจะถูกพาหนีไปอีก(
จากคนที่คุณก็รู้ว่าใคร)

นิยายเรื่องนี้ไม่มาม่า น่ารักใสๆ เนอะ ^^ :katai5:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 4- 26-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 26-12-2016 22:07:06
ดีใจด้วยนะน้องเกรซที่ได้เจอแม่ซะที
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 4- 26-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 26-12-2016 23:05:27
 ฉากซึ้งจริงๆ น้องเกรทได้คุยกับแม่ล่ะ ต่อไปก็พ่อชินตามหาเมียเจอสักที
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 5- 28-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 28-12-2016 20:56:05

ฝนหยดที่ 5
(ธารxแก้ว)


             มีคนเคยบอกว่าคนท้องห้ามเครียดเพราะมันจะส่งผลต่อเด็กในท้อง แต่ตอนนี้ ‘แก้วกล้า’ บอกได้เลยว่าไม่ให้เครียดก็คงไม่ได้ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็อยู่ดีๆ คุณโจนาธารว่าที่หุ้นส่วนใหญ่ของเจ้านายเขาที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อวาน อยู่ๆ ก็โผล่มาอยู่ด้านล่างคอนโดเขาได้อย่างไรไม่ทราบ ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงมาหาคนรู้จักที่นี่ แต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาทักเขาเองถึงที่ขนาดนี้น่ะ

             “วันนี้คุณเลขาไม่เข้างานเหรอครับ”  ไม่ว่าเปล่าผู้บุกรุกในความคิดของแก้วกล้าก็เดินเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจส่งมาให้ ก่อนจะพยายามแย่งเอากระเป๋าสะพายของเขาไปถือจนเขาต้องเบี่ยงตัวหลบเบาๆ

             “ผมจะไปทำงานหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนะครับ คุณโจนาธาร” แก้วกล้าว่าอย่างตั้งแง่

             “เกี่ยวสิครับ ผมเห็นว่าคุณกำลังท้องอยู่ จะให้ไปเองก็คงจะลำบาก ผมเลยอาสาที่จะไปส่งนี่ไง”

            “ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะครับ แต่ไม่เป็นไร ผมไปเองได้ ขอตัว”   เขารีบเดินผ่านอีกฝ่ายไปทันทีที่พูดจบ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล แค่สองสามก้าวเท่านั้นเองก็ถูกมือหนาๆ คว้าเขาที่ข้อมือ คนท้องรีบหันหน้ากลับมามองอย่างไม่ชอบใจพลางบิดข้อมือออกจากมือของอีกฝ่ายไปด้วย

            “นี่คุณปล่อยผมนะ ผมรีบ”

            “ก็รู้ว่ารีบไง ปะ เราไปกันเถอะ ฉันจอดรถไว้หน้าตึกเนี่ย”

            “นี่คุณปล่อยนะ!”  ดูเหมือนความพยายามของแก้วกล้าจะไม่เป็นผลสำเร็จสักเท่าไรเมื่อสุดท้ายเขาก็ต้องมานั่งอยู่กับอีกฝ่ายบนรถ

             “วันนี้คุณจะไปโรง’บาลใช่ไหมเดี๋ยวผมพาไป”

             “คุณรู้ได้ไงว่าผมจะไปไหน”  แก้วกล้ามองคนข้างๆ ที่ทำเพียงแค่ยิ้มมุมปากแล้วเริ่มออกรถอย่างรู้สึกระแวง เป็นใครจะไม่ระแวงมั่งล่ะ อยู่ๆ ดีมีใครที่ไหนก็ไม่รู้ เจอกันแค่วันเดียว กลับรู้ว่าวันนี้เขาจะไปที่ไหน แบบนี้มันพวกโรคจิตแน่ๆ คนตัวเล็กนั่งคิดจนหัวคิ้วสองข้างแถบจะผูกโบว์กันได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจเลยว่าคนข้างๆ ที่ขับรถอยู่น่ะ แอบยิ้มขำๆ กับท่าทางที่ดูระแวงเกินเหตุของตัวเอง


                  เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ตอนแรกแก้วกล้าคิดว่าอีกฝ่ายคงแค่มาส่งตนเอง เฉยๆ แล้วคงกลับ แต่ความคิดของเขานั้นผิดมหันต์เมื่อคนที่ควรจะกลับไปได้แล้วกลับมานั่งรอคิวตรวจเป็นเพื่อนเขาอยู่ข้างๆ แถมพวกบรรดาว่าที่คุณแม่ทั้งหลายรวมถึงพยาบาลต่างเอ่ยชมกันใหญ่ที่คุณพ่อพาคุณแม่มาหาหมอด้วยกัน คือจะให้เขาแก้ข่าวอย่างไรดีล่ะ ก็แขกไม่ได้รับเชิญข้างๆ เขาเนี่ยเล่นเออออห่อหมกกับทุกคนไปอย่างนั้น ดีที่ว่ารอคิวได้ไม่นานก็มีพยาบาลมาเรียกเพราะถึงคิวเขาสักที คนตัวเล็กจึงรีบลุกเข้าไปในห้องตรวจทันทีโดยไม่ยอมบอกหรือรอว่าที่คุณพ่อกำมะลอ

                  “เป็นไรไปน่ะแก้ว ทำคิ้วผูกโบว์เข้ามาเชียว”   

                    เสียงหวานของ คุณหมอพลอยรัมภา คุณหมอเจ้าของไข้เขาดังขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้

                   “พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเครียดน่ะ เดี๋ยวมันจะส่งผลถึงเจ้าตัวเล็กในท้องนะ หืออ”

                    “ขอโทษครับพี่หมอ พอดีแก้วมีเรื่องไม่ชอบใจนิดหน่อยน่ะครับ”
 
                    “อย่างงั้นเหรอ”

                   เขาทำเพียงพยักหน้าให้ก่อนที่คุณหมอสาวจะเริ่มตรวจและถามอาการต่างๆ ของคนไข้ตามปกติ และอาจมีถามสารทุกข์สุขดิบบ้างตามประสาคนรู้จัก  เพราะเขากับคุณหมอสาวรู้จักกันผ่านทาง แทนไท คนรักที่เสียชีวิตไปแล้วของแก้วกล้า ด้วยความที่คุณหมอเป็นเพื่อนสนิทของแทนไทตั้งแต่สมัยเรียน และเป็นคนดูแลแก้วกล้าในวันที่แทนไทจากไปอย่างไม่วันหวนกลับ ทำให้แก้วกล้ามีความสนิทสนมกับคุณหมอสาวคนนี้ในระดับหนึ่ง

               “ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กจะดิ้นบ่อยหน่อยนะ เตรียมตัวปวดหลังไว้ได้เลย แล้วนี่เราจะไม่ลองซาวด์ดูหน่อยเหรอว่าเจ้าตัวเล็กนี้น่ะเป็นหญิงหรือชาย”

               “ยังดีกว่า ผมว่าไปลุ้นเอาตอนคลอดเลยดีกว่า น่าตื่นตะ....”

                “คุณจะเข้ามาห้องตรวจ ทำไมไม่บอกผมล่ะ นี่ผมเดินหาคุณไปทั่วเลยนะ”    เสียงของธารที่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาแล้วพูดขัดประโยคของแก้วกล้า มันยิ่งทำให้เขารู้สึกอยากซัดคนตัวโตนี่จริงๆ เลย

                “เอ่ออ.... ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ คนที่จะเขามาในห้องตรวจได้ต้องปะ.....”

                “ผมเป็น ว่าที่พ่อของเด็กในท้อง ครับ”

                !!!!

                เกิดความเงียบขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมายกับคำพูดของคนที่มาใหม่ ซึ่งพลอยรัมภากับแก้วกล้าได้แต่มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจเจตนาของอีกคน และยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีกเมื่อคนที่เพิ่งเปิดประตูเดินเข้ามานั่งข้างๆ เขาอย่างถือสิทธิ แล้วยังมาพูดว่าเป็น ‘ว่าที่พ่อ’ ของลูกเขาอีก

                 “นี่คุณ!!”

                “จุ๊ๆๆ ไม่เอาสิที่รัก ขึ้นเสียงแบบนี้เดี๋ยวลูกเราตกใจหมดหรอก โอ๋ๆๆ ไม่ตกใจนะเด็กดี”

                นอกจากไม่สะทกสะท้านอะไรแล้วยังมีหน้ามาสั่งสอนเขาอีก แถมยังเอามือมาลูบท้องเขาทำมาเป็นปลอบใจลูกเขาอีก มันจะมากไปแล้วนะเฮ่ยยย!!!

                 “เอ่อ ใจเย็นๆ กันก่อนนะคะทั้งสองคน”

                เสียงของคุณหมอสาวดูเหมือนจะได้สติกลับมาครบแล้ว รีบเอ่ยปากห้ามทัพทันทีที่เห็นว่าคนท้องเริ่มตั้งท่าจะกินหัวคนที่เข้ามาใหม่ให้ได้

                 “คือ คุณบอกว่าเป็นใครนะคะ”

                 “ว่าที่พ่อของเด็กครับ” คนตัวโตไม่สนใจกับสายตาจิกกัดของคนตัวเล็กที่ส่งมาให้อย่างไม่พอใจ แถมเขายังตอบคำถามได้อย่างเสียงดังฟังชัดอีก น่าภูมิใจจริงๆ

                “เอ่อ...ถ้าอย่างงั้นก็อยู่ฟังด้วยเลยละกันนะคะ” รู้สึกเข้าใจอารมณ์ของน้องแก้วซะแล้วสิ ปวดหัวค่ะ

                “คือเรื่องที่พี่จะพูดคือ พี่อยากให้เราน่ะระวังเรื่องสภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น อย่างที่รู้ว่าการตั้งครรภ์ในเพศชายมีสิทธิที่จะเกิดภาวะพวกนี้ได้ง่ายกว่าผู้หญิง ดังนั้นถ้าเราอยู่ๆ น้ำหนักก็เพิ่มอย่ารวดเร็ว มือเท้าบวม ความดันเกินหรือมีอาการปวดหัว ตาพร่ามัว หรือปวดท้องให้รีบมาหาพี่เลยเข้าใจไหม แล้วที่สำคัญนะอย่าเครียดเพราะมันส่งผลถึงเจ้าตัวเล็กด้วย” คุณหมอสาวทำเสียงดุใส่คนไข้เล็กน้อย

                 “ครับ”

                 “วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาแล้วล่ะ”

                  “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”   
                   เมื่อไม่มีอะไรแล้วแก้วกล้าก็ลุกเพื่อจะกลับสักทีแต่ก็ไม่วายโดนคนตัวโตทำท่าจะมาพยุงเขาให้ได้จนน่าหงุดหงิด

                 “คุณว่าที่คุณพ่อคะ ช่วยอยู่คุยกับหมอก่อนได้ไหมคะ”
                  เสียงของผู้หญิงคนเดียวในห้องเอ่ยเรียกความสนใจจากคนทั้งสองให้หันกลับมาสนใจทันที

                 “คุณหมอมีอะไรจะคุณกับผมเหรอครับ”

                 “นิดหน่อยน่ะค่ะ แก้วออกไปรอข้างนอกก่อนนะ พี่ขอยืมตัวเขาแปปนะ”
                  แก้วกล้ามองพี่หมออย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมเดินออกจากห้องไปตามคำขอของคุณหมอสาว

                   ธารมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นไปก่อนจะย้อนกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้งหลังจากที่กำชับคนท้องว่าให้รอเขาอยู่หน้าห้องอย่าหนีไปไหน ซึ่งดูท่าแล้วคนถูกสั่งออกจะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร แต่อย่าถามเลยว่าสนไหม ไม่อะ เขาไม่สนอยู่แล้วเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ไปไหนไม่ได้หรอกก็กระเป๋าของเจ้าตัวน่ะอยู่กับเขา

                  “คุณหมอมีอะไรจะพูดเหรอครับ”

                   “แหม เปิดประเด็นเร็วจังนะคะ กลัวว่าแก้วจะหายเหรอคะ”

                   คนเป็นหมอแซว แต่อีกคนทำเพียงแค่ยักไหล่เท่านั้น ก่อนจะกลับมาสนใจคุณหมอคนสวยตรงหน้าที่ดูท่าทางจะอยากเปลี่ยนอาชีพจากหมอสูติมาเป็นพนักงานสอบสวน

                   “คุณรู้จักกับแก้วนานหรือยังคะ”

                  “ ผมว่านี่ไม่น่าใช่ข้อมูลที่เอาไว้ตรวจนะครับ”

                  “ตอบมาเถอะค่ะ บางทีฉันอาจบอกวิธีรับมือกับแก้วให้คุณก็ได้นะคะ”   

                   เมื่อคุณหมอมีข้อแลกเปลี่ยนที่ดูเข้าท่า มีหรือคนอย่างโจนาธารจะปล่อยให้ข้อแลกเปลี่ยนนี้หลุดมือ

                  “ถ้าถามว่ารู้จักนานหรือยังก็คงจะหลายปีอยู่ แต่เพิ่งเคยเจอแล้วก็คุยกันจริงๆก็หนึ่งวัน เพิ่งเจอกันเมื่อวาน”

                   ก็เขาตามสืบเรื่องของชิตรัตน์มาตั้งห้าปี การที่เขาจะรู้จักกับแก้วกล้าด้วยนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  แล้วเขาพูดอะไรผิดไปหรือไง ทำไมคุณหมอคนสวยต้องยกมือกุมขมับ อ้าปากค้างแบบนั้นด้วย

                   “อะไรนะ!!”
                    คุณหมอสาวที่ควานหาเสียงของตัวเองจนเจอก็ร้องเสียงหลงออกมาอย่างตกใจ

                   “เอาใหม่สิ เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณเพิ่งเจอกับแก้วแค่วันเดียว ใจเย็นๆ นะคุณ สูดหายใจเข้าลึกๆ โอเค ดีแล้ว  เอาใหม่ถามใหม่ คุณมาทำแบบนี้ทำไมเนี่ย”
                    ดูท่าแล้วไอ้ที่ให้ใจเย็นน่ะคงจะเป็นการบอกตัวเองไม่ใช่บอกเขาสินะ ธารคิด เพราะดูท่าแล้วคุณหมอตรงหน้าเขาท่าจะอาการหนัก

                   “แบบไหน แบบเมื่อกี้น่ะเหรอ ถ้าแบบเมื่อกี้นะ ผมบอกให้ก็ได้ว่าผมสนใจเขา อยากรู้จักให้มากกว่านี้”
                    ใช่ เขายอมรับว่าสนใจ แต่ไอ้จะให้บอกว่า รู้สึกชอบ ตั้งแต่เห็นหน้าก็กลัวจะโดนคุณหมอแซวเอา ไม่ได้ๆ เสียฟอร์มหมด

                     “ถ้าคุณแค่ สนใจ ฉันว่าคุณควรหยุดซะเถอะค่ะ” พลอยรัมภาว่าเสียงเครียด

                     “เพราะอะไรเหรอครับคุณหมอ ถ้าบอกเหตุผลดีๆ ให้ผมได้ ผมอาจหยุดก็ได้นะ”

                      หนุ่มลูกครึ่งว่าเสียงยียวนซึ่งนั่นทำให้คุณหมอพลอยรัมภาเลือกที่จะเงียบไม่ตอบหรือหาเหตุผลอะไรไปให้คนตรงหน้าอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ เธอแค่กำลังประเมินสถานการณ์ เพราะตัวเธอเองก็เห็นแก้วกล้าเหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่ง และอีกอย่างเธอสัญญากับแทนไทเอาไว้แล้วว่า เธอจะเป็นคนดูแลคนรักของเพื่อนเอง ดังนั้นถ้ามีใครเข้ามาในชีวิตของแก้วกล้าแล้วล่ะก็ ต้องผ่านเธอไปให้ได้ซะก่อน

            “คุณคิดจะจริงจังกับแก้วเขามากแค่ไหนกัน”   

             สุดท้ายเมื่อไม่เห็นว่าจะหาเหตุผลอะไรได้ เธอจึงเลือกตั้งคำถามเอาซะดีกว่า ซึ่งชายหนุ่มเองก็เปลี่ยนท่าทางเหมือนเล่นในตอนแรกที่คุยเป็นจริงจังจนเธอรู้สึกได้

                “มาก มากที่ผู้ชายคนหนึ่งจะสนใจในตัวของใครได้”

                 “แล้วคุณรับได้เหรอ แก้วน่ะท้องอยู่นะ เขาไม่ได้เป็นของคุณคนแรก คุณรับได้เหรอ”

                 “คุณหมอ ถ้าคุณชอบหรือรักใครน่ะ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร คุณจะรับเขาได้เสมอ แก้วน่ะถึงผมจะเพื่งเจอเขาแค่วันเดียว แต่ผมเชื่อว่านี้ล่ะคนที่ผมตามหา และต่อให้เขามีสามีมาแล้วแปดคนหรือมีลูกมาอีกเป็นโหลผมก็รับได้”

                 ธารเอ่ยอย่างจริงจังตามที่เขาต้องรู้สึก เพราะถ้าเป็นคนที่เขาเลือกแล้ว ต่อให้อีกคนเป็นเช่นไร เขาก็จะยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นให้ได้ อย่างแก้วกล้าเองก็เหมือนกัน ถึงจะกำลังท้องแล้วอย่างไรล่ะ สามีก็ไม่มีแล้วไม่ใช่หรือไง เพราะงั้นเขาก็มีสิทธิสิถูกไหม เขารับได้ทุกอย่างแหละ

                  จากคำพูดและแววตาที่ดูจริงจังของคนตรงหน้า คุณหมอพลอยรัมภาก็ค่อยๆ ยิ้มออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ ผ่าน คนคนนี้ผ่านด่านเธอ ถามว่าทำไมถึงง่ายนักเธอเองก็ตอบไม่ได้หรอก แต่สำหรับเธอแล้วแววตาจริงจังในตอนที่ตอบคำถามของเธอน่ะ เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้โกหก บางทีผู้ชายคนนี้อาจเข้ามาดูแลแก้วกล้าต่อจากเพื่อนเธอได้จริงๆ

                  “ได้ยินคุณพูดแบบนี้ฉันก็ดีใจค่ะ  คุณชื่ออะไรเหรอคะ แล้วคุณน่ะรู้อะไรเกี่ยวกับแก้วเขามั่งล่ะคะ”

                  “ผมชื่อโจนาธาร คุณหมอเรียกว่า ธาร เฉยๆ ก็ได้เรื่องของแก้วนะเหรอ ผมรู้แค่ว่า แก้วทำงานเป็นเลขาของคุณชิตรัตน์ เจ้าของบริษัทนพเทพ เขากำลังท้องหกเดือน มีแฟนแต่ยังไม่ได้จดทะเบียน แฟนชื่อ แทนไท เสียชีวิตแล้ว แค่นี้พอไหมครับสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันหนึ่งวัน” 

                   ธารบอกไปแค่บางส่วนที่เขารู้ ไอ้การจะให้เขาบอกประวัติทั้งหมดของแก้วที่เขาเพิ่งได้มาจากไรอัลเมื่อเช้าให้คนตรงหน้าฟังหมดน่ะ เขาก็โดนหาว่าเป็นพวกโรคจิตไม่ก็สโตกเกอร์กันพอดี

                   “พอค่ะ แต่ออกจะเกินไปสักหน่อยนะคะ” หล่อนหัวเราะออกมากับข้อมูลที่อีกฝ่ายบอก ถือว่าคนตรงหน้าก็ทำการบ้านเหมือนกันนะ แถมรู้เยอะขนาดนี้คงจะจริงจังน่าดู

                    “ฉันดีใจนะที่จะมีคนมาดูแลเด็กคนนั้นต่อจากเพื่อนฉัน  เพราะตั้งแต่ไทเสียไปเด็กคนนั้นก็ต้องอยู่คนเดียวแถมยังท้องแบบนี้อีก  พ่อแม่ก็เสียไปหมดแล้ว เหลือก็แค่ลุงกับป้า แก้วเป็นพวกมีอะไรไม่ค่อยบอกด้วย ฉันเองมีงานยุ่งไม่ค่อยได้ดูแลเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณพูดมาแบบนั้นฉันจะวางใจค่ะ ยังไงก็ฝากแก้วด้วยนะคะ”

                     หมอพลอยรัมภาพูดในสิ่งที่ตนคิดให้ชายหนุ่มฟัง อย่างน้อยๆ มีคนค่อยอยู่ด้วยเวลามีปัญหาอะไรแก้วก็จะได้ไม่เป็นไร   และเมื่อหมดธุระแล้วธารจึงขอตัวไปหาคนที่รออยู่ข้างนอก แต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูออกไป เสียงคุณหมอสาวก็เรียกเขาอีกครั้ง

                     “คุณธารคะ  แก้วไม่ชอบให้ใครที่ไม่สนิทโดนตัวถ้าไม่จำเป็น ยังไงถ้าไม่อยากให้แก้วขู่เป็นแมวใส่บ่อยๆ ก็เนียนๆ หน่อยนะคะ หึหึหึ”

                       ชายหนุ่มค้อมหัวขอบคุณสำหรับคำแนะนำเมื่อครู่จึงเดินออกจากห้องไปก็เจอคนที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่นั่งหน้าหงิกอยู่บนเก้าอี้

                       “คุณคุยอะไรกับพี่หมอ”

                       “ทำไมครับ หึงผมแล้วเหรอ”

                        แก้วกล้าสะบัดหน้าหนีคำแซวของอีกฝ่ายก่อนจะเดินนำคนตัวโตไปยังช่องรับบัตรนัดของเดือนหน้าและรอจะจ่ายเงินแต่ก็ถูกอีกฝ่ายชิงตัดหน้าไปก่อน แถมถูกอีกฝ่ายลากกลับมาที่รถอีกครั้ง

                        “นี่คุณไม่มีการมีงานทำหรือไงถึงได้มาตามติดผมเป็นเจ้ากรรมนายเวรแบบนี้เนี่ย”

                        “มีแต่ไม่ทำ”  แก้วกล้ากรอกตาไปมาอย่างระอาใจกับคำตอบซึ่งดูขาดความรับผิดชอบของคนด้านข้าง จนเขาต้องนั่งสะกดจิตตัวเองให้ทำใจเย็นๆ จะได้ไม่ต้องเผลอไปถวายสองขาคู่ให้อีกคน

                         “จริงสิ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วแก้วหิวยัง”   

                         “ผมไม่หิว ผมจะกลับบ้าน”

                         “ได้ยังไงกันล่ะแก้ว คุณไม่หิวแต่ลูกเราหิวนะ”

                          คำว่า ‘ลูกเรา’ ที่ออกมาจากปากของธารมันช่างรู้สึกระคายหูของแก้วกล้าเป็นอย่างมาก จนอยากจะออกปากเถียงเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ท้องเจ้ากรรมก็ดันไม่ให้ความร่วมมือ ดันร้องออกมาไม่เกรงใจเขาเลย

                         “ไหนว่าไม่หิวไง เอาน่ามื้อนี้ผมเลี้ยงเอง ไม่ต้องเกรงใจนะ”

                          ธารยิ้มขำกับท่าทีของอีกคน ก่อนจะขับพาว่าที่คุณแม่ไปเรื่อยๆ จนถึงร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่งตามรายงานที่เขาได้มาจากไรอัล ว่าร้านแห่งนี้เป็นร้านประจำของเจ้าตัว จึงมักจะแวะเวียนมาที่นี้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ถ้าจะถามว่าชอบกินขนาดไหนน่ะเหรอ ก็คงต้องบอกว่ามากเลยล่ะ ไม่เชื่อก็ดูเอาสิ นี่ขนาดยังไม่ทันจะได้จอดรถเลยนะ ตากลมๆ นั่นก็โตเป็นเด็กได้ของถูกใจซะแล้ว

                          น่ารักจริงๆ เลย ว่าที่เมียใครเนี่ย

                          บรรยากาศภายในร้านที่เป็นแบบโมเดิร์นผสมกับการตกแต่งแบบญี่ปุ่นดูเรียบง่ายแต่แฝงความโดดเด่นเฉพาะตัวเอาไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งธารเองก็แอบรู้สึกพอใจกับการจัดร้านเช่นนี้อยู่พอควรและเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดูถูกอกถูกใจร้านนี้เป็นพิเศษ

                           ธารเลือกที่นั่งแบบครอบครัวด้านในของร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว แม้ตอนนี้คนจะยังไม่เยอะมาก แต่เท่าที่เขาคะเนเอาไว้แล้วอีกไม่นานคนคงจะเริ่มทะยอมมากัน

                            พอได้ที่นั่งเรียบร้อยบริกรชายก็เดินเข้ามาพร้อมสมุดรายการอาหารพร้อมทักทายแก้วกล้าบางเล็กน้อยตามประสาคนคุ้นหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองกลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้าเอาแต่คุยกับเด็กหนุ่มอายุน้อยคนนั้นอย่างสนิทสนม เขาเลยจัดการเรียกเด็กนั่นเข้ามาสั่งอาหารเพื่อเป็นการไล่แมลงออกจากดอกไม้หอมของเขาไปไวๆ

                            ระหว่างที่รออาหารมา แก้วกล้าลอบมองท่าทีของคนตัวโตอยู่หลายครั้งก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่มันค้างคาใจเขามาตั้งแต่เมื่อวานออกมา

                            “คุณต้องการอะไรถึงทำแบบนี้”

                            “หืออ นี่น่ะเหรอ ก็ตามจีบเธอไง ดูไม่ออกเหรอครับคุณแก้วกล้า”

                            ธารส่งยิ้มหวานตอบกลับไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าเขารู้สึกอะไรมากไปกว่าการตีหน้ายุ่งกว่าเดิม พร้อมรีบถามคำถามใหม่ที่มันชัดเจนกว่าเดิม

                           “ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ผมหมายถึงที่คุณเข้ามาร่วมธุรกิจกับคุณชินต่างหากเล่า” 

                            “คุณหมายถึงอะไร”  ธารแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่รู้ถึงคำถามที่คนตัวเล็กถามมาพร้อมทั้งยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเหมือนไม่มีอะไร

                             “ คุณอย่าคิดว่าผมดูไม่ออกนะ  คุณมีแผนอะไรถึงเข้าหาคุณชินฮะ!!”

                            “คนท้องนี่คิดมากอย่างนี้ทุกคนเลยหรือไง”    เพราะไม่อยากตอบคำถามของคนตัวเล็กธารเลยเลือกที่จะถามกลับบ้าง

                             “แววตาของคุณมันบอก มันบอกว่าคุณกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณคิดจะทำอะไร  แต่คุณชินเป็นเจ้านายผมถ้าคุณคิดไม่ดีล่ะก็ผมไม่ปล่อยคุณไว้เหมือนกัน”

                               ธารหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ตัวเท่าลูกแมว อ้อไม่สิ ต้องแม่แมวถึงจะถูกแถมกำลังท้องอยู่ด้วย ตัวแค่นี้อะนะจะมาสู้กับผู้ชายตัวโตเป็นหมีอย่างเขา

                               “ดูคุณเลขาจะเป็นห่วงเจ้านายเหลือเกินนะ”

                              “ก็แน่สิ เพราะถ้าคุณทำอะไรเจ้านายผมแล้วใครจะจ่ายเงินเดือนผมล่ะ ผมต้องกินต้องใช้นะ”

                              สิ้นคำตอบของแม่แมวตัวน้อย ธารมองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆก่อนสมองจะประมวลผลแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อายว่าใครจะมองหรอเปล่า ทำไงได้ล่ะ ก็มันจี้อะ อะไรจะตรงปานนั้น นี่ถ้านายชิตรัตน์มาได้ยินถึงความสำคัญของตัวเองที่มีต่อเลขาคนสวย ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะทำหน้าอย่างไร แถมคนตรงหน้ายังทำหน้างงใส่เขาอีกประมาณว่าเจ้าตัวพูดอะไรผิด

                            โอ๊ย  อย่ามาทำให้ชอบมากกว่านี้เลยจริงๆ
 


                แต่ก่อนที่ธารจะได้ขำจนกรามค้างจริงๆ พนักงานก็เอาอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟพอดีทำให้การสนทนาครั้งนี้จบลงแม้ คนตัวโตจะเผลอขำออกมาเป็นระยะๆ บ้างก็ตาม   และเมื่อกินอาหารเสร็จเรียบร้อยคนตัวโตจึงอาสาตัวเองไปส่งอีกฝ่ายอย่างไม่ฟังคำทัดทานอะไร ซึ่งคนตัวเล็กเริ่มที่จะปลงบ้างแล้วล่ะ แต่ก็ไม่วายต้องปวดหัวอีก เมื่ออยู่ๆ คนที่บอกว่าจะมาส่งดันลงจากรถแล้วตามเขาเข้ามาในลิฟต์ด้วยซะอย่างนั้น

                   “นี่คุณจะตามผมมาทำไมเนี่ย กลับไปได้แล้ว”

                   “ใจร้ายจังนะ ผมมารับคุณไปหาหมอแถมพาไปเลี้ยงข้าวแถมยังมาส่งอีกจะไม่ให้ผมขึ้นไปดื่มน้ำให้ชื่นใจหน่อยเหรอ ไหนคุณแม่ผมท่านบอกว่าคนไทยมีน้ำใจไง แค่นี้ก็ไม่ได้”

                   คนตัวเล็กอยากจะพูดออกไปมากเลยว่า ไม่ได้ขอ แต่ทำไงได้ล่ะตามมาขนาดนี้แล้วก็ต้องหาน้ำให้ดื่มอย่างที่อีกฝ่ายต้องการเดี๋ยวจะหาว่าเขาแล้งน้ำใจ  เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจึงเห็นส่วนทางเดิน เจ้าของห้องชุดเดินไปเปิดประตูให้คนที่คิดว่าตัวเองเป็นแขกได้เข้ามา  ภายในห้องชุดสองชั้นซึ่งคนตัวเล็กอาศัยอยู่ถือว่าราคาแพงถ้าเทียบกับเงินเดือนของคนที่มีตำแหน่งเป็นแค่เลขา

                   “ห้องนี้เป็นของคุณลุงน่ะ ท่านไม่ค่อยอยู่เลยยกห้องนี้ให้ผม คุณนั่งรอก่อนแล้วกันเดี๋ยวจะเอาน้ำเย็นชื่นใจมาให้”

                   เหมือนคนตัวเล็กจะคิดว่าอีกฝ่ายต้องถามแน่เลยชิงพูดดักไว้ก่อนจะกระแทกเสียงจิกกัดในตอนท้าย แต่ถึงเขาไม่บอกคนตัวโตก็รู้อยู่แล้วละ  ลุงกับป้าของคนตัวเล็กน่ะเป็นถึงผู้พิพากษากับส.ส.ท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในจังหวัดแห่งหนึ่ง เรื่องเงินเดือนคงไม่ต้องพูดถึงหรอก

                 “เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยโทรศัพท์หน่อยนะ”

                   ธารเอ่ยกับเจ้าของห้องที่ทำเพียงชี้ไปที่นอกระเบียงก่อนเดินไปยังสระน้ำเล็กๆ ที่อยู่ด้านนอกระเบียง เพื่อโทรศัพท์หาไรอัล ถามเรื่องงานที่บริษัทว่ามีอะไรที่เขาต้องเซ็นหรือไม่พร้อมบอกว่าเดี๋ยวตอนเย็นจะเข้าไป เพราะถ้าไม่เข้าไปไรอัลจะกลับบ้านอย่างไร ในเมื่อเขาเอาไรอัลไปปล่อยทิ้งไว้ที่บริษัทแล้วตีรถกลับมาเสนอหน้าหาคนตัวเล็กตั้งแต่เช้า รับรองได้เลยว่าเขาต้องโดนเจ้าตัวงอนแน่นอนแถมอาจยังต้องนั่งฟังเสียงบ่นจากเจ้าตัวอีกด้วยแต่จากที่ฟังน้ำเสียงแล้วท่าทางเขาจะโดนงอนไปแล้วจริงๆ สินะ สงสัยงานนี้ต้องซื้ออะไรไปง้อซะหน่อยแล้ว 

                     หลังจากว่างสายจากไรอัลเรียบร้อย เขาต่อสายหาปีแอร์ต่อทันทีที่เพื่อถามถึงน้องเกลสุดที่รัก และได้คำตอบว่าน้องน้อยของเขากำลังนอนกลางวันอยู่ ซึ่งวันนี้เจ้าตัวไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษนอกจากอ่านหนังสืออยู่ในห้อง นั่งดูซีรีส์กับปีแอร์ ซึ่งถ้าให้เขาเดา เจ้าหมอสติเพี้ยนคนนี้แหละที่เป็นคนอยากดูเลยให้น้องชายเขาดูเป็นเพื่อนเขาล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไรอัลยอมตกลงปลงใจกับเจ้าเด็กนี่ได้อย่างไร

                เมื่อไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้วธารจึงเดินกลับไปที่โซฟาเหมือนเดิม จะต่างออกไปหน่อยก็ตรงเจ้าของห้องกลับนั่งหลับแทนที่เขาไปซะแล้ว ชายหนุ่มทำเพียงนั่งลงบนโซฟาข้างๆ คนตัวเล็กเบาๆ เพราะกลัวคนหลับจะตื่น ก่อนค่อยๆ ขยับให้อีกคนมานอนหนุนตักเขาดีๆ โชคดีว่าโซฟาห้องนี้เป็นแบบใหญ่เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเลยว่าถ้าต้องนอนแล้วจะกลิ้งตกลงไป

                “นั่งหลับแบบนี้ก็ปวดหลังหมดสิ”

                ธารว่าเบาๆ ตามที่ตัวเองคิดก่อนจะนั่งมองหน้าคนหลับบนตักเขาแล้วเอื้อมมือไปลูบหน้าท้องนูนของคนตัวเล็กเบาๆ

                “เรื่องของฉันเธอยังไม่ต้องรู้ตอนนี้หรอก  แม่แมวน้อย”

                    ___________________________________________________________


พักเบรกชีวิตครอบครัวกันสักครู่แล้วมาจอยกับความหน้ามึนของคุณพี่ชายกันก่อนสักเล็กน้อย
ตอนหน้า จะเป็นการพบกันของ ของ ของ   .......
ของใครดีหน่า???

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 5- 28-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-12-2016 21:34:31
ดูเป็นผู้ชายใจกว้างและอบอุ่นมากกกกกกเลยค่ะ แต่อย่าทำให้เขาโกรธนะไม่งั้นคงจะเหมือนกับที่ชินกำลังโดนแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 6- 30-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 30-12-2016 20:40:54

ฝนหยดที่ 6




              ความสุขเกิดขึ้นได้ตลอดเวลานี่คงเป็นเรื่องจริงสินะ เพราะตลอดช่วงเวลาตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาของเกรซ หากจะบอกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขก็คงจะได้เพราะเวลาแค่เพียงเท่านี้มันทำให้หัวใจของเด็กชายอายุห้าปีได้เรียนรู้จักคำว่า ครอบครัว ว่าเป็นอย่างไร ครอบครัวที่มีกันทั้ง พ่อ แม่ และลูก


              ตอนกลางวันอยู่กับคุณพ่อ ได้คุยได้กินข้าวด้วยกันเหมือนปกติ เพิ่มเติมคือตอนกลางคืนก่อนนอนเขายังได้คุยกับคุณแม่ มีบอกฝันดีกันทุกคืนเลยด้วยนะ ไม่อยากจะอวด    ถึงแม้ว่าคนเป็นพ่อจะไม่ได้รับรู้ด้วยว่า ‘แม่’ ของเขากลับมาแล้วก็เถอะ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ว่าคุณพ่อเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่เป็นแบบนี้ แต่เด็กชายก็ไม่ได้โกรธอะไรบิดาตนเองเลยเพราะเขาคิดว่า ‘พ่อ’ ต้องมีเหตุผลที่ทำลงไป แต่ถ้าถามว่าเคืองไหม ขอตอบเลยมาก มาก ถึงมากที่สุด และการที่เขาไม่ยอมบอกนั้นก็คงจะเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยตามประสาเด็กของเขาล่ะมั้ง เพราะอย่างไรเขาก็รู้ดีว่าคุณพ่อออกตามหาคุณแม่ตลอด คุณพ่อยังรักและยังคอยเป็นห่วงคุณแม่อยู่ตลอด แต่คุณพ่อไม่ได้เรื่องเองนี่นะ ช่วยไม่ได้ ส่วนคุณย่าน่ะเหรอ ไม่เอาอะ ไม่อยากพูดถึง อาแก้วชอบพูดไว้ อะไรที่ไม่ดีไม่น่าจำก็ไม่ต้องเอามาใส่ใจ เพราะเขาไม่ชอบคุณย่า เวลาอยู่ด้วยแล้วมีแต่เรื่องไม่น่าจำเพราะงั้นไม่เอาไม่พูดถึง ไม่ดีๆ


               แต่เมื่อมีความสุขก็ต้องมีความอิจฉาจริงไหม? และคำว่า อิจฉา นี่ล่ะคือความรู้สึกที่เกรซได้เรียนรู้มัน ถามว่าอิจฉาใครก็คงไม่ถูก ต้องถามว่าอิจฉาอะไรมากกว่า เพราะจะให้เขาอิจฉาพี่ปีแอร์ก็คงไม่ใช่ เพราะรายนั้นน่ะสะพานไม้สักทองของเขาเชียวนะ หากไม่มีแล้วเขาจะได้คุยกับคุณแม่ทุกคืนแบบนี้เหรอ ถ้าจะให้บอกล่ะก็ได้อยู่หรอก ไอ้ที่เขาอิจฉาน่ะมันก็คือ ‘เจ้าเหมียวแมวผีเน็ตตี้’ เวลาเขาเปิด VDO Call กับคุณแม่ทีไรมันต้องโผล่มาออดอ้อนคุณแม่ให้อุ้มมันบางล่ะ ลูบหัวลูบหางให้มันบ้างล่ะ แถมยังมาจุ๊บคุณแม่เขาให้จุ๊บมันคืนอีก แถมยังมาทำลอยหน้าลอยตาใส่เขา มันน่านัก มันน่าเอาไปปล่อยวัดให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ


              “เน็ตตี้...ไม่เอาสิ อย่าบังกล้อง เกลมองไม่เห็นหน้าน้องเกรซนะ”


               นั่นไง มันเริ่มอีกแล้วเพราะว่าคุณแม่เปิดกล้องจากโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ที่พี่ปีแอร์บอกว่าพี่ชายของคุณแม่ลงทุนซื้อให้ใหม่เลย ไหนจะยังซื้อโทรศัพท์มือถือให้ใหม่ด้วย แหมดูท่าทางคุณลุงของเกรซนี่จะติดน้องมากเลย  ซึ่งไอ้แมวผีมันมักจะมานั่งบนเครื่อง คือตัวมันก็ใช่ว่าจะเล็กๆ นะเฮ้ย นั่งทีบังมิดเลย และสงสัยว่าพูดไปมันคงไม่ฟังเพราะสุดท้ายเขาเห็นว่าคุณแม่ต้องเอื้อมมาอุ้มมันไปวางไว้ที่ตักแทน  นั่นๆๆ มันยังมาทำลอยหน้าลอยตาใส่เขาอีก นี่ถ้าไม่ติดว่าภาพลักษณ์เด็กดีที่เขาอุตส่าห์สร้างให้คุณแม่ดูตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาจะเสียเปล่านะ จะด่าให้ลืมชื่อเลยไอ้แมวบ้า พอยุติเรื่องไอ้แมวผีจบเขาถึงได้คุยกับคุณแม่ต่ออีกนิดหน่อย พี่ชายของคุณแม่ก็จะเข้ามาเพื่อพาคุณแม่เข้านอน ซึ่งพลอยทำให้เขาได้เห็นหน้าคุณลุงไปด้วย ได้คุยกันบ้างเป็นบางครั้ง คุณลุงของเขาหน้าตาไม่ค่อยเหมือนคุณแม่เท่าไร นอกจากสีผมและสีตาแล้วไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย อาจเป็นเพราะคุณลุงออกไปทางคนต่างชาติมากกว่าคุณแม่ที่ยังพอเดาได้ว่าเป็นลูกครึ่ง   
     
         
                 “น้องเกลครับ ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้น้องเกรซต้องตื่นไปเรียนแต่เช้านะครับ”  ธารว่าพร้อมเข้ามานั่งข้างๆ เกลบนเตียงนอน


                 “ก็ได้ครับพี่ธาร”
                  แม้เจ้าตัวจะยู่หน้าไม่พอใจนิดๆ เหมือนทุกครั้ง แต่สุดท้ายเกลก็ยอมเอ่ยลาลูกชายตัวน้อยสำหรับคืนนี้แต่โดยดี


                “ฝันดีนะครับน้องเกรซ อย่าลืมเอาโทรศัพท์ไปคืนอาชาติด้วยนะครับ”


                “ครับ ฝันดีนะครับคุณแม่ คุณลุง”


               เด็กชายทำท่าตะเบะรับทราบแต่ก็ยังไม่กดปิดหน้าจอ เพราะเขาอยากมองดูภาพคุณแม่ตอนเข้านอน เพราะมันเป็นภาพน่ารักๆ ที่เขาจะได้เห็นคุณลุงตัวหมีของเขาจัดหมอนจัดท่านอนให้คุณแม่ แถมมีกดจูบไปที่ขมับของคุณแม่เบาๆ ให้คุณแม่เขาหอมแก้มกลับด้วย 


                น่ารักกกกก เขาก็อยากทำแบบนี้กับคุณแม่เหมือนกันนะ


              “นอนได้แล้วไอ้ลูกหมา”

                เสียงคุณลุงเอ็ดเบาๆ ก่อนหน้าจอจะดับลง เกรซจึงจัดการวางอุปกรณ์สื่อสารของอาชาติที่ตนมักจะยืมมาคุยกับคุณแม่ทุกคืนไว้ที่โต๊ะตรงหัวเตียงเพื่อรอเวลาที่อาชาติจะเดินเข้ามาดูความเรียบร้อยของตนก่อนเข้านอน  เด็กน้อยคว้าเจ้าตุ๊กตาหูยาวที่คุณแม่เคยให้ไว้ในครั้งแรกที่เจอกันเข้ามากอดพร้อมกับนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงก่อนจะนึกได้ว่าเขายังไม่เคยคุยกับคุณลุงเลยนี้น่า ถึงจะมีเห็นหน้ากันบ้างแต่คุณลุงก็ไม่เคยมองมาที่เขาตรงๆเลยสักครั้งมีแต่มองผ่านๆ  แต่ช่างมันเถอะเดี๋ยวก็คงได้มีโอกาสคุยกันเองนั้นแหละแต่ตอนนี้นอนดีกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า


..........................................

               ภายในห้องทำงานที่กิจวัตรประจำวันต่างๆ ก็ยังคงวนอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำไปมา แต่ดูท่าทางวันนี้จะมีบางอย่างที่ต่างออกไปเมื่อเลขาตัวเล็กของเขาเดินเข้ามาในห้องพร้อมเอกสารที่เขาต้องเซ็นกำกับอย่างเช่นทุกวัน แต่ที่ไม่ปกติคือสีหน้าบอกบุญไม่รับของอีกฝ่ายหลังจากได้รับเมล์จากหุ้นส่วนคนใหม่ของเขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ทำให้คนที่มองอยู่อย่างเขาได้แต่มองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจ


              “ไม่เอาน่าแก้ว ยังไงๆ เราก็ต้องร่วมธุรกิจกับเขา การไปกินข้าวด้วยกันมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่”   


              ชิตรัตน์พยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย แค่กินอาหารกับหุ้นส่วนของบริษัทใช่ว่าอีกคนจะไม่เคยเสียที่ไหนกัน แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่เป็นผลเพราะพูดจบรายนั้นหันขวับมามองเขาตาเขียวทันที


              “ผมเข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่คุณชินคุณก็รู้ว่าผมไม่ไว้ใจไอ้คุณธารนั่นนะ แล้วนี่อะไรชวนกินข้าวก็ชวนแค่คุณกับน้องเกรซสิ จะชวนผมไปทำไม มันจะใจดีเกินไปหน่อยไหม”


               “แล้วไม่ดีหรือไง”


                “ไม่ดี!!” ตอบทันควันจริงๆ ไม่มีคิดก่อนตอบด้วย


                 ชิตรัตน์ได้แต่กุมขมับกับท่าทีเหมือนแมวขู่ฟ่อๆ ของเลขาตัวเองอย่างหนักใจ ไม่รู้ว่าคุณธารไปเหยียบหางเลขาเขาเข้าตอนไหน รายนั้นถึงได้ออกตัวแรงเหลือเกินว่าไม่ชอบขี้หน้า


                 “ก็ผมไม่ไว้ใจเขานี่  คุณชินเชื่อแก้วนะ ผู้ชายคนนั้นเข้ามาเพื่อจะทำอะไรสักอย่างกับคุณชินแน่นอน แล้วถ้าเขาทำจริงๆ แก้วจะทำยังไง แก้วยังมีลูกต้องเลี้ยงนะถ้าไม่มีคุณชินใครจะจ่ายเงินเดือนแก้วล่ะ”


                  เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ตอนแรกเขาก็รู้สึกซาบซึ้งนะที่ลูกน้องเป็นห่วงเขาขนาดนี้ แต่ถ้าไม่มีไอ้ประโยคสุดท้ายเนี่ยจะดีมากเลย เพราะมันทำให้เขารู้แล้วว่าค่าของเขามันมีแค่จ่ายเงินเดือนสำหรับอีกฝ่าย ซาบซึ้งใจจนอยากลดเงินเดือนแล้วริบโบนัสคืนให้หมดจริงๆ


                 “มองผมแบบนั้นหมายความว่าไง นี่แก้วจริงจังนะ” แก้วกล้าหันกลับมาเหวี่ยงใส่เขาอีกครั้ง


                  “แต่ผมก็เป็นห่วงคุณจริงๆ นะคุณชิน”


                   “ถ้างั้นวันนี้เธอก็ไปด้วยกันสิ ถ้าเธอไปอย่างน้อยตาเกรซก็ยังมีเพื่อนคุยระหว่างที่ฉันคุยธุระนะ” เขาพูดขึ้นพร้อมปิดแฟ้มเอกสารอันสุดท้ายลง


                   “โน งานนี้แก้วขอผ่าน ถึงจะเป็นร้านที่แก้วอยากไปกินก็เถอะ แค่ครั้งนั้นก็พอแล้วที่แก้วจะร่วมโต๊ะกับผู้ชายเจ้าเล่ห์นั่น จนกว่าจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร แก้วจะไม่นั่งร่วมโต๊ะกับคุณธารแน่นอน”
เจ้าตัวกอดอกยื่นคำขาดเสียงแข็งแสดงเจตนาของตนอย่างชัดแจ้งจนชิตรัตน์เองก็จนใจที่จะเกลี่ยกล่อมอีกคน


                     “ตามใจนะ รู้อะไรก็บอกด้วยละกัน”


                      เพราะรบเร้าไปก็เท่านั้น เมื่อคนตัวเล็กพูดแบบนั้นเขาคงขัดไม่ได้หรอก  แต่การที่อีกฝ่ายเข้าหาเลขาเขานี่มันก็น่าคิดเหมือนกันนะ ว่าจุดประสงค์คือการเข้าหาแก้วผ่านทางเขา แต่ถ้าแก้วบอกว่าคุณธารเข้ามาเพราะมีจุดประสงค์เป็นตัวเขา เขาก็จะระวังตัว เพราะแก้วกล้าเป็นคนประเภทที่มองคนออกและถูกเสมอ คำพูดของคนตัวเล็กจึงเป็นอะไรที่เขามักจะทำตามประหนึ่งมีเลขาเป็นหมอดู ก็แบบทูอินวันไง ได้เลขาบวกหมอดูเก๋ๆ


                     “แล้วตาเกรซเมื่อไรจะมา ชาติไปรับนานแล้วนะ” 
                      ชิตรัตน์หันไปถามแก้วกล้าเมื่อหันไปมองนาฬิกา แล้วพบว่ามันเลยเวลาที่ลูกชายของตนจะต้องมาถึงได้แล้ว


                       “คงใกล้ถึงแล้วล่ะมั้งครับ เห็นว่าวันนี้มีกิจกรรมเล็กๆ ด้วยคงช้าหน่อย”

                       นอกจากตารางงานของคนพ่อแล้ว แก้วกล้ายังมีตารางเรียนและตารางกิจกรรมของคนลูกด้วย จนบางทีเขาก็คิดนะว่าทำงานคุ้มเงินเดือนไปไหม บางทีเขาน่าจะของขึ้นเงินเดือนเพิ่มจริงๆ


                      รอไม่นานประตูก็เปิดออกโดยมีเด็กชายในหัวข้อสนทนาเมื่อครู่เดินเข้ามา พร้อมกับผู้ชายวัยไม่เกินสามสิบใส่สูทดำถือของที่เจ้านายสั่งเข้ามาด้วย

                     “สวัสดีครับคุณพ่อ อาแก้ว”


                      เด็กชายเดินเข้ามากล่าวสวัสดีทุกคนในห้องก่อนจะวิ่งมานั่งข้างๆ อาแก้วคนสวยของตนที่นั่งอยู่บนโซฟา พร้อมทั้งเอามือมาลูบและคุยกับน้องในท้องนูนๆ ของอาแก้วเหมือนทุกวัน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องที่เขาไปเจอมาวันนี้ โดยมีอาแก้วคอยตอบแทนน้องในท้องเป็นระยะ


                    “เกรซ เดี๋ยวลูกเข้าไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยววันนี้เราจะไปกินข้าวกับหุ้นส่วนที่จะมาเปิดรีสอร์ตกับพ่อกัน ชาติเอาถุงเสื้อผ้าให้น้องด้วย”       
ชิตรัตน์เอ่ยกับลูกชาย พร้อมทั้งบอกพี่เลี้ยงของเด็กชายส่งของที่ตนให้หยิบติดมือมาแก่เด็กน้อยด้วย


                   “ผมต้องไปด้วยเหรอครับคุณพ่อ”


                   “ใช่ เพราะพ่อไม่รู้ว่าจะกลับดึกหรือเปล่า พ่อไม่อยากปล่อยเราให้กินข้าวคนเดียวด้วย”


                   เด็กชายพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำเล็กๆ ในห้องทำงานของบิดา  เกรซรู้ว่าคุณพ่อเป็นห่วง ไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงาเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน พ่อจะต้องกลับมากินข้าวกับเขาเสมอ ถึงบางครั้งจะกลับมาแค่นั่งกินข้าวกับเขาแค่นั้นก็ตาม


              “อ๊ะ โทรศัพท์อยู่กับอาชาติ แล้วอย่างนี้จะบอกคุณแม่ยังไงล่ะเนี่ย ไม่เป็นไรเดี๋ยวใกล้ถึงเวลาแล้วค่อยให้อาชาติเตือน”
              เกรซพึมพำเบาๆ ขณะกำลังถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ก่อนจะละความสนใจจากสิ่งนั้นไปเสียสนิท


...............................................................


                เมื่อใกล้ถึงเวลานัดหมาย ชิตรัตน์จึงให้ชาติขับรถไปส่งแก้วกล้าที่คอนโดก่อนจะเลยไปร้านอาหารที่ตนนัดกับธารไว้ แต่ไม่วายที่เด็กชายจะบ่นออกมาเพราะงานนี้ไม่มีอาแก้วคอยนั่งเป็นเพื่อนเวลาพ่อของเขาคุยงานนี่นะ แบบนี้ก็น่าเบื่อแย่สิ


                อาจเพราะมาก่อนเวลา ชิตรัตน์เลยพาลูกชายมานั่งรอที่โต๊ะซึ่งจองไว้ระหว่างรอแขกอีกคนที่ยังไม่มา โดยระหว่างรอชิตรัตน์ก็อธิบายรายละเอียดคร่าวๆ ให้ลูกชายตนฟังว่า คนที่จะมาเจอนั้นเป็นใครเกี่ยวข้องกับงานของตนอย่างไร และมีแผนธุรกิจร่วมกันอย่างไรบ้าง เพราะชายหนุ่มถือว่าเรื่องพวกนี้ ลูกชายของตนควรได้รับรู้ไว้ เพราะถึงจะเป็นเด็กแต่ต่อไปก็ต้องมาทำงานต่อจากเขา อย่างไรก็ควรรับรู้เรื่องพวกนี้บ้าง ถึงจะไม่หมดแต่ถ้าเป็นเรื่องงานหรือโครงการต่างๆ ของบริษัท เขามักจะเอามาพูดคุยกับลูกพร้อมทั้งถามความเห็นของลูกชายบ้าง เพราะเขาอยากให้ลูกมีส่วนร่วมกับงานของเขาทุกอย่าง ถึงจะเล็กน้อยก็ตาม ระหว่างที่กำลังอธิบายเรื่องราวให้ลูกชายฟังอยู่นั้นแขกที่ว่าก็มาถึงแล้วเช่นกัน


           “ผมว่าผมมาเร็วแล้วนะ คุณชินยังมาก่อนผมอีกนะครับ”


            เสียงของผู้มาใหม่ทำให้ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างอย่างตกใจ เกรซรีบหันหน้าไปมองยังต้นเสียงของผู้มาใหม่ ถึงจะไม่เคยเห็นหน้าตรงชัดๆ แต่ถ้าเป็นเสียงน่ะเขาจำได้ดีเลยล่ะ แต่ใครมันจะไปรู้ว่าคนที่จะมาร่วมธุรกิจกับพ่อเขาจะเป็น ‘คุณลุงธาร’  พี่ชายของคุณแม่ !!!


             “นี่ผมมาช้าไปหรือเปล่าครับเนี่ย”


             “ไม่หรอกครับ พวกผมมาก่อนเวลาเอง นั่งลงก่อนสิครับ”


              ชิตรัตน์เอ่ยกับอีกฝ่ายที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับคนติดตาม แต่ดูท่าทางแล้วจะไม่ค่อยสนใจเขาสักเท่าไร เพราะมัวแต่ส่งสายตาไปซ้ายทีไปขวาทีเหมือนกับกำลังหาใครอยู่ คงไม่ต้องให้เขาเดาก็พอรู้ได้อยู่แล้วว่า อีกฝ่ายกำลังมองหาใคร ถ้าไม่ใช่เลขาตัวเล็กของเขา


               “ถ้ามองหาแก้วล่ะก็ เขาไม่มาหรอกครับ ต้องขอโทษแทนด้วย”


               ชิตรัตน์ชิงพูดในสิ่งที่ธารอยากรู้ ซึ่งดูเหมือนว่าเจ้าตัวก็พอรู้อยู่บ้างแล้วว่าเลขาของเขาจะไม่มา เพราะธารทำเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น


               “ผมก็คิดอยู่แล้วล่ะครับว่าต้องไม่มา แต่ดูท่าคุณชินคงจะมีผู้ช่วยคนใหม่แล้วนี่ครับ”   


               ประโยคแรกธารดูเหมือนจะเป็นคำพึมพำซะมากกว่าการพูดกับชิตรัตน์ แต่ประโยคหลังคนตัวโตเอ่ยกับเด็กชายที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ชิตรัตน์แทน จนเขาต้องสะกิดแขนลูกชายให้เงยหน้าขึ้นพร้อมแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จัก


                “ นี่ลูกชายผมเองครับ ชื่อชาณรัก จะเรียกว่า เกรซ ก็ได้ครับ” 
                เมื่อโดนแนะนำแบบนั้น เจ้าของชื่อตัวน้อยก็จำยอมเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายพร้อมพนมมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า


               “ สะ สวัสดีครับ คุณลุง” ธารเมื่อได้เห็นหน้าเด็กชายชัดๆ ก็ยกยิ้มมุมปากพร้อมส่งซิกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเป็นการตอบรับมารยาทของเด็กชายเมื่อครู่


                   “สวัสดีครับหนุ่มน้อย เรียกลุงว่าลุงธารก็ได้นะ”


                   เกรซทำเพียงพยักหน้าตอบคุณลุงตรงหน้าก่อนหันไปสนใจบริกรหนุ่มที่นำอาหารมาเสิร์ฟ เขาทำเป็นสนใจอาหารตรงหน้าแทนการที่จะทำเป็นว่าสนใจผู้ใหญ่คุยกัน แต่อาจมีบางทีถ้าใครถามความเห็นเขาเขาก็จะตอบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองมากกว่าที่คุยกันในเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าวันศุกร์ที่จะถึงนี้พวกเขาจะไปดูที่ทางภาคใต้ซึ่งจะนำมาสร้างเป็นรีสอร์ต ส่วนที่พักจะเป็นบ้านของคุณลุงธาร การเดินทางจะเป็นการนั่งเครื่องไปแล้วคนของคุณลุงจะมารับที่สนามบิน  ซึ่งงานนี้คุณพ่อจะเอาเขาไปด้วย เขาก็ไม่ได้คิดว่าแย่อะไรดีซะอีกเขาจะได้ไปเที่ยวมั่ง


                 “แต่งานนี้ผมขอพาน้องชายผมไปด้วย คงไม่ว่าอะไรนะครับ”   

                 การที่ลุงธารพูดแบบนั้นทำเอาเด็กชายตาโตสุดๆ อย่างตกใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเจอคุณแม่นะ แต่ถ้าคุณแม่มาเจอคุณพ่อจะเป็นยังไง ถ้าคุณแม่ไม่โอเคกับการเจอคุณพ่อแล้วๆๆๆ

                “ไม่ว่าหรอกครับ แต่ผมไม่ทราบมาก่อนเลยนะครับว่าคุณธารมีน้องชายด้วย”  ชิตรัตน์เอ่ยขณะยกน้ำขึ้นจิบ


               “ครับ ผมมีน้องชายอยู่คนหนึ่งอายุน่าจะอ่อนกว่าเลขาของคุณซะหน่อยตอนนี้แกป่วยอยู่น่ะครับ ผมคิดว่าถ้าให้แกออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย แกน่าจะชอบ”


               ธารที่พูดเรื่องของน้องชายออกไป แต่ว่าสายตานั้นไม่ละออกไปจากใบหน้าของคู่สนทนาเลยสักนิด ซึ่งมันทำให้ชิตรัตน์เกิดอาการแปลกๆ ขึ้นมา เหมือนกับว่าตนกำลังโดนลองเชิงอยู่กลายๆ อย่างไรอย่างนั้น


                “ดูคุณจะรักน้องชายมากเลยนะครับ”


                “แน่อยู่แล้วล่ะครับ ผมมีน้องชายคนเดียวนี่นะ ถ้าใครมันมาทำให้น้องชายผมเจ็บ ผมจะเอามันคืนอย่างสาสมเลย ล่ะครับ”


               ชิตรัตน์ไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือไม่ ว่าคนตรงหน้าดูน่ากลัวขึ้นมาทั้งๆ ตลอดเวลาที่พูดธารก็ยิ้มอยู่ตลอด แต่น้ำเสียงกับแววตามันบอกว่า เขาไม่รอดแน่


               แต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ ไรอัลก็วิ่งเข้ามาหาเจ้านายของตน แล้วรีบกระซิบอะไรบางอย่างอย่างรีบร้อนจนอีกสองคนที่เหลือต้องหันไปมองอย่างสนใจ ธารที่ได้ฟังความจากคนสนิทก็ทำหน้าตกใจ ก่อนจะรีบขอตัวลุกออกไปอย่างรวดเร็ว


            “ผมขอโทษด้วยนะครับ พอดีที่บ้านเกิดปัญหาขึ้น ขอกลับก่อนนะครับ ขอโทษด้วยจริงๆ”  ว่าเสร็จร่างใหญ่โตของธารก็รีบวิ่งออกจากร้านไป ปล่อยให้สองคนพ่อลูกที่เหลือมองหน้ากันอย่างฉงนแล้วก็เรียกให้บริกรมาเช็คบิลก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะได้ฤกษ์ออกจากร้านกลับบ้านเหมือนกัน แต่เด็กชายนี่สิกลับรู้สึกว่าปัญหาที่คุณลุงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดหรอกนะ




 
                ทางด้านธารที่รีบกลับบ้านทันทีที่ได้รับแจ้งจากไรอัลว่าปีแอร์ติดต่อมาเพราะน้องชายคนเดียวของเขาอยู่ดีๆ ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่มีอาการแบบนี้มานานแล้ว เขากลัว กลัวว่าน้องจะเริ่มทำร้ายตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง  ทันทีที่เขากลับถึงบ้านชายหนุ่มรีบวิ่งไปยังห้องนอนของน้องชาย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เขาพบว่าน้องน้อยกำลังซุกอยู่กับอกคนสนิทของตนแล้วร้องไห้จนตัวสั่นให้อีกคนปลอบเบาๆ  ธารเดินเข้าไปหาเอามือแตะเบาๆ บนหัวของคนตัวเล็กกว่าจนอีกคนสะดุ้งเฮือกอย่างแรง แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็โผเขาซบกับอกของเขาแทน ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้คนสนิทของน้องชายเป็นเชิงให้ออกไปก่อน ซึ่งปีแอร์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย เดินออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้เจ้านายด้วย


                “น้องเกลครับ เป็นอะไรใครทำอะไรเราไหนบอกพี่สิ”  ธารลูบผมน้องชายเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยนพร้อมถามคนตัวบางที่สั่นไปตามแรงสะอื้น


                “ไม่โทรมา.....น้องเกรซไม่โทรมา ฮึก  น้องเกรซ ทิ้งเกล ฮึก เกลถูกทิ้งอีกแล้ว  ฮึก เชาเอาลูกของเกลไปอีกแล้ว  ฮือ”


                “ไม่จริงซะหน่อยเกล น้องเกรซเขาอาจติดธุระก็ได้ อาจออกไปกินข้าวกับพ่อแล้วยังไม่กลับเลยยังไม่ได้โทรหาเราไง”


                “จริง.. ฮึก  จริงนะครับ  พี่ธารไม่ได้โกหกเกลใช่ไหม”


                 “จริงสิครับ พี่ไม่เคยโกหกน้องเกลอยู่แล้ว พอแล้วไม่ร้องนะ ดูสิตาช้ำไปหมดแล้ว ไม่สวยเลย ปะเดี๋ยวพี่ไปล้างหน้านะ”


                   ธารปลอบน้องชายจนสงบได้ก็ค่อยๆ ช้อนตัวน้องชายขึ้นแล้วเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาก่อนจะพากลับมานอนที่เตียง จัดท่าให้น้องได้นอนสบายๆ ก่อนจะกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ข้างๆ จนน้องหลับไปอย่างง่ายดาย  ชายหนุ่มมองหน้าน้องน้อยของเขาพร้อมทั้งเอามือลูบเบาๆ ไปตามเส้นผมยาวปะบ่านั้นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของปีแอร์ที่เดินเข้ามา

                  “มีอะไร”


                “คือ คุณหนูเกรซโทรมาครับ”


                “บอกไปว่าเกลหลับไปแล้ว ค่อยโทรมาใหม่พรุ่งนี้”


                “แต่ว่า....”


                 ปีแอร์เห็นสายตาของเจ้านายที่ส่งมาให้จึงทำได้เพียงแค่รับคำ แต่ก่อนเขาจะออกไปจากห้อง เสียงเล็กของคนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ดังออกมาเบาๆ


                “คุย....เกลจะคุย ปืแอร์ส่งมือถือมา”


              ธารอยากจะพูดห้ามเพราะเห็นว่าน้องเขามีสภาพเหมือนจะทรุดลงอีก แต่เขาก็ไม่กล้าห้ามจึงปล่อยให้ปีแอร์ส่งมือถือให้เกล ส่วนตนนั่งอยู่ข้างๆ น้องชาย


                “น้องเกรซไปไหนมาเหรอครับ” เสียงที่ดังออกมาจากริมฝีปากบางๆ นั้นเบาบางมากเหมือนกำลังจะหมดแรง จนคนเป็นพี่อย่างเขาแทบอยากจะเอามาคุยแทนพร้อมกับสั่งสอนเด็กนั่นที่ไปไหนไม่บอก ปล่อยให้น้องเขาคิดอะไรไปต่างๆ นานา


                “เกรซออกไปกินข้าวกับคุณพ่อมาครับ ขอโทษที่ทำให้คุณแม่เป็นห่วงนะครับ”


                “แค่เกรซ ไม่ได้หนีแม่ไปไหน แค่นี้ก็พอแล้ว..ครับ”


                “ผมขอโทษจริงๆ นะครับ”


                 ทั้งคู่คุยกันต่ออีกนิดหน่อยก็ต้องวางสายเพราะสภาพของเกลดูอ่อนเพลียจากการร้องไห้อย่างหนัก พอวางสายได้ไม่นานเกลก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที อาจเพราะไม่มีเรื่องค้างคาใจอะไรแล้ว เกลเลยหลับได้อย่างสนิทใจ


                 ธารเห็นว่าเกลหลับไปแล้วจึงค่อยๆ ลุกออกมาเบาๆ ก่อนจะเรียกคนสนิททั้งสามของเกลกับไรอัลเข้าไปคุยในห้องทำงานของตน


                 “ครั้งนี้เกลมีอาการนานแค่ไหน”


                 “เกือบสามชั่วโมงครับ ปกติแล้วคุณหนูเกรซจะโทรมาช่วงสองทุ่ม แต่วันนี้แกโทรมาช้ากว่าปกติ” พลตอบ


                 “งั้นหรอ มีอาการแบบไหนมั่ง”


               “ตอนแรกก็กระวนกระวาย สักพักจึงเริ่มเหม่อแล้วก็เริ่มร้องไห้ ผมกับคนอื่นๆ พยายามปลอบ จนช่วงสามทุ่มที่มีอาการหนักกรีดร้องออกมา ผมจึงรีบโทรตามบอสมานี่ล่ะครับ”  ชายตอบพลางนึกไล่ลำดับเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่อาการแสดงออกมาไปด้วย


               “ผมตรวจชีพจรและความดันของเกลลี่แล้ว เกลลี่ปกติดีครับ แต่อาจมีความเครียดอ่อนๆ จากเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจ ผมว่าทางที่ดีเราควรจะรักษาเกลลี่ให้ตรงจุดไปเลยจะดีกว่า เผื่อว่าอาการของเกลลี่จะดีขึ้น”


                 พอได้ฟังอาการจากปากของปีแอร์ ธารก็อดเป็นห่วงน้องน้อยของตนเองไม่ได้ว่า ถ้าเขามาช้ากว่านี้อีกหน่อยน้องเขาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาคิดถูกแล้วล่ะถ้าสุดสัปดาห์นี้ เขาจะพาน้องไปพักเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และจะได้จัดการเรื่องอะไรที่มันคาราคาซังพวกนี้ให้จบเสียที


                    “พวกนายสามคนไปเตรียมของของพวกนายและเกลให้เรียบร้อย วันศุกร์เราจะลงใต้กันสักสามวันสองคืน”
 
___________________________________________________


สวัสดีวันปีใหม่ (ล่วงหน้า1วัน) คร้าาา !!!
วันหยุดยาวอย่างนี้เพื่อนๆไปเที่ยวไหนกันเอ๋ย??
ถ้าใครไปเที่ยวก็ขอให้เที่ยวให้สนุกเดินทางปลอดภัยนะคะ แต่ถ้าใครไม่ได้ไปเรามาจับมือกันอ่านนิยายกันเถอะ ^^

ปีใหม่นี้ก็ขอให้เพื่อนๆทุกคนพบเจอแต่สิ่งใหม่ๆที่ดีๆกันนะคะ

 :mew1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 6- 30-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 31-12-2016 02:12:57
ใกล้ได้เจอกันแล้วซินะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 6- 30-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 31-12-2016 19:19:07
นอกจาชินจะเสียใจ คุณย่าคงจะตะลึง ไงหล่ะคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 7- 2-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-01-2017 19:46:57

ฝนหยดที่ 7



                คล้อยหลังคนสนิททั้งสามของเกลเดินออกไป ไรอัลที่ยังอยู่ในห้องก็ค่อยๆก้าวเข้ามาตรงหน้าของธารด้วยสีหน้าดูเป็นกังวลจนเห็นได้ชัดและคงมีบางสิ่งอยากจะถามเขา ซึ่งธารเองก็พอรู้อยู่ว่าสิ่งที่ติดอยู่ในใจของคนตรงหน้าคือเรื่องอะไรเขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันไปสบตากับร่างตรงหน้าเชิงว่าให้พูดออกมา


               “นายคิดดีแล้วเหรอที่จะพาเกลไปด้วย”


               ไรอัลเปิดประเด็นขึ้นมาทันทีอย่างไม่อ้อมค้อมเพราะเขารู้ดีว่าคนตรงหน้านั้นรักน้องมาเพียงใด แต่การที่ชายหนุ่มทำแบบนี้มันอาจทำให้คนป่วยทรุดลงหรืออาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้ เขาจึงเริ่มไม่ค่อยจะมั่นใจแล้วว่าแผนของคนตรงหน้าจะดีเหมือนที่ตนคิดหรือไม่


                 “นายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เกลน่ะถึงจะดูบอบบางอ่อนแอยังไง แต่ฉันเป็นคนเลี้ยงเขามาเอง ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะว่าน้องฉันเป็นคนยังไง หรือนายจะปฏิเสธว่านายไม่รู้นิสัยจริงๆ ของเจ้าตัวเล็กน่ะ”   


                   ใช่ เขารู้ แต่เขาไม่แน่ใจน่ะสิว่ามันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าเท่านั้นเอง เพราะด้วยอะไรๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นทำให้ร่างโปร่งของไรอัลไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าของหัวข้อสนทนานี้จะรับมันไหว  ธารมองสีหน้าหนักใจของอีกฝ่าย ก็ไรอัลน่ะเป็นพวกคิดมากคิดเยอะ ยิ่งเป็นเรื่องของคนใกล้ตัวล่ะก็ยิ่งคิดเยอะกว่าปกติหลายเท่า ส่วนบางเรื่องถ้าเจ้าตัวไม่ชอบหรือไม่อยากยุ่งก็จะไม่คิดอะไรเลย ปล่อยผ่านไป จะเป็นจะตายช่างหัวมัน


                    “นายไม่ต้องคิดมากไปหรอกนะ เรื่องนี้ฉันรับรองได้เลยว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ถ้านายกังวลว่าเกลจะเจอกับผู้ชายคนนั้นล่ะก็ ฉันจะส่งเกลไปรอที่บ้านนั้นก่อนดีไหม”
     

                     ธารที่เห็นว่าคนตรงหน้าไม่ยอมคลายกังวลกับเรื่องที่คิดสักที ชายหนุ่มเลยเดินเข้าไปประคองใบหน้าขาวของคนคิดมาก แล้วเอ่ยข้อเสนอที่ตนคิดขึ้นซึ่งก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมเห็นด้วย โดยทำเพียงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะขอตัวกลับไปพักผ่อน  ส่วนธารอยู่เคลียร์เอกสารต่ออีกสักหน่อย จึงกลับไปที่ห้องเพื่อจะได้พักเช่นเดียวกัน


                     และนับว่าวันนี้เป็นโชคดีของธารที่เป็นเช้าวันหยุด ทำให้เขามีเวลามากพอที่จะนอนตื่นสายได้เหมือนมนุษย์เงินเดือนคนอื่นๆ ซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากงานมาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่สำหรับเขาแล้วคงจะพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไรว่าทั้งสัปดาห์เพราะอันที่จริงแล้ว เขาต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อเข้าไปอยู่ในเป็นเพื่อนเกลที่ห้องของเจ้าตัวหลังจากชายซึ่งมีหน้าที่สลับกับพลมานอนเป็นเพื่อนเกลเดินมาเคาะห้องของเขากลางดึก เมื่ออยู่ๆ น้องเขากลับมีอาการทรุดลงในช่วงกลางดึกโดยละเมอเพ้อขึ้นมาใครก็เอาไม่อยู่ ทำให้เขาต้องรับบทพี่ชายแสนดีคอยดูแลน้องทั้งคืนจนอาการค่อยๆ ดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติในช่วงรุ่งสาง


                      “น้องเกลครับ วันพุธที่จะถึงนี้เราจะลงใต้กันนะครับ”


                       ธารบอกน้องชายที่นั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กอยู่บนชิงช้ายาวในสวนหลังบ้านซึ่งเจ้าของชื่อทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาสบตาพี่ชายเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรอีกเหมือนกำลังรอฟังคำพูดต่อจากนี้ของพี่ชาย


                       “คือ น้องเกลจำเรื่องที่พี่เคยบอกว่า พี่เอาที่ดินในส่วนของพี่ไปเสนอให้เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการร่วมลงทุนได้ไหมครับ” เกลนึกตามก่อนจะพยักหน้ารับ


                “คือวันศุกร์นี้พี่จะพาเขาลงไปดูที่ดินที่ว่านั่น พี่เลยจะให้น้องลงไปรอพี่ที่นั่นก่อน เผื่อน้องไม่อยากนั่งเครื่องบินร่วมกับใคร เดี๋ยววันศุกร์พี่กับคนอื่นๆ จะตามลงไปนะครับ” 


                   เกลพยักหน้ารับพี่ชายก่อนที่ทั้งสองจะคุยเรื่องรายละเอียดต่างๆ อีกนิดหน่อยแล้ว พี่ธารก็ขอตัวออกไปทำธุระข้างนอก เกลปิดหนังสือในมือก่อนจะเรียกหมอหนุ่มซึ่งทำหน้าชื่นตาบานกับคำว่าทะเลให้มาช่วยพยุงตนที่กำลังอยู่ในช่วงหัดเดินเพื่อกลับเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อรู้สึกถึงไอแดดยามสายที่เริ่มส่องแรงขึ้นจนแสบผิว


...............................................................



              “นี่ๆๆ เกลลี่เอาชุดนี้ไปด้วยดีไหม ดูท่าจะใส่สบายนะ นี่ๆๆแล้วชุดนี้ล่ะเอาไปดีไหม เผื่อว่าเกลลี่อยากจะเล่นน้ำไง นี่ๆๆๆ..............”


               บางทีเขาน่าจะบอกกับปีแอร์ว่าไม่ต้องตื่นเต้นกับการไปทะเลในครั้งนี้มากก็ได้ เพราะขนาดเขาเองยังไม่ค่อยจะรู้สึกตื่นเต้นมากเสียเท่าไรเพราะมันยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวันในการจัดเตรียมเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ แต่ก็นะเขาเองไม่อยากจะขัดความสุขเล็กๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งสักเท่าไร เวลาที่เห็นหน้าตามีความสุขกับรอยยิ้มกว้างๆ เหมือนกับเด็กๆ แบบนั้น จะให้เขาขัดก็คงไม่ดี เลยต้องปล่อยเลยตามเลยไปซะแบบนี้ตลอด


                “แต่ว่านะ อยู่ๆ บอสจะให้เกลลี่ไปอยู่กับคนแปลกหน้าแบบนี้ บอสคิดอะไรอยู่กันแน่นะ”  ปีแอร์บ่นออกมาพลางจัดเสื้อผ้าของเขาลงกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมไปด้วย


                 “ไปถามพี่ธารสิ” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ


                 “โฮ่ เกลลี่ก็รู้ว่าบอสน่ะ ไม่มีทางบอกแน่ ขนาดดาร์ลิงสุดที่รักของปีแอร์ยังไม่ยอมพูดอะไรให้ฟังเลย” เจ้าตัวบ่น


                  “บางทีพี่ธารอาจมีเตรียมอะไรไว้รอเซอร์ไพรส์พวกเราอยู่หรือเปล่า”   ปีแอร์ตาโตกับคำพูดชวนลุ้นของเขา จนเบนเข็มความสนใจจากกองเสื้อผ้าตรงหน้ามาเป็นตัวเขาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงแทน


                      มองหน้าอีกคนนิ่งๆ ก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจโดยหันไปเกาคางให้เน็ตตี้แทน เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาไม่คิดจะตอบอะไรไป เดี๋ยวเด็กโข่งตรงหน้าก็กลับไปสนใจกับสิ่งของรอบๆ ตัวแทน ซึ่งมันก็จริงดังเขาว่า เมื่อได้ยินเสียงพึมพำเป็นภาษาบ้านเกิดของอีกฝ่าย อันที่จริงเขาไม่ได้จะปิดบังหรือว่าอะไรกับปีแอร์ แต่เพราะเขาเองยังไม่แน่ใจกับเรื่องที่เขาก็ได้รับรู้มาจากพลถึงเบื้อหลังการไปดูที่ดินในครั้งนี้ก็เท่านั้น เขาแค่ขอเวลาอีกสักพักให้แน่ใจก่อนว่า มันเป็นเรื่องจริงเพราะขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถรับมือกับเหตุการณ์เช่นนั้นได้จริงหรือเปล่า


                     เกลนอนคิดอะไรต่อไปเรื่อยๆ สลับกับหันมามองท่าทางดี๊ด๊ามีความสุขในโลกส่วนตัวของปีแอร์อยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเผลอหลับไป

...........................................................................
 


                คำนิยามของคำว่า ‘วันหยุด’ นั้นก็คือการที่เราจะได้หยุดพักผ่อนจากสิ่งตึงเครียดต่างๆ แต่สำหรับแก้วกล้าแล้ว คำนิยามที่ว่ากำลังจะสลายหายไปพร้อมกับการที่เขากลับมาจากซื้อของที่ซุปเปอร์ด้านล่างคอนโดแล้วพบว่าห้องของเขาโดนคนแปลกหน้าที่รู้จักดีเข้ามารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเขาพร้อมถือวิสาสะเข้ามานั่งบนโซฟายาวในห้องโดยที่เขายังไม่ทันได้อนุญาตซึ่งดูท่าทางของผู้ร้ายที่ลักลอบเข้าห้องของเขาจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย  ไหนใครบอกว่าคนอังกฤษเป็นผู้ดีไงแล้วทำไมไอ้ลูกครึ่งอังกฤษตรงหน้าเขามันถึงไม่มีมารยาท แล้วยังจะหันมามองด้วยสายตายียวนชวนถีบสองขาคู่นั่นอีก เห็นแล้วมันขึ้น!!


                  “ผมจะถามคุณอีกครั้งนะ ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วใครอนุญาตให้คุณเข้ามากัน” เขาถามอย่างไม่พอใจกับสิ่งที่คนตัวโตทำ ขณะวางของมากมายที่ไปซื้อมาลงกับเคาน์เตอร์หินอ่อนสีดำก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้บุกรุก


                   “ผมก็บอกแล้วไงว่าผมมาหาคุณ  เฮ้อ... ทำไมคุณถึงเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากแบบนี้กันนะ”


                    เขากอดอกอย่างไม่พอใจกับคำพูดที่ดูเหมือนว่าเขาเป็นฝ่ายผิดทั้งๆ คนที่ผิดมันเป็นอีกคนต่างหาก จริงสิ! แล้วนี่รปภ.ทำไมถึงยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาเสนอหน้าในห้องของเขาได้เนี่ย ถ้าเกิดข้าวของในห้องเขาหายขึ้นมาจะทำอย่างไร เสียชื่อคอนโดในเครือนพเทพหมด


                   “นี่คุณ”  เขาตวัดสายตาไปมองคนที่เรียกเขาอย่างไม่พอใจ

 
                   “เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก มานั่งนี่ดีกว่า” ไม่ว่าเปล่า ธารยังตบลงไปยังพื้นที่ว่างของโซฟาข้างๆ ตนสองสามทีเป็นเชิงเรียก


                   เขาล่ะอยากตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดเลยว่า นี่มันห้องของเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ แล้วอีกอย่างนะ เขาไม่ใช่อีหนูเด็กเสี่ยที่ไหนที่จะต้องมาเรียกกันด้วยวิธีแบบนี้  นี่ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เขาเองเริ่มจะปวดหลังขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมนั่งตามที่อีกคนเรียก ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะหยุดอยู่ห้องสบายๆ อ่านหนังสือสำหรับเตรียมรับมือกับเจ้าตัวเล็ก พอตอนเย็นก็ทำอาหารที่ชอบกินอย่างเป็นสุข แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเพราะไอ้แขกไม่ได้รับเชิญข้างๆ นี่


                  แต่ก่อนที่คนท้องจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปมากกว่านั้น เขาก็ต้องตกใจอีกครั้งที่อยู่ดีๆ แขกไม่ได้รับเชิญที่ว่าดันมาล้มตัวลงบนตักของเขาอย่างสบายอารมณ์เสียดื้อๆ


                 “นี่คุณ!! ลุกออกไปเลยนะ นี่มันหนักนะ ลุกออกไปสิ ลุกสิ โอ๊ะ!”  ธารที่ตอนแรกยังคงนอนยิ้มอย่างสบายใจ ไม่ทุกข์ร้อนกับแรงเท่าแมวของอีกคนซึ่งพยายามทั้งผลักทั้งดันตัวเขาให้ลุกขึ้นกลับต้องเด้งตัวขึ้นอย่างเร็วกับเรียงร้องดูเจ็บปวดไม่แพ้ใบหน้าที่แสดงออกมาให้เขาได้เห็น


                 “คุณ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า แก้วเป็นอะไรบอกฉันสิ”   
 

                  เขาว่าอย่างร้อนรนกับท่าทีของอีกคน แม้จะพยายามส่ายหน้าแล้วบอกกับเขาว่าตนไม่เป็นอะไร แต่การที่แก้วกล้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหลับตาหยีแถมมือก็ยังค่อยประคองท้องนูนโตนั้นเอาไว้ไม่ปล่อย ถ้ามองไม่ผิดเขาเห็นว่ามือเล็กๆ นั้นกดลงไปที่หน้าท้องด้วย


                  “แก้ว แก้วปวดท้องเหรอปวดมากไหม ปะ....”


                   เมื่อคิดว่าคนตัวเล็กปวดท้องธารจึงรีบถามไถ่พร้อมเอามือวางทับมือเล็กข้างนั้น แต่ก็ต้องชะงักรู้สาเหตุก่อนค่อยๆ ยิ้มออกมา เพราะที่คนตัวเล็กร้องออกมาไม่ใช่ว่าคนตัวเล็กปวดท้องหรืออะไร แต่เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ ในท้องนั้นต่างหากที่เป็นเหตุ


                “ลูกดิ้น แก้วลูกดิ้น” เขาร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมกับก้มลงเอาหูแนบกับหน้าท้องโต


                "ไงครับคนเก่ง ไหนทักทายแด๊ดดี้อีกทีสิ โอ๊ยย แก้วอย่าดึง”  ร่างสูงที่ตอนแรกดี๊ด๊ากับการทักทายของเจ้าหนูในท้องต้องร้องออกมา เมื่อถูกแม่ของเจ้าตัวเล็กในท้องดึงหูอย่าแรงให้ลุกขึ้น


                “ผมไม่แน่ใจว่าเราสนิทกันขนาดคุณจะมาเรียกชื่อผมอย่างนี้ได้นะ แล้วก็ไม่ต้องมาเนียนเลยใครลูกคุณ นี่ลูกของผมครับคุณโจนาธาร”
 เมื่อโดนแม่แมวขู่ใส่ขนาดนี้ เขาเองก็ได้แต่ทำท่ายอมแพ้ก่อนจะกลับไปนั่งดีๆ มองคนตัวเล็กอมยิ้มขณะลูบท้องไปด้วยเงียบๆ


                   “ผมว่าคุณบอกมาดีกว่าว่าคุณมาที่นี่ทำไม คงไม่ได้มาแค่กวนประสาทผมหรอกใช่ไหมครับ” 
หลังรู้สึกว่าตนเองถูกจ้องมองแก้วกล้าจึงหันไปพูดกับคนที่ทำตัวถ้ำมองเขาถึงจุดประสงค์แท้จริงของการมาที่นี้อย่างจริงจัง


                   “ผมแค่จะมาบอกคุณเรื่องที่วันศุกร์ที่จะถึงนี้ว่าผมจะพาพวกคุณไปดูที่ทำรีสอร์ตแห่งใหม่และผมหวังว่าคุณจะไปด้วย แต่ถ้าคุณจะไม่ไปผมก็เข้าใจ” 


                     การจะให้คนท้องโตเดินทางไกลแบบนี้มันก็คงไม่สะดวกเท่าไรอันนี้เขาเองก็พอเข้าใจถ้าจะถูกอีกฝ่ายปฏิเสธแม้ใจในเขาจะอยากกอดขาอ้อนวอนอยากให้ไปด้วยขนาดไหนก็ตาม


                        “ได้ ผมจะไป สามวันใช่ไหม ผมจะได้ลงในตารางไว้ แล้วเรื่องที่พัก การเดินทางล่ะว่ายังไง”
 แก้วกล้าตอบรับก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเอาสมุดโน้ตกับปากกาที่อยู่ใกล้ๆมารอจดรายละเอียดโดยไม่สนสีหน้าตกใจของคนตัวโตข้างๆ


                “อ้าวคุณ เงียบทำไมล่ะ ผมขอรายละเอียดด้วยสิ”


                “คุณยอมไปจริงๆ เหรอ” เสียงของอีกคนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเองกับอีแค่การที่เขายอมจะไปง่ายๆ แบบนี้มันน่าตกใจอะไรขนาดนั้นกัน เดี๋ยวพอไม่ไปก็ตื้อจนน่ารำคาญ พอไปก็ดูทำตัว ความพอดีของผู้ชายตรงหน้านี้มันมีบ้างไหมเนี่ย


                 “นี่คุณ ผมยอมไปแล้วคุณยังจะเอาอะไรอีก นี่มันงานนะ ผมแยกแยะออกหรอก” ใครมันจะบอกล่ะว่าที่ไปน่ะ เขาไปเพื่อจับผิดพฤติกรรมของอีกฝ่ายกัน งานนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ชายคนนี้มีแผนอะไรกันแน่ และเขานี่แหละจะเป็นคนขัดขวางทุกทางถ้าหากว่ามันจะส่งผลร้ายต่อเจ้านายของเขา


                       “แต่ผมดีใจนะที่แก้วจะไปด้วย”  แก้วกล้าไม่รู้เป็นอะไรพอได้ยินคำพูดนั้นแล้วหน้าเขาก็รู้สึกร้อนๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง


               “จะบอกได้หรือยัง เดี๋ยวผมก็เปลี่ยนใจซะเลยนี่ ลีลาอยู่ได้”


                “คร้าบบบบบ คุณเลขา” เขามองหน้าอีกคนอย่างเอือมระอา กว่าอีกคนจะง้างปากพูดเรื่องที่เขาต้องการก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน และกว่าจะแงะคนตัวโตให้ออกจากห้องเขาได้ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว


                “เดี๋ยววันศุกร์ฉันจะให้คนมารับนะ” ธารเอ่ยกับคนตัวเล็กที่อุตส่าห์มีน้ำใจเดินออกมาส่งเขาที่หน้าห้องแม้เขาเองจะบอกว่าไม่เป็นอะไรก็ตาม 


                “ผมรู้แล้วและผมก็บอกคุณหลายครั้งหลายรอบแล้วเหมือนกันว่าไม่ต้อง”   ธารหลุดขำกับอาการเหวี่ยงของคนตรงหน้า  ซึ่งเขาทำแค่ยกมือทำท่ายอมแพ้แล้วยอมกลับไปแต่โดยดีแต่ก็ไม่วายหันมาปล่อยระเบิดหนึ่งลูกให้คนท้องได้เขินเล่น


                 “ผมไปแล้วอย่ามั่วแต่คิดถึงผมจนไม่เป็นอันทำอะไรนะครับ ที่รัก”  ธารรีบวิ่งเข้าลิฟต์ทันทีเมื่อพูดเสร็จ เพื่อให้รอดพ้นจากเสียงบ่นของคนตัวเล็กที่เขาเพิ่งแหย่ไป  ทิ้งให้คนท้องหน้าเห่อร้อนเล่นอยู่คนเดียวตรงหน้าประตูห้องอย่างเสียไม่ได้


               “ไอ้หมีควาย”    แก้วกล้าสถบออกมาเบาๆ พร้อมกับเผลอยกยิ้มที่มุมปากนิดๆอย่างไม่รู้ตัว


                นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครมาทำอะไรแบบนี้กับเขา นานแค่ไหนกันแล้วที่เขาเผลอตัวเผลอใจไปกับบางสิ่งที่ดูแปลกใหม่จนเหมือนกำแพงในใจของตัวเองจะค่อยๆ พังลงเพราะมือของเขาเอง


                “จะผิดหรือเปล่าถ้าผมจะขอเริ่มชีวิตใหม่กับคนคนนี้”


                คำพูดของคนเพียงคนเดียวบนรถหรูภายในลานจอดรถของคอนโด พูดขึ้นกับรูปภาพใบเล็กในล็อกเก็ตแบบมีฝาเปิดปิด ในนั้นมีรูปหญิงสาวต่างชาติหน้าตาสะสวยขนาดเต็มตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมหันมาส่งยิ้มให้เขาที่มองดูอยู่


                “เขาเหมือนคุณ ไม่สิเขาไม่เหมือนคุณเลยต่างหาก แต่เขากลับทำให้ผมรู้สึกแบบเดียวกับคุณ ถ้าเป็นคนนี้ ผมมั่นใจว่าคุณกับลูกก็คงชอบเหมือนกับผม มาเรีย”


                เขายิ้มบางให้คนในรูปที่เหมือนว่าจะมีแค่หนึ่ง แต่ไม่ใช่ในเมื่อความจริงแล้วยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่ยังไม่ได้ลืมตาออกมาเป็นความสุขให้คนรออยู่ในท้องของผู้หญิงในรูปคนนี้


_________________________________________________

สวัสดีคร้าาาา
ปีเก่าผ่านไปแล้ว พอมานึกๆดูแล้วเวลาปีๆหนึ่งนี้ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันเนอะ เรื่องบางเรื่องยังไม่ทันจะได้ทำเป็นชิ้นเป็นอันเลย
แต่ไม่เป็นไร เรามาทำให้สำเร็จในปีนี้กันดีกว่า!!

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 7- 2-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 02-01-2017 20:53:48
พี่ธารรุกหนักแล้ว ขอให้เรื่องครอบครัวน้องเกลไม่กระทบกับความสัมพันธ์กับคุณแก้วนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 7- 2-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-01-2017 07:19:40
เวอร์ชั่นนี้พี่ธารเคยมีลูกเมียด้วยอ่ะ ชักอยากรู้แล้วซิว่าเป็นเพราะสาเหตุใดถึงได้เสียพวกเขาไป รอตอนต่อไปนะคั
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 7- 2-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 03-01-2017 16:58:50
รอจ้าาาา

ขอให้น้องเกลหายไวๆ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 7- 2-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 03-01-2017 17:49:19
  รออ่านชินกับเกลเจอกัน ลุ้นๆว่าสถานการ์ณจะเป็นไง
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 8- 4-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 04-01-2017 22:30:25

ฝนหยดที่ 8


                “สวัสดีครับ ผม ฌอง ปีแอร์ อายุ 2 8ปี สัญชาติอิตาลี เกิดและโตที่มิลาน ทำงานที่อังกฤษมา 4 ปี และตอนนี้ผมอยู่เมืองไทยครับ ส่วนข้างๆ ผม แท๊น แทนนนน เจ้านายผมเอง เกลลี่ น่ารักใช่ไหมล่ะ ส่วนนั่นพี่ชาย ส่วนคนขับพี่พล เอาหันมาหน่อยเร็ว อิอิอิ ตอนนี้นะครับพวกผมกำลังจะลงใต้ไปเที่ยวทะเลกัน เฮ้ย! ไม่ใช่ เราจะพาเกลลี่ไปพักผ่อนกันต่างหาก ส่วนตอนนี้นะครับเราอยู่ที่..........”

                เสียงดังกล่าวหาใช่การถ่ายรายการสารคดีเชิงท่องเที่ยวแต่อย่างใด แต่นี่คือการอัดคลิปวีดีโอส่วนตัวของเจ้าคนช่างจ้ออย่าง ‘ปีแอร์’ ที่กำลังถ่ายวีดีโอการเดินทางพร้อมทั้งบรรยายนู่นนี่ เสมือนว่าตนเองเป็นพิธีกรรายการนำเที่ยวของปีแอร์ที่มีการเรียกเอาผู้ร่วมรถทั้งสามเข้ากล้องด้วย อีกสองคนด้านหน้าก็ให้ความร่วมมือดีใช้ได้ ทั้งส่งเสียงทั้งเล่นกับกล้องแถมมีมาสคอตกิตติมศักดิ์อย่างเจ้าเหมียวเน็ตตี้คอยเกาะอยู่ตามไหล่มั่ง ปีนขึ้นหัวบ้างอย่างรู้ว่ากำลังออกกล้อง ทำให้เกลอดไม่ได้จะอมยิ้มขำกับบรรยากาศรอบตัว ก่อนจะหันหน้าออกไปมองข้างทางแทนการสนใจพิธีกรจำเป็นข้างๆ ที่พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอตลอดสองข้างทางตั้งแต่ออกจากบ้านจนถึงตอนนี้กับกล้องที่ถ่ายอยู่  ซึ่งตอนนี้พวกเขาเดินทางเขาสู่เขตจังหวัดที่เป็นจุดหมายแล้วหลังจากออกเดินทางจากบ้านมาตั้งแต่เช้ามืดเพราะต้องเผื่อเวลาสำหรับการลั้นลาของเจ้าหนุ่มตัวโตข้างๆ เขา จึงทำให้กว่าจะเข้าเขตจังหวัดก็เย็นพอดี  เกลมองดูบ้านเมืองอย่างตื่นตาแต่ก็มักจะหันกลับทุกครั้งเมื่อมีใครเผลอหันมาทางเขาที่อยู่บนรถ  ส่วนการกระทำของเจ้าพิธีกรจอมพูดมากนี้ มันดูผิดไปจากตอนก่อนออกจากบ้านอย่างลิบลับ

                ถามว่าต่างยังไงน่ะเหรอ จะอธิบายสั้นๆ เลยว่า ไอ้ท่าทีดี๊ด๊าจนออกนอกหน้านอกตาเนี่ยไม่มีปรากฏให้เห็นเลยตอนออกมา มีแต่ลูกหมากำลังจะโดนพรากจากอกเจ้าของที่เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายให้ได้

                “ไม่เอา ปีแอร์อยากให้ดาร์ลิงไปพร้อมปีแอร์”

                เสียงเจ้าคนติดเมียที่ดังขึ้นตั้งแต่เช้า และเป็นภาพที่ทำเอาคนมองดูรู้สึกเอือมระอาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะไรอัลที่ถูกกอดแน่นจนได้แต่กรอกตาไปมากับความเป็นเด็กของแฟนหนุ่ม

                “อีกสองวันเดี๋ยวจะตามลงไป นายมีหน้าที่ดูแลเกล ส่วนฉันมีหน้าที่ดูแลธารอย่างอแงให้มากนัก”

            เขาพยายามปรามเล็กน้อยเพื่อหวังว่าอีกคนจะเข้าใจหน้าที่ของตัวเองมากขึ้น แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผลเสียเท่าไรเมื่อเด็กโข่งตรงหน้าเงยหน้าที่ซุกอยู่กับไหล่ของเขาขึ้นมามองครู่หนึ่งก่อนจะตวัดสายตาไม่พอใจไปหาคนที่ถูกอ้างชื่อ

                “เพราะบอสนั่นแหละ ทำตัวไม่รู้จักโต ดาร์ลิงของปีแอร์เลยต้องคอยดูแล”

                ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักโต เขาล่ะอยากจะตะโกนใส่หูอีกคนให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ  แต่เพราะคำพูดของอีกคนกับท่าทีเหมือนโลกจะแตกของเขา กลับกลายเป็นเหมือนเรื่องตลกยามเช้าที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะของคนมองตามจุดต่างๆ ของบ้านได้อย่างดี

                นี่เขาเป็นถึงหัวหน้าการ์ดนะ ทำอะไรก็ไว้หน้ากันบ้างเถอะไอ้เด็กโข่ง ทำแบบนี้แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แค่นี้ก็แทบจะไม่มีใครเคารพเขาอยู่แล้วตั้งแต่รู้ว่าเขาโดนเด็กกินเนี่ย

                และคนที่กลายเป็นฮีโร่ช่วยกู้หน้าให้ไรอัลนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็ธารนั่นแหละที่แยกเขี้ยวใส่ปีแอร์ก่อนจะจับอีกฝ่ายโยนใส่รถไปเป็นคนแรก ข้อหารำคาญบวกกับทำให้คนอื่นเสียเวลาเดินทางมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จึงเป็นการยุติเรื่องแต่เพียงเท่านี้ แต่เมื่อมาดูตอนนี้ที่รถแล่นออกมาได้ไม่ถึงชั่วโมง ไอ้อาการจะเป็นจะตายเมื่อเช้านี้ก็หายไปหมด เหลือแต่ความดี๊ด๊าบ้าบอเกินคนอย่างที่เห็นจนพลยังอดไม่ได้ที่จะสั่งให้ชายแอบถ่ายพฤติกรรมลับหลังเมีย ส่งกลับไปให้น้องชายสุดที่ของตนอย่างไรอัลได้รู้

               “คุณเกลครับใกล้ถึงแล้วนะครับ”  ชายเอ่ยขึ้นขัดเสียงดี๊ด๊าของปีแอร์ที่ตอนนี้ปีนไปนั่งอยู่บนเบาะแถวหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                เกลพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับมานั่งมองวิวภูเขาทะเลและผู้คนจากทางหน้าต่างฝั่งเขาเองไปเรื่อยๆ จนรถจอนสนิทแล้วเขาจึงหันไปมองปีแอร์ที่เปิดประตูรถ แล้วถ่ายวีดีโอด้านหน้าบ้านอยู่สักครู่แล้วปิดกล้องลงก่อนจะหันกลับมาหาเขาที่ยังนั่งอยู่บนรถ           
                               
              “ถึงแล้วเกลลี่ ติดทะเลเลย”

                เกลยิ้มเบาๆ กับท่าทีตื่นเต้นของปีแอร์ที่เข้ามาพยุงเขาออกจากรถให้ไปนั่งที่วีลแชร์ที่พี่พลไปยกมาให้จากหลังรถ HYUNDAI H-1 พร้อมทั้งข้าวของของพวกเขาที่เริ่มทยอยเอาลงมา ร่างบางมองไปยังบ้านตรงหน้าอย่างคิดถึง

นานแล้วนะที่ไม่ได้มา

                บ้านทรงไทยประยุกต์สีขาวสองชั้นสามารถมองเห็นพื้นที่ที่จะสร้างรีสอร์ตได้ชัดเจนอีกทั้งยังติดกับทะเลอีกด้วยแบบนี้คงสมใจปีแอร์เขาเลยล่ะ เกลปล่อยให่ปีแอร์เดินถ่ายนู่นถ่ายนี่ทั้งในและรอบตัวบ้านส่วนตัว เขาให้พี่ชายพาเข้าไปรอในบ้านก่อนพร้อมเจ้าเน็ตตี้ ภายในบ้านดูไม่เปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้มาเสียเท่าไร อาจมีพวกของอำนวยความสะดวกสำหรับเขาเพิ่มเข้ามาแต่ถึงไม่มีของในบ้านทุกอย่างก็ครบทุกความต้องการอยู่แล้ว

                 สองห้องนอนล่างกับอีกสามห้องนอนบนพร้อมห้องอาบน้ำในตัวที่ได้รับการทำความสะอาดใหม่เรียบร้อยจากบริษัททำความสะอาดที่ธารมักจะโทรเรียกมาประจำ  ส่วนเรื่องอาหารก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะพี่ชายกับปีแอร์ไปซื้อจากซุปเปอร์ในห้างมาเตรียมไว้บางส่วนแล้วก่อนเข้ามาเรียบร้อยแล้ว

                 ห้องนอนด้านล่างถูกยกให้เป็นห้องส่วนตัวของเขาเพื่อสะดวกในการเข้าออกด้วยตัวเองถูกจัดแต่งใหม่เพื่อรองรับการอยู่อาศัยซึ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษโดยเฉพาะปุ่มกดขอความช่วยเหลือที่หัวเตียงที่ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้มาติดตั้ง  เขายิ้มให้กับความเอาใจใส่ของพี่ชายที่น่ารักของตนก่อนจะหันไปตามเสียงผ้าม่านที่ถูกเปิดออกจนสามารถมองเห็นวิวริมชายหาด

                “อากาศวันนี้ไม่ร้อนมาก ถ้าคุณเกลอยากออกไปนั่งเล่นข้างนอกก็บอกผมนะครับ ส่วนข้าวของของคุณพี่จัดเข้าตู้และในห้องน้ำให้หมดแล้ว”  เขายิ้มขอบคุณก่อนจะขอให้ชายช่วยพยุงไปนั่งที่เตียงเพราะตอนนี้เขาเองรู้สึกล้ากับการเดินทางไกลพอสมควรจึงอยากนอนพักและให้อีกคนได้พักเช่นกันซึ่งชายเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าการทิ้งท้ายว่าให้พักผ่อนได้เต็มทีเดี๋ยวตนจะเข้ามาเรียกเมื่อถึงมื้อเย็น

                แต่พอได้อยู่คนเดียวตามต้องการแล้วคนที่บอกว่าจะพักผ่อนกลับไม่ทำอย่างที่พูดถึงจะเห็นว่าคนตัวบางพิงกับหัวเตียงแล้วทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างแทน ที่บอกว่าไม่ทำตามน่ะไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นความคิดต่างหากที่ไม่ยอมพัก เพราะการมาทะเลมันทำให้เขาคิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน
 


               “พี่ชินพาเกลมาทะเลทำไมหรือครับ” 

               เสียงคลื่นทะเลยามเย็นในวันนั้นเขายังจำได้ดี โดยเฉพาะเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่อยู่ๆ ก็บุกมาที่บ้านแล้วพาเขามาที่นี้โดยไม่พูดไม่จาอะไร ปกติชิตรัตน์จะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งแต่ในยามนั้นเขาเห็นความประหม่าทั้งในสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน

               “พี่ชินครับ”

                ไม่ว่าเขาจะพยายามเรียกอีกฝ่ายอย่างไร ฝ่ายนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเสียงของเขาที่เอ่ยเรียกออกไปเลยสักนิดแถมยังดูเคร่งเครียดกว่าเดิมจนเขาเองไม่กล้าจะเรียกหรือทักอะไรออกไปมากกว่านั้น กระทั่งเขาเองก็อดรู้สึกไม่ดีไม่ได้และเริ่มทำตัวไม่ถูกคิดไปต่างๆ นานาว่า เขาทำอะไรไม่ดีหรือว่าอีกฝ่ายไปเจอเรื่องอะไรมา  แต่ก่อนที่ความคิดของเขาจะแตกแขนงไปต่างๆ นานาอยู่ๆ คนที่เงียบไปพักใหญ่ๆ กลับตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

              “เป็นแฟนกับพี่นะ!!”

                   !!!

                ประโยคที่ดังออกมจากคนตัวโตข้างๆ ทำเอาทั้งตกใจดีใจและอายมาก จะไม่ให้อายเลยก็คงไม่ได้หรอก เล่นพูดซะดังลั่นหาดขนาดนั้นแถมตอนนี้เพิ่งแค่ช่วงเย็นคนมาเล่นน้ำก็มาเยอะ แถมทุกคนยังหันมามองที่พวกเขาอีก คนบ้า แล้วนั่น! ลงไปคุกเข่าทำไมคนมองหมดแล้วเห็นไหม

                “พี่ชินทำอะไรน่ะ ลุกขึ้นคนมองหมดแล้ว”

            “ไม่จนกว่าเกลจะยอมคบกับพี่      นะได้โปรดเถอะคนดีพี่อยากดูแลเราให้มากกว่านี้ พี่สัญญาว่าจะรักและดูแลเกลคนเดียว จะไม่ให้อะไรมาทำให้คนดีของพี่ต้องเสียใจ ได้โปรดรับความรักจากหัวใจผู้ชายคนนี้ไว้จะได้ไหม เพราะมันเรียกร้องออกมาเสมอว่าอยากให้เด็กน้อยคนนี้เป็นคนดูแล พี่รักเกลนะ”

             ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้าอย่างไร แต่คำบอกรักของผู้ชายตรงหน้าทำเอาเขาหน้าร้อนไปหมด แถมยังจูบลงบนหลังมือทั้งสองข้างของเขาอีก ไหนจะเสียงเชียร์จากคนรอบข้าง ไหนจะสายตาที่รอคำตอบอย่างมีความหวังของรุ่นพี่หนุ่มที่เขาเองก็เผลอมีใจให้ แล้วแบบนี้จะให้เขาตอบอย่างไรได้ล่ะ นอกจากพยักหน้าตอบตกลงไป

                “อือ เกลก็รักพี่ชิน”

                สิ้นคำบอกรักของเขาคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าก็ฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีแล้วลุกขึ้นมากอดเขาแน่น พร้อมพึมพำบอกขอบคุณเขาท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจของคนรอบข้างที่มายืนเป็นสักขีพยานจำเป็นให้พวกเขากลางชายหาด ซึ่งเขาเองก็ทำแค่ซุกหน้าแดงๆ เอากับอกของอีกคนเท่านั้น  ก็มันเขินนี่นะ ทันทีที่กลับถึงกรุงเทพพี่ชินก็ให้เขาย้ายไปอยู่ด้วยกันที่คอนโด เราอยู่ด้วยกันสร้างเรื่องราวดีๆ ด้วยกันในช่วงเวลานั้น มันเป็นเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดอีกช่วงหนึ่งของชีวิต แต่เรื่องราวที่เหมือนว่าดีมันย่อมมีเรื่องร้ายอยู่ด้วย เพราะเรื่องที่ทะเลวันนั้นรู้เข้าถึงหูของ คุณหญิงโฉมฉวี นพเทพสวัสดิคุณ คุณแม่ของพี่ชิน ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็ไม่ต่างไปจากความนึกคิดของเขาเท่าไร

                 เพราะการมาเรียนที่ประเทศไทยในครั้งนั้นเขาเข้ามาในฐานะ ไนติงเกล ลักษณสกุล เด็กผู้ชายธรรมดาที่อาศัยอยู่คนเดียว เนื่องจากแม่เสียชีวิตโดยมีพ่อส่งค่าเลี้ยงดูให้ นี่คือข้อมูลปลอมที่แด๊ดดี้ของเขาให้คนช่วยปลอมมันขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาที่ยืนยันว่าจะอยู่ที่ประเทศไทยต่อหลังจากที่แม่ของเขากลับไปอยู่ที่อังกฤษ    และการเป็นลูกกำพร้าที่ฐานะทางบ้านอยู่ในระดับปานกลางมีหรือคนหัวสูงอย่างคุณหญิงโฉมฉวีจะยอมรับเขากัน

                 “แค่ไปเรียนต่อเองเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่เห็นเป็นไรเลย”

                  เขาพูดขึ้นขณะช่วยเก็บเสื้อผ้าบางส่วนของคนรักลงกระเป๋าเดินทาง่ใบใหญ่ที่นำออกมาเตรียมไว้เพื่อใช้ในการเดินทาง

                 “แต่พี่ไม่อยากไปพี่อยากอยู่กับเกล  ทำไมคุณแม่ถึงไม่เข้าใจนะ”

                    เขานั่งฟังคนรักระบายเรื่องราวต่างๆ ออกมามากมายเหมือนอัดอั้น ซึ่งเขาเข้าใจดีว่าเขาในตอนนี้อยู่ในสถานะอะไร เพราะเลือกจะมาอยู่ที่ไทยอย่างคนธรรมดา ไม่ใช่  ไนติงเกล แอล.ดี. เอลเมอร์ซี่  ลูกชายคนเล็กของตระกูลขุนนางเก่าแก่ของอังกฤษ เจ้าของธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศซึ่งเป็นที่ยอมรับระดับโลก  การที่แม่ของอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในเมื่อเป็นแบบนี้คงมีแต่ต้องรับมันให้ได้เท่านั้น คนตัวบางทำเพียงเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ แล้วประคองหน้าของคนรักเอาไว้

                    “พี่ก็รีบเรียนให้จบสิแล้วรีบกลับมาหาเกล เกลจะรอนะ”

                       “เกลอยากให้พี่ไปจริงๆ เหรอ”

                        “เกลเข้าใจ เพราะงั้นรีบกลับมาหาเกลนะ”


                       ถึงไม่อยากให้ไปแต่ก็คงห้ามอะไรไม่ได้เพราะฉะนั้นเลยต้องปล่อยไป ทั้งคู่มองหน้ากันพร้อมประทับริมฝีปากเข้าด้วยกันแลกเปลี่ยนความรักที่หวานซึ้งก่อนจากลา และไม่รู้เพราะอารมณ์พาไปหรืออะไร เขาจึงยอมมอบร่างกายนี้ให้แก่คนตรงหน้าเพื่อตอกย้ำว่าพวกเขาเป็นของกันและกัน ให้ทุกสัมผัสที่ได้รับ ทุกรอยรักที่ได้ฝากไว้จะผสานพวกเขาให้ความรักยังคงมีอยู่ต่อไป..........................


                       หลังจากอีกฝ่ายไปเรียนต่อเขาก็ยังคงอยู่ที่คอนโดต่อไปตามคำขอของอีกฝ่าย แม้จะอยู่ไกลกันก็ยังติดต่อหากันตลอด บางครั้งอีกฝ่ายก็จะส่งตั๋วเครื่องบินมาให้เขาเพื่อได้เจอกันตามโอกาสจะอำนวย แต่เรื่องวุ่นวายใช่ว่าจะจบ เพราะคุณหญิงยังคอยตามราวีเขาอยู่ไม่เคยขาด และเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ จนอีกฝ่ายกลับมา หลังจากนั้นจึงเริ่มหนักข้อขึ้นเมื่อลูกชายของคุณหญิงยืนกรานจะมาอยู่กับเขา แล้วก็หายไปจนคิดว่าคงจะไม่เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วในตอนที่เขารู้ตัวว่าตั้งท้อง แต่เขาคิดผิดเพราะคราวนี้คุณหญิงกลับมาเพื่อพรากเอาลูกเขาไป เหยียบขยี้ใจเขาให้แหลกลงกับพื้น แม้แต่คนที่เขารักยังไม่สามารถช่วยเขาได้



                       ใช่แล้ว ตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันเกิดมาจากคุณหญิง คุณหญิงคนเดียวที่ทำให้เรื่อองราวบ้าๆ พวกนี้เกิดขึ้น ยิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านั้นมากเท่าไร มือเรียวขาวของเขาก็กำผ้าปูแน่นขึ้นจนข้อมือสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

                      “คนที่ต้องชดใช้คือคุณหญิงไม่ใช่พี่ชิน  นังแก่นั้นจะต้องไม่เหลืออะไร”


ก๊อก ก๊อก


                เกลสลัดความโกรธในใจออกก่อนหันไปเชิญให้คนที่มาเคาะประตูอยู่นอกห้องเข้ามาด้านใน

                “เกลลี่!! ดูนี้สิผมไปถ่ายวิวรอบๆ บ้านมาด้วยล่ะ สวยมากเลยยยยยย”

                 เสียงของปีแอร์ที่เปิดประตูเข้ามาทันทีที่ได้รับอนุญาต ถึงจะสนิทกันอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเจ้านายเขา เรื่องมารยาทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อันนี้บอสสอนมาดีปีแอร์ภูมิใจ  เจ้าเด็กโข่งรีบวิ่งลงมานั่งข้างเตียงพร้อมกับเปิดกล้องที่เขาถ่ายให้ดูทั้งแบบเคลื่อนไหวและภาพนิ่ง ทั้งยังเล่านู่นเล่านี่ไม่หยุด จนเกลต้องยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่าย

                “พูดมากเป็นเด็กเลยนะ” เกลว่าอย่างเอือมระอากับคนข้างๆ

                “ก็แหม ได้มาเที่ยวทั้งทีนี่ มันก็ต้องมีบ้าง นี่ๆๆ เน็ตตี้ก็ชอบถูกไหม”

                ปีแอร์ว่าก่อนหันไปหาแนวร่วมสี่ขาที่ยังคงเกาะอยู่บนไหล่ของเขาไม่ยอมปล่อย พอถูกถามความเห็นก็ส่งเสียงตอบกลับมาเหมือนว่าฟังรู้เรื่องให้ปีแอร์ดีใจ   

                เขาส่ายหน้าเบาๆ กับความตื่นเต้นเกินวัย แต่ก็ยอมนั่งฟังคนช่างพูดได้พูดต่อโดยไม่ขัดใดๆ จนเวลาล่วงเข้าสู่มื้อเย็นจนพี่พลเดินเข้ามาตามทั้งคู่ที่ห้อง  โดยเกลเลือกออกไปนั่งกินที่เทอเรสร่วมกับทั้งสามคน

                “หายากนะครับที่คุณจะออกมานั่งทางอาหารนอกห้อง” ชายเอ่ยขึ้นหลังจากตักข้าวให้ทุกคนเสร็จ

                “ก็แค่เบื่อๆ ไม่อยากกินคนเดียว” เกลว่าก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหารตรงหน้า

                “แต่ก็ดีแล้วครับ วันนี้อากาศกำลังดีคุณเกลออกมารับลมบ้างจะได้สดชื่น” พลเอ่ยขึ้นบ้างก่อนจะหันไปเอ็ดเจ้าผู้ใหญ่นิสัยเด็กด้านตรงข้ามให้หยุดเล่นกับเจ้าก้อนกลมขนฟูนั้นเสียที

                “เลิกเล่นได้แล้วนะปีแอร์ ชายนายมาเอาเน็ตตี้เข้าไปกินอาหารในครัวได้แล้ว” พลสั่งเสียงนิ่ง ไม่สนสีหน้าหงอยยามชายมาอุ้มเจ้าสี่ขากลับเข้าไปในครัวแล้วปิดประตูกั้นไม่ให้มันออกมา

                “โห พี่พลอะ เน็ตตี้เหงาแย่เลยสิ ถ้าต้องกินข้าวตัวเดียวเปลี่ยวใจแบบนั้นน่ะ”  เจ้าตัวว่า

                “แต่ฉันว่าคนที่เปลี่ยวใจตอนนี้น่าจะเป็นนายนะ”

                “Cosa?  อะไรนะ หมายความว่าไง”

                พลกับชายหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าเหนือกว่าเมื่อคนตรงหน้ามีท่าทีไม่เข้าใจ พลหันไปพยักหน้าให้เพื่อนสนิทของตนที่นั่งข้างๆ หยิบบางอย่างออกมา

                “เอามือถือออกมาทำไมครับพี่ชาย” เกลถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

                “ก็เผื่อบางคนแถวนี้มันจะคิดได้น่ะครับ ว่าลืมอะไร”
ชายตอบพร้อมรอยยิ้มตามปกติ แต่เน้นสายตาจ้องไปทางปีแอร์ที่เอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์นิ่ง ก่อนจู่ๆ จะร้องออกมาลั่นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

                “เฮ้ย!!! ดาร์ลิง”

                ปีแอร์ร้องเสียงดังขึ้นมาทันทีหลังจากนึกขึ้นมาได้ ตั้งแต่มาถึงจนตอนนี้เขายังไม่ได้โทรบอกดาร์ลิงเลยนี่หว่า ตายๆๆ ป่านนี้เขาไม่โดนโกรธแย่แล้วเหรอ เท่านั้นแหละปีแอร์รีบจัดการอาหารเย็นตรงหน้าอย่างรวดเร็วแล้วรีบขอตัวกลับเข้าไปในห้องพักของตนเอง ท่ามกลางสายตาขบขันของทั้งสามคนที่ยังนั่งกินอาหารกันอยู่ที่เดิม

                “ดูท่าทางนิสัยติดเมียนี่จะแก้ไม่หายเนอะ” ชายยิ้มขำกับนิสัยติดเมียจนดูว่าน่าจะคล้อยไปทางกลัวนิดๆ ของเด็กหนุ่ม

                “พี่ๆ ก็ไปแกล้งปีแอร์”

                เกลว่าอย่างไม่จริงจังเท่าไรกับนิสัยขี้แกล้งของหนุ่มใหญ่ทั้งสอง โดยเฉพาะหัวโจกอย่างพลที่พร้อมจะตลบหลังปีแอร์ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ก็นะความหรรษาเล็กๆ น้อยๆ ของพลคือการได้เห็นคู่รักเด็กน้อยสองคนนี้ทะเลาะกัน พูดแล้วก็ส่งอะไรไปปั่นเพิ่มดีกว่า


                การกินอาหารร่วมกันในครั้งนี้ผ่านไปด้วยดีกับบรรยากาศครื้นเครงในการสุมหัวกันวางแผนแกล้งคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนา

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

                เกลละสายตาจากเอกสารในมือที่นั่งอ่านมาได้สักพักลง ก่อนจะหันไปกดรับสายจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกล พร้อมส่งสัญญาณบอกคนที่ยังอยู่ในห้องกับเขาให้ออกไปก่อน

                “สวัสดีครับคุณแม่”

                เสียงเจี๊ยวจ๊าวสดใสของเด็กชายที่ดังมาตามสาย แค่ได้ยินเสียงความตึงเครียดเมื่อครู่นี้ก็พลันหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ เหลือไว้แต่เพียงความสุขและกำลังใจ

                “ครับ ตาหนูของแม่”

__________________________________________________________________

ยังมีใครไม่นอนบ้างงงง
วันนี้มาสะดึกเลยจะยังมีคนรอกันอยู่มั้ยเอ๋ย??

 :katai5:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 8- 4-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-01-2017 23:49:49
  สงสารเกลจริงๆ เจอคนอย่างคุณหญิง ทำให้โกรธนี่มันฝังใจจนแค้นอาฆาตเลยนะ แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 06-01-2017 21:54:59
ฝนหยดที่ 9


           “ตาเกรซ อย่างเพิ่งกวนอาแก้วสิลูก ให้อาเขาทำงานก่อน”

                ชิตรัตน์เอ็ดลูกชายตัวน้อยเบาๆ ขณะกำลังตรวจสอบเอกสารการทำสัญญาต่างๆ ที่จะใช้ในการเดินทางไปใต้ครั้งนี้ โดยมีแก้วกล้าเลขาส่วนตัวมาช่วยตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางตั้งแต่เมื่อคืน  ถามว่าทำไมต้องตั้งแต่เมื่อคืนน่ะเหรอ?  มันคงต้องเท้าความย้อนกลับไปตอนเย็นของเมื่อวานที่อยู่ๆ เจ้าตัวก็เดินเข้ามาหาเขาที่ห้องทำงาน แล้วพูดประโยคที่ทำเอาทั้งเขาและชาติยังต้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย

                “คืนนี้ผมขอไปค้างที่บ้านของคุณได้ไหมครับ” 

            “มีอะไรหรือเปล่าแก้ว ถ้าเรื่องเอกสารเราค่อยตรวจอีกรอบตอนเช้าก็น่าจะทันนะ”

            “เปล่าหรอกครับ ผมแค่..เอ่อ.. ผมแค่ไม่อยากให้มันเสียเวลาน่ะครับ เดี๋ยวตอนเย็นผมกลับไปเก็บของที่คอนโดแล้วจะตามไปหาคุณที่บ้านนะครับ ผมกลับไปทำงานก่อนนะครับ”

                เรื่องมันก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ โดนมัดมือชกขนาดนี้แล้วจะให้เขาทำอะไรได้นอกจากโทรไปบอกแม่บ้านที่บ้านจัดห้องนอนให้แก้วห้องหนึ่ง แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆ อีกคนมาขอนอนด้วย แต่ท่าทางเลี่ยงการตอบคำถามของเขากับชาติตลอดแบบนี้เ ขาก็ป่วยการที่จะซักไซ้  และกว่าเขาจะได้คำตอบของเรื่องทั้งหมดก็คงจะเป็นตอนนี้นี่แหละ

Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

                “ครับ คุณธาร”  เขากดรับสายที่โทรเข้ามาพร้อมกับเหลือบหางตาไปเห็นคนที่กำลังนั่งคุยกับลูกชายเขาหันมามอง

                // ผมกำลังจะไปสนามบินนะครับ//

                “หื้อ แต่นี่ยังอีกตั้งเกือบสองชั่วโมงเลยนะครับกว่าเครื่องจะขึ้น”  เขาถามอีกฝ่ายอย่างตกใจพลางมองนาฬิกาทรงสูงที่กลางห้องอย่างฉงน

                // พอดีผมจะออกไปธุระสักครู่ก่อน ว่าแต่ทำไมผมโทรหาเลขาของคุณไม่ติดเลย//

                เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนเอาโทรศัพท์ออกห่างตัวเล็กน้อย แล้วตะโกนถามคนที่อยู่ไกลถึงสาเหตุที่ปลายสายถามมาก่อนจะได้ความจากเจ้าตัวว่าปิดเครื่อง

                // นั่นแก้วอยู่กับคุณเหรอ//

                “ครับ พอดีแก้วมานอนค้างที่บ้านผมตั้งแต่เมื่อคืนแล้วน่ะครับ”

                //...//

                “คุณธารมีอะไรหรือเปล่าครับ”

                // เจอกันที่สนามบินนะครับ//   งานนี้ชิตรัตน์รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจกลายๆจนเขาเองเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสรุปเขาทำอะไรหรือพูดผิดไปหรือเปล่า ครั้นจะหันไปถามเรื่องกับคนที่น่าจะเป็นสาเหตุของเรื่องอีกฝ่ายก็ดันทำหน้าซื่อไม่หันไม่สนใจเสียงเรียกของเขาจนเขารู้สึกป่วยการที่จะถามไถ่ แต่เขามั่นใจได้อย่างหนึ่งแล้วล่ะว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเลขาของเขาแน่ๆ

ก๊อก ก๊อก

แอ๊ด

                “ผมให้คนเอาของไปใส่ไว้ในรถเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ทราบว่าจะไปกันเลยไหม”  ชาติที่เดินเข้ามาใหม่เอ่ยถามเจ้านายของตนที่นั่งทำหน้าคิดหนักอยู่บนเก้าอี้หนังกลางห้องหลังโต๊ะทำงาน

                “อือ ไปเลยก็ได้เผื่อรถติด”

                ชิตรัตน์ตอบก่อนไล่สองอาหลานไปเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปสนามบินเนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องเดินทางไปดูที่ดินของธารที่เคยเสนอให้เขาในการก่อสร้างทำรีสอร์ตที่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าเขาจะตอบรับข้อเสนอทางการตลาดในครั้งนี้กับอีกฝ่ายดีหรือไม่ ซึ่งในความจริงแล้วการเดินทางไกลที่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำเกือบสองชั่วโมง แถมยังต้องต่อรถต่อเครื่องแบบนี้เขาเองก็ไม่เห็นด้วยเท่าไรที่คนท้องโตอย่างแก้วกล้าจะร่วมเดินทางไปด้วย เพราะถึงแก้วกล้าจะไม่ไปเขาก็ยังมีชาติที่เป็นเลขาอีกคนคอยช่วยงาน แต่อีกคนนี้ก็ดื้อรั้นเหลือเกินแถมยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไปให้ได้

                “แก้วจะไปด้วย งานนี้แก้วต้องรู้ให้ได้ว่าเขาคิดจะทำอะไร คุณชินห้ามแก้วไม่ได้หรอกนะ”

โดนพูดขนาดนี้แล้วคงเสียเวลาเปล่าถ้าจะห้าม แก้วกล้าน่ะดื้อถ้าคิดจะทำอะไรแล้วล่ะก็ ต้องทำให้ได้ อยากรู้อะไรก็ต้องรู้ ครั้งนี้คงเหมือนกัน และเขาเองก็เริ่มจะคิดเช่นเดียวกับคนตัวเล็กแล้วเหมือนกันตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวด้วยกันวันนั้น สายตาแบบนั้นทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่า ผู้ชายคนนั้นกุมความลับบางอย่างอยู่ และที่สำคัญมันต้องเกี่ยวข้องกับเขาไม่มากก็น้อยด้วย

หลังจากเสียเวลาอีกเล็กน้อยก็ถึงเวลาสมควรที่พวกจะเดินทางไปยังสนามบินเพื่อไปสมทบกับอีกหนึ่งผู้ร่วมเดินทาง  พอไปถึงเขาเห็นว่าอีกฝ่ายมาพอดีจึงเข้าไปทักทายเพื่อจะได้เข้าไปเกทพร้อมกัน

                “คุณธารครับ”

                เสียงทักจากบุคคลที่ไม่ต้องเดาเขาก็พอจะเดาได้ไม่ยากเท่าไรดังขึ้นพร้อมกับแรงสะกิดจากไรอัลที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทำให้เขาหันหลังกลับไปหากลุ่มคนที่เดินเข้ามาใหม่

                “อ้าว คุณชินมาเร็วเหมือนกันนะครับ ว่าไงครับหนุ่มน้อย”  ธารลุกขึ้นพร้อมเอ่ยทักกลับไปให้ชิตรัตน์ แม้จะไม่ชอบหน้าแต่เขาก็มีมารยาทพอจะตอบรับคำทักทายของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปอุ้มหลานชายตัวน้อยของเขาขึ้นมาพร้อมฟัดแก้มยุ้ยๆนั้นไปทีหนึ่ง แถมดูท่าทางเจ้าตัวเล็กจะชอบเสียด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าหลานจะกลัวเขาเสียอีก เห็นตอนแรกที่เจอกันเจ้าตัวเอาแต่หลบหน้าหลบตาเขาตลอด แต่จะว่าไปแล้วหลานเขาก็หน้าเหมือนน้องชายที่เป็นแม่มากกว่าพ่อนะเนี่ย เฮ้ออ เห็นแล้วคิดถึงน้องเกลจังเลย กดวาร์ปไปอยู่หน้าบ้านเลยได้ไหมเนี่ย แต่ก่อนจะวาร์ปไปขอเขาเคลียร์ปัญหาใจก่อนแล้วกัน

                “ว่าแต่แก้วเนี่ย ใจร้ายจังเลยนะ ฉันอุตส่าห์บอกจะไปรับแท้ๆ แต่กลับหนีไปนอนบ้านชายอื่น” เขาตัดพ้ออย่างน้อยใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คนท้องเห็นใจเสียเท่าไรแถมยังกรอกตาไปมาอย่างเหลือทนอีกด้วย

                “ไม่จำเป็น” แก้วกล้าตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย อีกทั้งเขายังรู้สึกเหมือนว่าอีกคนดูจะมีเรื่องเคืองเขาอยู่นิดๆเช่นกัน แต่คิดเหรอว่าแค่นี้จะทำให้คนอย่างเขายอมแพ้ง่ายๆ  เขาวางหลายชายลงบนพื้นเช่นเดิมก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายใกล้ๆ

“เอามานี่แก้ว ฉันถือให้คนท้องคนไส้ใครเขาให้ถือของหนักกัน” เขาว่าพร้อมแย่งกระเป๋าสะพายของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เอง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้หนักอะไรอย่างที่เขาพูดออกมาก็เถอะ  และอย่าถามว่าเขาแคร์กับสายตาไม่พอใจของอีกฝ่ายที่มองค้อนเขาพร้อมเดินหนีไปนั้นด้วยหรือไม่ ขอบอกเลยว่าไม่ แต่ตอนนี้เขาคงต้องขอตัวตามว่าที่เมียสุดที่รัก(?)ไปก่อนดีกว่า

และเหตุการณ์นั้นก็ทำเอาชิตรัตน์กับชาติที่มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ที่ดูท่าทางมันน่าจะเกินเลยกว่าคำว่าผู้ร่วมงานกันไปมากโข โดยเฉพาะสรรพนามที่ธารใช้เรียกแก้วกล้าช่างดูสนิทสนมกันเกินไปอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าไปสนใจคนบ้าเลยครับ”

ไรอัลว่าอย่างเหนื่อยหน่ายใจก่อนจะผายมือเชิญให้ชิตรัตน์ที่อุ้มลูกชายอยู่เดินตามธารและแก้วกล้าไป แต่ถ้าเมื่อกี้ชิตรัตน์มองไม่ผิดเขาแอบเห็นหนุ่มอังกฤษตัวบางก็ยกมือขึ้นคลึงขมับเบาๆ

พวกเขาใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการเดินทางโดยเครื่องบินเพื่อมาถึงสนามบินอีกแห่ง และทันทีที่มาถึงที่หมายก็มีคนที่ธารแนะนำให้พวกเขารู้จักชื่อพล ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ติดตามของน้องชายอีกฝ่ายที่เดินทางมารออยู่แล้ว

“เดี๋ยวเราเข้าไปพักที่บ้านผมก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยออกไปพื้นที่กัน” ธารพูดขึ้นเมื่อพวกเขาทุกคนขึ้นมานั่งอยู่บนรถกันครบแล้ว ซึ่งชิตรัตน์เองก็เห็นด้วยเพราะถึงจะไม่ได้ขับรถเองแต่การนั่งอยู่กับที่นานๆ มันก็ทำให้ปวดเมื่อยได้เช่นกัน

                “จริงสิ ผมว่าจะถามคุณตั้งแต่อยู่กรุงเทพแล้วทำไมน้องชายของคุณถึงได้ลงมาก่อนละครับ ” ชิตรัตน์ที่เพิ่งนึกเรื่องที่จะถามได้พูดขึ้น

“อ้อ พอดีว่าอยู่ๆ น้องผมอาการทรุดลงนิดหน่อยน่ะครับ ก็เลยให้ลงมาก่อนอีกอย่างหนึ่ง น้องผมไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รู้จักน่ะครับ”  ธารตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ แตกต่างจากข้อความที่พูดมาอย่างมาก

“แล้วอย่างนี้จะไม่เป็นการรบกวนหรือครับ” ชิตรัตน์ถามเสียงเครียด

“ไม่เลยครับ ถ้าเป็นพวกคุณ”

อีกแล้ว ความรู้สึกนี้อีกแล้วทุกครั้งที่ถามเรื่องน้องชายของอีกฝ่าย เขามักรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่ถูกส่งออกมา แล้วยังคำพูดแบบนั้นอีก ชิตรัตน์พยายามไม่คิดอะไรแล้วเดินขึ้นรถตามอีกฝ่ายไป ผิดกับลูกชายของเขาที่เริ่มทำหน้าเหมือนคิดหนักจนแก้วกล้าต้องโอบร่างเล็กๆ ของเด็กชายเข้ามาพร้อมคุยอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่สามารถได้ยิน

ในความรู้สึกของชิตรัตน์ตอนนี้ สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่สำหรับเขาแล้วมันรู้สึกกดดันแบบแปลกๆ โดยเฉพาะสายตาของคนชื่อพลที่มักมองเขาผ่านกระจกมองหลังมาเป็นระยะๆ นั้นอีก ถึงเขาจะรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายอยู่ก็เถอะแต่มามองแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ อะไรที่คนพวกนี้ปิดบังเขาอยู่

                บางทีคำตอบที่เราไม่เร่งร้อนอยากรู้ มันมักจะมาหาเราเร็วเสมอ คุณคิดว่าอย่างนั้นไหม ?

                การเดินทางจากสนามบินมาถึงบ้านพักตากอากาศของธารที่อนุญาตให้พวกเขาได้ใช้พักตลอดสามวันสองคืน อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนักอีกทั้งตลอดทางมีร้านค้าและสถานที่ท่องเที่ยวให้เห็นได้ประปราย ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของรั้วบ้านยังติดกับทะเล บรรยากาศโดยรวมแล้วดีมาก

ขณะตัวรถคันใหญ่มาจอดสนิทอยู่ภายในบริเวณบ้าน ซึ่งมีผู้ชายอีกคนการแต่งตัวคล้ายๆ กับผู้ชายที่ชื่อพลเดินมาเปิดประตูต้อนรับพวกเขา

                “ผมขอแนะนำนะ นี่คือ ชาย ชายกับพลเป็นการ์ดของน้องชายผมเอง และพวกเขาจะรับหน้าที่ดูแลเราทั้งหมดตลอดเวลาที่เราพักกันอยู่ที่นี่ อันที่จริงยังมีอีกคนนะ แต่สำหรับคนนั้นผมว่ารอให้ไรอัลแนะนำจะดีกว่า” ธารเหล่ตามองคนสนิทของตนตั้งแต่มาถึงก็ทำหน้าหงิกหน้างอตลอดเวลา แถมพอเจอเขาแซวเข้าไปก็สะบัดหน้าเดินหนีเข้าบ้านไปเสียดื้อๆ  ได้แกล้งคนแล้วมีความสุข

                “หึ อย่าไปสนใจคนขี้งอนเลยครับ” ธารว่า ก่อนจะให้ชายกับพลช่วยกันยกของเข้าไปในบ้าน โดยมีชาติคอยช่วยพยุงคนท้องเข้าไปนั่งพักด้านในตัวบ้าน

                “ส่วนคุณมาทางนี้กับผม” เขาเรียกชิตรัตน์ให้เดินตามไปอีกด้าน ก่อนจะชี้นิ้วไปยังจุดที่เขาเคยพูดเอาไว้

                “คุณเห็นส่วนที่แหลมออกไปตรงนั้นไหม นั่นล่ะคือที่ที่ผมจะให้ใช้ทำรีสอร์ต” ชิตรัตน์มองตามมือของอีกฝ่ายที่ชี้ออกไป มองจากตรงนี้สามารถมองเห็นบริเวณรอบๆ ได้ชัดเจนเลย มีพื้นที่ติดกับทะเลดูแล้วน่าจะเป็นหาดส่วนตัว เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเดินสักเท่าไร ทั้งสองคุยกันนิดหน่อยก่อนธารจะขอตัวเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้เขากับลูกชายยืนรับลมตรงนั้นอีกสักพัก

“เข้าไปข้างในกันเถอะ แดดเริ่มแรงแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เขาว่าพร้อมขยับหมวกปีกกว้างของลูกชายให้เข้าที่ก่อนจะเดินจูงมือลูกชายกลับไปตามทางที่เดินมา แต่อยู่ดีๆเขาก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ จนเด็กน้อยได้แต่มองผู้เป็นพ่ออย่างไม่เข้าใจ

“เอ่อ เดี๋ยวลูกเดินกลับเข้าไปในบ้านเองก่อนได้ไหมครับ”

“ครับ”

ชิตรัตน์ยืนมองดูจนแน่ใจว่าลูกชายของตนเดินเข้าประตูบ้านไปแล้วเรียบร้อย เขาจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงจากตัวบ้านไปอีกทางแทน  ทางที่เขาเดินไปนั้นเป็นทางเดินตัดสนามหญ้าแบบอังกฤษ จากส่วนหน้าของทางเข้าบ้านเข้าไปยังส่วนนั่งเล่นของสนาม และ ณ ตรงนั้นเองที่ทำเอาหัวใจเขาแทบจะหยุดเต้น ถึงเวลาจะผ่านมานานหลายปี ถึงอีกคนจะมีรูปร่างเปลี่ยนไปมาก แต่เขาจำได้ดี และไม่มีวันลืม

“เกล!!”

                !!!
 
เสียงเรียกทำเอาคนที่กำลังอ่านหนังสือวรรณกรรมเล่มโปรดอยู่กลางสวนถึงกับสะดุ้งตาม ขณะหันกลับไปมองคนที่เข้ามาทำลายบรรยากาศการอ่านหนังสือยามบ่ายซึ่งแดดไม่ค่อยมีของเขาลง แล้วจึงเบิกตากว้างเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่หลังต้นสนขนาดเล็กที่ใช้ตกแต่งสวน และก่อนจะทันได้ตั้งตัว คนตรงหน้าที่ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรสักวันก็ต้องได้เจอกัน พุ่งตัวเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่นพร้อมพึมพำความในใจออกมาให้เขาได้ยิน

                “พี่เจอเกลแล้ว พี่เจอเกลแล้ว พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ” ชิตรัตน์เอ่ยออกมาซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างยินดี เขาดีใจที่ได้เจอคนตรงหน้า มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว เกลอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้อีกคนหนีหายไปจากสายตาเขาอีกแล้ว

ชิตรัตน์กอดร่างนั้นแน่นจนอดคิดไม่ได้ว่าเกลนั้นผอมลงจากครั้งสุดท้ายที่เขากอดอีกฝ่ายมาก มากจนเขากลัวว่าถ้าหากกอดแรงกกว่านี้เขาจะเผลอทำให้อีกคนเจ็บ แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขาทำให้คนในอ้อมกอดหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ

                “พี่ชิน”

                เกลเรียกชื่ออีกคนเสียงบางเบาติดจะสั่นเล็กน้อย แม้ความรู้สึกในใจของเขาจะยินดีที่ได้เจอกับอีกคน แต่ลึกๆ แล้วเขากลับกลัวการพบเจอครั้งนี้อีกด้วย กลัวจนขนาดที่ร่างกายของเขาเริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อยจนอีกคนรู้สึกได้ จึงต้องผละออกแล้วหันมาจ้องหน้าเขาตรงๆ

                “เกลเป็นอะไร ทำไมตัวสั่นแบบนี้”

                ยิ่งมองความทรงจำครั้งสุดท้ายที่มีร่วมกันก็ยิ่งทำให้เขากลัวจนพูดอะไรไม่ออก ประสาทการได้ยินอื้ออึงไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงของอีกคน ความร้อนผ่าวรอบดวงตาพร้อมหยาดน้ำสีใสที่ค่อยไหลออกมาจากดวงตาหวาน

                “เกลร้องไห้ทำไม เกลพี่ขอโทษ”

                ชิตรัตน์เริ่มรนรานทำอะไรไม่ถูกที่เห็นน้ำตาจากความผิดปกติของคนรักที่มีอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะแววตาหวาดกลัวที่จ้องมองมาที่เขา จนหัวใจเขาปวดหนึบ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“ออกมาจากเกลลี่เดี๋ยวนี้นะ!!!!”

ปีแอร์ที่เดินกลับออกมาพร้อมของว่างที่เจ้าตัวตั้งใจนำมาให้เกลเป็นอันต้องพับความคิดนั้นทันที เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักอยู่กับเจ้านายของเขาด้วย ซึ่งมันอาจดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะอาการขั้นแรกของเกลเริ่มแสดงออกมาให้เห็น แล้วแบบนี้มีหรือคนสนิทหมายเลขหนึ่งของเกลลี่ที่เจ้าตัวอุตส่าห์สถาปนาตนขึ้นเองอย่างเขาจะยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้านายของเขาได้ ไม่มีทาง!!

เขาไม่รอช้าที่จะเข้าไปกระชากอีกฝ่ายให้ออกมาห่างๆ ก่อนส่งหมัดหนักๆเข้าไปเต็มๆ ข้างแก้มจนอีกคนลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

“แกเป็นใคร กล้าดียังไงถึงได้ทำให้เกลลี่เป็นแบบนี้”

เขาตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อเชิ้ตแบรนด์ดังของอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมตั้งท่าจะเข้าใส่อีกฝ่ายอีกครั้ง แต่งานนี้ชิตรัตน์พอตั้งสติได้จึงผลักเขาออกอย่างแรงจนเซ ทำให้คุณหมอเลือดร้อนอย่างเขาตั้งท่าจะเข้าไปต่อยคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แต่ร่างผอมบางของคนที่สมควรจะนั่งอยู่บนวีลแชร์อย่างที่ควรเป็น กลับพุ่งตัวเข้าไปกอดคนแปลกหน้าเอาไว้แล้วเอาตัวบังอีกฝ่ายไว้จากเขา

“ปีแอร์หยุดนะ!! อย่าทำร้ายพี่ชินนะ”

เขาร้องห้ามเสียงสั่นทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังง้างหมัดเตรียมจะใส่ชิตรัตน์อีกครั้ง ถึงจะเจ็บปวดเพราะอีกคน แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ใครทำร้ายคนที่เขารักอย่างนี้

“พี่ชินเป็นอะไรไหม”

 เขาละสายตาจากปีแอร์กลับมามองใบหน้าของชิตรัตน์ ที่มุมปากช้ำและมีเลือดซึมออกมานิดๆ จนเผลอยกมือที่กอดเอวอีกฝ่ายไว้เพื่อพยุงตัวขึ้นไปแตะ ทำให้ร่างตัวเองเซเกือบล้ม แต่โชคดีที่อีกคนไวพอจะรวบเอวบางของเขาเอาไว้ทัน ท่ามกลางสายตาไม่เข้าใจของปีแอร์ที่ได้แต่ยืนนิ่งมองคนทั้งสองแสดงความรักความห่วงใยให้กัน

                แต่เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทำให้คนภายในบ้านทั้งหมดรีบพากันเดินออกมาดู

                “คุณชิน/คุณพ่อ”

 เสียงของแก้วกล้ากับเกรซดังผสานกันทันทีที่เห็นสภาพของชิตรัตน์มีรอยช้ำที่ใบหน้าและเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยยืนพยุงร่างของใครบางคนที่หันหลังให้พวกเขา  ก่อนแก้วกล้าและชาติจะต้องตกใจอีกครั้งเมื่อคนคนนั้นหันหน้ามามองพวกเขา

                “คุณเกล”

                “คุณแม่”

 เกรซยิ้มร่าอย่างไร้เดียงสายามเห็นพ่อกับแม่ของตนยืนอยู่ในท่าที่เจ้าตัวคิดเอาเองว่าทั้งคู่ยืนกอดกัน  เด็กน้อยรีบวิ่งเข้าไปกอดที่ขาของคนเป็นแม่ เกลจึงค่อยๆทรุดตัวลงไปกอดลูกชายตัวเองแน่น

                “อ้าว เจอกันเร็วจัง”

                แต่มีอีกคนดูจะไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไร ออกจะสบายๆ และไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ จนแก้วกล้าที่มองดูอยู่ต้องหันกลับมามองธารสลับกับภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสมองของเขาจะเริ่มลำดับเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน


………………………………


             
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 06-01-2017 21:56:02
 :mew3:


    เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พวกเข้าทุกคนจึงกลับเข้ามารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน แต่จนแล้วจนรอดกลับไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาเลยสักคน จนคนที่มองเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งอย่างแก้วกล้าอดทนต่อไปไม่ไหว

                “มีใครพอจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นพวกนี้ได้มั่ง”

                เขาพูดขึ้นโดยไม่เจาะจงบุคคล แต่จะให้เขาคิดว่าคนที่เอาแต่กอดลูกชายแน่นไม่ยอมปล่อยนั้นเป็นคนตอบคำถามเขาแล้วล่ะก็คงไม่ใช่แน่  และเหมือนคนถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษนั้นจะรู้ตัว

                “แล้วแก้วอยากจะได้ยินเรื่องแบบไหนกันดีล่ะ”

                ธารถามกลับอย่างยียวนโดยสายตาไม่ได้ละไปจากใบหน้าช้ำของชิตรัตน์ที่เอาแต่จ้องมองไปยังคนรักและลูกชายอยู่ตลอดเวลา จนไม่ทันได้สังเกตเห็นสายตาของแก้วกล้าซึ่งมองมายังตนว่ามันเป็นเช่นไร

                “คุณธาร”  แก้วกล้าเริ่มไม่พอใจกับสีหน้าและการกระทำของอีกคนจนเผลอขึ้นเสียงใส่อย่างลืมตัว

“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ!”
ธารเผลอตัวตวัดสายตาไม่พอใจกลับมาให้พร้อมตะคอกเสียใส่จนอีกคนสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ และไม่ใช่แค่แก้วกล้าเท่านั้นที่ตกใจ เกรซที่ยังเด็กมากสะดุ้งตามจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง

“แง แง ฮืออออออออออ”

                “พี่ธาร!”

                เกลปรามพี่ชายตนเองก่อนก้มลงไปปลอบลูกชายที่ดูจะตกใจเสียงเมื่อครู่จนขวัญเสีย และนั่นทำให้ธารได้สติกลับมาจนต้องรีบหันหน้ากลับไปมองแก้วกล้าที่นั่งก้มหน้านิ่ง

                “แก้ว คือวะ..”

                “ผมขอตัวนะครับ”

                เขาพูดขัดขึ้นอย่างไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆ ของอีกคน ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ไม่รู้ว่าเพราะลุกขึ้นเร็วหรืออย่างไร เขาถึงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาจนเซเล็กน้อย โชคดีธารลุกขึ้นมาประคองตัวเขาเอาไว้ทัน

                “ขอบคุณ”

                เขาพูดแค่นั้นก่อนสะบัดตัวออกจากอีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องของตัวเอง โดยมีชายยืนอยู่ไม่ไกลอาสาช่วยประคองพาเขาขึ้นไปส่งอย่างยินดี

                ธารมองตามอีกคนไปอย่างไปพอใจเท่าไรที่แก้วกล้ายินยอมที่จะให้คนอื่นที่ไม่ใช่เขาเตะเนื้อต้องตัวอย่างง่ายดายเช่นนั้น และไม่ต้องคิดอะไรให้มากความสองขายาวของเขาก็ก้าวตามอีกคนขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็วแม้จะห่วงน้องน้อยของตัวเองแต่เขาก็ไม่อยากให้อีกคนคิดผูกใจเจ็บกับเขานานเช่นกัน

                “ใครมีอะไรจะทำก็ไปทำเถอะครับ” เกลพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าองค์ประชุมครั้งนี้ดูจะยังไม่พร้อมเสียเท่าไร

                “พี่จะไปเตรียมอาหาร มีอะไรก็เรียกได้เลยนะครับ”

พลเอ่ยขึ้นแม้จะมีท่าทีลังเลอยู่ไม่น้อย แต่เพราะเกลเอ่ยปากว่าไม่เป็นอะไรเขาจึงขอตัวกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารสำหรับคืนนี้ โดยมีไรอัลที่เสนอตัวเข้าไปช่วยด้วย ด้วยหวังจะหลีกเลี่ยงการอยู่ลำพังกับปีแอร์ที่ตามติดตนไม่ห่างอย่างรำคาญ

                หลังจากคนอื่นๆ แยกย้านกันไปหมดแล้ว ทำให้ภายในห้องนั่งเล่นแห่งนี้เหลือเพียงแค่พวกเขาสามคนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ส่วนเกรซเองก็ดูเหมือนจะเริ่มเพลียกับการเดินทางและการร้องไห้เมื่อครู่จนออกอาการงัวเงียอย่างเห็นได้ชัด

                “ลูกง่วงแล้ว พาลูกไปนอนที่ห้องเถอะ”

                ชิตรัตน์เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก่อนยื่นมือออกไปหมายจะอุ้มลูกชายออกมาจากอ้อมกอดของคนรัก เพื่อพาไปนอนบนห้องที่ธารจัดเตรียมไว้ให้  เกลที่เห็นเช่นนั้นกลับเบี่ยงตัวหนีไม่ยอมให้ชิตรัตน์มาเอาลูกไป

                “ไม่ ไม่เอา ถ้าพี่ชินเอาลูกไปเกลจะไม่ได้เจอลูกอีก ไม่เอา”

                ชิตรัตน์หัวใจกระตุกวูบกับท่าทีหวาดกลัวของคนรักขณะพยายามเอาตัวบังลูกชายที่อุ้มอยู่ให้ออกจากจากตัวเขา อาการสั่นของร่างกายกับการพูดจาซ้ำๆ แบบนี้มันทำให้เขารู้สึกหมดแรงและเจ็บปวด นี่เขาทำร้ายคนรักมากขนาดนี้ มากพอจนสร้างบาดแผลในใจให้อีกคนลึกขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ

                “พี่ไม่ได้จะพาลูกไปจากเกลนะ” เขาพยายามพูดให้อีกคนเข้าใจ

                “ไม่จริง พี่ชินจะเอาลูกไป เหมือนตอนนั้น”
ท่าทางรนรานและไม่ยอมรับฟังสิ่งใดจากเขา มันทำให้เขาอดไม่ได้จริงๆ ที่จะรั้งคนทั้งสองเข้ามากอด

                “พี่พูดจริงๆ คราวนี้พี่จะไม่พาลูกไปจากเกลอีกแล้ว”
เพราะการกอดอีกคนเอาไว้แบบนี้ ทำให้เขารู้ว่าเกลมีอาการสั่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด

                “เชื่อพี่นะ พี่จะไม่ทำอีกแล้ว”

เขาพยายามพูดปลอบอีกฝ่ายอยู่นานกว่าเกลจะยอมสงบลง แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจการเดินของอีกคนแต่เขาก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้แทนเพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอามาพูดในตอนนี้ เขาจึงเลือกที่จะอีกฝ่ายและลูกเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อนแทน

                ชิตรัตน์ค่อยๆ วางร่างคนรักลงบนเตียงนอนข้างๆ ร่างเล็กของลูกชายตัวน้อยที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง ก่อนจะตั้งท่าลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเพื่อให้ทั้งคู่ได้พักผ่อน แต่กลับโดนแรงดึงที่ท่อนแขนหนาของตนรั้งตัวเอาไว้ให้หันกลับมามองคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

                “พี่ชินจะไปไหน”
                คำหวาดหวั่นที่ดังออกมาเบาๆ ของเกลทำให้เขาไม่กล้าเดินไปไหนต่อ ดังนั้นเขาจึงเลือกนั่งลงที่ขอบเตียงโดยหันหลังให้อีกคนแทน

                “พี่คิดว่าเกลไม่อยากจะเห็นหน้าพี่เสียอีก”

                “เกลคิดถึงพี่”

                เขาพูดพร้อมซบลงไปบนไหล่หนาที่ลู่ลงของคนนั่งหันข้างให้กับเขา ถึงไม่อยากเห็นหน้าแต่ก็ไม่เคยมีสักวันที่เขาจะไม่คิดถึงอีกคน ต่อให้เจ็บปวดกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะไม่รัก และครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงจะกลัวว่าถ้าเขาเผลอไปแล้วอีกฝ่ายจะพาลูกหนีหายไปจากเขาอีก แต่เขาก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ต่อไป

                “เกลไม่โกรธพี่เหรอ”

                “โกรธสิ พี่ชินเอาลูกไปจากเกลนะ พี่ชินทิ้งเกลนะ จะไม่ให้เกลโกรธเลยก็คงไม่ใช่”

                “...”

                “แต่เกลก็ยังรักพี่ชิน”

                ไม่เคยเกลียดลงได้เลยสักครั้ง ยิ่งมารู้ว่าอีกคนพยายามตามหาเขาแบบนี้ด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขาโกรธเกลียดไม่ลงจริงๆ บางทีเขาคงจะบ้าไปแล้วจริงๆที่ยังคงรักอีกฝ่ายอยู่เช่นนี้

                “เกลควรจะด่าพี่ เกลียดพี่ให้สมกับสิ่งที่พี่ทำสิ  ยิ่งเกลทำแบบนี้พี่ยิ่งรู้สึกผิด”

                ชิตรัตน์ก้มด่าตัวเองออกมาให้อีกคนได้ยิน หากได้ยินคำด่าว่าตัดพ้อจากอีกฝ่ายเขาอาจรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้ ขณะที่เขากำลังก้มหน้าสำนึกผิดอยู่นั้น คนที่ซบอยู่กับไหล่ของเขากลับผละออกแล้วดันไหล่ของเขาให้หันกลับมาประจันหน้ากัน

                “เกลบอกแล้วไงว่าเกลโกรธพี่ชิน แล้วพี่ชินก็ขอโทษกับสิ่งที่พี่ทำไปแล้ว” หน้าผากมนประกบเข้ากับหน้าผากของเขาเบาๆ

                “เกลให้อภัย แต่พี่ชินต้องสัญญากับเกลก่อนนะว่า ต่อจากนี้พี่จะไม่ทิ้งเกลให้อยู่คนเดียวอีก”

                “ได้ พี่สัญญา”

                ชิตรัตน์ยื่นนิ้วก้อยของตนออกไปเกี่ยวกับคนรักที่ยกขึ้นมารอเขาอยู่แล้วเหมือนเมื่อก่อนนี้ ทุกครั้งที่สัญญาอะไรกัน พวกเขาสองคนมักทำแบบนี้ทุกครั้งก่อนโผเข้ากอดกัน ถึงความรู้สึกที่มีในตอนนี้จะยังไม่เต็มร้อย แต่เกลก็ปฏิเสธได้ไม่เต็มปากหรอกว่า เขากลัวใจของอีกคนว่าจะผิดคำสัญญาขึ้นมาอีกครั้ง แต่พอกลับเข้ามาอยู่ในออมกอดของอีกฝ่ายอย่างนี้แล้ว เขากลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

                “คืนนี้อยู่ด้วยกันนะ เกลอยากอยู่กับพี่ชินแล้วก็ลูก อยู่ด้วยกัน”

ทั้งคู่นอนคุยกันบนเตียงจนชายมาตามเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยความเงียบก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันหลังจากกินเสร็จ

ชิตรัตน์อาสาดูแลเกลเองแม้จะต้องเจอสีหน้าไม่พอใจของปีแอร์ที่รู้สึกเหมือนโดนแย่งความสำคัญไป แต่ก็โดนไรอัลลากตัวออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ส่วนธารก็ไม่กล้าขัดใจเมื่อเห็นว่าเกลอนุญาตให้อีกฝ่ายดูแล ธารเลยได้โอกาสนี้ตามง้อแก้วกล้าที่โกรธเขาอยู่ ส่วนเกรซก็เดินกลับไปที่ห้องของตนเพื่อไปทำธุระส่วนตัว
 
ก๊อก ก๊อก
แอ๊ดดด

                “คืนนี้ผมขอนอนด้วยได้ไหมครับ คุณแม่” แขกตัวน้อยเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ อยู่หน้าประตู   เรียกความสนใจจากเกลและชิตรัตน์ที่นั่งอยู่บนเตียงนอนให้หันกลับไปมองลูกชาย       
           
“ได้สิครับ” เกรซยิ้มกว้างก่อนจะขึ้นไปบนเตียงพร้อมกับกอดเข้าที่เอวของคุณแม่ที่นั่งหลังพิงกับหัวเตียงอยู่

                “งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะ”  ชิตรัตน์อมยิ้มกับภาพตรงหน้าก่อนจะเปิดโอกาสนี้ให้ลูกชายของตนได้อ้อนคุณแม่ของเขาสักหน่อย

                “ผมมีอะไรมาให้คุณแม่ด้วย แต่คุณแม่อย่าเพิ่งอ่านตอนนี้นะ คือเกรซไม่ อยากให้คุณพ่อเห็น” เกรซยื่นสมุดโน้ตของตัวเองให้พร้อมท่าทางเขินอายจนเกลชัก อยากจะรู้แล้วสิว่า ลูกชายตัวน้อยของเขานั้นเขียนอะไรเอาไว้บ้าง

                “งั้นเอาไว้เราอ่านด้วยกันพรุ่งนี้...ดีไหม”  เกลเสนอขึ้นมาทำให้เกรซรีบพยักหน้าตอบตกลงรับทันที

                “คืนนี้เกรซจะได้นอนกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว” เกรซยิ้มตาหยีพร้อมกับกอดรัดเจ้าตุ๊กตาหูยาวที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมอบมันไว้ให้เพื่อเป็นของดูต่างหน้า ซึ่งมันทำให้เกลที่มองดูพฤติกรรมนั้นของลูกชายอดจะขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ 

                “พรุ่งผมตื่นมาจะยังเจอคุณแม่อยู่ใช่ไหมครับ” แต่อยู่ๆ ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นกลับหมองลงและเริ่มจะร้องไห้ เมื่ออยู่ๆ คำพูดที่คุณย่ามักจะพูดกรอกหูเขามานานนั้นดังขึ้นมาในหัว

                “เจอสิครับ แต่ถ้ากลัวก็กอดไว้แน่นๆ นะ คุณแม่ก็จะกอดน้องเกรซเอาไว้ด้วยดีไหม” เกลว่าพร้อมโน้มตัวลงมาแล้วเอาแขนพาดลงบนตัวของเกรซ เด็กชายยิ้มพร้อมเพิ่มแรงกอดมากขึ้นก่อนที่จะหลับไป อาจเพราะว่าวันนี้เดินทางมาไกลบวกกับต้องมาเจอเรื่องราวต่างๆ ทำให้เด็กชายหลับลงไปได้อย่างง่ายดาย  หลังจากนั้นไม่นานชิตรัตน์จึงเดินออมาจากห้องน้ำ กำลังอ้าปากจะถามเกลก็ยกนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากให้เงียบไว้ ชิตรัตน์รับรู้ก่อนจะเดินมาที่เตียง โอบเอวเกลไว้หลวมๆ พร้อมกดจูบลงไปบนลาดไหล่เล็ก

                “เกลก็นอนได้แล้วนะ”  ชิตรัตน์ว่าก่อนจะช่วยขยับตัวให้เกลลงไปนอนกอดลูกชายส่วนเขากอดเกลเอาไว้จากด้านหลัง  แค่นี้เขาก็มีความสุขจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว มันเหมือนเขาได้ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดต่างๆ ได้รับการให้อภัยจากคนรัก ได้ทำให้ลูกมีความสุข ได้กอดคนที่เขารักเวลานอนหลับ ได้อยู่ด้วยกัน ได้มองหน้ากันและเขาก็เชื่อว่าลูกชายของเขาเองก็ต้องมีความสุขเหมือนกันเวลาที่ได้นอนอยู่ในอ้อมแขนของแม่  เขาหวังว่าในทุกๆ วันเวลาเขาที่ตื่นนอน เขาจะได้เจอกับเกลและได้บอกรักกันก่อนนอนเหมือนดังเช่นในคืนนี้..........

                “พี่รักเกลนะ”

                “เกลก็รักพี่ชินครับ”

______________________________________________________

เขาเจอกันแล้ววววว  :katai2-1:

หลายคนอาจมองว่า เอ๊ะ ทำไมเกลยอมชินง่ายจังลยทั้งๆที่ชินเองก็มีส่วนในเรื่องนี้อยู่บ้าง

มันก็คล้ายๆกับเวลาที่เราไม่พอใจในสิ่งที่เราชอบหรือคนที่เรารักนั้นแหละ ที่ถึงภายนอกส่วนใหญ่จะทำเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่ในใจลึกๆมันก็มีความไม่พอใจอยู่

ซึ่งเกลก็เป็นแบบนั้นแหละ เพราะอย่างหนึ่งที่สำคัญคือเกลปักใจเชื่อไปเกือบหมดแล้วว่าคุณหญิงคือตัวต้นเรื่อง ส่วนชินแค่คนไม่สามารถปฎิเสธได้

สำหรับชินแล้วเกลเลยมีแค่ความรู้สึกหวาดระแวง กลัวว่าจะถูกแย่งลูกไปอีกเท่านั้น


ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 07-01-2017 01:08:48
เกลอ่านไดอารี่ลูกชายแล้วจะเป็นไงอะ
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: zine ที่ 07-01-2017 01:58:23
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: zine ที่ 07-01-2017 01:58:56
สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-01-2017 16:19:59
ความจริงเราอยากเห็นชินตอนเห็นอาการเกลกำเริบจริงๆ เราอยากให้ชินรู้ว่าเกลต้องทรมานขนาดไหน
ที่ต้องอยู่แยกกับลูกตัวเองแบบนี้ อยากเห็นชินสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำมากกว่านี้จัง
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: zine ที่ 08-01-2017 01:52:40
รอตอนใหม่
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 9- 6-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Warnkt ที่ 10-01-2017 14:43:38
รอออออออ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 10 (ธารxแก้ว)- 11-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 11-01-2017 20:21:00
ฝนหยดที่ 10



                เรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านล่างเมื่อครู่ ถ้าจะบอกว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งหมดเลยก็คงไม่ใช่ เพราะคนที่ผิดจริงๆ น่าจะเป็นตัวเขาเองมากกว่าที่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในครอบครัวของอีกคนมากเกินไป จนลืมไปว่าตัวเขาเป็นเพียงคนนอกไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรกับเรื่องเหล่านั้นและที่สำคัญคือเขาสำคัญตัวเองผิดไป แค่เห็นว่าคนอย่างโจนาธารเข้ามาสนิทชิดเชื้อด้วยมันก็ทำให้เขาเผลอเลอไป จนเพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าเขามันก็แค่พนักงานธรรมดาที่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อเข้าถึงตัวชิตรัตน์มากขึ้นก็เท่านั้น  ทั้งที่คิดว่าไม่ได้เผลอตัวเผลอใจไปให้อีกคน แต่ทำไมพอโดนพูดแบบนั้นใส่ เขาถึงได้รู้สึกน้อยใจจนต้องหลบมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ด้วย

               “บ้าจริง จะไหลทำไมเนี่ย”   เขาบ่นขึ้นมาก่อนจะใช้หลังมือเช็ดเอาน้ำตาสีใสที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างลวกๆ  ไม่ใช่ว่าที่น้ำตาไหลมานั้นเป็นเพราะเขาอยากจะร้องไห้หรืออะไร แต่มันไหลของมันเองและเขาก็ไม่รู้ว่าจะหยุดร้องอย่างไรด้วยเช่นกัน


ก๊อก ก๊อก


                “แก้วเปิดประตูให้ฉันหน่อย แก้ว”
                อยู่ดีๆ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของคนที่เขาไม่อยากจะเจอหน้าหรือพูดคุยอะไรด้วยในตอนนี้

               เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจเสียงดังรบกวนอย่างต่อเนื่องที่หน้าประตูอยู่สักพักใหญ่ๆ ซึ่งเขาไม่แม้แต่จะขยับกายออกจากเก้าอี้หวายข้างเตียงไปไหน จนเสียงนั้นเงียบลง

               “หึ”

                แก้วกล้าทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยันในความคิดลึกๆ ของตนเองว่า คนที่อยู่ด้านนอกจะพยายามหรือพูดอะไรมากกว่าคำว่าให้เปิดประตู แต่สงสัยเขาคงจะหวังมากเกินไปจริงๆ

                เหมียววว

               เสียงแมว?

                แก้วกล้าพับเรื่องที่คิดอยู่ลงก่อนหันไปสนใจหาต้นต่อของเสียงแมวปริศนาที่สามารถดึงความสนใจให้เขายอมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปรอบๆ ห้อง เพื่อหาเจ้าผู้บุกรุกตัวน้อยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนั้น จนไปสะดุดสายตาเข้ากับกระเป๋าสะพายใส่ของของตนที่วางอยู่บนเตียงซึ่งขยับไปมาอย่างผิดวิสัย

                เขาค่อยๆ เอื้อมมือเข้าไปจับกุมเจ้าผู้บุกรุกตัวน้อยออกมาจากกระเป๋าก่อนพบว่า สายหูฟังโทรศัพท์ของเขานั้นไปพันเกี่ยวติดกับตะขอป้ายชื่อที่ห้อยอยู่กับปลอกคอซึ่งจมหายเข้าไปในกลุ่มขนขาวปุยฟูนั้น จนเป็นเหตุให้สายหูฟังสีขาวของเขาพันรอบตัวเจ้าแมวดื้อนั่นจนแยกไม่ออก

                ท่าทางจะซนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะขณะอุ้มเจ้าตัวยุ่งนั่นกลับมานั่งที่เดิมเพื่อแก้สิ่งที่พันตัวของมันออก เจ้านี่ก็เล่นร้องจะเป็นจะตายเสียให้ได้

                “เอาล่ะ เสร็จแล้ว”

                เขาพูดขึ้นหลังจากใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการแก้สายหูฟังที่พันอยู่ออก เจ้าผู้บุกรุกตัวขาวกลมหันหน้ามามองเขาเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงออดอ้อนแทนคำขอบคุณซึ่งนั่นก็มากพอจะทำให้เขาอมยิ้มออกมานิด ก่อนจะพาผู้บุกรุกขนฟูซึ่งเขาแอบเห็นชื่อที่สลักอยู่บนแผ่นอลูมิเนียมเนื้อดีว่า ‘เน็ตตี้’

                และดูเหมือนว่าความออดอ้อนของเจ้าเหมียวขนฟูนั้นส่งผลให้เจ้าตัวเล็กในท้องของเขาชอบเจ้าขนฟูตัวนี้ด้วยเช่นกัน ดูสิทั้งดิ้นทั้งเตะจนเขาเจ็บหน้าท้องไปหมดแถมเจ้าเน็ตตี้คงสงสัยว่าในนั้นมีใครอยู่จึงเอาอุ้งเท้ามาตะปบท้องเขาเบาๆ สลับกันไป  นี่เล่นกันไม่สนใจคนกลางอย่างเขาเลยว่าจะเจ็บไหม แต่ไม่เป็นไรอภัยให้

                 ขณะที่กำลังเล่นกับเจ้าเหมียวอยู่นั้นเสียงกุกกักที่หน้าประตูก็เรียกความสนใจให้เขาต้องหันไปมอง ก่อนจะตกใจเมื่ออยู่ๆ คนที่คิดว่าไม่อยู่แล้วกลับเปิดประตูเข้าในห้องเขาพร้อมกุญแจสำรองในมือแทนคำตอบที่เขากำลังจะเอ่ยปากถาม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าบ้านที่เขาอยู่ตอนนี้เป็นของอีกฝ่าย การที่อีกคนจะเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

                “แก้ว”

                ธารเดินเข้ามาในห้องพร้อมเรียกชื่ออีกคนออกมาแผ่วเบา และยิ่งเดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายมากเท่าไร เขาก็ยิ่งสังเกตเห็นความเปียกชื้นที่แพรขนตายาวของคนตัวเล็กยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกผิด

                “แก้วฉันขอโทษ”

                “ขอโทษ? เรื่องอะไรเหรอครับ”  น้ำเสียงห่างเหินยิ่งกว่าตอนแรกที่เจอกันกลับเน้นย้ำให้เขารู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงโกรธเขามากจริงๆ

                 “ก็....”

                 “ผมเหนื่อยมากและก็อยากจะพัก เชิญคุณออกไปด้วยครับ”

                  แก้วกล้าสวนขึ้นมาโดยไม่รอให้ธารพูดจบก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินไปล้มตัวนอนบนเตียง โดยจงใจหันหลังให้ใครอีกคนที่ยืนนิ่งเป็นอากาศธาตุอยู่ในห้อง เขาถือว่าธารยกห้องนี้ให้เขาได้พัก นั่นย่อมถือว่าช่วงที่เขาอยู่ที่นี่ ห้องนี้จะเป็นสิทธิของเขาและการที่เขาจะไล่อีกฝ่ายทางอ้อมแบบนี้ก็คงไม่เสียหายเท่าไร

                  “ฉันไม่ออก”

                 “ก็แล้วแต่สิ นี้บ้านคุณนี่” เขาสวนกลับทันควันอย่างไม่สบอารมณ์ ในเมื่อไล่แล้วไม่ไปก็เรื่องของคุณแล้วกัน อยากทำอะไรก็ทำไปเขาไม่สนใจ เขาคิดก่อนจะคว้าเอาเจ้าตัวยุ่งที่โดดตามขึ้นเตียงเข้ามาใกล้

                 ธารเองที่เห็นท่าทางของแก้วกล้าจึงพอเดาได้อยู่ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่ยังไม่อยากพูดออกมาให้ระคายอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของคนท้องมากนัก เขาทำได้แค่นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่แก้วกล้านั่งอยู่เมื่อครู่ เพื่อมองเจ้าตัวนอนหันหลังให้กับเขาโดยมีเจ้าแมวผีผู้คอยแย่งความสนใจไปจากเขานอนขดตัวอยู่ใกล้ๆ  บางทีเขาก็อยากรู้เหมือนกันนะว่า มันมีอะไรในใจกับเขาหรือเปล่า เวลาเขาอยากจะอยู่อยากจะอ้อนน้องเกล มันก็จะมาเสนอหน้าให้น้องเกลสนใจมันแทนที่จะเป็นพี่ชายที่น่ารักอย่างเขาแล้วคราวนี้มันยังโผล่หน้ามาในห้องของแก้วกล้าอีก นั่นมันว่าที่เมียฉันนะเฮ้ย ไอ้แมวผี ถ้าไม่ติดว่าทำแล้วจะโดนน้องโกรธ อยากจะจับมันไปโยนลงทะเลให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ


                 ผ่านไปหลายนาทีแต่คนท้องตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเลย หรือว่าอีกคนจะหลับไปแล้วจริงๆ อย่างที่พูด  คิดได้อย่างนั้นธารจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วชะโงกแอบดูอีกคนที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียง

                 เอาวะ! รอตื่นค่อยคุยก็ได้

                เขาคิดแต่แทนที่จะเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไปเพื่อให้แก้วกล้าได้นอนพักอย่างที่อีกฝ่ายบอก แต่เขากลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกันนั้นก็คือการลงไปนอนซ้อนด้านหลังของอีกคน แล้วเอามือโอบกอดแก้วกล้าและหน้าท้องนูนของอีกฝ่ายไว้หลวมๆแทน

                “ทำอะไรของคุณเนี่ย!”

                 แก้วกล้าหวีดขึ้นมาทันทีเมื่อถูกคนที่ตัวเองพยายามไล่ไปให้พ้นหูพ้นตาแต่กลับมานอนกอดเขาหน้าตาเฉยแบบนี้อย่างหัวเสีย ทั้งๆ ที่คิดว่าถ้าแกล้งหลับแล้วธารจะพอมีจิตสำนึกที่ดี เห็นใจเขาให้เขาได้พัก แต่นี่อะไรกลับมาฉวยโอกาสจากเขาแบบนี้ได้ยังไง

                 “เอาแขนออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ผมหนักเอาออกไป”  แก้วกล้าพยายามดันท่อนแขนหนาของอีกคนให้ออกห่างไปจากตัวของเขาแต่ก็ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ยอมลูกเดียว จนเขาเองทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาประจันหน้ากับคนที่ยังคงนอนมองหน้าเขาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร

                 “อ้าว ไม่นอนแล้วเหรอ”  ธารแหย่ถาม

                  “...”

                  “ไม่นอนก็ดีเราจะได้คุยกันสักหน่อย” เขาว่าก่อนจะเด้งตัวขึ้นนั่ง

                  “แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”   แก้วกล้าเน้นย้ำคำพูดของตนอีกครั้งก่อนจะพยายามลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหนีอีกคน ก็ได้ ในเมื่อไล่แล้วไม่ไปเขาไปเองก็ได้

หมับ

                แต่ธารเองก็ไวพอที่จะคว้าเขาที่ข้อมือเล็กและมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆทำหน้าจริงจังจนแก้วกล้าเองเริ่มไม่ชอบใจทำเสียงขึ้นจมูกแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นแทน

                “มีอะไรจะพูดก็รีบๆ พูดมาผมอยากจะนอน”  ในเมื่อไล่แล้วไม่ยอมไปก็คงต้องตัดใจเผชิญหน้ากันตรงๆอย่างนี้แล้วสินะ

                 “ฉันขอโทษที่ตะคอกใส่เธอเมื่อกี้”  ธารว่าพร้อมใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ไปตามข้อมือเล็ก

                “ถ้าเรื่องนั้นชั่งมันเถอะ มีอะไรอีกไหมถ้าไม่ก็ออกไปได้แล้ว” เขาว่าพร้อมชักมือออกจากฝ่ามือหนาที่จับข้อมือของเขาอยู่ออกก่อนจะออกปากไล่อีกครั้ง

                 “ทำไมเธอถึงชอบไล่ฉันนัก ไม่อยากเห็นหน้าฉันขนาดนั้นเลยหรือไง”  ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจอหน้าเขาทำอย่างกับเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่อยากเข้าใกล้แถมตอนนี้ยังจะมาไล่เขาอีกทั้งๆที่เขาก็เข้าหาอีกฝ่ายอย่างบริสุทธิ์ใจแท้หรือว่าที่เขาเผลอตะคอกใส่เมื่อครู่มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือไงกันแต่เขาก็ขอโทษไปแล้วนะหรือยากจะให้เขาทำอะไรไถ่โทษอีกก็บอกกันมาสิ ไม่ใช่หันหน้าหนีกันแบบนี้

                “ก็รู้นิว่าผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ คุณมันเจ้าเล่ห์ ไว้ใจไม่ได้พอใจยัง รู้แล้วก็ออกไปได้แล้ว”

                 “ฉันทำอะไรให้เธอคิดแบบนั้นกัน”  เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจะไล่เขายังไงก็ได้แต่ถึงขนาดที่บอกว่าไม่อยากเห็นหน้าเนี่ยเขาทนไม่ได้และไอ้ที่ว่าเขาเจ้าเล่ห์เนี่ยหมายความว่ายังไง

                  “สิ่งที่คุณทำอยู่นี้ไงผมถามจริงเถอะคุณต้องการอะไรกันแน่แล้วไหนจะคุณเกลอีกคุณรู้จักเขาได้ยังไง” แก้วกล้าถามสิ่งที่ติดอยู่ในใจตนเองออกมาทั้งหมดก่อนจ้องมองไปทีอีกคนอย่างต้องการคำตอบ ซึ่งธารเองก็ทำเพียงแค่ถอยหายใจออกมาเบาๆก่อนจะตอบกลับไป

                  “เกลเป็นน้องชายคนเดียวของฉัน”  และคำตอบที่ได้ทำให้เขาต้องตกใจกับเรื่องที่ยินนั้นเป็นอย่างมาก

                  “จะเป็นไปได้ยังไงกันก็ในเมื่อ....”

                  “เป็นไปได้สิ”

                 แก้วกล้ามองอีกคนอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูดออกมาแต่เขาก็ไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมาได้แต่นิ่งเพื่อรอให้ธารอธิบายเรื่องราวนั้นออกมาเอง

                 “ข้อมูลทุกอย่างที่พวกเธอรู้มันเป็นเพียงประวัติปลอมที่พวกเราช่วยกันสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันเกลจากพวกผู้ไม่หวังดี เธอเองก็คงพอจะได้ยินมาบ้างสินะเรื่องเกี่ยวกับตระกูลของฉันน่ะ”  ก็จริงอยู่ที่ตระกูล ดิ.แอลเมอร์ซี่ เป็นตระกูลขุนนางเก่าของราชวงศ์อีกทั้งยังมีอิทธิพลมากมายซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรที่จะมีศัตรูค่อยจ้องจะทำร้าย แต่ที่เขาไม่เข้าใจเลยก็คือ

                  “ทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกคุณชินตั้งแต่แรกว่าคุณคือพี่ชายของคุณเกลแล้วยังจะพาคุณเกลหนีหายเข้ากลีบเมฆไปแบบนี้อีก คุณรู้บ้างไหมว่าคุณชินเขาเป็นห่วงคุณเกลมากแค่ไหน”  เขาถามอย่างขอความเห็นใจ อย่างน้อยเขาก็อยากให้เกรซได้เจอกับแม่ของเขาบ้าง และเขาเองก็ยังเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าคุณเกลเองก็ยังรักเจ้านายของเขาอยู่และเขารับรู้ได้จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เพราะอะไรกันคนคนนี้ที่ดูเหมือนจะรักและเอาใจใส่น้องขนานนั้นถึงกล้าที่จะไม่ยอมให้ครอบครัวเขาเจอกัน

               “คุณไม่สงสารคุณชินมั่งเหรอ คุณชินตามหาคุณเกลมาตลอดเลยนะ”

               น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงในตอนที่พูดถึง ชิตรัตน์ อย่างของความเห็นใจของแก้วกล้ามันทำให้ธารรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องปกป้องกันขนาดนี้ผู้ชายคนนั้นทำให้น้องเขาเป็นแบบนี้ผลักไสน้องเขาเหยียบย้ำหัวใจของน้องจนไม่เหลืออะไรแล้วทำไมทำไมต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้านายนักหนาขนาดคนที่ควรจะเป็นเดือดเป็นร้อยจริงๆนะยังไม่เห็นสนใจจะมาถามอะไรเขาเลย

               “ทำไมฉันต้องสงสารคนอย่างมันด้วยแก้ว” เขาคำรามเสียงดังจนอีกคนถึงกับผงะ

               “ทำไมฉันต้องสงสารคนที่มันทำร้ายน้องของฉันด้วย “

                “คุณธาร...”

               “เธอเอาแต่พูดว่าให้สงสารให้เห็นใจมัน แล้วน้องฉันล่ะมันเคยเห็นใจบ้างไหมมันเคยรู้ไหมว่ามันทำอะไรไว้กับคนที่มันพล่ามว่ารักนักรักหนา ฉันจะบอกให้ เพราะมันน้องเกลถึงต้องรักษาอาการทางจิตอยู่ตั้งหลายปีกว่าจะดีขึ้นและเพราะมันอีกนั้นแหละที่ทำให้น้องฉันเดินไม่ได้ เพราะมันคนเดียวที่ทำให้ชีวิตของน้องฉันต้องเจอแต่เรื่องเลวร้ายทั้งหมด”

                 ธารตวาดออกไปอย่างเหลืออด ทำไมใครๆถึงทำเหมือนมันเป็นคนดีนัก เกลก็เหมือนกันทำไมถึงไม่มีอาการอะไรเลยทั้งๆที่เกลควรจะอาละวาทใส่มันสิ ด่ามันให้สาสมกับที่มันทำไว้สิ แล้วทำไมเกลถึงยังยอมให้มันอยู่ข้างๆอีกเพราะอะไร

                “แต่ที่คุณชินทำไปเพราะเขาเองก็มีเหตุผลที่ต้องทำมัน เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เสียงหน่อย ส่วนไอ้เรื่องที่ทำให้คุณเกลเดินไม่ได้ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ คุณชินไม่เคยเจอคุณเกลเลยตลอดห้าปีที่ผ่านมาแล้วจะว่ากล่าหากันแบบนี้ผมว่ามันจะเกินไปหน่อยหรือเปล่า”

                แก้วกล้ายังคงค้านความคิดของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน ถึงจะรู้ว่าที่อีกฝ่ายจะโกรธชิตรัตน์นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรแต่บางทีธารเองก็ควรจะฟังเหตุผลของชิตรัตน์บางถึงแม้ที่ชิตรัตน์ทำไปมันจะผิดจริงอย่างที่อีกคนว่าแต่ก็ไม่ใช่เอะอะอะไรก็โยนให้มาเป็นความผิดชองชิตรัตน์คนเดียวแบบนี้เขาว่ามันไม่ถูกต้อง

               “ไม่เกินไปหรอกนี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับความชั่วของมันที่ทำเอาไว้ ”  ธารว่ากลับด้วยสายตาวาวโรจน์อย่างถือเอาความคิดและอคติตนเองเป็นที่ตั้ง

                “คุณก็หัดฟังเหตุผลของคนอื่นบ้างจะได้ไหม บะ......”

                “แล้วทำไมแก้วต้องเข้าข้างมันด้วย!!” เขาตะคอกกลับใส่อีกฝ่ายอีกครั้งอย่างเหลืออดทำไมต้องเข้าข้างมันด้วย น้องเขาต่างหากที่น่าสงสารมันทำน้องเขานะ มันสิที่เป็นคนผิดเขาไม่สนหรอกว่าแก้วกล้าจะพูดอะไรจะพูดให้ท้ายให้มันดูดียังไงมันก็เป็นคนผิดถ้าวันนั้นไม่ใช่เพราะมันน้องของเขาก็คงไม่วิ่งลงจากรถเพื่อไล่ตามมันไปจนถูกรถอีกคันชนเข้าให้จนต้องนอนอยู่ในห้องไอซียูเกือบอาทิตย์แถมยังจ้องมาเป็นอัมพาตชั่วคราวแบบนี้อีกแล้วทำไมแก้วกล้าถึงยังมองมันดีอยู่อีก ทำไม หรือว่า...
 
               “ชอบมันหรอหลงมันนักหรือไงถึงออกตัวปกป้องมันขนาดนี้นะแก้ว”  บางทีเขาก็อยากตบปากตัวเองที่มันชอบพูดออกไปโดยไม่คิดเหมือนกัน แต่งานนี้ให้คิดก็คงไม่ได้แล้วเพราะยามอารมณ์ขึ้นเป็นใหญ่เหนือสติ สิ่งที่แสดงออกมามักจะเป็นอารมณ์ดิบในส่วนลึกของจิตใจ

                “คุณพูดบ้าอะไรของคุณ”

                “พูดบ้าอะไร ฉันก็แค่พูดตามที่เห็น เหอะ ออกตัวปกป้องกันขนาดนี้ฉันชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิว่าไอ้ตำแหน่งงานที่ทำๆกันอยู่เนี่ยมันเป็นแค่ฉากบังหน้าหรือเปล่าหรือได้มาเพราะอะไรๆที่มันน่าขยะแขยงหรือเปล่า เอ๋ คงไม่ใช่ว่าเด็กในท้องนี้ก็ลูกไอ้ชินมันหรอกนะ”

เพี๊ยะ

         
      :katai1:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 10 (ธารxแก้ว)- 11-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 11-01-2017 20:22:06
:m15:



               สิ้นคำพูดถากถางอย่างร้ายกาจใบหน้าของเขาก็หันไปตามแรงตบของเจ้าของฝ่ามือเล็กที่ถึงถึงจะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้สติของเขากลับมาได้ทั้งหมดรวมถึงอารมณ์เลือดร้องเมื่อครู่ก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว   ทำให้ตอนนี้ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบจนทำให้คนที่เอ่ยถ้อยคำร้ายแรงนั้นได้คิดทบทวนจนเกิดเป็นรู้สึกผิดและใจเสียขึ้นมาเกาะกุมหัวใจของเขาแทน และยิ่งได้เห็นร่างเล็กๆกำลังสั่นไหวรวมถึงมือสองข้างกำไว้แน่นจนสั่นเทา

               เขาเสียใจยอมรับ ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรแบบนั้นออกไปเพื่อดูถูกศักดิ์ศรีของอีกคน เขารู้ว่าแก้วกล้าเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมากและการที่เขาพูดออกไปเช่นนั้นก็เหมือนเป็นการดูถูกอีฝ่ายเป็นอย่างมาก    ธารค่อยๆหันกลับมามองคนท้องที่ตอนนี้ลุกมายืนอยู่ตรงหน้า

                “แก้ว....ฉัน”

                “ออกไป”

                “แก้ว”

                “ผมบอกให้ออกไปไง!!” ธารเบิกตาอย่างตกใจใส่คนที่ตะวาทเขา แก้วกำลังร้องไห้

                 เพียงแค่น้ำตาไม่กี่หยดของอีกฝ่ายแต่มันกลับทำให้หัวใจของเขาตกวูบลงไปอยู่ตาตุ่ม ครั้งพอพยายามจะเขาไปหาอีกฝ่ายที่เริ่มเอามือกุมท้องด้วยสีหน้าไม่สู่ดีแบบนั้น เขายิ่งเป็นห่วงอยากจะเข้าไปดูแลแต่อีกคนกลับเดินหนีและขับไล่

                “ผมบอกให้ออกไปไง ออกไปเดี๋ยวนี้!!”  เสียงตะโกนปนสะอื้นทำให้เขาก้าวขาไม่ออกได้แต่ยืนอยู่กับที มองคนท้องทีทรุดตัวลงบนเตียงที่ยังคงกำมือแน่นอย่างสะกดอารมณ์ เขาไม่รู้ว่าแก้วกำลังสะกดอารมณ์ไหนอยู่ แต่ถ้าขืนเขายังอยู่แก้วกล้าก็จะยิ่งเครียดแล้วมันก็คงจะไม่ส่งผลดีต่อเด็กในท้องอย่างแน่นอน  ทางทีดีเขาควรจะออกไปก่อนสินะ รออีกฝ่ายอารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนแล้วค่อยคุยน่าจะเป็นทางทีดีที่สุด เมื่อคิดได้อย่างนั้นธารก็เดินออกไปที่ประตูแต่ก่อนทีประตูจะปิดลง ธารมองไปยังแก้วทียังนั่งอยู่ขอบเตียงแล้วพูดออกไปเบาๆ

                “ขอโทษ”

ผลัก

            แรงประทะของหมอนขนเป็นสีขาวที่ถูกปามาใส่แผ่นหลังหนาของเขานั้นยิ่งตอกย้ำให้เขารู้ชัดเลยว่าเขานั้นได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดลงไปแล้ว  เขารู้สึกชาวาบไปทั้งหน้ายามที่มองกลับไปหาแก้วกล้าที่นอนหันหลังเขาเขาอีกครั้งก่อนจะปิดประตูแล้วออกไปจริงๆด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ เพราะความปากพร่อยไม่รู้จักยังคำของเขาแท้ๆรู้ทั้งรู้ว่าอารมณ์ของแก้วอ่อนไหวขนาดไหนแต่เขาก็ยังพูดดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่ายอีก

              แค่โดนปาหมอนในนี้มันยังน้อยไปจริงๆ   เขาคิดในใจแต่ดูท่าแล้วจะมีคนที่คิดเช่นเดี๋ยวกันกับเขาด้วยเหมือนกัน

              “มันไม่น่าจบแค่การปาหมอนใส่เลยนะ”  เสียงของไรอัลหนึ่งในผู้รับชมการถ่ายทอดสดอยู่หน้าประตูห้องของแก้วกล้าเอ่ยขึ้นเรียบๆ ใส่อีกคนที่สีหน้ายังคงดูสลดใจอยู่

               “ผมเคยบอกคุณหลายครั้งแล้วนะครับเรื่องการพูดไม่คิดแบบนี้”  คราวนี้เป็นพลเองที่เอ่ยตักเตือนคนเป็นนายที่อายุน้องกว่าตน เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกคนปากพร่อยพูดจากไม่ดีใส่คนอื่น และพลเองก็เป็นคนหนึ่งที่เวลาพูดหรือเตือนอะไรไปธารมักจะรับฟังมากที่สุด คงจะเป็นด้วยอายุที่มากกว่าและบุคลิกที่เป็นคนพูดน้อยต่อยหนักของเขาด้วยที่แม้แต่ธารยังต้องเกรงใจ

               “ผมขอโทษ” เขาพูด

               “ไม่ครับคนที่คุณควรพูดคำนั้นด้วยคือคุณแก้วครับไม่ใช่พวกผม เอางี้ดีกว่าผมว่าเรารอให้คุณแก้วลงก่อนแล้วค่อยไปขอโทษอีกทีก็แล้วกันนะครับ” ชายเสนอทางแก้ให้ก่อนจะบอกให้เจ้านายตัวโตของเขากลับเข้าไปพักที่ห้องก่อนส่วนเรื่องของแก้วกล้าพวกตนจะเป็นฝ่ายดูแลให้เอง

               “ขอบใจพวกนายมาก เดี๋ยวฉันว่าจะลงไปดูน้องเกลสักหน่อยก่อน”  ธารว่าก่อนจะทำมือให้ชายกับพลที่ยืนขว้างทางลงให้หลบไป แต่กลับถูกปีแอร์พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

               “อย่าเลยครับบอส ตอนนี้เป็นเวลาครอบครัว” เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจพร้อมกลับหันมามองเจ้าตัวคนพูดที่ทำหน้ายิ้มแก้วปริ

                “หมายความว่าไง”

                “ก็ตอนนี้เกลลี่อยู่กับคุณชินและก็น้องเกรซ นอนกอดกับกลมอยู่ที่ห้องข้างล่างยังไงละครับ”  ปีแอร์ตอบ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพอใจกับคำตอบเสียเท่าไร

                “ทำไมถึงปล่อยให้มันอยู่กับน้องเกล ถ้ามันทำอะไรน้องฉันขึ้นมาจะทำยังไง” เขาเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง

                “บางทีบอสก็ควรยอมรับความจริงสักทีนะครับ” น้ำเสียงจริงจังที่นานนานครั้งจะได้ยินมันออกมาจากปากของหมอหนุ่มสัญชาติอิตาลีนั้น ฉุกรั้งให้ธารต้องยืนนิ่งอยู่ที่หน้าขั้นบันได

                “พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันต่อให้บอสพยายามจะพาแต่น้องเกรซกลับมาแต่บอสคิดจริงๆ หรือครับว่าเกลลี่จะไม่ต้องการให้คนรักลับมาอยู่กับตัวเองด้วย  ยอมรับเถอะครับว่าคนที่จะรักษาเกลลี่ได้จริงๆแล้วก็คือคุณชิตรัตน์”

               คำพูดของปีแอร์ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้แต่เขาแค่ไม่ยอมรับมันเหมือนที่อีกคนว่า เขาแค่ไม่อยากยอมรับมันเท่านั้นว่าสุดท้ายแล้วคนที่ทำร้ายน้องเขาก็คือคนที่น้องเขารักมากที่สุด

                ธารนิ่งไปกับคำพูดนั้นก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าห้องของตัวเองไปเงียบๆแทนท่ามกลางสายตาของคนสนิททั้งสี่ที่ยังคงยืนกันอยู่ที่เดิม

                “น่าเบื่อ”   พลบ่นออกมาก่อนจะเดินลงบันไดไปเพื่อกลับไปเตรียมอาหารสำหรับมื้อค่ำต่อ เช่นเดียวกับชายที่เดินตามหลังเพื่อนสนิทลงไปด้านล่าง แต่เดิมที่ที่พวกเขารีบขึ้นมาข้างบนก็เพราะเสียงทะเลาะของทั้งสองที่ดังลอดออกมาจากบานประตูที่ไม่ได้ปิดและที่ขึ้นมาเนี่ยก็เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เท่านั้นและเมื่อมันไม่มีอะไรพวกเขาก็แค่กลับไปพักต่อก็เท่านั้น ส่วนเรื่องที่เหลือไว้รอตอนเย็นเดี๋ยวก็ได้รู้กันเองแหละว่าจะเป็นยังไงต่อ   ส่วนไรอัลเองเมื่อไม่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องอยู่ต่อเขาเองก็เดินกลับเข้าไปที่ห้องของตัวเองที่อยู่ถัดออกไปโดยมีปีแอร์ที่ยังคงตามง้อเขาอยู่วิ่งตามมาด้วย


               ธารกลับเข้ามานั่งอยู่บนเตียงอย่างใช้ความคิด เขารู้ตัวว่าเขาทำผิดต่ออีกคนมาโดยเฉพาะปากพร่อยๆของเขาที่พูดคำไม่น่าฟังแบบนั้นออกไป จนเป็นเหตุให้เขาต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ นี้ถ้าแม่รู้ว่าเขายอมให้อารมณ์เป็นให้อย่างนี้แล้วละก็มีหวังได้กลับไปยืนรับไม้เรียวเหมือนสมัยเด็กอีกแน่ๆ แค่ขึ้นก็เสี่ยวสันหลังวาบแล้วเนี่ย

               “โว้ยยยยยยยยยยยย”

              เมื่อคิดไม่ออกก็หาทางระบายโดยใช่เสียงแทนนี้แหละวะ  เขาร้องออกมาก่อนหงายหลังลงกับที่นอนนุ่มแทนก่อนจะเผลอหลับไปในสุด


ก๊อก ก๊อก

                “คุ..ลุ..ค...”

                อื้มม เสียงอะไรน่ะ

                “คุณ......ลุง.......”

                “อื้ม”

                เขาครางเสียงต่ำในลำคออย่างรำคาญ พร้อมกับยกมือขึ้นปัดบางสิ่งที่กดจิ้มกับแก้มของเขาไปมาอย่างหงุดหงิด ก็แบบคนมันจะนอนแล้วมีอะไรมายุกยิกอยู่กับร่างกายเราแบบนี้เป็นใครใครก็รำคราญถูกไหม?

                และตอนนี้เขาก็รำคราญมากจนต้องพลิกตัวหนี แต่ดูท่าทางแล้วไอ้ตัวน่ารำคาญนี้จะไม่ยอมปล่อยให้เขานอนสบายๆแน่ๆ ไม่ให้นอนก็ไม่นอนวะ

                เขาค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะกระพริบเล็กน้อยเพื่อปรับโฟกัสของสายตาให้ชัดขึ้นก่อนจะพบหน้าของหลานชายตัวเล็กที่ชะโงกหัวเข้ามาหาเขา

                “เกรซ?”

                “ตื่นๆๆๆ คุณลุงตื่นเร็วไปกินข้าวกัน”

                แรงจากสองแขนเล็กที่พยายามฉุดเขาให้ลุกขึ้นพร้อมกับแกว่งไปมาจนดูเหมือนว่าอยากจะเล่นกับเขาเสียมากกว่าเมาเรียกให้เขาไปกินข้าวอย่างจริงจังแต่ว่านะแรงแค่เนี่ยมีหรือคนที่ทำอะไรเขาได้ มันต้องแบบนี้

หมับ

                “โอ๊ะ!”

                เขาจัดการคว้าเจ้าตัวแสบเขามากอดไว้ก่อนจะพลิกซ้ายพลิกขวาเล็กอย่างเมามันจนเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของเจ้าตัวเล็กดังลั่นไปทั่วห้อง แหม่ หลานใครเนี่ยน่าฟัดจริง

                “ฮ่าฮ่าฮ่า”

                ตัวนิ่มอีกต่างหากเหมือนน้องเกลตอนเด็กเลย เขาคิดก่อนจะจับเด็กน้อยพลิกอีกรอบ แต่ขณะที่กำลังจะพลิกอีกรอบก็ดันมีเสียงขัดขึ้นมาเสียก่อน

                “คุณธาร”
ถึงไม่มองเขาก็จำได้ว่าเสียงที่เรียกชื่อของเขานั้นเป็นใคร แต่น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนี้สินี้เขาเผลอทำอะไรผิดอีกเนี่ย

                “คุณเล่นกับเด็กแบบนี้ได้ไง ถ้าตอนกลางคืนแกผวาขึ้นมาจะทำยังไง”  เสียงเอ็ดอย่างไม่พอใจพร้อมกับอุ้มเจ้าตัวเล็กให้ออกมาจากตัวของเขาทำให้เขาสามารถเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายได้ชัดขึ้นแต่ดูท่าแล้วอีกคนจะไม่ยากแม้จะมองเขาเลยด้วยซ้ำไป

                “หนุก ฮ่าฮ่า เกรซหนุก”  เกรซยืนยิ้มร่าอยู่บนที่นอนของเขาพร้อมกับตบมือไปมาประกอบให้แก้วดู

                “ครับๆๆ”

                แก้วกล้าขานรับก่อนช่วยจับให้เกรซลงจากเตียงของธารซึ่งโชคดีที่เตียงไม่ได้สูงมาจนเขาต้องอุ้มลงไม่งั้นคงจะปวดหลังแย่เลย พอเกรซลงมาได้แล้วเขาก็จูงมือคู่น้อยนั้นเดินไปที่ประตูเพื่อลงไปกินข้างข้างล่างโดยที่เขาเองจงใจเมินสายตาที่เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่ามีเรื่องอยากจะคุยด้วย แต่แล้วยังไงละเขาไม่มีอะไรจะคุยด้วยนิ

                “โอ๊ะ”
                อยู่ๆเด็กน้อยที่จับมือของเขาอยู่นั้นก็สะบัดมือออกก่อนจะวิ่งไปเกาะขาของเจ้าของห้องที่เอาแต่นั่งมองมาทางเขา

                “คุณแม่บอกให้มาตามคุณลุงไปกินข้าว ไปกินข้าวกัน”

                ธารยิ้มพร้อมอุ้มหลานชายของตนขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของแก้วกล้า  แต่อีกฝ่ายกลับหันหน้าหนีเขาแล้วเดินนำลงบันไดไปเองเสียดื้อๆ  นี้ไม่แม่แต่จะอยากมองหน้าเขาเลยจริงๆหรือเนี่ย  คิดแล้วก็ช้ำใจอยากตบปากตัวเองแรงๆจริงๆ

                “คุณลุงทำอะไรให้อาแก้วโกรธหรอ” อยู่ๆเจ้าตัวเล็กที่เขาอุ้มอยู่นั้นก็ถามขึ้นมา

                “นิดหน่อยนะ” คือตามจริงก็ไม่นิดหรอกนะ แต่ถึงพูดไปเด็กห้าขวบแบบเกรซก็คงไม่เข้าใจหรอก

                “เกรซไม่เชื่อคุณลุงหรอก ขนาดหางตาอาแก้วยังไม่มองเลย  เกรซว่าอาแก้วต้องโกรธคุณลุงมากแน่ๆ”   ก็รู้หรอกว่าเด็กมันพูดแต่ความจริงเพราะโกหกไม่เป็น แต่ก็อย่าซ้ำเติมกันสิ นี้ลุงนะให้กำลังใจกันหน่อยก็ได้

                “เดี๋ยวเรื่องนี้ลุงจัดการเองได้น่า” เขาว่าเพื่อตัดรำคาญแล้วอุ้มหลานชายแสนซื่อของตนเดินไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะส่งหลายคืนให้กับน้องชายของเขาที่กางแขนรอรับลูกชายสุดที่รักอยู่ข้างๆคนที่เขาเกลียดขี้หน้าหมายเลขหนึ่งแล้วจึงกลับไปนั่งประจำที่ของตนที่หัวโต๊ะ
 

                ความเงียบที่ปกคลุมทั่วโต๊ะอาหารจนทำให้เกิดบรรยากาศที่ดูอึมครึมนั้นไม่ต้องสืบเขาก็พอรู้ละว่ามันมาจากแก้วกล้าที่ส่งมาให้เขาส่วนการที่เกลกับชิตรัตน์ไม่เอ่ยหรือพูดอะไรออกมาก็คงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยแล้ว แต่คงจะมีแค่ชาติคนเดียวล่ะมั้งที่ดูจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่คนเดียว   อยากจะพูดอยู่หรอกว่าน่าสงสารแต่ตอนนี้เขาสงสารตัวเองมากกว่านี้ขนาดง้อด้วยการตักกับข้าวใส่จานให้ฝ่ายนั้นก็เขี่ยทิ้งไว้ที่ข้างจานไม่ยอมเตะเลยสักนิด รู้ซึ้งถึงคำว่าน้ำตาตกในก็วันนี้แหละ

                กว่าอาหารมื้อนี้จะจบลงเขามีความรู้สึกว่ามันชั่งยาวนานเสียเหลือเกินจริงๆ แต่ก่อนที่จะมีใครลุกขึ้นจากที่ของตัวเองเสียงของเกลก็พูดขึ้น

                “คืนนี้พี่ชินจะนอนกับเกลนะครับ”  เขายอมรับว่าไม่พอใจอย่างมากที่อยู่ๆน้องก็พูดขึ้นมาแบบนั้นแต่ก่อนที่เขาจะค้านออกไปสายตาของเขาก็สบเข้ากับดวงตาสวยของคนพูดที่สื่อให้เขารู้ว่าที่อีกคนพูดไม่ใช่เป็นการขอแต่เป็นแค่คำบอกกล่าวที่เขาไม่มีสิทธิค้าน

                “ก็ได้”   มันก็แค่ความจำใจล่ะวะ เขาเอาลิ้นดุนกระพุงแก้มไปมาอย่างไม่พอใจโดยสายตาเอาแต่จับจ้องไปยังร่างอวบของคนท้องที่เดินขึ้นไปด้านบนโดยมีชาติและเกรซเดินตามติดไม่ห่าง

                ยิ่งมองยิ่งหงุดหงิด ไม่มองแม่งละ ธารคิดก่อนหันกลับมามองน้องชายของตนที่หันไปคุยกับชิตรัตน์อย่างหน้าชื้นตาบานเห็นแล้วหมั่นไส้

                เขาลุกขึ้นก่อนเดินเข้าไปแทรกกลางตรงช่องว่างของเก้าอี้ที่ทั้งสองนั่งอยู่พร้อมสายตาที่มองทาทางเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่มีหรือเขาจะสนในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครสนใจเขาเขาก็ต้องเรียกร้องความสนใจจากน้องเขาสิถึงจะถูก

                “อะไรเหรอครับพี่ธาร”

                “...”

                “?”
 
                “ฝันดีนะครับ” เขาว่าก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มนิ่มของเกลอย่างเช่นทุกคืนก่อนนอน ถึงคนที่โดนหอมจะมีสีหน้างงๆ ใส่เขาอยู่ไม่นอน แต่ก็ยอมที่จะหอมเขากลับ

                “ฝันดีเช่นกันครับพี่ธาร”     

                เขาส่งยิ้มปลอบใจให้พี่ชายนิดๆ ก่อนจะหันไปหาคนรักของเขาเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้กลับเข้าห้องไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการลงพื้นที่ในวันพรุ่งนี้  ส่วนเรื่องระหว่างพี่ธารกับเลขาของชิตรัตน์นั้นเขาเองก็ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วและงานนี้พี่ชายของเขาผิดจริงและงานนี้เขาจะไม่ของยุ่งด้วยเพราะเขาถือว่าเป็นเรื่องของคนสองคน คนนอกอย่างเขาไม่ของยุ่งด้วยจะดีกว่า อยากได้เขามาเป็นลูกสะใภ้ให้แด๊ดกับคุณแม่ก็พยายามเอาเองละกัน

                “น่าสงสารจังเลยนะ”

                 ธารหันกลับไปมองไรอัลที่ยืนกอดอกมองมาที่เขาถึงหน้าจะนิ่งยังไงแต่สายตาที่มองมานะรู้ว่ากำลังสะใจบ่นขบขันอยู่ข้างๆสามีเด็กของตัวเอง สงสัยจะง้อกันเรียบร้อยแล้วละสิถึงได้ยืนชิดกันจนแทบจะสิ่งกันอยู่แล้วแบบนี้

                “ใครน่าสงสารกัน พูดให้ดีๆ นะ” 

                “คนแถวนี้น่ะ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นขยะเปียก” ดู ดูมันเปรียบ เล่นซะเขาไม่มีค่าเลย

                “ไรรี่ นี่นายอยู่ข้างฉันจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย”
                ซ้ำเติมกันจริง  และนั้นไม่ต้องมามองเขาด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ ทำไมเมื่อก่อนก็เรียกอยู่เป็นประจำที่เดี๋ยวนี้ล่ะทำตาเขียวใส่

                “หยุดเรียกฉันแบบนั้นเลยนะธาร”  ไรอัลเริ่มขึ้นเสียงใส่ กลัวตายละตัวก็แค่นี้

                “แล้วจะทำไมหรือครับ ไรรี่”  เขาเน้นชื่อเล่นของอีกฝ่ายเพื่อหวังยั่วโมโห แต่ผิดคาดที่งานนี้เจ้าตัวกลับไม่โกรธและทำเพียงหยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยมีมือของปีแอร์โอบอยู่ที่เอวตลอด  เหอะ กลัวหายหรือยังไงกัน

                 “นายจะยืนตรงนี้อีกนานไหมครับ ผมจะเก็บโต๊ะ” เสียงโทรนต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ของพลดังขึ้นให้เขาเสี่ยวสันหลังวาบเล่น ก่อนหันไปมองทางด้านหลังที่อีกฝ่ายกำลังเก็บโต๊ะอาหารในส่วนของเขาอยู่และเขาคือสิ่งกีดขวางชิ้นโตในสายตาของอีกคน

                  “ถ้ายังขวางทางอยู่ผมจะให้นายเก็บจานเองนะครับ”

                    ครับ โอเคครับ

                     ไม่ใช่ว่ากลัวหรืออะไรนะแค่เกรงใจเฉยๆ พี่พลน่ะมันพวกพูดน้อยต่อยหนักอย่าได้ริมีเรื่องหรือทำพี่แกไม่พอใจเชียวศพไม่สวยสักรายเพราะงั้นเลี่ยงไว้ดีที่สุด เขายังจำได้เลยเมื่อก่อนตอนเรียนการต่อสู่กับพี่แกเล่นสะเขานอนหยอดน้ำข้าวต้มไปเป็นเดือนส่วนอีกคนนะหรอไร้รอยขีดขวนพ่อเขางี้ชมใหญ่เลยว่าเก่งอย่างนู้นเก่งอย่างนี้ส่วนเขาที่เป็นลูกโดนด่าหูฉีกเลย

                     และเมื่อไม่มีใครสนใจคนอย่างเขาอยู่ไปก็ไร้ค่าเขาจึงระเห็จย้ายร่างโตๆของตัวเองกลับเข้าไปที่ห้องเพื่อจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วกลับมานอนที่เตียงอย่างคิดหนัก เขาจะง้อคนตัวเล็กอย่างไรดีนะ แถมโดนเจ้าหลานตัวดีพูดแบบนี้อีกงานนี้เขาจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย 

                  เอาวะลองเดินไปดูที่ห้องก่อนละกัน
 

                เมื่อคิดได้อย่างนั้นธารก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องของแก้วกล้าทันที แต่ก็เท่านั้น เมื่อเขาเองไม่กล้าจะเคาะประตูเพื่อเรียกอีกฝ่าย เลยทำได้แค่ยกมือขึ้นทำท่าจะเคาะแล้วก็เอาลง เดินวนไปวนมาอย่างคิดไม่ตกว่า ถ้าอีกฝ่ายเดินออกมาจะพูดยังไงขอโทษเลยโต้งๆ หรือว่าจะยังไงดี

                “มาหาอาแก้วหรอครับ”  เกรซเพิ่งเดินออกจากห้องนอนของตัวเองมาพร้อมสมุดสีน้ำตาลในมือเอ่ยทักคุณลุงที่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องอาแก้วอยู่ตั้งนานสองนาน เกรซเห็นแล้วเวียนหัว

                “จะเข้าก็เข้าสิครับ มา เดี๋ยวเกรซเปิดให้” สงสัยคุณลุงจะมาของนอนกับอาแกล้วแล้วเปิดประตูเองไม่เป็นแน่เลย น่าสงสารจัง เดี๋ยวเกรซเปิดให้เนอะ

                “ไม่ต้องๆๆ เดี๋ยวลุงเปิดเอง”  เขารีบก้มไปจับตัวหลานชายออกมาให้ห่างจากประตูทันที คือแบบยังไม่พร้อมเว้ย อย่างรีบ

                   “เดี๋ยวลุงเปิดเข้าไปเองดีกว่าแล้วนี้เกรซจะไปไหนดึกแล้วทำไมไม่ไปนอนครับ”  เขาลูบหัวของเกรซเบาๆ พร้อมถามขึ้น

                   “ผมจะลงไปนอนกับคุณพ่อคุณแม่”  เกรซตอบเสียงดังฟังชัด เขาเองก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกในเมื่อชิตรัตน์ลงไปนอนกับน้องเขาที่ห้องด้านล่างและเกรซเองก็คงอยากจะนอนกับพ่อกับแม่บ้างและในมือก็คงจะเป็นพวกหนังสือนิทานก่อนนอนล่ะมั้ง

                  “งั้นก็รีบไปนอนได้แล้วครับ”

                    เขาว่า ก่อนจะเดินไปส่งถึงหน้าห้องนอนของเกลแล้วจึงค่อยเดินกลับขึ้นมาหยุดอยู่ที่ห้องของแก้วกล้าอีกครั้ง เขายืนนิ่งรวบรวมกำลังใจที่มีอยู่สักพักก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อเตรียมเคาะประตูแต่ก็ต้องชะงัก

โครม

                เสียงเหมือนของหนักๆกระแทรกกับพื้นเสียงดังลอดออกมาจากห้องทำให้เขาเป็นห่วงคนในห้องเป็นอย่างมากและไม่คิดจะเคาะประตูอีกต่อไป  เขารีบหมุนลูกบิดแล้วเปิดเข้าไปทันทีอย่างร้อนใจกลัวว่าคนในห้องจะได้รับอันตรายอะไร

                “แก้ว!!!”

                ธารตะโกนเรียกอีกฝ่ายเสียงดังทันทีที่เข้าไปในห้องแต่ก็ต้องยืนนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่เขาเรียกเมื่อครู่ยังอยู่ดีแต่ที่ไม่ดีนะคือหัวใจเขาตอนนี้มากกว่าที่ดันพรวดพราดเข้ามาได้จังหวะเห็นอีกคนกำลังเลิกชายเสื้อขึ้นเปิดโชว์หน้าท้องนูนๆ ขาวๆ นั้น แถมท่อนล่างยังเป็นแค่กางเกงขาสั่นโชว์เรียวขาต้นขาขาวๆนั้นอีกมันทำเอาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลือดลมสูบฉีดอย่างหนักจนรู้สึกเหมือนเลือกกำเดาจะไหล

                 “คุณเข้ามาทำไม แล้วนั้นมองอะไรนะ!!” ธารได้สติทันทีเมื่อได้ยินเสียงแว้ดๆ ของอีกฝ่ายดังขึ้นพร้อมกับรีบเอาชายเสื้อนอนที่เลิกสูงขึ้นนั้นลง นี้ถ้าเขามองไม่ผิดใบหน้าของแก้วกล้าดูจะขึ้นสีแดงนิดๆ ด้วยสิ

                “เอ่อ คือ..ฉันได้ยินเสียงดังมาจากในห้องแล้วกลัวว่าแก้วกับลูกจะเป็นอะไรไป..เลยเข้ามาดู...”  เสียงที่ดูจะประหม่าเป็นอย่างมากจนเขาเองยังไม่แน่ใจว่านี้คือเสียงของตัวเองดังขึ้นแก้ตัว  พร้อมที่มองไปรอบๆห้องเพื่อหาความผิดปกติก่อนจะไปพบกระเป๋าเสื้อผ้าที่ตกอยู่ที่พื้นโดยข้างๆเป็นเก้าอี้ที่น่าจะเป็นต้นกำเนิดของเสียงนอนอยู่ข้างๆ

                “ผมไม่เป็นอะไร เน็ตตี้มันจะกระโดดไปที่ตู้แต่ไม่พ้นเลยทำของตกเสียงดังนะ” ธารหันไปมองคนตอบ ก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวปัญหาที่มุดออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของแก้วกล้าแล้วมองหน้าเขาเหมือนเขาเป็นตัวประหลาดทั้งที่ในความจริงแล้วมันนั้นแหละตัวประหลาดไอ้แมวผี

                  เขาบ่นในใจก่อนจะเอื้อมมือหนาของตนออกไปอุ้มเจ้าเหมียวนั้นไปวางไปที่เตียงแล้วจึงค่อยหันกลับเก็บข้าวของที่ตกอยู่กับพื้นพับเก็บใส่กระเป๋าให้อีกฝ่ายจนเรียบร้อยแล้วจึงนำกลับไปวางไว้บนเก้าอี้ที่ยกขึ้นกลับมาตามเดิม

                 ธารหันกลับมามองอีกฝ่ายที่ยังทำท่านอนตะแครงข้างโดยมีเจ้าแมวผีนอนออเซาะให้คนท้องลูบหัวอยู่ข้าง เขามองอีกคนอย่างชั่งในอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งที่ข้างเตียงหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนที่ยังนอนลืมตามองหน้าเจ้าเน็ตตี้อยู่

                  “ฉันอยากมาขอโทษแก้ว ฉันรู้ว่าฉันผิดฉันมันปากพร่อยเองอภัยให้ฉันได้ไหม” เสียงเว้าวอนของธารทำให้แก้วกล้าเหลือบตากลับไปมองนิดแล้วหันกลับไปสนใจเจ้าแมวข้างๆแทน

                “ฉันรู้ว่าที่ฉันทำไปมันทำให้แก้วรู้สึกแย่ แต่ฉันอยากให้แก้วรู้ว่าจริงๆแล้วฉันไม่ได้ต้องการจะพูดให้แก้วดูแย่หรือดูไม่ดี” เขาพยายามพูดต่อแม้ว่าอีกคนจะทำเป็นไม่สนใจก็ตาม

                “ฉันรู้ว่าฉันมันแย่ที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือการควบคุม แต่นั้นก็เพราะฉันโมโห ฉันไม่ชอบเลยที่แก้วพยายามปกป้องไอ้หมอนั้นแบบนั้นนะ ฉันยอมรับเลยว่าฉันหึง ได้ยินไหมแก้วว่าฉันหึงเธอนะ แก้วจะให้ฉันทำอะไรก็ได้แต่ให้อภัยฉันเถอะฉันขอโทษจริงๆ”

                ได้ผล คราวนี้มันได้ผลแก้วกล้าหันมามองหน้าของเขาตรงๆแม้จะแค่แปปเดียวแต่อย่างน้อยแก้วก็สนใจเขาบ้างแล้ว

                “กะ..”

                “ออกไปผมจะนอน” ธารหูลู่หางตกจิตใจห่อเหี่ยวทันที ทั้งทีคิดว่าอีกคนจะยอมให้อภัยเขาแท้ๆ

                “แก้ว....”

               “ไหนคุณบอกว่าผมอยากได้อะไรจะทำให้ไง ผมบอกให้คุณออกไปก็ออกไปสิ”           
 
                แก้วกล้าที่เริ่มรู้สึกรำคาญความเป็นคนชั่งตื้อของอีกฝ่ายจนสุดจะทน จึงหันหน้ากลับไปหาแต่เหมือนว่าเขาจะคิดผิดมากที่หันไปเพราะพอเขาหันไปคนที่ง้องอนเขาอยู่เมื่อครู่ทำตาวิ้งวับทันที

               “แก้วหายโกรธฉันแล้วใช่ไหม” ธารลองถามดูอีกครั้งอย่างหยั่งเชิงดูเผื่อฟลุ๊ก

                “จะไม่หายถ้าคุณยังไม่ออกจากห้องของผม”  หัวใจที่ห่อเหี่ยวเมื่อครู่กลับมาฟู่ฟ่องอีกครั้งอย่างมีความหวัง

                “แก้วจะหายโกรธฉันใช่ไหม”

                “ผมจะนอนออกไปได้แล้วอยู่ไปก็น่ารำคาญ”

                “อือๆๆ ไปแล้วๆแก้วก็นอนนะอย่านอนดึกมันไม่ดีกับลูกนะ เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กดีนะแด๊ดดี้ไปก่อนนะครับ”  ธารตอบกลับอย่างดี๊ด๊าแล้วกลับห้องของตัวเองไปอย่างง่ายดายเพราะอย่างน้อยเขายังมีหวังว่าแก้วจะหายโกรธ เอาวะ พรุ่งนี้ยังมีหวังวันนี้กลับไปนอนเก็บแรงเอาไว้ง้อแก้วต่อดีกว่า

______________________________________________________________

ก็ว่าเหมือนลืมอะไรไป  ที่แท้เมื่อวันจันทร์เราลืมอัพนิยาย !! :katai1:
เก๋าขอโทษนะเตง

แต่ไหนๆก็กลับมาแล้วเรามาลุ้นกับความรักหวานซึ้ง(?)ของพี่ธารกันดีกว่าเนอะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 10 (ธารxแก้ว)- 11-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-01-2017 14:38:08
ง้อสำเร็จจนได้นะพี่ธาร พี่ธารอย่าอารมณ์ร้อนนักซิ อย่าพูดไม่คิดแบบนี้อีกนะเดี๋ยวแก้วจะเสียใจอีก
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 11 (ธารxแก้ว)- 14-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 14-01-2017 10:59:41

ฝนหยดดที่ 11



                เพราะความตั้งใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้ว่าตอนเช้าเขาจะง้อว่าที่คุณแม่ให้ได้ ทำให้ชายหนุ่มลูกครึ่งลุกขึ้นจากที่นอนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อเข้าครัวมาทำอาหารเช้าเองเพื่อหวังว่าเสน่ห์ปลายจังหวะที่แม่ของเขาอุตสาห์พรั่มสอนมาอย่างเหนื่อนยากจะสามารถทำให้อีกคนรับรู้ถึงความตั้งใจจริงในการง้อครั้งนี้ของเขาโดยไม่สนสีหน้าแลดูแปลกใจของลูกน้องที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารอย่างพลที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับมองมาทางเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ

                “อ้าวพล พอดีเลยมาๆๆมาชิมสิว่าอร่อยยัง”

                เขาเงยหน้าขึ้นก่อนกวักมือเรียกพลที่ยืนอยู่ให้เข้ามาใกล้ๆเพื่อใช้เป็นหนูลองยาชิมอาหารเช้ามื้อสำคัญของเขาในวันนี้ พลเองก็ไม่ได้ขัดอะไรตัดข้าวต้มเข้าปากช้าๆทำเอาเขานี้ลุ้นอย่างหนักว่าผลที่ออกมามันจะเป็นยังไง ถึงแม้ว่าในตามจริงแล้วแค่ข้าวต้มที่ถือว่าเป็นอาหารเบสิกสำหรับคนหันทำอาหารแล้วไม่จำเป็นต้องชิมก็ได้เพราะถึงยังไงรสชาติมันก็เหมือนๆกันหมดก็เถอะแต่เขาก็อดที่จะลุ้นไม่ได้นี่นะเพราะอย่างน้อยๆนี้ก็เป็นอาหารมื้อแรกที่เขาทำให้แก้วกินเลยนะถึงจะมีคนอื่นได้กินด้วยก็เถอะ

                 “ก็อร่อยดีครับนาย”    เสียงนิ่งๆไม่แสดงอารมณ์พอๆกันเซลล์หนังหน้าที่ตายของอีกคนก็เรียกรอยยิ้มพอใจให้อีกคนได้ดี

                “งั้นไปตั้งโต๊ะเลยเดียวฉันตักข้าวเอง ให้ชายไปตามคนอื่นๆ มาทานข้าวด้วยละ”  ธารว่าหลังจากหันไปมองนาฬิกาที่แขวนไว้บอกเวลาเกือบเจ็ดโมงเช้าก่อนจะหันกลับมาวุ่นกับการตักข้าวต้มร้อนๆ ใส่ชามให้สมาชิกในบ้านจนครบแล้วจึงส่งให้ชายน้ำไปวางไว้ที่โต๊ะให้แต่ละคน

                 หลังจากทุกอย่างถูกจัดวางเป็นที่น่าพอใจแล้วเขาจึงมานั่งรอทุกคนอยู่ที่โต๊ะกินข้าวจนเวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีสมาชิกกลุ่มแรกของเขาที่นำมาโดยน้องเกลสุดที่รักของเขาก็ออกมาจากห้องพร้อมกับชิตรัตน์และเกรซ

                ถึงเขาจะไม่ชอบใจเท่าไรที่เห็นชิตรัตน์เดินออกมาจากห้องนอนของเกลแต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้มเข้าไว้เพื่อเรียกคะแนนจากแก้วกล้าที่เดินตามเข้ามาทีหลังโดยมีชาติคอยช่วยประคองเดินช้าๆ

                “เห็นพี่ชายบอกว่าวันนี้พี่ธารลงมือทำอาหารเช้าเองมีอะไรหรือเปล่าครับ” เกลถามขึ้นก่อนมองชามข้าวต้มของตัวเอง

                “ก็ไม่มีอะไรนิ วันนี้พี่ตื่นเช้านิดหน่อยนะ”  ธารว่ายิ้มๆ

                เขารอจนสมาชิกในบ้านทุกคนนั่งประจำที่ครบทุกคนแล้วจึงลงมือตักข้าวต้มในชามของตัวเองเพื่อบอกเป็นนัยๆให้ทุกคนเริ่มจัดการอาหารตรงหน้าได้ แต่หลังจากเริ่มทานไปได้ไม่เท่าไรอยู่ดีๆไรอัลที่สีหน้าดูไม่ค่อยจะดีมาตั้งแต่แรกก็ขอตัวลุกออกจากโต๊ะไปเสียดื้อๆ

                “เดี๋ยวผมไปดูเองครับ”   ปีแอร์พูดก่อนจะขอตัวตามคนรักของตนที่รีบเดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้านหลัง

                ธารมองต่างท่าทีของเพื่อนสนิทของตนอย่างนึกเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นว่าอีกคนมีคนคอยดูแลอยู่แล้วจึงหายห่วงไปได้เปราะหนึ่ง

                   หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับห้องหรือไม่ก็ออกไปเดินเล่นกันด้านนอก ส่วนธารเองนั้นที่ตั้งใจว่าวันนี้เขาจะเดินหน้าง้อแก้วเต็มที่ถึงขนาดว่าเปิดเน็ตเข้าเว็บไซต์ยอดนิยมหาข้อมูลและวิธีการง้อร้อยแปดพันเก้าสารพัดวิธีที่คิดว่าคนตัวเล็กต้องใจอ่อนแต่สุดท้ายแผนการทุกอย่างก็ต้องพับลงกระเป๋าเมื่อเขาเอาเรื่องนี้มาปรึกษาไรอัลที่อาการเมื่อเช้าเริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้วกลับต้องมาเจอคำตอบกลับที่เขาเองก็โต้แย้งอะไรได้เลย
     
                “จะง้อคุณแก้ว เอาไว้หลังจากพาคุณชิตรัตน์ไปดูที่ก่อนจะดีไหมครับ ผมบอกคนดูแลไว้แล้วว่าวันนี้จะเข้าไป”

                และนั้นแหละคือคำตอบที่ทำเอาเขาเข่าแทบทรุดพอจะเอ่ยปากขอเลื่อนวันออกไปก็เจอพูดดักทางแบบนี้อีก สุดท้ายแล้วตอนนี้เขาเลยต้องมาอยู่บนรถที่กำลังมุ่งหน้าไปดูที่ดินสำหรับทำรีสอร์ตกับชิตรัตน์โดยมีไรอัลและพลมาด้วย บรรยากาศในรถเป็นไปอย่างอึมครึมส่วนหนึ่งก็คงเพราะตัวเขาเองเลือกที่จะเงียบไม่พูดกับชิตรัตน์ทั้งที่ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านจนถึงที่หมาย

                 พอลงจากรถเขาก็ยกหน้าที่การอธิบายรายเอียดเกี่ยวกับที่ดินทั้งหมดให้กับไรอัลเป็นคนจัดการเพราะถึงอย่างไรไรอัลก็รู้เรื่องดีกว่าเขาอยู่แล้ว ส่วนตัวเขานะเหรอแค่เดินตามหลังเฉยๆตอบบ้างแล้วแต่อารมณ์แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ตอบเสียมากกว่า ก็คนมันพอใจที่จะไม่ตอบนิใครจะทำไม

                “ในความคิดของผมน่ะ ที่ตรงนี้มันมีข้อดีตรงที่เป็นช่วงมุมทำให้มีทั้งด้านหน้าและด้านข้างที่ติดกับทะเลแถมยังมีถนนตัดผ่านอีกหากว่าเราสร้างตัวอาคารที่เป็นตึกเป็นรูปครึ่งวงกลมหรือตัวบ้านหลังเล็กๆกระจายตัวรอบๆคนที่เข้ามาพักจะได้มองเห็นวิวทะเลได้มากขึ้น คุณสองคนคิดว่ายังไงครับ”

                ชิตรัตน์เอ่ยขึ้นหลังจากเดินดูสถานที่รอบๆพร้อมกับฟังสรรพคุณต่างจากไรอัลแล้วจึงเอ่ยถามเขากับไรอัลขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วคำถามนี้น่าจะเป็นหัวข้อชวนเขาคุยเสียมากกว่า แต่เขาก็เลือกที่จะทำเพียงเหลือบมองหน้าของคนที่คอยจดบันทึกรายละเอียดที่ได้เห็นไปด้วยถ่ายภาพไปบ้างแทนเลขาของตัวเองที่ถูกสั่งให้รออยู่ที่บ้านเพียงเล็กน้อยแล้วหันกลับไปสนใจอย่างอื่นแทนโดยไม่สนว่าชิตรัตน์จะรู้สึกหน้าเสียหรือไม่จนคนที่เขาคิดว่าคงจะทนกับพฤติกรรมของเขาไม่ไหวแล้วอย่างไรอัลถึงกลับต้องกระทุ้งศอกใส่ท้องเขาอย่างแรงก่อนจะเป็นฝ่ายที่ช่วยอีกคนออกความเห็นแทนเขา

                 แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าคนอย่างชิตรัตน์ความมีสามารถวิเคราะห์สถานที่ดีคงจะเป็นเพราะด้วยหน้าที่การงานที่มักจะต้องยุ่งเกี่ยวอยู่กับอาคารสถานที่เป็นหลักด้วยก็เป็นได้ได้ดีมีมุมมองความคิดในการจัดวางตัวอาคารได้รวดเร็วแบบนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะตอนนี้ทิฐิเขามีสูงกว่าเยอะที่จะมองว่าส่วนนั้นเป็นข้อดีของอีกคน

                   พวกเขาเดินดูที่กันต่ออีกนิดหน่อยเก็บรายละเอียดเรื่องต่างๆเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบจนพอใจแล้วธารก็เดินไปที่รถเป็นเชิงว่าจะกลับแล้วทำให้ชิตรัตน์ที่คิดอยากจะเดินอีกสักหน่อยแต่ก็ต้องจำใจเดินขึ้นรถตามเจ้าของที่ดินขึ้นรถไป

                   ไรอัลที่มองเหตุการณ์มาตั้งแต่อยู่บนรถรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่เพื่อนวัยเด็กที่ควบตำแหน่งเจ้านายทำตัวเป็นเด็กและเริ่มจะทำให้งานเสียพอเห็นว่าคนทั้งสองขึ้นรถไปแล้วจึงสั่งให้พลจัดการล็อกรถจากข้างนอกทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องตกใจของธารและชิตรัตน์ที่ถูกขังไว้ในรถ

                   “ทำอะไรของนายไรอัล เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เปิด”

                   ธารใช้ฝ่ามือทุบลงกับกระจกหน้าต่างของรถในฝั่งของเขาเองอย่างแรงเพื่อหมายให้คนทั้งสองที่ยืนกอดอกมองเขาอยู่นอกตัวรถเปิดประตูให้กับเขาหรือขึ้นมาบนรถสักทาง

                   “ก็ถ้ายังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตก็อยู่ในนั้นไปก่อนละกัน”  ธารมองอีกคนอย่างไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเจ้าตัวแสบลากพลเดินไปหาอะไรกินที่ถนนใหญ่เรียบร้อยแล้ว  ทิ้งให้เขาต้องนั่งอยู่ในรถกับผู้ร่วมชะตากรรมที่เขาไม่ชอบขี้หน้า หึ ยิ่งหันไปมองก็ยิ่งหงุดหงิด

                  ฝ่ายชิตรัตน์เองก็ใช่ไม่ว่าจะไม่รู้สึกถึงความกดดันกลายๆที่อีกฝ่ายส่งกลับมาให้เขาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน แต่เขาเองก็อยากจะพูดคุยเพื่อที่ว่าอย่างน้อยอีกคนจะได้เข้าใจในความคิดของเขาบ้างไม่มากก็น้อย และบางทีนี้อาจเป็นโอกาสที่ไม่มีมากของเขาแล้วก็ได้ที่ไรอัลอุตส่าห์ขังพวกเขาเอาไว้บนรถด้วยกันสองคนแบบนี้

                  “ดูคุณไม่ค่อยอยากจะอยู่กับผมเท่าไรเลยนะครับ” เขาเริ่มบทสนทนาง่ายๆจากความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่ก็นั้นแหละเพราะธารทำเพียงแค่เหลือบมองหน้าของเขาทางหางตาเท่านั้นก่อนจะหันไปสนใจที่หน้าต่างอีกครั้ง

                  “ผมรู้ว่าผมผิดที่เคยทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นกับเกลไป ผมจะไม่พูดแก้ตัวอะไรเพราะผมเองก็ยอมรับว่าผมก็มีส่วนผิดด้วย”  ชิตรัตน์พูดออกมาตามที่ตนคิด ถึงบางอย่างเขาอาจไม่ได้ทำไปเองโดยตรงอย่างเรื่องของอุบัติเหตุครั้งนั้นแต่ที่เกลเป็น อย่างนั้นมันก็เพราะเขาอีกนั้นแหละเพราะเมื่อวานนี้ก่อนอาหารเย็นหลังจากที่เขาเห็นว่าสองแม่ลูกหลับไปเรียบร้อยแล้วเขาจึงออกมาจากห้องเพื่อขึ้นไปคุยกับแก้วกล้าในหลายๆเรื่องก่อนจะได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจเกี่ยวกับอุบัติเหตุของเกลที่ธารตราหน้าเขาว่าเขาคือสาเหตุของเรื่องนี้ และเพื่อให้แน่ใจเขาจึงย้อนกลับมาถามคนรักของเขาอีกครั้งในคืนนั้น

                  “เกลพี่ถามได้ไหมเรื่องอุบัติเหตุ”

                 เกลมีอาการตื่นเล็กน้อยตอนที่เขาถามเรื่องนี้ ขนาดที่ว่ามีที่กำลังกอดลูกชายอยู่นั้นถึงกับสั่นเบาๆให้ได้เห็น จนเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่เขาถามออกไปนั้นมันจะใช่ความคิดที่ถูกหรือเปล่า

                “ปีก่อน กะ เกลกลับมาไทย...เกลเห็นพี่ชินอยู่บนรถคันนั้น กะ กับผู้หญิง.......พี่ชินมีคนอื่น ฮึก พี่ชินทิ้งเกล”

               น้ำเสียงสั่นที่เล่าเรื่องออกมากระท่อนกระแท่นจนเขาเองแทบจับประเด็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนถ้าให้มานั่งคิดๆดูในช่วงปีที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่ได้ให้ใครขึ้นรถเลยนอกจากลูกชายกับเลขาของเขาทั้งสอง เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นตอนนั้น

                   “เกลใจเย็นๆ นะฟังพี่ก่อน “
                    เขารั้งอีกฝ่ายกลับมาหาพร้อมกับใช้ฝ่ามือลูบไปทั่วในหน้าสวยที่เต็มไปด้วยคาบน้ำตา

                   “พี่ไม่ได้มีใครจริงๆ วันนั้นพี่คนที่อยู่บนรถกับพี่คือแม่พี่เอง พี่ไม่ได้นอกใจหรือมีใครจริงๆ”

                   “จริงๆ นะ พี่ไม่ได้หลอกเกลใช่ไหม”


                ถึงคืนนั้นเขาจะสามารถพูดให้เกลเข้าใจได้แต่ถึงยังไงสุดท้ายแล้วก็เป็นเขาอีกอยู่ดีที่ทำให้คนรักต้องเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจ และตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้หวังอะไรจากการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้อีกคนฟังเพราะเขาเองก็ยอมรับคำพูดของธารเหมือนกันในเรื่องนี้

                “ผมอยากบอกคุณว่าผมขอโทษที่ผมเคยทำอะไรที่ไม่ดีกับเกลไปผมเลยอยากจะมาขอโอกาสกับคุณ ขอให้ผมได้เป็นคนดูแลเกลอีกครั้งจะได้ไหมครับ”

                “เหอะ แกคิดว่าอย่างคนอย่างแกมันจะดูแลอะไรน้องฉันได้ แค่ปัญญาจะหาเกลให้เจอแกยังไม่มีเลย”

                 คำพูดและสีหน้าจริงจังที่ชิตรัตน์ส่งมาให้เขานั้นถามว่าเขารับรู้ถึงสิ่งนั้นไหม เขารับรู้แต่แล้วมันจะยังไงละในเมื่อมันมีครั้งที่หนึ่งมาแล้วทำไมครั้งที่สองมันจะตามมาไม่ได้  และถึงเขาจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายหาเกลไม่เจอก็เถอะแต่ได้ทีก็ขี่แพะไล่หน่อยเถอะ

                “ผมพยายามหาแล้วพยายามทุกทางแต่ถ้าไม่มีใครจงใจปกปิดเรื่องของเกลเอาไว้จากผมยังไงผมก็ต้องหาเกลเจอแล้วบางทีอะไรๆอาจไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้”  ธารหันขวับกลับมามองหน้าชิตรัตน์อย่างเอาเรื่องกับคำพูดที่เหมือนรู้ว่าเขาเป็นคนทำพร้อมทั้งคำที่เหมือนว่าเขาเองก็มีส่วนในเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้น

                “ผมพูดอะไรผิดหรือครับ ผมพยายามหาเกลมาตลอดแต่คุณก็ค่อยที่จะปกปิดมันทุกเรื่องเพราะอะไรล่ะครับ ทำไมอยู่ๆถึงได้พาเกลมาเจอผมด้วยตัวคุณเอง สมเพชผมหรอครับ”  ชิตรัตน์ตอบกลับอย่างเอาเรื่องเช่นกันไม่ใช่ว่าเขาไม่โกรธที่พี่ชายของคนรักทำแบบนี้แต่เขาไม่อยากทำให้เกลต้องคิดมากเพราะแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าอีกคนต้องเจอกับเรื่องราวเลวร้ายแค่ไหน

                “ใช่ ฉันสมเพชคนอย่างแกและที่ฉันพาน้องเกลมาที่นี้ก็เพื่อบอกให้แกรู้ว่าความคิดตื้นๆ ของแกมันทำร้ายน้องฉันมาขนาดไหนฉันจะไม่ยอมยกโทษกับสิ่งเลวร้ายที่แกทำไว้กับน้องฉัน   แกเคยคิดบ้างไหมว่าตลอด5ปีที่ผ่านมาเกลต้องเจอกับอะไรมั่งแกรู้ไหม น้องฉันต้องอยู่อย่างหวาดผวาแค่ไหนกลัวมากแค่ไหนกรีดร้องแทบขาดใจแค่ไหนตอนที่คิดถึงเรื่องแย่ๆที่แกเอาลูกไปนะหะ! ถึงเกลจะยกโทษให้แต่ฉันไม่มีวันให้อภัยคนอย่างแก!!”  เขาระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นทั้งหมดใส่ชิตรัตน์เสียงดังจนต้องมานั่งหอบ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีคนที่เบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วก่อนจะค่อยๆหลบสายตาเขาไป

                 “ผมขอโทษจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือกแล้ว”

                “แกมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาด ทำมาพูดว่าเลือกไม่ได้ เหอะ! อย่าพูดให้ขำเลย”

                 ธารไม่สนหรอกว่าคำพูดของตนนั้นนะทำให้ชิตรัตน์รู้สึกเช่นไรแต่เขารู้แค่ว่าคำพูดพวกนี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับที่มันทำกับน้องเขา  ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งทันทีที่เขาพูดจบแต่ก็ดีเพราะเขาไม่รู้เหมือนกันว่าหากชิตรัตน์ยังพูดแก้ตัวอะไรขึ้นมาแล้วเขาจะยังยั้งอารมณ์ไม่ให้ต่อยหน้าผู้ร่วมรถได้อยู่หรือไม่   แต่ก็รอไม่นานไรอัลกันพลก็เดินกลับมาธารทำเพียงมองหน้าไรอัลนิ่งๆ แล้วสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจจนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจออกมาอย่างแรงกับนิสัยเหมือนเด็กๆ ที่แก้ยังไงก็ไม่เคยหาย

 

                ทางด้านแก้วกล้าเองที่พยายามหนีหน้าและไม่สนใจการกระทำต่างๆที่ธารพยายามทำอะไรๆให้เขาอย่างออกนอกหน้าอย่างเช่นข้าวต้มกุ้งเมื่อเช้า แต่เขาก็เลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจและพยายามเดินหนีทุกครั้งที่ธารพยายามจะเข้าหาซึ่งโชคก็เข้าข้างเขาอยู่บ้างที่ไรอัลมาจัดการลากเอาทั้งเจ้านายของเขากับเจ้าของตัวเองออกไปดูที่ที่จะใช้ในการทำรีสอร์ต  ตอนแรกเขาก็ตั้งใจว่าจะไปด้วยอยู่หรอกแต่เพราะชิตรัตน์บอกไม่ต้องไปซึ่งเขาก็ไม่ขัดอยู่แล้วเพราะถ้าไปแล้วต้องอึดอัดเวลาทำงานเขาอยู่นี้รอตรวจเอกสารดีกว่าและที่สำคัญเขาแค่ยังไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายตรงๆด้วยก็เท่านั้น

                  อาจเพราะคำพูดที่เหมือนดูถูกแบบนั้นแล้วไหนจะเรื่องจะคุณเกลกับเจ้านายเขาอีกที่สำคัญเขามีเรื่องที่ยังคาใจอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องถามกับน้องชายของอีกฝ่าย  คิดได้ดังนั้นแก้วกล้าจึงลุกจากโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเดินไปยังห้องที่เกลอยู่  แต่เสียงที่ดังลอดออมาจากบานประตูที่ปิดไม่สนิทนั้นทำให้เขาต้องหยุดฟังเสียงเล็กๆของเด็กชายคนเดี่ยวที่นี้กำลังพูดเล่านู้นเล่านี้อย่างมีความสุขจนเขาเองก็อดยิ้มตามไม่ได้ น้องเกรซที่ไม่ค่อยจะพูดและชอบทำหน้าเหมือนคิดเยอะตลอดเวลาผิดวิสัยของเด็กกำลังโตตอนนี้กำลังมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณแม่คนที่เด็กน้อยมักจะมาพูดกับเขาเสมอว่าอยากเจอ บางทีความสุขของเด็กก็อาจเป็นการได้อยู่กับครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา พอคิดมาถึงตรงนี้แก้วกล้าก็นิ่งไปก่อนค่อยๆยกมือลูบหน้าท้องตัวเองเบาๆ แล้วลูกของเขาละจะมีความสุขเหมือนเกรซในตอนนี้ไม่แล้วถ้าเขาร้องหาพ่อละจะทำยังไง คิ้วเรียวได้รูปเริ่มขมวดกันอย่างคิดหนักถึงเขาไม่อยากเครียดแต่เมื่อเจอเรื่องแบบนี้เขาเองก็อดคิดหนักไม่ได้

                “คุณแก้วเข้ามาก่อนสิครับ”

                !!

                เสียงของคนที่เขาตั้งใจจะมาหาดังเรียกสติเขาให้หันไปสนใจบานประตูที่เปิดออกด้วยฝีมือของหนุ่มต่างชาติที่เขาจำได้ว่าเป็นคนสนิทของเจ้าของห้องพร้อมคำพูดเชื้อเชิญอย่างทีเล่นทีจริงอย่างคนอารมณ์ดีที่ทำให้เขายิ้มตาม

                “อาแก้มมีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “คือ...อามีเรื่องอยากจะคุยกับคุณแม่ของน้องเกรซหน่อยนะครับ”  เขาตอบเสียงนุ่มกลับไปให้เด็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองเกลอย่างรอคำตอบ

                “งั้น ปีแอร์พาน้องเกรซออกไปเล่นที่ชายหาดก่อนละกันนะ”

                “ครับ”  ทั้งสองตอบรับอย่างยินดีก่อนจะพากันออกไปจากห้องพร้อมปิดประตูให้ แก้วกล้าเองเมื่อทั้งสองออกไปก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆเตียง แต่ก็ยังไม่เริ่มพูดอะไรออกไปได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้นเหมือนกำลังเรียบเรียงคำถามที่จะเอ่ย แต่ดูท่าคนที่จะถูกถามกลับต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาสะเอง

                 “คุณแก้วมีอะไรหรือครับ ดูไม่ค่อยสบายใจนะ” เสียงอ่อนๆที่เอ่ยถามออกมาทำเอาเขาเริ่มใจชื้นขึ้นกับคำถามที่อยากจะถาม

                  “ก็ไม่เชิงนะครับ คือผมมีเรื่องอยากจะถามคุยสักเรื่องหน่อยนะครับ” เขาเอ่ยเสียงแผ่วอย่างไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร

                “ถามเรื่องอะไรเหรอครับ”

                แก้วกล้ามองใบหน้าสวยของคนตรงหน้าอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมกำลังใจก่อนจะถามคำถามที่เขาคิดอยู่ในใจออกไป

                “คุณเกลยอมให้อภัยคุณชินจริงๆหรอครับ”

                เขาถามออกไปพร้อมจ้องหน้าอีกคนอย่างรอเอาคำตอบ แต่ดูเหมือนคำถามของเขาจะทำให้คนหน้าสวยดูตกใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะยิ้มออกมาให้เขาก่อนจะถามกลับ

                “ทำไมคุณถึงถามเรื่องนี้ละครับ”

                “เพราะผมไม่คิดว่าคุณจะให้อภัยคนที่ทำให้คุณต้องเจอเรื่องร้ายมาตลอดหลายปีได้ง่ายๆ แถมพี่ชายคุณยังแสดงออกมาแบบนั้นอีกผม.....”
 
                “หึหึหึ”  อยู่ๆ เกลก็หัวเราะในลำคอขึ้นมาขัดทำเอาแก้วกล้ามองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
 
                 “ ???”

                “คุณนี้ชั่งสงสัยดีจังเลยนะครับ ผมชอบ” คำพูดของเกลเหมือนว่าจะเป็นการพูดกับตัวเองเสียมากกว่าการพูดกับเขา

                 “ส่วนที่คุณถามผมก็พอเข้าใจว่าคุณเป็นห่วงพี่ชิน แต่ถ้าผมบอกไปคุณต้องไม่เอาไปบอกคนอื่นนะครับโดยเฉพาะพี่ธารกับพี่ชิน”

                 แก้วพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยออกไปเบาๆ หากแต่รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายที่ตอนแรกดูอ่อนโยนจนเริ่มทำให้เขาไม่ไว้ใจ แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเกลในตอนนี้นั้นดูน่ากลัวและเหมือนมีอะไรที่มากกว่า แต่มันอะไรล่ะ

                เกลยิ้มหวานให้แก้วกล้าก่อนจะเอนตัวพิงกับหัวเตียงเพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายกว่าเดิมก่อนจะหันมามองแก้วกล้าตรงๆอีกครั้งพร้อมกับเริ่มพูด

                “ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นพี่ชินจะมีส่วนผิดอยู่บ้างแต่สำหรับผมแล้วพี่ชินไม่ใช่คนที่สมควรจะโดนโกรธ”

                “หมายความว่ายังไงครับ” เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูด

                “ถ้าเราไม่อยากให้ฝนตกเราก็ต้องทำให้ท้องฟ้าสว่างสิครับ  ถึงผมจะยกโทษให้พี่ชินแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่โกรธเลยกับสิ่งที่เขาทำแต่ผมแค่ไม่อยากจัดการที่ปลายของฝนเหมือนพี่ธารเพราะที่ผมต้องการจัดการจริงๆ น่ะคือเมฆฝนต่างหากละครับ”

                “หรือว่าคุณคิดจะ....”
                เกลไม่ได้ตอบคำถามของแก้วกล้าแต่อย่างไรนอกจากเพียงส่งยิ้มมาให้แค่นั้น แต่แค่นี้มันก็ทำให้เขารู้แล้วว่าคนที่เกลอยากจัดการคือใคร

                “แล้วคุณจะทำยังไงกับคุณชินละครับ”

                “ก็ไม่นิ แต่คุณแก้วไม่ต้องกังวนไปนะพี่ธารนะไม่กล้าทำอะไรขัดใจผมหรอก”  ในความคิดของเขาตอนนี้เขาขอถอนคำพูดที่เคยพูดกับชิตรัตน์เมื่อก่อนทิ้งเลยที่ว่าอีกคนดูเป็นคนไม่มีพิษมีภัยอะไร เพราะนี้ทั้งน่ากลัวและเจ้าเล่ห์กว่าคนพี่เยอะเลย

                “แต่ผมดีใจนะที่พี่ชินได้คนอย่างคุณแก้วมาทำงานด้วย และผมก็ยินดีอย่างยิ่งที่พี่ธารจะได้คุณมาอยู่ข้างกาย” เกลยิ้มส่งไปให้คนที่ใบหน้าเริ่มแดงอย่างเขินอาย จนเขาเองยังอดยิ้มขำไม่ได้

                “มันไม่ใช่อย่างที่คุณเกลคิดนะครับ ผมกับคุณธารเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

                 เขารีบยกมือขึ้นส่ายปฏิเสธทันควันที่อยู่ๆดีอีกฝ่ายวกมาที่เรื่องนี้ เขาไม่ได้คิดอะไรกับธารถึงขนาดนั้นถึงมันจะมีบ้างที่เคยเผลอไปแต่มันไม่ใช่แบบนั้นแน่   

                “หึหึ  อย่างนั้นหรอครับ”

                “ครับ”

                เกลอมยิ้มมองคนที่ก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าเขินอายนั้นเอาไว้ น่ารักน่าแกล้งถูกใจเขาจริง ไหนๆก็ไหนๆแล้วช่วยพี่ชายสักเรื่องก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกจริงไหม?

                “คุณแก้วครับ ถ้าเกิดว่าพี่ธารพูดหรือทำอะไรให้คุณไม่พอใจก็อย่าไปถือเลยนะครับพี่ธารนะบทจะปากหมาก็หมาเลยชอบทำอะไรตามอารมณ์ไปหน่อยแต่ก็เป็นคนดีนะ ถ้าเขาพูดไม่ดีกับคุณไปยกโทษให้เขาไปเถอะนะครับ”  ยอมรับเลยปากหมาเนี่ย เขาละอยากจะพูดออกไปจริงๆ

                “อ่าครับ...จะพยายามนะ”  เขาตอบไปอย่างไม่เต็มเสียงนักแต่ก็ต้องรับปากไปเพราะไม่อยากให้อีกคนคิดมากและเขาเองก็ไม่อยากเก็บมันมาใส่ใจด้วย

                “แล้วหลังจากนี้คุณจะเอายังไงต่อไปหรือครับ” แต่เขาก็ยังคงอดถามอีกคนต่ออย่างสงสัยไม่ได้

                “ก็ยังไม่ทำอะไรหรอกครับ ขอผมมีความสุขอยู่กับครอบครัวของผมก่อนดีกว่า” เกลว่าอย่างสบายๆ ก่อนที่จะเริ่มชวนเขาคุยถึงเรื่องต่างๆแต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องของเจ้าตัวเล็กสะมากกว่า
 


       
         :hao5:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 11 (ธารxแก้ว)- 14-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 14-01-2017 11:00:24
:katai5:



 ผ่านไปสักพักใหญ่ๆเสียงเครื่องยนต์รถก็ดังมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านทำให้แก้วกล้ากับเกลจบการสนทนาทั้งหมดลงประจวบเหมาะกับที่ปีแอร์กับเกรซวิ่งเปิดประตูเข้ามาเพื่อมาบอกว่าคนที่ที่ออกไปธุระข้างนอกกลับมาแล้ว  ปีแอร์ตรงเข้าไปพยุงเกลมานั่งที่วีลแชร์เช่นเดียวกับเกรซที่รีบวิ่งไปจับมือของแม่เอาไว้แล้วเดินออกจาห้องไป ส่วนเขาที่ตอนแรกที่กะว่าจะไม่ออกไปแต่ก็ต้องจำยอมให้ชาติที่ยกเอาเรื่องงานขึ้นมาอ้างพาเขาเดินตามทุกคนออกไป

                เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่นก็พอดีกับที่กลุ่มคนที่กลับมาเดินเข้าประตูมาพอดี ธารเดินนำหน้าทุกคนเขามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ก่อนจะเดินเข้าไปกอดน้องชายของตนเอง

                “กลับมากันแล้วหรอครับ ไปดูที่มาเป็นไงมั่ง” เกลที่ผละออกจากพี่ชายแล้วจึงถามออกไป

                “ก็ดี พี่ขอตัวก่อนนะ” ธารผละออกจากเกลแล้วเดินเลี่ยงขึ้นห้องของตัวเองไปทันทีโดนไม่แม้จะมองหน้าของแก้วกล้าที่ยืนอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย จนคนที่ยืนนิ่งมองตามหลังอีกคนที่ดูเปลี่ยนไปอย่างไม่เข้าใจ

                “นี้รายละเอียดกับภาพถ่ายนะ  ตรวจสอบแล้วเอามาให้ฉันด้วยละ” แต่เสียงของชิตรัตน์ก็ทำให้เขาหันกลับสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะยื่นมือออกไปรับของจากเจ้านายที่มีสีหน้าเหมือนหนักใจซึ่งเขาก็พอจะเดาเรื่องได้บางแล้วมาระหว่างที่ไปดูพื้นที่กันนั้นคงจะต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

                ชิตรัตน์ส่งสมุดโน้ตของตนพร้อมกล้องถ่ายรูปนั้นแก้วกล้าเสร็จก็หันไปหาเกลที่นั่งอยู่ก่อนจะเข็นวีลแชร์นั้นเดินกลับไปที่ห้องของอีกคน

                “คุณพ่อดูไม่ดีเลยนะครับอาแก้ว” เกรซเอ่ยออกมาอย่างเป็นห่วง ซึ่งเขาเองก็คิดเช่นนั้น

                “คงเพราะแดดแรงล่ะมั้งครับ น้องเกรซไปเอาน้ำเย็นๆ ไปให้คุณพ่อที่ห้องดีไหมเพื่อว่าจะดีขึ้น” เขาเสนอขึ้น

                  “ครับ” เด็กชายรับคำก่อนจะดึงให้ชาติที่ยืนอยู่ข้างๆเขาหายเข้าไปในครัวด้วยกัน

                 แก้วกล้ามองทุกคนที่เริ่มแยกย้ายกันไปก่อนที่จะเดินไปทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวก่อนจะเริ่มหยิบสมุดโน้ตที่ชิตรัตน์จดรายละเอียดมาอ่านพร้อมทั้งเปิดดูรูปภาพประกอบ จากที่เขาดูรูปแล้วพื้นที่ใช้สอยมีมากพอที่จะเปิดเป็นรีสอร์ตขนาดกลางได้และหากจัดสรรดีๆอาจมีเนื้อที่เหลือให้ทำอย่างอื่นอีกด้วย เขาควานมือไปบนโต๊ะเพื่อหยิบแท็บเล็ตเตรียมจะส่งอีเมล์หาบริษัทสถาปนิกที่ดีลงานด้วยกันบ่อยๆอย่างเคยชิน แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่าจนนึกขึ้นได้ว่าตนลืมหยิบลงมาจากบนห้องด้วยจึงจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาอุปกรณ์สื่อสารที่อยู่บนห้องแต่ไม่รู้ว่าเพราะลุกขึ้นเร็วไปหรืออย่างไรเขาจึงเกิดอาการหัวร้อนหน้าชาๆ จนต้องหยุดยืนและหลับตาเพื่อไล่อาการนั้นออกไปแต่ดูท่าแล้วมันไม่ช่วยอะไรแถมยังทำให้เขาเริ่มปวดหัวจนตาพร่าไปและเริ่มทรงตัวไม่อยู่จนเข้าคิดว่าต้องล้มลงไปแน่ๆ แต่ถ้าล้มไปจริงๆ คงจะไม่ดีแน่เขาจึงพยายามใช้สติอันเลือนรางที่ยังหลงเหลืออยู่รีบเอามือยกขึ้นมากุมท้องเอาไว้แล้วยื่นมืออีกข้างออกไปเพื่อว่าหากล้มลงไปแล้วมือข้างนั้นจะรองรับแรงกระแทกแทนได้ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเขาล้มลงไปนั่งกับพื้นโดยมมีมือข้างนั้นรับแรงกระแทกแทนจึงทำให้เขาไม่เป็นอะไรมากแต่ข้อมือข้างนั้นเจ็บมากจนคิดว่ามันคงซ้นแต่เขาไม่มีสติเหลือพอแล้วที่จะหันไปดูข้อมือตัวเองแก้วกล้าจึงตัดสินใจปล่อยเลยตามเลยโดยการราบตัวเองนอนลงไปกับพื้นเมื่อไม่เหลือสติพอที่จะทำอะไรได้แล้ว

                  “แก้ว!!”

                เสียงตะโกนเรียกอย่างตื่นตกใจของธารดังขึ้นอย่างตกใจกับภาพของคนตรงหน้าที่นอนนิ่งราบอยู่กับพื้นอย่างใจเสีย ตอนแรกเขาแค่ว่าจะลงมาหาน้ำดื่มเพื่อดับอารมณ์ร้อนในหัว  แต่พอเดินมาถึงห้องครัวเขากลับลืมจุดมุ่งหมายแรกที่ตั้งใจไว้เสียสนิทพร้อมกับท่อนขายาวของเขาที่รีบพุ่งตัวเข้าไปไปประคองแก้วกล้าที่นอนราบเอามือกุมท้องอยู่ที่พื้น

                 “แก้วๆๆ แก้วได้ยินฉันไหม แก้ว!!”  ใบหน้าของอีกคนซีดมากจนเขาใจหาย แม้จะพยายามตบเบาๆ ที่หน้าของอีกคนเพื่อเรียกสติแต่ก็ไม่ได้ผลความรู้สึกเป็นกังวลยิ่งมีมากขึ้น เขาไม่รู้ว่าอีกคนสลบไปนานแค่ไหนหรือล้มไปแรงขนาดไหนแต่แค่ไม่เห็นเลือดก็ไม่ได้ทำให้เขาเบาใจลงได้เลยสักนิดเดียว เขาหันไปมาอย่างหาคนที่พอจะช่วยได้ก่อนจะตัดสินใจตะโกนเรียกคนที่อยู่แถวนั้นให้มาช่วยแทน

                “ชาย พล ไรอัล ปีแอร์ ใครอยู่แถวนี้มั่งเอารถออกที ได้ยินไหม!!”  ธารตะโกนลั่นบ้านพร้อมกับรีบช้อนตัวแก้วกล้าขึ้นอุ้มทันทีแล้วรีบวิ่งไปที่กลางบ้าน  พอดีกับชายและพลที่วิ่งเข้ามาจากทางหลังบ้านที่กำลังเตรียมเตาบาบีคิวต้องรีบทิ้งทุกอย่างแล้วมาหาคนเป็นนายที่กระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก

                “เกิดอะไรขึ้นครับนาย” ชายเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

                “รีบไปเอารถออกแล้วไปโรงบาล เร็วเข้า!!”   ธารพูดเสียงดัง พลเองเมื่อเห็นคนที่ซบอยู่แนบอกคนเป็นนายก็พอจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นจึงรีบวิ่งกลับไปที่ห้องเพื่อไปเอากุญแจรถออกมา

                “ใครเป็นอะไรครับ” เช่นเดียวกับไรอัลเพิ่งที่เดินออกมาจากห้องพร้อมปีแอร์ถามขึ้นเมื่อยินร่างหนาตะโกนเสียงดัง

                “แก้วล้มฉันไม่รู้ว่าจะเป็นไรไหม พวกนายอยู่ที่นี้แล้วฉันจะรีบกลับ”  ธารบอกเสียงสั่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูกก่อนจะรีบอุ้มแก้วกล้าไปที่รถทันทีที่ชายกับพลไปเอารถมาจอดที่หน้าประตู

               

                 ตลอดทางไปโรงพยาบาลแก้วกล้าไม่มีทีท่าว่าจะได้สติขึ้นมาเลย ยิ่งทำให้ธารร้อนใจหนักเข้าไปอีกค่อยบีบมืออีกฝ่ายไว้ตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลบุรุษพยาบาลรีบเข้ามารับตัวคนที่ไม่ได้สติเข้าไปยังห้องตรวจทันที่และมีบางคนที่เข้ามาสอบถามอาการจากเขาด้วย เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีหมอที่เข้าไปตรวจถึงจะออกมา

                “ใครเป็นญาติคนไข้ครับ” คำถามเบสิกที่ออกจากปากของหมอวัยกลางคนทำให้รีบเด้งตัวขึ้นมาทันที

                “ผมครับ ผมเป็นสามีเขาครับ”  คำตอบที่หลุดออกไปทำเอาชายกับพลหันมองหน้ากันอย่างมิได้นัดหมาย

                “งั้นเชิญทางนี้หน่อยครับ”  หมอพูดขึ้นก่อนผายมือเชิญเขาเดินไปอีกทาง   โดยตลอดทางธารสังเกตว่าสีหน้าของหมอมีอาการวิตกกังวนเล็กน้อยถึงปลานกลาง มันยิ่งทำให้เขารู้สึกคิดหนักขึ้นไปอีก

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ ภรรยากับลูกผมเป็นยังไงบ้าง”  น้ำเสียงที่ดูเครียดจนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันที่แผ่ซ่านออกมาทั่วทั้งห้อง

                “หมอตรวจดูแล้วทั้งแม่และเด็กปลอดภัยดีครับ ถือว่ายังโชคดีที่ว่าคนไข้มีสติพอที่ใช้มือรองรับแรงกระแทกเลยทำให้มีข้อมือขวาที่ซ้นจะการล้มเท่านั้นละครับ” ธารยิ้มออกมาอย่างดีใจกับผลตรวจของหมอแต่ก็ต้องเครียดทันทีที่หมอพูดอีกประโยคออกมา

                 “แต่ที่ผมอยากจะพูดคือ คนไข้มีอาการความดันขึ้นสูงกว่าปกติ เท้าบวมเล็กน้อยและมีอาการเครียด ซึ่งมันมีความเสี่ยงที่ว่าคนไข้จะมีอาการครรภ์เป็นพิษหมออยากให้คุณพาคนไข้ไปตรวจให้ละเอียดอีกทีเพื่อความแน่ชัดนะครับ”

                 “ครับ เดี๋ยวผมจะเป็นคนพาเขาไปตรวจเอง”  ธารรับคำด้วยสีหน้าหนักใจ

                 “ดีแล้วครับ เดี๋ยวให้คนไข้นอนพักสักครู่ตื่นมาก็กลับบ้านได้แล้วครับ”  หมอว่ายิ้มๆก่อนที่จะขอตัวออกไป

                  ธารเดินตามหมอออกมาก็เจอกับชายที่ยืนรออยู่หน้าห้องพร้อมบอกว่าทางโรงพยาบาลย้ายแก้วกล้าไปนอนพักอีกห้องหนึ่งโดยมีพลตามไปเฝ้าให้แล้ว   เขาพยักหน้าก่อนเดินตามชายไปยังห้องพักฟื้นที่แก้วกล้าพักอยู่ก่อนจะบอกให้ทั้งสองคนออกไปแล้วให้โทรศัพท์บอกอาการให้คนที่บ้านพักได้รับรู้ด้วยจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก  ส่วนตัวเขาเองนั้นก็นั่งเฝ้าแก้วกล้าอยู่สักพักหนึ่งจนคนบนเตียงก็เริ่มขยับรู้สึกตัวแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมา

                  “แก้ว แก้วเป็นไงมั่ง” ธารรีบเด้งตัวจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วพร้อมเอามือประกบเข้าที่สองแก้มของอีกคนอย่างเป็นห่วง

                 “ฉันเป็นห่วงแก้วมากรู้ไหม ตอนที่แก้วสลบไปฉันใจไม่ดีเลย”  เขาจรดหน้าผากของเขาลงแนบกับของอีกคนอย่างเคยชินพร้อมกับพูดความในใจของตนออกมาให้อีกคนรับรู้

                  “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณที่พาผมมาโรงบาล” 

                  “ฉันเป็นห่วงแก้วนะ” เขาย้ำคำอีกครั้งพร้อมจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกคนเพื่อหวังว่าจะสามารถสื่อความในใจนี้ไปถึงแก้วกล้าได้ แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าการกระทำของเขามันทำให้คนตรงหน้าหัวใจเต้นแรงมากแค่ไหนจนต้องหลบสายตาของเขา

                  “ฉันขอโทษเรื่องที่เมื่อวานฉันพูดไม่ดีกับแก้ว ฉันมันปากไม่ดีเองแก้วหายโกรธฉันเถอะนะ”  ธารพูดต่อโดยยังคงไม่ละใบหน้าและฝ่ามืออกจากใบหน้าของอีกคน เขากลัว กลัวว่าถ้าปล่อยไปอีกฝ่ายจะหันหนีเขาไม่ยอมรับฟังอะไรจากเขาอีก เขาไม่ต้องการ

                  “เอาเถอะเห็นแก่ว่าคุณพาผมมาส่งโรงบาลนะคราวนี้ผมจะยกโทษให้ก่อนแต่ถ้ามีอีกผมจะไม่ยอมแล้วนะ”  แค่นั้นแหละที่เขาอยากไห้ยิน   เพราะมันทำให้เขายิ้มกว้าออกมาทันทีที่เห็นว่าอีกคนยอมยกโทษให้

                  “ขอบคุณนะแก้ว ขอบคุณ ฉันสัญญาต่อจากนี้ฉันจะใช้สติมากกว่านี้จะไม่พูดหรือทำอะไรให้แก้วเสียใจอีก ฉันสัญญา” 

                    ไม่ว่าเปล่าธารรั้งร่างอสบนั้นเข้ามากอดไว้แน่นอย่างดีใจ ผิดกับแก้วกล้าที่ดูจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับการกระทำของอีกคนที่เข้าถึงตัวเขาอย่างรวดเร็วเช่นนี้

                    “ผมอึดอัด ปล่อย” เขาว่าเสียงเขียวใส่คนตัวโตที่กอดเขาแน่น แต่ถึงปากจะพูดบ่นไปอย่างนั้นแต่ในใจเขาเองกลับรู้สึกดีที่ได้ยินคำพูดนั้น

                   “โทษที งั้นเดี๋ยวแก้วนอนพักไปก่อนนะ ฉันจะไปตามพยาบาลกับหมอมาให้”

                     ธารว่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป  แก้วกล้ามองแผ่นหลังหนาของอีกคนที่หายไปหลับประตูก่อนจะย้อมกลับมาคิดทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น  สำหรับอาการที่เขาเป็นวันนี้คงจะเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างจากการที่เขาหมกหมุนอยู่กับเรื่องของธารมากเกินไปจนเผลอลืมคำเตือนของพี่หมอคนสวยนั้น

                “แม่ขอโทษนะตัวเล็ก ต่อจากนี้แม่จะดูแลหนูให้ดีกว่านี้”

                เขาลูบเบาๆไปที่หน้าท้องของตัวเองที่มีเจ้าตัวน้อยนอนอยู่อย่างขอโทษ แต่ยิ่งลูบเขากลับยิ่งคิดถึงอ้อมกอดเมื่อครู่ที่กอดตัวเขาเอาไว้ความรู้สึกมากมายที่ถูกส่งผ่านมายังเขา เขารับรู้ได้ดีว่าอีกคนเป็นห่วงเขากับลูกมากแค่ไหน


________________________________________________________________________________
เมื่อคืนกำลังจะอัพลงในเล้าอยู่ๆโน๊ตบุ๊คก็เป็นอะไรไม่รู้
อยู่ดีๆนางก็ขึ้นหน้าจอสลับสีประดึงเดินสวนสนาม (บางทีก็ไม่ต้องต้อนรับวันเด็กขนาดนั้นก็ได้) :katai1:


ไหนก็ไหนแล้วขอใช้พื้นที่นี้ขายของหน่อยเน้อ(ผิดกฎยังไงก็ขอโทษด้วย)
ตอนนี้ฝนกลางฤดูหนาวได้เปิดให้เพื่อนๆสั่งซื้อนิยายแบบPre-orderแล้วนะ
(ซึ่งภายในรูปเล่มจะมีตอนพิเศษที่จะไม่มีลงในเว็บด้วย)
โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆได้ที่
Pre ฝนกลางฤดูหนาว (http://evapublishing.lnwshop.com/)

 :mew1:
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 12- 21-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 21-01-2017 23:41:57

ฝนหยดที่ 12




               “..................แกเคยคิดบ้างไหมว่าตลอด5ปีที่ผ่านมาเกลต้องเจอกับอะไรมั่งแกรู้ไหม น้องฉันต้องอยู่อย่างหวาดผวาแค่ไหนกลัวมากแค่ไหนกรีดร้องแทบขาดใจแค่ไหนตอนที่คิดถึงเรื่องแย่ๆที่แกเอาลูกไปน่ะฮะ! ถึงเกลจะยกโทษให้แต่ฉันไม่มีวันให้อภัยคนอย่างแก!!”

                  ทุกคำต่อว่าทุกกริยาที่ธานแสดงออกต่อเขาในตอนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขาซ้ำไปซ้ำมาเพื่อตอกย่ำความผิดของเขาให้มากยิ่งขึ้น ต่อให้เขาจะหาข้องอ้างร้อยแปดมาแก้ต่างให้กับการกระทำในวันนั้นยังไงสุดท้ายแล้วเรื่องทุกอย่างมันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเขาทั้งนั้น ยิ่งพอกลับมาแล้วเห็นอีกคนออกมารับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแม้จะไม่กว้างมากมันก็ยิ่งตรอกย่ำว่าเขาไม่รู้อะไรเลยว่าภายใต้รอยยิ้มในวันนี้มันมีกี่หยดน้ำตาในวันที่ผ่านมา ยิ่งมองยิ่งรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้า

                  “กลับมากันแล้วหรอครับ ไปดูที่มาเป็นไงมั่ง” เกลเอยถามสองหนุ่มผู้เป็นที่รักทั้งสอง

                   ชิตรัตน์มองภาพที่สองพี่น้องกอดกันตรงหน้าความจริงที่มันแจ่มชัดว่าคนที่ค่อยดูแลและปลอบโยนเกลมาเสมอไม่ใช่เขา หลังจากที่ทั้งคู่ผละออกจากกันแล้วธานขอตัวที่จะกลับขึ้นไปห้องเหมือนไม่ต้องที่จะเห็นเขาอย่างนั้นเขาเองก็พอจะเขาใจได้อยู่หรอ เลยทำได้แค่ผ่อนลมหายใจหนักๆออกมาก่อนมือหนาของเขาจะยื่นเอาสมุดจดพร้อมกล้องให้กับแก้วกล้าที่ยืนอยู่

                “นี้รายละเอียดกับภาพถ่ายนะ  ตรวจสอบแล้วเอามาให้ฉันด้วยละ”  สายตาที่แก้วกล้ามองมาที่เขาอย่างเข้าใจในความรู้สึกชิตรัตน์ยิ้มบางๆเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนที่จะขอแยกตัวไปกับคนรัก

                เขาพาเกลกลับเข้ามาในห้องก่อนช่วยประคองให้คนรักเดินช้าๆไปที่เตียงนอน ส่วนเขาเองก็เดินไปเปิดบานหน้าต่างให้กว้างขึ้นเพื่อรอรับลมที่พัดเข้ามาอย่างใจลอย จนคนที่นั่งมองอยู่บนเตียงต้องทักขึ้นเพื่อเรียกสติของเขาให้กลับมา

                พี่ชินครับ”

                เขาหันกลับมามองคนรักที่สายตาแสดงออกชัดว่าเป็นห่วงเขาขนาดไหน ยิ่งอีกคนแสดงออกว่ารักและห่วงเขามาขนาดไหนแทนที่เขาจะรู้สึกดีแต่มันกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง มันเจ็บ

“พี่ชินเป็นอะไรไปหรือครับสีหน้าไม่ดีเลย”   น้ำเสียงเป็นห่วงนั้นมันยิ่งทำเขาหนักใจ

                “พี่ไม่เป็นไร”  และเลือกจะโกหกอีกคน พร้อมกับเดินเข้าไปนั่งที่ขอบเตียงนุ่ม

                “ไหนของเกลดูหน้าคนโกหกหน่อยสิ  ฝ่ามือนิ่มๆที่ประกบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างของเขาให้หันไปด้านข้างเพื่อที่เจ้าตัวจะได้มองเห็นหน้าของเขาได้ชัดขึ้น

                  “พี่ธานพูดอะไรอีกละครับ หือ” เกลพูดขึ้นอย่างจับผิดแต่มันก็ทำเอาคนที่มีชนักติดหลังอย่างเขาถึงกับต้องหลบสายตานั้นอย่างเสียไม่ได้

                “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่ธานก็อย่างนี้แหละอย่าคิดมาเลย”  อย่ายิ้มอย่างนั้น อย่ายิ้มเหมือนกับว่าไม่เป็นอะไรแบบนั้นได้ไหม อย่ายิ้มเหมือนว่าไม่เศร้าสิ พี่เจ็บนะ

                 ชิตรัตน์รั้งข้อมือเล็กๆนั้นออกจากหน้าโดยไม่สนสายตาของเกลที่มองมาอย่างไม่เข้าใจก่อนที่ร่างหนาๆนั้นจะซบลงที่ตักของอีกคน อย่างหาที่พึ่งยามเหนื่อยล้า  เกลมองปฏิกิริยาของคนรักก่อนที่จะค่อยๆยกมือลูบกลุ่มผมนั้นเบาๆ


ก๊อก ก๊อก

                “เกลลี่!!”

                เจ้าของชื่อหันไปมองเจ้าของเสียงที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาเขาพร้อมกับลูกชายตัวน้อยและผู้ร่วมอุดมการณ์อีกสามคนที่พรวดพราดเข้ามาในห้องก่อนจะได้รับอนุญาต จนทำให้คนที่นอนหนุนตักเขาอยู่นั้นรีบเด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว

                “มีอะไรหรอครับ”  เขาถามขึ้นพร้อมกางแขนรับลูกชายที่โดดออกจากหลังชาติมากอดเอาไว้

                “คือ พรุ่งนี้เราก็จะกลับแล้วผมพี่ปีแอร์เลยคิดว่าคืนนี้จะปาร์ตี้บาบีคิวอาหารทะเลกัน คุณแม่ว่ายังไงครับ”  เด็กชายตอบเสียงแจ้วอย่างตื่นเต้น  ปาร์ตี้เลยนะแถมคนเยอะอย่างนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ

                “ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วของล่ะมีหรือยังขาดเหลืออะไรหรือเปล่า”  นั้นสินะมาเที่ยวทั้งที่นิถ้าไม่มีงานสังสรรค์ก็คงจะไม่ใช่

                “พี่กับพลเช็คของแล้วครับ มีของที่ต้องซื้อเพิ่มเป็นอย่างๆ” ชายเสริมพร้อมกับส่งรายการของที่จะต้องซื้อมาให้เขากับชิตรัตน์ดู  นี่คงจะเตรียมพร้อมกันมาแล้วสินะเนี่ย

                “อือ งั้นไปเอาเตาอะไรมาเตรียมให้พร้อมแล้ว เช็คของอีกรอบด้วยถ้าขาดอะไรจะได้ออกไปซื้อก่อนที่มันจะเย็น”   เขาพูดขึ้นพร้อมส่งใบรายการกลับไปให้ชาย ก่อนที่เขาจะสังเกตว่าไรอันหายไปจากกลุ่ม

                “แล้วนี้ไรอันไปไหน”

                “อ้ออ ดาร์ลิงบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเลยนอนอยู่ที่ห้องนะ เกลลี่มีอะไรหรอ” ปีแอร์ตอบพลางนึกถึงสีหน้าซีดเซียวของสุดที่รักแล้วก็ยังนึกเป็นห่วงอยู่เลย     

                “เปล่าๆ แค่เห็นว่าหายไปเลยถามดู”  เขาปฏิเสธไป ก่อนที่จะให้ทุกคนแยกย้ายไปเตรียมทำปาร์ตี้กัน แล้วหันกลับมาสนใจคนที่กลับมานอนหนุนตักเขาอีกครั้ง

               เกลนั่งลูบผมของชิตรัตน์ไปมาอย่างเบามือ เขาไม่ถามหรอกนะว่าอีกคนไปเจอเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจมาในเมื่อตอนนี้เพราะเขาเองก็ไม่อยากซ้ำเติมอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่เขาจะขอเป็นผู้ฟังที่ดีคอยฟังเรื่องทุกข์ใจของอีกคนแทน

               “พี่ขอโทษ พี่มันไอ้ขี้ขาดเหมือนที่คุณธานว่าพี่เป็นแบบนั้นจริงๆถ้าพี่กล้าที่จะขัดคำสั่งคุณแม่ในวันนั้นละก็เกลคงไม่ต้องเป็นแบบนี้”เขายิ้มออกมานิดๆกับคำพูดของอีกคนที่เจือไปด้วยความรู้สึกผิด

                “เกลบอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร”

                “ถึงเกลจะพูดแบบนั้น แต่ แต่พี่ก็เป็นคนผิดอยู่ดี พี่มันเป็นผู้ชายที่แย่มากแค่คนที่รักพี่ยังปกป้องไม่ได้เลย ยิ่งเกลมาให้อภัยพี่ง่ายๆแบบนี้อีกพี่ยิ่งรู้สึกผิด”  นั้นสินะ เขาคงจะให้อภัยอีกคนง่ายไปจริงๆนั้นแหละ

                “ที่เกลบอกให้อภัยพี่ก็เพราะเกลไม่อยากเห็นลูกต้องร้องไห้อีก เกลสงสารลูกเกลไม่อยากให้แกต้องมาเจอสภาพที่พ่อกับแม่จะต้องมาบึ้งตึงใส่กันแทนที่จะมีความสุขเวลาอยู่ด้วยกัน แต่กับพี่ชินถึงเกลจะรักพี่มากขนาดไหนแต่ลึกๆแล้วเกลกลัวพี่ชิน กลัวพี่ชินจะพาลูกไปจากเกลอีก”

                เขากลัวว่าความสุขที่เขาได้มาในตอนนี้จะเป็นแค่ฝัน ที่พอตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างจะหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเขาไม่เอาด้วยหรอกแบบนั้นน่ะ

                ชิตรัตน์หันหน้าขึ้นไปมองเจ้าของตักที่เขาใช้นอนต่างหมอนอย่างปวดร้าว  ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาจากคำพูดนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจแต่เพราะเข้าใจเขาถึงจุกในอกจนยากจะพูดออกมา เกลห่วงความรู้สึกของลูกมากกว่าที่เขาเป็นห่วงอย่างมากบางที่แล้วถ้าไม่ใช่เพราะลูกเกลอาจไม่ยกโทษให้เขาก็ได้

                “พี่ขอโทษ” มันก็มีแค่คำๆ นี้เท่านั้นสินะที่เขาพอจะพูดออกไปได้

                “พี่จะไม่ขอให้เกลเชื่อคำพูดของพี่หรอกนะ แต่พี่สัญญาต่อจากนี้ไปพี่จะทำทุกอย่างให้เรากลับมาอยู่ด้วยกันจะปกป้องเกลให้ได้จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเกลอีกแล้วแต่ขอร้องอย่ากลัวพี่หรือหนีพี่ไปอีกเลยนะ พี่ยอมแล้วยอมทุกอย่างจริงๆ” เขายันตัวขึ้นมานั่งดีๆพร้อมกุมมือทั้งสองข้างของเกลเอาไว้แทนการให้คำมั่นสัญญา

                “พี่จะไม่พาลูกไปจากเกลอีกพี่สัญญาและก็จะไม่ยอมให้ใครมาแยกเราสองคนอีกแล้ว”

                เขาขอสัญญาด้วยชีวิตต่อให้คนคนนั้นจะเป็นใครเขาก็จะไม่ยอมปล่อยมือคู่นี้ไปอีกแล้ว พอแล้วกับความผิดพลาดที่เขาหลงคิดว่ามันจะทำให้อะไรอะไรมันดีขึ้นแต่สุดท้ายทุกอย่างกลับแย่ลง

                “พิสูจน์ให้เกลเห็นสิ ทำให้เกลรู้ว่าความกลัวของเกล มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกและถ้าเป็นแบบนั้นอีกเกลคงอยู่ไม่ได้”

                “พี่สัญญา”

                เขาพูดอย่างหนักแน่นกับคำสัญญาที่ให้ไป ในเมื่อเกลให้โอกาสเขาแล้วเขาก็จะทำให้ดีที่สุดตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวเขามีหน้าที่ดูแลเกลกับลูกให้ดีที่สุด

                “ออกไปข้างนอกกันไหม”

                เขาเกลี่ยปอยผมที่ปกลงที่หน้าของคนรักขึ้นทัดหูเบาๆ แต่ก่อนจะได้ฟังคำตอบจากอีกคนเสียงตะโกนดังลั่นบ้านของธานสร้างความตกใจกับพวกเขาทั้งคู่

                “เกลรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวพี่ไปดูเอง”

                เขาว่าก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้เสียงร้อนรนของธานก็ดังพอที่จะทำให้เขาเข้าใจเหตุการณ์ได้ดีความกังวลเริ่มตีตื่นขึ้นมาในอก

                “ฮึก คุณพ่อ “

                เสียงสะอึกสะอื้นของเกรทที่ถูกชาติอุ้มอยู่นั้นเรียกความสนใจให้เขาให้หันกลับไปรับตัวลูกชายตัวน้อยมาอุ้มไว้เสียเอง ก่อนจะเอ่ยปากให้ปีแอร์ไปพาเกลออกมาจากห้องเพื่อมาอยู่รวมกับทุกคนที่ห้องนั่งเล่น

              “คุณแก้วจะเป็นอะไรไม่เกลลี่” ปีแอร์ถามอย่างร้อนใจ ขณะพาเกลออกมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆ

             “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ขออย่างให้เป็นอะไรมากเลย”  เกลตอบก่อนจะหันกลับไปปลอบลูกชายที่ยังคงสะอื้นไห้ซบอยู่ที่ไหล่ของชิตรัตน์จนตาช้ำแดงไปหมด

               “คงได้แต่รอให้ทางนั้นโทรมาอย่างเดียวแล้วล่ะ” ไรอันเสริมขึ้น ก่อนที่ทั้งบ้านจะตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งจนบรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้น


                เวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆเสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไรอันก็ดังขึ้น คราวนี้ทุกคนที่นั่งอยู่ตามที่ต่างๆรีบหันกลับมาให้ความสนใจเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว  ไรอันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะเปิดลำโพงให้ทุกคนได้ฟัง

                “คุณแก้วเป็นไงมั่งครับพี่ชาย” เกลถามขึ้น

                 // ปลอดภัยแล้วครับ แค่ข้อมือซ้นกับเป็นลมเฉยๆ รอให้ตื่นก็กลับได้แล้วครับ//  คำตอบที่ได้ยินทำเอาความตึงเครียดมลายหายไปในทันที เหลือแต่ความโล่งใจที่อีกคนไม่ได้เป็นอะไรที่ร้ายแรงเกินความคาดเดา

                 “ดีเลยๆ อย่างงี้มันต้องฉลอง” เสียงปีแอร์ดังขึ้นอย่างดีใจ แต่ก็ต้องโดนไรอันหยิกเข้าที่สี่ข้างกับอาการดีใจเกินเหตุจนดูไม่ถูกกาลเทศะ

                //งั้นก็จัดของทำบาบีคิวปิ้งย่างกันไหมพี่เอาของออกมาเตรียมไว้แล้ว คุณเกลกับคุณชินว่าไงครับ//  ชายเสนอขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ขออนุญาตเจ้าตัวไปแล้วรอบหนึ่ง

              “ก็ดีนะครับ ยังไงก่อนกลับก็ซื้อที่พวกอาหารทะเลกับของสดเข้ามาเพิ่มด้วยนะครับเพื่อทำเป็นของกินตอนกลับด้วยเลย”

                //ได้ครับ คุณเกล//   ชายรับคำก่อนตัดสายไป

                “เย้  เราไปเตรียมของกินรับขวัญคุณแก้วกันเถอะ” ปืแอร์ว่าอย่างดีใจก่อนที่จะลากเอาสุดที่รักของตัวเองไปด้วย และไม่รีบที่จะชวนเด็กน้อยขี้แยที่เกาะพ่อเป็นลูกลิงไปด้วยเป็นลูกมือ

                “น้องเกรทไปเตรียมของกันเถอะ ตามมาเร็วชาติ”  พูดเสร็จปีแอร์ก็จัดการอุ้มเด็กน้อยไปเลยโดยไม่สนว่าเด็กชายจะให้คำตอบแบบไหน แล้วหันมากวักมือเรียกให้เพื่อนใหม่ของตนเดินตามมาด้วย

               “แล้วเราละอยากไปด้วยไหม เดี๋ยวพี่พาไป”  ชิตรัตน์หันมาถามคนข้างกายที่มองตามคนอื่นๆไปจนลับตา

                ก็ดีเหมือนกันเขาเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วตามทุกคนออกไปนั่งข้างนอกบ้างก็คนจะรู้สึกดี  คิดได้ดังนั้นพวกเขาเลยเดินตามสี่คนนั้นไปที่ด้านหลังของบ้านเพื่อจัดเตาย่าง เอาเนื้อสัตว์ต่างๆออกมาล้าง จดลิสต์รายการของที่ขาดแล้วโทรหาชายอีกครั้งเพื่อให้ซื้อเข้ามาเพิ่มเติม แต่ดูท่าแล้วปาร์ตี้ครั้งนี้คงต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกสักระยะ เมื่อหัวเรือใหญ่อย่างปีแอร์และเกรทอยากจะเล่นน้ำทะเลกันเสียดื้อๆ ก็นะ ทะเลกับเด็กเป็นของคู่กันมาถึงนี้แล้วจะไม่ได้เล่นน้ำก็กระไรอยู่จริงไหม?
 

               
:katai4:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 12- 21-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 21-01-2017 23:42:49

:katai4:


 เวลาผ่านไปจากบ่ายกลายเป็นช่วงเย็นที่แดดร่มลมตกเสียงเครื่องยนต์ของรถครอบครัวสีดำคันใหญ่มาจอกเทียบที่หน้าบ้านเรียกความสนใจของเด็กชายที่เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยคาบน้ำทะเลให้หยุดจากการวิ่งไล่จับเจ้าแมวเหมียวขนฟูเพื่อหวังจะโยนลงทะเลด้วยข้อหาอ้อนคุณแม่ของเขาเกินเหตุให้หันกลับมาสนใจคนที่กำลังลงจากรถลงมา

                 “อาแก้วววววววววว!!”  เกรทละจากจุดหมายเดิมแล้วรีบวิ่งไปกอดเข้าที่ช่วงเอวของอาแก้วที่ลงมาจากรถที่มีคุณลุงตัวโตของเขาคอยพยุงอยู่ข้างๆ โดยลืมไปว่าตัวเองทั้งเปียกและเหนื่อยจากคาบคาวทะเลที่เพิ่งลงเล่นมาเมื่อครู่เสียสนิท

                 “อาแก้วเป็นไงบ้าง เกรทเป็นห่วงอาแก้วกับน้องตัวเล็กมากๆๆเลย” เด็กชายได้ทีรีบอ้อนคนท้องพร้อมเอาหน้าซุกเข้ากับหน้าท้องนูนๆ จนคนเป็นลุงหน้างอ

                  “อาแก้วกับน้องไม่เป็นครับ แค่ข้อมือเคล็ดเท่านั้นเองครับ” เขาว่าพร้อมชูมือข้างที่มีผ้าก๊อซพัดอยู่ที่ข้อมือขึ้นให้เกรทดู

                  “แล้วนี้ทำไมตัวเปียกๆล่ะเกรท” น้ำเสียงติดจะไม่ชอบใจแบบเด็กๆของเด็กตัวหมี ที่รู้สึกเหมือนโดนแย่งความสนใจเอ่ยถามขึ้นเมื่อมองจากสภาพร่างกายที่และเสื้อผ้าที่เปียกซกของหลานชายคนเดียวอย่างแปลกใจ

                “อ้อ พอดีเกรทกับพี่ปีแอร์เล่นน้ำกันอยู่น่ะครับ”   เกรทว่าเสียงซื่อ
 
                “อ้าว แล้วขึ้นมาวิ่งทำไมตรงนี้ละ” แก้วกล้าถามอย่างสงสัยพลางลูกศีรษะเล็กของเกรทไปด้วย

               “อ๊ะ! ลืมเลยอาแก้วกับคุณลุงเห็นเจ้าแมวผะ.อึ๊บ....เจ้าเน็ตตี้ไหมครับ เนี่ยเกรทตามหาเน็ตตี้อยู่ไม่รู้ว่าวิ่งไปไหนแล้ว” เกรทหันซ้ายหันขวาไปมาก่อนจะหันลับมามองคนทั้งคู่ตาใส

                 “แล้วเกรทจะตามหาเน็ตตี้ไปทำอะไรครับ” แก้วกล้าถามขึ้นอย่างสงสัย

                 “คือ ผมจะพาเน็ตตี้ไปเล่นน้ำทะเลนะครับ”  เกรทยิ้มตาหยีให้อาแก้วของเขาก่อนจะเริ่มออดอ้อนแก้วกล้าอีกครั้งอย่างเคยชิน ก่อนเหลือบไปเห็นคุณลุงพี่เลี้ยงของคุณแม่ทั้งสองคนเดินตรงมาทางนี้หลังจากนำรถไปจอดที่โรงจอดรถพร้อมกับอุ้มก้อนกลมๆขาวๆมาด้วย

               “คุณหนูหาเจ้านี้อยู่หรือเปล่าครับ” พลพูดพร้องชูเจ้าเน็ตตี้ที่ทั้งบิดทั้งถีบตัวไปมาขึ้นให้คุณหนูน้อยดู

               เกรทยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อเจอสิ่งที่ต้องการผิดกับเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาที่มีสีหน้าตื่นอย่างเห็นได้ชัด เด็กชายเอ่ยขอบคุณพลแล้วรีบเข้าไปอุ้มเจ้าเหมียวที่พยายามตะกายออกจากแขนของเขาอย่างเอาเป็นเอาตายอย่างรู้ชะตากรรมเมื่อมองไปเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของเด็กชายวัยห้าขวบที่อุ้มมันอยู่

          หึหึ เหยื่อมาอยู่ในมือขนาดนี้แล้วคิดหรอว่าเกรทจะยอมปล่อยง่ายๆ ไม่มีทาง จะสั่งสอนให้รู้เลยว่าคุณแม่น่ะเป็นของใคร

                 “อาแก้วกับคุณลุง ไปทะเลกันๆ”  เกรทชวนทุกคนไปที่ชายหาดตามประสาเด็กที่กำลังหาเพื่อนเล่น

                 “เอาไว้คราวหลังนะ วันนี้อาแก้วไปสบายต้องนอนพักเยอะๆ” ธานปฏิเสธคำชวนของหลานชายตัวน้อยที่สีหน้าจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เกรทเป็นเด็กที่เข้าใจอะไรง่ายจึงไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนจะขอตัววิ่งกลับไปที่ทะเลอีกครั้งโดยมีชายกับพลเดินตามมาข้างหลัง และยิ่งเข้ามาใกล้เท่าไรพวกเขาก็ได้ยินเสียงของไรอันบ่นดังขึ้นมาเรื่อยๆ

                “ปีแอร์ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”

                ภาพของปีแอร์ที่ใส่เพียงกางเกงเล่นน้ำสีสันแสบตากำลังอุ้มไรอันที่ทั้งถีบทั้งด่าเสียงดังลงไปยังทะเลที่ลึกจนถึงระดับเอวก่อนจะปล่อยคนที่กลัวลงในน้ำอย่างหน้าชื้นตาบาน ผิดกับคนที่เพิ่งโผล่พ้นน้ำมาในสภาพเปียกปอนทั้งตัวที่มีสีหน้าเจ็บปวดอยู่เล็กน้อยก่อนจะตวัดสายตาไม่พอใจใส่ตัวการก่อนจะเดินกระแทรกไหล่สวนคนตรงหน้าเดินขึ้นฝั่งไปไม่พูดไม่จา  แต่ในสายตาของเด็กอายุห้าขวบแล้วมันก็คือการหยอกล้อกันเล่น

                 “เอานี้ลงไปด้วย!!” เพราะคิดว่าเล่นกันเกรทจึงจัดการโยนเจ้าสี่ขาตัวขาวลงน้ำตามแบบที่ปีแอร์ทำ แต่นั้นกลับทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นก็คาดไม่ถึง

เหมียววววววววว!!!!

                “เน็ตตี้!!!”   เกลหันขวับแล้วร้องเสียงหลงร้องเรียกแมวตัวโปรดของตัวเองทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของมัน

                 ส่วนเจ้าเหมียวผู้โชคร้ายนั้นก็ได้แต่พยายามตะเกียดตะกายขึ้นจากน้ำทันทีตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมัน ซึ่งยังถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่บริเวณที่มันถูกโยนลงไปเป็นช่วงน้ำตื้นแค่ตาตุ่มคนแต่สำหรับแมวที่เกลียดและไม่ชอบน้ำอย่างเน็ตตี้ เอ่อ ยกเว้นตอนอาบน้ำที่ฟองสบู่เยอะๆอะนะ  การถูกโยนลงน้ำแบบเมื่อครู่จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ปานถูกจับถ่วงแปซิฟิก และทันทีที่มันสามารถพาตัวเองขึ้นมาเหยียบลงบนพื้นทราบได้มันก็รีบวิ่งกระโจนขึ้นไปอยู่บนตักของเจ้านายสุดสวาทขาดใจดิ้นของมันที่อ้าแขนรอรับตัวมันอยู่อย่างหาที่พึ่งและเริ่มส่งเสียงร้องเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้เพื่อฟ้องจ้านายตัวเอง

                “น้องเกรท!” เกลเรียกชื่อลูกชายเสียงเข้มเป็นเชิงดุก่อนจะก้มมองดูสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองที่ยังคงส่งเสียงร้องจะเป็นจะตายเสียให้ได้

                “ทำไมถึงทำแบบนี้ครับลูก ไม่น่ารักเลยนะ”  ชิตรัตน์นั่งย่องๆก่อนจะจับตัวลูกชายที่ก้มหน้าหงอยที่โดยดุไปเมื่อครู่ให้มองตรงมาที่เขา

                “ว่าไงครับ บอกพ่อสิทำไมทำแบบนั้น”  เขาพยายามตะล่อมๆถามลูกชายอย่างใจเย็นเมื่อปากเล็กนั้นเริ่มเบาะออกเมื่อจะร้องไห้

                “ก็ ฮึก ก็เน็ตตี้อ้อนคุณแม่ เน็ตตี้แย่งคุณแม่ของเกรท แงงงง”  พอตอบเสร็จเกรทก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ทำคนที่ยืนดูอยู่รอบๆถึงกับกลั้นหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้กับความไร้เดียวสาของเด็กน้อยที่คิดว่ากำลังถูกแมวแย่งความรักไป

                “เอ่อ ไม่ร้องนะครับ เน็ตตี้ไม่ได้แย่งคุณแม่ไปจากเกรทสักหน่อยแต่ว่าเน็ตตี้รักคุณแม่เหมือนที่เกรทรักคุณแม่ไงครับ เพียงแต่ว่าเน็ตตี้เขาพูดไม่ได้เท่านั้นเอง” ชิตรัตน์พยายามอธิบายให้ลูกชายเข้าใจและหยุดร้องไห้

                “จะ จริงนะครับ ฮึก”

                “จริงสิครับ แต่ว่าสิ่งที่เกรททำไปเมื่อครู่มันไม่น่ารักเลยนะถ้าเกิดเน็ตตี้เป็นอะไรขึ้นมาคุณแม่ต้องเสียใจมากแน่ๆ เกรทอยากเห็นคุณแม่ร้องไห้หรอลูก”

                “ไม่เอา ไม่ให้คุณแม่ร้องไห้”  เด็กชายรีบส่ายหน้าหวือทันทีก่อนจะหันไปกอดคุณแม่ที่ยังคงนั่งมองมาที่เขาอยู่เงียบๆ

                “คุณแม่ เกรทขอโทษ เกรทจะไม่ทำอีกแล้ว เกรทจะไม่แกล้งเน็ตตี้แล้ว”

                 เกลมองลูกชายนิดๆก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งเน็ตตี้ที่ตัวเปียกชุมให้พลนำไปจัดการต่อให้สะอาดสวยเหมือนเดิมส่วนเขานั้นก็กลับมาหาลูกชายที่ยังคงกอดเอวเขาไม่ปล่อย

                “แม่จะถือว่านี้เป็นครั้งแรกที่น้องเกรททำ แม่จะไม่ว่าอะไรแต่อย่าทำอีกเข้าใจไหมครับ”  เสียงที่ติดจะไม่พอใจของคนคนเป็นแม่ที่พูดมา ทำเอาเด็กชายใจเสียไม่น้อยจนเริ่มที่จะหน่วงๆที่ตาเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ อาจเป็นครั้งแรกที่เขาโดนดุด้วยแถมคนที่ดุเขายังเป็นคุณแม่ด้วยเลยทำให้รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก

                “หึหึ อะไรกันครับจะร้องไห้อีกแล้วหรอแม่ไม่โกรธน้องเกรทแล้วสักหน่อย” เกลพูดพร้อมยกมือลูบหัวลูกชายเบาๆเป็นการปลอบก่อนจะยกยิ้มบางๆให้เมื่อลูกชายเงยหน้ามามองเขาด้วยน้ำตา ดูสิหน้าแดงหมดแล้ว

                “จริงๆนะครับคุณแม่ไม่ได้โกรธน้องเกรทจริงๆนะครับ”

                “ครับ แม่ไม่โกรธแต่ที่แม่ดุก็เพราะน้องเกรททำไม่ดี ถ้าไม่อยากให้แม่โกรธก็อย่าทำอีกเข้าใจไหมครับ”

                เกรทรีบพยักหน้ารับพร้อมยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนโผเข้ากอดเขาแน่นก่อนจะเอาหน้าผากซบที่ไหล่เล็กนั้นอีกครั้งก่อนจะขอตัวไปเล่นน้ำกับปีแอร์และชาติ พร้อมด้วยชายที่กลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับเล่นน้ำเรียบร้อย ส่วนไรอันที่หลังจากโดนเหวี่ยงลงทะเลก็งอนเดินกลับห้องไม่สนใจใคร
 
                “ดีจังเลยนะที่เกลไม่โกรธลูกน่ะ” ชิตรัตน์เอาขึ้นเมื่อได้อยู่กับเกลตามลำพังอีกครั้ง ขณะทอดสายตามองไปยังลูกชายตัวน้อยที่ดูจะสนุกสนานกับการเล่นน้ำทะเลในครั้งนี้เป็นพิเศษ

                “จะให้โกรธอะไรละครับ” เกลว่าพร้อมเอียงคอมองคนรักที่อยู่ข้างๆ

                “ก็พี่เห็นเราทำเสียงแบบนั้นใส่ลูก ก็เลยคิดว่าคงจะโกรธ”

                “ฮึฮึ ก็ยอมรับนะครับว่าไม่ชอบใจเท่าไรที่น้องเกรททำแบบนั้น”  ก็เน็ตตี้เป็นของขวัญที่แม่เขาให้มานี่นะ ก็ต้องรักมากอยู่แล้ว

                “แต่ที่ลูกทำไปก็เพราะว่ากลัวเกลไม่รักนี่ จะให้โกรธลงได้ไงล่ะจริงไหม” เกลยิ้มบางๆออกไป

                “นั่นสินะ พี่เองก็ไม่เคยดุลูกด้วยคงไม่ดีแน่ถ้าตาเกรทเกิดร้องไห้ขึ้นมา”

                “อย่าคิดมากสิครับเรื่องแค่นี้เอง แถมเจ้านี่ก็ใช่ย่อยที่ไหนล่ะ แกล้งเขาไว้เยอะโดนกลับบ้างก็ดีจะได้เข็ด” เกลพูดพร้อมซบลงไปที่ไหล่กว้างของคนรัก

                แต่กับคนบางคนนะแค่ขอโทษมันยังไม่พอหรอกนะครับ


                 ลมทะเลพัดเอื่อยๆโบกพัดให้ดวงไฟทรงกลมมากมายที่ที่ห้องระโยงระยางไปตามต้นไม้แต่ละต้นส่ายไปมาเบาๆ   เช่นเดียวกับกลิ่นหอมอ่อนๆของเทียนหอมอันน้อยที่วางกระจายไปตามโต๊ะต่างๆ เพื่อสร้างบรรยากาศไหนจะเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอเบาๆ ช่วยส่งให้ช่วงค่ำคืนสุดท้ายของการมาพักที่บ้านตากอากาศทางใต้ของพวกเขารู้สึกผ่อนคลายจากเรื่องหนักๆ ที่ต้องเจอกันมาตั้งแต่มาถึง

                 กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของอาหารทะเลที่ถูกย่างปิ้งอยู่บนเตาโชยกลิ่นไปตามลมจากฝีมือการย่างของพลกับชายรับหน้าที่เป็นเชฟเฉพาะกิจที่คอยปิ้งนั้นย่างนี้ตามความต้องการของคุณหนูตัวน้อยประจำทริปที่คอยยืนกำกับงานอยู่บนเก้าอี้ข้างๆชาติที่คอยประคองไม่ให้คุณหนูตัวน้อยของตนหน้าคะมำลงกับเตาเสียก่อน    ส่วนเตาย่างอีกฝั่งที่ส่งกลิ่นหอมแข่งเช่นกันแต่คนละจุดประสงค์เพราะธานกะจะเอาไว้ให้ว่าที่คุณแม่อย่างแก้วกล้าที่นั่งคุยเรื่องงานอยู่กับชิตรัตน์ที่โต๊ะเพื่อหวังเอาใจและเรียกคะแนนที่เสียไปจนติดลบคืน

                 แต่ถ้าจะถามหาตัวการที่คิดจัดงานเลี้ยงปิ้งย่างนี้ขึ้นมาว่าหายไปไหนละก็คงต้องบอกว่าหมดสิทธิเพราะหลังจากจับไรอันโยนลงทะเลไปเมื่อช่วงเย็นทำให้ร่างโปร่งของหนุ่มอังกฤษไม่สบายต้องนอนอยู่กับเตียงและตัวก่อเรื่องก็ก้มหน้ารับผิดชอบผลจากการกระทำของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                น่าเสียงดายจังเลยนะครับที่ไรอันมาไม่สบายตอนนี้” น้ำเสียงเสียดายของคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์เรียกความสนใจจากพี่ชายตัวโตพลางมองกลับเข้าไปยังตัวบ้านที่เปิดไฟสว่างเอาไว้อย่างนึกเป็นห่วง

                “ก็นะ รายนั้นนะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ค่อยจะทนลมทนแดดเท่าไรอยู่แล้ว แถมวันนี้เจอทั้งแดดทั้งลมทั้งน้ำทะเลครบชุดเลยจะป่วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”  ธานพูดอย่างปลงๆ กับอาการกระหม่อมบางคนเพื่อนวัยเด็ก เพราะเขาคิดอยู่แล้วว่าคงไม่รอดแน่ตั้งแต่ตอนที่เห็นอีกฝ่ายเดินตัวเปียกกลับเข้ามาในบ้านพร้อมหน้าที่เริ่มแดงไม่สิต้องบอกว่าอาการไม่ดีมาตั้งแต่เช้าแล้วมากกว่า

                เกลพยักหน้าเข้าใจแต่ก็อดขำไม่ได้ตอนเห็นสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของปีแอร์ตอนที่รู้ว่าสุดที่รักของตัวเองป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้และตัวเองจะไม่ได้ไปร่วมวงปิ้งย่างอย่างที่หวังเอาไว้ หน้านี่เหมือนโลกกำลังจะแตกเลย

                “คุณแม่ครับดูสิ กุ้งกับหอยนางรมนางกินมากเลยยย” เกรทว่าอย่างตื่นเต้นพร้อมยกจานที่เต็มไปด้วยของกินให้คนเป็นแม่ดู

                  “น่ากินจังเลยนะครับ งั้นเรากลับไปที่โต๊ะกันเลยเนอะ ลุงพลกับลุงชายจะได้ไปกินมั่ง”  เด็กชายพยักหน้ารับก่อนเดินนำเอาจากของกินไปให้คุณพ่อกับอาแก้วที่รออยู่ที่โต๊ะ โดยเกลมองตามหลังลูกชายไปจนแน่ใจว่าชาติพาลูกของเขาขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะหันมาคุยเรื่องส่วนตัวบางอย่างกับพี่ชายของตน

                “คุณแก้วนี้ก็น่ารักดีนะครับ” เขาพูดขึ้นขณะลอบมองคนที่กล่าวอ้างกำลังช่วยแกะเปลือกกุ้งให้ลูกชายของเขาทาน

                “ใช่น่ารัก”

                “แล้วรักเขาไปหรือยัง”   เขาถามเหมือนมันเป็นเรื่องปกติจนธานต้องหันกลับมามองหน้าน้องชายของตนอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

                “หมายความว่ายังไง” ธานถาม

                “ก็ตามที่พูด รักเขาไปแล้วหรือยัง แล้วแน่ใจหรือเปล่าว่าที่ให้เขาไปเพราะ รัก ไม่ใช่เพราะอยากให้เอาเขามาแทนใคร”  เกลมองพี่ชายด้วยหางตาอย่างจับผิด สำหรับเขาแล้วแก้วกล้าถือว่าเป็นคนที่ดีคนหนึ่งและหากพี่ชายเขาคิดจะลงหลักปักฐานกับคนนี้จริงเขาก็ไม่ห้ามแต่ต้องไม่ใช่เพราะความเหมือน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาคงไม่ยอมแน่

                “ถ้าพี่ธานคิดว่าคุณแก้วแค่น่าสนใจหรือว่าเหมือนใครคนนั้นน้องขอให้พี่หยุดทุกสิ่งเอาไว้แค่นี้ อย่าปล่อยให้คุณแก้วเขาคิดไปไกลกว่านี้เลย”

                 ธานมองน้องชายของตัวเองอย่างอ่อนใจ นั้นสินะ ไม่ว่าเรื่องอะไรเกลก็มองเขาออกทุกอย่างแต่ว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน โอเค ตอนแรกเขายอมรับว่าแค่สนใจแต่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่แค่สนใจถึงมันจะยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากก็เถอะว่ารัก แต่พอเห็นแก้วกล้าสลบไปต่อหน้าต่อตาแบบวันนี้แล้วเขาก็เริ่มจะเข้าใจตัวเองได้ว่าเขาไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว โดยเฉพาะคนคนนี้

                 “พี่เข้าใจที่น้องพูดออกมานะ แต่ว่าสำหรับแก้วแล้วเขาเป็นคนที่พี่อยากจะดูแลเขาจริงๆ ถึงตอนนี้จะยังไม่ชัดแต่พี่เชื่อว่าอีกไม่น่ามันจะต้องชัดเจนๆ และที่สำคัญพี่ไม่เคยคิดจะเอาแก้วมาแทนที่ใครเพราะแก้วไม่ใช่ตัวแทนของใคร”ธานตอบจริงจัง

                เกลมองพี่ชายที่หันไปสนใจกับการย่างปูกับกุ้งต่อ เขาเองก็รู้ว่าธานเป็นคนที่จริงจังกับเรื่องความสัมพันธ์แต่คนที่จริงจังใช่ว่าจะอ่อนไหวไม่เป็น เขาก็แค่เป็นห่วงก็เท่านั้นแต่ในเมื่อเจ้าตัวยืนยันเองแบบนี้แล้วเขาก็คงจะพูดอะไรมากไม่ได้นอกจากปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคนต่อไปส่วนเขาที่เป็นคนนอกก็ต้องถอยออกไปอยู่ในฐานะคนดูก็เท่านั้น

                “ดูแลให้ดีนะครับ คุณแก้วนะ” เกลพูดพลางมองไปทางโต๊ะ ทำให้ธานที่เริ่มจะเอากุ้งใส่จากแล้วต้องมาตามเช่นกัน

                “พี่รู้แล้ว ว่าแต่เรื่องของเราเถอะ” ประโยคหลังธานเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไรเมื่อคิดได้ว่าน้องชายเขาให้อภัยชิตรัตน์ง่ายเกินไป

                “เรื่องอะไรหรอครับ”

                “อย่ามาทำหน้าไม่รู้นะ คิดอะไรอยู่ทำไมถึงยอมไอ้ชิตรัตน์ง่ายๆแบบนั้น”  ไม่พูดเปล่าธานวางจานกุ้งที่จะใช้ง้อแก้วกล้าลงบนตักของน้องพร้อมลากเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อนั่งคุยดีๆ

                “พี่ไม่เข้าใจ มันไม่สมเหตุสมผลเท่าไรที่น้องยอมง่ายๆแบบนี้  ทั้งๆที่เมื่อวานเราแสดงออกว่ากลัวมันขนาดนั้น” ธานพูดพร้อมเอาจานคืนและเริ่มแกะเปลือกกุ้งไปด้วย

                “เกลกลัวเขาจะเอาลูกไปจากเกล แต่พี่ชินไม่ใช่ตัวตนคิดนิครับที่ว่าจะเอาลูกไปจากเกล”

                “นี้อย่างบอกนะว่า....”  ธานละสายตาจากกุ้งตัวโตมามองหน้าน้องชายอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่อีกคนกำลังคิดอยู่

                “ก็ตามนั้นแหละครับ เรื่องนั้นเกลขอเป็นคนจัดการเอง แต่กับพี่ชินผมไม่ว่านะครับถ้าพี่ธานจะทำอะไรแต่อย่าให้มันมากไปก็พอ เข้าใจนะครับ”  เกลว่ายิ้มๆให้พี่ชาย ที่มองมา

                “กลับไปหาคนอื่นกันเถอะเดียวกุ้งจะชืดไม่อร่อยนะครับ ส่วนเรื่องนี้กลับไปเราค่อยคุยกันก็ได้” ธานพยักหน้าก่อนลุกขึ้นแล้วเข็นพาน้องกลับไปที่โต๊ะ ในหัวก็คิดถึงเรื่องที่เกลพูดเมื่อครู่ การที่น้องยอมให้เขาตอบกลับแทนได้แบบนี้ก็แสดงว่าลึกๆแล้วเกลเองก็คงจะไม่ได้ให้อภัยชิตรัตน์ทั้งหมดอย่างที่เขาเข้าใจแล้วเพราะอะไรถึงทำเหมือนว่าให้อภัยหมดแล้วทุกเรื่อง คิ้วเข้มขมวดเป็นปมอย่างไม่เข้าใจ

                “คุณจะยืนอยู่อีกนานไหมคุณธาน”  เสียงหงุดหงิดของแก้วกล้าเรียกให้เขาหันมามองหน้าเป็นเชิงถาม ก่อนจะเห็นว่าเขามาถึงโต๊ะแล้วแถมยังไม่ยอมนั่งเอาแต่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ได้

                “อ่ะ โทษทีๆ”  เขาว่าก่อนที่จะนั่งลงข้างๆแก้วกล้าที่มันตรงข้ามกับชิตรัตน์พอดี

                “นี้คุณ ไม่ต้องชิดขนาดนี้ก็ได้ผมอึดอัด”

                “เอาน่าแก้ว นี้ดูสิฉันย่างกุ้งมาให้ด้วยดูสิตัวโตๆเลย”  เกลมองหน้าพี่ชายที่ทำมึนกับคำพูดของคนตัวเล็กตรงหน้าแถมยังพยายามที่จะป้อนกุ้งที่บรรจงเกาะอย่างพิถีพิถันให้ได้กิน

                ภาพของธานที่ยิ้มเวลาโดนบ่นจากแก้วกล้า เสียงพูดเจี๊ยวจ๊าวของเกรทพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆของชิตรัตน์คือภาพความสุขที่คนเดินไม่ได้ต้องการจะเห็นมาตลอดช่วงเวลาเกือบจะสิบปีที่ต้องซ้อนตัวจากผู้คนหวาดกลัวการแยกจากโดนความโหดร้ายจากอดีตเล่นงานทุกครั้งที่หลับตา พี่ชายที่คอยปลอบทุกคืนเวลาฝันร้าย คุณพ่อคุณแม่ที่คอยหาทางเยียวยารักษา คนสนิททั้งสามที่ต้องรองรับกับอาการที่ไม่ค่อยปกติของเขา แต่ตอนนี้เขาหายแล้ว ความเศร้าในใจของเขาหายไปแล้วเพราะในตอนนี้เวลานี้คนที่เขารักทั้งหมดมาอยู่รวมกันที่นี้แล้ว แต่เวลาแห่งความสุขมักจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ถึงใครๆอยากจะให้มันอยู่กับเราไปนานๆเขาเองก็เช่นกันเพราะเขาทนทุกข์มามากพอแล้ว

               ดังนั้นความสุขตรงหน้าตอนนี้ก็คือส่วนหนึ่งของความสุขทั้งหมดที่ต่อไปเขาจะได้เพราะหลังจากวันนี้เขาจะเริ่มทวงสิ่งที่เป็นของเขาทุกความรักที่เขาควรจะได้รับคืนมาให้หมดและความเจ็บปวดเศร้าหมองในใจที่ฝั่งรากลึกเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเขามานานมาก็ต้องมีคนชดใช้เช่นกัน

                แล้วเจอกันนะครับคุณหญิง........................
 
___________________________________________________________________________________

Come back again ล่ะเด้ออออออ
หลังจากที่หายหน้าไปนาน ในที่สุดเราก็กลับมา
ตอนนี้โน๊ตบุ๊คสามารถใช้งานได้ปกติแล้วหลังจากที่เสียตังไปพร้อมน้ำตาเป็นที่เรียบร้อย

ตัวอย่างพวงกุญแจอะคริลิกที่แถมพร้อมกับ Combo Set และยังเป็นหน้าปกติเล่มพิเศษอีกด้วย
สนใจคลิ๊ก (http://evapublishing.lnwshop.com/)เลย

(http://16114422_1849960285218472_7047823115852888882_n)

วาดโดยนักวาด Sefarlen

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 12- 21-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-01-2017 21:49:23
คุณหญิงคงจะต้องรับศึกหนักซะแล้วงานนี้ ดีค่ะเกลเอาให้หนักเลยกับที่เกลต้องทุกข์อยู่นานปี
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 13- 23-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-01-2017 20:07:58

ฝนหยดที่ 13



                ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้วหลังจากวันที่พวกเขากลับจากดูที่ทำรีสอร์ตพร้อมพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศของธานหลายๆสิ่งเริ่มดูเปลี่ยนไปในหลายๆทาง ตัวอย่างเช่น ปีแอร์ที่กำลังจะเป็นพ่อคนในอีกแปดเก้าเดือนที่กำลังจะมาถึงเพราะตอนนี้ไรอันกำลังตั้งท้องได้สัปดาห์ที่สามแล้ว อาการต่างๆเริ่มแสดงออกมาให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆและนั้นก็แทบจะทำให้ว่าที่คุณพ่อขี้เห่อประคอบประหงมอย่างดีจนเจ้าตัวแทบจะไม่ต้องหยิบจับอะไรเลยด้วยซ้ำร้อนถึงธานที่อยู่ๆก็โดยขโมยตัวเลขาไปต้องออกโรงมากู้สถานการณ์ให้ไรอันได้ท้วงคืนเสรีภาพของตนกลับมาอีกครั้ง

               ในขณะที่ทางส่วนของชิตรัตน์เองก็ยอมตกลงทำตามข้อเสนอของธานในการใช้ที่ดินของอีกฝ่ายในการสร้างรีสอร์ตโดยยินยอมเซ็นยกหุ้นครึ่งหนึ่งให้กับอีกฝ่ายเป็นเจ้าของร่วมและเริ่มเริ่มลุยงานการสร้างรีสอร์ตพร้อมๆกับการเริ่มเข้าหาเกลมากขึ้นโดยจากการคุยตอนกลางคืนร่วมกันสามคนพ่อแม่ลูกแต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะแค่คุยกันตอนกลางคืนแล้วเขาอยากคุยแบบเห็นหน้าอยากสัมผัสไออุ่นจากฝ่ามือนิ่มๆนั้นมากว่าสัมผัสกันผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม เลยลองที่จะขอไปบ้านของธานบ้างโดยเอาเรื่องของรีสอร์ตมาอ้างแม้ทุกครั้งที่มาจะโดนพี่ชายตัวโตของอีกคนคอยขัดด้วยคำพูดทำร้ายน้ำใจเขาต่างๆแต่เขาก็พยายามมองผ่านคำพูดนั้นไปเพราะอย่างน้อยเขากับลูกก็ยังได้มาหาอีกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม

                อย่างวันนี้ก็เช่นกันชิตรัตน์มาหาบ้านของเกลที่บ้านโดยอ้างว่าจะเอาแบบร่างของรีสอร์ตมาให้ทั้งที่จะนัดกันเป็นที่ทำงานของตนหรืออีกฝ่ายก็ได้และเพื่อความสมจริงเขาจึงต้องพาเลขาคนดีที่หน้าตาความสุขติดลบมาด้วยพร้อมลูกชายที่ขอมาด้วยทุกครั้ง

                “นี้เป็นแบบเปลนคราวๆที่บริษัทออกแบบส่งมาให้ดู ไม่ทราบว่าคุณธานชอบหรือไม่ครับ”  คนตรงข้ามรับแปลนร่างของรีสอร์ตขนาดกลางจำนวนสิบชั้นพร้อมบังกะโลอีกจำนวนสิบหลังโดยประมาณจำนวนสามแผ่นมาดูโดยมีแก้วกล้าคอยอธิบายถึงสิ่งที่อยู่ภายในนั้นคร่าวๆ

                “ก็ดี แต่ผมอยากให้เพิ่มลานกิจกรรมหรือไม่ก็ที่นั่งสำหรับพักผ่อนตรงส่วนกลางด้วยเพื่อว่าจะมีคนมาใช้สถานที่จัดงานกลางแจ้ง”  ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อม พร้อมบอกให้แก้วกล้าจดรายละเอียดตามที่หุ้นส่วนของเขาต้องการและเพิ่มเติมในส่วนที่เจ้าตัวอยากให้มีลงไปด้วย

                 รายละเอียดของรีสอร์ตในส่วนของแนวห้องพักกับบรรยากาศโดยรอบรวมไปถึงเรื่องบริการต่างๆที่ธานเสนอมานั้น  ต้องยอมรับว่าธานเป็นคนที่แยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้ดีมากหากไม่นับเรื่องที่อีกฝ่ายเมินเฉยเขาในวันแรกที่ไปดูที่และเรื่องของความคิดที่ถึงจะเป็นมือใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แต่ความคิดต่างๆก็จัดได้ว่าใช้ได้เลยซึ่งอาจเป็นผลพรวงจากการทำธุรกิจด้านอื่นมาก่อนก็เป็นได้

                 “คุยกันเสร็จหรือยังครับ” เสียงของผู้มาใหม่เรียกความสนใจจากเหล่าคนที่นั่งคุยงานกันได้อย่างดี โดยเฉพาะชิตรัตน์ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครก็รีบลุกขึ้นจากที่เดินไปขอเปลี่ยนหน้าที่กับปีแอร์เพื่อพาเกลเข้ามาแทน โดยไม่สนใจว่าธานจะทำหน้าแบะปากล้อเลียนหรือทำหน้าไม่พอใจแบบไหนลับหลังใส่ตน

                  “แล้วสรุปว่าคุยกันเสร็จยังครับ จะได้ให้แม่บ้านตั้งโต๊ะเลย” เกลถามพลางมองเอกสารมากมายรวมถึงรูปภาพบ้างส่วนที่วางกระจายอยู่เต็มโต๊ะรับแขก

                “เสร็จพอดีครับน้องเกล ให้ตั้งโต๊ะเลยก็ได้” ธานชิงตอบตัดหน้าชิตรัตน์พร้อมหันมาทำหน้าสะใจใส่ เหมือนเด็กที่แย่งตอบคำถามคุณครูได้เป็นคนแรกอะไรแบบนั้น

                “งั้นเดี๋ยวพี่ชินกับคุณแก้วก็อยู่ทานด้วยกันเลยนะครับกลับไปน้องเกรทจะได้อาบน้ำนอนเลย”  เกลพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆเชิญชวนให้ทั้งสองอยู่กินข้าวด้วยกันเพื่อหวังต่อเวลาครอบครัวต่ออีกเล็กน้อย ผิดกับพี่ชายของตนที่ทำหน้ามุ่ยเป็นเด็กถูกขัดใจเมื่อรู้ว่าชิตรัตน์จะต้องนั่งร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่รู้ว่าแก้วกล้าเองก็ทำหน้าแบบเดียวกันเมื่อรู้ว่าต้องร่วมโต๊ะกับเขาอย่าเลี่ยงไม่ได้

              หลังจากจัดการมัดมือชกให้ทุกคนได้กินข้าวด้วยกันสมใจตนแม้จะขัดใจคนเป็นพี่ของเขาไปบ้างแต่ก็เพราะรู้ว่าพี่ชายตนไม่ขัดความสุขเล็กๆของเขาเป็นแน่เลยให้ชิตรัตน์พาตนไปยังห้องอาหารที่มีลูกชายของพวกเขานั่งอยู่กับไรอันรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนแก้วกล้านั้นขอเวลาเก็บเอกสารต่างๆก่อนเดี๋ยวจะตามไปที่หลังซึ่งดูเหมือนว่าคงจะต้องให้เวลาอีกพักใหญ่ๆเลยเพราะมีตัวก่อกวนอย่างธานที่อาสาเป็นคนช่วยเก็บของอย่างหวังดีประสงค์รักคอยก่อกวนอยู่ไม่ห่าง

                ตลอดมื้อค่ำของวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นสมดังความตั้งใจของเกลเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าการกินข้าวพร้อมหน้ากันแบบนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตามเพราะหลังกลับจากใต้พวกเขาก็ได้นั่งร่วมโต๊ะกันแบบนี้   ครั้งหนึ่งในวันที่ชิตรัตน์มาที่บ้านเขาครั้งแรกจากกการแอบขับรถตามรถของพี่ชายเขามาโดยไม่ลืมที่จะพาแก้วกล้ามาด้วยเขาจำได้ว่าพี่ชายของเขาโวยวายเสียบ้านแตกแต่พอเจอคนท้องพูดไปไม่กี่คำก็กลับมาสงบเสงี่ยมเหมือนเดิมจนเขาเองยังอดขำไม่ได้

                แต่พอทุกคนกินอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ฝ่ายชิตรัตน์เองจะต้องกลับแล้วเช่นกันเมื่อเวลาที่นาฬิกาบอกว่าใกล้จะสองทุ่มแล้วและเกรทเองก็มีอาการง่วงนอนออกมาให้เห็นเช่นกัน       
     
                สองพี่น้องเดินออกมาส่งทั้งสามที่หน้าประตูก่อนขึ้นรถแต่ถึงจะง่วงนอนจนตาจะปิดขนาดไหนเด็กชายก็ยังหันกลับมาบอกว่าคืนนี้จะโทรหาอีกเช่นเคยให้คนเป็นแม่รอรับด้วยซึ่งนั้นก็ทำให้เกลยิ้มไม่หุบ ในขณะที่ธานเองก็จะเริ่มทำตัวเป็นเด็กๆอีกครั้งโดยการรั้งแขนของแก้วกล้าไว้แล้วบอกสิ่งที่ตนพยายามพร่ำพูดมาตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะอาหารในเรื่องที่จะไปส่งอีกฝ่าย

                 “นะแก้ว ให้ฉันไปส่งดีกว่า”

                “อะไรของคุณอีกเนี่ย ผมบอกแล้วไงว่าจะกลับกับคุณชินได้”

                “ก็ฉันไม่ไว้ใจปล่อยให้เธอกับลูกกลับกับไอ้คนไร้ความรับผิดขอบแบบนั้นนะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง”  ก็ยังไม่วายหาเรื่องแขวะ

                “เอ๊ะ! นี้คุณเลิกอคติสักทีมันจะตายไหมและอีกอย่างผมมาพร้อมคุณชินก็ต้องกลับพร้อมเขาสิ”  ธานทำหน้าคิดอย่างไม่สบอารมณ์กับความมีมารยาทของแก้วกล้า ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

                “ก็ได้ ฉันยอมให้นายกลับกับไอ้หนวดนี้ก็ได้” จ๊ะ ตัวเองหนวดเยอะกว่าเขาอีก แก้วกล้าคิดในใจพร้อมกรอกตาไปมาอย่างระอาใจ

                “แต่วันเสาร์ที่จะถึงนี้แก้วต้องไปหาหมอพร้อมกับฉัน ฉันจะโทรนัดหมอพลอยคืนนี้”

                “คุณธาน!!”

                “แก้วผลัดมาหลายครั้งแล้วนะ ไม่รู้แหละถ้าแก้วไม่ตกลงก็จะยังไม่มีใครได้กลับทั้งนั้น”  แก้วกล้าอ้าปากค้างมองคนที่พูดเงื่อนไขแสนเอาแต่ใจอย่างเอาเรื่องก่อนจะหันไปมองหลานชายที่เริ่มหาวอยู่บนรถ

                “ก็ได้ แค่ไปหาหมอใช่ไหม” เขาตอบอย่าจำใจเพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเสียเวลาเพราะเขาคนเดียว

                “ดีมากที่รัก เดี๋ยววันเสาร์ตอนเช้าฉันจะไปรับห้ามหนีเข้าใจไหม” ธานพูดย้ำ

                “รู้แล้วน่า”

                “งั้นพรุ่งนี้เช้าฉันจะรออยู่ตรงล็อบบี้หน้าตึกนะ”

                “ฮะ!!”

                “ก็อย่างที่พูด ถ้าปฏิเสธฉันจะเปลี่ยนไปรอหน้าห้องนอนแก้วแทนนะ”

                “เออ!!”   แก้วกล้ากระแทกเสียงตอบอย่างหงุดหงิดแล้วเปิดประตูรถด้านหลังแล้วแทรกตัวเข้าไปข้างในอย่างเร็วไม่รอให้ธานมาช่วย


                เมื่อทุกคนขึ้นรถกันหมดแล้วชิตรัตน์ก็ขอตัวกลับเข้าประจำตำแหน่งคนขับแล้วและออกรถไปทันที หลังจากรถคันงามของชิตรัตน์หายไปลับไปจากรั้วบ้าน ธานก็พาเกลกลับไปยังห้องของเจ้าตัวและเริ่มทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีโดยการพาช่วยคนเป็นน้องอาบน้ำแต่งตัวและพามาส่งยังเตียงนอนของอีกคนเพื่อหวังจะถามในสิ่งที่ค้างใจอยู่

               “น้องเกลจะบอกพี่ได้หรือยังครับ”  ธานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับที่ลากเก้าอี้มานั่งหมายจะคุยให้รู้เรื่อง

               “เรื่องอะไรหรือครับ”  คนถูกถามตีหน้ามึนไม่เข้าในคำถามเมื่อครู่อีกทั้งยังอุ้มเจ้าแมวตัวโปรดขึ้นมาเล่นเป็นข้ออ้าง

                “อยากมาทำเป็นไม่รู้เรื่องน้องเกล ตอบพี่มาดีๆ” ธานกอดอกทำหน้าจริงจัง

                “ก็เกลไม่รู้จริงๆนิครับอยู่ๆพี่ธานก็มาบอกให้น้องพูดอะไรก็ไม่รู้แบบนี้ น้องก็คงตอบไม่ถูกเหมือนกัน”  สรุปนี้เขาผิดหรอที่ถามไม่รู้เรื่อง

                “โอเค พี่ผิดเองงั้นเอาใหม่” ในเมื่อโดนย้อนขนาดนี้แล้วเขาถามใหม่ก็ได้

                “ก็เรื่องที่เราพูดค้างกันไว้ที่ทะเลไง น้องเกลพยายามเลี่ยงพี่มาหลายวันแล้วนะ”  ธานว่าก่อนจะคว้าเอาเจ้าขนฟูตัวปัญหานั้นมาอุ้มไว้เสียเองเมื่อเห็นว่าเกลไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด

                “ก็ไม่มีอะไรนี้ครับ”  เกลยู่หน้าน้อยๆเมื่อโดยแย่งของเล่นไปดื้อๆ

                “เกล น้องคิดจะทำอะไรบอกพี่ได้ไหม”  เสียงจริงจังอย่างเป็นห่วง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเกลจะทำอะไรเขาคงไม่ห้ามหรอกนะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อาการของเกลเองจะกำเริมออกมาเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้

                “น้องว่าเรื่องนี้พี่ธานก็น่าจะพอเดาออกอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ” บ้าน่ะ นี่น้องเขาคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย

                “พี่ไม่เห็นด้วยเรื่องพวกนี้ปล่อยให้พี่จัดการเองดีกว่า” ธานผลุดลุกขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจกับความคิดที่อยู่ในหัวของเกลเท่าไรนัก ขนาดเจอชิตรัตน์ครั้งแรกยังสั่นขนาดนั้นแล้วถ้ามันเป็นอย่างที่เขาคิดจริงน้องเขาจะเป็นยังไง

                “พี่ยอมรับไอ้ชิตรัตน์นั้นก็ได้ แต่ขอเถอะอย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลยนะ ถือว่าพี่ขอถอะ” เขาหันกลับมามองน้องชายของตนอย่างจริงจังเพื่อหวังว่าอีกคนจะล้มเลิกความตั้งใจบ้าๆนั้นเสียเพราะเขาเองคงจะรับไม่ได้ถ้าน้องต้องเป็นอะไรไปอีก

                คราวนี้เกลไม่ตอบอะไรเขาอีกเลยนอกจากส่งยิ้มมาให้เท่านั้น  เขาเองก็จนปัญญากับการจะโน้มน้าวใจของอีกคนที่บทจะแข็งก็แข็งไม่ยอมงอบทจะอ่อนก็อ่อนมาก เมื่อเขาเลือกที่จะเงียบและอีกคนเลือกที่จะไม่ตอบทำให้กลายเป็นว่าตอนนี้ทั่งห้องตกอยู่ในบรรยากาศความเงียบที่พวกเขาเป็นคนสร้างหากแต่เกลกลับเลือกที่เมินเฉยต่อความเงียบนั้นแทน

                 จนกระทั้งเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาก่อนที่เจ้าของห้องเอ่ยเชิญให้แขกผู้มาใหม่เข้ามาในตอนแรกธานเองก็คิดว่าอยู่ไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยคิดจะกลับไปที่ห้องของตนเองเสีย หากแต่แรงรั้งที่ข้อมือหนาของเขาทำให้เขาต้องหันกลับมามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างไม่เข้าใจ

                “อยากรู้ไม่ใช่หรอครับว่าน้องจะทำอะไร”

                เกลพูดขึ้นเหมือนมันเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับธานแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขามาก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เงยหน้ามองสองคนสนิทของน้องชายก่อนจะไปสะดุดสายตาเข้ากับซองเอกสารสีน้ำตาลไม่หนามาที่อยู่ในมือของชายและพล

                “ของที่เกลฝากหาได้ครบไหมครับ” 

               เกลหันไปพูดเสียงหวานให้พี่เลี้ยงทั้งสองของตนพร้อมกระตุกแขนเสื้อพี่ชายของตนให้กลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ใหม่อีกครั้ง

                “ครบครับ  ในนี้คือข้องมูลที่คุณเกลต้องการทั้งหมด” พลยื่นซองสีน้ำตาลซองแรกมาให้เขารับเอาไว้พร้อมเปิดดู โดยไม่วายแบ่งบางส่วนให้ธานได้ดูด้วยเช่นกัน

                “ในนี้มีข้อมูลการรักษาทั้งในไทยและต่างประเทศ จำนวนครั้งที่เข้ารับการรักษา อาการที่แสดงออกในแต่ละครั้ง ส่วนใบสุดท้ายเป็นรายชื่อของผู้ที่บริจาคหัวใจทั้งหมดจากโรงพยาบาลที่เข้ารักษาตัวในตอนนี้ครับ”

                เกลพยักหน้ารับกับคำชี้แจ้งเอกสารพร้อมกับอ่านดูคล่าวๆซึ่งนั้นมันก็ไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่ตนคิดเอาไว้เสียเท่าไร โดยเฉพาะตีหน้าตึงเครียดเหมือนคนกำลังสับสนของธานที่นั่งดูเอกสารอยู่ข้างๆเขานั้นด้วย

                “นี้มันหมายความว่ายังไงกันน้องเกล”  ธานทำสีหน้าสับสนอย่างไม่ปิดบัง

                “คนป่วยก็ต้องคู่กับเอกสารการรักษาอยู่แล้วไม่ใช่หรอครับ นี้ไงโรงพยาบาลเดียวกับน้องเลย”

                เกลว่าเสียงใสพร้อมชูเอกสารที่มีตราประทับของโรงพยาบาลที่ตนเคยเข้ารับการรักษาอยู่เป็นประจำ แต่สงสัยว่าคำตอบของเขาจะยังไม่สามารถไขข้อข้องใจให้กับพี่ชายของเขาได้แน่ๆ เพราะดูสิพี่ธานยังทำหน้ายักษ์ใส่เขาอยู่เลย

                “ส่วนนี้เป็นเอกสารที่คุณธานมีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับคุณชิตรัตน์และครอบครัว”

                ธานหันขวับไปมองหน้าเกลทันทีที่ชายพูดจบ นี้ถึงขนาดส่งคนไปค้นห้องของเขาเพื่อเอาเอกสารเลยงั้นเหรอ

                 "อย่างมองหน้าน้องอย่างนั้นสิครับ พี่ธานไม่ยอมเอามาให้น้องดีๆเองนี่นะ”   เกลลอบหน้าลอยตาพูดเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของตน แต่ก่อนที่ธานจะได้อ้าปากเถียงอะไรเจ้าตัวแสบนี้พลก็ส่งเอกสารอีกชุดที่อยู่ในมือมาตรงกลางระหว่างเขาทั้งคู่

                “ส่วนนี้เป็นข้อมูลส่วนตัวปลีกย่อยที่คนของผมไปเจอมาดูท่าทางมันจะเป็นข้อมูลที่เป็นความลับเสียด้วย บางทีนี้อาจพอเป็นประโยชน์ให้กับเราก็ได้นะครับ”

                เกลเปิดดูเอกสารนั้นดูก่อนจะยิ้มล้าอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า พร้อมเหลือบสายตามามองธานครู่หนึ่งก่อนจะส่งเอกสารบางส่วนนั้นไปให้ธานแทน

                “อันนี้ต่างหากคือสิ่งที่พี่ธานต้องไปจัดการให้น้อง”

...................................................................................................

                 “แล้วคุณชินจะเอายังไงต่อไปดีครับ”

                  คำถามชวนสงสัยของเลขาคนสวยที่ทำหน้าที่เป็นตุ๊กตารถถามขึ้นมาในความเงียบ ทำให้ชิตรัตน์ต้องหันหน้าไปเป็นเชิงถามทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากถนน

                 “ก็เรื่องคุณเกลไงครับ จะเอายังไงต่อไป”

                  แก้วกล้าขยายความให้ชัดขึ้นเมื่อคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจในคำถามที่ถูกส่งออกมาอย่างห้วนๆ เขาเหลือบตามองกระจกหลังเพื่อให้แน่ใจว่าลูกชายของเขาจะหลับสนิทไปแล้วจริงๆ

                 “ก็คงต้องค่อยเป็นค่อยไปล่ะมั้ง” เขาตอบตามความเป็นจริง

                  อันที่จริงเขาก็อยากที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการไวๆอยู่หรอกนะ แต่พอได้เห็นอาการของเกลในวันนั้นที่เจอหน้าเขาอีกครั้งแล้วมันก็ทำให้เขาได้รู้ว่ามันไม่มีอะไรเป็นไปดั่งใจเราทุกอย่างได้โดนเฉพาะความรู้สึกของเกลในเวลานี้

                  เกลไม่ได้เกลียดไม่ได้โกรธเขาอย่างที่คิดซึ่งฟังดูแล้วเหมือนว่ามันจะดีน่ะ แต่ในความเป็นจริงแล้วอีกคนกลับ กลัว เขาต่างหาก การทำให้คนคนหนึ่งหายหวาดกลัวในสิ่งที่หยั่งรากลงในจิตใจมันก็พอๆกับการพยายามทำดีให้คนที่เกลียดเราได้เห็น แล้วยิ่งเกลมีอาการของร่างกายและจิตใจที่ไม่เหมือนปกติเมื่อก่อนอย่างนี้ด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งไม่รู้เลยว่ามันจะอีกนานไหมกว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

                 “เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา จะโผงผางไปก็คงจะไม่ได้” ชายหนุ่มพูดเสียงนิ่งเหมือนซ้ำกับตนเองมากกว่ากรพูดให้แก้วกล้าได้ฟัง

                  “แต่ถ้าคุณหญิงรู้เรื่องนี้ละ”

                  นี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะทำเช่นไรดี คนหัวแข็งไม่ยอมฟังใครอย่างแม่ขอเขานี้แหละที่เป็นปัญหาสำคัญ ถ้าเกิดเรื่องนี้รู้ถึงหูหล่อนเข้าล่ะก็ความปลอดภัยของจิตใจของลูกชายเขาจะเป็นยังไง

                   แก้วกล้าเองก็เป็นห่วงเจ้านายของตนว่าหากคุณหญิงกลับมาจริงมิเท่ากับว่าชิตรัตน์ต้องรับศึกสองด้านเลยหรือแค่ทุกวันนี้เจอแค่คนพี่ของคนรักก็เหนื่อยกายแล้วแล้วนี้ยังมาเจอคนเป็นแม่ที่เอาแต่ใจตัวเองเสียยิ่งกว่าใครอย่างคุณหญิงโฉมฉวีอีกคงไม่แคล้วได้เหนื่อยใจอีก

                 “เธอไม่ต้องเครียดเรื่องนี้แทนฉันหรอกนะแก้ว นี่เป็นเรื่องของครอบครัวฉันฉันต้องจัดการด้วยตัวเอง ฉันทำมันพังมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้มันเป็นเหมือนเดิมอีก”  คำพูดจริงจังของชิตรัตน์ที่ดูหนักแน่นพอจะช่วยคลายกังวลของเขาลงไปได้เล็กน้อย

                 “ผมจะคอยเอาใจช่วยนะครับ” ชิตรัตน์ยิ้มออกมากับคำพูดของคนข้างๆ
 
:katai3:

หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 13- 23-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-01-2017 20:13:10

:katai3:


                  ชิตรัตน์ขับรถมาส่งว่าที่คุณแม่ที่หน้าคอนโดเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งตรงกลับบ้านของตนทันทีเช่นกัน   ด้วยระยะทางจากคอนโดถึงบ้านเขานั้นปกติใช้เวลาไม่นานทำให้เขาคิดว่ากลับไปถึงค่อยโทรอีกคนรักก็น่าจะไม่ดึกมาก แต่ว่า ณ ตอนนี้เขายังไม่พ้นเขตคอนโดเลยด้วยซ้ำไปจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นข้างหน้าเลยทำให้ตอนนี้การจราจรเริ่มติดขัดคาดว่ากว่าจะถึงบ้านนั้นก็คงต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกันซึ่งนั้นยากจะเป็นผลดีกับเขาก็ได้เพื่อว่าจะพอทำให้เขามีเวลาคิดอะไรหลายๆอย่าง หลังจากจมอยู่กับความคิดของตัวเองสักพักรถที่ยังคงติดอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับหรืออย่างไร    ชิตรัตน์จึงเอื้อมออกไปหยิบหูฟังไร้สายออกมาใส่ก่อนที่จะกดโทรออกที่โทรศัพท์

                //ครับ พี่ชิน//  เสียใสที่ไม่ต้องให้รอนานจากปลายสายทำให้เขาที่เมื่อครู่ยังตีหน้าเครียดอยู่สามารถยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย

                “รับช้าจัง นอนแล้วหรอครับคนดี” ตามจริงก็ไม่ได้ช้าอะไรอย่างที่เขาพูดหรอก

               //ยังครับรอพี่ชินโทรมานี้แหละ ถึงบ้านแล้วหรอครับ// 

               “ยังเลย รถติดอยู่ตรงหน้าคอนโดแก้วนี้แหละ กลัวว่าถ้ารอให้ถึงบ้านจะดึกเสียก่อน”

               //อย่างงั้นหรือครับ แล้วลูกละครับ//

               “หลับตั้งแต่ออกจากบ้านเราแล้วละ” คำตอบของเขาเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนปลายสาย

                เขาใช้ช่วงเวลารถที่รถติดในตอนนี้พูดคุยกับเกลหลายเรื่องไม่ว่าจะเรื่องงานเรื่องที่เจอมาทั้งวันให้อีกคนฟังจนรถที่ติดอยู่เริ่มขยับไปข้างหน้า  ผ่านอุบัติเหตุของรถกระบะสีดำที่ใช้ขนของชนกับรถเก๋งคันเล็กสีขาวทำให้ต้องเดินถนนทางเดียว ชิตรัตน์เล่าเหตุการณ์ที่เจอขณะขับรถให้เกลฟังจนเมื่อใกล้ถึงบ้านของตนก็ล้วนมาเป็นเวลาที่ดึกพอควรแล้วเขาคิดว่าควรให้เด็กน้อยของเขาได้พักผ่อนเสียทีและคงมีคนที่คิดเหมือนกับเขาจนส่งเสียงเขามาตามสายให้เขาได้ยิน

               //น้องเกลนอนได้แล้วนะ........ครับพี่ธาน.....พี่ชินครับเกลคงต้องวางแล้วละ// น้ำเสียงหงอยๆของคนที่ถูกพี่ชายจอมดุบังคับให้นอนทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้

               “ครับ พี่เองก็ใกล้ถึงแล้วเหมือนกัน” เขาพูดขณะเลี้ยวเข้าซอยบ้าน

              //งั้นก็ฝันดีนะครับ//

            “เกล” เขาเรียกชื่ออีกคนไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกดวาง

            //ครับ //

             “............”

            //พี่ชิน  มีอะไรหรือเปล่าครับอย่าเงียบสิ//  เขารวบรวมแรงใจที่มีอยู่ก่อนจะพูดออกไป

            “พี่รักเกลนะ พี่สัญญาว่าจะทำเรากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง”  เขาพูดออกไปอย่าที่คิด  เขาสัญญากับอีกฝ่ายไว้แล้วยังไงเสียคราวนี้เขาต้องทำให้ได้ต้องให้มีอุปสรรคขนาดไหนก็ตาม หรือต่อให้อุปสรรคที่ว่าจะเป็น แม่ ของเขาเองก็ตาม

             //ครับ เกลก็รักพี่ชินนะ เกลจะรอวันที่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้านะ//  คำพูดเพียงประโยคเดียวที่เหมือนเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจให้เขามีแรงที่จะเดินหน้าต่อกรกับอะไรหลายๆเอย่าง นี่ล่ะมั่งที่ใครเขาว่ากันว่าเพียงคำพูดเดียวของคนที่รักก็เหมือนเป็นแรงผลักดันให้เรามีแรงที่จะเดินหน้าต่อ
 

              หลังจากล่ำลาและวางสายจากกันแล้วก็ถึงบ้านของเขาพอดีเขากดรีโมตเพื่อให้ประตูรั้วอัตโนมัตินั้นเปิดออก เอารถเข้าจอดที่โรงรถเรียบร้อย  ก่อนที่แม่บ้านสองคนที่ออกมารับเขาช่วยหยิบเอากระเป๋าเอกสารและสูทตัวนอกของเขาและกระเป๋านักเรียนของเกรทที่ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นไปเพื่อจะนำกลับไปไว้ที่ห้องให้ตามหน้าที่เหมือนปกติ  แต่เขากลับรู้สึกว่าสีหน้าของแม่บ้านดูกระอักกระอ่วนเหมือนจะพยายามจะบอกอะไรเขาสักอย่างอยู่ แต่เขาไม่ทันได้ถามไปเสียงวิ่งกระหืดกระหอบของชาติที่เขาส่งกลับมาก่อนตั้งแต่ช่วงเย็นก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

                “คุณชิน”

               “อ้าวชาติ ทำไมถึงต้องวิ่งออกมาด้วยล่ะ”

               เขาถามอย่างสงสัย เพราะปกติแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องงานหรือดูแลเกรทแล้วล่ะก็อีกคนจะไม่ค่อยขึ้นไปที่ตัวบ้านของเจ้านายเสียเท่าไร แล้วยิ่งสีหน้าของชาติกับแม่บ้านสองคนที่ยังคงยืนอยู่มีอาการไปในทางเดียวกันอย่างนี้ด้วยแล้ว เขาเองก็ยิ่งรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีจนต้องกระชับแขนที่อุ้มลูกชายตัวน้องเอาไว้ให้แน่นขึ้น

              “มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”  เขาถามดูอีกครั้ง

              “ส่งคุณหนูมาให้ผมจะดีกว่าครับ”

               ชาติพูดแค่นั้นก่อนส่งมือไปเพื่อขอรับเด็กชายจากคนเป็นนาย แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไรแต่ชิตรัตน์ก็ยอมที่จะส่งตัวลูกชายของเขาให้กับคนสนิทไปอย่างง่ายดาย เด็กชายขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะพิงหัวลงกับไหล่ของผู้มาใหม่แล้วหลับต่อด้วยความเพลีย

                ชิตรัตน์เริ่มไม่ไว้วางใจกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างยิ่งเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่ผู้น้อยในบ้างถึงสามคนแสดงออกมาเมื่อยามเจอเขา ชายหนุ่มทำตัวให้ปกติตีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรก่อนจะเดินนำชาติเข้าตัวบ้านไป

                “ทำไมพึ่งกลับมาตอนนี้ตาชิน”

                  !!

               ชิตรัตน์ชะงักกึกขาที่กำลังก้าวผ่านโซนรับแขนด้านหน้าก่อนจะหันไปมองสุภาพสตรีวัยกลางคนตอนปลายที่กำลังนั่งอ่านนิตยาสารอยู่กลางโซฟายาว

                “แม่”

                 เขาพึมพรำกับตัวเองเบาๆก่อนหันกลับไปส่งสายตาให้ชาติกับสาวใช้อีกสองคนให้เดินขึ้นไปด้านบนของบ้านได้เลย ส่วนตัวเขานั้นเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องรับแขกนั้นแทน

                 “ดูแกไม่ค่อยจะดีใจหรือแปลกใจอะไรเท่าไรเลยนะที่เห็นฉันกลับมาบ้าน”

                  คำพูดเหน็บแนมจากปากสีแดงสดนั้นทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจแต่ก็แค่ยังไงทำอะไรไม่ถูกมันก็เท่านั้น

                  “ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยครับ”  เขาว่าปัดพร้อมนั่งลงที่ว่างใกล้ๆ

                  “อย่างนั้นหรอ แล้วทำไมกลับดึก”

                   คุณหญิงเหลือบตามองลูกชายของตนก่อนจะวางนิตยาสารที่ใช้อ่านฆ่าเวลาเมื่อครู่ลงกับโต๊ะรับแขกตรงหน้า พร้อมกับหันไปสั่งให้คนรับใช้ที่เพิ่งเดินผ่านมาไปนำน้ำดื่มมาให้ลูกชายตน

                  “พอดีผมไปคุยเรื่องงานมาครับ”  เขาว่าไปตามตรง ซึ่งอีกคนก็ไม่ได้มีท่าทีท้วงติงอะไรเขาจึงถามกลับบ้าง

                  “ว่าแต่แม่เถอะ ไหนว่าจะอยู่ที่ฝรั่งเศสยาวจนกว่าจะผ่าตัดเสร็จแล้วทำไมถึงได้......”

                   “ก็ฉันเบื่อ”

                  คุณหญิงพูดแทรกขึ้นมาดื้อๆ เขาเองก็พอจะเขาใจนิสัยพวกนี้ของคนที่เลี้ยงดูตัวเองมานานดีแต่ก็ไม่คิดว่าจะเอาแต่ใจตัวเองได้ขนาดนี้เหมือนกัน

                 “แล้วคุณหมอเขาอนุญาตแล้วหรือครับแล้วเรื่องผ่าตัด”

                 “ก็ต้องรอไงว่าจะมีอันไหนที่เข้ากับร่างกายฉันได้ อีกอย่างฉันอยู่นั้นมาตั้งหลายอาทิตย์แล้วมันน่าเบื่อ”  หล่อนแน่นย้ำคำว่าเบื่อเสียงดังให้ชิตรัตน์เข้าใจ และจะได้เลิกเซ้าซี้เสียที

                 ชิตรัตน์เลือกที่จะหยุดถามคำถามอะไรต่อแล้วหยิบแก้วน้ำที่สาวใช้นำมาวางไว้ให้ขึ้นจิบแทน นานแค่ไหนแล้วนะที่เขากับแม่แทบจะไม่เคยได้พูดจากันดีๆเหมือนแม่ลูกคู่อื่น

                  “แล้วนี้กินอะไรกันมาหรือยัง กลับบ้านดึกๆดื่นๆแบบนี้แถมยังเอาลูกไปด้วยอีกคิดอะไรอยู่ ดูสิหลับขนาดนั้นจะได้อาบน้ำหรือเปล่านะ”  แต่อย่างน้องแม่ก็ยังเป็นแม่ล่ะนะ

                  “อาบมาเรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวผมว่าจะขึ้นไปเช็ดตัวให้ลูกอีกรอบเพื่อแกจะได้สบายตัว”  แต่จะให้บอกว่าอาบมากับเกลนี้คงจะไม่ดีเท่าไรหรอก

                   “นี้แกไปคุยงานมาจริงๆหรอ” คุณหญิงปลายตามองชิตรัตน์ก่อนจะถามอย่างจับผิด ไปคุยงานแล้วลูกจะได้อาบน้ำได้ยังไง

                    “ก็ ไปคุยกันที่บ้านของอีกฝ่ายนะครับทางนั้นก็เลยยอมให้ตาเกรทอาบน้ำก่อนกลับมา”  ชิตรัตน์พยายามอธิบาย แต่มีหรือคนที่คอยจ้องจับผิดอยู่อย่างคุณหญิงโฉมฉวีจะเชื่อง่ายๆ

                    “ก็ขอให้ไปคุยงานจริงๆแล้วกัน ไม่ใช่ว่าเอาเวลาไปทำเรื่องไร้สาระ”

                “หมายความว่ายังไงครับ”

                เรื่องไร้สาระงั้นเหรอ..................

                “เหอะ แกก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไงเรื่องของไอ้เด็กใจแตกนั้นนะ”

                “แม่ !”

                ชิตรัตน์ขึ้นเสียงใส่คนด้านข้างอย่างไม่พอใจกับคำประณามว่าร้ายนั้นที่แม่ของเขายัดเยียดมันให้กับใครบางคนที่ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าเป็นใคร

                 “รับความจริงไม่ได้หรือไง” หล่อนว่าอย่างไม่แยแสท่าทีเดือดดาดของลูกชายที่มองมาตนอย่างไม่พอใจ แต่ใครจะสนกันในเมื่อหล่อนพูดความจริง ก็คิดดูเอาสิเด็กดีๆที่ไหนเขาจะหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับผู้ชายจนท้องโย้ขนาดนั้นแล้วไหนจะความเน่าเหม็นที่หล่อนเจอมาอีกคิดหรอว่าหล่อนจะไม่รู้ธาตุแท้ของของไอ้เด็กนั้นที่คิดจะจับลูกชายของหล่อนไม่มีทางเสียหรอกย่ะ

                 “แต่เกลเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แม่พูด ผมอธิบายตั้งหลายครั้งแล้วทำไมแม่ไม่เข้าใจบ้าง....” เขาเริ่มจะเหลืออดกับคำพูดที่ไม่แม้จะคิดตามของอีกคน

                 “อ้าวหรอ นี้ฉันเข้าใจผิดไปหรอ” คุณหญิงทำหน้าเหลอหลาแบบไม่เชื่อใส่เพื่อหวังกวนอารมณ์ลูกชาย และมันก็ได้ผลดีเสียด้วยเพราะคำพวกนั้นมันทำให้ชิตรัตน์โกรธเป็นอย่างมาจนต้องกำมือแน่นเพื่อสะกดอารมณ์

                  “จริงสิ ที่แกบอกว่าแกกำลังทำโครงการรีสอร์ตให้อยู่กับหุ้นส่วนใหม่ใช่ไหมว่างๆก็พาเขามากินข้าวที่บ้านเราบ้างสิ”  คุณหญิงพูดขึ้นอย่างเปลี่ยนเรื่อง

                 “แม่ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะครับ” เขาว่าอย่างดักทาง อย่างนี้ตลอดพอไม่ได้ดั่งใจก็เปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ

                 "เปลี่ยนเรื่องอะไร ฉันก็แค่ไม่อยากจะเสียปากว่าเวลาที่ต้องพูดถึงเด็กอย่างนั้นมันก็เท่านั้นเอง”  ความหยิ่งยโสแบบนี้เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่ามันจะมีสักครั้งไหมที่แม่จะยอมลดทิฐิความคิดของตนลงมาบ้าง

                “แต่เกลเป็นเมียผม ต่อให้แม่เปลี่ยนเรื่องพูดอีกสักกี่เรื่องความจริงที่ว่าเกลคือเมียและแม่ของลูกผมมันก็คือความจริง”

                  “แต่ฉันไม่ยอม แกตามหามันมาตั้งกี่ปีแกเคยที่จะเจอเงามันบ้างไหม ไม่! แกไม่เคยเจออะไรเกี่ยวกับมันเลย ป่านนี้มันคงไปมีความสุขกับผัวใหม่ของมันแล้ว หรือไม่ก็ตายโหงตายห่าไปแล้ว”

                  คุณหญิงตะโกนก้าวอย่าสุดจะทน ไอ้เด็กนั้นมันมีดีตรงไหนกันทำไมลูกชายของเขาถึงได้หลงมันนักหลงมันหนาไม่ว่าหล่อนจะสรรหาลูกผู้ดีไฮโซเพียบพร้อมขนาดไหนมาให้ก็ไม่แม้จะชายตา ตาต่ำเหมือนพ่อมันไม่มีผิด......

                 “ถึงแม่จะไม่ยอมรับแต่เกลก็คือ เมีย ผมต่อให้แม่จะหาใครที่ดีเลิศขนาดไหนมาให้ก็ไม่มีใครมาแทนที่เกลได้ และผมนี้แหละจะพาเกลกลับมาเราอยู่ด้วยกันต่อให้แม่ไม่เห็นด้วยก็ตาม”     ชิตรัตน์เน้นย่ำถึงสถานะของคนรักเสียงดังก่อนจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นนี้อย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเสียงเรียกที่พยายามจะสั่งให้เขาหยุดเดิน     

              “หยุดเดี๋ยวนี้นะตาชิน กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”   คุณหญิงเองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆเช่นกัน หล่อนพยายามเดินตามลูกชายไปจนถึงบันไดก่อนจะคว้าเข้าที่ท่อนแทนของชิตรัตน์ให้หันกลับมา

             “ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วครับ นี้คือครอบครัวของผมผมเลือกแล้ว”

              เขาว่าพร้อมสะบัดแขนออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นบันไดไปไม่แม้จะแลมองดูคนที่ยืนตะโกนเรียกเขาอยู่ที่ปลายบันไดแม้แต่น้อย

               “ตาชิน หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ตาชิน ตาชะ..โอ๊ะ”  แต่เสียงเรียกก็ต้องหยุดลงพร้อมกับยกมือขึ้นกำหน้าอกของตนยามเมื่อรู้สึกเจ็บจนต้องทรุดตัวลงนั่งเช่นเดิม

               “คุณหญิงเป็นอะไรมั่งคะ” ร่างของสาวใช้ที่แอบดูเจ้านายคุยกันอยู่ด้านหลังกำแพงรีบปรี่เข้ามาหาคุณหญิงด้วยความเป็นตกใจที่อยู่ๆคนตรงหน้าก็ทรุดลงกับราวบันได

              “อย่ามายุ่งจะไปทำอะไรก็ไป!!” หล่อนตะหวาดไล่พร้อมสะบัดแขนข้างที่โดนจับเอาไว้ออกจนแม่บ้านตกใจ

                 “ฉันไม่มีวันยอมรับไอ้เด็กนั่นแน่ แกได้ยินไหม แกกับมันไม่มีวันจะได้อยู่ด้วยกันจำเอาไว้!!!”  คุณหญิงตะโกนออกไปอย่างมาดร้าย นี่ลูกชายของหล่อน ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิเอาชิตรัตน์ไปจากเธอ ไม่มีวัน!!!

_________________________________________________________

เปิดตัวบุคคลที่โลกรอ คุณหญิงแม่ มาแล้วจ้าาาา!

กลับมาอัพตามปกติแล้วนะคะ  :mew1:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 13- 23-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-01-2017 06:20:51
แค่เพิ่งโผล่มาก็ทำให้เราเกลียดได้แล้ว คุณหญิงเธอช่างเก่งจริงนับถือมาก
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 14- 25-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 25-01-2017 19:19:35
ฝนหยดที่ 14



              เสียงความไม่ลงรอยกันทางความคิดของผู้ใหญ่สองคนที่โต้คารมใส่กันทำให้คนที่ได้ยินคำพูดที่บั่นทอนความสุขที่มือคู่น้องพึ่งไขว่คว้าจับไว้ได้นั้นแทบใจสลาย

                ชาติก้มมองดูคุณหนูตัวน้อยที่เขาเฝ้าดูแลมานานอย่างเป็นสงสารจับใจ ยิ่งดวงตาแววหวานนั้นฉ่ำไปด้วยคาบน้ำตาแบบนี้เขายิ่งกระชับแขนที่กอดร่างเล็กๆนั้นเอาไว้ให้แน่นขึ้น 

“อย่าคิดมาเลยนะครับคุณหนู”

เขาพูดปลอบก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาหยดน้อยบนแก้มยุ้ยนั้นออกเบาๆ

“ทำไมคุณย่าต้องเกลียดคุณแม่ด้วย ฮึก คุณแม่ของเกรทใจดีทำไมคุณย่าต้องว่าคุณแม่ด้วย”

แรงสะอื้นจนตัวสั่นของเด็กชายที่ซบหน้าอยู่กับอกของเขา ทำเอาเขาเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี   เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมาอยู่กับเจ้านายตัวน้อยในสถานการณ์แบบนี้ถึงจะไม่กล้าพูดว่าเข้าใจความรู้สึกนั้นเพราะเขาเองก็ไม่เคยเจอกับเรื่องราวแบบนี้ แต่ถ้าใครมาว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาละก็เขาก็คงไม่ชอบเช่นเดียวกัน

                “อาชาติ คุณพ่อกับคุณแม่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันไหมเกรทอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่”

                โธ่ คุณหนูของชาติ หน้าแดงตาช้ำไปหมดแล้ว เขาได้แต่พูดออกมาในใจแต่เมื่อกำลังจะอ้าปากพูดเสียงของคุณหญิงใจร้ายก็ดังแทรกมาเสียก่อน

“ฉันไม่มีวันยอมรับไอ้เด็กนั้นแน่ แกได้ยินไม แกกับมันไม่มีวันจะได้อยู่ด้วยกันจำเอาไว้!!!”

“ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

เขาแทบประสาทเสียกับคำพูดที่อะไรมันจะเหมาะเจาะเจาะจงแบบนี้  แล้วยิ่งเกรทร้องไห้หนักขนาดที่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเด็กน้อยก็ไม่ยอมรับฟังแบบนี้ คนดูแลอย่างเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันคงจะทำได้แค่กอดเจ้านายตัวน้อยไว้แล้วลูบหลังเบาๆเท่านั้น

สักพักหนึ่งบานประตูห้องนอนของเกรทเปิดออกเจ้าของหัวตัวน้อยมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อพอเห็นว่าเป็นใครที่เปิดประตูนั้นเข้ามาแล้ว เกรทก็เบาะปากร้องไห้ออกมามากกว่าเดิมพร้อมอ้าแขนออกกว้างให้ผู้เป็นพ่ออุ้ม

“คุณพ่อ ฮือฮือ”

เกรทตัวลอยขึ้นจากเตียงเข้าไปซุกหน้าเล็กๆของตนลงกับไหล่กว้างของพ่ออย่างหาที่พึ่งพิง  ใครว่าเด็กฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่จริงเลย เด็กสามารถรับรู้ได้ว่าใครเป็นใครและเกิดอะไรขึ้นแต่เพราะเป็นเด็กการแสดงออกจึงอาจไม่ประสีประสา แต่นี้คือผ้าขาวที่ถูกทาร้ายมากๆก็ต้องบางลงและขาดง่ายเป็นเรื่องธรรมดา

“อย่าไปฟังที่คุณย่าท่านพูด ยังไงพ่อก็จะพาคุณแม่กลับมาอยู่กับเราให้ได้แน่”

ชิตรัตน์พูดกับลูกชายเบาๆที่ข้างหูของเกรทที่ซบหน้าร้องไห้จนตัวสั่นเพื่อปลอบโยน เขาเป็นห่วงลูกการที่เด็กตัวแค่นี้ต้องมารับรู้ความรู้สึกเกลียดชังของผู้ใหญ่แบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ไหนจะสภาพจิตใจของเด็กอีก

 “แต่คุณย่า”  เกรทสะอื้นเบาๆ

“พ่อสัญญา ต่อให้คุณย่าจะพูดอย่างไรพ่อก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่กับคุณแม่”

ต่อให้ต้องแตกหักกันเขาก็คงต้องยอมรับมัน เพราะยังไงตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือลูก เกรทจิตใจย้ำแย่มามากเกินไปแล้วเขาผิดเอง ที่ลูกเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา  พ่อขอโทษ.........................

ชิตรัตน์เดนอุ้มลูกชายไปรอบๆห้องอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าแรงสะอื้นนั้นเริ่มเบาลงเขาจึงหันไปโบกมือให้ชาติที่ยังมองตรงมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงคลายกังวลลงแล้วออกไปก่อน

เขาพาเด็กน้อยตาบวมช้ำกลับมานอนรอที่เตียงก่อนที่เขาจะจัดการเอาผ้าชุบน้ำที่ชาติวางเอาไว้ที่ข้าวเตียงมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกเสียใหม่พร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอนให้ โดยเขาตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าลูกชายของเขาจะหลับเพื่อให้แน่ใจว่าแม่ของเขาจะไม่เข้ามาวอแวอะไรหลานในคืนนี้อีก

“คุณพ่อ..สัญญากับเกรท...แล้ว...นะ”

 ชิตรัตน์ยิ้มชื่นให้ลูกชายที่ละเมอพูดออกมาอย่างเจ็บลึกในใจ  ในฝันลูกเขาจะยังร้องไห้อยู่อีกหรือเปล่านะ เขาคิดก่อนจะจับมือคู่น้อยของเกรทขึ้นมาแล้วจูบลงไปเบาๆ

“พ่อรักลูกนะเกรท”

.....................................................................................

ความมืดยามค่ำคืนถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างยามเช้าที่บอกถึงการเริ่มต้นของวันใหม่และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในตอนเช้านั้นก็คือมื้อแรกของวันที่สำคัญที่สุด กลิ่นข้าวต้มหมูแสนอร่อยของแม่ครัวประจำบ้านหลังโตส่งกลิ่นยั่วน้ำลายรอให้ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่อยากลิ้มลอง 

“คุณพ่อ!!”

เสียงแจ้วจ้าวของเกรทดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวเล็กที่วิ่งนำชาติเข้ามายังห้องอาหารเรียกความสนใจของเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับธุรกิจยามเช้าให้หันไปมอง

“ไงครับคนเก่ง”

เขาเอี้ยวตัวอุ้มลูกชายขึ้นนั่งที่ตักก่อนจะหอมแก้มยุ้ยนั้นอย่างเคยก่อนจะวางลูกชายลงกับเก้าอี้กินข้าวข้างตัวที่วางเบาะรองเอาไว้เพิ่มความสูงให้เจ้าตัว

“ทานข้าวกันเลยดีกว่าครับเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย”

ชิตรัตน์พูดขึ้นพร้อมเรียกให้แม่บ้านที่ยืนอยู่ตักข้าวต้มใส่ชามให้พวกเขาได้เลย โดยไม่รอเจ้าของบ้านอีกคนหนึ่งที่ยังคงปรับตัวเขากลับเวลาของไทยไม่ได้เลยเจ็ทแล็กอยู่บนห้อง ซึ่งนั้นก็ดีเพราะเขากับลูกเองก็คงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตอนนี้แน่

หลังจากกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาลูกชายขึ้นรถเพื่อจะไปส่งที่โรงเรียนก่อนจะเลยไปที่ทำงานของเขา ชิตรัตน์ทำแบบนี้ทุกวันในตอนเช้าคือการไปส่งลูกชายถึงหน้าห้องเรียนไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจให้ชาติมาส่งเองแต่เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้สึกอุ่นใจว่าลูกเขาอยู่ในมือของคุณครูเรียบร้อยและเพื่อไม่ต้องการให้เกรทรู้สึกขาดอะไร ถึงในความเป็นจริงจะไม่ใช่แบบนั้น...

“นี่ คุณพ่อ”

“ครับ” 

“ทำไมคุณแม่ไม่มารับเกรทที่โรงเรียนบ้าง”

นี่ไง คำถามตั้งแต่กลับมาจากใต้ที่เขามักจะได้ยินเป็นประจำ จนเหมือนเป็นคำถามประจำก่อนเข้าเรียนของเจ้าตัวเล็กไปเสียแล้ว

“เมื่อคืนคุณแม่ก็บอกแล้วไงครับ ว่าตอนนี้คุณแม่ช่วยคุณลุงทำงานอยู่เลยมารับเกรทไม่ได้”

เขาตอบออกไป เพราะมันไม่ใช่แค่เขาหรอกที่โดนถาม เกลเองก็โดนถามด้วยเช่นกัน  เกรทเบาะปากเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะซบลงกับไหล่กว้างของพ่อแล้วเงียบไปตลอดทานจนเข้าห้องเรียน

ท่าทีเซื่องซึมของเกรทแสดงออกมาชัดจนเอาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเด็กๆต้องการความรักจากครอบครัว โดยเฉพาะเด็กอย่างเกรทที่เพิ่งได้เจอกับแม่แท้ๆ อีกทั้งปมในใจที่มีอยู่เดิมจึงไม่แปลกอะไรถ้าเกรทจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นออกมา

“คิดเรื่องอะไรอยู่หรือครับ”
ชาติที่รับหน้าที่ขับรถอยู่ถามขึ้นหลังจากลอบมองสีหน้าหนักใจของเจ้านายมาได้พักใหญ่ๆแล้วตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมา

“หลายเรื่องนะ แล้วก็คิดไม่ตกเลยสักเรื่อง” เขาพูดอย่างปลงๆ

“รวมถึงเรื่องที่คุณหนูพูดเมื่อตอนนั้นด้วยใช่ไหมครับ”   

 “นั้นก็ด้วย  ตาเกรทน่ะคงอยากให้เกลมาส่งมารับบ้าง ไหนๆ ก็เจอแม่แล้วทั้งทีนี่ ก็คงอยากอวดเพื่อนๆ บางตามประสาเด็กนั่นแหละ” เขาพูดยิ้มๆ กับอาการเด็กอยากอวดแม่ของลูกชาย

“หรือฉันจะลองไปของให้เกลมารับตาเกรทเย็นนี้เลยดีไหม”  ถึงจะไม่รู้ว่าอีกคนจะว่างหรือเปล่าแต่ก็น่าจะลองดูสักหน่อย

“ก็ดีนะครับ แต่ว่าคุณธานจะยอมหรือครับ”

“น่าจะได้อยู่นะ” นั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้เขาคิดอย่างหนัก เพราะไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าคนที่กำลังพูดถึงนั้นห่วงน้องขนาดไหนถ้าเขาของฝ่ายนั้นต้องไม่ยอมง่ายๆแน่

ทั้งสองคุยกันเรื่องนี้จนถึงที่ทำงานชาติส่งเจ้านายของตนลงที่หน้าประตูทางเข้าก่อนที่ตนเองจะนำรถเข้าไปจอดที่ช่องจอดรถของผู้บริหาร

ชิตรัตน์ทักทายรปภ.ที่เปิดประตูให้พูดคุยเรื่องแขกกับพนักงานตอนรับ ถามความต้องการและความพอใจกับลูกค้าที่เข้าพักที่โรงแรมของตนที่เขามักจะทำจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่เข้ามาเริ่มทำงานที่นี้จนกลายเป็นสิ่งที่เขาต้องทำในทุกๆครั้งเนอย่างแรกที่เข้าโรงแรม

 “แหม่  คุณแก้วเนี่ยน่าอิจฉาจังเลยเนอะแก คนเก่าก็ว่าดีแล้วนะ คนใหม่นี่โคตรดีเลย ดูสิมีประคองกันด้วย”

“นั่นสิ ดูแลดีขนาดนี้ฉันล่ะอยากได้บ้าง คุณแก้วนี่ทำบุญด้วยอะไรนะ อยากรู้จริง”

เสียงของพนักงานสาวสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเรียกความสนใจของเจ้านายที่ไม่เคยมีเวลาจับกลุ่มนินทาคนอื่นอย่างเขาได้อย่างจัง จนเขาต้องหันไปมองตามสายตาของสองสาวนั้น จึงได้เห็นเลขาคนสวยของตนที่กำลังเดินเข้ามาในตัวโรงแรมพร้อมด้วยหนุ่มลูกครึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีคอยช่วยพยุงทามกลางสีหน้ากึ่งขำกึ่งแซวของพนักงานโรงแรมของเขาที่กำลังมองภาพคู่รักคู่กัดที่กำลังเดินเข้ามา ความหมายของคำพูดเมื่อคืนคงจะเป็นสิ่งนี้สินะ

“เขามาส่งแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ” 

 “ว้าย!! ท่านประธาน” เพราะไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะเข้ามาร่วมวงด้วยทำเอาสาวเจ้าตกใจกันยกใหญ่

“ว่าไงล่ะ” ถามอีกครั้ง โดยยังไม่ละสายตาไม่จากคนทั้งคู่

“ทุกวันเลยค่ะ เนี่ยประคองคุณแก้วตลอดเลย สงสัยกลัวหาย อิอิอิ” หนึ่งในนั้นบอก

“จริงค่ะ ขนาดท้องอยู่นะคะยังเสน่ห์แรงขนาดนี้ อยากรู้จริงค่ะว่าถ้าไม่มีเจ้าตัวเล็กคุณแก้วจะเสน่ห์แรงขนาดไหน” อีกคนกล่าวเสริม

“นั่นสินะ”  เขาตอบอย่างเห็นด้วย ดูคุณธานแกจะหลงเลขาเขาเป็นอย่างมากเหมือนที่สองสาวนี้ว่าจริงๆนั้นแหละ

“แต่ว่านะคะท่านประธานนิดว่า นิดคุ้นๆหน้าแฟนใหม่คุณแก้วจังเลยค่ะ  เหมือนว่าเขาเคยมาที่โรงแรมเราก่อนหน้าที่จะเริ่มจีบคุณแก้วด้วย” หญิงสาวเอ่ยพลางทำหน้าคิดตามไปด้วย

“หึหึหึ” เขาหัวเราะในลำคอกับความช่างสังเกตของพนักงาน

“ท่านประธานหัวเราะทำไมคะ” หญิงสาวอีกคนถามขึ้น

“อยากรู้ก็ลองถามเจ้าตัวเองสิ นั่นไงมานู้นละ” เจ้านายหนุ่มพูดพลางชี้ไปที่คู่รักซึ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่

“แก้ว!”

เขาตะโกนเรียกคนที่กำลังเดินเข้าประตูมาพร้อมโบกมือเรียกให้เจ้าของชื่อเดินเขามาหา ทำให้แก้วกล้ารู้สึกตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าชิตรัตน์มาถึงที่ทำงานก่อนตน

“เอ่อ คุณชินมาถึงนานแล้วหรือยังครับ”  เขาถามขึ้นพร้อมพยายามบิดตัวออกจากช่วงแขนหนาของธานที่พยายามโอบเขาเอาไว้ออก

“เพิ่งมาถึงได้ไม่นานนี้เอง  สวัสดีนะครับคุณธาน”

ชิตรัตน์ตอบก่อนจะหันไปทันทายคนที่ทำเมินเฉยต่อตัวตนของเขาเมื่อครู่  เพิ่งพูดถึงอยู่หยกๆเมื่อกี้นี้ตอนนี้เจอมาเป็นตัวเป็นตนเลย ก็ดีเหมือนกันจะได้พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย

“ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมขอคุยกับคุณเรื่องสำคัญด้วยสักครู่จะได้ไหมครับ”

“ฉันไม่ว่าง มีงานที่ต้องรีบไปทำ” ธานตอบเสียงนิ่งโดยไม่มองหน้าเขา ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เขาคิดเสียเท่าไรกับการปฏิเสธหน้าตายของธาน

“แต่ผมมี”

ธานหรี่ตามองคนตรงหน้าที่อยู่ๆก็กล้าที่จะหือกับเขาขึ้นมาทั้งทีก่อนหน้านี้แทบจะขอโทษเขาทุกคำพูดเลยด้วยซ้ำไปแล้วทำไมอยู่ๆถึงทำหน้าเครียดแล้วมันมือชกเขาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญพ่อจะต่อยให้หน้าหงายเลย

“ฉันให้เวลาสิบนาที”

เขาว่าแล้วเดินนำอีกฝ่ายไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกตรงหน้าล็อบบี้ ชิตรัตน์ยิ้มกว้างอย่างพอใจก่อนจะฝากฝั่งแก้วกล้าเอาไว้ให้สองสาวเมื่อครู่ดูแลเพื่อรอชาติมาแล้วค่อยขึ้นไปด้านบน

“มีอะไรก็รีบพูดมาฉันต้องรีบกลับไปทำงาน”  ธานว่าเสียงห้วน

“คือวันนี้ผมอยากขอพาเกลไปรับลูกโรงเรียนหน่อยนะครับ”  ชิตรัตน์เองก็ไม่ปล่อยให้เวลาที่ได้มาต้องเสียเปล่า เขาจึงพูดในสิ่งที่เขาหมายมั่นเอาไว้ในใจออกไป

“นี่น่ะเหรอเรื่องสำคัญที่นายว่า เสียเวลา”  ธานเมินคำพูดนั้นก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่มนั้นเพื่อจะออกไปจากตรงนี้ เพราะอย่างไรคำตอบที่เขาจะให้ไป ชิตรัตน์ก็คงรู้อยู่แก่ใจแต่ขนาดมาขอเขาตรงๆแบบนี้ถือว่ากล้ามา

“สำคัญสิครับ”    ชิตรัตน์พูดขึ้นไล่หลังให้คนที่ตัวโตกว่าหยุดเดิน ธานหันกลับมามองคนพูดอีกครั้ง เพื่อรอฟังคำพูของอีกคนต่อแม้ตัวเขาเองจะไม่พอใจอยู่บ้าง

“ความรู้สึกของลูกชายผมก็ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน แล้วการที่แม่กับลูกเขาจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือยังไงครับ”

“แล้วยังไง ตอนเย็นแกก็พาเกรทมาหาน้องฉันอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไง แล้วจะพาเกลออกไปตากแดดตากลมให้ป่วยเล่นทำไม”

“คุณไม่เคยเป็นพ่อคน คุณไม่เข้าใจหรอกครับ”

!!

“นี่..แก..” ธานข่มกรามแน่นอย่างเหลืออดที่ถูกพูดจี้ใจเช่นนั้น

“คุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผมที่ต้องมองดูลูกชายที่เอาแต่ถามหาแม่ทั้งน้ำตามาตลอดห้าปีหรอกครับว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน และดีใจขนาดไหนที่เห็นเขายิ้มได้อีกครั้งตอนเจอแม่ และตอนนี้ความปรารถนาที่เกรทต้องการมากที่สุดผมเองในฐานะที่เป็นพ่อคงนิ่งดูดายเห็นลูกเศร้าโดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ”

ธานนิ่งเงียบไปกับคำพูดของชิตรัตน์ที่พูดออกมา ก็จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่พ่อคนเขาไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้หรอก แล้วมันเป็นความผิดของเขาหรือยังไงที่ไม่ได้เป็น พ่อ นะ

“แต่ฉันไม่ยอมให้น้องฉันออกไปกับคนอย่างแกแน่”  เขาพูดทิ้งไว้แต่นั้นก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทานเดิม แต่เสียงของชิตรัตน์ก็ดังขัดเขาขึ้นมาอีกครั้ง

“ผมไม่ได้พูดเพราะต้องการขออนุญาตคุณ แต่ผมแค่มาบอกคุณเอาไว้ก่อนเพราะผมจะไปรับเกลเย็นนี้เลย”

ชิตรัตน์พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินสวนธานขึ้นไปหาเลขาทั้งสองของตนแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปโดยไม่หันมามองคนที่ยังยืนอยู่กับที่เลยแม้แต่น้อย

สรุปคือถ้าเขาไม่ยอมปล่อยให้อีกคนพาน้องเขาไปด้วยเขาจะเข้าข่ายเป็นพวกไร้จิตสำนึกด้วยใช่ไหม?   บ้าที่สุด   ธานสบถออกมาเบาๆแล้วเดินออกจากตัวโรงแรมกลับไปทำงาน

                         ...

อากาศตอนช่วงสายๆของประเทศไทยนั้นขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องของแดดที่แรงกล้าความร้อยที่ถึงจะอยู่ในร่มก็ยังคงสัมผัสได้ดี เช่นเดียวกับคุณหญิงโฉมฉวีที่ถึงแม้จะซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาเปิดแอร์ให้เย็นจับใจเช่นไรแต่แสงที่ส่องรอดผ่านผ้าม่านมานั้นก็แสบตายู่ดี จนปลุกให้คนที่ยังปรับตัวให้เข้ากับเวลาบ้านเกิดไม่ได้จำต้องลืมตาตื่นด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ทำจากไม้รูปต้นไม้ใหญ่ที่มีนกตัวน้อยๆสองตัวเกาะอยู่ที่บอกว่าให้หล่อนได้รูปว่าอีกไม่น่าก็จะสิบเอ็ดโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนายหญิงใหญ่ของบ้านก็ยังไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงไปไหนนอกจากเอื้อมมือไปกดรีโมทที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงเพื่อปิดแอร์แทนเพราะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่หน่อยๆจึงยังไม่อยากลุกไปไหน  สักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมบานประตูที่เปิดออกโดยร่างท้วมๆของแม่บ้านมากด้วยอายุที่ทำงานรับใช้บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ยังสาวๆ

“คุณหญิงตื่นแล้วหรือคะ ป้าเอาน้ำขิงร้อนๆมาให้ ดื่มแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้น”  แม่บ้านบอกพร้อมยกแก้วชาใสที่มีน้ำสีออกน้ำตาลใสๆบรรจุอยู่ ยื่นมาตรงหน้าของคุณหญิงที่ยังคงมีอาการมึนงงอยู่เล็กน้อย

  “ขอบใจ” คุณหญิงรับแก้วนั้นมาก่อนบรรจงดื่มช้าๆ จนหมด แล้วส่งแก้วคืนแกคนที่ยื่นรออยู่

“เดี๋ยวฉันว่าจะเข้าไปที่โรงแรมเสียหน่อย บอกให้คนรถเอารถออกด้วย” ไม่ได้เข้าไปดูมาเกือบเดือน เข้าไปสักหน่อยแล้วกัน  หล่อนพูดขณะลุกขึ้นเตรียมจะไปอาบน้ำ

“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าลงไปบอกเด็กๆให้เตรียมรถให้นะคะ เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าคุณหญิงจะรับอาหารด้วยไหมคะป้าจะได้ไปอุ่นไว้รอให้”  คุณหญิงชั่งใจว่าจะไปกินพร้อมลูกชายดีไมแต่เมื่อมองไปทีนาฬิกาอีกทีกว่าจะไปถึงก็คงจะเที่ยงกว่า จึงหันไปพยักหน้ารับให้แม่บ้านแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งคุณหญิงโฉมฉวีก็เดินลงมาที่ห้องทานอาหารด้วยเสื้อผ้าเรียบๆที่ดูสมฐานะพร้อมเครื่องเพชรชุดโปรดที่ใส่ประจำ เพื่อนั่งกินข้าวต้มที่ป้านวลลงมาอุ่นให้ใหม่พร้อมกับจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย

“คุณหญิงจะไปเลยไหมครับ” เสียของคนขับรถที่เดินเข้ามาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านายหญิงของตนกินข้าวต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“อืม ไปเลยก็แล้วกันให้เด็กเอากระเป๋าไปไว้ที่รถรอเลยเดี๋ยวฉันตามไป” คนขับรถก้มหัวรับแล้วเดินไปรอที่รถตามหน้าที่

ใช้เวลาบนท่องถนนอยู่พอควรเนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาที่เหล่าคนทำงานออกมาหาอะไรกินกันจึงทำให้กว่าจะถึงที่หมายก็ให้เวลาเกิดกว่าที่หล่อนคาดเอาไว้แต่ก็ไม่มากเท่าใดนัก ดีเหมือนกันจะได้รู้บ้างว่าเวลาแบบนี้พวกพนักงานทำอะไรกัน ถ้าทำเรื่องงามหน้าล่ะก็จะได้ไล่ออกยกชุดเลย

ร้องเท้าส้นสูงราคาแพงเหยียบเข้าที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมนั้นเรียกสายตาของเหล่าพนักงานชายหญิงที่อยู่แถวนั้นให้หันกลับไปมองทางประตูทันทีอย่างหวาดระแวงหลังจากที่ลุงยามที่อยู่ป้อมหน้าโรงแรงวอเข้ามาบอกว่ารถยนต์ส่วนตัวของคุณหญิงโฉมฉวีแล่นเข้ามาเขตโรงแรม และนั้นแหลคือสาเหตุที่ทำให้เหล่าพนักงานก็วิ่งวุ่นออกมาตอนรับเป็นการใหญ่เพราะนานๆครั้งคุณหญิงสุดเฮี้ยบจะเข้ามาที่โรงแรมและหากว่าใครทำอะไรได้ไม่พอใจละก็เตรียมตัวเปลี่ยนงานได้เลย เคสตัวอย่างมีให้เห็นเยอะ

“คุณหญิงสวัสดีค่ะ” ฤดีมาศหัวหน้าฝ่ายบุคคลวัยกลางคนรีบปรี่เข้าหาคุณหญิงทันทีที่อีกคนเดินเข้ามา ที่รีบเดินเข้ามาเนี่ยไม่ใช่หวังประจบหรือเอาหน้าแต่อย่างใด แต่เพราะลูกน้องของหล่อนบางคนที่ยังไม่ถึงการมาของคุณหญิงนั้นมีมากถ้าไม่ส่งสัญญาณเตือนคงจะไม่ดี

“ดิฉันไม่ทราบว่าคุณหญิงจะเข้ามาวันนี้เลยไม่ได้ให้คนเตรียมของว่างไว้ให้ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หญิงวันกลางคนเอ่ยออกมาอย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไร ฉันก็แค่เข้ามาดูความเรียบร้อยเฉยๆ ว่าแต่แล้วตาชินละอยู่ไหม” คุณหญิงตอบอย่างไม่สนใจก่อนมองไปรอบๆโถงทางเดินกว้างเพื่อถามหาบุคคลที่ตนต้องการพบ

“ท่านประธานออกไปกับคุณชาติเมื่อช่วงสายน่าจะออกไปตรวจดูการก่อสร้างคอนโดนะคะ”   ฤดีมาสตอบตามที่ตนรู้ แต่ว่าสิ่งที่หล่อนพูดออกไปกลับทำให้คุณหญิงหันกลับมามองหน้าคนพูดใหม่อีกครั้ง

“ทำไมแม่เลขานั้นถึงไม่ไปด้วย”

 “เออ อันนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่เห็นออกไปทานข้าวเมื่อครู่เดี๋ยวก็คงกลับล่ะมั้งคะ”    อยู่ๆฤดีมาสก็รู้สึกเหมือนตนพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไปจนอยากยกมือขึ้นปาดเหงื่อเป็นอย่างยิ่ง ขอโทษนะคะคุณแก้ว.............

“หึ เห็นว่าท้องอยู่เลยคิดจะละเลยหน้าที่หรือไงกันไม่ได้เรื่องกลับมาจะต้องสั่งสอนให้รู้หน้าที่เสียบ้าง นี้! เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปรอตาชินที่ห้องพวกหล่อนมีอะไรจะทำก็ไปทำ”

คุณหญิงเบาะปากอย่างไม่พอใจก่อนจะหันมาพูดแขวะออกมาให้อีกคนได้ยินแล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อที่จะไปรอลูกชายที่ห้องทำงานของเจ้าตัว

ลับหลังคุณหญิงไปได้ไม่ทันไรเหล่าพนักงานที่แอบมองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆก็รีบปรี่เข้าหาหัวหน้าของตนอย่างไม่รอช้า

“พี่มาศเป็นไงมั่ง โดยไรไหม” เสียงสาวขาประจำอย่างนิดที่อยากรู้อยากเห็นไปทั่วถามขึ้นพร้อมกวาดสายตามองหัวหน้าตนเองไปด้วยอย่างเป็นห่วง

“พี่นะไม่เป็นไรหรอก แต่คนที่จะซวยนะคือคุณแก้ว” พูดพรางเอามือทาบอก ก็พอจะรู้หรอกว่าคุณหญิงไม่ชอบหน้าคุณแก้วกล้าเลขาของท่านประธานแต่ไอ้ขนาดที่ว่าพร้อมหาเรื่องขนาดนี้หล่อนว่ามันก็เกินไป
“หมายความว่าไงพี่ คุณแก้วจะโดนอะไรไหมพี่มาส”

“โอ๊ย! อย่างเพิ่งมาถามฉันตอนนี้เลย หาใครก็ได้ไปเอาน้ำส้มไปให้คุณหญิงที่ห้องท่านประธานด้วยเร็วๆเลยนะเดี๋ยวโดนกันหมดนี้” ฤดีมาศพูดปรามคนชั่งถามนั้นก่อนจะฝ่าฝูงชนตรงไปที่ล็อบบี้โรงแรมแทน

“เธอต่อสายหาท่านประธานให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยด้วย!”

“ค่ะๆ”

“โทรหาท่านประธานทำไมหรอพี่” นิดถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของฤดีมาสดูจะเป็นกังวลและร้อนใจเป็นอย่างมาก

“เพื่อต่อชีวิตให้คุณแก้วนะสิ พวกเธอด้วยถ้าคุณแก้วมาอย่าพึ่งให้ผ่านขึ้นไปนะกักตัวเอาไว้ก่อน”

“ไม่ทันแล้วพี่คุณแก้วเดินมาโน้นแล้ว” คนที่สายดีเอ่ยขึ้นทำเอาฤดีมาศลมแทบจับ อะไรมันจะซวยขนาดนี้คุณแก้ว  หล่อนลอบบ่นออกมาในใจก่อนจะหันไปเร่งให้คนที่ล็อบบี้จัดการโทรหาเจ้านายให้ไวที่สุด

“ยายนิดแกไปดักคุณแก้วไว้นะ” ฤดีมาศพูดขึ้นก่อนหันไปรับโทรศัพท์เมื่อพนักงานส่งให้เชิงว่าต่อติดแล้ว

“ได้พี่ ไปนุ่น”

นิดรับคำก่อนจะลากเอาเพื่อสนิทของตนวิ่งไปทางประตูทางเข้าเพื่อหวังเบรกทางแก้วกล้าเอาไว้ก่อนตามที่ได้รับคำสั่งมา

“คุณแก้วว”

คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่หันมองสองสาวที่วิ่งหน้าตั้งตรงมาหาเขาอย่างแปลกใจ รู้สึกวันนี้เขาจะเจอเรื่องแปลกใจบ่นน่ารำคาญมาตั้งแต่เช้าแล้วนะเนี่ย

“หือ มีอะไรกัน” เขาถามขึ้น จนสองสาวจะมีอาการลุกลี้ลุกลนแปลกๆ

“เอ่อ คุณแก้วออกไปไหนมาหรอคะ”

“ฉันหรอ ก็ออกไปเอาของให้คุณชินไงแล้วก็ไปกินข้าวกับ.......” กับตัวปัญหาที่มาดักรอเขาอยู่ข้างล่างไง

                “กับคุณคนเมื่อเช้าใช่ไหมคะ”  นิดที่ได้โอกาสจึงพูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดต่อจนลายเป็นช่องว่างให้เป้าหมายไหวตัวทัน

                “แล้วพวกเธอมีอะไรหรือเปล่า”

                แก้วกล้าไม่ตอบแต่ใช่กรถามย้อนกลับไปแทน เรื่องที่ธานมารับเขาไปกินข้าวใครๆเขาก็เห็นกันแล้วอยู่ดีๆสองสาวคู่นี้กลับมาถามเขาในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แล้วแบบนี้มันดูน่าสงสัย

                “เอ่อ...คือ..”

เขามองท่าทีน้ำท้วมปากของคนทั้งคู่ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพยายามจะเดินเลี่ยงออกจากคนทั้งคู่ไป จนนุ่นที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบคว้าข้อมือเล็กเกินชายนั้นไว้อย่างไว จนคนที่ไม่ชอบการสัมผัสหันขวับมามองอย่าไม่พอใจเล็กจนสาวเจ้าต้องรีบปล่อยมือทันทีที่เพิ่งรู้ตัว

                “พี่ไม่รู้ว่าเราสองคนมีเรื่องอะไรจะพูดกับพี่หรอกนะ แต่ตอนนี้กำลังหงุดหงิดอย่างเพิ่งทำให้พี่โกรธขอตัวนะ”

                เขาเพิ่งปวดหัวมาจากคนบ้าที่เอาแต่จะพยายามยัดเยียดความเป็นพ่อของลูกให้เขามาแล้วนี้ยังจะเจอคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้อีกหรอ ขอเถอะ   แก้วกล้าทิ้งท้ายไว้แค่นี้แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ทันทีโดยไม่อยู่ฟังคำทักท้วงใดๆจากสองสาวหรือใครก็ตามที่พยายามเข้ามาชวนเขาคุยจนเริ่มมีพิรุธ

ทิ้งให้สองสาวเมื่อครู่ได้แต่ยืนทำหน้าซีดทันทีที่ไม่สามารถรั้งเป้าหมายเอาไว้ได้ ได้แต่หันไปหาหัวหน้าสาวที่ยืนทำหน้าไม่ต่างไปจากพวกตนเท่าไรนัก งานนี้พวกเขาคงจะได้แต่สวดภาวนาของอย่าให้คุณแก้วเป็นอะไรเลยหรือไม่ก็ขอให้คุณชินกลับมาไวๆก็พอ

                                              ..............................................................

             
   :hao5:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 14- 25-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 25-01-2017 19:20:09

:hao5:


 ความตึงเครียดด่านล่างว่ามากแล้ว ด่านบนนี้สิมากกว่าเมื่อหน่วยกล้าตาที่ถูกจับมัดมือชกให้ต้องมาทำหน้าที่เสี่ยงตายเช่นนี้อย่างน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่กี่เดือนต้องมายืนขาสั่นอยู่หน้าห้องทำงานของท่านประธานที่ตอนนี้ด้านในมีมารร้ายที่กุมชะตาชีวิตของหล่อนเอาไว้ จนต้องหันกลับไปขอแรงใจจากพี่ๆทั้งหลายที่ยืนเกาะขอบเวทีรอบชมอยู่ห่างๆ

ก๊อก ก๊อก

“น้ำส้มค่ะคุณหญิง” หน่วยกล้าตายที่ฤดีมาศมาเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปในห้องนั้นอย่างเกร็งๆ แล้วนำแก้วน้ำนั้นว่างลงที่โต๊ะรับแขกตรงหน้าของคุณหญิง

“คุณหญิงจะรับอะไรเพิ่มไมคะ” เด็กสาวเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวหลังจากโดนเหล่ารุ่นพี่ไซโครวีรกรรมของคุณหญิงให้ฟังอย่างเต็มอิ่ม

“เอาเป็นขนมหวานไมคะ หรือจะเป็นผลไม้ดี” สาวน้อยใจกล้าถามดูอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นทีท่าของคุณหญิงที่นั่งอ่านเอกสารงานของชิตรัตน์อยู่ที่โซฟา

“นี้หล่อน  จะถามอะไรให้มากความฮะ! หมดหน้าที่แล้วก็ออกไปสิ” คุณหญิงตะคอกใส่อย่างหงุดหงิดจนหญิงสาวตรงหน้าหน้าเสียไปไม่น้อย ก่อนจะรีบกุลีกุจอออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

คุณหญิงถอนหายใจออกมาอย่างแรงอย่างนึกรำคาญพนักงานใหม่ที่ดูท่าแล้วคงจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นี้ชิตรัตน์จ่างพนักงานแบบไหนไว้กันเสียชื่อโรงแรมหมด หล่อนคิดก่อนจะกันไปสนใจแฟ้มเอกสารโครงการตัวใหม่ในมือของตนต่ออย่างศึกษาและเก็บข้อมูล

เพราะหลังจากปล่อยให้ชิตรัตน์เข้ามาดูแลกิจการทุกอย่างอย่างเต็มตัวเธอก็ต้องปล่อยวางเรื่องที่บริษัททุกอย่างไปโดยปริยายอาจมีบ้างที่เข้ามาร่วมประชุมในการตัดสินใจเรื่องบางเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ตนไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี้เสียเท่าไร

แอ๊ด

“อ๊ะ คุณหญิง!”

เสียงอุทานอย่างตกใจของคนที่เปิดประตูเข้ามาใหม่อย่างไร้มารยาทนั้นทำให้หล่อนที่ยังคงนั่งอ่านเอกสารนั้นเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าตัวดีที่หล่อนหมายหัวเอาไว้ตั้งแต่อยู่ด้านล่างเสียงก่อนสะแหยะยิ้มออกมา

“อะไรกันย่ะ เห็นหน้าฉันแค่นี้ทำเป็นตกอกตกใจระวังลูกหลุดนะ

” แก้มกล้ากำมือแน่นอย่างเก็บอารมณ์ที่อยู่ๆแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาอยู่ในห้องเจ้านายตนแถมยังพูดจาไม่น่าให้อภัยแบบนี้อีก

“ขอโทษครับผมไม่คิดว่าคุณหญิงจะอยู่ในห้องคุณชะ.. ท่านประธานนะครับ” คนท้องพูดอย่างเก็บอารมณ์แล้วปิดประตูเข้ามาในห้องดีๆ นี้สินะเหตุผลที่ทำตัวมีพิรุธกันทั้งโรงแรมตั้งแต่ข้างล่างยันข้างหน้าห้อง

“ไม่ทราบว่าคุณหญิงมีธุระอะไรหรือเปล่าครับตอนนี้ท่านประธานออกไปดูงานข้างนอกยังไม่แน่ใจว่าจะกลับเข้ามาอีกทีเมื่อไร”

แก้วกล้าพูดเสียงนิ่งอย่างพยายามใจเย็น เพราะไม่ใช่แค่คุณหญิงหรอกที่ไม่ชอบหน้าเขาเพราะเขาเองก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าคุณหญิงเสียเท่าไร

“ฉันรอได้”

แก้วกล้ามองคนที่นั่งอ่านเอกสารนั้นอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรแต่จะให้เขาพูดอะไรไปก็คงไม่ได้เพราะตำแหน่งหน้าที่มันค้ำคออยู่และเขาเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ชิตรัตน์ไปมากกว่านี้เหมือนกัน

“เห็นบอกว่าตาชินออกไปดูงานข้างนอก แล้วทำไมเลขาอย่างเธอถึงไม่ไปกับเจ้านาย”

เสียงแขวะที่ดังขึ้นด้านหลังของเขาหลังจากที่แก้วกล้าตัดสินใจที่จะยุติการต่อปากต่อคำนั้นโดยการเดินออกจากห้องไปจะจำที่ของตนเองด้านนอก แต่ดูเหมือนคุณหญิงจะไม่คิดปล่อยเขาไปง่ายๆ

“ท่านประธานให้รออยู่ที่นี้ไม่ต้องตามไปครับ” แก้วกล้าตอบตามความเป็นจริง โดยตัวทอนข้อความอีกส่วนหนึ่งออกเพื่อกันไม่ให้อีกคนรู้

 “อย่างงั้นหรือ”  คุณหญิงส่งเสียงอย่างไม่ค่อยเชื่อไปให้ หากแต่สายตากลับไปสะดุดเข้ากับซองกระดาษขนาดเล็กที่อยู่ในมือของแก้วกล้า

“แล้วนั้นอะไรขอฉันดูหน่อยสิ”   แก้วกล้ามีท่าทีอึกอักอย่างเห็นได้ชัดและพยายามเบี่ยงซองนั้นไว้ข้างหลังทันทีที่โดนทักขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรก็เอามาให้ฉันดูสิ”

                คุณหญิงแบมือออกมาตรงหน้าของแก้วกล้าอย่างดึงดัน ยิ่งเห็นท่าทีที่พยายามปิดบังแบบนี้ด้วยแล้วหล่อนมั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องเกี่ยวข้องกับชิตรัตน์แน่ และถ้าเกี่ยวหล่อนก็ต้องรู้ให้ได้เช่นกัน

“ไม่ได้ครับ”  เลขาที่ดีต้องไม่เอาเรื่องของเจ้านายไปให้คนอื่น นี้คือคติการทำงานของเจ้าตัว และนี้ก็ถือเป็นงานของเขาเช่นกัน

“แต่ฉันสั่ง เอามา!” 

เมื่อไม่ยอมให้ดีๆก็ต้องมีการแย่งเกิดขึ้น คุณหญิงจึงคว้าเข้าที่แขนของแก้วกล้าเพื่อหมายจะเอาเอาสิ่งที่ซ้อนอยู่นั้นออกมาแต่แก้วกล้าเองก็ใช่ว่าจะยอมถึงจะโดนบีบเข้าที่แขนจนรู้สึกเจ็บไปหมดแต่เขาก็ไม่แพ้ง่ายๆ

 ทั้งสองยื้อซองเอกสารกันไปมาแต่ด้วยความที่เป็นคนท้องทำให้เสียเปรียบได้ด้านรูปร่างและการทรงตัว ดันนั้นเมื่อไม่ทันตั้งตัวคุณหญิงก็จัดการกระชากซอกมาอย่างแรงจนคนท้องเซมาข้างหน้าจนเกือบล้มลงไปกับพื้นแต่โชคยังดีที่แก้วกล้าเอามือท้าวเข้ากับขอบโซฟาได้ทัน

 “ตั๋วเที่ยวสวนน้ำงั้นหรอ”

หล่อนอ่านสิ่งที่อยู่ในมือนั้นก่อนจะตะวัดสายตามองมายังแก้วกล้าที่สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีแล้วยิ่งเห็นจำนวนของตั๋วที่อยู่ในนั้นด้วยแล้วความไม่พอใจที่มีอยู่ยิ่งทวีความเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายเท่า

“แกคงจะไม่พูดว่าแกจะเอาไปเที่ยวกับลูกแกหรอกนะแก้วกล้า”  คุณหญิงว่าดักทางพร้อมฝาดตั๋วกระดาษนั้นใส่หน้าของแก้วล้าอย่างจัง

“บอกมาว่าตาชินจะพาใครไป”

“...”

“ฉันถามแกก็ตอบฉันสิ!!”

“ผมไม่ทราบ”   แก้วกล้าโกหกเสียงแผ่ว ตอนนี้เขาปวดที่ท้องเป็นอย่างมากโดยไม่ทรายสาเหตุเขาไม่ชอบเลยความรู้สึกกดดันน่าเวียงหัวแบบนี้

 “ไม่ทราบหรออย่ามาโกหกฉันนะ หรือว่าตาชินเจอมันแล้วใช่ไหม เจอมันแล้วใช่ไมบอกฉันมาสิ บอกมา”

คุณหญิงกรอกตาไปมาเหมือนคนที่เพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะเข้ามาคว้าตัวของแก้วกล้าเอาไว้แล้วเขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างแรงจนหัวสั่นหัวคอนจนสีหน้าที่เริ่มซีดนั้นซีดหนักขึ้นไปอีก

“คุณหญิงพูดเรื่องอะไร” แม้จะไม่ไหวแต่ก็ยังคงกัดฟังทนถามคำถามที่น่าจะพอช่วยเบี่ยงประเด็นได้อยู่ออกไป

“อย่ามาทำหน้าโง่ถามคำถามควายๆกับฉันนะ  อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกนะช่วยลูกชายฉันตามหาไอ้เด็กนั้นนะ ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไมว่าห้ามนะ แกนี้มันเลี้ยงไม่เชื่องฉันจะไล่แกออก”

“คงไม่ได้หรอกครับ เจ้านายผมคือคุณชิตรัตน์คนที่จะไล่ผมออกได้มีแค่เขาเท่านั้น”  แก้วกล้าพูดอย่างเป็นต่อ ยิ่งทำให้คนที่อารมณ์ร้อนกรุ่นยิ่งเหมือนโดยสาดน้ำมันเข้าไป

“อ้อ แกจะเอาอย่างนี้ใช่ไหมได้”

 เมื่อทำอะไรไม่ได้คุณหญิงจึงเอามาลงที่คนท้องแทนจากแค่เขย่าร่างกายอย่างแรงเปลี่ยนเป็นเริ่มลงไม้ลงมือ แต่คนท้องใช่ว่าจะยอมเพราะแก้วกล้าเองก็ปัดป้องด้วย ถึงแม้แรงจะยืนเขายังไม่มีแต่เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเขากับลูกฟรีๆเหมือนกัน

            ปัง!

“แม่ / แก้ว!!!”

เสียงบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนทำให้คุณหญิงหยุดการกระทำเมื่อครู่ลงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่ทั้งสองที่อุกอาจเข้ามายังในห้องนอน

ชิตรัตน์รีบเข้าไปรั้งเอาตัวของคุณหญิงให้ออกมาห่างๆจาก คนท้องที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่จนเซไปมาก่อนจะล้วงลงไปในอ้อมแขนของธานที่วิ่งตามเข้ามารับร่างอวบนั้นเอาไว้

“แก้ว!” ธานนึกโกรธผู้หญิงตรงหน้าที่กล้ากระทำการร้ายกาจใส่คนที่กำลังท้องอยู่ได้ขนาดนี้ดูสิแขนขาวทั้งสองข้างแดงเป็นรอยมือไปหมดไหนจะรอยฟกช้ำดำเขียวนั้นอีก แม่งเอ๊ย! เขาสถลออกมาในใจใครมันจะคิดละว่าการที่เขาขับรถวนกลับมาเพื่อนำของที่อีกคนลืมไว้มาให้จะทำให้เขาต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ นี้ถ้าแก้วกับลูกเป็นอะไรไปเขาจะเอาเรื่องอีคุณหญิงปีศาจนี้ให้ถึงที่สุดเลยจริง

“คุณธาน” แต่เสียงเรียกชื่อเขาเบาๆของคนในอ้อมแขนนั้นเรียกสติของเขาที่เอาแต่ต้องมองคุณหญิงอย่างโกรธเคืองนั้นให้หันกลับมามองคนในอ้อมแขนอีกครั้ง

“คุณธานรีบพาแก้วไปโรงพยาลดีกว่าครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเสร็จแล้วจะตามไป”

คราวนี้ธานยอมทำตามที่ชิตรัตน์พูดอย่างว่าไง เขารีบช้อนตัวของแก้วกล้าขึ้นอุ้มแล้วรีบเดินฝ่าผู้คนออกไปโดยมีชาติคอยเคลียทางเดินให้จนไปถึงรถ

ส่วนชิตรัตน์เมื่อเห็นว่าธานพาแก้วกล้าออกไปแล้วเขาก็หันไปสั่งให้คนที่ออกันอยู่เต็มหน้าประตูกลับไปทำงานของตนเสียแล้วรอจนทุกคนออกจากห้องเขาไปจนหมดแล้วจึงปล่อยตัวของคุณหญิงโฉมฉวีให้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกจับมานาน

“แม่ทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหม”

“หึ รู้สิ ถ้าไม่รู้จะทำไปหรือไง”

“แล้วถ้าแก้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

ชิตรัตน์ขึ้นเสียงอย่างเหลืออดกับการกระทำของแม่ตัวเอง รู้ว่าไม่ชอบแต่อย่างน้อยก็ควรจะมีมนุษยธรรมมากกว่านี้สิ เลขาของเขาก็ท้องขนาดนั้นไม่เห็นหรือไงถ้าเกิดเด็กเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบเขาไม่มีปัญญาไม่ขุดเอาแทนไทขึ้นมาจากหลุมมาทำลูกใช้คืนแก้วกล้าใหม่หรอกนะ

“ก็ชั่งหัวมันสิ”

คุณหญิงสะบัดหางเสียงใส่ชายหนุ่มแล้วเดินกระฟัดกระเฟียดกอดอกแล้วทรุดตัวลงกับเก้าอี้โซฟาอย่างแรง ท่ามกลางสายตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดของชิตรัตน์ที่รู้สึกหมดคำพูดกับการกระทำและคำพูดของคุณหญิงตรงหน้า

“แล้วมันเรื่องอะไรที่ให้แม่ต้องไปทำร้ายแก้วเขาอย่างนั้น ที่นี้มันที่ทำงานนะครับเป็นที่สาธานณะจะทำอะไรทำไมไม่รู้จักยับยังชั่งใจบ้าง และที่สำคัญแม่เป็นถึงผู้บริหารนะครับทำแบบนี้ลูกน้องจะเอาไปนินทาลับหลังได้”

ชิตรัตน์ลูบหน้าอย่างแรงเพื่อให้ใจเย็นลงก่อนจะพูดอธิบายเชิงตำหนิแม่ของตนเองไปด้วย มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆอายุอานาก็ตั้งขนาดนี้แล้วด้วย

“นี่ฉันต้องแคร์สายตาพวกรากหญ้าพวกนั้นด้วยเหรอ ฉันเป็นเจ้านายนะถ้ามันกล้าที่จะทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงฉันก็ไม่เอามันไว้หรอก ไล่ออกไปก็สิ้นเรื่อง”

“แต่นี้มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูก”

“แล้วอะไรถึงจะถูกสำหรับแกล่ะ หรือว่าต้องเอาเรื่องงานมาบังหน้าแล้วแอบย่องไปหาใครเหมือนแก”

คุณหญิงตอกกลับ หล่อนยังไม่ลืมหรอกนะเรื่องที่ลูกชายของหล่อนแอบทำลับหลังมานานนับปีนั้นนะ ฝันไปเถอะถ้าชิตรัตน์จะเอามันกลับมา

“แม่หมะ....”

เสียงของเขาขาดช่วงไปเล็กน้อยเมื่อปลายรองเท้าหนังขัดมันของเขาเผลอไปเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่พื้นกระเบื้องหรือพื้นพรมในห้อง

“นี่มัน”
ตั๋วสวนน้ำชื่อดังที่เขาสั่งจองไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วให้แก้วกล้าไปเอามาทำไมถึงมาตกอยู่ตรงนี้ได้  หรือว่า!!

“นั่นคือบทลงโทษของคนที่กล้าขัดคำสั่งฉัน”

คุณหญิงแสยะยิ้มออกมาพลางนึกถึงใบหน้าของเลขาหน้าสวยของลูกชาย ทั้งๆที่หล่อนสั่งนักสั่งหน้าตั้งแต่แรกให้คอยรายงานความเคลื่อนไหวของชิตรัตน์ทุกฝีก้าวให้ตนรู้ แต่นี้อะไรกลับร่วมหัวกันทำในสิ่งที่ตนเกลียดหลับหลังแบบนี้ แค่นี้มันน้อยไปด้วยซ้ำ

“แต่นี้ สำหรับแกที่กล้าขัดใจฉัน”

หล่อนเดินอ้อมโซฟามาหยุดอยู่ตรงหน้าของชิตรัตน์อีกครั้งก่อนจะถือวิสาสะหยิบเอาตั๋วใบน้อยทั้งสามออกมาจากมือหนาแล้วค่อยๆฉีกมันทิ้งอย่างใจเย็นช้าๆ แล้วขบด้วยการปาใส่ในหน้าคมของชิตรัตน์ที่กำมือแน่นอย่างข่มอารมณ์โทสะ

“ต่อให้แกหามันจนเจอก็อย่างหวังเลยว่าฉันจะยอมให้แกกับมันมีความสุขง่ายๆ จำเอาไว้”

“แต่นี่คือครอบครัวของผม ผมคงจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายมันได้อีกแล้วเหมือนกัน”  ถึงมันจะเคยพังเพราะมือเขามาแล้วก็ตาม แต่โอกาสที่จะได้แก้ตัวมันไม่ได้มีให้เขาได้บ่อยครั้ง และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมทำมันพังอีกแล้วเขาต้องปกป้องไม่ว่าจากใครก็ตาม

 “แต่แกสัญญากันฉันแล้วนะ” เมื่อเห็นท่าไม่ดีที่ชิตรัตน์ดูจะขึงขึงกว่าปกติ จนหล่อนต้องรีบหาข้ออ้างมากันเอาไว้เสีย

                “แต่ในสัญญามันพูดถึงเรื่องการผ่าตัดครั้งที่แล้วไม่ใช่ครั้งนี้  ดังนั้นข้อตกลงระหว่างเราถือว่ายุติไปนานแล้วต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องของครอบครัวผม ได้โปรดอย่างเขามายุ่งอีกเลยครับ”

                เขาร้องขอความเห็นใจ แต่ดูเหมือนคุณหญิงจะไม่พอใจกับคำขอของเขาเป็นอย่างมา ถึงขนาดที่ว่าสะบัดหน้าหนีเขาไปเลย

                “โทรบอกหุ้นส่วนของแกด้วยว่าฉันอยากเชิญเขาและครอบครัวมากินข้าวที่บ้าน และจำเอาไว้ด้วยว่าฉันจะไม่ยอมลามือง่ายๆแน่”

                ชิตรัตน์รู้สึกหนักใจขึ้นมาอีกครั้งหลังมองแผ่นหลังเล็กนั้นคว้ากระเป๋าเดินกระแทรกเท้าออกจากห้องเข้าไป ลองบอกให้เรียกมาทั้งครอบครัวแบบนี้แล้วคงไม่แคล้วที่จะจับคู่ให้เขาอีกแน่  แต่งานนี้ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันนะที่คนที่คิดจะจับคู่ให้เขาดันเป็นคนที่ตัวเองผลักไสมาตลอด คิดแล้วก็นะ.....

 
ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลดังขึ้นเรียกความสนใจของธานที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้ให้หันไปสนใจผู้มาใหม่อย่างชิตรัตน์ที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหารที่มีตราของห้องอาหารจากโรงแรมของอีกฝ่ายเด่นหลาอยู่กลางถุง

“แก้วเป็นยังไงบางครับ”

ชิตรัตน์เอ่ยถามขึ้นเสียงเบาพลางมองใบหน้าซีดที่เริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้งอย่างเป็นห่วง ที่แก้วล้าเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาเองจะไม่ให้รู้สึกผิดก็คงไม่ได้

“ปลอดภัยดีทั้งแม่และเด็ก แต่หมอให้อยู่ที่นี้จนกว่าน้ำเกลือจะหมดเพื่อดูอาการ”  เขาพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเดินมามองดูเลขาคนสนิทของตนเองอีกครั้งที่ข้างเตียง

“ออกไปคุยกับฉันหน่อย”  ธานเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะกระชับผ้าห่มให้คุมรอบคอคนที่หลับสนิทบนเตียงแล้วจึงเดินผ่านหน้าเขาออกไปทางระเบียงห้อง เพื่อที่ว่าเสียงคุยของพวกเขาจะไม่รบกวนการนอนของแก้วกล้า

“ผู้หญิงคนนั้น แม่นายหรอ” ธานถามขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงบานประตูกระจกเลื่อนปิดลง

“ครับ”

นั้นสินะ เขาเองก็ถามอะไรโง่ๆ ในเมื่ออีกฝ่ายเรียกเสียงดังขนาดนั้น ธานทำเสียงแค่นจมูกเบาๆ ก่อนจะหันหน้ามามองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูด้านหลังเขา

“แม่นายนี้ท่าทางจะเป็นพวกชอบมีปัญหานะ”  ธานเยาะ

 “แล้วอย่างนี้นายยังจะกล้ารับรองความปลอดภัยของน้องฉันได้อีกหรอ”   นั้นสินะ ใครที่มาเจอเหตุการณ์แบบนั้นเข้าก็คงต้องคิดหักหากจะต้องฝากฝั่งคนในครอบครัวเอาไว้กับเขาแบบนี้

“ฉันจะพูดก็คือจนกว่าจะคลอดฉันจะให้แก้วหยุดไปทำงานกันนาย เพราะฉันคงไม่อยากจะเสี่ยงเอาชีวิตคนที่ฉันรักกับลูกต้องมาแขวนเอาไว้กับความบ้าเอาแต่ใจของแม่นายหรอกนะ”

ตอนแรกธานเองก็คิดเอาไว้อยู่แล้วเรื่องที่จะขอให้แก้วกล้าหยุดงานแล้วอยู่บ้านเฉยๆ แต่พอวันนี้ที่เขาได้ยินที่หมอพูดเขาจึงขอตัดสินใจเรื่องนี้เองถึงจะโดนอีกฝ่ายบ่นจนหูชายังไงเขาก็ยอม แต่เขาจะไม่มีวันยอมให้แก้วกับลูกเป็นอะไรไปเด็กขาด

“ผมอิจฉาคุณจังเลยนะครับที่กล้าตัดสินใจทำอะไรได้ตัวเองตลอดเวลา” ชิตรัตน์พูดเสียงเบากึ่งตัดพ้อตัวเองที่แค่เรื่องของตัวเองยังตัดสินใจไม่ได้ ในขณะที่ธานกล้าที่จะทำมันลงไปเลยเพื่อคนที่รัก

“แต่ฉันกลับสงสารน้องเกลที่ต้องมารักผู้ชายไม่ได้เรื่องอย่างนาย”

“...”

“เย็นนี้ฉันจะพาแก้วไปเก็บของแล้วย้ายมาอยู่กับฉันที่บ้าน...น้องเกลอยู่บ้านอยากจะทำอะไรก็ทำ”

ชิตรัตน์เงยหน้ามองธานที่ทำเป็นหันมองไปทางอีกอย่างตื่นตะลึง

“คุณธาน...”

“อย่ามามองฉันแบบนั้นที่ฉันทำไปก็เพื่อหลานของฉัน  จำเอาใส่สมองของนายเอาไว้ด้วยแล้วกันนะว่าโอกาสสำหรับคนผิดมันไม่ได้มีมาทุกวันจำเอาไว้”

ธานทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วเดินผ่านหน้าของชิตรัตน์กลับเข้ามาในห้องเมื่อเห็นว่าร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับตัว ทิ้งให้คนที่เพิ่งได้โอกาสแก้ตัวยืนยิ้มอยู่คนเดียงที่ระเบียง

ขอบคุณครับ.....................
____________________________________________________________________________________

เด็กมีปัญหา หา หา ช่วยไม่ได้เลยเธออออ
เอ๊ะ ผิดๆๆๆ
แบบนี้ต้องบอกว่าใครมีปัญหาดีเนี้ยยยยยย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 14- 25-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 25-01-2017 21:21:38
อยากให้ธานไปตอกหน้ายัยคุณหญิง ใหญ่มากก็ต้องเจอคนใหญ่กว่า
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 15- 27-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 28-01-2017 01:16:51

ฝนหยดที่ 15


            “สรุปแล้วพี่ชินจะพาเกลไปไหนเหรอครับ”

            เกลหันไปถามคนคับหนุ่มข้างกายอีกครั้งหลังจากที่เขานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของอีกฝ่ายมาเกือบสิบหน้าแล้ว แต่คนที่อยู่ๆก็มาหาเขาถึงบ้านแล้วก็พาเขาออกมากลับไม่ยอมบอกจุดหมายปลายทางให้รู้เลย ไม่ว่าจะถามสักกี่ครั้งคำตอบที่ได้ก็มีเพียงรอยยิ้มตาหยีของชิตรัตน์เท่านั้น

“นั้นสินะพี่จะพาเกลไปไหนดี”  กับคำพวกกำกวมของอีกคนเท่านั้น

                “พี่ชิน!!”

                เกลขึ้นเสียงเล็กน้อยที่ถูกขัดใจ จึงหันหน้าหนีอีกคนออกไปมองนอกหน้าต่างรถแทน แค่บอกว่าจะไปที่ไหนก็แค่นั้นไม่เห็นต้องทำให้เป็นความลับด้วยเลย

                ฝ่ายชิตรัตน์เองก็ได้แต่อมยิ้มขำกับการงอนแบบเด็กๆของคนรักที่แสดงออกมาใส่เขา ความจริงที่ที่เขาจะพาไปมันก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรขนาดนั้น ก็แค่อยากจะเซอร์ไพรส์ก็เท่านั้นเอง  เพราะที่ๆเขาจะพาเกลไปนั้นก็คือโรงเรียนนานาชาติขนาดใหญ่อันมีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองหลวงที่อยู่ค้อยไปทางนอกเมืองหน่อยๆที่ถูกแบ่งสรรค์ออกตามช่วงวัยของผู้เรียนที่มีเนื้อที่กว้างขวางเนื่องจากมีส่วนของหอพักสำหรับนักเรียนประจำอยู่ด้วยตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ถ้าให้เขาเดาปานนี้คงจะเป็นเวลาเก็บข้าวเก็บของและอาบน้ำปะแป้งของเด็กน้อยอนุบาลเพื่อเตรียมตัวรอผู้ปกครองมารับในอีกครั้งชั่วโมงต่อจากนี้  ว่าแต่ตอนนี้ลูกเกรทของเขากำลังทำอะไรอยู่นะ............
 

“เกรท”

                เสียงเรียกชื่อสำเนียงเจ้าของภาษาดังเรียกเจ้าของชื่อที่กำลังง้วนอยู่กับการเก็บเจ้าตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีเท่าลงกระเป๋าหนังสือหันกลับมามองหน้าเพื่อนต่างชาติของเจ้าตัว

“มีอะไรหรอ คริส” เด็กแก้มป่องเอ่ยถามเพื่อนร่วมชั้นต่างชาติขณะที่มือยังวุ่นกับการเก็บของ  ที่โรงเรียนแห่งนี้มีกฎอยู่ว่าเด็กต่างชาติต้องพูดภาษาไทยได้เช่นเดียวกับเด็กไทยที่ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าจะเห็นเด็กต่างชาติที่นี้พูดภาษาไทยกันเสียเป็นส่วนใหญ่

                “ไปเล่นที่สวนกันเถอะ”

                “เอาสิ เดี๋ยวเกรทเก็บตุ๊กตาก่อนนะ”

                เด็กฝรั่งตาสีน้ำทะเลยิ้มกว้างให้เด็กชายตรงหน้าแล้วยืนรอจนกระทั้งเกรทสามารถยัดเจ้าหูยาวของตนลงกระเป๋าเป้ได้สำเร็จแล้วหันกลับมาหาตนก่อนจะที่ทั้งคู่จะพากันออกไปวิ่งเล่นที่ด้านนอกห้องเรียน

                คริสเป็นเด็กผู้ชายตัวสูงสูงกว่าเกรทด้วยแถมยังเป็นเพื่อนสนิทของเกรทอีกเช่นกันอาจเพราะแม่เลี้ยงของคริสที่เป็นคนไทยเป็นเจ้าของบริษัทออกแบบที่มักจะดีลงานกับพ่อของเขาบ่อยๆ เลยทำให้พวกเขามันจะเจอกันอยู่เนื่องๆ ผิดกับใครอีกคนลิบลับเลย....

                “นี่เกรท ทำไมยูถึงเอาตุ๊กตามาโรงเรียนด้วยล่ะ”

                คริสถามขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังนั่งเล่นกันอยู่บนชิงช้าในสนามเด็กเล่นส่วนกลางที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเด็กในวัยเดียวกับพวกเขาวิ่งเล่นไปมา

                “ทำไมละ เกรทเอามาไม่ได้หรอแต่คุณครูก็บอกว่าเอามาได้นี่”   เกรทเอียงคอถามอย่างสงสัย ก็เมื่อเช้าเขาขอคุณครูแล้วนี้นะ

                “ไม่ใช่แบบนั้น คือไอเห็นยูอุ้มตุ๊กตาตลอดเลยถามดู ใครให้หรอ”

                “อ๋อ  คุณแม่ให้เกรทมาแหละ”

                เกรทยิ้มอย่างภูมิใจทันทียามที่ได้บอกใครต่อใครว่าเจ้าตุ๊กตาหูยาวนั้นใครเป็นคนมอบมันมาให้เขา ไม่ว่าเปล่าสองเท้าน้อยยังรีบวิ่งกลับเช้าไปยังห้องเรียนอีกครั้งแล้วกลับมาพร้อมเจ้าตุ๊กตาตัวดังกล่าวอีกด้วย

                “น่ารักใช่มั้ยล่ะ คุณแม่บอกว่าให้เป็นของขวัญด้วย”   เกรทนำเสนอสุดฤทธิ์ แต่...

“มันจะจริงเหรอ”

                เสียงเอยขัดที่มาจากทางด้านหลังของเขาอย่าง ไม้ เพื่อนร่วมชั้นตัวโตพูดขึ้น ถ้าบอกว่าคริสตัวโตสูงกว่าเด็กวันเดียวกันในห้องจากเชื่อสายยุโรปแล้วละก็ไม้เองก็ไม่ต่างกันเท่าไรหนักเพราะส่วนสูงของทั้งสองถือว่าเท่าเทียมกันเลยทีเดียว จะต่างก็ตรงนิสัยนี้แหละ

“ไม้” เกรทเอ่ยเรียกคนมาใหม่ด้วยความรู้สึกที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัด จนคริสที่นั่งอยู่ในตอนแรกเริ่มหงุดหงิดที่ไม้มาแกล้งเพื่อนรักของตนแบบนี้

                “นายมีแม่กับเขาด้วยหรอเกรท ฉันอยู่ห้องเดียวกับนายมายังไม่เคยเห็นแม่นายเลย อย่ามาโกหกสิ”  ไม้พูดเสียดสี อย่างไม่เชื่อเท่าไร

                “แต่ตัวนี้คุณแม่ให้เกรทมาจริงๆ นะ เกรทไม่ได้โกหก”  ทำไมไม้ถึงไม่เชื่อที่เกรทพูดล่ะ คุณแม่ให้เกรทมาจริงๆ นะ เด็กชายเริ่มทำหน้าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา จนคริสเห็นท่าไม่ดีจึงพูดขัดขึ้นแล้วเอาตัวบังเกรทที่ตัวเล็กกว่าไว้ข้างหลัง

“shut up ม้าย ยูอย่ามาว่าเกรทนะ”   คริสที่ส่วมวิญญาณอัศวินตัวน้อยเข้ามาช่วยเหลือเกรทอย่างว่องไว

                 “ทำไมละก็เราพูดความจริงนิ แม่บอกว่าคนโกหกเป็นเด็กไม่ดี”

                ไม้ยังคงยึดถือตามหลักความเข้าใจของตนเป็นที่ตั้งตามลักษณะของเด็กที่ถูกเลี้ยงมาให้มีความมั่นใจในตัวเองสูง และคำพูดนั้นกลายเป็นดาบกรีดแทงใจคนตัวเล็กข้างหลังให้น้ำตาปริ่ม คริสทนไม่ไหวพุ่งมากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายทั้งสองมองหน้าหาเรื่องกัน

                “ขอโทษเกรทเลย ม้ายนิสัยไม่ดี”

                “เราพูดความจริงนิ”

                การทะเลาะกันของเด็กสองสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชิงช้าเรียกสายตาของเด็กคนอื่นๆที่เล่นอยู่บริเวณนั้นให้หันมาดูอย่างสนใจในขณะที่บางคนวิ่งไปตามคุณครูเวรที่ยืนอยู่กับเด็กอีกกลุ่มให้เข้ามาดู

“เกรทไม่ได้โกหกนะตุ๊กตาตัวนี้คุณแม่ให้เกรทมาจริงๆ ไม้อย่ามาว่าเกรทนะ ฮึก แงงงงงงงงงงง” เสียงตะโกนพร้อมกับปล่อยโฮออกมาของคนตัวเล็กที่สุดเรียกความสนใจของเด็กตัวสูงทั้งสองที่มองหน้ากันอย่างเอาเรื่องเมื่อครู่ให้รีบหันมามองเป็นตาเดียวกัน ทำเอาเด็กทั้งสองถึงทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะไม้ที่ตอนแรกตั้งใจว่าแค่จะเรียกร้องความสนใจจากเด็กแก้มป่องที่เมินเฉยต่อเขามาทั้งวันให้หันมาคุยกับตนบ้าง แต่ไม่นึกว่าเขาจะเผลอทำอีกคนร้องไห้กอดตุ๊กตาแน่นแบบนี้

“เกรท Don’t cry นะ ไม่ร้องๆ” คริสรีบผละจากอีกคนอย่างไม่รีรอกลับมาหาเพื่อนตัวเล็กของตนที่ยืนร้องไห้สะอีกสะอื้นอยู่กับที่ทันที

                “ฮึก ฮึก” เสียงสะอื้นที่ยังดังไม่หยุดทำเอาเจ้าตัวต้นเรื่องร้อนใจอย่างหนัก จนต้องเดินเข้ามาหาเช่นกัน พ่อบอกว่าทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ เพราะงั้นเขาจะรับผิดชอบเกรทเอง

                “เอานี้” ไม้ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปตรงหน้าคนที่ร้องไห้อยู่ไม่ยอมหยุด แต่ดูเหมือนว่าเกรทจะไม่เข้าใจความหมายของผ้าเช็ดหน้าที่ถูกส่งมาให้เท่าไรนั้นเจ้าเด็กชายใจร้อยเลยจัดการคลี่ผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลออกแล้วกางแปะไปที่หน้าเล็กของเด็กขี้แยทันที

                “โอ๊ะ / เฮ้ย “

เสียงร้องประสาทของเด็กทังสองดังขึ้น โดยคนหนึ่งร้องตกใจที่อยู่ก็ถูกเช็ดหน้ากางแปะเต็มหน้าอย่างรวดเร็ว จนมองอะไรไม่เห็น ส่วนอีกคนก็ร้องเพราะตกใจและคิดว่าเพื่อนกำลังถูกแกล้ง

                “นี้ยูจะทำอะไรเกรทนะ” คริสขึ้นเสียงพยายามรั้งแขนของไม้ให้ออกจากไหล่ของเกรทด้วย โอบทำไม ทำไมต้องโอบไอไม่ยอมนะ

                “ก็เช็ดหน้าไง ทำให้ร้องไห้ก็ต้องเช็ดน้ำตาให้สิ” ไม้ว่าอย่างหงุดหงิดพร้อมลงมือเช็ดน้ำตาให้เกรทไปด้วย นี้เขากำลังรับผิดชอบเกรทอยู่นะ คริสไม่รู้เรื่องเลย

                ส่วนคนที่โดนปิดตาสองข้างจากการเช็ดน้ำตาอยู่นั้นไม่มีทางรู้เลยว่าเพื่อนตัวสูงทั้งสองคนของตนกำลังเล่นเกมจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่มีใครยอมใคร ขนาดที่ว่าคุณครูที่จะเข้ามาห้ามยังได้แต่ยืนมองเฉยๆอย่างไม่รู้ว่าจะแทรกตัวเข้าไปขวางยังไงกับศึกครั้งนี้ดี  แต่แล้วเสียงระฆังหมดยกก็ดังขึ้น

                “น้องเกรท”

                เกลที่เพิ่งเคยมาที่นี้ครั้งแรกเอ่ยเรียกลูกชายตัวน้อยที่ไม่ว่าเขาจะพยายามมองหายังไงก็ไม่เจอสักที่ จนต้องลองเรียกดูตามคำเสนอของชิตรัตน์ดู แต่ใครจะรู้ว่าเสียงของเขาจะกลายมาเป็นระฆังแก้วห้ามทัพให้เด็กทั้งสองที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตนนั้นหันมามองก่อนที่เด็กชายตัวเล็กตรงกลางจะรีบบิดตัวไปมาเมื่อจำได้ว่าเสียงที่เรียกตนนั้นเป็นใคร

                “คุณแม่ แงงงงงงงง”

                เกรทรีบผละออกจากแขนของไม้แล้วรีบวิ่งไปหาผู้ปกครองทั้งสองของตนทันที ท่ามกลางสีหน้าตกใจของคนที่มองอยู่ทั้งสองฝั่ง

                “น้องเกรทร้องไห้ทำไมลูก ใครทำอะไรลูก” เกลถามอย่างร้อนใจพร้อมอุ้มลูกชายที่ตาเริ่มบวมแดงขึ้นนั่งตักก่อนจะหันหน้าไปมองชิตรัตน์ที่ทรุดตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกับตน

                “ผมเองครับ”

                ไม้เดินก้าวเข้ามาตรงหน้าของเกล ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังฟังชัดโดยมีคริสยืนอยู่ข้างๆ เกลมองหน้าเด็กชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบนั้นอย่างไม่เข้าใจ

                “ผมทำเกรทร้องไห้เองครับ”

                “ม้ายหาว่าเกรทโกหกครับอาชิน”  คริสเสริมขึ้นเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเข้าใจมากขึ้น

                “แล้วมีเรื่องอะไรกันหรอครับเด็กๆ”

                ชิตรัตน์หันไปถามเด็กชายทั้งสองคนที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้างในฐานะที่เป็นเพื่อนของลูกชายที่เวลาเขามารับก็มักจะเจอเด็กทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆลูกชายของเขาเสมอ

                “ก็ผมไม่เชื่อนิครับว่าตุ๊กตาตัวนั้นแม่ของเกรทเป็นคนให้มา ก็เกรทเคยบอกว่าไม่เคยเจอแม่แล้วจะมาบอกว่าแม่ให้ตุ๊กตามาได้ยังไง” ไม้ตอบเสียงดังฟังชัดในสิ่งที่ตนคิด ถึงแม้ตอนนี้ความคิดของเขาจะเปลี่ยนแล้วก็เถอะ

                “แต่ยูก็ไม่ควรพูดให้เกรทเสียใจสิ”  คริสตำหนิเพื่อนอีกครั้ง

                ชิตรัตน์ที่มองเด็กทั้งสองคนตรงหน้ายืนเถียงกันอยู่ก็หันมากระซิบบางอย่างกับเกลก่อนจะลุกเดินออกจากบริเวณนั้นแล้วตรงไปยังครูสาวที่ยืนตัวรีบเล็กอยู่ข้างเสาแทน เกลมองตามหลังของอีกคนไปก่อนจะหันกลับมามองเด็กทั้งสองที่เริ่มเถียงกันเสียงดังจนเกรทเองเริ่มหันหลับไปมองบ้างแล้ว

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

                เกลเอ่ยขึ้นเพื่อเป็นการหยุดการทำเลาะกันของทั้งคู่ แต่เด็กขายตาน้ำข้าวก็ยังไม่วานทำตาขวางใส่คนข้างๆอย่างไม่พอใจ แต่จะให้โกรธเด็กก็คงไม่ถูกเพราะมันจริงอย่างที่ไม้ว่าจริงๆนั้นแหละ

                “น้องไม้ทำถูกแล้วที่ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นตั้งแต่ครั้งแรก แต่ไม่ก็ไม่ควรตัดสินทุกอย่างตั้งแต่ครั้งแรกแบบนี้โดยไม่ฟังอธิบายก่อนแบบนี้ เข้าใจไหมครับ”

                “ครับ” เกลยิ้มให้เด็กชายตรงหน้าอย่างเอ็นดู

                “ถ้าเคลียร์กันเรียบร้อยแล้วเรากลับกันเลยดีไหม”

                ชิตรัตน์ถามขึ้นหลังจากเดินกลับมามารวมกลุ่มกับกับพวกเด็กๆอีกครั้งหลังขอแยกตัวออกไปคุยกับครูเวรผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรวมถึงไปเอากระเป้ของลูกชายมาด้วยเลยเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา

                “เกรทมีจะพูดกับเพื่อนหน่อยไหมครับ”

                ชิตรัตน์ถามลูกชายอีกครั้งก่อนจะกลับ โดยเจ้าตัวเล็กเองก็ทำเพียงหันหน้าแดงๆกลับมาไล่มองคริสก่อนจะมองไม้ด้วยสายตาเหมือนน้อยใจแล้วสะบัดหน้าหน้าเอาดื้อๆ

                “เกรท เราขอโทษนะ”

                มือเล็กของไม้เอื้อมไปจับเข้าที่หัวเข่าของเกรทเบาๆก่อนจะพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด เขาผิดเองแหละที่พูดออกไปแบบนั้นแต่เขาไม่อยากให้เกรทเสียใจจริงๆนะ

                “เราจะรับผิดชอบเกรทเอง”

                ไม้พูดอย่างหมายมั่นจนดูจะจริงจังเกินวัย เล่นเอาชิตรัตน์เองถึงกับคิ้วกระตุกอย่างแรงกับคำพูดนั้น ผิดกับอีกคนที่ดูจะสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเสียมากกว่า

                “ไม้สัญญาแล้วนะ”

                แล้วนั่นลูกเกรทจะไปบ้าจี้ตามคำพูดของไอ้เด็กนี่ทำไมกัน ชิตรัตน์บ่นในใจก่อนจะเป็นฝ่ายที่ตัดบทพาทั้งเกลและลูกออกจากบริเวณนั้นไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้านทันที
 
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าพวกเขาจะหลุดพ้นความวุ่นวายของการจราจรในช่วงเย็นยังบ้านได้ของเกลทันตามเวลาที่เขาถูกกำหนดไว้จากพี่ชายของอีกฝ่าย ตอนแรกเขาแอบดีใจที่ว่าได้มีโอกาสพาคนรักออกไปข้างนอกตามลำพังบางแต่อยู่ๆคนที่เอ่ยปากอนุญาตเขาไปเมื่อครู่กลับยืนลิมิตเวลาให้เขาพาอีกฝ่ายกลับมาส่งบ้านก่อนห้าโมงเย็น

“เกลลี่!!”

ทันทีที่ชิตรัตน์จอดรถลงที่หน้าตัวบ้านเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่มักมาก่อนตัวเสมออย่างปีแอร์ก็ไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งลงมารับเขาทันทีเป็นคนแรก

“พี่ปีแอร์”

 “น้องดีเยี่ยม”
แต่พอบานประตูรถเปิดออกจุดมุ่งหมายของคุณหมอต่างชาติก็เบนเข็มไปหาเด็กชายตัวน้อยที่ที่นั่งอยู่บนตักของเกลแทน

“นี่พี่ธานกลับมาหรือยังปีแอร์”
เกลถามขึ้นหลังจากลงจากรถมายื่นโดยมีชิตรัตน์คอยพยุงอยู่ข้างๆขณะรอให้การ์ดนำวีลแชร์ไฟฟ้าของเขาออกมาให้

“บอสหรอ กลับมาแล้วพาคุณตัวเล็กมาด้วยนะตอนนี้อยู่บนห้อง” ปีแอร์ว่าพลางอุ้มเด็กชายเอาไว้

“ใครดหรอฮะ”  เกรทถามเสียงซื่อ เช่นเดียวกับเกลที่ยังมองหน้าเป็นเชิงถาม

“ก็อาแก้วไงลูก คุณลุงเขาจะพาอาแก้วมาอยู่ด้วยที่นี้” ชิตรัตน์เป็นฝ่ายที่บอกขึ้นมา แต่สีหน้ากลับไม่ค่อยสู่ดีเสียเท่าไรในความคิดของคนที่มองอยู่

เกลฝากฝังลูกชายของตนไว้กับปีแอร์ก่อนที่จะขอแยกตัวกลับเข้าห้องไปโดยมีชิตรัตน์ค่อยเป็นผู้ช่วยอยู่ไม่ห่าง บางทีเรื่องที่แก้วกล้าย้ายมาอยู่ที่บ้านของเขามันต้องมีอะไรมากกว่าการที่พี่ชายของเขามัดมือชกอีกฝ่ายแน่

“สีหน้าดูไม่ได้เท่าไรเลยนะครับพี่ชิน มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า”   เขาเริ่มเป็นฝ่ายพูดออกมาทันทีที่เข้ามาในห้องแล้วหลังจากสังเกตอาการของคนรักมาพักใหญ่

“ก็นิดหน่อย”   ชิตรัตน์ยิ้มแห้ง

“เกี่ยวกับเรื่องของคุณแก้วหรือเปล่าครับ”  ชิตรัตน์หยักหน้ารับ ก่อนจะก้มหน้ามองมือที่ผสานกันเอาไว้ที่ระหว่างขา

“...”

“พี่ไม่รู้ว่าควรพูดดีไหมนะ แต่ว่าเรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับเกลด้วย คือ....”

“..."
“แม่พี่กลับมาแล้ว”

กลับมาแล้ว? คุณหญิงกลับมาแล้ว......?   เกลดูมีท่าทีตกใจอยู่ไม่น้อยกับสิ่งที่ได้ยินถึงมันจะไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เขาได้รู้แต่เพราะมีคำที่สามารถบ่งบอกถึงตัวตนของคุณหญิงได้ต่างหากที่ทำให้อยู่ๆมือทั้งสองข้างของเขาสั่นขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่

“มันเป็นเพราะพี่เองที่ไม่รอบครอบให้ดีกว่านี้ แก้วเลยต้องมาโดยอะไรแบบนี้และนี่...”

เขารู้สึกผิดมากกับเหตุการณ์นั้นจากใจ ก่อนจะล้วงมือลงไปหยิบซองใสที่ภายในบรรจุเศษซากของกระดาษที่ถูกฉีกทิ้งเป็นชิ้นๆไว้ภายใน

“พี่ตั้งใจว่าวันหยุดจะพาเกลกับลูกไปเที่ยว เกรทเองก็บ่นว่าอยากไปมาหลายครั้งแล้ว”  เขาว่าอย่าเศร้าๆ ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าจะได้ไปด้วยกันพร้อมหน้าแท้ๆ

“แม่มาเจอตอนที่แก้วกำลังเอาเจ้านี้มาให้พี่ที่ห้องล่ะมั้งและคงมีปากเสียงกัน....”  เขาอยากจะเล่าต่อหรอกนะแต่เป็นเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุดอยู่ที่ลำคอทำให้ไม่อยากจะพูดอะไรออกไปอีก

“อย่าโทษตัวเองเลยครับ พี่ชินไม่ได้ทำอะไรผิด” เกลว่าพร้อมกับโอบลอบคอขอชิตรัตน์จากด้านหลังก่อนจะซบแก้วลงกับแผ่นหลังนั้นเพื่อให้กำลังใจ

ใช่ ชิตรัตน์ไม่ได้ทำอะไรผิดเพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาเรื่องนี้มาโทษตัวเอง ยังไงสะคนที่ผิดเขาจะจัดการมันเอง  ต่อให้เขาจะหวาดกลัวคุณหญิงแค่ไหนแต่เขาก็จะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนี้มาทำลายความสุขของเขากับพี่ชายเป็นแน่
 
เขาใช้เวลาอยู่ในห้องอีกสักพักหนึ่งจนความรู้สึกผิดในใจของชิตรัตน์เริ่มเบาบางลงจึงออกมาข้างนอกเพราะเขาเองก็ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องคุยกับธาน

                ชิตรัตน์พาเกลมายังสนามบ้านที่เกรทกำลังเล่นอยู่กับพวกการ์ดของบ้านที่หมดหน้าที่ในวันนี้แล้วก่อนที่ตัวเขาเองนั้นจะเดินไปหาธานที่ห้องของอีกฝ่าย แต่คนที่เขากำลังจะไปหานั้นกลับเดินลงบันไดมาพอดี

                “นั้นนายจะไปไหน” ธานเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นแขกประจำของบ้านกำลังจะก้าวขึ้นมาบนบันได

                “ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อยนะครับ”  ธานเลิกคิ้วมองอีกคนก่อนจะเดินลงบันไดลงมาแล้วนำไปยังห้องนั่งเล่นแทน

                “มีอะไรก็ว่ามา”

                “แม่ผมต้องการเชิญคุณและครอบครัวไปกินข้าวที่บ้านครับ”  ชิตรัตน์ว่าเสียงเครียด

                “....”

                “คุณไม่ต้องตกลงก็ได้เดี๋ยวผมจะไปบอกแม่เองว่าคุณกับเกลไม่สะดวกที่จะไป”  เขาพยายามหาทางเลี่ยงให้เพราะยังไงธานก็คงไม่คิดจะให้น้องของตัวเองไปเผชิญหน้ากับแม่ของเขาอยู่แล้ว

                “เดี๋ยวฉันจะเป็นฝ่ายโทรไปบอกคำตอบเอง นายไม่ต้องมาคิดเรื่องนี้แทนฉันหรอก” ธานกล่าวบทชิตรัตน์ ก็เข้าใจอยู่ว่าอีกคนก็เป็นน้องเขาไม่น้อยไปกว่ากัน แต่นี้เป็นโอกาสที่ไม่เลวที่เขาจะได้เข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้น

                “แต่ว่าถ้าคุณไปเกลก็ต้อง.....”

                “แล้วนายคิดว่านายจะสามารซ้อนเกลให้พ้นจากสายตาแม่นายได้ถึงเมื่อไร สุดท้ายยังไงก็ต้องเจอกันไม่ว่าช้าหรือเร็วอยู่ดี”  นั้นสินะ แต่ถ้าให้เจอกันตอนนี้แล้วสภาพจิตใจของเกลละยอมรับเรื่องนี้ได้มากนน้อยเพียงใจ แค่วันนี้เขาพูดถึงแม่อีกคนยังมีอาการสั่นขนาดนั้นแล้วถ้าให้ไปเจอหน้ากันตรงๆจะไม่แย่หรอ........................

                 
                หลังจากที่พูดคุยกับชิตรัตน์ในห้องนั่งเล่นครั้งนั้นแล้วพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยจนกระทั้งถึงเวลาที่ชิตรัตน์ต้องพาลูกชายกลับบ้านไป ธานที่รอเวลานี้มานานจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปคุยกับเกลตามที่เขาตั้งใจไว้

                “น้องเกล พี่ขอเวลาหน่อยได้ไหม”

ธานที่เดินตามเข้ามาที่หลังพูดขึ้นและเดินเข้ามาในห้องโดยไม่รอให้เจ้าของห้องนั้นอนุญาตหรือเชิญตนเข้ามา ซึ่งเกลเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากบอกให้พลที่ยังอยู่ในห้องให้ออกไปก่อนก็เท่านั้น

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ หน้าเครียดเชียว”

                เกลเอ่ยถามพลางลอบมองใบหน้าที่แสดงความตึงเครียดของพี่ชายออกมาอย่างปิดไม่มิด ไม่สิ.. เขาว่าเขาสังเกตมาตั้งแต่อยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้วต่างหาก

                “ชิตรัตน์บอกว่าแม่ของเขาต้องการเชิญเราสองคนไปกินข้าวที่บ้านนั้น”

                ไม่ต้องเสียเวลาอ้ำอึ้งนานธานก็ตอบคำถามนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงขุ่นมั่ว ต่างกับคนฟังที่มีสีหน้าดูจะตกใจอย่างเห็นได้แต่ก็ปั้นหน้านิ่งตอบกลับ

                “แล้วยังไงต่อครับ”  เกลพยายามข่มน้ำเสียงของตนไม่ให้ดูสั่นเกินไป

                “แล้วไง? พี่สิต้องถามเราว่าน้องน่ะ จะเอายังไงเพราะถ้าถามความเห็นจากพี่ พี่ก็คงตอบได้คำเดียวเลยว่า ไม่ “
                แหง่อยู่แล้วใครมันจะบ้าส่งน้องตัวเองไปเจอนังแม่มดเฒ่านั้นกัน.....

                “แล้วถ้าน้องจะบอกว่าตกลงละครับพี่ธานจะว่ายังไง”   

และนั้นก็ไม่ได้อยู่เหนือความคิดของเขาเสียเท่าไรเลยจริงๆ... ธานถึงกับต้องถอนหายใจยาวออกมากับคำตอบที่ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดเสียเท่าไร

“แต่พี่ไม่อยากให้ไป”  เขาว่าเสียงแผ่ว ก็ว่าอยู่แล้วละว่ายังไงเกลก็ต้องไปแต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ     

“พี่ไม่รู้ว่าถ้าเกลไปที่นั้นแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดเกลแย่ลงไปกว่าเดิมจะเป็นยังไง พี่... พี่คงทำใจไม่ได้ถ้าน้องจะเป็นอะไรไปอีก” อย่าว่าแต่เจอเลยขนาดพูดถึงยังสั่นขนาดนี้ แล้วจะให้เขายอมให้ไปอีกหรอ..........

“บางทีนี้อาจเป็นวิธีที่ทำให้เกลหายเร็วขึ้นก็ได้นะครับ”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็แบบหนามยอกต้องเอาหนามบ่งอะไรแบบนี้ไงครับ”

“...”

“ทุกคนพยายามรักษาน้องมาหลายทางแล้ว ขอเกลลองทางนี้ดูบางจะได้ไหม”

“แต่มันเสี่ยงเกินไป”

ธานว่าเสียงเครียด ถึงปีแอร์จะเคยเสนอวิธีที่ให้เกลเผชิญกับสิ่งที่กลัวมาที่สุดเพื่อเป็นการรักษามาแล้วครั้งหนึ่งแต่มันก็จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ปีแอร์แนะนำให้ทำเหมือนกันเพราะมันมีความเสี่ยงสูงที่ผู้ป่วยจะไม่หายขาดแถมยังจะยิ่งตื่นตระหนกไปกับเหตุการณ์เช่นว่านั้นอีกเป็นเท่าตัว นั้นแหละคือสิ่งที่เขาจะไม่ยอมให้มันเป็นแน่แต่การที่อยู่ๆเกลมาพูดว่าจะไปแบบนี้มันก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าน้องจะมีแผนอะไรซ่อนอยู่ให้ใจหรือไม่

“เกลรู้ว่าพี่ธานเป็นห่วงน้อง แต่ขอเถอะเกลไหว”

เกลยิ้มหวานให้พี่ชายที่นั่งลงข้างเตียงของเขาก่อนจะเอื้อมมือบางของจนไปยังหูจับของลิ้นชักข้างเตียงเพื่อเปิดออกแล้วหยิบเอาบางสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา ก่อนจะส่งสิ่งที่หยิบออกมาให้กับธานที่มองใบหน้าของเขาสลับกับเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือเขาไปมาอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ยินยอมรับเอาไปแต่โดยดี

                “น้องไม่ได้ไปแค่เพื่อตัวน้องเอง แต่น้องจะไปเอาของๆน้องคืน”

_______________________________________________________________


ซินเจียยู่อี่ซินนี้ฮวดไช้    สวัสดีวันตรุษจีนนะคะทุกคน
มาแบบส่งท้ายค้ามคืนกันอีกแย้วว (ไม่ว่ากันเนอะ)

อีกไม่นานแม่ผัวลูกสะใภ้เขาจะได้เจอกันแล้วล่ะตัวเธอ
มันจะต้องเป็นมื้ออาหารที่มีความสุขมากกกก แน่ๆเลยเนอะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 15- 27-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 28-01-2017 09:28:00
ได้เวลาเอาคืนแล้วเย้ ๆ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 15- 27-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-01-2017 10:03:47
รอเกลเอาคืนอยู่ค่ะ อยากรู้ว่าน้องจะเอาคืนยังไง
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 15- 27-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 03-02-2017 22:46:36

ผักกาด ผักคะน้า

เนื้องจากโน๊ตบุ๊คเรามีปัญหา(อีกแล้ว)เลยทำให้จันทร์กับวันพุธที่ผ่านมาไม่ได้มาลงนิยายให้
ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบที่ทางหน้าเพจ

ดังนั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษที่มาๆหายๆ เราจะลงนิยายจากวันละตอนเป็นวันละสองตอนไปเลย!!
 :katai4: :katai4: :katai4:
โดยจะเริ่มอัพนิยายตามปกติวันจันทร์เด้อ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 15- 27-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: ::UsslaJlwaJ:: ที่ 05-02-2017 12:17:26
แปะป้ายรอเลยค่า
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 16- 6-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 06-02-2017 23:12:01

ฝนหยดที่ 16



                เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องคิด ไม่เข้าใจทุกอย่างที่น้องกำลงจะทำเพราะอะไรทำไมน้องถึงให้สมุดเขียนเล่นนี้มาให้เขากัน แล้วไหนจะคำพูดที่ทิ้งท้ายไว้ให้เขาอย่างนั้นอีก

                “น้องไม่ได้ไปแค่เพื่อตัวน้องเอง แต่น้องจะไปเอาของๆน้องคืน”

               หัวคิ้วเข้มขมวดมัดกันเป็นปมอย่างใช่ความคิดขณะที่สายตาก็เอาแต่จ้องมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างชั่งใจ เขาควรจะทำตามที่น้องร้องขอหรือว่าเขาควรจะทำหน้าที่พี่ชายที่ดีกันน้องออกจากเรื่องพวกนี้ก่อนที่ตัวของคนชั่งคิดนั้นจะแหลกสลาย เขาควรจะทำยังไงดี............

              “คุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

               เสียงทักกึ่งแหบแห้งของใครอีกคนที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าดังขึ้นเรียกความสนใจจากเขาที่มั่วแต่ปั้นหน้าเครียดจมอยู่กับความติดของตนเองให้เงยหน้ามองคนท้องที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างสงสัย

                “แก้ว ตื่นตั้งแต่เมื่อไรแล้วนี้ออกมาทำไมจะเอาอะไรหรือเปล่า”  ความคิดที่อยู่ในหัวเมื่อครู่ถูกพับเก็บลงไปทันทีเมื่อเขาเห็นว่าใครที่อยู่ตรงหน้าพร้อมรั่วคำถามใส่คนที่เขาเข้าไปประคองเอาไว้  ทั้งๆที่บอกว่าให้อยู่ในห้อง แล้วนี้ออกมาทำไมกัน.......

                 “ผมรู้สึกหิวนิดหน่อยเลยว่าจะลงไปหาอะไรกินที่ข้างล่างนะ”  ความจริงเขาก็ไม่อยากจะเดินหรอมันปวดขาแต่ความหิวมันมีมากกว่าจะให้นอนอยู่เฉยๆก็คงใช่เรื่อง

                  “แต่ฉันให้คนจัดเอาขึ้นมาให้แล้วนิ อ๊ะนั้นไง”

                   ก่อนที่เขาจะหัวเสียกับการที่แก้วกล้ายังไม่ได้กินข้าวทั้งที่เขาสั่งให้แม่บ้านจัดอาหารบำรุงขึ้นมาให้ตั้งแต่ตอนนี้เขาเริ่มทานข้าวกันมันก็ผ่านมาหลายนาทีแล้วแล้วทำไมแก้วของเขายังไม่ได้กินอะไรอีกแบบนี้ หางตาของเขาก็ไปสบเข้ากับร่างอ้วนท้วมของแม่บ้านวัยกลางคนกำลังยกถาดอาหารขึ้นมาให้พอดี  เลยทำให้ความกุ่มๆในหัวเมื่อครู่ลดลงไปได้บาง ก่อนจะก็ได้ความว่าแก๊สหุงต้มหมดเลยเสียเวลารอแก๊สมาส่งนานไปหน่อย

              “คราวหลังป้าจะให้เด็กๆมันตรวจเช็คให้ดีกว่านี้นะคะ”

              ป้าแม่บ้านหันมาพูดกับธานอีกครั้งหลังจากนำสำรับอาหารมาวางไว้บนโต๊ะในห้องเรียบร้อยก่อนเดินออกไป ในเมื่อคนท้องพูดเองว่าเพิ่งตื่นธานเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรที่จะต่อว่าคนที่อายุมากกว่าตนให้ดูผิดมารยาทแม้คนนั้นจะมีฐานะน้อยกว่าตนก็ตาม จึงบอกเพียงแค่ให้ตรวจตราดูให้ดีกว่านี้ก็เท่านั้น

              ธานจัดแจงพาแก้วกล้ามานั่งลงยังเก้าอี้ยาวที่เขาใช้นั่งอ่านหนังสือประจำพร้อมกับเลื่อนโต๊ะเข้ามาใกล้เพื่อสะดวกแก่การกินอาหารของคนท้อง ก่อนที่เขาจะขอตัวออกมา

              “เดี๋ยวฉันออกไปคุยธุระหน่อยนะ แก้วมีอะไรก็เรียกได้เลยฉันอยู่ที่ระเบียง”

              เขาสั่งก่อนจะเดินออกมายังระเบียงห้องนอนของตนโดยเปิดผ้าม่านออกกว้างให้สามารถมองเห็นคนด้านในได้เพื่อความอุ่นใจว่าแก้วกล้าจะอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา

              ธานมองคนที่อยู่ในห้องเริ่มลงมือทานอาหารไปได้เล็กน้อยก็หันกลับมาสนใจเจ้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ยังคงกำแน่นอยู่ในมืออีกครั้งอย่างชั่งใจ

ตู๊ดดดดด...

              ยังไงก็ต้องเสี่ยงดูเพราะถ้าการเจอกันครั้งนี้ของเกลมันจะช่วยให้เปอร์เซ็นต์การกลับมาเป็นปกติอีกครั้งมันก็น่าเสี่ยงอยู่ แต่ถ้าไม่ล่ะเขาจะทำยังไง

               //สวัสดีค่ะ บ้านนพเทพสวัสดิกุลค่ะ ต้องการเรียนสายใครค่ะ//   แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนของบ้านนั้นก็เอ่ยรับสายของเขาเสียก่อน

               “คุณหญิงโฉมฉวีอยู่ไหม บอกว่าโจนาธานหุ้นส่วนของคุณชิตรัตน์โทรมา”

                //สักครู่นะคะ//  ปลายสายเงียบไปสักพักก่อนจะได้ยินเสียงตะกุกตะกักดังมาและตามมาด้วยเสียงของคนที่เขาบอกไปว่าต้องการคุยด้วยดังตามสายกลับมา

               //สวัสดีค่ะคุณโจนาธาน//  เสียงที่ดูตื่นเต้นปนดีใจที่เขาได้ยินนั้นมันชวนให้เขาอยากวางสายทิ้งเสียดื้อๆ เขาไม่อยากจะสนทนากับผู้หญิงคนนี้เลยให้ตายเถอะ

               “ครับ พอดีผมโทรหาคุณชิตรัตน์ไม่ติดเลยโทรเข้าที่บ้านแทนไม่ทราบว่ารบกวนคุณหญิงหรือเปล่าครับ”  นั้นมันก็แค่ข้ออ้างอีกนั้นแหละ.....

                // โอ๊ยไม่เลยค่ะ ดีเสียอีกที่คุณโทรมาหาดิฉันแบบนี้// ปลายสายดูจะไม่ได้ติดใจเรื่องเบอร์ติดต่อเท่าไรนัก ซึ่งก็ดีเขาจะได้ไม่ต้องหาข้อแก้ตัวให้เปลืองสมอง

              “เห็นคุณชิตรัตน์บอกว่าคุณหญิงชวนผมไปทานข้าวที่บ้านด้วยหรอครับ”

              // อ๋อใช่แล้วค่ะ ตาชินกับเกรทไปรบกวนคุณที่บ้านบ่อยๆดิฉันก็เลยอยากจะชวนคุณกับครอบครัวมาทานข้าวที่บ้านบางเพื่อเป็นการตอบแทนแล้วก็จะได้กระชับความสัมพันธ์ด้วยไงคะ//  ธานยิ้มเยาะมุมปากกับคำพูดมีจริตของหญิงมากอายุคนนี้ กระชับความสัมพันธ์งั้นเหรอ.... อยากจะหัวเราะ

              “ฮ่าฮ่า อย่างนั้นหรอครับ....งั้นเอาเป็นวันอาทิตย์เที่ยงๆแล้วกันนะครับ”  ธานรวบรัดเวลานัดหมายทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเมื่อคนที่อยู่ในสายตาของเขานั้นเริ่มที่จะรวบช้อนอาหารลง

               // ได้เลยค่ะ เดี๋ยววันอาทิตย์ดิฉันจะให้คนรถไปรับที่บ้านดีไหมคะ”  หล่อนเสนอ ด้วยความปรารถนาดีที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่คู่ค้าของลูกชาย

               “ไม่รบกวนดีกว่าพวกเราไปเองจะสะดวกกว่า”

               แต่ธานก็คงไม่ขอรับน้ำใจเช่นว่านี้ของอีกคนเช่นกัน  ฝ่ายนั้นเองก็ไม่ได้ค้านหรือซักถามอะไรเขามาไปกว่าถามเรื่องขอจำนวนคนเพื่อที่จะได้จัดเตรียมอาหารรับรองได้ถูกต้องตามความต้องการก่อนจะวางสายไป  เขาถอนหายใจออมาอีกครั้งกับการสนทนาเมื่อครู่ ก่อนจะเลื่อนเปิดบานประตูกระจกกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง  ก่อนจะทักคนที่อยู่ในห้องเรื่องอาหารที่ทานเข้าไปไม่ได้พร่องไปเกินครึ่งเลยแม้แต่น้อย

              “ทำไมกินแค่นี้ กินเข้าไปอีกหน่อยสิ”

              “ผมอิ่มแล้ว”  แก้วกล้าตอบกลับไปพร้อมยกน้ำขึ้นจิบเพื่อบอกกลายๆ ความจริงก็ยังไม่อิ่มหรอกแต่จะให้กินเข้าไปมากกว่านี้เขาก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

              “ได้ไงกัน ข้าวเหลือขนาดนี้จะไปอิ่มได้ไงมานี้เดี๋ยวฉันป้อนเองดีกว่า”

              ไม่ว่าเปล่าธานจัดการลากเก้าอี้วางขาที่อยู่ไม่ไกลเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงไปก่อนจะหยิบจับช้อนที่แก้วกล้าวางเอาไว้ในจากมาตักข้าวแล้วยกขึ้นจ่อที่หน้าริมฝีปากของอีกคน

              “ผมกินไม่ไหวแล้ว”   แก้วกล้าว่าปัดพร้อมใช้หลังมือดันช้อนนั้นออกห่าง

              “ฝืนเอาหน่อยสิ แก้วรู้ตัวไหมผอมมากขนาดไหนแล้วแบบนี้ลูกจะแข็งแรงได้ยังไง นะแก้วกินอีกหน่อย”

               ไม่ใช่แค่สายตาที่ดูอ้อนวนแต่น้ำเสียงที่ดูอ่อนลงของอีกคนก็พลอยทำให้เขาใจอ่อนลงมาบาง แม้เขาจะฝืนกินต่อได้อีกไม่กี่คำก็ตามแต่เขาก็ยอมกินจนข้าวในจากหายไปมากกว่าเดิมและคราวนี้เขาฝืนที่จะกินต่อไปไม่ไหวจริงๆ ซึ่งธานเองเมื่อเห็นว่าเขาทานไม่ไหวแล้วจริงๆก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรเขาต่อแต่กลับตักเอาอาหารที่เขากินเหลือไว้เมื่อครู่เข้าปากตัวเองจนหมดแทน
 
              “เมื่อกี้คุณคุยกับใครหรอ”  เขาเอ่ยถามขึ้นขณะกึ่งนั่งกึ่งนอนที่เตียงนอนหลังใหญ่ของธาน อย่างนึกขึ้นมาได้เมื่อเห็นอีกคนกดบางสิ่งลงบนหน้าจอทัชสกรีน

              “กับคุณหญิงโฉมฉวีน่ะ”   ธานตอบกลับมาโดยที่สายตายังไมละไปจากหน้าจอแสดงผลที่กำลังบอกถึงตัวเลขหุ้นของบริษัทเขาที่ไทยที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างน่าดีใจ จนไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าตกใจของคนที่ได้ฟังมัน

                “เจ้านายเธอบอกว่าฉันว่าคุณหญิงอยากกินข้าวกับฉันแล้วก็เกล ฉันก็เลยโทรไปนัดเวลาน่ะ”

               ธานขยายความต่ออีกนิด แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความกังวลของคนฟังลดน้อยไปเท่าไรเลยแถมมันยิ่งจะดูเพิ่มมากขึ้นจนธานเริ่มสังเกตเห็นมือที่กำเข้าหากันสลับกับคลายมืออกเป็นระยะของแก้วกล้าอันเป็นอาการที่แสดงออกว่าเจ้าตัวนั้นมีความเครียดและกังวลขนาดไหน  ทำให้ธานรีบวางสิ่งที่ดึงความสนใจเขาอยู่เมื่อครู่ลงก่อนจะเดินมานั่งข้างๆกับคนขี้กังวลนั้นแทน

              “ทำไมคุณถึงยอมให้คุณเกลไป คุณไม่กลับคุณเกลเป็นอะไรหรือไง”

              ขนาดเขายังโดนขนาดนี้แล้วถ้าคุณหญิงเจอคุณเกลเข้าจริงๆจะเป็นยังไง...........   แก้วกล้าแทบอยากจะฉีกทึ้งหัวของธานออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอดเลยจริงๆ ไม่ห่วงน้องเลยหรือยังไงทำไมถึงตอบตกลงไปแล้วถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นจะทำยังไง

              แก้วกล้ากดหัวคิ้วต่ำลงอย่างคนคิดไม่ตกกับสิ่งที่ธานทำ ส่วนธานเองก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่แก้วกล้ารู้สึกหรือคิดอยู่แต่เขาก็คงทำอะไรไม่ได้ในเมื่อน้องเขาเลือกที่จะให้มันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นเขาเองก็มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เรื่องราวมันลามไปใหญ่โตก็แค่นั้น

“ไม่เอาน่า แก้วอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิเดี๋ยวลูกก็เครียดตามหรอก ไหนขอแด๊ดดี้ฟังเสียงหนูหน่อยสิครับ”

               เขาเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเพื่อหวังเบนความสนใจของแก้วกล้าให้กลับมาอยู่ที่ตัวเขาแทนการคุ่มคิดถึงเรื่องที่เขาพูดเมื่อครู่แทน  ร่างใหญ่โตของเขาเอนกายไปข้างหน้าเพื่อให้หูของเขาได้สัมผัสลงไปกับหน้าท้องนูนของคนตัวเล็กที่มีท่าทีตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่เขากระทำลงไป

               “ไงครับตัวเล็กคิดถึงแด๊ดดี้ไหมเอ่ย แต่แด๊ดดี้คิดถึงหนูกับแม่ทุกวันเลยนะ”

              ธานพูดขึ้นพร้อมใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยเบาๆที่หน้าท้องกลมนั้นไปมาตลอดเวลาที่เขาพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อาศัยอยู่ภายในนั้นในขณะที่แก้วกล้าได้แต่มองการกระทำของธานอย่างไม่เข้าใจจนเผลเอื้อมมือออกไปลูกกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ตัดแต่งเป็นทรงสวยนั้นเบาๆทำเอาคนที่พูดกับหน้าท้องของตนถึงกับชะงักแล้วหยุดพูดเงยหน้ามามองหน้าของเขาแทน

              พวกเขามองหน้ากันภายใต้ความเงียบของห้องที่มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานกับเสียงลมหายใจของคนทั้งคู่เท่านั้น  ตอนนี้เขาไม่รู้หรอกว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนหรือขนาดที่ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขานั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ยามที่ริมฝีปากหนาที่ล้อมรอบไปด้วยไร่หนวดสากระคายผิวนั้นประกบอยู่ที่ปากของเขาเบาๆก่อนจะละมาคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไล่ลงไปย้ำหนักๆที่ลำคอขาวจนน่าจะขึ้นรอย

                 “คุณทำแบบนี้ทำไม”

                 เขาเอ่ยถามคนที่ยังคงซบหน้าลงกับซอกคอของเขานิ่งด้วยเสียงล่องลอยคล้ายคนละเมอพูด แต่ก็นั้นแหละเขาคงจะละเมอพูดมันออกมาจริงๆก็ได้

              “ฉันรักแก้ว”

              ธารละใบหน้าออกจากซอกคอขาวนั้นช้าๆก่อนจะกลับมานั่งตัวตรงพร้อมจ้องมองลึกไปในดวงตาใสของหน้าคนถามนั้นด้วยสีหน้าจริงจังไม่ต่างกับน้ำเสียงที่หนักแน่นของเขาที่สารภาพความในใจนั้นออกไป

               “คุณโกหก”

               “ฉันพูดจริง”เขาแย่ง

               แก้วกล้าถอนหายใจออกมาก่อนจะเบนหน้าหนีหลบสายตาที่มองตรงมาทางตน แต่มีหรือที่ธานจะยอมปล่อยให้เขาละหนีไปง่ายๆเช่นนั้น ไม่เลย ฝ่ามือหนานั้นยื่นออกมาประคองใบหน้าสวยนั้นให้หันกลับมายังตำแหน่งเดิมอีกครั้ง

              “ฉันรักแก้ว”

              พร้อมแน่นย่ำคำพูดเดิมออกมาอีกครั้ง ตอนแรกเขาอาจมองข้ามไปแต่พอเขาได้โอกาสที่จะรักษาสิ่งนี้อีกครั้งเขาก็ไม่รีรอเช่นกันที่จะปล่อยให้มันหลุดมือไปอีก    ยิ่งวันนี้ที่เขาเห็นอีกคนกำลังจะล้มลงไปตอนนั้นมันเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังทะลายลงไปต่อหน้าโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ มันยิ่งตอกย่ำให้เขาแน่ใจแล้วว่าเขารักคนตรงหน้ามากขนาดไหน

             “ฉันแสดงออกไม่มากพอหรือมันไม่ถูกใจแก้วกัน”

              ธารถามเสียงอ่อนก่อนจะขยับร่างกายขึ้นไปพิงหัวเตียงข้างๆอีกคนพร้อมโอบให้อีกคนที่ทำตัวราวกับร่างไร้กระดูกโอนเอนไปทุกทีที่เขาจับให้มาซบลงที่อกแกร่งของตนเอง

              “เธอคิดอะไรอยู่หรือแก้วบอกฉันได้ไหม”

               ธารถามอย่างอยากรู้ เพราะเขาเองก็อดสงสัยไม่ได้เช่นกันที่อยู่ๆแก้วย้อมที่จะให้เขาจูบง่ายๆเช่นเมื่อกี่มันช่างผิดวิสัยคนที่หวงตัวของอีกฝ่ายมากแล้วไหนจะคำถามเมื่อครู่นี้อีก

               “ผมแค่อยากรู้  ว่าคุณทำแบบนี้ทำไม”

                แก้วกล้ายังคงถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง ธานมองคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนใจก่อนจะกดจูบเขาที่ขมับของคนที่ซบอยู่ที่อกอย่างหนักกับคำถามเดิมที่ยังคงออกมาจากปากหวานๆนั้น

                “คุณสงสารที่ลูกของผมจะไม่มีพ่อหรือเพราะแค่อยากเล่นสนุกไปอย่างนั้น”

                เขาอยากรู้ ได้โปรดเถอะบอกเขาที่ บอกเขาให้เขารู้ความจริงในใจของอีกคนก่อนที่ที่เขาจะถลำลึกกับความรู้สึกดีๆพวกนี้ไม่มากกว่านี้จนถอนตัวไม่ขึ้น

               “ไม่ใช่อย่างงั้นแก้ว อย่าคิดอย่างงั้น”

              อีกคนปฏิเสธ แล้วจะให้เขาคิดยังไงกับสิ่งที่ธานทำมาทั้งหมดเขาเป็นหม้ายนะแถมยังท้องอีกแล้วการที่อีกคนเข้ามาในชีวิตเช้าแบบนี้จะให้เขาคิดว่ายังไง เขาไม่ต้องการหรอกนะความสงสารนั้นนะ เขาเจ็บมาพอแล้วกับคำว่าสงสาร.......

             “แล้วจะให้ผมคิดแบบไหนกัน”  เขาถามเสียงอู้อี้

             “แก้วไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เพราะยิ่งแก้วคิดหาคำตอบมาเท่าไรแก้วก็จะมองข้ามความจริงที่ฉันพยายามพูดให้ฟัง ฉันรักแก้ว ไมว่าแก้วจะพยายามหาคำตอบหรือปฏิเสธมันยังไงฉันก็จะยังยื่นยันคำพูดนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันรู้ว่าฉันเข้ามาในวันที่สายไปแต่ในเมื่อมีโอกาสที่ฉันจะได้อยู่กับแก้วไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไรฉันก็ยอม”

              ไม่รู้เพราะอารมณ์ที่พาไปหรือฮอร์โมนที่ไม่ปกติของตัวเองอยู่ดีๆน้ำตาของเขาก็ไหลออกมาถูกเสื้อเชิ้ตเนื้อดีของอีกคนเป็นดวงกลมไหนจะรอยยับยู่จากการรอยมือที่กำแน่นของเขาอีก

              “แล้วทำไมถึงเป็นผม ฮึก”

              แรงสะอื้นจากคนตัวเล็กนั้นทำให้ธานอดที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้งไม่ได้ เขาจึงกระชับแรงกอดนั้นให้แน่นขึ้นอีกนิดหนึ่งแต่ไม่มากเพื่อไม่ให้คนท้องนั้นอึดอัด

              “ผมไม่มีอะไรให้คุณได้สักอย่าง แล้วทำไม”             
         
              “ใครว่าไม่มี” ธานพูดดัก ก่อนจะระบายยิ้มออกมาเมื่อมองไปยังหน้าท้องที่ยื่นออกมา

 “ในนี้ไงสิ่งที่เธอมีให้ฉัน” มือหนาลูบไปมาที่หน้าท้องนูนนั้นอีกครั้ง และมันก็ยิ่งทำให้แก้วกล้าร้องไห้ออกมาหนักขึ้น

              “อย่ามาพูดบ้าๆนะ” พร้อมกับกำปั้นเล็กๆทุบเข้าที่อกของเขาดังปักแต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโกรธแต่อย่างใดออกจาชอบเสียด้วยซ้ำกับการแสดงออกว่าอีกคนนั้นเขินอายมากขนาดไหน

              “บ้าที่ไหนกัน ฉันพูดเรื่องจริง” ธานรั้งข้อมือเล็กนั้นไว้ก่อนที่จะโดนอีกคนทุบอีกรอบ ถึงมันจะไม่เจ็บแต่ก็ทำให้จุกได้เหมือนกันนะ         

               “คุณรับได้หรอ ผมไม่ได้มีคุณเป็นคนแรกผมแถมกำลังท้องลูกของคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของคุณอีก คุณรับมันได้จริงเหรอ” 

                   บางที่นี้อาจเป็นสิ่งที่แก้วกล้าอยากพูดบอกธานมาตลอด คำถามที่อยู่ลึกในใจถึงจะพูดเชิงถามแบบนั้นไปแต่ใครจะรู้ว่าเขาเองก็กลัวคำตอบที่จะได้มามากเหลือเกินหากว่าอีกคนรับไม่ได้ละที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นแค่การแสดงที่ทำให้เขารู้สึกดีละเขาจะทำอย่างไร

                 “เธอจะพูดอะไรหรือใครจะคิดอย่างไงฉันไม่สน ถึงเขาจะไม่ได้เกิดมาจากฉันแต่เขาก็เป็นลูกของฉันเหมือนกับเธอที่เป็นของฉัน แก้ว”

                มือที่พยายามกำเข้าหากันของเขานั้นถูกมือของธารพยายามที่จะคลายมันออกมาก่อนจะผสานมือจับรวมกับเขาเอาไว้แน่น  เหมือนพยายามจะสื่อบางสิ่งที่ไม่สามารถใช่คำพูดมาอธิบายได้นั้นผ่านไออุ่นจากฝ่ามือนั้นแทน

.................................................................................................

         
   :mew1:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 16- 6-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 06-02-2017 23:13:57

:mew1:

              อาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นได้ง่ายในคนท้องอันนี้แก้วกล้าเข้าใจแต่สำหรับคืนนี้แล้วเขาคิดว่ามันคงไม่ใช่อาการของคนที่อายุครรภ์เริ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน แต่อาจเป็นเพราะบางทีอาจเป็นคำพูดที่อีกคนเอ่ยคำรักให้ฟังเมื่อช่วงหัวค่ำทำให้ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะล้วงเข้าสู่คืนวันใหม่ของอีกวันแล้วก็ตาม หากแต่อาการคันยิบที่หัวใจนั้นต่างหากที่ทำให้เขาไม่อาจข่มตาให้หลับได้สนิทเสียที่แล้วยิ่งกว่าคำพูดหนาวหูที่ก้องอยู่ในหัวแล้วยังมีไออุ่นจากคนข้างๆที่นอนซ้อนอยู่ที่หลังคาดเกี่ยวช่วงท้องนูนด้วยท่อนแขนหนาแข็งแรงนั้นอีกมันยิ่งทำให้เขาหลับไม่ลงเพิ่มอีกเป็นสองเท่า

              มันรู้สึกไม่ชินกับการที่มีคนมานอนกอดแบบนี้...........

              และถ้ารู้สึกนอนไม่หลับต้องลุกเดิน ทฤษฎีแก้ปัญญาการนอนที่เขาเคยได้ยินไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่แต่มันก็น่าลองไม่ใช่น้อยสำหรับคนที่ง่วงนอนแต่แก่แต่ไม่สามารถที่จะข่มตาให้หลับได้อย่างเขาในตอนนี้

              เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงจัดการดันแขนของอีกคนที่ยังคงสภาพหลับไม่รู้เรื่องออกแล้วค่อยท้าวศอกกับที่นอนเพื่อดันกายขึ้นอยู่ช้าๆหนึ่งด้วยกลัวอีกคนตื่นมาในช่วงเวลาที่ไม่อยากพบหน้าอีกหนึ่งคือน้ำหนักที่มากขึ้นจนขยับลำบาก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาถูกคนที่คิดว่าหลับไปแล้วรั้งเอาไว้เสียก่อนอีกทั้งยังดูไม่มีอาการงั่วเงียอย่างคนเพิ่งตื่นนอนให้เขาเห็นด้วยซ้ำ

              “นั้น  แก้วจะไปไหนน่ะ”

              ธานถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนพยายามที่จะลุกออกจากที่นอนที่นอนอยู่ ตามจริงแล้วเขาเป็นคนตื่นง่ายเพราะงั้นจึงไม่แปลกอะไรที่แค่แก้วกล้าจะขยับตัวเพียงนิดเดียวแล้วจะทำให้เขาตื่นเช่นนี้ และยิ่งอีกคนทำท่าลุกไปยามวิกาลเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นห่วง

              “ผมนอนไม่หลับเลยว่าจะลุกไปที่ระเบียง” แก้วกล้าตอบเสียงอ้อมแอ้มเหมือนเด็กโดนจับได้ว่าทำผิด

              “แล้วทำไมไม่เรียกละ เดินไปคนเดียวถ้าเกิดล้มขึ้นมาเหมือนวันนั้นอีกจะทำไง”

               “แค่นี้เองไม่เป็นอะไร”

               เขาส่ายหัวไปมาไล่ความมึนงงนั้นก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดิมอ้อมมาตรงหน้าของแก้วกล้าอย่างรวดเร็ว มืดอย่างนี้จะปล่อยให้เดินไปคนเดียวได้ไงถึงจะอยู่ในห้องก็เถอะ

              “มา ค่อยๆลุกนะ”

                แก้วกล้ามองตามมือหนาที่รั้งจับเข้าที่ท้องแขนเล็กของตนอย่างชั่งใจว่าจะลุกตามดีหรือไม่ คือเขาอยากอยู่คนเดียวไม่ได้อยากให้อีกคนต้องตื่นมาบริการเขาแบบนี้

              “มาสิแก้วจะออกไปที่ระเบียงไม่ใช่หรือ” ลุกก็ลุกอย่างน้อยจะได้เข้ามานอนได้เสียที......... เขาคิดก่อนจะยอมลุกเดินไปยังระเบียงกับอีกคนอย่างว่าง่าย
 

                ลมเย็นในช่วงเวลาผ่านเที่ยงคืนมาแล้วนั้นต่อให้อยู่ที่กรุงเทพก็สามารถรับรู้ถึงความเย็นของลมที่มาสัมผัสผิวได้เป็นอย่างดีถึงแม้ว่าบนฟ้าจะมองไม่เห็นดาวมากมายเหมือนต่างจังหวัดแต่แสงไฟในสวนก็พอแก้ขัดได้เหมือนกันเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผ่อนคลายได้เหมือนกัน

            แก๊ก

            เสียงบานประตูกระจกที่กระทบกันทำให้คนที่กำลังนั่งรับลมยามดึกสะงัดเช่นเขาหันกลับมามองผู้ร่วมห้องอีกคนที่หลังจากพาเขาออกมานั่งที่เก้าอี้หวานพร้อมหาผ้าคุมไหล่ผืนไม่หนามากมาคุมให้แล้วก็เดินหายไป ครั้งจะเอ่ยถามว่าไปไหนมาดวงตาหวานก็สะดุดกับแก้วนมที่อีกคนยื่นมาให้

              “นมอุ่นๆจะได้หลับสบายไง” สัมผัสอุ่นๆที่ได้รับจากแก้วทำให้พอเดาได้ว่าคงถูกอุ่นมาใหม่ เขาค่อยๆจิบมันที่ละนิดในครั้งแรกถึงจะชอบดื่มเครื่องดื่มร้องขนาดไหนแต่อาการลิ้นแมวที่เป็นมาตั้งแต่เด็กทำให้ไม่สามรถดื่มรวดเดียวได้เหมือนคนอื่นแม้มันจะอุ่นอยู่ก็ตาม

              “แปลกที่หรอถึงนอนไม่หลับ”

             เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบจนเกินไป เสียงทุมของธารจึงเอ่ยขึ้นทันที่เมื่อเห็นว่าแก้วเปล่าที่มีคาบนมขาวติดอยู่ที่ขอบแล้วและที่ก้นนั้นถูกวางลงที่โต๊ะ

              “น่าจะ” ใครมันจะกล้าบอกว่าสาเหตุคือคำพูดของคนตรงหน้าละจริงไหม.........

              เกิดความเงียบเข้าแทบที่แต่มันก็ไม่ได้ให้บรรยากาศชวนหน้าอึดอัดแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่ได้มีเรื่องหามน้ำใจกันอยู่แต่เดิมหรือเพราะแต่ละคนอยากอยู่กับความคิดของตัวเองก็ไม่อาจรู้ได้ จนเวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ที่ทั้งสองนั่งเงียบไม่เอ่ยวาจากันจนธานคิดว่าหากนั่งตากน้ำค้างอย่างนี้ต่ออีกอีกคนจะป่วยเสียก่อน จึงเอ่ยชวนแก้วกล้าที่ตาเริ่มปรือกลับเข้าข้างในจัดแจงท่านอนให้อีกคนได้นอนสบายก่อนที่กายรูปร่างหนาจะสวมกอดเข้าที่ด้านหลังเหมือนเช่นเดิมก่อนจะจมเข้าสู่ช่วงนิทาพร้อมกับบอกลาราตรีอันเงียบเหงาที่ต้องนอนอยู่เดียวดายลงเพราะคืนนี้พวกเขาสามารถหาไออุ่นที่อุ่นไปทั่วทั้งกายและใจได้แล้ว
 
               จากกลางคืนที่แสงจันทร์สาดส่องกลับกลายเป็นแสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในทุกห้องแสดงถึงวันใหม่ที่เริ่มขึ้นคนงานทั้งชายหญิงในบ้านหลังใหญ่ต่างตื่นเช้าเพื่อทำหน้าที่ของตนตามปกติแต่สิ่งหนึ่งที่อาจดูผิดปกติวิสัยคงจะเป็นเจ้าบ้านหนุ่มที่ถ้าเป็นปกติแล้วละก็เวลานี้จะต้องตื่นแต่เช้ามาวิ่งจ๊อกกิ้งกับบรรดาการ์ดที่บริเวณรอบๆบ้านแล้วแต่ตอนนี้สิยังไม่เห็นแม้แต่เงาสร้างความแปลกใจให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่รออยู่เป็นอย่างมาแต่กลับไม่มีใครคิดหาคำตอบกับสิ่งที่สงสัยแม้แต่น้อยว่าอะไรเป็นสิ่งที่รั้งตัวเจ้านายของพวกเขาเอาไว้กันแน่  หรือบางทีพวกเขาเองอาจรู้อยู่แล้วก็ได้ว่า ใคร กันที่รั้งตัวของธานเอาไว้ในห้องนอน...................

               “อืมมม”

               เสียงครางอย่างขัดใจของคนท้องที่รู้สึกถึงการก่อกวนตามร่างกายโดยเฉพาะที่หน้าท้องของเขานั้นทำให้แก้วกล้าอดที่จะส่งเสียงออกมาอย่างไม่ชอบใจไม่ได้  หากแต่เพื่อนร่วมเตียงที่ยุกยิกไปมาอยู่ที่หน้าท้องแต่ผู้รุกรานตัวโตหาใส่ใจไมยังคงเอานิ้ววากเขี่ยไปมาที่หน้าท้องนูนที่ไร้เสื้อผ้าบดบัง

               และเมื่อถูกก่อกวนจนทนไม่ไหวแก้วกล้าจึงปรือตาตื่นมองหน้าคนน่ารำคาญที่ยังไม่สำนึกผิดต่อการกระทำ อันเป็นการขัดขวางการนอนของเขานั้น ที่ยังคงส่งเสียหงุงหงิงๆอยู่ที่หน้าท้องเขาบางเขียนนู้นนี้ที่หน้าท้องจนเขาเริ่มรู้สึกรำคาญ

                “ทำอะไรของคุณน่ะ”

               น้ำเสียงงัวเงียติดจะรำคาญใจของแก้วกล้าดังขึ้นถามเมื่อมองไปที่นาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนสวยที่พึ่งบอกเวลาหกโมงครึ่งอย่างไม่ชอบใจกับการที่เขาจะต้องมาตื่นเช้าในวันหยุด และสำหรับคนที่ทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์แล้วเรื่องแบบนี้ก็ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอภิรมใจเสียเท่าไรหรอกหนักจริงไหม

                 “ก็กำลังคุยกับลูกไง นี้ฉันทำให้แก้วตื่นหรือเปล่า”

               ธารมองใบหน้าของคนที่พยายามจะซุกตัวนอนต่อนั้นอย่างเอ็นดู ก็นะเมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตั้งค่อนคืนเข้าไปแล้วจะยังง่วงอยู่ก็ใช่เรื่องแปลกอะไร

              “รู้ตัวด้วยหรอ”

              “หึหึหึ” ธารยิ้มขำกับท่าทางคนบนเตียงที่ขนาดหลับตาไปแล้วยังจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาได้อีก

              “ถ้าตื่นแล้วก็ลุกไปอาบน้ำกันเดี๋ยวจะได้ลงไปทานข้าว สายๆจะได้ไปหาหมอกัน”

              วันนี้เขานัดหมอพลอยรัมภาเอาไว้ให้แล้วเขาไม่อยากให้แก้วกล้าผลัดวันไปตรวจนานกว่านี้ เพราะเขาเองก็เป็นห่วงเจ้าตัวเล็กไปไม่น้อยกว่าคนเป็นแม่ที่ดูจะทำตัวยุ้งอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้เหมือนกัน

                 “แต่พี่หมอนัดอาทิตย์หน้า.....”
                   ที่หลับไปแล้วอีกรอบตอบกลับเสียงยาน ธารสายหน้าไปมาให้เจ้าคนท้องจอมขี้เกียดตรงหน้าก่อนจะเข้าไปประคองตัวแก้วกล้าให้ลุกขึ้นนั่ง

                   “ไม่เอาน่าทำตัวดีๆหน่อยสิไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

                 ธานเอ็ดเบาๆเพื่อให้คนที่พร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อนั้นตื่นดีๆ แต่แล้วอยู่ๆศีรษะเล็กๆของคนท้องพุ่งแปะเข้าที่หน้าท้องแข็งของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวพร้อมกับสายหน้าไปมาเหมือนไม่ยอม เขาเองที่เริ่มตามอารมณ์คนท้องไม่ทันได้แต่ยืนนิ่งกับท่าทีของอีกคนอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาไอ้ท่าทีแบบนี้เขาไม่เคยเจอมาก่อน  แบบนี้เขาจะถือว่าอีกฝ่ายกำลังอ้อนอยู่ได้ไหมนะ........................

                “แต่แก้วยังไม่อยากอาบนี่ แก้วอยากนอน”     ธานถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจกับสรรพนามเมื่อครู่ที่อีกฝ่ายใช้แทนตัวเอง

                “มะมะ ไม่ได้ กะ แก้วตื่นแล้วต้องอาบน้ำสิ” เขาว่า พรางมองหน้าคนที่ผละออกจากหน้าท้องของเขาแล้วแต่ยังคงก้มหน้าอยู่

                   “แก้ว”  เสียงของเขาเริ่มแผ่วลงอย่างใจหายด้วยกลัวว่าจะเผลอทำอะไรที่ไม่ถูกใจอีกคนไปหรือเปล่าถึงได้นิ่งเงียบไปเช่นนี้

                 “อุ้ม..”

              “ฮะ!!” เอาใหม่สิ............  ธานอุทานอย่างไม่เชื่อหู

              “อุ้มแก้วหน่อย” ไม่ว่าเปล่าสองแขนเรียวก็ชูขึ้นสูงแสดงความต้องการออกมาอย่างเห็นได้ชัด หนุ่มลูกครึ่งนิ่งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องมารับลูกอ้อนจากแม่แมวขี้วีนตรงหน้า

              “ไม่ได้ใช่ไหม เข้าใจแล้วผมไปเองก็ได้” น้ำเสียงกึ่งตัดพ้อของคนที่ทำท่าจะลุกจากเตียงทำเอาธานแทบอยากอุ้มให้ตัวลอย

              “ไม่ใช่อย่างงั้นแก้ว ไม่ใช่ อุ้มใช้ไหมล่ะได้อยู่แล้ว เอาฮึบ!”  เพราะกลัวว่าคนท้องจะเปลี่ยนใจจริงคนตัวโตจึงรีบช้อนตัวอุ้มแก้วกล้าในท่าเจ้าหญิงทันที

“ไม่เต็มใจก็ไม่ต้องก็ได้” เสียงอู้อี้ดังลอดมาเบาๆ

              “อะไรที่แก้วขอฉันเต็มใจทำให้ทุกอย่างนั้นแหละ” เขายิ้มให้อีกคนที่เงยมาสบตา

              “จริงเหรอ” แก้วกล้าว่าอยากไม่เชื่อนัก
              “จริงสิ ปะเดี๋ยวฉันอาบน้ำให้นะ”
เขาว่าอารมณ์คนท้องเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาดูท่าว่าจะจริงแต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีอะไรเพราะอยากจะบอกว่ามันโคตรจะดีเลยถ้ามันทำให้แก้วกล้าที่มันจะขู่ฟ่อๆใส่เขาตลอกเวลากลายมาเป็นแม่แมวน้อยขี้อ้อนสุดน่ารักของเขาแบบนี้ละก็จะอะไรก็ดีหมดละ.........
 

                  “ลงมาได้แล้วหรือครับพี่ธาน”

                เสียงใสของเกลที่เอ่ยทักเขาเป็นคนแรกทันทีที่เขาพาแก้วกล้าก้าวเข้ามายังห้องทานอาหาร ธารมองน้องชายที่ส่งสายตาล้อเลียนนั้นมาให้เล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจกับการจัดที่นั่งให้กับแก้วกล้าก่อที่ตนจะกลับไปนั่งลงยังที่ของตนเอง

               “ทำไมละพี่แค่ลงมาช้านิดๆหน่อยๆเอง”    เขาว่าอย่างไม่ใส่ใจทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาลงมาช้ากว่าปกติเกือบครึ่งชั่วโมง

              “อย่างงั้นหรือครับ” เกลว่าอย่างไม่จริงจังกับคำตอบนั้นของธาร ก่อนจะเบนความสนใจไปหาแก้วกล้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของตนแทน

              “แล้วคุณแก้วละครับหลับสบายดีไหม”

              “ก็ดีครับ”    แก้วกล้าส่งยิ้มกลับไปให้คนถาม

              “จริงสิ แล้วไรอันกับปีแอร์ไปไหนทำไมยังไม่มาที่โต๊ะอีก”

               ธารเอ่ยถามขึ้นหลังจากมองไปทางประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าคนที่ตรงต่อเวลาเสมออย่างไรอันจะเดินเข้ามายังโต๊ะอาหารนี้เสียที

                “ปีแอร์บอกว่า พี่ไรอันรู้สึกไม่ดีเลยขอไปกินในห้องแทนสงสัยจะแพ้หนักล่ะมั้ง”    เกลว่าพร้อมเริ่มลงมือทานข้าวต้มตรงหน้าเป็นคนแรก

                  ธานพยักหน้าเข้าใจก่อนจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าตาม ไรอันกำลังท้องอยู่เรื่องที่จะแพ้ท้องก็เป็นเรื่องปกติแต่บางที่อาการของไรอันก็น่าเป็นห่วง เพราะดูจะแพ้ไปเสียทุกอย่าง

                      มื้อเช้าผ่านไปอย่างง่ายๆไม่มีอะไรมากมายหลังกินอาหารเสร็จเกลขอตัวกลับห้องของตัวเองโดยมีพลคอยดูแลแทนปีแอร์ที่ต้องไปดูไรอันที่มีอาการแพ้ท้องหนักอยู่ที่ห้องด้านล่างของบ้านใหญ่

              “คุณแก้วค่ะ” เสียงป้าแม่บ้านสูงอายุเดินเข้ามาพร้อมถาดที่วางถ้วยยาสีน้ำตาลดำที่ส่งกลิ่นฉุนไปทั่วบริเวณ ทำเอาคนท้องนั่งยู่หน้าทันทีที่ได้กลิ่น

              “หืม ป้าจวนทำไมกลิ่นแรงแบบนี้ละ” ธานถามขณะพิสูจน์กลิ่นในถ้วยที่แรงได้ใจจนต้องหันหน้าหนี

              “ก็มันเป็นสมุนไพรนะสิค่ะ เนี่ยเมื่อวานป้าให้เด็กมันไปซื้อมาให้เห็นว่าบำรุงครรภ์ได้ดีนักแล ป้าเลยรีบตื่นมาตุ๋นยาจีนมาให้คุณแก้วแต่เช้าเลย”

              ป้าแกพูดพร้อมยกมาตรงหน้าคนท้องที่ทำท่าเกรงใจกลัวว่าหากเอ่ยปฏิเสธไปจะเสียน้ำใจคนทำเพราะกว่าจะได้ยาจีนแต่ละหม้อใช้เวลาไม่น้อยเลยยิ่งถ้าต้องตื่นมาทำให้เขาแต่เช้าขนาดนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องถามเลยว่าอีกฝ่ายนั้นต้องตื่นตั้งแต่กี่โมง

              “อื๋มม ขม” แก้วกล้ารีบว่างถ้วยลงทันทีเมื่อจิบไปได้เล็กน้อย น้ำสีเข้มรสชาติไม่น่าพึ่งใจสำหรับเขาเสียเท่าไรบวกกับความร้อนที่สัมผัสลิ้นด้วยแล้วคิดว่าคงจะพองเป็นแน่  ไม่กินได้ไหม.......

              “หวานเป็นลมขมเป็นยานะคะ ถือเสียว่าบำรุงเจ้าตัวเล็กแล้วกันค่ะ เพราะป้าดูแล้วคุณแก้วคงจะไม่ได้กินยาบำรุงอะไรมากมายดูสีท้องขนาดนี้แล้วตัวยังเล็กอยู่เลย”

ป้าแกพูดพร้อมบีบจับไปตามแขนเรียวเล็กของคนท้องซึ่งมันก็จริงอย่างที่คนเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนว่า แก้วกล้าเองก็ไม่ได้สันหาอะไรมาบำรุงตัวเองมากนักอย่างที่คนแก่ผู้จริงนั้นแหละ เพราะเขาอาศัยแค่ยาบำรุงจากที่หมอจ่ายให้จะมีเพิ่มเติมก็แค่พวกอาหารแต่จะมีช่วงหลังมานี้ที่น้ำหนักเริ่มขึ้นจากการโดนขุนด้วยฝีมือคนตัวโตนั้นแหละ

              “จริงๆ แก้วตัวเล็กมาแถมยังผอมมากด้วย” ธานมองแล้วคิดตาม กอดไม่เต็มมือเลย.......

              “แต่ว่า...”

              “นะแก้วค่อยๆดื่มก็ได้เพื่อลูกไง” คนท้องคิดหนักแต่ก็ยอมจำใจยกยารสขมนั้นขึ้นจิบที่ละน้อยจนหมดถ้วยด้วยความกลัวว่าคนแก่จะเสียแรงใจที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาตุ๋นให้

“เก่งมาก” ธานเอ่ยชมก่อนจะยกชามคืนป้าจวนไป พร้อมกับส่งแก้วน้ำเปล่าและผ้าเช็ดปากไปให้

“แล้วอีกถ้วยละ ผมเห็นป้าถือมาด้วยนิ”

 ธานถามอย่างสงสัยเพราะเมื่อตอนที่เดินเข้ามาเขาจำได้ว่าเห็นถ้วยยาจีนสองถ้วย แต่เมื่อมองกลับไปอีกครั้งกลับไม่พบถ้วยยาขนาดเดียวกันในถาดนั้น

“อ้อ ของคุณไรรี่เขาน่ะค่ะ”  เพราะชื่อของคนสนิทเขาออกเสียงยากไปสำหรับคนแก่ที่ไม่เคยสันทัดเรื่องภาษาอย่างป้าจวน ไรอัลจึงหยวนๆให้ป้าแกเรียกชื่อเล่นของตนได้

“อืมแล้วเป็นไงมั่งล่ะ ผมยังไม่ได้เข้าไปดูเลย”ธานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้เจอหน้าอีกฝ่ายเลยต่างหากทั้งๆที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่กลับไม่เจอกันเลยตั้งแต่เขาอนุญาตให้ไรอันหยุดพัก

“ป้าก็ยังไม่ได้ไปดูเหมือนกันค่ะ นี้ให้ยายน้อยเอายาไปให้เดี๋ยวคงกลับมา” ป้าจวนว่าก่อนของตัวออกไปแล้วให้แม่บ้านที่เหลือมาจัดการทำความสะอาดโต๊ะ

ธานพยักหน้ารับก่อนจะพาแก้วกล้าเดินมาขึ้นรถเพื่อไปยังโรงพยาบาลตามที่เขาตกลงกันไว้เมื่อวาน  ทุกอย่างดูปกติหมดจนกระทั้งเข้าห้องตรวจไป

สีหน้าเคร่งเครียดของคุณหมอคนสวยที่นั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะอยู่นั้นทำเอาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทั้งสองที่เพิ่งเดินเข้ามาอดจะรู้สึกกดดันเล็กๆไม่ได้

“ไงบ้างแก้ว สบายดีนะ”  น้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นโทรนปกตินั้น เอ่ยทักน้องชายคนสนิทอย่างเช่นทุกครั้ง

“สบายดีครับพี่พลอย” หมอพลอยยิ้มก่อนจะหันไปหาธานแทนแล้วจึงพูดต่อ  “งั้นเราเข้าเรื่องเลยดีกว่านะ คุณช่วยเล่ารายละเอียดอีกทีได้ไหมคะ” 

              ธานพยักหน้าก่อนเริ่มเล่าอาการของแก้วกล้าตั้งแต่วันที่อยู่ใต้ไล่มาจนถึงเมื่อเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ป้าแม่บ้านของเขาเอ่ยทักว่าคนท้องมีน้ำหนักที่ดูท่าจะน้อยเกินมาตรฐานที่พึงมี

              หมอพลอยจดรายละเอียดตามที่ธานว่าและยิ่งตีหน้าเครียดเข้าไปให้ แต่เพราะลายมือที่หวัดจนอ่านยาบวกกับศัพท์เฉพาะที่คนทั่วไปไม่เข้าใจทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ถามหรือพูดอะไรออกไปจน....

            “แก้วมาใกล้ๆพี่หน่อยสิ” คุณหมอสาวพูดหน้าเครียดทำเอาคนท้องเริ่มใจไม่ดีเขยิบเข้ามาไปใกล้ให้พี่หมอสาวตรวจอย่างละเอียดจนได้ผลออกมา

           “แก้วจำได้ไหมที่พี่เคยบอกว่าแก้วมีความเสี่ยงของภาวะ Preeclampsia นะ” พี่หมอถาม ยิ่งตอกย้ำให้แก้วกล้ายิ่งก้มหน้าหนัก

        “  Preeclampsia นี้คืออะไรหรือครับแล้วทำไมแก้วถึงมีความเสี่ยง” ธานถามอย่างร้อนใจขณะกุมมือเล็กๆที่บีบกันแน่นของอีกคนไว้แน่น

        “มันเป็นอาการของครรภ์เป็นพิษค่ะ ถ้าตามที่คุณเล่ามาเป็นจริงที่ว่าแก้วมีอาการปวดหัวแล้วก็ตาพร่าแล้วละก็ ถือว่าแก้วมีความเสี่ยงที่สูงมาที่จะมีการคลอดก่อนกำหนด ดูนี้” หล่อนว่าพร้อมส่งบางอย่างให้คนทั้งคู่ได้ดู

          “ความดันของแก้วถึงจะไม่สูงถึงขนาดเกณฑ์ที่จะเข้าขั้นที่จะกลายเป็นภาวะ Eclampsi แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าปกติอยู่ดี” คุณหมออธิบาย

         “แล้ว แล้วลูกของแก้วจะเป็นอะไรไหม ” แก้วกล้าว่าเสียงสั่นอย่างใจเสีย

        “เจ้าตัวเล็กนะแข็งแรงดี ไอ้ที่น่าเป็นห่วงนะคือตัวเรานั้นแหละแก้ว” คุณหมอเว้นวรรคถอนหายใจ

        “ไม่ต้องห่วงเท้งนะเพราะอายุครรภ์ของเรานะเกิน 25 สัปดาห์มาแล้วเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของเจ้าตัวเล็กมีสูงมากไม่มีทางเป็นอะไรง่ายๆแน่นอน” หล่อนพูดปลอบ

         “จริงนะพี่พลอย” แก้วกล้าพูดอย่างมีหวังขณะบีบมือของอีกคนแรงขึ้น

          “แน่นอนสิพี่เป็นหมอพี่ไม่โกหกหรอก แต่เราต้องดูแลตัวเองดีๆเข้าใจไหม”  แก้วกล้าพยักหน้า

           “ดีมาก อะเอานี้ไปอ่านนะเดี๋ยวเรื่องยาบำรุงพี่จัดการให้นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วเจอกันอาทิตย์หน้าเลยละกันนะ”  พี่หมอว่าพลางเขียนบัตรนัดและตัวยาต่างๆก่อนส่งให้พยาบาลผู้ช่วยนำออกไปด้านนอก

           หมอพลอยแนะเรื่องการดูแลตัวเองของคุณแม่ใกล้คลอดให้ทั้งคู่ฟังอีกเล็กน้อยก่อนที่ธานพาแก้วกล้าออกมารอรับยาและบัตรนัดที่ล็อบบี้ โดยธานมักจะลอบสังเกตคนข้างๆที่เริ่มตีหน้าเครียดอยู่บ่อยครั้งอย่างเป็นกังวล

           “หมอบอกไม่ให้เครียดไม่ใช่หรือครับ” ธานเอ่ยทัก

           “ก็ผมกลัว ถ้าคลอดก่อนกำหนดลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า” ธานถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมแขนโอบอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ๆ

           “ฉันอยู่นี้แล้วไง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกจะต้องปลอดภัยเชื่อฉันสิ”

           “แต่ว่า.....”

           “ไม่เอาสิ ถ้าแก้วมั่วแต่คิดมากอยู่อย่างงี้ลูกก็จะพลอยเครียดตามไปด้วยนะ”

           “ขอบคุณนะครับ”

           “ขอบคุณเรื่องอะไรกัน ลูกแก้วก็คือลูกของฉันฉันก็ต้องรักและดูแลให้ดีที่สุดสิ” ธานพูดอย่างรู้ความหมาย

           “อีกอย่างนะ เพราะแก้วคือคนที่ฉันรักฉันจะไม่ยอมให้แก้วเป็นอะไรไปแน่นอนฉันสัญญา” 

           หลังจากจัดการธุระเรื่องบัตรนัดและฟังรายละเอียดเรื่องการดูแลครรภ์ที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและการคลอดก่อนกำหนดจากพยาบาลเพิ่มเติมแล้วธานก็พาแก้วกล้าบ้าน

           “อาทิตย์หน้าที่หมอพลอบนัดเราลองให้เขาอัลตราซาวลูกดีไหม”   ธานเอ่ยทักขึ้นทำลายความเงียบที่คนท้องสร้างขึ้นตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลมาจนตอนนี้พวกเขาสองคนนั่งอยู่ที่สนามหญ้าหลังบ้านก็เอาแต่นั่งเงียบจนเขาเอร่มเป็นกังวล

           แก้วกล้าหันมามองคนที่เอ่ยถามเมื่อครู่ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะหันกลับไปมองในเขียวๆของต้นสนเล็กที่วางเรียงเป็นแถวยาวเพื่อแบ่งเขตพื้นที่ส่วนตัวของเจ้าบ้านและเขตเรือนพักของแม่บ้านและการ์ดที่อยู่ด้านหลังอย่างเป็นสัดส่วน

           “ทำไมละ แก้วไม่อยากเห็นหน้าลูกหรอ”

           คนตัวโตถามอย่างแคลงใจก่อนนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายอย่างรอคำตอบ  ที่เขาถามแบบนี้ก็เพราะว่าบางที่หากแก้วของเขาได้เห็นหน้าลูกอาจมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นถ้าได้รู้ว่าเจ้าตัวเล็กนั้นแข็งแรงดี

           “อยากเก็บเอาไว้รอวันที่ได้เจอหน้าเขาจริงๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรเขาก็เป็นลูกของผม ขอแค่เขาเกิดมาอย่างปลอดภัย แค่นั้น แค่นั้นจริงๆที่ผมต้องการ”  น้ำเสียงแผ่วเบาที่สั่นเครือของอีกคนทำเอาหัวใจคนฟังรู้สึกเจ็บจนอดไม่ได้ที่จะรั้งให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน  เขาไม่ได้ตั้งใจพูดไปเพื่อสะกิดใจของอีกคน....

           “ไม่เอาสิแก้วไม่ร้องเดี๋ยวลูกจะพลอยเศร้าไปด้วย” เขาปลอบ

           “เชื่อฉันสิแก้ว ลูกของเราจะต้องปลอดภัย เอางี้ไหมพรุ่งนี้เราไปซื้อของให้เจ้าตัวเล็กกันดีไมถึงจะยังไม่รู้ว่าจะเป็นชายหรือหญิงแต่ลงเลือกสีกลางๆไปก่อน เอาแค่ของที่พอจำเป็นก่อนพอคลอดแล้วค่อยซื้อเพิ่มดีไม”   

           แก้วกล้าพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงตกลง

           ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงนั้นอีกสักพักก็พากันกลับเข้าไปในบ้านเมื่อแสงแดดเริ่มแรงขึ้นมาเวลาจนต้นไม้รอบๆไม่อาจต้านไว้ได้

           แก้วกล้านั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นโดยมีน้อยกับป้าจวนป้าแม่บ้านอาวุโสประจำบ้านที่เมื่อเช้าได้เอายาจีนมาให้นั่งบีบนวดขาให้แก้วกล้าอยู่ข้างๆ แม้ตอนแรกเจ้าตัวจะปฏิเสธเพราะด้วยอายุที่อีกฝ่ายมีมันคงจะดูไม่ดีที่คนที่อายุมากกว่าจะมาบีบจับขาให้คนที่อ่อนอายุกว่า แต่ป้าจันแกก็หว่านล้อมไปว่าทำให้น้อยดูเป็นตัวอย่างแก้วกล้าถึงได้ยอม

           ธานเองอยู่ดูได้เพียงแค่ครู่เดียวก็ขอตัวออกมารับสายโทรศัพท์จากลูกน้องที่โทรเข้ามารายงานถึงการตรวจเช็คสินค้าที่ต้องเตรียมจัดส่งให้ลูกค้าในวันจันทร์ว่าครบสมบูรณ์ตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ พอวางสายไปการสนทนาไปแล้วนั้นเขาก็ตั้งใจว่าจะกลับเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นต่อเพื่อว่าจะไปศึกษาวิธีนวดเอาไว้บางเพื่อว่าคืนนี้จะได้ลองวิชาเสียดูเองเสียหน่อย แต่กลับถูกเรียกเอาไว้ก่อน

           “ธาน เห็นปีแอร์ไหม”    เป็นหนุ่มอังกฤษตัวโปร่งที่ตลอดหลายวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้เห็นหน้าคาดตากันเลย เอ่ยเรียกเขาไว้พร้อมถามถึงคนที่กำลังตามหา

           “ไม่เห็นตั้งแต่กลับมานะ ว่าแต่นายเถอะออกมาเดินแบบนี้ไหวแล้วหรือไง” เขาว่าพรางมองสำรวจคนสนิทที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนวัยเด็กที่หน้าตาดูซีดเซียวกว่าปกติ ที่เดินสะโหลสะแหลจนอดกลัวที่จะล้มลงไปไม่ได้

           “ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว” ไรอันว่าพร้อมสอดส่องสายตามองหาเจ้าเด็กโข่งที่เป็นตัวการที่ทำให้เขาต้องมีสภาพเช่นนี้  ธานมองคนตรงหน้าก่อนจะเริ่มถามไถ่ถึงอาการที่เป็นอยู่เพราะเวลาที่เขาจะไปหาอีกคนที่ห้องก็ต้องมีเหตุให้คาดกับตลอดอย่างเช่นพอเขาว่างจะไปอีกคนก็หลับไปแล้วอย่างนี้แทน

              “ดาร์ลิ่งจ๋า!! “ เสียงของเจ้าตัวที่เป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้านทำให้คนทั้งสองที่คุยกันอยู่ต้องหันกลับไปมองเจ้าหนุ่มฝรั่งเศสหน้าเป็นที่หอบหิ้วถุงที่สกรีนชื่อหนังสืออย่างเด่นหลาพร้อมถุงเล็กๆอีกสองสามถุง วิ่งเข้ามาทั้งกอดทั้งหอม ดาร์ลิง ของตัวเองอย่างไม่แคร์เลยว่าบุคคลที่สามที่ยื่นอยู่ด้วยมีศักดิ์เป็นถึงเจ้านาย

           “ออกมาจากห้องทำไม ดูสิหน้ายังซีดอยู่เลย” ปีแอร์เลือกที่จะพูดกับคนรักเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเอาใจ  พร้อมโอบประคองกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

           “บอสจะใช้งานอะไรดาร์ลิงของผมไม่ได้นะ เพราะในนี้มีเบบี้อยู่” พูดพร้อมเอามือลูบไปที่หน้าท้องที่ยังแบนราบของไรอัน

           “ถ้าบอสใช้งานดาร์ลิ่งของผมหนักจนดาร์ลิ่งกับเบบี้น้อยของผมเป็นอะไรไปละก็ผมจะฟ้องแกลลี่จริงๆด้วย”

           คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นการข่มขู่ที่พูดบ่อยจนเขาจำมันได้ขึ้นใจนั้น ให้คนฟังถึงกับกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอากับคำพูดย้ำคิดย้ำทำของเจ้าขี้อวดตรงหน้า ที่ชอบยกเอาน้องน้อยสุดที่รักเขามาอ้างทุกครั้งที่เจอหน้าแบบนี้ นี้คิดว่าเขากลัวหรือไง เหอะ ใช่มันคิดถูก เขากลัวน้อง  จบไหม...........................
_________________________________________________________________



กลับมาอัพตามปกติแล้วเด้ออออออออออ
หลังจากวนเวียนอยู่แต่กับร้านซ้อมคอมมาอย่างยาวนานในที่สุดเราก็กลับมาแบ้ว

เพื่อนๆหลายคนถามเข้ามาว่านิยายจะอัพจนจบก่อนปิดจองไหม?
ลงจนจบแน่นอนค่ะ

และเพื่อเป็นการไถ่โทษที่หายไปทีเป็นอาทิตย์ เราจะอัพวันละสองตอนไปเลย!!!

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 17- 6-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 06-02-2017 23:45:40
ฝนหยดที่ 17


 รถยนต์ส่วนตัวของธานแล่นออกไปบ้านนานแล้วแต่สายตาของเกลยังคงจับจ้องไปตามทางของบ้านอยู่อย่างนั้นก่อนจะหันกลับมาสนใจหนังสือวรรณกรรมในมือที่อ่านค้างเอาไว้ต่อ

           ทั้งที่วันนี้เขาควรจะได้ใช่เวลากับครอบครัวแท้ๆ แต่ทุกอย่างกลับต้องพังลงเพราะน้ำมือของคนที่เขาทั้งเกลียดทั้งกลัวสุดขั้วหัวใจแบบนี้ ยิ่งคิดยิ่งทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็ต้องปิดมันลงอย่างเสียไม่ได้

           น่าเบื่อ........................

           ร่างโปร่งบางถอดถอนลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายออกมาเป็นระยะแม้จะมีเจ้าแมวตัวโปรดที่เดินไปเดินมาเรียกร้องความสนใจของเขาอยู่ไม่ห่างนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด  แล้วป่านนี้สองพ่อลูกนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่นะ อยากรู้จริง.....

           เขานั่งเหม่อลอยออกไปเรื่อยๆโดยไม่ได้โฟกัสสายตาไปที่ได้เป็นสำคัญ มองไปเท่าที่สายตาของเขาจะมองเห็น แต่แล้วอยู่ๆภาพต้นไม้ใบหญ้าตรงหน้าของเขาก็หายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยความมืดจนเผลอสะดุ้งออกมาอย่างตกใจ

             “ทายสิใครเอ่ย”

           เสียงเจื้อยแจ้วที่พยายามเล่นคำทานนั้นทำให้อดระบายยิ้มอย่างดีใจออกมาไม่ได้ ยิ่งพอปลายนิ้วเรียวของเขาไล่จับไปตามแขนนุ่มเล็กนั้นไปเรื่อยๆนั้นแล้วก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มนั้นกว้างมากขึ้นตาม

           “นั้นสิ ใครกันนะ”

           เกรทหันไปยิ้มให้คุณพ่อที่ยืนมองมาทางเขาและคุณแม่คนสวยของเขาที่ตอนนี้ถูกจากฝ่ามือนุ่มน้อยปิดเข้ากับเปลือกตาทั้งสองเอาไว้ ทีแรกเกรทเข้าใจว่าวันนี้เขาจะได้ไปเที่ยวสวนน้ำตามที่เคยเปรยๆให้คุณพ่อฟังเสียอีก แต่พอเห็นประตูรั้วที่คุ้นเคยนั้น อย่างน้อยวันหยุดเขาก็ยังได้อยู่กันคุณแม่ก็ถือว่าหายกันก็แล้วกันเนอะ

           แต่สงสัยเด็กน้อยจะเผลอเล่อมาไปหน่อยทำให้ไม่ทันระวังตัวโดนท่อนแขนเรียวของคนที่บิดตัวกลับมาหารวบเอาไว้จนร่างเล็กๆนั้นเซถลามาอยู่ในอ้อมกอดบนตักของเกลที่ตอนนี้สายตากลับมามองเห็นอีกครั้ง

           “น้องเกรทของแม่นี้เอง”

           เขาว่าก่อนฟัดแก้มกลมยุ้ยนั้นไปมาจนเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากนั้นดังไปทั่วห้อง พลางเหลือบตามองขึ้นมามองคนที่ยังยืนพิงบานประตูห้องของเขาอยู่อย่างนั้นอย่างดีใจเชิงขอบคุณ

           “ฮ่าฮ่า คุณแม่ขี้โกง”

           เกรทยกมือสองข้างขึ้นปิดแก้วแดงๆที่ผ่านสมรภูมิการโดนฟัดมาเมื่อครู่ แม้จะบ่นว่าอีกคนโกงแต่เด็กน้อยกลับเอาหัวซนกันอกของคนขี้โกงเอาไว้ไม่ห่าง

           “แม่ไม่ได้ขี้โกงสักหน่อย เกรทไม่ระวังตัวเองต่างหาก”  เขาว่าก่อนจะจับลูกชายให้นั่งบนตักของเขาดีๆ

           “แล้วทำไมมากันแต่เช้าเลยละครับวันนี้”   เขาถามพลางมองชิตรัตน์ที่ก้าวเดินมานั่งที่เก้าอี้บุหนังด้านข้างที่อุ้มเจ้าเน็ตตี้ที่โดนจากตักของเขาไปตั้งแต่ที่เกรทเข้ามา มาอุ้มเอาไว้แทน

           “คิดถึงเลยมาหา ไม่ได้หรอครับ”

           “ให้มันจริงเถอะครับ”   เกลอมยิ้มจนแก้มปวด ผิดกับชิตรัตน์ที่ยิ้มยิงฟันขาวอยู่ไม่ไกล

           “จริงอยู่แล้วครับ” เขาตอบ

           “คุณแม่ ไปเล่นน้ำกันเถอะ”

           เกรทเงยหน้าขึ้นมองพร้อมเขย่าแขนของเกลเป็นเชิงขอร้องไปด้วย  เกลมองหน้าลูกชายสลับกับคนรักเล็กน้อย ก็เขาใจอยู่นะว่าลูกชายที่แสนน่ารักของเขาอยากไปเล่นน้ำที่สวนน้ำแล้วพอไม่ได้ไปจะเปลี่ยนมาเล่นที่นี้กับเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่าอย่างว่าแต่เดินเลยแค่จะลุกขึ้นยืนเขายังต้องให้คนอื่นคอยช่วยพยุงเลย แล้วจะให้เขาไปเล่นน้ำแบบนี้เขาไม่จบน้ำหรือยังไง ตัวเขาเองก็ไม่อยากขัดความตังใจของลูกชายที่พยายามส่งสายตาลูกอ้อนนั้นมาให้เขาด้วย

           “ก็ได้ครับ เดี๋ยวไปตามปีแอร์กับคนอื่นๆมาเล่นด้วยดีไหมครับ”

           สุดท้ายพอปฏิเสธสายตานั้นไม่ได้เขาก็ดันเผลอตอบตกลงไป ส่วนเกรทก็ตะโดดดีใจไปตามประสาเด็กที่ได้สิ่งที่ต้องการก่อนจะขอตัววิ่งไปตามปีแอร์ที่ห้องเพื่อจะได้เล่นน้ำ

           แต่ถึงเกลจะตอบตกลงว่าจะเล่นน้ำไปแต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ทำแค่นั่งตีขาไปมาอยู่ที่ขอบสระเท่านั้นส่วนคนที่เล่นจริงๆก็คงจะมีแค่สองพ่อลูกกับปีแอร์เท่านั้นที่ลงเล่นอยู่ในสระกว้างนั้น จะมีบางที่ทั้งสามจะหันเข็มรวมหัวกันมาแกล้งเขาจนเปียกไปทั้งตัว และกว่าพลังงานอันล้นเหลือของปีแอร์และเกรทจะหมดก็เล่นเอาคนที่แก่ที่สุดอย่างชิตรัตน์ต้องว่ายกลับเข้าฝั่งไปพักหายใจอยู่หลายรอบ

           สำหรับเขาแล้วมันไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องลงไปเล่นด้วยกันเพราะแค่นั่งมองจากตรงนี้ได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่ดูสนุกสนานนั้นอยู่ที่ตรงนี้เขาก็มีความสุขมากพอแล้ว

 
           จนคล้อยบ่ายที่แดดเริ่มแรงถึงจะยอมเลิกกันแม้เจ้าตัวเล็กจะมีงอแงบ้างแต่สุดท้ายพอถูกจับอาบน้ำปะแป้งใหม่เสร็จก็หลับไม่รู้เรื่องไปเลยเป็นคนแรก

           “ลูกหลับแล้วหรอ”

           เกลละสายตาจากใบหน้าไร้เดียงสาที่กำลังหลังตาพริ้มอยู่ข้างๆหันเงยไปมองคนถามที่กำลังเดินออกมาจากประตูห้องน้ำ เขาส่งยิ้มให้แทนคำตอบของคำถามนั้นแล้วหันกลับมามองหน้าลูกชายตัวน้องอีกครั้ง  ชิตรัตน์มองทั้งคู่เล็กน้อยก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียงแล้วล้มตัวนอนข้างๆลูกชายที่อยู่อีกฝั่งกับเกล พอได้ล้มตัวลงเอนกายลงกับที่นอนนุ่มสบายหลังจากไปปล่อยพลังเกินอายุไปเมื่อครู่แบบนี้แล้วก็พลอยทำให้อยากจะหลับเอาเสียดื้อๆ และไม่นานชิตรัตน์ก็หลับตามลูกชายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่เท้าแขนนอนมองสองพ่อลูกที่พากันหลับนี้ไปนั้นหลุดยิ้มออกมา

           “คงจะเหนื่อยสินะ”

           เกลพูดออกมาพร้อมเลิกผ้าห่มที่พาดบนช่วงท้องของเกรทให้ขึ้นมาปิดอกแล้วตบลงไปตรงนั้นเบาๆ เหมือนกล่อมให้เด็กน้อยดำดิ่งสู่นิทราลึกกว่าเดิม โดยไม่ลืมที่จะทำแบบเดียวกันนี้ให้กับชิตรัตน์ที่นอนอยู่อีกฝั่งด้วยเช่นกัน

           “คุณกำลังยิ้ม”

           เสียงทักของชายดังขึ้นไม่มากนักเรียกให้เกลเงยหน้าไปมองคนที่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องเขาดื้อๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังส่งยิ้มกลับไปให้อีกด้วย

           “เกลมีความสุข เกลก็ต้องยิ้มสิครับพี่ชาย” ชายยิ้มตามคนเป็นนายที่กำลังทอดมองใบหน้ายามหลับของคนทั้งสองบนเตียงนอนอย่างรักใคร่  ดีจริงๆ........

           “พี่ดีใจที่คุณกลับมายิ้มแบบนี้ได้อีกครั้ง”  เพราะมันนานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเกลยิ้มทั้งใบหน้าและหัวใจแบบนี้ แบบนี้ละดีแล้วเจ้านายของเขาเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่ารอยน้ำตา

           คลืก คลืก

           ชายปลายตามองต้นเสียงอันเกิดมาจากแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงจนเกิดเสียง ก่อนจะหันไปมองเกลที่มองตามสายตาของเขามาที่จุดเดียวกัน

           “ใครโทรเข้ามาหรอครับ”

           “น่าจะเป็นคุณหญิงโฉมฉวีนะครับ”   ก็ถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของชิตรัตน์แล้วล่ะก็ แม่ ในที่นี้ก็คงจะหมายถึงคุณหญิงปีศาจนั้นเป็นแน่

           “เอามาให้เกล”

           ดวงตาสีน้ำตาลวาวประกายขึ้นมาทันทีที่พี่เลี้ยงคนสนิทของตนบอกว่าใครที่เป็นคนโทรเข้ามา  เกลรับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาไว้ในมือก่อนจะจงใจกดตัดสายไปเสียดื้อๆ เขาก็แค่เอามาดูเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเองว่าจะใช่ตามที่บอกหรือไม่ ก่อนจะขอให้ชายพาตนออกมาจากห้องเพื่อที่ว่าสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้จะไม่เป็นการรบกวนกานนอนของคนที่รักทั้งสอง

           คลืก คลืก

           ไม่ผิดไปจากที่คิด.......

           ปลายสายคนเดิมที่โทรเข้ามาเมื่อครู่ที่โดนตัดสายไปนั้นโทรกลับมาอีกครั้งตามที่เกลคิดเอาไว้ เขารออย่างใจเย็นก่อนจะกดรับสายนั้นในนาทีสุดท้ายก่อนที่สายจะตัดไป

           // ฮัลโหล     ตาชิน นี้แกอยู่ไหนออกไปตั้งแต่เช้าเมื่อไรจะกลับ // 

           น้ำเสียงที่แสดงออกว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากของคนปลายสายที่ไม่ต้องเดาเขาก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร เพราะแค่เสียงแว้ดแหลมที่ดังออกมาก็เผลอทำให้มือข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นกำแน่นจนสั่นไปหมด หัวใจก็เริ่มเต้นแรงมากขึ้นกว่าปกติจนเจ็บอก

           “.....”

           // ฮัลโหล นี้แกได้ยินที่ฉันถามไหม? เมื่อไรจะกลับ นี้ฉันไม่ได้กลับมาเพื่ออยู่บ้านคนเดียวหรอกนะ//

           “....”

           “ตาชิน !!”

           เกลถึงกับเผลอสะดุ้งเฮือกอย่างแรงเมื่อเจอเข้ากับเสียงตะคอกของคุณหญิง ทำเอาชายที่ยืนมองอยู่แทบอยากจะเข้าไปหยิบเอาโทรศัพท์นั้นมาคุยเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด

               “พี่ชินนอนหลับอยู่นะครับ”

           เกลตอบเสียงสั่นอย่างเห็นได้ชัด นี้ขนาดได้ยินแต่เสียงเขายังเป็นขนาดนี้แล้วถ้าเจอตัวจริงล่ะ...... ไม่ได้นะ  เขาเลือกแล้วที่จะไปเจอเองจะให้มาล่มเพราะเขาเองแบบนี้ได้

           // ... //

           “...”

           // นั่นแกเป็นใคร //

           คำถามห้วนๆบ่นแปลกใจที่ถามกลับมาหลังจากเว้นช่วงให้เขาได้พอมีเวลาปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะตอบคำถามนั้นกลับไป

           “ไม่เจอกันนานขนาดที่ว่าคุณหญิงถึงกับลืมผมไปเลยหรอครับ”

           // !!! //

           “อย่างว่าล่ะนะครับ คนแก่มักจะเละเลือนคุณหญิงเองก็อายุมากแล้วจะหลงๆลืมไปก็ใช่เรื่องแปลก”  พอตั้งตัวได้ใหม่เขาก็เริ่มเปิดฉากไล่ต้อนอีกฝ่ายก่อนทันทีไม่ให้เสียเวลา

           // นี้แก! //  เกลลอบยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจว่าอีกคนน่าจะรู้แล้วว่าเป็นเขาที่รับโทรศัพท์ของชิตรัตน์

           “ทำไมคุณหญิงชอบเสียงดังจังเลยครับ เพราะงี้หรือเปล่าทั้งลูกทั้งหลานถึงไม่อยากจะอยู่ใกล้”

           // อ๊ายยยยยย! เป็นแกจริงๆด้วยไอ้แพศยา //

           คำสบประมาทเมื่อครู่ทำเอาเกลถึงกับขบกรามแน่นจนเอ็นขึ้นอย่างไม่พอใจ  เห็นอย่างนี้เขาก็หยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกันและเขาเองก็ไม่ชอบเวลาที่ต้องถูกใครมาตราหน้าด้วยถ้วยคำหยาบคายแบบนี้เช่นกัน

           //แกเอาลูกกับหลานฉันไปกกไว้ที่ไหน เอาตาชินกันกับตาเกรทคืนมาเดี๋ยวนี้เลยนะ//  คุณหญิงร้องสั่ง แต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะยอมง่ายๆ 

           “คงไม่ได้หรอกครับ ผมบอกแล้วไงว่า สามีกับลูก  ผมนอนหลับอยู่เดี๋ยวตื่นแล้วผมจะบอกให้กลับไปหาคุณหญิงเองนะครับ”

           เขาจงใจเน้นความสัมพันธ์เมื่อครู่เพื่อบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงฐานะของตนที่มีอยู่ ตอนนี้เขาถือไพ่เหนือกว่าคุณหญิงแล้ว และเขาก็จะไม่ยอมโดนแย่งอะไรไปอีกเหมือนกัน

           //กรี๊ดดดดดดดดด  แก แกกล้าดียังไงมาเรียกตาชินกับตาเกรทแบบนั้น//  เขาแค่พูดความจริงเองทำไมต้องทำเหมือนว่าเขาทำอะไรผิดแบบนั้นด้วย บ้าบอ.......

           “ก็ผมพูดความจริงนิครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปดูพี่ชินกับลูกก่อนแล้วเจอกันครับคุณหญิง”

           เกลตัดสายทันทีที่พูดจบโดยไม่รอให้คุณหญิงได้มีโอกาสมากรีดร้องใส่หูหรือพ่นคำด่าว่าอะไรมากกว่านี้ให้ระคายหูของเขาเพิ่ม พร้อมจัดการกดปิดทั้งระบบเสียงและระบบสั่นทันที ผิดกับร่างกายเขาลิบลับที่ยังคงสั่นไม่หาย

           “ไหวหรือเปล่าครับ" ชายที่มองดูอยู่นานเดินเข้ามานั่งยองลงตรงหน้าของเกลพร้อมถามไถ่อย่างเป็นห่วง ดูสิหน้าซีดตัวสั่นไปหมดแล้วเด็กน้อยของพี่ชาย...

           “เกลไหว ยังไหวอยู่”

           ไม่จริงหรอ.... ชายค้านกับตัวเองพร้อมหยิบเอาโทรศัพท์ที่แม้จะไม่มีเสียงและแรงสั่นแต่หากหน้าจอกับสว่างแสดงให้เห็นว่ายังมีใครพยายามโทรเข้ามาอยู่ไม่ขาด ชายตัดสินใจพาเกลกลับเข้าไปในห้องตามเดิมอย่างน้อยเขาก็คิดว่าการที่เกลยังเห็นว่าทั้งสองคนนั้นยังอยู่ด้วยกันกับอีกคนจะทำให้เกลรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง และก็เป็นจริงตามคาดพอเขาประคองให้คนตัวบางย้ายร่างจากวีลแชร์มายังเตียงนอนเกลก็ไม่รีรอที่จะโถมกายเข้ากอดลูกชายกับคนรักเอาไว้แน่นอย่างกลัวว่าหากปล่อยมือไปแล้วสองคนนี้จะสลายหายไปต่อหน้า

....................................................................................

     
   :serius2:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 17- 6-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 06-02-2017 23:50:33

:m31:

   หลังจากเหตุการณ์ปะทะคารมกับผ่านโทรศัพท์ของเกลกับคุณหญิงเมื่อวานที่ทำเอาคนเป็นพี่อย่างธานที่พอทราบเรื่องก็ลมแทบจับกับอาการของน้องที่ชายเล่าให้ฟัง ส่วนชิตรัตน์ก็ยกมือกุมขมับกับคำบอกเล่าที่เหมือนหนังคละม้วนชองคนรักกับมารดาจนชายหนุ่มไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่พูดเท็จหรือกล่าวเกินจริง

           และในที่สุดก็ถึงเวลาที่เกลจะได้เจอกันคุณหญิงอีกครั้งเสียที   ในเวลาช่วงสายแก่ๆของวันอาทิตย์ที่ธานได้ตกลงเป็นคนนัดเวลาว่าจะไปเยี่ยมเยือนบ้านของชิตรัตน์ตามคำเชิญของคุณหญิงโฉมฉวี แม้ธานอยากจะโทรไปยกเลิกคำชวนนั้นใจจะขาดด้วยกลัวว่าอาการของน้องเขาจะแย่ลงไปมากกว่าเดิม แต่ในเมื่อเจ้าตัวดึงดันที่จะไปให้ได้เขาเองก็คงต้องเตรียมตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเอาไว้ให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น

           “น้องเกลแน่ใจแล้วจริงๆใช่ไหมที่จะไป”

           ธานถามย้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาใกล้ที่จะถึงบ้านของชิตรัตน์แล้วก็ตาม ขอแค่เกลพูดมาคำเดียวว่า จะกลับ เขาก็พร้อมที่จะสั่งให้พลตีรถกลับบ้านทันทีเหมือนกัน

           “มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะถามอีกหรือครับ”

           เกลถามกลับ เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วและเขาจะไม่ย้อมหันหลังกลับเด็ดขาดจนกว่าสิ่งที่เขาต้องการมันจะมาอยู่ในมือของเขาตามที่ปรารถนา

           “แต่พี่เป็นห่วง”

           “ไม่ไต้องกังวลไปนะครับ พี่ชายพี่พลและก็ปีแอร์ก็อยู่ไม่มีใครทำอะไรน้องได้หรอก”

           เขาสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปที่ช่วงแขนหนานั้นเอามากอดไว้พร้อมกับซบลงกับไหล่กว้าง ไม่มีใครเป็นห่วงเขาได้มากเท่าพี่ชายของเขาอีกแล้วจริงๆ.......

            ธานมองน้องชายนิดๆก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแรงอย่างคนคิดไม่ตก ถึงแม้บอร์ดี้การ์ดของเจ้าตัวจะมากันครบองค์ก็เถอะแต่ก็ไม่มีใครรับประกันนิว่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่มันเกินเลยเกิดขึ้น

            บรรยากาศทั้งรถตกมาอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อธานเริ่มที่จะจมอยู่กับความคิดต่างๆในหัวทั้งที่ใครต่อใครก็มักจะบอกว่าเขาคืออัจฉริยะสามารถแก้ไขเกมทางธุรกิจได้อย่างเฉียบขาดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยแก้ไขปัญหาของตัวเขาเองได้เลยสักครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของเกล เขาไม่เข้าใจว่าทำไม ทั้งๆที่กลัวขนาดนั้นแต่ยังดึงดันที่จะมาให้ได้หรือจะเป็นเพราะสมุดบันทึกของหลานชายคนเดียวที่เกลเอามามอบให้เขาวันนั้น ทั้งที่เขาคิดว่ามันจะเป็นแค่ไดอารี่ธรรมดาของเด็กวัยห้าขวบที่ชีวิตควรจะมีแต่ความสุขสนุกสนานไปตามช่วงวัย แต่ทำไมบางหน้ากระดาษของสมุดที่เขาเปิดอ่านมันถึงได้มีรอยคาบน้ำตาหยดและเนื้อความที่ดูเศร้าแบบนั้น

           ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดพอเครียดก็พาลให้คิดอะไรไม่ออก แต่กว่าจะทำสมองให้ว่างเพื่อที่จะได้หาทางรับมือกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้นั้นเขาก็พบว่าตอนนี้ล้อรถที่เขากำลังนั่งอยู่นั้นได้หยุดสนิทอยู่ตรงทางเข้าบ้านของเจ้าภาพมื้ออาหารคืนนี้เสียแล้ว

           “สวัสดีครับคุณธาน”

              ชิตรัตน์เอ่ยทักทายแขกทันทีที่ระบบประตูอัตโนมัติของรถคันใหญ่เปิดออกจนสุด ธานมองหน้าของชิตรัตน์อย่างพิจารณาใช่ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะ ขานรับในลำคอแล้วก้าวออกจากรถมายืนอยู่ด้านข้าง เช่นเดียวกับเกลที่ได้ปีแอร์ค่อยช่วยพยุงลงจากรถมานั่งยังวีลแชร์ของตนที่ถูกยกลงมารออยู่ก่อนแล้ว    โดยชิตรัตน์อาสารับหน้าที่ดูแลเกลพร้อมพาทุกคนไปยังห้องรับแขกด้านในบ้านก่อนเพื่อดื่มน้ำดื่มท่าและพูดคุยกัน

           “คุณแม่!!!”

           เสียงแจ้วอย่างตื่นเต้นดีใจของเกรทที่กำลังเดินลงบันไดมาพร้อมกับชาติดังลั่นขึ้นมาเรียกความสนใจของกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างให้หันขึ้นไปมองคุณหนูตัวเล็กของบ้านที่พยายามจะวิ่งลงบันไดมาให้ได้จนพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นอย่างชาติจ้องรีบจับเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ล้มกลิ้งไปก่อนจะถึงพื้น

           “เกรทคิดถึงคุณแม่ที่สุดเลย”

           พอลงมาได้เกรทก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนตักของแม่แล้วกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย สร้างความสนใจให้เหล่าคนรับใช้ในบริเวณให้หันมามองอย่างอยากรู้อยากเห็น ว่าแขกที่มานั้นเป็นใครมาจากไหนกันแน่

           “เพิ่งเจอกันไปเมื่อวานเองนะครับ”

           “เมื่อวานกับวันนี้มันไม่เหมือนกันไงครับ”  เกลอมยิ้มพร้อมลูบหัวลูกชายเบาๆ     

           ชิตรัตน์พาทุกคนมายังสวนหย่อมขนาดเล็กที่ถูกทำขึ้นภายในตัวบ้านตามคำเรียกร้องของเกลที่บังเอิญไปเจอเข้าแล้วรบเร้าให้เขาพามาที่ตรงนี้  เกลชอบพวกต้นไม้ธรรมชาติมันจริงไม่แปลกอะไรถ้าอยู่ๆอีกคนจะร้องขอให้เขาเปลี่ยนที่คุยจากห้องรับแขกมาเป็นสวนหย่อมกลางบ้านอย่างนี้แทน

           “สวนที่นี้สวยดีนะ”

           ธานอดที่จะเอ่ยชมไม่ได้เมื่อเข้ามาในห้องสวนแห่งนี้   แล้วเลือกที่จะนั่งเล่นบนเบาะสีเขียวอ่อนที่วางอยู่บนตัวของเก้าอี้หวายยาวที่กลางสวน พร้อมกับมองไปรอบๆห้องอย่างชอบใจ

           “เป็นความคิดของคุณพ่อผมน่ะครับ ท่านอยากให้บ้านมีพื้นที่สีเขียวบางจะได้ไม่เครียด”  ชิตรัตน์อธิบาย

            “อย่างนั้นหรอ ว่าแต่แม่นายไปไหนสะล่ะ นัดพวกฉันมาแต่ไม่ออกมาให้เห็นแบบนี้มันดูเสียมารยาทนะ”  ธานถามหยั่งเชิงดู

           “แม่มีประชุมด่วนของทางสมาคมอะไรสักอย่างนี้แหละครับ เห็นว่ากำลังจะกลับแล้ว”

           ชิตรัตน์ตอบ พร้อมบีบมือของคนรักแน่นเพื่อให้เกลคลายกังวลลงบ้าง เพราะตอนนี้ถึงใบหน้าของเกลจะยิ้มแย้มแต่มือที่เขาจับอยู่นั้นมันสั่นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้

           “จริงสิ   นายมีเรื่องจะคุยเรื่องรีสอร์ตกับคุณชินไม่ใช่หรือครับ”

           แต่ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ชายที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าก็พูดขึ้นมาเรียกความฉงนสงสัยให้ตัวเขาต้องหันกลับมามองคนสนิทของน้องชายพร้อมชี้มือมาทางตัวเอง

           “ฉัน...?”

           “ครับ  คุณไรอันสั่งเอาไว้ว่าให้นายมาคุยเรื่องรีสอร์ตต่อน่ะครับแล้วก็เพื่อกันไม่ให้นายชิ่ง คุณไรอันยังบอกอีกว่าให้นายกลับไปพูดให้เขาฟังด้วย”

            ชายถ่ายทอดคำสั่งของคนที่เขาเจอเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านมาให้คนเป็นนายฟังอย่างไม่มีขาดตกสั่งคำพูดเดียว  ธานพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ  ไม่วายนึกบ่นในใจกับความเจ้ากี้เจ้าการของคนมีความรับผิดชอบสูงอย่างไรอันที่แม้ตัวไม่มาด้วยแต่กลับส่งสารผ่านตัวแทนมาให้เข้าแบบนี้

           “ถ้าอย่างงั้นเราไปคุยงานกันก่อนดีไหมครับ เมื่อคืนทางฝ่ายสถานทีส่งเรื่องงบประมาณกับแบบร่างที่ทางสถาปนิกแก้ไขมาให้พอดี”

           “อือ ก็ดีเหมือนกัน” ธานเห็นด้วย ไหนๆก็มาแล้วคุยให้เสร็จไปเลยแล้วกัน

           “งั้นเดี๋ยวผมเดินไปเอาเอกสารมาให้ดูแล้วกันนะครับ” ชิตรัตน์ว่าพร้อมลุกขึ้นเพื่อไปนำเอาเอกสารต่างและโน้ตบุ๊กที่อยู่ในห้องทำงานของตนมายังห้องสวนแห่งนี้เพื่อจะได้คุยงานกับธานให้เรียบร้อย แต่พอเขาทำท่าว่าจะเดินออกไปเสียงเกลขัดเขาเอาไว้เสียก่อน
 
           “เดี๋ยวครับพี่ชิน” ชิตรัตน์หันมามองคนรักเชิงถาม

           “ทำไมไม่ให้พี่ธานไปคุยที่ห้องทำงานพี่ชินเองเลยล่ะครับจะได้ไม่ต้องหอบงานไปมา”  เกลเสนอความคิด เมื่อลองคิดดูแล้วทุกครั้งที่ชิตรัตน์ไปบ้านเขาเพื่อคุยเรื่องงานเอกสารประกอบต่างๆมากมายไปหมดไหนจะต้องเปิดจาโน้ตบุ๊กอีก จะให้หอบไปหอบมาแบบนี้ถ้าเกิดมีอะไรหลนหายขึ้นมาคงจะไม่ดีแน่

           “แต่ถ้าพี่ไปแล้วน้องจะอยู่กับใคร”  ธานค้านขึ้นมา เขาไม่ยอมปล่อยน้องเอาไว้คนเดียวในถ้ำของศัตรูแบบนี้แน่

           “เกลก็อยู่กับลูกไง  อีกอย่างพี่พลกับปีแอร์ก็อยู่ด้วยดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอครับ”

           เกลตอบก่อนไปหันไปด้านหลังเพื่อบอกว่าเขาอยู่ได้ไม่ต้องเป็นห่วง  ธานมีท่าทีลังเลใจอยู่ไม่น้อยที่จะต้องทิ้งเกลเอาไว้แบบนี้คนเดียว แต่สุดท้ายเขาต้องยอมที่จะเดินตามชิตรัตน์และชาติไปยังห้องทำงานของอีกคนแต่โดยดีแม้จะจำใจกันเหตุผลที่เกลตอบกลับว่าไม่เป็นไร เพราะตอนนี้คุณหญิงก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างจำใจ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงแค่สองแม่ลูก พลและก็ปีแอร์เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องนี้

            “ตอนนี้ก็เหลือแค่เราแล้ว จะทำอะไรกันดีเอ่ย”

           เกลก้มลงถามลูกชายตัวน้องที่นั่งอยู่บนตักของเขา ให้นั่งรอเฉยๆคงน่าเบื่อยิ่งมาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยแล้วถ้าไม่หาอะไรทำเขาคงต้องเป็นบ้าแน่ๆ

           “นั้นนะสิครับ”  เกรททำปากยู่เมื่อพยายามคิดหาอะไรมาเล่นกับแม่ของเขา ทั้งๆที่ก่อนจะได้เจอกันเขานะชอบพูดให้คุณพ่ออาแก้ว อาชาติฟังอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ถ้าได้เจอกับคุณแม่ แต่ทำไมตอนนี้เขากลับคิดอะไรไม่ออกเลย

           “อ๋อ......เกรทจำได้ว่ามีจิ๊กซอว์ที่ยังไม่ได้ต่ออยู่บนห้อง เราเอามาต่อกันดีไหมครับคุณแม่”   

           เกรทเสนอตาวาวเมื่อนึกได้ว่าเขาเคยได้จิ๊กซอว์มาแต่ยังไม่เคยต่ออยู่ที่ส่วนไดส่วนหนึ่งของห้อง   ซึ่งเกลเองก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยดีเหมือนกันเล่นอะไรที่ต้องใช้สมาธิแบบนี้เขาจะไม่ต้องฟุ้งซ่าน

           “ดีเลย พี่ปีแอร์ขึ้นไปหาเป็นเพื่อนเกรทหน่อยสิครับ” เจ้าตัวน้อยรีบโดดลงจากตักของมารดาแล้วไปเกาะที่ชาของพี่ชายคนสนิทแทน ก่อนจะพากันเดินขึ้นไปยังห้องนอนของเกรทที่อยู่บนชั้นสองของบ้าน

           เกลมองตามหลังของลูกชายไปก่อนจะกลับมามองการตกแต่งของสวนขนาดเล็กนี้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้มองสำรวจอะไรให้ถี่ถ้วนดีเสียงเครื่องยนต์ของรถBMWสีขาวรุ่นใหม่ที่เพิ่งขับเข้ามาในอาณาเขตบ้านส่งเสียงให้เขากับพลต้องหันไปมองดูผู้มาใหม่ว่าเป็นใคร และด้วยความที่ถ้าหากมองจากตรงที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้ก็นะสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าใครเป็นคนที่กำลังก้าวลงมาจากรถยนต์คันงาน มุมปากของเขายกขึ้นเมื่อเห็นแม่งานในครั้งนี้กำลังเดินตรงเขามาในตัวบ้าน

           “พี่พลครับ”

           “ครับ”

           “ก้มหน้าลงมานี้หน่อยสิครับ”

           พลหรี่ตามองเจ้านายก่อนจะยอมก้มหน้าลงไปให้อยู่ในระดันเดียวกับคนที่นั่งอยู่  เกลกระซิบบ้างอย่างที่ข้างหูของพลที่แสดงสีหน้าปั้นยากยามที่ต้องฟังคำพูดนั้นจากริมฝีปากบาง

           “ได้ครับ”

           แม้จะไม่อยากทำแต่เมื่อมันเป็นคำสั่งผู้น้อยอย่างเขามีหรือที่จะขัดอะไรคนเป็นนายได้    พลเลือกที่จะน้อมรับคำสั่งนั้นแล้วออกไปยืนที่หาทางเข้าของห้องสวนนี้แทน เพราะถ้าหากมองมาจากทางประตูทางเข้าบ้านแล้วละก็จะสามารถมองเห็นทางเข้าที่พลยืนอยู่ได้อย่างชัดเจน

           ทางด้านคนที่เพิ่งกลับเข้ามาจากนอกบ้านนั้นก็ดูท่าจะมีเรื่องที่ไม่หาพึงพอใจเสียเท่าไรถึงได้ทำหน้าไม่รับแขกเช่นนี้  เมื่อธุรกิจบางอย่างที่หล่อนกำลังทำอยู่นั้นดูเหมือนจะเริ่มสั่นคลอนและไม่เป็นไปตามที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก ไหนจะเรื่องหุ้นที่เริ่มตกลงนั้นอีก เลยทำให้ตอนนี้หล่อนต้องกลับมาทำใจให้เย็นเพื่อรอรับแขกของลูกชายที่ตนเอ่ยปากชวนเอาไว้เมื่อวันก่อนแทนหล่อนไม่อยากให้เสียเรื่องเพราะงั้นขอไปดับอารมณ์ร้อนนั้นก่อนแล้วกัน    แต่ยังไม่ทันที่สองเท้าของคุณหญิงจะก้าวไม่ไกลสายตาของหล่อนก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงสมส่วนของผู้ชายแปลกหน้าผิวสีที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องสวน  จึงหันไปกวักมือเรียกสาวใช้ที่เดินเข้ามารับสัมภาระของหล่อนให้รีบเดินเข้ามาหา

           “นั้นใคร ทำไมฉันไม่คุ้นหน้า” หล่อนถาม

           “อ้อ คนติดตามของแขกที่คุณชินเชิญมาวันนี้นะคะ” หล่อนพยักหน้าก่อนจะไล่ให้เด็กสาวกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ

           คุณหญิงเปลี่ยนจุดหมายจากห้องน้ำส่วนตัวในห้องนอนมาเป็นห้องสวนทันที ในเมื่อแขกมาแล้วจะไม่เข้าไปทักเลยก็ดูจะไร้มารยาทเกินไป.........

           สองเท้าของคุณหญิงก้าวตรงไปที่ห้องสวนเรื่อยๆพร้อมกับความรู้สึกตงิดใจบางอย่างเมื่อมองใบหน้าของบอร์ดี้การ์ดผิวสีที่ยืนอยู่ตรงนั้น คุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหน... แต่เมื่อนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกหล่อนถึงละความสนใจแล้วเดินเข้าไปด้านในเพื่อทักทายแขกหนึ่งเดียวในห้องสวนนี้แทน

           “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าใช่น้องชายของคุณโจนาธานหรือเปล่าคะ”

            น้ำเสียงนิ่มนวลผิดจากทุกครั้งที่ได้ยินมัน ทำให้เกลที่นั่งเกร็งอยู่รู้สึกคลายกังวลลงเล็กน้อยแค่เล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเขาตะหนักได้ว่าคนที่พูดมันออกมาคือใคร    เกลตัดสินใจรวบร่วมแรงใจที่มีอยู่ไม่มากของตนเข้ามาในปอดและพยายามบังคับน้ำเสียงและร่างกายไม่ให้สั่นก่อนจะหันกลับไปยิ้มทักทายเจ้าของบ้านที่อุตส่าห์เดินมาหาเขาถึงที่

           “สวัสดีครับคุณหญิง”

           !!!

           ดวงตาเรียวเชิดถึงกลับต้องเบิกออกกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนวิลแชร์นั้นเป็นใคร

           ทำไมมันมาอยู่ที่นี้..

           คุณหญิงถึงกับปากสั่นทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นคนที่เกลียดแสนเกลียดนั้นมานั่งอยู่ในบ้านของเขาแบบนี้ หล่อนพยายามยกมือขึ้นชี้หน้าอีกคนแต่เพราะความโกรธที่มีมากทำให้มันสั่นจนยกขึ้นได้ช้าว่าปกติ

           “นี้แก....”

           “...”

           “แก แกกล้าดียังไงมาเหยียบบ้านของฉัน!” 

           คุณหญิงตวาดเสียงดังลั่นพลางจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา  ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี้...มันมาได้ยังไง...  เกิดเป็นคำถามล้านแปดเข้ามาในหัวของหล่อนเต็มไปหมดกับการที่ต้องมาเห็นเกลอยู่ที่นี้   ไม่ได้ หล่อนจะให้ชิตรัตน์เจอกับเด็กนี้ไม่ได้หล่อนไม่ยอม..

           “ฉันถามแกไม่ได้ยินหรือไง เข้ามาในนี้ได้ไง”  หล่อนถามย้ำ

           “...”

           “ตอบมา!!” คุณหญิงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น ทำเอาเกลเองถึงกับผงะไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

           “อะไรกันครับ ก็คุณหญิงเองไม่ใช่หรือไงที่เอ่ยชวนให้ผมกับพี่ชายมาที่นี้”  เกลยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเมื่อเห็นว่าพลตั้งท่าจะเข้ามาในห้อง

           เกลเอยน้ำเสียงยียวนด้วยใบหน้าที่แสร้งทำให้ใสซื่อที่สุดเพราะถ้าเดาไม่ผิดพวกคนใช้คงอยู่ไมไกลจากที่ตรงนี้เสียเท่าไรแม้เสียงเขาจะไม่ดังเท่าคุณหญิงแต่ก็คงมีคนหูดีได้ยินอยู่บ้าง

           “ฉันไม่เคยอนุญาตให้แกเข้ามาในบ้านของฉัน ออกไปเดี๋ยวนี้!!”

            คุณหญิงว่าพร้อมปรี่เข้าไปกระชากข้อแขนเล็กของคนที่นั่งอยู่ขึ้นมา ส่งผลให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างไม่ทันระวังถูกคนตรงหน้าเหวี่ยงลงไปนั่งกับพื้นอย่างแรง โดยที่พลเองก็เข้ามารับไว้ไม่ทัน

           “โอ๊ย!”

           ความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นมาจากฝ่ามือบางทั้งสองข้างทำให้เกลถึงกับต้องร้องออกมา แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวบางก็ยังพยายามเอาฝ่ามือคู่นี้ยันลงกับพื้นเพื่อพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาแต่ก็ต้องหลุดเสียงร้องออกมาอีกครั้ง   จนพลที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามายุ่งถึงกับทนไม่ไหวต้องวิ่งเข้ามาประคองร่างโปร่งบางนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะพบว่าว่าฝ่ามือบางทั้งสองข้างมีรอบถลอกและเลือดซึมออกมาจากรอยถลอกเป็นบางจุดด้วยเพราะขูดไปตามทางกับแผ่นหินที่ปูไว้เดินความหยามของมันจึงบาดเข้ากับผิวหนังบอบบางอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ส่วนท่อนแขนขาวอีกข้างก็มีรอยขูดถลอกเป็นทางยาวจนถึงข้อศอกปะปนอยู่กับฝุ่นดินที่เปาะอยู่เต็มสองข้างแขนเล็ก

            ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตกใจก่อนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างโกรธเคืองตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเกลียดมากที่สุดคือการมีแผลไม่ว่าจะส่วนใดของร่างการก็ตาม  เกลมองมือและแขนสองข้างตองตัวเองที่เริ่มสั่นด้วยความโกรธผิดกับตอนแรกที่เขานั้นสั่นไปด้วยความกลัวที่มันยังฝั่งอยู่ในใจ  ดวงตาสวยตะหวัดไปมองคนจนอยากหันกลับไป  แต่ก่อนที่เขาจะได้ตวาดอีกคนดังที่ใจหมายเสียงของลูกชายอันเป็นที่รักก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง

           “คุณแม่/เกลลี่”

           ปีแอร์ที่ขึ้นมาช่วยเกรทหาของบนห้องนั้นเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงเอะอะบางอย่างมาจากข้างล่างจนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงรีบทิ้งทุกสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อจะรีบออกมาดูโดยให้เกรทรออยู่บนห้องแต่เด็กชายไม่ยอม หมอหนุ่มจึงจำต้องอุ้มเด็กชายขึ้นแล้วรีบวิ่งลงมา ก่อนะจะพบว่าลางสังหรณ์ของเขานั้นเม่นยำขนาดไหน เขาไม่รอช้ารีบวางเกรทลงกับพื้นแล้ววิ่งเข้าไปช่วยดูแผลของผู้ป่วยของตนอย่างเป็นห่วง

           “คุณแม่เจ็บ คุณแม่มีแผล” เกรทที่วิ่งตามหลังปีแอร์เข้ามาพูดเสียงล้นเมื่อมองฝ่ามือนิ่มของคนเป็นแม่ที่มันลูบหัวให้เขาปล่อยๆ เต็มไปด้วยทั้งเศษดินและรอยเลือด จนน้ำตาเริ่มหน่วงคลอเต็มเบ้าตาของเด็กชาย

           “ตาเกรทออกมาอย่าไปยุ่งกับมัน”

           คุณหญิงตรงเข้ามากระชากหัวไหล่เล็กของหลานชายออกมาจากผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้านั้นที แต่เกรทกลับบิดตัวไม่ยอมทำตามอีกทั้งยังคว้าแขนของเกลเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

           “ไม่เอาเกรทจะอยู่กับคุณแม่”  น้ำตาที่หน่วงอยู่ที่ของตาไหลอาบแก้มป้องของเด็กวัยห้าปี ที่ถึงแม้ว่าแขนข้างหนึ่งจะถูกดึงรั้งจากคนเป็นย่าแต่อีกข้างก็ยังคงจับเข้ากับแขนของคนเป็นแม่ไม่ยอมปล่อยเช่นเดียวกับเกลที่คราวนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากลูกชายอีก

           “มันไม่ใช่แม่แก นังเพศยานั้นไม่ใช่แม่ของแกปล่อยมือจากแขนสกปรกของมันเดี๋ยวนี้”

           คุณหญิงย้ำและพยายามยางยิ่งที่จะดึงหลานชายออกมาโดยไม่ได้สนใจเลยว่าแขนของเกรทจะขึ้นเป็นรอยมือของตนหรือไม่  ส่วนเกลเองที่ถึงแม้จะเจ็บที่มือมากแค่ไหนแต่ก็ยังพยายามที่จะจับมือของลูกชายเอาไว้ไม่ปล่อย แต่มีหรือคนอย่างคุณหญิงจะยอม ถึงแม้จะอายุของหล่อนจะมากหากแต่ก็สายตาไวพอที่จะเห็นบาดแผลนั้นจึงพาดฝ่ามืออีกข้างใส่มือที่เป็นแผลของเกลอย่างแรงจนต้องรีบตั้งชักมือหนีจากลูกชายด้วยความเจ็บปวด ทำให้คุณหญิงคว้าตัวหลานชายเอามาไว้ได้ตามต้องการ

           “โอ๊ย!!”

           “คุณแม่/เกลลี่”

           “นี้คุณแบบนี้มันไม่มากไปหน่อยหรือไง” ปีแอร์ที่มองดูเหตุการณ์อยู่รู้สึกรับไม่ได้กับการกระทำของคุณหญิงที่ดูเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุมาก ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างเหลืออดและพร้อมที่จะมีเรื่องได้ทุกนาที

               “ก็ฉันเคยบอกแล้วว่าอยากเขามาวุ่นวายกับลูกแล้วก็หลานของฉันอีก แต่มันไม่จำ เหอะ แค่นี้น่ะมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” หล่อนเชิดหน้าขึ้นตอบอย่างไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปก่อนจะออกแรงดึงร่างของหลานชายออกมาไปทางประตู

            เกลเบิกตาค้างกับภาพตรงหน้าลูกชายที่ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มพยายามเอี้อมมือมาหาเขากับคุณหญิงที่พยายามลากลูกของเขาออกไป อยู่ๆเสียงรอบตัวของเขาก็เงียบดับลงไปภาพตรงหน้าถูกซ้อนทับด้วยภาพเหตุการณ์เมื่อห้าปีก่อน ภาพลูกชายวัยหนึ่งเดือนที่ร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในห่อผ้าที่ผู้หญิงใจร้ายคนนี้อุ้มเดินจากไป  ใบหน้าเล็กส่ายไปมารับไม่ได้ก่อนจะกรี๊ดร้องออกมาและทรุดลงกับพื้น

           “อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

           “เกลลี่/คุณเกล” ปีแอร์รีบทรุดตัวตามลงเพื่อมองคนที่กรีดร้องอยู่ในแขนของพลอย่างตกใจ ไม่นะ...........

           “ไม่นะ คุณหญิงอย่างเอา ตาหนู ไป”  ภาพเมื่อวันวานซ้อนทับกับภาพในความเป็นจริงจนเขาแยกไม่ออกว่าอันไหนแน่ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ไม่อย่าเอาลูกเขาไป ....  สองแขนยกขึ้นเพื่อหมายคว้ามือคู่น้อยนั้นกลับมาแต่มันไกล ไกลออกไป อีกแล้ว........

           “ได้โปรอย่าเอาเขาไป คืนตาหนู เอาลูกผมมานะ!!”

            เกลที่เริ่มจะประคองสติสติสัมปชัญญะของตนเอาไว้ไม่อยู่พยายามทั้งดิ้นทั้งสะบัดตัวเพื่อให้หลุดพ้นจากแรงรั้งของคนสนิมทั้งสองอย่างแรง และพยายามที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อจะไล่ตามไปแต่เพราะความอ่อนแรงของช่วงขาบวกกับความเจ็บจากตอนที่ล้มในคาแรกทำให้ล้มลงไปกับพ้นอีกครั้ง ในเมื่อเดินไม่ได้เกลจึงตัดสินใจใช้ศอกยันกับพื้นเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแทนแม้ปีแอร์กับพลจะพยายามเข้ามารั้งตัวไว้แค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไรเพราะเจ้าตัวคอยที่จะสะบัดออกและร้องโวยวายเหมือนคนเสียสติ

           คุณหญิงโฉมฉวีมองภาพตรงหน้าอย่างนึกสมเพชนอกจากสติจะฟั่นเฟือนยังพิกลพิการหล่อนที่เอามือปิดตาหลานชายไม่ให้มองภาพน่าสมเพชตรงหน้าโดยไม่สนใจเลยว่าภายใต้ฝ่ามือนั้นนะเปียกไปด้วยหยดน้ำตาของคนเป็นหลานมากเพียงใด หล่อนรู้แต่เพียงว่าตอนนี้หล่อนสะใจ ยิ่งเห็นมันทุรนทุรายจะเป็นจะตายแบบนี้หล่อนยิ่งชอบใจ ตายๆไปสะให้สิ้นเรื่อง....

           “เกล !!”

           ชิตรัตน์และธานผสานเสียงกันเรียกคนที่ร้องไห้แทบขาดใจอยู่บนพื้นอย่างตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ตอนแรกพวกเขาคุยงานกันอยู่ในห้องทำงานของชิตรัตน์และด้วยความที่เป็นห้องที่กันเสียงรบกวนเข้ามาทำให้คนที่อยู่ข้างในไม่สามารถรับรู้ได้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นจนสาวใช้วิ่งหน้าตื่นขึ้นมาเคาะประตูนั้นแหละพวกเขาถึงได้รู้ว่าข้างล่างเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น

           ชิตรัตน์ตรงปรี่เข้าไปประคองกอดคนรักที่ตัวสั่นเทาดวงตาเบิกกว้างอย่างคนที่ตื่นตะหนกอย่างขีดสุด ตอนออกมาจากห้องเขาได้ยินเสียงกรี๊ดร้องของอีกคนชัดเจนมันเหมือนมีมีดที่คมแหลมกรีดลึกเข้าไปที่กลางใจเขาเจ็บมากจนแทบจะยืนไม่อยู่ แต่มันไม่เท่ากันสิ่งที่เข้ากำลังเห็นและได้ยินตอนนี้เพราะมันทำให้เขาแทบไม่มีแรงที่จะทำอะไรต่อจากนี้

           “พี่ชิน...เอา...ลูก...มาให้เกล”  เสียงพูดติดขัดเหมือนคนที่หายใจไม่ทันทำให้เขายิ่งพูดอะไรไม่ออก

           “..”

           “เอาลูกคืนมา เอาเขาคืนมา”  ฝ่ามืออุ่นที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายจับเข้าที่ท่อนแขนของชิตรัตน์พร้อมพยายามบีบและเขย่าไปมาอย่างไม่รู้สึกเจ็บ ก่อนจะกันไปหาพี่ชายที่อยู่อีกข้าง

           “พี่ธานเอาลูกเกลมา เอาลูกคืนมาให้น้อง”

           งานนี้ไม่ใช่แค่ชิตรัตน์ที่ทำอะไรไม่ถูกธานเองก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองดูน้องอย่างเจ็บปวด มันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อน้องชายแต่เพราะมันทำอะไรไม่ถูกมากกว่า

           “เอาตาหนูคืนมาก คืนเขามา อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อึก”  เกลกรีดร้องออกมาก่อนที่ร่างกายเขานั้นจะกระตุกเกร็งอย่างแรงก่อนจะสลบไปจากการช็อกอย่างรุนแรง  สร้างความแตกตื่นให้คนที่อยู่โดยรอบโดยเฉพาะชิตรัตน์ที่เป็นคนสุดท้ายที่ดวงตาสีสวยนั้นมองสบก่อนเบิกนิ่งแล้วหลับไป

           “เกล!!!”

           เกรทที่ถูกปิดตาเอาไว้ตามตลอดได้แต่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูกจน ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นอีกครั้งจึงรีบสะบัดตัวออกจากย่าที่ไม่ได้สนใจเขา แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาคนที่ไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนคนเป็นพ่ออย่างขวัญเสีย  ธานรีบอุ้มหลานตัวน้อยที่ดูจะเสียขวัญไปไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขึ้นมาปลอบ

           ชิตรัตน์เองก็ไม่มัวเสียเวลารีบช้อนตัวคนรักขึ้นมาแนบอกทันที่แล้วเดินผ่านหน้าคุณหญิงที่ยังยืนนิ่งมองมาทางเขาตาเขม็งอย่างไม่สนใจ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือคนในอ้อมแขน........  พร้อมสั่งให้ชาติไปหายาหอมแล้วนำมันมาให้ที่ห้องของเขาอย่างเร่งด่วน

_______________________________________________

อุ๊ย!!
คุณหญิงกับเกลเจอกันแล้ววววว เอาไงต่อดีเนี้ย
อย่าลืมเอาใจช่วยเกลด้วยนะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 17- 6-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-02-2017 08:17:01
เกลหนูจะไหวมั้ยลูก ถึงไม่ไหวก็ต้องไหวนะคะ อย่าไปยอมนังคุณหญิงนั้น ต้องสู้เพื่อครอบครัวที่พร้อมหน้าต้องสู้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 18- 8-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-02-2017 21:08:12
ฝนหยดที่ 18

เพี๊ยะ!!

           เสียงฝ่ามือหนักที่ตบเข้าไปยังใบหน้าของคนติดตามทั้งสองที่เขาสั่งให้ดูแลน้องชายอย่างอย่างแรงจนหน้าหันด้วยแรงโทสะที่มีมากจนทั้งสองคนนั้นได้แต่ก้มหน้านิ่งยอมจำนนต่อแววตาตำหนิและกล่าวโทษอย่างยอมรับผิด   ความจริงธารอยากจะทำมันให้มากกว่านี้แต่ติดว่าที่นี้ไม่ใช่ที่ของเขาการที่จะแสดงออกมามากไปคงไม่งาม ธานลูบหน้าตัวเองแรงๆหลายครั้งอย่างข่มอารมณ์เพราะไม่อยากทำร้ายร่างกายลูกน้องของตนไปมากกว่านี้

           “ฉันเคยสั่งว่าอย่างไร” ธารถามเสียงสั่นอย่างพยายามสงบอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดของตน

           “ดูแลคุณเกลอย่างให้คาดสายตา” พลกับปีแอร์ตอบพร้อมกัน  มันก็รู้แล้วทำไม!!!

           “ก็รู้กันดีนิ แล้วทำไมยังปล่อยให้น้องฉันเป็นแบบนี้อีก ฮะ!!”  ธารตวาดเสียงก้อง ทำเอาสาวใช้ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนของชิตรัตน์ถึงกับตกใจจนเกือบทำกะละมังใส่น้ำตก

           “ผมขอโทษครับ”

           พลตอบ มันเป็นความผิดขอเขาเองแหละทั้งที่อยู่ใกล้ที่สุดกลับไม่ยอมเข้าไปช่วยจะอ้าวว่าเป็นเพราะ คำสั่ง ที่เขาได้รับก่อนหน้าคงใช่เรื่อง  ในเมื่อเขาผิดเขาก็ไม่คิดโยนเรื่องนี้ให้เจ้านายต้องมาแก้ต่างให้ เช่นเดียวกับปีแอร์ที่สะเพร่าคิดว่าแค่มีพลอยู่ทุกอย่างคงไม่เป็นอะไรจนลืมไปว่านอกจากเป็นหมอแล้วตนยังเป็นบอร์ดี้การ์ดของเกลด้วยอีกคน..........
...............................................................................
 
           ช่วงอกบางขยับขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอตามจังหวะการหายใจของเจ้าของร่างที่นอนหลับอย่างสงบนิ่งหลังจากได้รับยาคลายกล้ามเนื้อจากการฉีดยาเข้ากระแสเลือดไปตั้งแต่ตอยนที่ถูกนำตัวเข้ามาในห้อง ชิตรัตน์นั่งมองดูใบหน้าซีดเซียวที่เริ่มจะดูดีขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นอย่างเป็นกังวล  อาการของเกลหนักขนาดนี้เลยงั้นเหรอ.........

           ผ้าพันแพ้สีขาวที่พับยาวตั้งแต่ฝ่ามือยาวจนเกือบถึงข้อศอกกับอีกข้างที่ยาวถึงข้อมือเล็ก ยิ่งได้มองมันชั่งเจ็บปวดต่อหัวใจของเขายิ่งนักโดยฉะเพราะเสียงร้องอย่างน่าเวทนานั้น มันเป็นเพราะเขาเองทั้งหมดถ้ามันนั้นเขาเลือกเกลในวันนี้ทุกอย่างในวันนี้มันอาจดีกว่าที่เป็นอยู่  อย่างน้อยถึงเกลก็จะไม่ต้องร้องไห้แบบนี้ เขาผิดเองเขาพลาดเองที่เลือกผู้มีพระคุณมากกว่า

           “ฮึก...ฮึก”

           เสียงสะอื้นของเกรทที่ถึงจะร้องไห้จนหลับคาไหล่ของชาติไปแล้วแต่ก็ยังคงละเม่อสะอื้นออกมาให้ได้ยินอยู่เป็นพักๆ    ชิตรัตน์เดินเข้าไปอุ้มลูกชายมาจากชาติก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายออกไปรอข้างนอกก่อน

           “ไม่ร้องแล้วครับคุณแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขาเอ่ยปลอบขวัญลูกชาย พร้อมกับว่างตัวของเกรทลงข้างๆกับเกล ถ้าตื่นมาแล้วเกลคงอยากจะเห็นหน้าลูกเป็นอย่างแรก..............
 

           ชิตรัตน์นั่งมองคนที่นอนหลับอยู่อย่างนั้นจนธารเปิดประตูเดินกลับเข้ามา พวกเขามองหน้ากันอยู่สักพักแล้วหันหนีจากกัน ธารเลือกที่นั่งตรงอีกฝั่งของเตียงแล้วนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโยไมพูดจากัน  ครั้งนี้เขาจะไม่โทษว่าเป็นเพราะชิตรัตน์เหมือนครั้งก่อนเพราะครั้งนี้เขาเองที่ใจอ่อนไม่รู้เวลาทั้งที่เขาควรอยู่ใกล้ๆน้อง  ตอนนี้ทั้งชิตรัตน์และธารต่างกล่าวโทษตัวเองในใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่างเป็นเพราะตนที่ไม่เป็นสาเหตุทำให้บรรยากาศในห้องอึมครึมและกดดันเป็นอย่างมาก จนกระทั้งแรงขยับจากร่างที่ยังนอนไร้สติอยู่บนเตียงพลิกกายไปมาอย่างกระสับกระส่ายเรียงความสนใจจากทั้งสองคนที่อยู่ภายใต้ความเงียบของห้องให้ลุกจากที่นั่งเข้ามาใกล้

           “เกล เกลได้ยินพี่ไหม”

           “น้องเกลตื่น ลืมตามองพี่”

           ชิตรัตน์รีบขึ้นไปนั่งที่ข้างเตียงตรงหัวนอนพยายามกุมมือเย็นและร้องเรียกชื่อคนที่นอนหน้านิ่วคิ้วขมวดนั้น  ในขณะที่ธานเองก็พยายามตบลงที่ใบหน้าเรียวที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของน้องชายเบาๆเพื่อเรียกสติ ส่งผลให้เด็กชายที่นอนอยู่ข้างเคียงสะดุ้งตื่นขึ้นมามองพ่อกับลุงแล้วหันไปกอดร่างของแม่เอาไว้แน่นก่อนจะเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

            ร่างโปร่งของเกลนั้นพลิกหน้าพลิกตัวไปมาอย่างแรงอยู่หลายครั้งท่ามกลางเสียงเรียกของบุคคลทั้งสองและเสียงสะอื้นเบาของเด็กชาย  เกลได้ยินเสียงเรียกนั้นของทุกคนแต่ว่ามันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างว่ากำลังฉุดรั้งเขาเอาไว้ไม่ให้ตื่น เขาพยายามสะบัดมันออกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล  เขาพยายามอยู่หลายครั้งก่อนเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่จะลืมโผล่ออกอย่างรวดเร็วเหมือนคนที่สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายพร้อมเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงนุ่มอย่างแรง พร้อมเสียงหอมหายใจอย่างหนักขอบตาปรือไปด้วยม่านน้ำตาเมื่อมองตรงไปพบแต่เพียงความว่างเปล่าของสถานที่ใหม่ ก่อนครางชื่อเรียกที่อยู่ในใจออกมาเบาๆจนแทบไม่ได้ยินเสียง

           “ตาหนู”
 
           “คุณแม่!”

           เสียงเรียกพร้อมกับแรงกอดจากวงแขนเล็กเรียกสติของเขาให้หันไปสนใจแรงกอดจากแขนเล็กของเด็กชายที่กอดเขาไว้แน่น  เกรท....   มือที่ถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลยกขึ้นอย่างเกร็งๆขึ้นลูบหัวทุยของลูกชายช้าๆ ก่อนจะหันมองไปรอบๆห้องแห่งนี้อีกครั้ง ก่อนจะมองลงไปที่มืออีกข้างที่วางอยู่ มันมีความอุ่นจากฝ่ามือของใครอีกคนที่ส่งผ่านมาให้เขาได้รู้สึกจนมองไล่ไปจนพบกับใบหน้าของคนรักที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนปลายจมูกโด่งรั้นนั้นขึ้นสีเมื่อเห็นว่าเขาตื่นขึ้นมา และอีกข้างก็เป็นพี่ชายคนดีของเขาที่ดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

           “พี่ชิน  พี่ธาร”   เกลเรียกชื่นคนทั้งสองเสียงแผ่ว

           “พี่อยู่นี้แล้ว พี่อยู่นี้”

           ธารคว้าศีรษะน้องชายเข้าหาตัวเช่นเดียวกันฝ่ามือใหญ่ของเขาที่ลูบหัวปลอบขวัญน้องชายเอาไว้เรื่อยๆ เกลไม่เป็นอะไรแล้วขอบคุณพระเจ้า..............

          อ่า คราวนี้เขาไม่ต้องตื่นมาเจอแต่ความว่างเปล่าอีกต่อไปแล้ว.... ตอนนี้เขามีคนที่รักอยู่เคียงข้างแล้วลูกชายที่เขารักกับคนรักที่ใจดี อยู่ต่อหน้าเขาแล้วจริงๆ................

 
           “แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว หยุดร้องได้แล้วนะคนเก่ง”
           ธารก้มหัวลงไปพูดกับเกรทที่ยังคงสะอื้นเบาๆอยู่อย่างนั้น  เกรทเงยหน้าตาแดงช้ำขึ้นมามองคุณแม่เล็กน้อยก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

           “เกรทเป็นห่วงคุณแม่ ฮึก คุณแม่เจ็บ แงงงงงงง”

           เกลยิ้มบางๆให้กับท่าทางของลูกชายก่อนขยับเปลี่ยนท่าใหม่อิงแอ่นซบเข้ากับอกของคนรักโดนชิตรัตน์เองก็ปล่อยมือที่กุมไว้มาเป็นโอบกระชับไหล่บางของคนรักกับไหล่เล็กของลูกชายที่ร้องไห้โยเย

           ธารมองภาพครอบครัวตรงหน้าด้วยความคิดความรู้สึกที่หลากหลาย  บางทีนี้อาจเป็นสิ่งที่น้องชายของเขาต้องการมาตลอดก็เป็นได้.....  และเขาที่เป็นพี่ก็คงไม่ควรที่จะอยู่ขัดขวางความสุขเล็กๆนี้ของน้องชาย ชายหนุ่มเริ่มขยับออกจากที่นอน เพื่อว่าจะตรงไปที่ประตูแล้วออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ    หากแต่แรงยวบที่หายไปจากที่นอนทำให้คนที่อยู่เป็นศูนย์กลางของความรักหันไปมองคนเป็นพี่ที่ลุกขึ้นหนี

           “จะไปไหนหรือครับพี่ธาร”  เกลถามขึ้น

           “พี่จะลงไปรอข้างล่าง รู้สึกดีขึ้นแล้วเราจะได้กลับบ้านกัน”

           เสียงเข้มเตอบ  จากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้นเขาคงไม่สามารถปล่อยให้น้องอยู่ร่วมโต๊ะกับผู้หญิงคนนั้นได้หรอก แม้ชิตรัตน์หน้าหมองลงเล็กน้อยแต่ชายหนุ่มก็เข้าใจถึงเจตนาที่เป็นห่วงน้องชายของอีกคนและเขาเองก็เป็นห่วงเกลเช่นกัน และเขาก็คงไม่อยากเสี่ยงเอาความเห็นแก่ตัวของตนเองมาทำร้ายคนรักได้
 
           “เราจะไม่อยู่กินข้าวก่อนหรือครับ”
           หากแต่คำถามของเกลกลับเรียกความแปลกใจและไม่เข้าใจให้คนทั้งสองเป็นอย่างมาก ว่าเหตุใดเจ้าตัวถึงพูดเช่นนั้นหลังจากเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมา

           “แต่เกล...”ธารแย้ง

           “เรามาที่นี้เพราะคุณหญิงเชิญมา ถ้าไม่อยู่จนถึงหลังอาหารน้องว่าคงดูเสียมารยาทแน่”

            เกลพยายามปั้นหน้ายิ้ม ข่มเสียงไม่ให้สั่นแต่มือที่ลูบหลังของเด็กชายกลับสั่นจนไม่สามารถบังคับได้ทำให้เกรทกระชับแขนที่กอดรอบเอวบางของแม่ให้แน่นขึ้นเพื่อเพิ่มแรงใจ

           “พี่ว่าอย่าฝืนเลยดีกว่า กลับบ้านอย่างที่คุณธารว่าน่ะดีแล้ว” ชิตรัตน์พูดเสริม เพราะเขาเองคงทนไม่ได้ถ้าจะให้เห็นภาพเช่นนั้นให้มันบาดลึกกลางใจอีก  เกลมองหน้าธารที่ดูท่าแล้วงานนี้คงจะไม่ยอมให้เขาอยู่ต่อแน่ๆ ซึ่งเขาก็พอเข้าใจดีแต่ถ้ายอมให้เขาอยู่ต่อจริงเขาก็คงไม่ไหวแล้วเช่นกัน

           เมื่อธารเห็นว่าน้องชายของขายอมตกลงที่จะกลับบ้านตามที่เขาบอกแต่โดยดี เขาจึงเดินออกมาจากห้องแล้วพูดคุยสั่งให้ปีแอร์เข้าไปดูอาการของเกลอีกครั้งส่วนตนจะลงไปรอข้างล่าง

           ฝ่ายคุณหญิงโฉมฉวีเองที่ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นกลับทำท่าร้อนรนจนนั่งไม่ติดทันทีที่แม่บ้านมาบอกว่าคนที่ตนประณามตราหน้าไว้สารพัดนั้นคือน้องชายคนเดียวของธารแขกคนสำคัญที่หล่อนเป็นคนเอ่ยปากเชิญมาด้วยตัวเอง  ถึงตอนแรกคุณหญิงจะมีท่าทีเหมือนไม่เชื่อที่แม่บ้านพูดมา แต่พอมาได้ยินจากปากของธารที่กำลังต่อว่าลูกน้องอยู่นั้นก็พลันทำให้ใบหน้าหล่อนซีดลงทันที

           นี้มันมันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย................

           ทั้งที่หล่อนมั่นใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าข้อมูลที่ได้มานั้น ระบุไว้แน่ชัดแล้วว่าเด็กนั้นเป็นลูกกำพร้าที่พ่อแม่แยกทางกันแถมยังอาศัยอยู่ที่โบสถ์คริสเตียนอีก แล้วทำไมอยู่ดีๆมันถึงกลายมาเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลใหญ่ของอังกฤษแบบนี้ได้กัน  บ้าเอ๋ยแล้วอย่างนี้แผนการของหล่อนก็จบสิ้นหมดสิ

           หล่อนเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องนั่งเล่นอยู่หลายครั้งจนหางตาไปสะดุดเข้ากับร่างของธารที่กำลังเดินลงบันไดมา ไม่ได้จะปล่อยให้กลับไปง่ายๆแบบนั้นไม่ได้..   คุณหญิงไม่รอช้าที่จะรับสาวเท้าเดินออกไปตรงเชิงบันไดเพื่อให้ทันก่อนที่อีกคนจะเดินลงมาถึง

           “จะกลับแล้วหรอคะ”
           ธารชายตามองคุณหญิงตรงหน้าที่ท่าทางดูนอบน้อมเสียเหลือเกิน เหอะ ไม่ทันแล้วมั้ง...

           “ครับ น้องชายผลรู้สึกดีขึ้นเมื่อไรเราจะกลับกันทันที”

           คุณหญิงหน้าเจื่อนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเจอน้ำเสียงที่ดูห่างเหินเย็นชานั้นตอบกลับมา ธานมองหน้าคุณหญิงอย่างสมเพชทำตัวเองทั้งนั้นแล้วยังจะมาทำเป็นคนดีอีก

           “ดิฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะที่แสดงกริยาแบบนั้นออกไป ดิฉันไม่ดะ....”

           “ไม่ได้ตั้งใจหรอครับ” ธารพูดดักเย้ยหยันคำที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้า

           “ไม่ต้องมาขอโทษผมหรอกครับ เพราะคนที่คุณควรจะไปขอโทษนะคือ น้องชายของผมต่างหากล่ะครับ”

           ธานพูดเน้นฐานะของเกลใส่คุณหญิงแล้วยืมมองปฏิกิริยาที่ดูจะพยายามข่มอารมณ์นั้นของผู้หญิงตรงหน้าอย่างขบขันแต่ไปขอโทษแค่นี้มันจะดูเสียศักดิ์ศรีขนาดนั้นเชียวหรือ

           “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ล้มโครงการที่ทำร่วมกับคุณชิตรัตน์หรอกครับ ผมแยกเยาะได้”

           ธารกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นแล้วเดินผ่านหน้าของคุณหญิงออกไปเลยโดยไม่สนใจหันกลับมามองว่า อีกคนจะทำหน้าเช่นไร เพราะมันไม่เรื่องสำคัญอะไรที่เขาจะต้องมารับรู้นิ

           “บ้าที่สุด”

           คุณหญิงบ่นฮึกฮักออกมาอย่างขัดใจเป็นที่สุด จะให้หล่อนไปขอโทษเด็กนั่นน่ะเหรอฝันไปเถอะ.... ถึงมันจะกลายเป็นน้องชายของธานแต่สำหรับหล่อนมันก็ยังคงเป็นเด็กแพศยาอยู่วันยังค่ำต่อให้ชุดตัวเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ยังไงมันก็เป็นได้แค่นั้น หล่อนไม่มีทางลดตัวลงไปเลือกกลั้วด้วยแน่

           แล้วอย่างนี้หล่อนจะทำยังไง ปลาตัวใหญ่นั้นดูท่าจะหลุดมือของหล่อนไปแน่ อย่างนี้แล้วหล่อนจะทำยังไง....................
 
       
   :fire:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 18- 8-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-02-2017 21:12:05
 
:fire:

  “เท่าที่ดูก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว เดี๋ยวล้างหน้าล้างตาแล้วก็กลับบ้านกัน”

           ปีแอร์ว่าหลังจากตรวจวัดชีพจรของเกลที่ตอนนี้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งพร้อมกับส่งผ้าขนหนูเปียกที่บิดหมาดแล้วให้กับคนไข้ของตนรับไป

           “เกรทอยากไปด้วย”
           เด็กชายพูดความต้องการของตัวเองออกมา เขาอยากอยู่กับคุณแม่เขาไม่อยากอยู่กับคุณย่าแล้ว คุณย่าใจร้ายเขาเกลียดคุณย่า.....

              “เกรทอยากอยู่กับคุณแม่คุณพ่อ เกรทไม่อยากอยู่กับคุณย่า”
           เกลก้มมองดูลูกชายก่อนจะหันไปมองคนรักที่ดูจะคิดหนักเหมือนกันกับคำพูดของเกรทและท่าทีที่ดูจะไม่ยอมปล่อยเอวของเขาไปง่ายๆอีกด้วย

           “ถ้าอย่างนั้น เกรทก็ไปอยู่กับคุณแม่ที่บ้านนู้นแล้วเดี๋ยวพ่อจะไปหาทุกเย็นดีไหม”

           ดีเหมือนกันต่อจากนี้เขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าลูกชายจะต้องทนต่อคำว่าร้ายที่เกินจริงหรือคำพูดรุนแรงต่อใจดวงน้อยของลูกอย่างไรอีก เพราะแค่วันนี้ลูกเขาก็เจ็บช้ำกับการกระทำของคนเป็นย่ามากพอแล้ว แต่จากนี้เขาไม่รู้ว่าลูกจะต้องเจอกับอะไรอีกยิ่งตอนนี้แม่ของเขาเจอเกลแล้ว คนที่จะต้องรับผลร้ายก็คือตาเกรท  การที่ให้ลูกไปอยู่กับเกลที่นู้นอย่างน้อยก็คงช่วยฟื้นฟูความสุขภาพจิตให้ดีขึ้นได้ทั้งแม่และลูก

           “จริงนะครับ”
 
           ไม่ใช่แค่เกรทหรอกที่รีบถามกลับอย่างดีใจ เพราะเกลเองก็ย่างไม่เชื่อหูตัวเองเหมือนกันว่าชิตรัตน์จะตัดสินใจเช่นนี้ออกมา ไม่ใช่ว่าเขาแปลกใจกับคำพูดนั้นแต่เพราะเขาดีใจต่างหากล่ะการได้อยู่กับลูกใช้เวลาร่วมกันคือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันมาตลอด แล้วตอนนี้มันกำลังจะเป็นจริง

           “จริงๆนะ พี่ชินไม่โกหกเกลกับลูกนะ”   เกลถามย้ำอีกครั้ง

           “พี่ไม่เคยโกหกเราอยู่แล้ว คนดีของพี่”

           และเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง ชิตรัตน์หันกลับไปสั่งให้ชาติเดินไปเก็บของใช้บางส่วนร่วมถึงอุปกรณ์การเรียนของลูกชายใส่กระเป๋าให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมย้ายไปนอนที่บ้านนู้นตามความตั้งใจของเกรท

           แต่เมื่อเขาตัดสินใจทำเช่นนั้นลงไปเขาก็ต้องรับมือกับผลที่จะตามมาเช่นกัน  และเมื่อเสียงเครื่องยนต์รถคันใหญ่ที่ขับออกไปจากบริเวณบ้านเขาเรื่อยๆนั้น ก็เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่รอเวลาประทุขึ้นด้วยแรงอารมณ์ของคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา

           “ตาชิน กลับมาคุยกับแม่ให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ”   เสียงตะโกนก้องของนายหญิงประจำบ้านแผดเสียงดังลั่นทั่วโถงกลางบ้าน เพื่อหวังฉุดรั้งลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของตนให้หันกลับมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น

           “นี้ตาชินได้ยินที่แม่พูดไหม” หล่อนรั้งเข้าที่ท่อนแขนหนาของลูกชาย เพื่อให้หันมา

           “อะไรหรือครับคุณแม่”

           “ทำไมแกถึงยอมให้เกรทไปอยู่กับมันง่ายๆแบบนั้น”  คุณหญิงแว้ดเสียงใส่อย่างไม่พอใจ หลานของหล่อนก็ต้องอยู่กับหล่อนสิจะไปอยู่กับคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน

           “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ในเมื่อเกลเป็นแม่ เขาก็มีสิทธิที่จะได้อยู่กับลูกมันก็ถูกต้องแล้วนิครับ”

           ชิตรัตน์รู้สึกเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างมากกับที่จะต้องมานั่งอธิบายถึงเรื่องเดิมๆซ้ำๆแบบนี้ให้คุณหญิงฟัง บางทีนิสัยที่ไม่ยอมรับความจริงของคุณหญิงก็ทำให้เขาเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากเหมือนกัน

           “แต่ฉันไม่ไว้ใจให้เด็กนั้นเลี้ยงหลานของฉันหรอกนะ จะพาไปเสียผู้เสียคนหรือเปล่าก็ไม่รู้” หล่อนบ่น

           ชิตรัตน์ได้แต่กรอกตาไปมาอย่างสุดจะเอือมกับความคิดด้านลบของคุณหญิงที่ไม่เคยคิดจะมองใครในแง่ดีเยสักครั้ง เกลไม่มีท่าทำอะไรแบบนั้นยิ่งกับเกรทด้วยแล้วเกลไม่มีทางสอนอะไรลูกแบบผิดๆเหมือนที่คุณหญิงพยายามทำอยู่ทุกวันนี้แน่ๆ

           “ผมคิดถูกจริงๆนั้นแหละที่ให้ลูกไปอยู่กับเกล”

           “.....”   คุณหญิงหรี่ตามองลูกชายอย่างไม่พอใจ

           “เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคืนนี้คุณแม่จะพูดอะไรกรอกหูหลานให้เสียใจอีก ยอมรับเถอะครับว่าคนที่จะทำให้ตาเกรทเสียผู้เสียคนนะคือคุณไม่ใช่เกล”   ชิตรัตน์เอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนหมุดตัวขึ้นไปยังห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสองทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกที่ดังไล่หลังจากบุพการี

           “แกกล้าด่าฉันหรอตาชิน จำไว้แกจะเสียใจที่เลือกมันได้ยินไหมตาชิน แล้วแกจะเสียใจ!!”

           ความเกรี้ยวโกรธของคุณหญิงที่แสดงออกมาจนใบหน้าแดงก่ำตัวสั่นพร้อมกำมือแน่นอย่างเจ็บปวดหัวใจ หลานหล่อนไม่มีทางมีความสุขแน่ถ้าต้องไปอยู่กับแม่แบบนั้น  ไม่มีทาง............

           แต่ใครจะรู้ละว่าในความคิดกับความเป็นจริงนั้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหญิงคิดเลยแม้แต่น้อย เมื่อตอนนี้ เกรทมีความรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่เขาจะได้อยู่กับแม่ของตัวเองตามที่เคยวาดฝันเอาไว้ ทั้งๆเขาเองก็มาอยู่ประจำแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอชะเง้อมองไปทั่วห้องนั่งเล่นไปมา อาจเพราะสถานะที่เขามาอยู่ในบ้านนี้มันไม่ใช่แค่แขกเหมือนทุกครั้งแต่ว่าตอนนี้เขาเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านหลังนี้ และอีกไม่นานเกรทก็เชื่อว่าคุณห่อของเขาก็จะต้องมาเป็นสมาชิกของที่นี้เหมือนกับเขา

           “ตื่นเต้นหรอครับน้องเกรท”

           เกลที่นั่งมองท่าทีของลูกชายมาสักพักเอ่ยถามขึ้น  เกรทสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปฉีกยิ้มกว้างให้คนข้างๆอย่างไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี ก็มันตื่นเต้นจริงๆนี่นะ......

           “คืนนี้...เกรท..จะได้ไปนอนกับคุณแม่จริงๆใช่ไหมครับ”
          เด็กชายถามขึ้นอีกครั้งอย่างตะกุกตะกัก ไม่ใช่ว่ากลับจะถูกส่งกลับบ้านแต่เขาก็แค่อยากให้มันแน่ใจก็เท่านั้นว่าเขาตอนนี้เขาไม่ได้ฝันไปเอง

           “จริงสิครับ หรือน้องเกรทไม่อยากไปนอนกับแม่แล้ว” เกลเอ่ยเย้าลูกชายโดยแสร้งทำเสียงเศร้า

           “ไม่ๆๆ เกรทจะนอนกันคุณแม่”

           เด็กชายรีบสายหน้าเป็นพัลวัน  ทำเอาแก้วกล้าที่นั่งมองสองแม่ลูกคู่นี้อยู่ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก็นะเกรทชอบมาพูดว่าอยากจะทำนู้นทำนี่กับแม่ของตัวเองมาตลอดนี่นะ

           “อาแก้วอย่าขำเกรทสิ” เด็กชายยู่หน้าลง

           “แต่ว่าเกรทก็ไม่นอนกับอาแก้วนานแล้ว วันหลังเกรทขอไปนอนกับอาแก้วได้ไหมครับคุณแม่”

           เด็กน้อยรีบรีเควสขึ้นมาทันทีเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองก็ไม่ได้ไปนอนกับคุณอาสุดที่รักมานานแล้วเช่นกัน   เขาจำได้ว่าตอนนั้นคุณพ่อมีประชุมที่ต่างจังหวัดแถมคุณย่าก็ไม่อยู่ อาแก้วเลยต้องมานอนเป็นเพื่อนที่บ้านเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังเยอะแยะไปหมด  แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว

           “คงไม่ได้ละครับน้องเกรท”

           ธารเอ่ยขัดขึ้นขณะเดินเข้ามาพร้อมกับไรอันหลังจากที่ขอตัวไปรายงานการพูดคุยรายละเอียดของรีสอร์ตและเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไรอันฟังเสร็จพวกเขาก็เดินเข้ามาทันฟังว่า หลานตัวน้อยกำลังจะแย่งหมอนข้างกิติมาศักดิ์ของเขาไป

           “อ้าว ทำไมละครับเกรทนอนไม่ดิ้นนะรับรองว่าไม่กวนน้องตัวเล็กกันอาแก้วแน่นอน”
           เกรทตอบกลับไปอย่างใสซื่อตามประสาเด็กที่คิดเอาว่าคุณลุงตัวโตของเขากลับเขาจะนอนดิ้น แต่เกรทไม่นอนดิ้นนะเกรทนอนกับอาแก้วได้...

            “คือ..” ธารทำหน้าคิดหาเหตุผล “ถ้าเกรทไปนอนกับอาแก้วแล้วลุงจะไปนอนไหนหืม”

              “อาแก้วนอนห้องเดียวกับคุณลุงหรอครับ” เด็กชายถามอย่างสงสัย

           “ใช่ครับ ลุงต้องดูแลอาแก้วกับน้องในท้องไง” ธานให้เหตุผล

           “เกรทก็ดูแลได้นะครับ”  ยังคงไม่ยอมแพ้

           จนคนกลางที่นั่งนิ่งเป็นฉนวนเหตุของเรื่องถึงกับต้องกุมขมับกับการที่ต้องมานั่งฟังคนแก่ที่อายุมากกว่าตนต่อล้อต่อเถียงกับเด็กอายุแค่ห้าขวบอย่างเพลียใจ

           “อย่าเยอะนะธาร เรื่องแค่นี้ให้หลานไปเถอะ” ไรอันเอ็ดขึ้นอย่างเซ็งๆ

           “แต่ว่า..” ธารพยายามจะเถียงแต่ก็ต้องสงบปากลงทันทีที่เห็นสายตาเขียวปั้ดของไรอันที่มองมา คนท้องนี้อารมณ์น่ากลัวกันทุกคนเลยหรือไง...........

           “นายควรพาเกลไปพักได้แล้วนะ”  ไรอันเอ่ยปากไล่ทางอ้อม  พร้อมอาสาเป็นคนดูแลเกรทกับแก้วกล้าให้ระหว่างที่พาเกลไปพักซึ่งธารเองก็ไม่ได้ขัดอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าขัดไม่ได้มากกว่า

           ธารพาน้องขึ้นมายังห้องของอีกคนที่ดูเหมือนว่าไรอันจะให้คนมาจุดเทียนหอมไว้รอจนหอมผ่อนคลายไปทั่วห้องที่เปิดแอร์เย็นกำลังเอาไว้  โดยมีเจ้าของห้องตัวน้อยอีกตัวนอนแกว่งหางไปมาอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่เบาะนอนของมัน

           “อาการเป็นไงบ้าง”  ก่อนจะสวมบทหมอถามไถ่อาการของน้องชาย

           “ดีขึ้นแล้วครับ”

           “พี่บอกแล้วว่าอย่าไปๆน้องก็ไม่เชื่อ” ธารบ่น “พี่เป็นห่วงมาแค่ไหนเกลรู้ไหม  พี่เจ็บขนาดไหนที่จ้องทนเห็นน้องของพี่เป็นแบบนั้น”

            คิ้วเข้มขมวดแน่น เมื่อเผลอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถึงจะไม่มาเท่าช่วงแรกที่เป็นแต่ไม่ว่าครั้งไหนที่เห็นน้องเจ็บคนเป็นพี่อย่างเขาเจ็บเสียยิ่งกว่า

           “น้องขอโทษนะครับ”  มือผอมประคองซีกแก้มขวาของพี่ชายเอาไว้อย่างรู้สึกผิด จนมือของเขาสั่นอย่างคุมไม่อยู่ มันสั่นของมันเองเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนฝ่ามือหนาของธานต้องกุมไว้อีกชั้นอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เผลอไปโดนแผลของนองชาย

           “แต่ที่น้องทำ...เพราะ...”

           เกลพยายามจะอธิบายหากแต่เสียงของเขาเริ่มติดขัด จังหวะการหายใจเริ่มทำได้ยาก ขนาดเน็ตตี้เป็นเพียงแค่สัตว์ยังสามารถรับรู้ถึงอาการที่แปลกไปของเจ้านายได้ชัดเจนจนต้องร้องเรียกขึ้นพร้อมเดินเข้ามาใกล้

           “เกล ใจเย็นๆนะค่อยๆหายใจเข้าก่อน ค่อยๆพูดไม่ต้องรีบ”

           ธารรีบสารวนลูบหลังให้น้องอย่างตื่นๆ เมื่ออยู่ๆอาการของเกลทำท่าจะกำเริบ เริ่มแรกแค่อาการสั่น ต่อมาคือจังหวะการหายใจที่ผิดปกติ สายตาเริ่มล่อกแล่ก และสุดท้ายคือสติที่คุมเอาไว้ไม่อยู่ 

              คนเป็นพี่ตัดสินใจช้อนตัวน้องขึ้นอุ้มให้น้องนั่งลงที่ท่อนแขนแข็งแรงและซบหน้าลงกับไหล่อย่างที่เขามักจะทำเป็นประจำทุกครั้งตั้งแต่เด็กในยามที่น้องร้องไห้เสียใจหรือหวาดกลัวต่อสิ่งรอบตัว

           “ค่อยๆเล่าพี่ฟังอยู่”  ธานตบลงไปบนแผ่นหลังที่สั่นอยู่เบาๆ

           “เล่าให้พี่ฟังได้ไหมว่ายังไง”  ศีรษะเล็กโผงะขึ้นลง ก่อนสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพี่ชายที่ค่อยๆวางร่างของเกลกับเตียงตามเดิม

           “เกลอยากให้เขารู้”  เขาเว้นวรรค

           “เกลอยากให้พี่ชินรู้สึกผิด เกลต้องการให้พี่ชินเห็นว่าน้องเจ็บปวดแค่ไหนตอนเสียลูก ให้เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาเคยทำลงไป”  เกลว่าเสียงเรียบนิ่ง

           “และก็อยากให้พี่ชินเห็นว่าคุณหญิงทำร้ายเกลมากขนาดไหน” มือบางที่พันไปด้วยผ้าพันแผลทั้งสองข้างแบออกมาตรงหน้าให้พี่ดู

           “แล้วยังไง น้องต้องการแค่ให้ไอ้หมอนั้นรู้สึกผิดก็ไม่เห็นต้องลงทุนขนาดนั้นเลยนิ ถ้าเกิดเราเป็นอะไรหนักขึ้นมาจะทำยังไง” ธารแย้ง เขาไม่เห็นด้วยที่น้องจะเอาอาการที่ไม่สามารถเดาได้มาจะคุมดีคุมร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้มาล้อเล่น ถ้าเขาไม่กำชับปีแอร์เรื่องให้เอายาไปด้วยน้องเขาจะเป็นยัง

           “พอแล้วนะ พี่ขอสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้เรายุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าอยากให้นายชิตรัตน์กับเกรทมาอยู่ด้วยพี่จะจัดการเองน้องไม่จ้องเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”

           หนามยอกเอาหนามบ่งอะไรกัน แบบนี้มันมีแต่แย่ลงไปนะสิไม่ว่า พอแล้วที่เหลือเขาจะเป็นคนจัดการเองต่อให้เขาเกลียดขี้หน้าไอ้ชิตรัตน์ขนาดไหนแต่ถ้ามันเป็นความสุขของน้องแล้วล่ะก็เขาจะทนร่วมชายคาบ้านกับหมอนั้นก็ได้ แต่ขอแค่อย่างเดี๋ยว อย่าให้เขาต้องมาเห็นน้องเป็นแบบวันนี้อีกเลย

            “ได้ เกลจะหยุดเกลก็ไม่อยากให้ลูกมาเห็นเกลเป็นแบบนี้อีกแล้วเหมือนกัน.....”

           เกลว่าเสียงแผ่วอย่างรู้สึกแย่ แววตาของลูกในตอนนั้นต่อให้สติเขาจะแตกละเอียดขนาดไหนแต่เขาไม่มีทางที่จะไม่เห็นสีหน้าและแววตาที่ปวดร้าวของลูกชายที่พยายามยื่นมือมาเขาได้เลย  เขาพลาดเองที่เผลอทำร้ายจิตใจดวงน้อยของลูกชายแบบนั้น

              “เกลไม่ได้อยากดึงให้ลูกมาเห็นอะไรแบบนี้ เกลสงสารลูกแค่นี้เกรทก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้วการที่เด็กตัวแค่นั้นต้องมาเห็นแม่อยู่ในสภาพแบบนั้นอีก เกล..เกล..เกลสงสารลูกพี่ธาร เกลสงสารลูก”

           น้ำตาหยดใสอาบไหลทั่วใบหน้าสวยเป็นทาง ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แต่เกลไม่อยากให้ลูกต้องมาเห็นอะไรแบบนี้อีกแล้ว สองมือที่เจ็บอยู่นี้มันไม่เจ็บเท่าน้ำตาของลูกเขาเลยแม้แต่น้อย

           ธารนิ่งเงียบมองดูน้องชายที่เขารักร้องไห้อย่างหนักจนตัวโยกไปหมด เขาไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาพูดปลอบเพราะแบบนี้มันละเอียดอ่อนเกินไป ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียงคนนอกที่ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้มากไปกว่าการเป็นหลักนิ่งให้น้องซบกอดเท่านั้น
 
           Rrrrrrr
           เสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องอยู่เรียกความสนใจจากเด็กชายตัวน้อยที่นอนกลิ้งเล่นอยู่กับคู่ปรับสีขาตัวขาวให้หันกลับไปคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นแม่ที่วางอยู่มาดู

           “คุณแม่!! คุณพ่อโทรมา”

           เกรทชูโทรศัพท์เครื่องสีขาวขึ้นเพื่อให้คุณแม่ที่กำลังค่อยๆเดินออกมาจากห้องได้เห็น  เกรทกดรับสายแบบวีดีโอคอลเพื่อให้เห็นหน้าของคนที่โทรมาพร้อมเสียงเจื้อยแจ้วที่พูดนู้นนี้ไม่หยุด

           “หือ เกลเดินเองได้บ้างแล้วหรอ”

               ชิตรัตน์ที่มองภาพคนรักที่เดินเองด้วยตัวเองแม้จะมีไม้ค้ำยันสี่ขาค่อยช่วยพยุงอยู่บ้างผ่านหน้าจอเล็กจึงอดที่จะเอ่ยทักขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นหรือรู้ว่าเกลนั้นเดินได้เองมากน้อยเพียงใด

           “ครับ แต่ก็คงต้องมีผู้ช่วยอยู่บ้าง” เกลว่า

           “อือ ฝึกเดินบ่อยๆนะครับ พี่รอเดินจูงมือเกลกับลูกอยู่นะ” เกลอมยิ้มหวานกับคำพูดคนรักที่แม่อยู่ไกลแต่สายตาที่ส่งผ่านมาเปรียบด้วยรักที่ยากจะปิดบัง

           “เกรทอยู่นี้ทั้งคน คุณแม่ต้องมีแรงใจแน่นอนเผลอๆพรุ่งนี้คุณแม่ก็เดินได้แล้ว”

           “ฮ่าฮ่าฮ่า” ชิตรัตน์กับเกลอดที่จะขำกับคำพูดของลูกชายตนไม่ได้ นี้ละนะเด็กคืออย่างไรก็พูดออกมาไม่ปิดบัง

           ชิตรัตน์ยิ้มขำกว้างจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาเองไม่ได้ยิ้มว้างๆแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ บ้างที่อาจเป็นเมื่อเก้าปีก่อนก็ได้  แต่ตอนนี้เขากำลังยิ้มได้กว้างอีกครั้งเพราะสองคนตรงหน้า

           “ขำอะไรกันครับ เกรทจริงจังนะ”  เขาส่ายหัวให้กับหน้าที่บูดบึ้งจนแก้มสองข้างป่องจนน่าตีของลูกชาย

           “ทำเป็นพูดไป เมื่อกี้ยังปล่อยให้คุณแม่เหงาอยู่คนเดียวเลยนะ” เสียงเง้างอของเกลดังมาตามสาย พร้อมภาพคนรักที่ค่อยๆเอนหลังพิงกับเบาะหัวเตียง

           “ไม่จริงอะ” เด็กชายแย้ง

           “ก็เมื่อกี้ไงครับ น้องเกรทยังแย่งอาแก้วกับคุณลุงอยู่เลย”  เกรทหน้าแดงซานด้วยความอายก่อนจะรีบหันมาแก้ต่างให้คนเป็นพ่ออย่างเขาฟัง  แต่มีหรือที่คุณแม่ขี้น้อยใจจะยอมหยุด เมื่อหนึ่งแย้งอีกหนึ่งก็ค่อยค้าน จนคนที่คอยฟังเสียงเถียงกันไปเถียงกันมาของสองแม่ลูกอย่างเขาอมยิ้มตามไม่ได้

           เช่นเดียวกับคนที่แอบฟังอยู่หลังบานประตูไม้สีน้ำตาล ธารเองตั้งใจว่าจะมาบอกราตรีสวัสดิ์น้องน้อยของเขาอย่างเช่นทุกคืนคงต้องพับความคิดนั้นเก็บไปเสียแล้วเพราะดูท่าน้องของเขาก็คงอยากมีเวลาของคำว่า ครอบครัว เป็นของตัวเองบ้าง ส่วนเขาก็คงต้องรีบสร้างครอบครัวของเขาบ้างเสียแล้วกับคนที่รอเขาอยู่ในห้อง

           “เกลครับ ปิดหูก่อนได้ไมพี่มีเรื่องอยากคุยกับลูกหน่อย”  เกลมองหน้าคนรักอย่างใคร่รู้แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย

           ชิตรัตน์ที่เห็นคนหน้าสวยตรงหน้าเขาปิดหูแล้วก็หันมาพูดกับลูกแทน แต่จะว่าเป็นความลับก็ไม่ใช่เพราะแค่ฝ่ามือที่ปิดหูไม่ได้ช่วยให้คลื่นเสียงที่เดินทางในอากาศไม่สามารถผ่านไปได้ ยังไงเสียก็ไดยินด้วยกันหมดอยู่ดี แต่เขาก็ยังอยากทำแบบนี้

           “น้องเกรทต้องดูแลคุณแม่แทนพ่อนะครับ เพราะคุณแม่เป็นคนที่พ่อรักและเกรทก็เป็นลูกที่เกิดมาจากความรักของพ่อกับแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะเป็นปกป้องเรากับคุณแม่เองนะ แต่ตอนนี้พ่อไม่ได้อยู่ด้วยเกรทจะดูแลคุณแม่แทนพ่อได้ไมครับ”  ชิตรัตน์มองหน้าลูกสลับกับคนรักผมยาวด้านหลังที่ตอนนี้ใบหน้าสวยหวานขึ้นรอยริ้วแดงบวกกับกลีบปากบางเผยยิ้มอ่อนชวนมองส่งมาให้

           “ได้ครับ”  เกรทรับปากเสียงดังฟังชัด ด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

           “ดีมากครับ งั้นฝันดีนะครับพรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้า”

           “ฝันดีครับคุณพ่อ”

           “พ่อรักเกรทกับคุณแม่เกล มากนะครับ”  เขาส่งยิ้มล้อให้คุณแม่คนสวยที่ยิ้มเขินอยู่ด้านหลัง

           “เกรทก็รักคุณพ่อกับคุณแม่ มากมากเลย” เกรททำปากส่งจุ๊บให้คุณพ่อผ่านหน้าจอก่อนจะหับไปหอมแก้มใสนุ่มของคุณแม่ที่นั่งพิงอยู่ด้านหลัง

           “แล้วเกลละ จะไม่พูดหน่อยหรอ” ชิตรัตน์เอ่ยทวงเมื่ออีกหนึ่งสมาชิกในครอบครัวเขายังไม่เอ่ยบอกรักให้ฟัง

           “ครับ คุณแม่รักน้องเกรทกับคุณพ่อน้องเกรท มากที่สุดเหมือนกันครับ” เกล คลี่ยิ้มบางก่อนเอ่ยคำรักออกมา  ชิตรัตน์ยิ้มคำก่อนที่ทั้งสามจะล่ำลากันเพื่อแยกย้ายกันเข้านอน

           “เกรทอยากให้คุณพ่อมาอยู่ตรงนี้ด้วยจัง” เกลที่กำลังเลิกผ้าห่มขึ้นห่มถึงลำคอเล็กของลูกชายหันมองหน้าลูกน้อย

           “ทำไมหรอครับ” ก่อนค่อยๆลมตัวนอนข้างๆ

           “ก็...” เกรทขยับตัวเล็กน้อยเพื่อนำหัวเล็กๆของตนวางทับที่ช่วงแขนเล็กของเกล

           “เกรทอยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่เหมือนตอนที่เราไปทะเลกันนี้ครับ” เด็กชายว่าพรางกระชับกอด

           “หึหึหึ แต่วันนี้คงต้องนอนกอดคุณแม่คนเดียวไปก่อนแล้วกันนะครับ”  ริมฝีปากบางที่กดนายไปบนหน้าผากโหนกพร้อมแรงโอบกระชับทำเอาเกรทยิ้มหน้าบานในความมืด  แค่นี้ก็สุขใจแล้ว แค่มีคุณแม่อยู่ข้างๆแค่นี้ฝันร้ายก็จะไม่มีอีกแล้ว...........

________________________________________________________

ก้าวแรกสู่การเป็นครอบครัวของเกลเริ่มขึ้นแล้วคร้า
บอกแล้วว่านิยายเรื่องนี้เป็ยนิยายใสๆ สไตล์ครอบครัวอบอุ่น ดราม่า มาม่าต้ม อะไรไม่มีเยยยย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 19(ธารxแก้ว)- 8-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 08-02-2017 21:33:12

ฝนหยดที่ 19



              เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละคนยอมมีทั้งเรื่องร้ายและดีเพื่อที่จะได้นำมันมาเป็นประสบการณ์สอนให้เราให้ได้เติมโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งกายและใจ แต่กับเรื่องบางเรื่องความโหดร้ายก็เข้ามาในชีวิตเร็วเกินไป ชั่งน่าสงสารเด็กน้อยที่เป็นเหมือนผ้าขาวกลับต้องมาแปลกเปื้อนกับรอยด่างอันน่ารังเกลียดเพราะจิตใจของคนเป็นผู้ใหญ่  ความเศร้าหมองในใจเด็กใครว่าไม่สำคัญเพราะถ้ามันซึมลึกจนแผ่รากลึกลงไปยอมกลายเป็นตราบาปในวัยเด็กเหมือนคมมืดอันแหลมคมที่กรีดลึกลงบนแผลจนแหวะแม้จะหายดีก็จะกลายเป็นแผลเป็น แต่ในความโหดร้ายอันแสนเศร้ายังมีแสงสว่างที่ส่องทางให้เห็น

           สมุดโน้ตเล่มน้อยที่เขาจำได้ดีว่าเป็นคนซื้อมาเป็นของฝากให้เด็กชายตอนที่เขากับอดีตคนรักไปเที่ยวด้วยกัน แต่ใครจะนึกว่าเขาจะมีโอกาสได้เห็นมันมาอยู่ที่นี้ ในห้องธารกัน

           ตอนแรกแก้วกล้าก็อดสงสัยอยู่ไม่น้อยที่เห็นสมุดเล่นนี้วางอยู่บนโต๊ะทำงานของคนตัวโตตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดหรอกว่ามันจะเป็นของเกรทจนตอนที่เขาแอบเห็นที่มุมปกด้านหน้าที่ลงชื่อของเจ้าของตัวจริงเอาไว้  และนั้นมันก็ทำให้เขารู้ว่านอกจากชีวิตประจำวันที่สนุกสนานตามวัยแล้วมันกลับมีความเศร้าที่คล้ายจะหยั่งรากลึกเป็นปมในใจของเจ้าของสมุดนั้น  ถึงเขาจะรู้ว่าคุณหญิงโฉมฉวีร้ายกาจมากมายเพียงใดแต่เขาไม่เคยนึกเลยว่าหล่อนจะกล้าหามน้ำใจของหลานตัวเองได้ขนาดนี้ และยิ่งการป้ายสีความเกลียดชังให้เด็กวัยกำลังเรียนรู้เช่นนี้มันมากเกินที่เขาจะรับไหวกับการที่เด็กวัยกำลังสดใจต้องร่ำไห้กับคำว่าร้ายที่แม่ได้รับ

           ไม่รู้ว่าอ่านไปแล้วกี่หน้าอ่านจนเวลาผ่านไปเท่าไรแล้วจนคนร่วมเตียงหรือก็คือเจ้าของห้องที่แท้จริงเดินกลับเข้ามาพร้อมแก้วนมของเขาถึงกลับต้องร้องทักอย่างตกใจที่เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาขอเขาเงยขึ้นมามอง

           “แก้ว แก้วเป็นอะไร”

          ธานร้อนรนเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าแก้วกล้ากำลังร้องไห้จนหน้าแดงอยู่ทั้งที่ก่อนเขาจะออกไปเอานมมาให้อีกคนยังปกติไม่มีทีท่าว่าจะมีเรื่องเศร้าแม้แต่น้อย

           “คุณธาร”

           เสียงแผ่วเบาที่สั่นเครือกับหน้าสมุดที่เปิดค้างอยู่ที่หน้าตักจัดเป็นหลังฐานอย่างดีที่บอกถึงที่มาของรอยน้ำตาบนแก้มใสที่ทำให้เขาเป็นห่วงกังวล  ธารจัดการปิดสมุดเล่มนั้นทันทีแล้วโยนมันไปด้านข้างบนเตียง พร้อมกับรั้งร่างอวบของคนท้องให้เข้าสู่อ้อมกอดของตน

           “ชู่ๆ ไม่ร้องแล้วแก้วไม่ร้อง”

           เขาลูบไปตามท่อนแขนเล็กและแผ่นหลังเพื่อปลอบคนที่เอาแต่สะอื้นเงียบไร้เสียงร้อง ปลอบอยู่ครู่หนึ่งจนคนท้องผละตัวออกจากอ้อมแขนเป็นเชิงว่าดีขึ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูผื่นเล็กที่ชุ่มน้ำพอหมาด นำมายื่นมันให้อีกคนรับไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้รู้สึกสดชื้นขึ้น

           “ดีขึ้นยัง” ธานถามเสียงนุ่ม ซึ่งคนฟังก็ทำเพียงพยักหน้ารับพร้อมเช็ดหน้าเช็ดตาไปด้วย

           “เรื่องในสมุดนั้น” แก้วกล้าเอ่ยขึ้นหลังหยุดสะอื้น แบนสายตามองสมุดปกน้ำตาลเจ้าปัญหาที่นอนนิ่งอยู่อีกด้านของเตียงนอน

           “ของหลานเกรท”  ธานเองก็ไม่คิดปิดปังไหนๆก็เห็นแล้ว สู้บอกเสียจะได้ไม่หมางใจกันเพราะเรื่องแค่นี้

           “ผมรู้ แต่ที่ผมอยากรู้คือทำไมถึงมาอยู่ที่คุณ” เขาถามอย่างแคลงใจ

           “น้องเกลให้ฉันมา”

           ธารบอกออกไปแค่นั้นแก้วกล้าก็พอที่จะรู้ได้แล้วว่าเรื่องของเกรทนั้นทุกคนรับรู้กันหมด และนั้นมันยิ่งทำให้เขาเศร้าหนักกับการที่เขาต้องมารู้ว่าเด็กชายที่ยิ้มสดใสนั้นภายในต้องเจ็บปวดขนาดไหน  ไม่ชอบแม่เนี่ยก็พอรู้แต่ทำไมถึงต้องเอาความเกลียดชังไปลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องแบบนี้แย่ที่สุด..................

           “อ๊ะ คุณธาร”

            แก้วกล้าถึงอุทานขึ้นอย่างตกใจทันทีเมื่ออยู่แก้มนิ่มนุ่มทั้งสองข้างของเขาถูกมือของธารจับเข้าเข้าที่แก้มพร้อมกับออกแรงดึงให้ยืดจนต้องรีบตะปบมือคู่นั้นออก

           “หมอพลอยบอกว่าห้ามเครียดไงครับ ไม่เอาแล้วไม่คุยเรื่องนี้แล้วมาคุยเรื่องของเราแทนดีกว่า”  ไม่ว่าเปล่าหนุ่มร่างใหญ่ก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มข้างๆคนท้องคล้ำหัวกับมือที่วางเท้ากับหมอนใบหนาใหญ่สีขาว จ้องมองคนที่นั่งพิงหัวเตียงอย่างเพลินอารมณ์

           “เรื่องของเรา?”
           แก้วกล้าท้วนคำพูดของธารพร้อมมองอีกคนที่นอรมองหน้าเขาอยู่ข้างๆอย่างไม่เข้าใจ เรื่องของเรา เรื่องอะไรเขาไม่เข้าใจ

           “ก็เรื่องของฉันกับแก้วไง ฉันรออยู่นะ”

            สายตาที่สื่อถึงอารมณ์บางอย่างที่ไม่เคยแอบซ่อนแต่นับวันยิ่งแสดงออมาพร้อมมือที่ค่อยๆลูบลงหน้าท้องนูนอย่างเบามือ ธานไม่ได่ต้องการที่จะเร่งเร้าเอาคำตอบจากอีกคนในตอนนี้หรอก เขารอได้  รอให้แก้วกล้าเปิดใจยอมรับเขาเข้าไปในใจเหมือนที่อีกคนเคยเปิดประตูหัวใจให้แทนไทได้เข้าไป...................

         
           “นี้คุณธาร ผมถามอะไรหน่อยสิ”

              แก้วกล้าที่กำลังหาทางออกจากบรรยากาศความรักสีหวานแหว๋วที่ธานสร้างขึ้นก็เรียกอีกคนขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่บางเรื่องที่เขาอยากจะถามขึ้นมาได้

            “อะไรเหรอ”

           “เรื่องวันนี้” คนถามเกิดอาการลังเลเล็กน้อยแต่ก็กลั้นใจถามต่อ

           “มันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” ธารเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยพร้อมยันตัวขึ้นนั่งดีๆ

            “คือ ผมเห็นน้องเกรทดูซึมๆนะครับ แถมเหมือนเขาดูกังวลอะไรด้วยเอาแต่บอกว่าจะอยู่กับแม่ไม่อยู่กับย่าอะไรนี้แหละ”

           เมื่อถามเสร็จเขาก็รีมเม้มปากแน่นอย่างไม่รู้ว่าจะได้คำตอบหรือไม่ และไม่รู้ว่าคนถูกถามจะหาว่าเขาสอดรู้เรื่องภายในครอบครัวหรือเปล่า แต่เขาอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ยิ่งนึกถึงแววตาเป็นห่วงของเด็กชายกับท่าทางที่พยายามชะเง้อมองหาแม่ตลอดเวลาจนเขาต้องพาเข้าไปนอนกับเกลด้วยนั้นแบบนั้นมันเขาอดที่จะกังวลไม่ได้ว่ามันอาจเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่กระทบจิตใจของเด็กหรือไม่แต่เขาก็กลัวเกินกว่าที่จะถามเด็กออกไป

           “ทำไมถึงอยากรู้”

           เสียงถอนหายใจหนักๆของคนตัวโตทำเอาคนคิดมากเริ่มคิดเยอะว่าสิ่งที่ถามไปเมื่อครู่นี้มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรถามออกไปหรือเปล่าหรือว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เขาไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยหรือไม่

           “ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นเป็นไรครับ” ถึงรู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ทั้งที่เป็นห่วง

           “ไม่ใช่ไม่ได้เสียหน่อย” ธารรั้งต้นแขนเล็กของคนที่ทำท่าจะมุดตัวเข้าผ้าห่มให้หันกลับมา

           “มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวผมเป็นคนนอก...”

           “แก้วไม่ใช่คนนอก แก้วเป็นคนรักของฉันก็ถือว่าเป็น คนในครอบครัว เหมือนกัน แต่ที่ไม่บอกเพราะไม่อยากให้เครียด หมอพลอยก็บอกแล้วนิว่าไม่ให้เครียด”

           ธานเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างใจเย็น ถึงจะไม่พอใจที่ว่าที่คุณแม่พูดว่าตัวเองเป็นคนนอกไม่ควรรู้เรื่องภายใน ทั้งที่บอกทั้งที่ย่ำอยู่เสมอว่าเป็นคนรักของเขาหรือเขายังพูดไม่ตรงอีกฝ่ายถึงไม่เข้าใจความหมาย ไม่เป็นไรเดี๋ยวครั้งนี้เขาจะเน้นย้ำให้ฟังชัดๆเอง

           “ผมก็แค่อยากรู้”
           ชายหนุ่มระบายยิ้มออกมากับน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนรู้สึกผิดของคนตรงหน้าจนอดใจไม่ไหวคว้าตัวเข้ามาใกล้แล้วกอดเอาไว้

           “ถ้าอยากรู้ฉันก็จะเล่า แต่สัญญาก่อนว่าจะไม่คิดมาก”

           เสียงขานรับเบาดังสนองรับคำ ธารถึงยอมเปิดปากเล่าในสิ่งที่ไปประสบ แต่ก็ข้ามเรื่องที่ว่าเป็นแผนการของที่จะเข้าหาคุณหญิงของเขากับน้องเขาไป เพราะมันคงไม่ดีเท่าไรหากจะให้คนรักมองน้องของเขาในทางที่ไม่ดี

           “มิน่าละ แล้วคุณเกลดีขึ้นแล้วหรอครับ”

           “อือ ได้ยาดีขนาดนั้นไม่หายก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว”

           ธารว่าพลางนึกถึงเสียงเจี๊ยวจ๊าวของหลานชายกับภาพครอบครัวทางไกลที่เขาแอบฟังอยู่หลังประตูห้องของน้อง ตอนที่ลงไปเอานมให้อีกคน  พูดถึงนมแล้วธารก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาลงไปอุ่นนมมาให้อีกคนแต่เพราะเรื่องของสมุดไดอารี่นั้นทำให้เขาลืมไปมันเสียสนิทกว่าจะหันไปหยิบมาให้แก้วกล้าดื่มได้ความอุ่นของนมก็หายไปหมดแล้ว

           “ส่วนสมุดนี้ไม่ต้องอ่านมันแล้วนะ ฉันจะเอาไปคืนเกล” ธารเบี่ยงตัวไปหยิบสมุดเจ้าปัญหานั้นก่อนลุงนำไปวางที่โต๊ะทำงานเป็นเชิงว่าห้ามอ่าน

           “รู้แล้ว ผมนอนล่ะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานอีก”

           แก้วกล้าว่าก่อนค่อยๆล้มตัวลงนอนหันข้างเพื่อเตรียมตัวนอน แต่ยังไม่ทันไรเขาก็รู้สึกได้ถึงเงาขนาดใหญ่ที่ค้อมตัวเขาจนบดบังแสงนีออนจนมืดไปหมด

           “แต่ฉันไม่ให้ไป” ธานค้าน

           “ทำไม” เขาถามอย่างสงสัยเจือด้วยความไม่พอใจ

           “เธอท้องอยู่”  เหตุที่ได้ทำเอาเขากรอกตาไปมา

           “แต่ก็ไม่ได้ใกล้คลอดนิ อีกอย่างผมยังมีงานค้างที่ต้องเคลียร์ก่อนลาคลอดอีกนะ”

            ถึงจะแย้งไปแต่งานค้างที่ว่าก็ไม่ได้มากอย่างที่พูด ส่วนหนึ่งเพราะชิตรัตน์ให้ชาติเขามาช่วยด้วยเหตุผลว่าชาติเป็นผู้ช่วยของเขาต้องเรียนรู้งานเพื่อว่าเขาคลอดชาติจะได้ทำงานแทนได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ดูท่าแล้วคนตัวโตที่ค้อมเขาอยู่จะไม่รับฟังเหตุผลของเขาเลยสักนิดและยังคงที่ดึงดันต่อไปอีก

           “แล้วยังไง ถึงไม่ใกล้คลอด แต่แก้วมีสิทธิคลอดก่อนกำหนดได้ทุกเวลาแค่ขอลาหยุดก่อนสักสองสามเดือนจะเป็นไรไป”

           “นี้คุณผมเป็นลูกจ้างนะไม่ใช่เจ้าของบริษัทที่จะนึกอยากจะหยุดก็หยุดนะ”

           แก้วกล้ากรอกตาไปมาก่อนจะเถียงกลับด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์กับความเอาแต่ใจของคนตัวโตที่ดูจะจู้จี้กับชีวิตเสียเหลือเกิน แก้วกล้าจึงดึงผ้าห่มที่โดนทับให้ออกจากการโดนกดทับมาขึ้นคุมตัวจนถึงคอแล้วหลับตาหนีอีกคนเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกันอีก

           ธารมองคนหัวรั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้า เขาก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดเรื่องตอนนี้เขาไม่อยู่แถมหมอพลอยยังบอกว่าแก้วของเขามีโอกาสคลอดก่อนกำหนดเพราะความเสี่ยงในเรื่องครรภ์เป็นพิษมันยิ่งทำให้เขาเป็นกังวล แต่ดูสิคนที่เขาเป็นห่วงกลับรั้นจะไปทำงานเขาล่ะเหนื่อยใจจริงๆนี้อีกคนจะรู้บ้างไหมว่าเขาเป็นห่วงขนาดไหน   ธานบ่นกับตัวเองในใจก่อนจะล้มตัวนอนซ้อนหลังของคนท้องกอดกระชับแขนกอดรอบครรภ์โต

           “ฉันแค่เป็นห่วงกลัวแก้วกับลูกจะเป็นอะไรก็เท่านั้น”

           “เอางี้ไหม ถ้าแก้วเป็นห่วงเรื่องงานที่ค้างอาทิตย์นี้แก้วก็ไปเคลียร์มันสะแล้วหลังจากนั้นจนกว่าจะคลอดก็เอางานมาทำที่บ้านดีไหมอย่างน้อยให้มีคนคอยดูแก้วเวลาฉันไม่อยู่ฉันจะได้สบายใจ ตกลงนะ”

            เมื่อเห็นอีกคนไม่มีท่าทางขัดขืนข้อตกลงที่เขาว่างเอาไว้จึงสรุปโมเมว่าอีกคนตกลง ธารเลยลุกขึ้นจากเตียงคว้าโทรศัพท์ส่วนตัวออกไปหน้าระเบียงกดไล่หาเบอร์ที่เขาต้องการแล้วโทรออก คงไม่ต้องเดาให้มากว่าคนที่ชายหนุ่มลูกครึ่งต่อสายหายามวิกาลแบบไม่เกรงใจจะเป็นใครไปได้ในตอนนี้ถ้าไม่ใช่เจ้านายเพียงคนเดียวของแก้วกล้าอย่างชิตรัตน์

           คนท้องที่แกล้งหลังเมื่อครู่ลืมตามองแผ่นหลังของจอมเผด็จการที่คลายอ้อมกอดแล้วออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก เจ้าตัวได้แต่ส่ายหน้ากับความเจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่องของอีกคนแต่ก็อดไม่ได้ปฏิเสธว่ารู้สึกดีที่มีคนคอยเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้จนเผลอยิ้มอย่างพอใจแบบไม่รู้ตัว

           “หมียักษ์เอ๋ย”
 
.....................................................
 
           เช้าวันต่อมาแก้วกล้ายังคงมาทำงานตามปกติอาจมีเพิ่มเติมเล็กน้อยในตอนเช้าที่มีเด็กชายมาสร้างสีสันให้มื้อเช้าดูครึกครื้น อ้อ คงต้องเพิ่มสายตากลุมกลิ่มของเจ้านายหน้าหล่อที่ส่งมาให้ตั้งแต่ตอนเช้านั้นด้วย จนคนช่างสงสัยเช่นเขาทนต่อความอยากรู้ไม่ไหวจนต้องเข้าไปถามให้รู้แล้วรู้รอด

           “มองผมแบบนี้หมายความว่าไงครับ”

            เสียงแหลมเล็กที่พยายามดัดให้ดูเข้มขึ้นเพื่อหวังว่าจะทำให้คนฟังรู้สึกน่ากลัวแล้วยอมตอบคำถามของเขา หากแต่ผลที่เขาคาดหวังไว้กลับผิดถนัดเพราะมันกลับทำให้คนฟังนั้นอดที่จะอมยิ้มขำไม่ได้

           “ก็เปล่านิ แก้วอย่างคิดมากสิ” ชิตรัตน์บอกปัดทั้งที่มุมปากยังยกยิ้มขำอยู่ จนเจ้าของชื่อเริ่มหน้าหงิกงออย่างขัดใจ

           “คุณชิน!”

           “ฮ่าฮ่าฮ่า”
           คราวนี้ชิตรัตน์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่โดนแก้วกล้าท้าวสะเอวเรียกชื่ออย่างสุกกลั่น ทำเอาคนที่ถูกหัวเราะใส่ต้องเบาะปากไม่พอใจ

           “คุณชินครับเลิกแกล้งคุณแก้วเถอะครับ”
            เป็นชาติที่ยืนมองอยู่นานเอ่ยขัดเจ้านายของตนขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทางคนท้องเริ่มที่จะแสดงออกมาว่าไม่พอใจ

           “นั่งก่อนดีกว่าเนอะแก้ว ชาตินายไปเอาน้ำผลไม้มาให้แก้วหน่อยละกัน”
           ชิตรัตน์เบี่ยงประเด็นพร้อมผายมือเชิญให้แก้วนั่งลงที่โซฟาก่อนที่ตนจะเดินไปนั่งลงตรงที่ว่างฝั่งตรงข้ามคนท้อง เพื่อจะได้คุยกันได้สะดวก

           “คราวนี้พูดได้ยังครับ”

           “ใจร้องจังนะ เดี๋ยวหลานฉันก็กลายเป็นเด็กขี้หงุดหงิดหรอก” ชิตรัตน์เอ่ยแซว

           “คุณก็พูดมาสิครับ ว่ามีอะไรทำไมต้องกลั้นขำด้วยเวลาเห็นแก้ว”

           แก้วกล้าเริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ เพราะตั้งแต่เช้าที่เจอหน้ากันทั้งชิตรัตน์และชาติดูจะชอบยิ้มกลุ้มกลิ้มเวลาที่มองมาทางเขาแปลกๆเหมือนมีเรื่องอะไรสักอย่างและตนถึงเมื่อกี้นี้อีกที่เขาเอารายงานการประชุมเมื่อเช้าเข้ามาให้ชิตรัตน์ก็ดูจะยิ้มแปลกๆใส่เขาจนจากที่นาสงสัยกลายเป็นหน้าหงุดหงิดเอาดื้อๆ

           “เมื่อคืนคุณธารโทรหาฉัน เธอรู้ใช่ไหม”  ชิตรัตน์เท้าความขึ้นให้เขานึกตามก่อนจะพยักหน้ารับ ก็เมื่อคืนเขายังไม่ได้หลับนิเรื่องที่พูดกับเขาได้ยินหมดแหละ.....

           “เขาโทรมาขอลางานให้เธอตั้งแต่อาทิตย์หน้าจนกว่าเธอจะคลอด”  เจ้ากี้เจ้าการไม่เข้าเรื่อง.....เขาบ่น

           “ดูคุณธารจะเป็นห่วงเธอมากเลยนะ”

           “...”

           “ใจอ่อนให้เขาแล้วสินะ”

           “คุณชิน!”

           คนท้องว่าเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ร้อนผ่าวที่แทบระเบิดบนใบหน้าแดงตัวเอง ทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่อีกครั้งอย่างชาติอดสะดุ้งตามไปด้วยไม่ได้

           “ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอที่มีคนมาดูแลนะ”

           “...”

           “คุณธานเขาก็เป็นดี ดูท่าแล้วจะรักแก้วมากด้วยมันก็ดีแล้ว”

           “...”

           “แต่ที่ฉันอยากรู้คือเรื่องของเธอนะแก้ว”
           น้ำเสียงหยอกล้อเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจังในช่วงพริบตาจนคนท้องรู้สึกแปลกใจ  เรื่องของเขามันมีอะไรน่าสนใจด้วยหรอ....

           “วันนั้นที่ไปหาหมอเธอจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมากแต่สีหน้าและอาการเป็นห่วงจนมากเกินเหตุของคุณธารมันทำให้ฉันคิดนะ มันมีอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม“  ชิตรัตน์ไล่ต้อนถามอย่างจับผิด

            “คือแก้ว...”

           “แก้ว ที่ฉันถามเพราะว่าเป็นห่วงเธอเองก็อยู่กับฉันมานานจนเป็นเหมือนน้องชายของฉันอีกคนแล้วยิ่งมาเห็นที่แม่ทำกับเธอวันนั้นแล้วฉันยิ่งไม่สบายใจเกิดเธอเป็นอะไรขึ้นมามากกว่าที่พูดจะทำยังไง"

           เสียงของชิตรัตน์ที่มักจะอ่อนโยนอยู่เสมออยู่ก็กลับแข็งกร้าวขึ้นมายามเมื่อพูดถึงเรื่องวันนั้น จนแก้วกล้ากับชาติรู้สึกได้แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

           “หมอบอกว่าแก้วมีความเสี่ยงที่จะครรภ์เป็นพิษ มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด” มาถึงขั้นนี้แล้วปิดไปก็รั้งแต่ทำให้รอบข้างเป็นห่วงเสียเปล่าๆ

           “คุณธารกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นเลยอยากให้แก้วหยุด แต่แก้วยะ..”

           “ทำตามที่คุณธารว่านั้นแหละดีแล้ว” ชิตรัตน์เอ่ยขัดขึ้น เสี่ยงที่จะครรภ์เป็นพิษมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆและยิ่งมีโอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนดได้ทุกเมื่อแบบนี้ก็เท่ากับว่าคนเป็นแม่ร่างกายไม่สมบูรณ์พอ ดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงเห็นด้วยกับความคิดของธาร

           “แต่ว่า...”

           “ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากจะหยุดงาน ฉันคุยกับชาติแล้วว่าตั้งแต่อาทิตย์หน้าฉันจะให้เธอทำงานอยู่แต่บ้านจนกว่าจะคลอดและส่วนงานที่บริษัทชาติจะเป็นคนจัดการ”

           “คุณแก้วไม่ต้องห่วงครับหากมีงานอะไรเข้ามาใหม่ผมจะแจ้งให้ทราบตลอดเวลา”

           ชาติเสริมขึ้น เขาเข้าใจดีว่าแก้วกล้าเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงถ้าเป็นเรื่องงานแล้วล่ะก็อีกคนจะไม่ยอมปล่อยมันจนกว่าจะเสร็จเรียบร้อย  แต่ถึงยังไงเขาก็ทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขาของแก้วกล้ามานานงานของแก้วกล้าเขาก็เป็นคนคอยช่วยอยู่ตลอดเขาก็พอที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับการทำงานของอีกคนดี

           “ตารางงานในแต่ละวันแก้วก็จัดการให้ฉันปกติ  ส่วนเอกสารที่ต้องผ่านการพิจารณาฉันจะให้ชาติส่งให้เธอดูอีกรอบก่อนเอามาให้ฉันเซ็น ตกลงไหม”

           “ก็ได้ครับ”

           เมื่อชิตรัตน์กับชาติพูดมาขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นอะไรที่จะดื้อเพ่งเถียงต่อไปให้คนอื่นเป็นห่วง ดังนั้นเขาจึงยอมตกลงกับข้อเสนอนี้นั้นไป

           “ดีแล้ว งั้นกินน้ำผลไม้ให้หมดแล้วก็ไปเคลียร์งานสะ เพราะเธอคงต้องหยุดยาวหลายเดือน” ชิตรัตน์ระบายยิ้มพอใจ

           แก้วกล้ายอมที่จะรับแก้วน้ำที่บรรจุของแหลวสีม่วงอมแดงขึ้นมาดื่มจนหมดพร้อมกับส่งแก้วเปล่านั้นให้ชาตินำไปเก็บ หากแต่ตัวของเขานั้นยังคงนั้นอยู่ที่เดิมจนชิตรัตน์เอ่ยทักขึ้นอย่างแปลกใจคิดว่าอีกคนอาจมีเรื่องที่จะคุยกับตนเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า

           “มีอะไรหรือเปล่าแก้ว”

           “คือ....เรื่องเมื่อวาน”

           “ทำไม “

           “แก้วอยากรู้ ว่าคุณชินจะเอายังไงต่อ”

           จะว่าเขาสอดรู้ก็ได้นะแต่เขาอยากจะรู้จริงๆ ในเมื่อเรื่องมันมาขนาดนี้แล้วเขาก็อยากรู้ว่าชิตรัตน์จะเอายังไงต่อไปถ้าถึงกับว่าเอาเกรทมาให้อยู่กับเกลแบบนี้แล้วแสดงว่าเจ้านายของเขากำลังที่จะทำอะไรบางอย่างอยู่แน่..........

           “ก็คงต้องเลือก”

           ชิตรัตน์เอ่ย สำหรับเรื่องนี้แก้วกล้าถือเป็นคนที่มีส่วนไม่มากก็น้อยเพราะเขาเองก็มักจะปรึกษาหารือเรื่องนี้ด้วยเป็นประจำ ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายถามเขาจังไม่ลังเลที่จะพูดหรือปกปิด

           “เลือกหรอครับ?”

           “ใช่  เมื่อก่อนฉันแคร์และตามใจคุณแม่มาตลอดอาจเพราะโรคหัวใจที่ท่านเป็นอยู่ร่วมถึงฉันเหลือท่านเพียงคนเดียวด้วยละมั้งเลยทำให้ไม่ว่าท่านจะพูดหรือตั้งข้อแลกเปลี่ยนอะไรฉันก็ไม่เคยขัด  แต่จากเหตุการณ์วันนั้นที่เกิดกับเธอ กับเหตุการณ์เมื่อวานคุณธารคงเล่าให้เธอฟังบางแล้วสินะ” เขาพยักหน้าแล้วรอฟังต่อ

           “ฉันคิดว่าฉันคงสปอยด์ท่านมากเกินไป ปกติก็เอาแต่ใจตัวเองอยู่แล้วยิ่งฉันสปอยด์ท่านอีกก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทั้งโลก ข้อนี้ฉันผิดเองละ”

           ข้อดีอย่างหนึ่งที่แก้วกล้ามักชื้นชมเจ้านายมาตลอดเลยก็คือ เขามักจะวิจารณ์การทำงานหรือพฤติกรรมคนแบบตรงไปตรงมาไม่กลัวว่าจะเสียผลประโยชน์แม้จะเป็นลูกค้าหากผิดก็ว่าตามที่ผิด

           “และฉันก็ต้องขอโทษเธอด้วยนะ ที่ดูแลเธอได้ไม่ดี”

           “ไม่หรอกครับ คุณทำดีที่สุดแล้ว” เขายิ้มรับ

           “ส่วนเรื่องเกล ยังไงฉันก็จะเดินหน้าต่อไปถึงคุณแม่ไม่ยอมรับก็ไม่แคร์ นี้ครอบครัวของฉันฉันเลือกแล้ว”

           สายตามุ่งมั่นอย่างมีความหวังของชิตรัตน์ที่เขามักจะเห็นทุกครั้งที่อีกคนพูดถึงครอบครัวมันแสดงให้รับรู้ได้ตลอดเวลาว่าชิตรัตน์รักครอบครัวของตนมาเพียงใด แม้จะผิดพลาดแต่อีกคนไม่เคยท้อที่จะผสานมันกลับคืนมาเลยสักครั้ง แต่สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่เรื่องนั้นหากแต่เป็น....

           “แต่คุณหญิงคงไม่หยุดแค่นี้แน่”  ใช่ คนอย่างคุณหญิงถ้าลองพูดว่าเกลียดแล้วต่อให้ดีหรือถูกใจมากแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่เห็นดีเห็นงามตามแน่นอน

           “ก็คงงั้น แต่ฉันก็คงไม่งอมืองอเท้าปล่อยให้ลูกเมียฉันเป็นอะไรแน่ ถ้าท่านไม่ยอมหยุดฉันนี้ละจะเป็นคนที่ทำให้ท่านหยุดเองไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม”

           แก้วกล้านั่งฟังก็พอเข้าใจความรู้สึกของชิตรัตน์ที่ถือว่าเป็นคนกลางของเรื่องนี้พอควรจนอดเห็นใจไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งก็แม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่น้อยแถมยังเป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว  อีกฝ่ายก็ลูกกับคนรักชั่งเป็นการเลือกที่ยากลำยากพอควรจริงๆ

           เขานั่งคุยกับชิตรัตน์ในเรื่องงานต่ออีกสักพักก่อนขอตัวออกไปจัดการงานที่ค้างอยู่  ชาติที่มีโต๊ะทำงานอยู่ใกล้ๆบอกเขาว่าเมื่อครู่ฝ่ายบริการเอารายงานประจำเดือนมาให้ซึ่งเจ้าตัวตรวจสอบแล้ววางไว้ให้ที่โต๊ะเพื่อให้เขาดูอีกรอบก่อนส่งให้เจ้าของห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมา แก้วกล้าลงมือตรวจสอบแล้วเรียงความสำคัญของงานไปเรื่อยๆตามหน้าที่ที่ได้รับ
 
          ปิ๊บ ปิ๊บ
 
           เสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมแรงสั่นเบาๆที่โต๊ะทำให้เขาต้องละความสนใจจากงานในมือ มองไปที่เจ้าเครื่องมือสื่อสารที่ตอนนี้ดับแสงแจ้งเตือนลงแล้ว  แก้วกล้าคว้ามันขึ้นมาก่อนเปิดดูเพื่อว่ามีอะไรสำคัญ

          //ตอนเที่ยงคงไม่ได้ไปกินข้าวด้วยต้องไปเช็คของที่ท่าเรือ แต่เดี๋ยวตอนเย็นจะรีบไปรับนะ ดูแลตัวเองด้วยฉันเป็นห่วง
             รักแก้วนะ //

           ตัวอักษรที่ส่งผ่านมาจากคนที่ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าแต่ดูเหมือนความรู้สึกจะส่งผ่านมาถึงจนอดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้  อ่า นั้นสินะถึงเวลาเปิดใจรับอีกคนเข้ามาจริงๆแล้วเสียที คงอีกไม่นานนี้แล้วละที่เขาจะกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า รัก ผู้ชายตัวโตคนนี้เสียที

           ขอเวลาอีกนิดนะ ขอให้เขามั่นใจกว่านี้ว่าเขาเองก็รู้สึกเหมือนที่อีกคนรู้สึกแล้วเขาจะเป็นคนพูดคำนั้นต่อหน้าอีกคนเอง................

________________________________________________________

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 19(ธารxแก้ว)- 8-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-02-2017 22:16:30
หวังว่าจะสมหวังในเร็ววันนีนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 19(ธารxแก้ว)- 8-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: saseum ที่ 09-02-2017 22:26:15


เกลียดแม่พระเอกจริงๆ เหมือนเป็นโรคจิตเนอะ คุณแม่เนี่ย
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 20- 10-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 10-02-2017 20:57:07

ฝนหยดที่ 20



           “งานเลี้ยงครบรอบ70ปีของโรงแรงหรือครับ”

           เสียงแหลมใสของแก้วกล้าเอ่ยขึ้นอย่างฉงนเมื่อไล่สายตามองเอกสารที่ทางฝ่ายสถานทีของโรงแรมนำมายืนให้เขาพิจารณาก่อนที่จะส่งต่อให้ชิตรัตน์เซ็นชื่อรับรอง

           “ครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณแก้ว ลืมนะ” คุณณัฐชา หัวหน้าฝ่ายสถานที่เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของคู่สนทนา

           “อ่า ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับคุณณัฐชาผมลืมจริงๆ”

           แก้วกล้าหน้าเจือลงทันที ก็นะงานครบรอบของโรงแรมนี้ถือว่าเป็นงานใหญ่ประจำปีเลยก็ว่าได้แต่เขากลับลืมมันเสียได้ทั้งทีมีการปิดประกาศรอบโรงแรมมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ไหนจะโปรโมชั่นราคาที่พักพิเศษอีก นี้ยังไม่ร่วมถึงราคาจองคอนโดใหม่ที่ลดพิเศษตอนรับเดือนแห่งการครบรอบด้วย และที่สำคัญงานมีในอีกสองอาทิตย์ที่จะถึงนี้แล้วด้วย ตายๆๆ เขาลืมงานสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงกัน....

           “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

           แก้วกล้ายิ้มเจือพร้อมกล่าวขอโทษถึงความสะเพร่าของตนเองก่อนจะแจ้งผู้เป็นนายใหญ่ของโรงแรมได้ทราบแล้วจึงเชิญผู้มาเยือนให้เข้าไปเพื่อแจกแจงรายระเอียดต่างๆเพิ่มเติม

           ก๊อก ก๊อก

           “กำลังรออยู่เลยครับ”

           ชิตรัตน์วางปากกาในมือลงพร้อมเงยหน้าขึ้นยิ้มรับการมาของณัฐชาหนุ่มวัยกลางคนที่มากไปด้วยความสามารถที่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้างานได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยวัยเพียงแค่สี่สิบปี จนเขาเองยังอดชื้นชมอยู่ในใจไม่ได้

           “นี้ครับรายละเอียดสถานที่จัดงานแล้วก็กำหนดการต่างๆที่ทางผมคิดไว้คราวๆ ยังไงรบกวนคุณชิตรัตน์ตรวจดูอีกสักรอบด้วยนะครับว่ามีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขเพิ่มหรือต้องการจะเพิ่มเติมในส่วนไหนบ้าง”

           ณัฐชาหันเอกสารที่ตนนำติดมือมาด้วยให้ชิตรัตน์ตรวจสอบสิ่งที่เจ้านายของเขาต้องการให้ทางฝ่ายสถานที่ลงรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นจากที่เขาเสนอไปในช่วงการประชุมเช้าเมื่อวานที่ผ่านมา

           ชิตรัตน์ไล่มองรายละเอียดของสถานที่จัดงานรวมไปถึงตารางกำหนดการในวันนั้นรวมถึงรายชื่อแขกสำคัญต่างๆที่จะต้องเชิญในงานและนักข่าวจากสำนักพิมพ์ที่ทางโรงแรมอนุญาตให้เข้ามาทำข่าวภายในงานได้

           นักข่าวหรอ ?

           “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

            ณัฐชาเอ่ยทักเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนคนคลุมคิดบางอย่างจนหัวคิ้วชนกันเป็นปมแน่นของเจ้านายหนุ่มตรงหน้า จนอดไม่ได้ถามออกไป ด้วยเกรงว่ารายละเอียดงานที่ตนกับลูกน้องช่วยกันบรีฟออกมาจะเกิดปัญหาจนเป็นที่หน้าไม่พอใจหรือยังมีอะไรที่ขาดที่พวกเขามองข้ามไปอีก

           “เปล่าหรอกครับ ผมแค่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เฉยๆ”

           ชิตรัตน์ว่าตัดความกังวลของอีกฝ่ายพร้อมส่งยิ้มน้อยๆให้เพื่อแสดงว่าตนไม่ได้มีเจตนาจะติติงงานของอีกคนจริงๆดังทีว่า เขาก็แค่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

           “อย่างให้เพิ่มอะไรหรือเปล่าครับ”

           “ครับ ผมมีเรื่องอย่างให้คุณช่วยเพิ่มเข้าไปให้ด้วย”

           เขายกยิ้มกับความรู้ใจของรุ่นพี่ผู้มากประสบการณ์ตรงหน้า ที่แค่มองหน้าก็รับรู้ได้ว่าเขาตรงการสิ่งใดอย่างนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย.....

.....................................................

              “ไม่ได้ แม่ไม่ยอม” เสียงไม่พอใจของคุณหญิงโฉมฉวีดังให้ได้ยินมาจากห้องนั่งเล่น ทำเอาคนที่เดินตามเข้ามาอย่างชิตรัตน์ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแรงกับความดื้อดึงของมารดา

           “แต่แม่ครับ”

           “นี้ตาชิน แม่บอกแล้วไงเพลงที่จะใช้ในต้องเป็นดนตรีสดบรรยากาศในงานเลี้ยงตอนเย็นมันจะได้ดูดี ไหนจะช่วงที่มีการแถลงข่าวเรื่องโปรเจคใหม่ของเราอีกละ” 

           คุณหญิงบอกถึงความเห็นในการจัดงานที่ลูกชายนำรายงานที่ได้รับวันนี้มาให้ดูคราวๆก่อนจะพบกับความผิดปกติบางอย่าง  แต่จริงๆแล้วมันก็คือความต้องการของหล่อนเองด้วยนั้นที่อยากได้นักดนตรีมาเล่นสดในงาน

           “ผมก็เข้าใจความต้องการของแม่นะครับ แต่ว่าเราจะหาได้ทันหรือครับงานมันจะมีอาทิตย์หน้านี้แล้ว”

            เขาแย้ง จริงๆเขาก็คิดเหมือนกับแม่อยู่เหมือนกกันในเรื่องนี้แต่บังเอิญว่าวงดนตรีคลาสสิกที่ตกลงกันเอาไว้ในตอนแรกไว้เกิดเหตุเฉพาะกิจบางอย่างทำให้ไม่สามารถมาเล่นในวันงานได้ แถมเพิ่งยกเลิกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วด้วยทำให้การจะมองหาวงดนตรีวงใหม่มาเล่นแทนก็หาตัวยากมากเพราะไม่มีวงไหนเลยที่มีคิวว่างตรงกับวันงาน

           “แล้วเลขาตัวดีของแกเขาไม่จัดหามาให้หรือไง หรือว่าวันๆเอาแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง” พอไม่ได้ดังใจต้องการก็เริ่มที่จะว่าแขวะแดกดันคนอื่นแทน ทำเอาคนที่ฟังอยู่ได้แต่ส่ายหน้ากับอคติที่คุณหญิงมี ซึ่งบางทีมันก็เยอะไป....

           “ไม่ใช่อย่างงั้นครับ”

           “ปกป้องกันดีจริงนะ”

           “แม่ครับ”

           “อ่ะๆๆๆ เอาอย่างงี้ละกัน ถ้ามันหาไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยเปิดแผ่นเอาเดี๋ยวมันจะมีคนหาว่าฉันเป็นพวกเรื่องมาก” ว่าจบก็กอดอกเชิดหน้าไปอีกทาง

           “ครับ แล้วแม่จะเข้าไปดูการจัดงานที่โรงแรมไหมครับ”

            เขาถามเพราะปกติแล้วเวลามีงามเลี้ยงรับรองหรืองานใดๆที่มีความสำคัญของโรงแรมคุณหญิงท่านจะลงเป็นแม่งานจัดงานเองทุกครั้ง และครั้งนี้ก็คงเช่นกันเลยลองถามยันเชิงดูก่อนเพื่อจะได้นำไปบอกให้คุณณัฐชากับพวกเด็กๆฝ่ายจัดงานให้ได้เตรียมตัวรอรับมือ

           “ยังจะถามอีกหรอขืนไม่ลงไปทำเดี๋ยวก็ได้ทำงานใหญ่เละกันพอดี” ถึงแม้ที่ผ่านมาการจัดเลี้ยงหรือรับรองแขกสำคัญของโรงแรมแม้ตนจะไม่ได้ลงไปดูเองก็จัดกันได้อย่างไร้ที่ติ จะว่าไม่ไว้ใจหรือก็ไม่แต่คงเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ออกมาตามความต้องการของตนมากกว่าเลยต้องลงไปดู ยิ่งงานสำคัญต่อกิจการครอบครัวอย่างงี้แล้วยิ่งต้องเข้าไปกำกับเอง

           “เดี๋ยวพรุ่งนี้สักบ่ายๆฉันจะเข้าไปแล้วกัน รอทานข้าวพร้อมกันด้วยละ”  คุณหญิงว่าก่อนลุกขึ้นเพื่อกลับไปยังห้องนอนของตัวเองเพื่อพักผ่อน ทิ้งชิตรัตน์ไว้เพียงลำพัง

 
           ค้อยหลังของผู้เป็นแม่ไปชิตรัตน์ก็ล้วงมือหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวของตนออกมากดต่อสายถึงคนที่คิดถึงทันทีโดยไม่ลืมที่จะชะโงกมองเพื่อความแน่ใจว่าแม่จะไม่มาย้อนกลับลงมาเห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ จนเผลอคิดไม่ได้ว่าการกระทำของเขาในตอนนี้เหมือนกับพวกเด็กวัยรุ่นริมีรักที่ต้องแอบครอบครัวคบกันยังไงอย่างนั้น

           // ครับพี่ชิน//

           เสียงใสที่เอ่ยทักขึ้นมาหลังที่รอสายเอยู่สักพักเป็นเหมือนยาชูกำลังขนาดหนึ่งที่แต่ได้ยินเสียงก็รู้สึกกระชุมกระชวยช่วย

           “ทำอะไรอยู่ครับคนดี”

           //เพิ่งทานข้าวเย็นเสร็จครับ พี่ชินละทานอะไรหรือยัง”

           “พี่กินเรียบร้อยแล้ว แล้วลูกทำอะไรอยู่”

           //น้องเกรทนั่งดูการ์ตูนอยู่กับปีแอร์ที่ห้องนั่งเล่นน่ะครับ พี่ชินจะคุยกับลูกไหม//

           “ปล่อยแกดูไปก่อนเถอะ พอดีพี่มีเรื่องจะคุยกับเรานะ”

           //เรื่องอะไรหรือครับ//

            “อาทิตย์หน้านี้เกลกับคุณธารว่างหรือเปล่าคือพี่ไม่แน่ใจว่าแก้วได้บอกเรื่องนี้ให้ฟังหรือยังนะ แต่มันเป็นวันครบรอบของโรงแรมพี่แล้วพี่คิดจะจัดแถงข่าวเรื่องโปรเจคที่พี่ทำร่วมกับคุณธารนะ เลยอยากจะเชิญคุณธารมาร่วมในงานนี้ด้วย”

           //ครับ เห็นคุณแก้วก็เปรยๆไว้อยู่แต่ไม่ได้พูดเรื่องงานแถลงข่าวเดี๋ยวยังไงเกลบอกพี่ธารให้แล้วกันนะครับ//

           “แต่งานนี้พี่อยากให้เกลมาด้วยจะได้ไหม”

           //.....//

           “เกล..”

           // ...//

           อยู่ๆปลายสายก็เงียบไปถึงจะเข้าใจอยู่ลึกๆว่าเพราะอะไรแต่เขาก็อยากให้อีกคนมาร่วมงานด้วย

           “พี่อยากให้เกลไปร่วมงานด้วย พี่เชื่อว่างานใหญ่ขนาดนี้แม่พี่คงไม่กล้าทำกระโตกกระตากแน่”

           งานใหญ่ที่ถูกอ้างย่อมหมายถึงหน้าตาและชื่อเสียงเขามั่นใจเต็มร้อยว่ามารดาแสนเอาแต่ใจของเขาคงไม่คิดอาละวาดกลางงานให้ความน่าเชื่อถือร่วงถึงชื่อเสียงของตนต้องมัวหมองแน่นอน

           //แต่ว่าคน...//

           เป็นเขาเสียเองที่ได้ยินคำพูดนั้นแล้วถึงกับต้องเงียบเสียงลง    ...อ่า...  นั้นสินะเขาลืมคิดถึงเรื่องตรงนี้เสียสนิทเกลยังไม่ปกติดีในเรื่องของการอยู่ร่วมกับคนหมู่มากและในวันงานรับรองได้เลยว่าคนต้องเยอะพอตัวจากที่คุณณัฐชาเอารายชื่อแขกมาให้ดูเมื่อเที่ยงอย่างต่ำก็อยู่ที่ห้าสิบแล้ว  งานนี้คงจะต้องตัดใจเสียอย่างน้อยเพื่อสุขภาพจิตของอีกฝ่าย

           //แต่ถ้าพี่ชินอยากให้ไปเกลไปด้วยก็ได้นะครับ//

           “ไม่ต้องหรอกเกล ถ้ามันต้องฝืนมากเกลไม่ต้องก็ได้พี่เข้าใจ” เขาเข้าใจดีถึงจะถูกปฏิเสธเขาก็เข้าใจดีไม่ถือโกรธอีกคนแน่นอน

           //ไม่ครับ เกลไหวเกลไปได้แต่....// เสียงปลายสายเว้นวรรคไปช่วงหนึ่ง ก็ไม่ได้ลดทอนความดีใจที่อยู่ในอกลงได้แม่แต่น้อย

           //เกลขอให้พี่ชินอยู่กับเกลได้ไหม//

           คำขอร้องแสนน่ารักนั้นอดที่จะทำให้เขาเผลอระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ในเมื่อเด็กน้อยแสนขี้กลัวของเขาขอมาขนาดนี้แล้วมีหรือเขาจะปฏิเสธได้ จริงไหม......

           “ได้สิครับ ถึงเกลไม่ขอพี่ก็จะอยู่ข้างๆเกลตลอดทั้งงานอยู่แล้ว”

           //จริงนะ// เสียงตื่นเต้นระคมดีใจที่รอดมาตามสายทำเอาอดนึกถึงใบหน้าสวยที่ส่งยิ้มร่าอย่างดีใจให้ไม่ได้เลย

           “จริงสิครับ งั้นเดี๋ยวพี่ขอไปจัดการกับตัวเองก่อนนะแล้วเดี๋ยวจะโทรไปใหม่”

           //ได้ครับ เกลจะรอนะ//

           ชิตรัตน์ค่อยๆลดแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ลงเมื่อสิ้นสัญญาณการโทรลง เดินตรวจเช็ครอบในตัวบ้านก่อนจะสั่งให้แม่บ้านที่กำลังผ่านมาจัดการล็อกบ้านเสียให้เรียบร้อย  ก่อนจะจัดการอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมเข้านอนโดยไม่ลืมเวลาครอบครัวที่รับปากคนบางคนไว้ในใจว่าจะไม่ให้ต้องรอนาน

           การพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ความรู้สึกไกลที่มีมาเริ่มลดทอนลงเหลือเพียงแค่เอือม แต่เชื่อสิว่าอีกไม่นานนี้แหละเขาจะคว้ามันมาไว้ในมือได้อย่างแน่นอน

 
           “ไม่ได้”

           “พี่ธารครับ”

           เกลรู้สึกอ่อนใจอย่างยิ่งกับท่าทีดื้อรั้นไม่ฟังใครของพี่ชายตัวโตตรงหน้าที่เกิดอาการไม่พึ่งใจกับเรื่องที่เขานำมาพูดบนโต๊ะอาหารในตอนเช้า

           ซึ่งความจริงแล้วหลังจากพูดคุยกับชิตรัตน์เสร็จตอนแรกก็ว่าจะบอกเรื่องที่อีกคนฝ่ากบอกมาให้พี่ชายรู้เรื่องเลย แต่กลับต้องพับเรื่องเก็บไว้เพียงเพราะไม่อย่างขัดอารมณ์คนที่กำลังทำหน้าที่สามีที่ดีบีบนวดขาให้ว่าที่ภรรยาอยู่ในห้อง เพราะกลัวจะไปทำให้อีกบรรยากาศดีเสียเอาเลยว่าบอกตอนเช้าที่เดียวน่าจะดีกว่าเพราะยังไงพี่เขาก็ต้องไปส่งคนรักอยู่แล้วมีอะไรค่อยส่งให้ไปเคลียร์กับชิตรัตน์เอง

           “น้องก็รู้เหตุผลดีไม่ใช่หรือไงว่าเพราะอะไรพี่ถึงห้าม แล้วทำไมยังจะดื้อกับพี่อีก”  คนน้องถอนหายใจอย่างแรงหลังจบประโยคคำพูดของพี่ชาย

           “แต่งานนี้พี่ชินเชิญเราสองคนไปนะครับ”

           “พี่รู้เดี๋ยวพี่ไปเองเรานะอยู่บ้านเลยไม่ต้องไป”

           “แต่น้องรับปากแล้วว่าจะไป” เขาแย้ง

           “เดี๋ยวพี่ไปยกเลิกให้”

           “พี่ธาร”

           “น้องเกล พี่ขอละอย่าไปเลยถ้าเกิดเรื่องแบบคราวที่แล้วละจะเป็นยังไงพี่คงทนไม่ได้ถ้าน้องชายของพี่จะเป็นอะไรไปอีกต่อหน้าต่อตาพี่แบบนั้น พี่ทนไม่ได้จริงๆเข้าใจพี่นะ”

           เกลมองพี่ชายตัวโตที่ลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมานั่งชันเข่าอยู่ข้างๆวีลร์แชร์พร้อมกุมมือเขาเอาไว้ข้างหนึ่งเหมือนต้องการความเข้าใจในเจตนาที่สื่อมาให้

           “น้องรู้ว่าพี่ธารเป็นห่วงน้องแต่พี่ชินสัญญาแล้วว่าจะอยู่ข้างๆน้องตลอดงาน ถึงยังไงพี่ชายพี่พลแล้วก็ปีแอร์ก็ไปด้วยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนเชื่อน้อง”

           เขาพยายามเกลี่ยกลอมพี่ชายที่ดูจะไม่หมดความมานะในการขัดข้างเสียเหลือเกิน จนเขาเองเริ่มอ่อนใจจึงหันไปสบตาขอความช่วยเหลือจากอีกสองคนที่อยู่ร่วมโต๊ะ

           “เรื่องนี้ผมเห็นด้วยกับธารนะ งานเลี้ยงย่อมหมายถึงคนที่มารวมกันคุณเองก็ใช่ว่าจะเจอผู้คนมากแล้วไม่เป็นอะไรอยู่บ้านกับผมน่าดีกว่า”

           ธารรีบพูดเห็นด้วยกับคำพูดของไรอันที่เอ่ยขึ้นมา เพราะนอกจากเรื่องที่กลัวว่าคุณหญิงจะหาเรื่องน้องเขาแล้วยังมีอีกเรื่องที่เขาหวั่นใจไม่แพ้กันคือเรื่องของจำนวนคนที่จะไปร่วมในงาน นี้ละเหตุผลที่เขาจะสามารถกันน้องให้ออกจากงานบ้าๆนี้ได้เสียที

           “แต่ทางโรงแรมมีห้องรับรองไว้ให้ ถ้ากลัวว่าคุณเกลจะไม่คุ้นชินกับคนหมู่มากเดี๋ยวผมพาไปพักที่ห้องนั้นเองก็ได้”  เกลหับไปยิ้มรับคำพูดของอัศวินท้องโตที่อยู่ตรงข้ามไม่ได้ที่หยิบยื่นข้อความอันเป็นผลดีให้แก่เขา

           “แต่ว่าแก้ว...”

           “เอางี้นะคุณก็ไปคุยรายละเอียดกับคุณชินเอาเองละกันเพราะตอนนี้ผมสายมากแล้ว”

            แก้วกล้าตัดบทลุกขึ้นแล้วเตรียมจะออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ข้างนอกคล้ายกับเป็นการมัดมือชกให้อีกคนหยุดพูดเรื่องที่ดูจะไม่จบง่ายๆนี้ลงเสียที ธารเองที่ยังไม่ทันโต้แย้งอะไรออกไปก็รีบเดินตามคนท้องไปแต่ไม่ลืมที่จะเข้าท่หอมแก้มน้องเป็นการลาก่อนเหมือนทุกครั้งด้วย

           “ดื้อจริงๆนะครับ” ไรอันบ่นเสียงเบาให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งคนถูกตำหนิก็เอาแต่หัวเราะคิกคักไม่สำนึกจนคนแก่กว่าได้แต่ส่วยหน้ากับนิสัยของสองพี่น้องบ้านนี้เหมือนกันจริงๆโดยเฉพาะความดื้อเนี่ย  ถอดกันมาอย่างกับแกะ.........

           “อย่าพูดอย่างงั้นสิครับพี่ไรอัน”

           ไรอันส่ายหน้าไปมาอย่างระอาก่อนก้มหน้าฝืนกินข้ามต้มหมูในชามต่อแม้จะรู้สึกผะอืดผะอมกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาหน่อยๆจนรู้สึกอิ่มแล้วขอตัวออกไปเดินเล่นหลังบ้านแทนปล่อยให้เจ้าเด็กดื้อที่ตนประมานไว้ก่อนหน้านั่งละเมียดข้าวต้มอย่างอารมณ์ดีต่อคนเดียว

           เกลเหลือบมองแผ่นหลังของพี่ชายบุญธรรมที่เดินออกไปจากห้องทานข้าวไปก่อนสั่งเด็กรับใช้ที่ยืนรอรับคำสั่งให้ไปตามชายกับพลมาหา

           เกลก้มลงทานมื้อเช้าของตนต่อจนหมดก็ประจวบเหมาะกับที่คนสนิททั้งสองที่เขาเรียกหามาถึงพอดี ทั้งคูก้มหัวเล็กน้อยให้นายน้อยตรงหน้าก่อนจะเป็นชายที่ให้เด็กมาเก็บชามข้าวของเจ้านายออกไปแล้วปิดล็อกประตูห้องทานข้าวเสีย

           “เกลจำได้ว่าวันก่อนพี่ชายกับพี่พลมีเรื่องจะบอกใช่ไหมครับ” เขาเริ่มต้นบทสนทนาเป็นเรื่องที่ค้างอยู่หลังจากกลับจากบ้านของชิตรัตน์แต่เพราะมีเกรทอยู่ด้วยจึงผลัดออกมาก่อน

           “ครับ”

           “เรื่องอาการป่วยของคุณหญิง ผมลองถามป้าคนหนึ่งที่แกอยู่บ้านนี้มานานแกเล่าว่าหลังจากสิ้นคุณท่านพ่อของคุณชินคุณหญิงก็เริ่มป่วยเรื่อยๆจนมาเป็นหนักเพราะโรคหัวใจ บ่อยครั้งที่มักเอามาเป็นขอต่อรองให้คุณชินทำเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้”

           “เพราะแบบนี้เองสินะ แล้วยังไงต่อครับ”

           “ผมกับชายเคยส่งรายงานเรื่องอาการป่วยของคุณหญิงไปแล้วเพราะงั้นผมขอข้ามส่วนนี้ไปนะครับ  ที่ผมว่าน่าสนใจคือเรื่องนี้ต่างหากครับ...............................”
 
..................................................
 
         
o18
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 20- 10-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 10-02-2017 21:15:46

o18

 “ยินดีต้อนรับท่านผู้มีเกียรติ์ทุกท่านเข้าสู่งานเลี้ยงฉลองครบรอง70ปีของการก่อตั้ง บริษัทนพเทพ ผู้นับด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆของประเทศที่มีรากฐานที่มั่นคือโรงแรมแห่งนี้ ...........................”

           เสียงหวานของพิธีกรสาวสวยมากความสามารถที่ถูกเชิญมาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ดำเนินการจัดงานยืนกล่าวต้อนรับแขกที่เข้ามาร่วมงานในวันนี้พร้อมบรรยายความเป็นมาของ นพเทพกรุ๊ป กลางเวทีขนาดกลางดังก้องไปทั่วห้องบอลลูนของโรงแรมที่ใช้จัดงานและดังลอดออกไปถึงหน้าประตูห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่แห่งนี้ ความลื้นไหลของานที่แม้จะเพิ่งเริ่มงานมาได้ไม่นานแต่ก็คลาคลั่งไปด้วยผู้มีเกียรติ์ที่ถูกเชิญมา ส่วนหนึ่งเป็นผู้ถือหุ้น บางส่วนเป็นลูกค้ากิติมาศักดิ์ที่ใช้บริการกันมานานร่วมถึงนักการเมืองระดับสูง และนักข่าวที่ได้รับอนุญาตเข้ามาทำข่าว โดยความเรียบร้อยของงานอยู่ภายใต้การดูแลและกวดขันของคุณหญิงโฉมฉวี ที่รับหน้าดูแลแขกภายในงานและให้ชิตรัตน์ยื่นต้อนรับอยู่หน้างานพร้อมลูกชาย

           ความจริงแล้วชิตรัตน์ไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงแค่ว่ามารอต้อนรับแขกที่เพิ่งมาถึง แต่ที่เขาต้องการคือมารอรับ แขกพิเศษ ของเขามากกว่า ชายหนุ่มยืนตอบคำถามมากมายของนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องงานในวันนี้บางก็ถามหาลูกชายของเขาว่าหายหน้าหายตาไปไหนไม่มาร่วมงานด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คงเป็นพวกความรู้สึกที่ได้มีวันนี้ขึ้น ซึ่งมันก็คำถามทั่วๆไปที่นักข่าวต้องถามตัวเขาเองก็ไม่คิดอะไรมากในการตอบคำถาม แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งในนักข่าวกลุ่มนี้จะมีคนที่หูตาไวเอาเรื่องอยู่คนหนึ่ง

           “จริงหรือเปล่าคะ ที่ว่างานในวันนี้จะมีการเปิดตัวบุคคลสำคัญของคุณชิตรัตน์ด้วย”

           นักข่าวสาววัยน่าจะเพิ่งแตะเลขสามที่ดูจะมีไฟในการทำงานมากเป็นพิเศษถามขึ้นท่ามกลางความสนใจของเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นที่เริ่มเงียบแล้วหันไปทางเจ้าหล่อนแทนอย่างสนใจในหัวข้อข่าวที่พวกตนเองก็เพิ่งจะได้ยิน

           “ไปเอาข่าวนี้มาจากไหนหรือครับ”

           ชิตรัตน์ยกยิ้มชอบใจกับคำถามที่ได้ บวกกันคำตอบที่ก่ำกึ่งจะปฏิเสธหรือก็ไม่จะยอมรับหรือก็ไม่เชิง ยิ่งกระตุ้นเร้าความกระหายใคร่รู้ของนักข่าวเกือบร่วมสิบที่อยู่ตรงนี้ได้ไม่ยาก ยิ่งผู้ที่จะให้ตอบได้ก็เอาแต่ยกยิ้มไม่หื้อไม่อือด้วยแล้วพวกเขายิ่งอยากรู้

           “คุณพ่อ!!” 

           ทุกคำถามย่อมมีคำตอบ เมื่ออยู่ๆเสียงของคุณหนูน้อยของนพเทพกรุ๊ปก็ร้องตะโกนเรียกคนที่อยู่ในวงล้อมของนักข่าวนั้นให้หันมาสนใจการมาถึงของเขา

           ผู้มาใหม่สามคนพร้อมผู้ติดตามอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งออกจากลิฟต์มา หนึ่งในนั้นพวกเขาพอคุ้นตาเพราะคือเลขาที่มักไปไหนมาไหนกับผู้ที่ยังคงอยู่ในวงล้อมของนักข่าวแต่หนุ่มลูกครึ่งตัวโตดูภูมิฐานที่เดินเคียงข้างมาด้วยนั้นพวกเขาไม่เคยเห็นหน้าแม้สีหน้าจะแสดงถึงความไม่พอใจอยู่ลึกๆแต่ก็ไม่ทำให้ความดูดีนั้นน้อยลงเช่นเดียวกับหนุ่มใบหน้าสวยที่นั่งอยู่บนวีลร์แชร์ที่สวยสยบทุกสายตา และยิ่งมาพร้อมกับคุณหนูน้อยของที่นี้ด้วยแล้วยิ่งสร้างความสนใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว

           “ขอตัวนะครับ” เสียงขัดของชิตรัตน์ที่เอ่ยเรียกความสนใจของนักข่าวให้หันกลับมามองนักธุรกิจหนุ่มคนเดิม ที่เดินแทรกตัวฝ่าวงล้อมนักข่าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนุ่มหน้าสวยปริศนานั้น

           “พี่ดีใจที่เกลมาได้”

           ชิตรัตน์เอ่ยเบาๆหลังละริมฝีปากออกจากแก้มขอคนรักท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นและแสงจากกล้องถ่ายรูปที่รัวกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพเมื่อสักครู่

           “ก็สัญญาไว้แล้วนิครับ”

            ชิตรัตน์มองรอยยิ้มหวานสวยอย่างปิติแสร้งทำเมินสายตาจิกกัดไม่พอใจของหนุ่มตัวโตข้างๆ และมีหรือภาพการแสดงความรักของนักธุรกิจเจ้าของงานจะรอดพ้นสายตาหลายคู่ของคนบริเวณนั้นไปได้โดยเฉพาะเหล่าผู้ทำข่าว ที่จับจ้องมองและเก็บภาพตั้งแต่อีกฝ่ายเดินฝ่าวงล้อมไปหยุดหน้าผู้มาใหม่พร้อมก้มลงหอมแก้มของหนุ่มปริศนาคนงามพร้อมคำเรียกแสดงความสัมพันธ์ของเด็กชายและหนุ่มนิรนาม

           “คุณชิตรัตน์ค่ะ ได้โปรดตอบคำถามด้วยค่ะ”

           “เป็นคนคนนี้จริงๆใช่ไหมคะ

           “ไม่ทราบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรคะ”

           และคำถามอีกมากมายที่ถูกส่งมา ชิตรัตน์ไม่ได้กังวลเรื่องการตอบคำถามนั้นอยู่แล้ว แต่ที่เข้ากำลังตกใจคือการเข้าคุกคามอย่างรวดเร็วจนคนรักของเขาเกิดอาการชะงักที่ถูกรุมจากผู้คนมากมายอย่างไวจนเกาะเข้าที่ท่อนแขนของเขาอย่างไวและออกแรมบีบอย่างตระหนก

           “ขอความกรุณาอย่าเข้าใกล้ครับ”  เป็นเสียงของพลที่เข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าการ์ดที่เข้ามากันกลุ่มคนให้ออกห่างพร้อมลูกน้องอีกสองคนที่ตามมาด้วยกระจายกันข้างไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาใกล้เกินจำเป็น

           “ถ้างั้นคุณชิตรัตน์จะตอบคำถามของพวกเราเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณ ..เอ่อ.ผู้ชายท่านนี้ว่ายังไงคะ” เป็นนักข่าวสาวเจ้าเดิมที่เคยเอ่ยประเด็นนี้ขึ้นคนแรกรับหน้าที่เป็นตัวแทนเพื่อนร่วมอาชีพถามขึ้นแม้ไม่แน่ใจในเพศสภาพของคนที่ตกเป็นหัวข้อความสนแต่ก็พอเดาได้ว่าเป็นผู้ชาย

           เมื่อได้ฟังคำถามชิตรัตน์ก็ลุกขึ้นยื่นเต็มความสูงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ยกมือขึ้นกุมคนรักเอาไว้แน่นเพื่อส่งถ่ายความเข้มแข็งให้คนที่ตระหนกตกใจรู้สึกดีขึ้น

           “ครับ อย่างที่คุณเคยถามผมเมื่อครู่นะครับคุณนักข่าว ผมขอตอบว่าเป็นจริงครับที่วันนี้ผมจะเปิดตัวคนรักของผม”  สิ้นคำตอบของชายหนุ่ม เสียงอื้ออึงพูดคุยของนักข่าวก็เริ่มดังขึ้นเป็นผึ้งแตกรังนี้ยังไม่ร่วมถึงเหล่าแขกที่อยู่บริเวณนั้นและที่เดินออกมาดูจากในงาน

           “เป็นคุณคนนี้ใช่ไหมครับ”

           “ครับ นี้คุณไนติงเกลเป็น ภรรยา ของผมและเป็นแม่แท้ๆของน้องเกรทครับ”

            ชิตรัตน์เน้นย่ำความสัมพันธ์ที่ทุกคนใคร่อยู่เสียงดังพร้อมส่งสายตาให้คนรักได้สบตลอดการพูดที่เอ่ยออกมาก่อนจะหันไปมองเหล่านักข่าวที่อยู่รอบๆ  โดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่ตนละสายตาจากมานั้นหันไปมองใคร

           คุณหญิงโฉมฉวีที่ก่อนหน้านั้นอยู่ในงานกำลังรับรองแขกอยู่นั้นก็ต้องเป็นอันเดินตามคำชวนของคุณนายท่านนายพลออกมาเพราะเห็นว่าข้างน้องเกิดเสียงดังเรียกความสนใจจากแขกเป็นจำนวนมาก ก็มาทันได้ฟังคำเปิดตัวลูกสะใภ้นอกความต้องการของหล่อนพอดี หล่อนยอมรับว่าตกใจมิใช่น้อยที่อยู่ๆลูกชายเพียงคนเดียวของตนออกมาพูดแบบนี้ทั้งที่ตนสั่งห้ามมิให้เอ่ยถึงแม่ของหลานชายมารวมหลายปี แต่วันนี้มันไม่ใช่ลูกชายหล่อนประกาศต่อหน้าธานกำนันมากมายโดยเฉพาะต่อหน้านักข่าวมากมายที่กำลังรั่วถ่ายภาพแถมเจ้าตัวปัญหาก็อยู่ข้างกายเป็นหลักฐานชั้นดีแบบนี้หล่อนยิ่งไม่พอใจ ยิ่งพอเผลอไปสบตาเข้ากับ สายตาอย่างผู้มีชัยเหนือกว่าของคนที่หล่อนเกลียดด้วยแล้วยิ่งแสนแค้นใจที่เพราะมันไม่ต่างอะไรกับถูกการเยาะเย้ย

           ....... มันแค้น แค้นจนคับอก อยากเข้าไปกระชากร่างโสมมนั้นออกมาให้ห่างจากลูกชายของตน ด่าทอให้สำนึกถึงความไม่คู่ควรแต่ก็ทำไม่ได้หากทำอย่างงั้นชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและบริษัทต้องบ่นปี้ไม่เหลือแน่ เพราะงั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือกำมือข่มอารมณ์เอาไว้จนข้อข่าว

           “เราจะได้เห็นดีกัน”
 

           งานเลี้ยงฉลองครอบรอบ70ปีดำเนินไปได้ด้วยความราบลื้นและยิ่งเป็นที่จับตามองยิ่งขึ้นเมื่อมีการประกาศร่วมธุรกิจกับทางเอลเมอร์ซี่ ที่งานนี้ท่านรองประธานเดินทางมาร่วมงานด้วยตนเองที่งานนี้เกินเสียงวิจารไปทั่วแห่งว่านี้อาจเป็นการร่วมธุรกิจกระชับความสัมพันธ์หรือไม่ เพราะตอนเริ่มงานชิตรัตน์ออกมาเปิดตัวคนรักที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายคนเล็กของท่านประธานแห่งเอลเมอร์ซี่นับว่าเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นอีกคนของบริษัทระดับโลก แม้ในแวดวงสังคมในประเทศจะไม่ค่อยมีใครเห็นหน้าคาดตามากแต่ในต่างประเทศไนติงเกลถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นรู้จักในระดับหนึ่ง ดังนั้นงานในวันนี้จึงเหมือนเป็นการเปิดตัวที่สำคัญอย่างยิ่งของทั้งสองบริษัท

           “เหนื่อยไหมครับ” ชิตรัตน์เอ่ยถามคนรักที่ตั้งแต่เข้างานมามือของทั้งคู่ยังไม่ละออกจากกัน ตามสัญญาที่เขากล่าวไว้ว่าจะอยู่ข้างๆตลอดเวลา

           “ไม่หรอกครับ ห่วงแต่ตาเกรทเถอะไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว”   เกลว่าอย่างเป็นห่วงเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วยังไม่เจอลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

           “อย่าห่วงเลยครับ ปีแอร์อยู่ด้วยทั้งคนคงไปหาอะไรเล่นกันอยู่ล่ะมั้ง”  นั้นละที่น่าห่วง ยิ่งอยู่กันปีแอร์ด้วยแล้วไม่รู้ว่าจะชวนกันไปเล่นอะไรแพล่งๆกันหรือเปล่า

           “ห่วงแต่เราเถอะ ดูสิหน้าซีดหมดแล้วกลัวอยู่หรอ”

           มือหนาไล่ไปตามรูปหน้าอย่างเบามือเหน็บปอยผมที่ล้วงทัดเขาที่หลังหูให้อย่างอ่อนโยน ดูสิหน้าขาวซีดหมดแล้วทั้งทีอยู่ในห้องแอร์ หรือยังตื่นกลัวผู้คนอยู่กัน

           “ออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยไหมเพื่อจะดีขึ้น”

            เขาเสนอซึ่งดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดหรือย่างไร ชายหนุ่มจึงพาอีกคนไปที่สระว่ายน้ำของโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกันตามคำร้องขอของอีกคนโดยมีพลเดินประกบตามออกไปด้วยเพื่อความปลอดภัย

           สระว่ายน้ำที่ชิตรัตน์พามาเป็นสระว่ายน้ำกลางของโรงแรมอยู่ติดกับสวนหย่อมขนาดเล็กของที่นี้ส่วนใหญ่มักมีการเช่าพื้นที่จัดปาร์ตี้ริมสระอยู่บ่อยครั้งเพราะที่ตรงนี้มีความเป็นส่วนตัวอยู่ในระดับหนึ่ง

           “ออกมาข้างนอกรู้สึกดีกว่าจริงๆด้วย” เสียงใสเอ่ยอย่างเอาใจเมื่อมาถึงบริเวณสระน้ำ

           “มันจะดีหรอเกลมาที่สระน้ำเนี่ย เกิดตกน้ำตกท่าขึ้นมาจะทำยังไง” เขาเอ่ยอย่างเป็นกังวล

           “พี่ชินก็ผายปอดให้เกลไงครับ”
           เสียงเย้าแหย่ของคนที่นั่งอยู่ไม่ได้ทำให้ความกังวลของเขาลดน้อยลงเลยจริงๆ จนอดที่จะปรามไม่ได้ว่าเอาแต่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก

           “น่าพี่ชิน เกลไม่เป็นอะไรหรอกครับ”

           “แล้วทำไมอยู่ๆถึงอยากมานั่งที่สระละ หืม”
           เขาเอ่ยถามขณะทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ริมสระข้างๆอีกคน ความจริงไปนั่งเล่นในสวนน่าจะรู้สึกสดชื่นมากกว่านะ

           “ก็อยู่ใกล้น้ำแล้วมันรู้สึกเย็นดีนี้ครับอีกอย่างที่โล่งๆแบบนี้น่าจะเห็นดาวด้วย”

           ชิตรัตน์ถอนหายใจกับความคิดของอีกคนก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ มีชี้ขึ้นไปบนฟ้าบ้างเมื่อเห็นดาวดวงน้อยที่ส่องแสงแข่งกับแสงไฟในเมืองหลวง

           “เอ่อ ท่านประธานค่ะ”

            เสียงของพนักงานสาวที่คาดว่าน่าจะเป็นพนักงานใหม่เดินเข้ามาในบริเวณสระน้ำเรียกความสนใจให้พวกเขาหันกลับไปมองท่าทีเก่กังของหญิงสาว

           “คือว่าคุณหญิงให้ดิฉันมาตามท่านประธานเข้าไปในงานบอกว่ามีคนอยากคุยด้วยนะคะ”
           หล่อนว่าพลางก้มหน้าก้มตา ส่อแววพิรุธบางอย่าง ชิตรัตน์ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งเขาไม่ต้องการทิ้งคนรักไว้ลำพังแม้จะมีพลอยู่เป็นเพื่อนก็ตามที

           “ไปเถอะครับพี่ชิน เกลอยู่ได้”

           “แต่...” เขาคิดไม่ตก ไม่อยากทิ้งอีกฝ่ายแต่ดูท่าทางนั้นคงจะเป็นเรื่องงานถึงได้ส่งคนมาตาม

           “พี่พลก็อยู่เชื่อเกลสิไม่มีอะไรแน่นอน  บางที่อาจเป็นเรื่องงานรีบไปเถอะครับ”

           ท่านประธานหนุ่มหันมองคนที่ถูกพาดพิงครู่หนึ่งก่อนลุกตามสาวเจ้ากลับเข้าไปในงานอีกครั้งจำใจ แม้เกลจะไม่ว่าอะไรแต่เขาก็ไม่อยากจะไปโดยทิ้งอีกคนไว้อยู่ดี.....

           “น้ำค้างเริ่มลงแล้วคุมไว้หน่อยนะครับ”

           เกลยิ้มรับและปล่อยให้คนดูแลคลี่ผ้าคุมไหล่ผืนไม่หนามากพันรอบตัวก่อนช้อนสายตาขึ้นประจวบเหมาะกันที่ดวงตาเรียวตี่เล็กอย่างคนเชื้อสายจีนของพลสบเข้ามาพอดี

           การสื่อสารด้วยสายตาที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่าขอบคุณและห่วงใยเหมือนพี่น้องที่มีแต่ความปราถนาดีต่อกันเพียงเท่านั้น แต่ความคิดนั้นคงไม่ได้เกินเข้ามาในความคิดของผู้มาใหม่ที่ค่อยเฝ้าดูมาสักระยะเพราะภาพจากมุมที่หล่อนเห็นมันไม่ใช่แค่การคุมผ้าให้กันแต่เป็นการโอบกอดและการสัมผัสของริมฝีปาก เมื่อนึกออกแล้วว่าคนคุ้นหน้าที่เคยเจอที่บ้านวันนั้นเป็นใครริมฝีปากที่เคลือบด้วยสีนู้ดก็ยกมุมปากอย่างเหยียดหยามก่อนปรากฏตัวทำลายบรรยากาศตรงหน้า

           “ถ้าคิดจะมั่วก็ควรเลือกสถานที่หน่อยนะ” เกลและพลผละหน้าออกจากันทันที่เมื่อเสียงอันไม่พึ่งประสงดังขึ้น โดยเฉพาะเกลที่คราวนี้ไม่เก็บซ้อนความไม่พอใจจนแสดงออกมาทางแววตา

           “คุณหญิงโฉมฉวี” 
_______________________________________________________

 ใครมาเจอไม่เจอดันมาเป็นคุณหญิงเสียนี้พูดได้คำเดียวเลยว่า งานเข้า !!

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงครึ่งเรื่องกันสักทีเนอะ
อาจดูยืดๆยานๆ แต่ก็จะลงจนจบนะคะไม่ต้องห่วง
เจอกันตอนต่อไปตอนเที่ยงคืนเน้อ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 21- 10-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 10-02-2017 23:47:08
ฝนหยดที่ 21

“มันคันนักหรือไงถึงต้องอดทนรอไม่ได้ต้องมาทำกันกลางแจ้งให้คนอื่นเขาเห็นแบบนี้นะ”

คุณหญิงว่าประณาม หล่อนมั่นในภาพที่เห็นเพระนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนเจอ ..ใช่ หล่อนเคยเห็นภาพแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง...   ต่อหน้าชิตรัตน์ทำตัวแสนดีเป็นคนน่าสงสานแต่นี้อะไรกันพอลับหลังลูกชายเขาได้ยังไม่ทันพ้นดีเลยก็มากอดจูบกับคนอื่นเสียนี้ จะไม่ให้หาว่าเพศยาก็คงไม่ได้..........

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณหญิงเข้าใจ”

เกลพยายามแก้ต่างอย่างใจเย็น  การมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของคุณหญิงทำให้ตัวเขาเองตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันยิ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาได้ไม่กี่วันต่อให้เขาจะพยายามฝืนตัวเองขนาดไหนร่างกายก็ยังคงที่จะอดสั่นออกมาไม่ได้

“ไม่ใช่หรอ เหอะฉันไม่ใช่ควายนะที่จะได้ดูไม่ออกนะว่าเมื่อกี้พวกแกทำอะไรกัน บัดสีบัดเถลิงที่สุด”

              คุณหญิงเบาะปากอย่างเหยียดหยามอย่างมาก  เกลพยายามสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดอย่างอดทนแม้จะยังหวาดกลัวแต่ใช่ว่าตอนนี้เขาจะไม่โกรธกับความโลกแคบของหญิงแก่ตรงหน้าที่เอาแต่สิ่งที่ตนคิดเป็นสำคัญจนไม่แม้จะฟังคำอธิบายใดๆ

“คุณหญิงควรฟังที่คนอื่นพูดบางนะครับไม่ใช่เอาแต่ความคิดตัวเองแบบนี้”

              พลที่ไม่พูดอะไรยังเริ่มที่จะต่อการถากถางของคุณหญิงตรงหน้าที่กล่าวหาเจ้านายของเขาไม่ไหวจึงต้องพูดขึ้นมาเพื่อว่าจะให้อีกคนยอมฟังคำอธิยาบบ้าง แต่คงไม่ใช่กับคุณหญิงคนนี้ที่ต่อให้มีสติก็คงไม่รับฟัง

           “จะแก้ตัวอะไรกันละ” หล่อนว่าพรางทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนเชิดหน้ากอดอกเดินเข้ามาใกล้คนที่เดินไม่ได้

              “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกกับไอ้ขี้ข้าส่วนตัวเนี่ยเป็นอะไรกัน”

            ดวงตาคมสวยตะหวัดมองคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ เขาไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่มีใครมาว่าจิกหัวคนในปกครองของตนอย่างนี้เพราะเขาไม่เคยทำและไม่คิดจะทำด้วย เขาอยู่กันมาเหมือนพี่น้องแล้วนี้อะไรกันผู้หญิงตรงหน้าถึงวาจาต่ำทรามเช่นนี้ใส่เขาและคนที่นับถือเช่นพี่ชาย ถึงสีหน้าพลจะเรียบนิ่งแต่เขามองออกมาอีกคนก็คงไม่พอใจเป็นอย่างมากเช่นกัน

           “มันจะไม่มากไปหน่อยหรือครับคุณหญิง”

           “ทำไมอย่าบอกนะว่าเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกันนะ  ก็อย่างว่าละนะคนมันเคยๆกันนิ อ๋อ ไม่สิคงต้องบอกว่าคนมันเคยกันอยู่ทุกวันสินะ”

           คำประณามที่ออกจากปาก ยิ่งทวีแรงโทสะที่สุมเก็บไว้ในอกบางให้กระพือยิ่งขึ้น จนคนฟังได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุคุณหญิงถึงได้พูดจาหยาบคายแบบนั้นออกอย่างไม่อายปาก นี้หรือคนที่ถือตัวว่าเป็นเพชรสูงค่าแต่วาจาการกระทำมันชั่งต่ำทรามยิ่งกว่าก้อนกวด

           “ผมไม่เข้าใจที่คุณหญิงพูด  ทำไมถึงต้องกล่าวหาผมกับพี่พลเขาเช่นนี้ด้วย”

            เสียงถามที่สั่นคอนไปด้วยความโกรธของคนที่ก้มหน้าอยู่ แต่คนฟังกลับคิดว่าเป็นการสั่นกลัวของคนมีชนักติดหลังมันยิ่งทำให้คนที่คิดเข้าข้างตัวเองว่าถือตนเป็นต่อ เหยียดยิ้มเดินวนรอบวีลแชร์อย่างถือดี

           “ฉันจะบอกให้เอาบุญนะไอ้เรื่องความสัมพันธ์คาวๆของแกกับไอ้ขี้ข้านั้นนะฉันรู้มาตั้งนานแล้ว เหอะ ลักลอบได้กันมากี่ครั้งแล้วละคิดว่าฉันจะไม่รู้หรือไง”

           คิ้วสีน้ำตาลเริ่มขมวดจนเป็นปมอย่างใช้ความคิด เขาไม่เข้าใจที่อีกคนพูดเพราะเขากับพลไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียแบบนั้นแน่       ลักลอบอะไรกันคิดเองเออเองสิไม่ว่า...........

           “หยุดตีหน้าโง่หน้าเซ่อใส่ฉันสักทีเถอะฉันไม่โง่เหมือนตาชินหรอกนะ เพราะฉันเห็นมันมาเองกับตา  ถ้าวันนั้นฉันไม่แอบไปหาแกที่คอนโดฉันคงไม่ได้เห็นแกกับไอ้หมอนี้ยืนกอดกันกลมอยู่หน้าห้องคอนโดก่อนจะลากกันเข้าไปในห้องอยู่นานสองนาน  แล้วไม่ใช่แค่นั้นยังแอบพบกันข้างนอกอีก หึ ชอบสินะไอ้แอบกินกันในที่ลับนะ”

           เรื่องที่ออกมาจากปากของคุณหญิงเขาพอจะเข้าใจแล้วว่ามันมาจากสาเหตุอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โตเช่นนี้  วันนั้นพลมาหาเขาที่คอนโดจริงแต่เพราะเขาป่วยหนักอีกคนจึงเข้ามาดูแลแทนเนื่องจากชิตรัตน์ไปต่างจังหวัดแถมชายก็ยังตามมาที่หลังด้วยเรื่องนี้ชิตรัตน์ก็รู้  ส่วนเรื่องกอดกันก็เป็นธรรมดาของพวกเขากับชายเองเขาก็ทำ ส่วนที่ออกมาเจอกันข้างนอกก็เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ชิตรัตน์รู้สึกไม่ดีที่พาคนอื่นขึ้นไปห้องที่เป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวของของเราสองคน

           ซึ่งเขาก็พอที่จะเข้าใจแล้วว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดจากความเข้าใจผิดบางทีหากอธิบายคุณหญิงน่าจะพอเข้าใจได้ เขาคิดเช่นนั้นจริง แต่เพราะคำพูดต่อมาของแม่มดแก่แสนร้ายกาจทำเอาเขาเปลี่ยนใจในทันใด

           “แต่ก็ยังถือว่าโชคดีนะที่ตาเกรทน่ะยังเป็นลูกของตาชิน”

           “หมายความว่าไง” เขาหรี่ตาลงอย่างแคลงใจ

           “นี่ยังต้องให้ฉันพูดอีกหรอย่ะว่าหมายถึงอะไร แม่มันมั่วมันร่านขนาดนี้ฉันก็ต้องการความแน่ใจเป็นธรรมดาว่าเด็กที่เกิดมาเป็นหลานของฉันจริงๆ”

           “นี้คุณไม่เชื่อหรอว่านั้นเป็นหลานของคุณนะ”

           “ใช่ ฉันจับตาเกรทตรวจDNAจนแน่ใจว่าใช่ลูกของชิตรัตน์แน่ๆฉันถึงรีบไปรับตัวมาเพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าปล่อยให้คนอย่างแกเลี้ยงเนี่ย จะเอาความร่านไร้ยางอายแบบไหนใส่สมองเด็กกัน”

           “ทั้งที่คุณก็แน่ใจว่าตาเกรทเป็นหลานแท้ๆของคุณแล้วทำไมถึงทำแบบนั้นกับแก ทำให้แกเจ็บปวดทำไม!!”  เกลตะหวาดอย่างเหลืออด เขาไม่เข้าใจตระกะของผู้หญิงตรงหน้าแม้แต่น้อยทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่านั้นคือหลานคือสายเลือดของตนแล้วทำไมต้องทำลายจิตใจดวงน้อยของเด็กที่ยังไม่รู้ความด้วย

           “ฉันพูดอะไรหรอ อ้อ ตาเกรทหลานฉันคงบอกแกแล้วสินะว่าฉันสรรเสริญความเลวทรามของแม่มันว่ายังไงมั่ง เป็นไงถูกต้องอย่างที่ฉันว่าไหมละ” คุณหญิงว่าอย่างสาแก่ใจก้มหน้ามองคนที่อยู่ต่ำกว่า

            “แต่ตาเกรทยังเด็กคุณไม่ควรพูดแบบนั้นให้แกฟัง” เกลค้านพร้อมมองด้วยสายตาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อจนคนมองถึงกลับสะดุ้งไปเล็กน้อย

          เพี๊ยะ!!     

           “แกไม่มีสิทธิมามองหน้าฉันอย่างงี้นะ”

           เพราะไม่ชอบให้ใครดูถูกและวางอำนาจใส่ หล่อนจึงฟาดฝ่ามือลงเข้าที่หน้าของคนอ่อนอายุกว่าอย่างเหลือทน ก่อนจะจิกเข้าที่กลุ่มผมยาวของอีกคนที่หน้าหันตามแรงตบให้มาเผชิญหน้าใหม่   พลที่เห็นท่าไม่ดีก็ตั้งท่าจะเข้าไปห้ามแต่ก็ต้องหยุดเท้าลงเมื่อคนเป็นนายยกมือห้ามไว้เสียก่อน               
           “ทำไมผมจะไม่มีสิทธิ ผมเป็นแม่ของเขาในเมื่อคุณหญิงไม่คิดจะเลี้ยงเขาด้วยความรักผมก็จะเอาลูกผมคืน”           

          เพี๊ยะ!     

              “อย่ามาพูดว่าไม่มีสิทธิกันฉันนะ นั้นหลานฉันฉันจะรักหรือจะร้ายยังไงกับมันก็ได้เพื่อไม่ให้เชื้อแม่มันแผลงออกมา แต่ดูท่าเชื้อแม่มันจะแรงถึงได้ดื้อด้านเหมือนกันไม่มีผิด”

           หล่อนตวาดเสียงแข็งก่อนออกแรงเหวี่ยงคนที่จิกหัวอยู่ให้ลงไปนอนกับพื้นหินกรวดของขอบสระที่ถูกปูไว้ป้องกันแขกที่มาเล่นน้ำลื้นล้มทำให้แผลเดิมที่ดูจะสมานกันดีแล้วเกิดมีเลือดซึมออกมาอีก

           “คุณเกล”

            พลวิ่งเข้าประคองคนเป็นนายที่ลงไปอยู่นั่งที่พื้นผมเผ้าที่สลวยยาวอย่างเมื่อตอนมากลับยุ้งเหยิงเพราะถูกจิก  แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าฝ่ามือที่มือผ้าพันไว้แต่เดิมเริ่มมีเลือดซึมออกมาจากแผลเก่าที่ปริออก

           “ห่วงกันขนาดนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าฉันเข้าใจผิดอีกหรอ เหอะ นังเพศยาเอ๊ย” หล่อนเดินเข้ามาใกล้คนที่ล้มอยู่ที่พื้นอย่างสะใจ

           เกลตวัดสายตามองอย่างเหลือทนกับกริยาวาจาที่แสนทรามด่าว่าเขาก็พอทนแต่นี้เอาความเกลียดชังที่มีต่อเขาไปลงที่ลูกผู้ไม่รู้ความของเขาแบบนี้เขาทนไม่ได้ ในเมื่อไม่คิดคืนให้เขานี้ละจะเป็นคนเอาลูกคืนมาเอง

           เกลบิดตัวออกจากการประคองของพลผลุดลุงขึ้นยืนเต็มความสูงของตนตะหวัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางราคาแพงอย่างแรงส่งผลให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวและไม่สามารถต้านแรงของเขาได้เซถลาตกไปยังสระน้ำที่อยู่แค่เอี่ยม

          ตูม!!!

          เสียงมวลน้ำที่กระจากออกเป็นวงกว้างพร้อมกับร่างของคุณหญิงโฉมฉวีที่พลัดตกลงไปอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง เกลที่ลุกยืนขึ้นอย่างฉับพลันนั้นเริ่มแสดงอาการโงเงหลังจากอะดรีนาลินในร่างกายกลับมาเป็นปกติจนเกือบจะล้มลงไปกับพื้นอีกรอบ ดีที่พลอยู่ใกล้จึงสามารถคว้าร่างนั้นเอาไว้ได้ทัน

           “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด นี้แกกล้าดียังไงมาตบฉัน”

          “แล้วคุณมีสิทธิอะไรมาทำร้ายผมละ”
           เกลตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงจะกลัวแต่เขาก็ไม่ยอมถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนกันถ้าเขาเจ็บมันต้องเจ็บมากกว่า

          “จำใส่กะโหลกหนาๆของคุณเอาไว้สะคุณหญิงทุกสิ่งที่มันเป็นของผม ผมจะเอาคืนมาทั้งหมด ทั้งลูกและก็พี่ชินต้องเป็นของผม จำเอาไว้”

           เกลทิ้งท้ายเอาไว้เสมือนเป็นคำประกาศเจตนาของการกลับมาให้คู่แค้นรับรู้ก่อนขอให้พลพาตนกลับไปยังงานเลี้ยงด้านใน เพราะตัวเขาเองก็เริ่มรู้สึกไม่ดีกับที่นี้ขึ้นมาพอดี

           นับว่าโชคดีอยู่ไม่น้อยที่บริเวณที่ไม่มีคนผ่านมาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงต้องยกความดีความชอบครั้งนี้ให้กับหญิงแก่มากความที่กระฟัดกระเฟียดอยู่ในน้ำที่สั่งไม่ให้ใครเข้ามาบริเวณนี้ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อเขาไม่ใช่น้อยเช่นกัน  แต่ทว่าคงไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อพวกเขาผ่านมาถึงบริเวณทางออกของสระน้ำก็พบกับเข้ากับผู้เห็นเหตุการณ์หนึ่งเดียวที่ซ้อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้

           ฤดีมาศ ที่ถูกชิตรัตน์สั่งให้มาดูแลคนรักของเขาด้วยเพราะเมื่อมาถึงยังห้องจัดเลี้ยงก็ไร้เงาของผู้เป็นแม่ที่เป็นคนสั่งให้คนมาตามเขาเข้ามาครั้นจะเดินกลับไปก็ไม่ทันเมื่อแขนเหลื่อต่างพากันเข้ามาคุณกับถึงเรื่องต่างๆจนไม่สามารถปลีกตัวไปได้ไหนจะธารที่ต้องค่อยดูแลคนท้องที่เริ่มยื่นไม่ไหวจนต้องพาไปพักที่ห้องข้างๆ จนเหลือเพียงเขาที่ต้องรับหน้าแขกเองการที่เจ้าภาพจะหายกันไปหมดคงไม่ดีแน่ เขาจึงสั่งให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ถือว่าสนิทกันอยู่ในระดับหนึ่งไปดูแลคนรักแทนเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆกลัวจะเกิดอะไรขึ้นเพราะการที่แม่เขาหายไปเช่นนี้มีทางเดียวคือต้องตามไประรานหาเรื่องคนรักเขาเป็นแน่

           ซึ่งก็เป็นดั่งชิตรัตน์คาดการณ์ไว้เพียงแต่ยังไม่ทันที่สาววัยกลางคนผู้ที่ถูกส่งเป็นม้าเร็วมาช่วยจะได้ทำอะไร ฉากเด็ดที่คุณหญิงผู้แสนร้ายกาจตบหน้าลูกสะใภ้ครั้งที่สองพร้อมคำพูดที่กล่าวมาหล่อนได้ยินชัดแจ้งแต่พอจะเข้าไปช่วย คนที่ตนจะเข้ามาห้ามก็ถูกลูกสะใภ้คนงามของตนเองตบจนตกสระ จนมาตอนนี้ที่ทั้งสองสบตากับ ฤดีมาศยอมรับว่าอดหวั่นใจไม่น้อยเพราะสายตาเย็นเยือกของคนที่ใครๆก็บอกว่าสวยนั้นบ่งบอกได้ว่าเขาพร้อมจะฆ่าได้ทุกคนที่มาขว้าง

           “ปะ เป็นอะไรไหมคะ เอ่อ.. คุณชิตรัตน์สั่งให้ดิฉันมาดูคุณนะคะ”

           ฤดีมาสถามตะกุกตะกัก อย่างน้อยทำให้อีกคนรู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาทำร้ายน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด  และมันก็ได้ผลเมื่อสายตาแข็งกร้าวเมื่อครู่ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดแต่มือที่สั่นนั้นก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นจนหล่อนแอบคิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่อีกคนจะต้องโกรธมากขนาดไหนกันถึงเปลี่ยนความกลัวเป็นโทสะได้ขนาดนั้น

           “อย่างนั้นเหรอครับ”

           เกลยิ้มรับก่อนทำหน้าคลุมคิดบางอย่างพร้อมมองผู้หญิงตรงหน้าไปด้วย บางทีถ้าเขาขอความช่วยเหลือจากอีกคนก็น่าจะได้ถึงเขาจะสัญญากับพี่ธารไปแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้แต่เขาไม่ได้พูดนิว่าจะขอให้มีคนช่วยไม่ได้......
 
           “พี่มาศไปไหนมานะ”

           เสียงของนิดที่กำลังเดินดูความเรียบร้อยของงานแทนหัวหน้าที่อยู่ๆก็หายไปเสียดื้อๆไม่บอกกล่าวรีบโบกมือหย่องๆเรียกคนที่กำลังตามหาอยู่ทันทีที่เจอหน้า

           “คุณชิตรัตน์วานพี่ไปดูคุณไนติงเกลมานะ”   หล่อนตอบก่อนจะกระดกน้ำเข้าปากเสียอึกใหญ่

           “เหรอๆ แล้วเป็นไงมั่งพี่”

           หญิงสาวถามกลับอย่างอยากรู้ ก็แม้อีกคนเป็นถึงภรรยาเจ้าของโรงแรมที่หล่อนทำงานนี่นะ มันก็ต้องอยากรู้บ้างไม่เห็นแปลกจริงไหม..

           “คือ...”

           “..”

           “..”

           ฤดีมาสอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรออกมาจนนิดเริ่มรู้สึกว่าพี่หัวหน้าฝ่ายของตนจะต้องไปเจอกับเรื่องอะไรที่มันน่าจะเป็นหัวข้อของวงสนทนาในวันพรุ่งนี้ของโรงแรมแน่ๆ เธอจึงไม่รอช้าที่จะรบเร้าให้อีกคนพูดมันออกมาจนหมด

           “พี่ไป...............”
 
              ร้อนถึงหูของธารที่ได้ข่าวถึงเรื่องนี้จนต้องรีบออกจากงานมายังห้องรับรองที่อยู่ด้านข้างเพื่อดูน้องน้อยสุดที่รักก็อดไม่ได้ที่จะโกรธลมออกหู เพราะเจ้าตัวดีที่ที่นั่งหน้าสลดทำแผลให้น้องเขาใหม่อยู่นั้นมันรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลน้องของเขาแต่นี้อะไร แผลที่มือปริจบเลือดซึม ใบหน้าขาวมีรอยแดงครบทั้งห้านิ้วทั้งสองข้าง ผมเผ้ายุ้งไม่เป็นทรง ธารไม่เสียเวลาคิดไตร่ตรองอะไรให้มากความรีบตรงเข้าไปหาชิตรัตน์ที่นั่งอยู่แล้วกระชากอีกคนขึ้นมาประจันหน้าก่อนจะส่งหมัดหนักๆเข้ากระแทรกใบหน้าหล่อนั้นอย่างแรง

 
     
    :katai1:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 21- 10-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 11-02-2017 11:45:27
:katai3:

 ผลั๊วะ

           “ไหนมึงบอกว่าจะดูแลน้องกู แล้วทำไมเป็นแบบนี้”

           คำหยาบที่นานๆครั้งจะหลุดออกมาจากปากของธารพร้อมกับแรงกระชากที่ขอเสื้อของชิตรัตน์อย่างเอาเรื่อง อุตส่าห์ไว้ใจให้มันดูแลแล้วนี้อะไรยังไม่ทันไรน้องเขาก็ได้แผลอีกแล้วอย่างนี้จะให้เขาไว้ใจมันได้ยังไงกัน

           “พี่ธารอย่า”

           เกลร้องห้ามไม่ให้พี่ชายทำอะไรคนรักของตน แต่ธารไม่ฟังอะไรทั้งนั้นรัวหมัดใส่หน้าอีกคนที่ยอมยืนนิ่งเป็นกระสอบทรายให้เขาต่อยอย่างแรงอยู่หลายครั้งจนแรงรั้งที่ท่อนแขนของเขาที่ทำให้ธารต้องยกแขนค้างกลางอากาศทำให้คนเลือดร้องอย่างธารนิ่งลงแล้วหันมามองคนที่เข้ามาห้ามอย่างไม่พอใจ

           “คุณธาร แก้วขอพอได้แล้ว”

           “ไม่เห็นแก่แก้วก็เห็นแก่เด็กเถอะ คุณมาทำร้ายพ่อต่อหน้าลูกแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเลยนะค่อยๆคุยกันก็ได้”

           แก้วกล้าพยายามไกล่เกลี่ยให้ธารใจเย็นลง เพื่อให้ชาติอาศัยจังหวะนี้เข้าไปพยุงเจ้านายของตัวเองขึ้นมาธารมองหน้าชิตรัตน์อย่างไม่สบอารมณ์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นสายตาตำหนิจากแก้วกล้าและเสียงร้องสะอื้นของเกรท ธารดูขัดใจเป็นอย่างมากจึงเลือกที่จะเดินกระแทรกเท้าออกจากห้องรับรองนี้ไป

           “คุณชินเป็นอะไรไหมครับ”

           ชิตรัตน์ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะรับเอาผ้าเย็นจากใครสักคนในห้องที่ยื่นมันมาให้เขารับไปประคบหน้า ก่อนจะบอกให้แก้วกล้าตามธารไปเพื่อว่าอย่างน้อยอีกคนที่ปั้นปึ่งออกจากห้องไปอยากจะมีคนพูดระบายอะไรด้วย  ส่วนเขาก็มีเรื่องอยากจะสารภาพบาปกับคนรักเช่นกัน

           “พี่ขอโทษนะเกลที่ทำตามสัญญาไม่ได้”

           ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาที่อก เขาไม่เคยที่จะปกป้องคนที่รักไว้ได้เลยสักครั้งเดียว มันก็สมควรแล้วที่เขาจะต้องมาโดนอะไรแบบนี้ เขาไม่โกรธธารเลยจริงๆที่ต่อยเขาไม่ยั้งแบบนั้น ดีเสียอีกเขาจะได้รู้สึกผิดน้อยลงเพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รับการลงโทษ

               “ไม่หรอกครับ” เกลปลอบ

            “เพราะอย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เกลรู้แล้วว่าทำไมคุณหญิงถึงไม่ชอบเกล”
           เกลพูดขึ้น ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ให้ชิตรัตน์ฟังโดยมีฤดีมาสที่ถูกตามตัวมาเป็นพยานยืนยันเรื่องราวที่เกิดขึ้นรวมกับพล
         
          ปึ้ง!!

            “ตาชิน ออกมาให้ห่างๆไอ้เด็กตอแหลนั้นเดี๋ยวนี้นะ”

           บานประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรงด้วยฝีมือของคุณหญิงที่ร่างกายเปียกปอนไปหมดจนดูไม่ได้ห้อง พร้อมพนักงานหญิงอีกสองคนที่วิ่งเอาผ้าเช็ดตัวผื่นขาววิ่งตามมาที่หลังเพื่อนำมาห่มให้ร่วมถึงธารและแก้วกล้าที่ตามมาสมทบที่หลัง

           “คุณหญิงค่ะ เช็ดตัวก่อนเถอะนะคะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา ว้าย!” แต่ความเป็นห่วงของเธอก็ไม่ประสบผลเท่าใจนักเมื่อได้รับการตอบแทนเป็นแรงผลักจนเกือบล้มลงกับพื้นโชคดีที่ชายอยู่ไม่ไกลเข้าไปรับได้ทันท่วงที

           “แม่ หยุดนะครับ” ชิตรัตน์ลุกขึ้นมาขว้างทันทีที่แม่ของตนพุ่งเข้ามาหมายจะทำร้ายที่ตื่นตกใจอยู่บนวีลแชร์

           “ปล่อยแม่ แม่จะฆ่ามันไอ้สารเลวนี้มันตบแม่ทำให้แม่ตกน้ำ ปล่อยสิ!!”
              คุณหญิงพยายามดิ้นให้หลุดจากแรงเหนี่ยวรั้งของลูกชาย จนชิตรัตน์หันไปสั่งพนักงานหญิงที่เข้ามาพร้อมแม่เขาให้ไปตามชาติเข้ามา

           “แม่ใจเย็นๆหน่อยได้ไหม เกลเขากลัวจะแย่อยู่แล้วเห็นไหมครับ”  เขาพยายามพูดแต่แรงดิ้นและเสียงต่อขานก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดละลง หนำซ้ำยังทวีความโทสะของคุณหญิงให้ลุกเป็นทวี

           “กลัวหรอ เหอะ แกนะโดนมันหลอกแล้วไอ้ตัวลิ้นสองแฉกอย่างนี้หรอกลัว ตอแหลละสิไม่ว่า”  ถ้ามันกลับหล่อนจริงมันจะกล้าลุกขึ้นมาตบหล่อนจนตกน้ำตกทาแล้วนี้หรือไง

           “คุณแม่!”

           ชิตรัตน์ขึ้นเสียงใส่มารดาอย่างเหลือทน ต่อให้เกลตบหน้าแม่ของเขาจนตกสระเป็นเรื่องจริงแต่ใครละที่เป็นคนเริ่มเรื่องหากไม่ใช่แม่ของเขาเอง เกลแค่ป้องกันตัวเองทำไมไม่เคยเข้าใจคนอื่นเสียมั่งเลย

           “นี้แกกล้าขึ้นเสียงใส่ฉันงั้นเหรอตาชิน”

           คุณหญิงเงยหน้ามามองลูกชายคนเดียวของหล่อนที่แสดงสีหน้าทะมึนใส่แววตาแสดงออกถึงความผิดหวังและเสียใจอย่างไม่ปิดกั้น  จนความรู้สึกเจ็บจี้ขึ้นมาที่หน้าอกอย่างเช่นเวลาที่โรคประจำตัวที่เป็นอยู่นั้นกำเริมขึ้นมา

           “ชาติให้คนไปเตรียมรถแล้วพาคุณหญิงกลับบ้านไปสะ เดี๋ยวฉันจะอยู่รับหน้าแขกเอง”

           ชิตรัตน์หันไปสั่งการกับชาติที่เข้ามาถึงพอดี ก่อนส่งร่างของคนเป็นแม่ที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดเพราะอาการของโรคหัวใจ แต่เขาก็หาสนใจไม เพราะถ้าเป็นยามปกติเขาจะเป็นคนเข้าไปดูแลหยิบยาให้ทานปรนนิบัติดูแลไม่ห่าง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เขาผิดหวังอย่างแรงกับสิ่งที่แม่ของเขาทำไม่ใช่แค่เรื่องวันนี้แต่ในหลายๆเรื่องๆโดยเฉพาะคำบอกเล่าที่เขาได้ฟัง แม่ของเขาแคลงใจในตัวหลาน เขาเชื่อในคำที่พลเล่าเพราะมันไม่มีเหตุผลใดเลยที่ทางนั้นโกหกเขาและหากมองย้อนกลับไปในหลายๆครั้งเขายิ่งปักใจเชื่อ ทุกการกระทำของแม่เขาคือการเอาความเกลียดชังในคนรักของเขามาลงที่ลูกที่เป็นหลานแท้ๆอย่างอำมหิต

           “พาออกไปทางด้านหลังอย่าให้แขกรู้เรื่องนี้เข้าใจไหม  ส่วนที่เหลือกลับไปทำงานสะ”  เขาหันไปสั่งพนักงานเสียงนิ่ง อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนพนักงานที่แอบดูอยู่หลังประตูต้องรีบจรลี่กลับไปทำงานแทบไม่ทัน ด้วยเพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ท่านประธานคนปัจจุบันของเขาจะดูโกรธเท่าครั้งนี้

           “เกลกลับบ้านไปก่อนนะ” ชิตรัตน์หมุนตัวกลับมาหากุมมือสั่นๆของคนที่นั่งขวัญเสียอยู่บนเก้าอี้

           “แล้วพี่ชิน”

           “พี่ต้องรอส่งแขก กลับไปกับคุณธารสะพาลูกกลับไปด้วยเดี๋ยวพี่ตามไป”
           ชิตรัตน์กดจูบที่ขมับเพื่อเป็นการปลอบขวัญ พร้อมเพิ่มแรงบีบที่มือของคนรักที่เต็มไปด้วยความกลัวนั้น

           “คุณธารครับ ช่วยพาเกลกับแก้วกลับไปก่อนนะครับเดี๋ยวผมขอจัดการทางนี้เสร็จแล้วจะตามไป”

           ถึงอีกฝ่ายจะไม่บอกเขาก็พร้อมที่จะพาน้องชายของเขาออกจากที่แห่งนี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ความจริงเขาอยากพาน้องชายเขากลับตั้งแต่แถลงข่าวการร่วมหุ้นเสร็จแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าน้องเขาขอเอาไว้ว่ามันจะดูเป็นการเสียมารยาทเขากลับไปแล้วไม่มาอยู่จนเกิดเรื่องเกิดราวเช่นนี้หรอก
 
           หลังจากที่ธารพาเกลและคนอื่นๆกลับไปแล้วชิตรัตน์ก็รับหน้าดูแลแขกเหลื่อต่างๆต่อ แม้จะมีสายตาอยากรู้อยากเห็นของนักข่าวที่พยายามที่จะเข้ามาถามเขาถึงเหตุความวุ่นวายข้างนอกที่พวกตนไม่ได้รับอนุญาตออกไปทำข่าวเช่นเดียวกับแขกทุกคนที่ถูกกักตัวอยู่แต่ภายในห้องจัดงานจนเรื่องทุกอย่างจบลง

           หลังจากงานดำเนินต่อไปเรื่อยๆอย่างราบรื้นจนถึงเวลาสุดท้ายของงานเลี้ยงที่เขาจะต้องส่งแขกทั้งหลายให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัยหลังจากที่เขาเพิ่งจะส่งแขกที่มางานหมดกลับเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังที่จะหันไปสั่งงานเรื่องการเก็บจัดสถานที่เพื่อใช้รับรองสำหรับงานอื่นอยู่นั้น เจ้าเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวของเขาก็แผดเสียงร้องออกมาจนประธานหนุ่มต้องถอดถอนลมหายใจอย่างแรงเมื่อลองเดาถึงผู้ที่กดต่อสายหาเขาในเวลานี้เวลาเกือบเที่ยงคืนอย่างนี้ และเมื่อล้วงมือหยิบดูก็ยิ่งได้แต่ส่ายหน้าแล้วกดรับสายของผู้มีศักดิ์เป็นบุพการีผู้เหลือเพียงหนึ่งเดียว

// ได้ยินที่แม่สั่งไหม กลับบ้านเดี๋ยวนี้//

คำทักทายแรกของปลายสายมิได้เอ่ยถามไถ่ความเป็นห่วงว่าบุตรชายคนนี้เหลือล้าจากงานที่ทำหรือไม หากแต่เป็นคำกล่าวหาที่คิดว่าเขามั่วแต่ลุ่มหลงในคนรักจนไม่ยอมกลับบ้านไปดูแลพร้อมยกเรื่องเมื่อครั้งหลังที่มักมีเขาคอยดูแลแม่คนนี้อย่างไร จนต้องชิตรัตน์ต้องบอกความจริงแก้ไขให้ทราบว่าตนทำอะไรอยู่กันแน่ ซึ่งตอนแรกดูเหมือนปลายสายจะเริ่มเข้าใจแต่พอเขาบอกว่า ไม่กลับ เพราะตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อนลูกน้องจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยซึ่งดูท่าแล้วคงไม่พ้นต้องกลับดึกดื่นจึงว่าจะนอนเสียมันที่โรงแรมนี้แหละ แต่เขาคงลืมไปว่าที่คุยกันอยู่นั้นคือ คุณหญิงโฉมฉวีผู้เอาแต่ใจและคิดเองได้เก่งกาจจนคนฟังได้แต่กุมขมับเดือดร้อนให้บริกรชายหญิงที่เดินผ่านคิดว่าเจ้านายผู้มอบเงินเดือนให้ไม่สบายกุลีกุจอหายูงหายากันยกใหญ่

           ชิตรัตน์ต้องยกเหตุผลที่ตนคิดไว้แต่แรกมาพูดให้ฟังแต่เพราะอีกฝ่ายไม่ฟังซ้ำยังประณามเขาว่าเป็นพวกโง่เขลาและชอบโกหก  ทางเขาเองก็เหนื่อยที่จะฟังเช่นกันจึงตัดสายแล้วปิดเครื่องเสียจะหาว่าเขาอกตัญญูบุพการีก็ได้ แต่ตอนนี้เขายังไม่อยากพบหน้าแม่ของเขาด้วยหลายๆเรื่องที่เข้ามาโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ทำไมเขาจะดูไม่ออกละว่าที่แก้มตอบของแม่เขาเป็นรอยแดงจากฝ่ามือไม่ใช่บลัชออนสีโปรดที่ใช้ประจำ แต่จะให้ถือโทษคนทำก็ไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นก็มีผลงานแบบเดียวกันอยู่ทั้งสองข้างแก้มแถมเขายังมีความคิดที่ว่า คุณหญิงแม่ของเขาสมควรโดนแล้วเหมือนกัน ถึงต่อให้เป็นแม่แต่ถ้าผิดเขาก็ต้องว่าตามผิด โดยเฉพาะเมื่อคิดเริ่มก่อนก็ต้องรับให้ได้หากอีกคนจะทำกลับ

           เขาไม่สงสารหรือเห็นใจแต่สิ่งเดียวที่เขารู้สึกต่อคนเป็นแม่ในตอนนี้คือเขาเหนื่อยกับนิสัยเช่นนี้และเห็นควรอย่างยิ่งที่จะดัดนิสัยเสียๆแบบนี้อย่างจริงจังหรือไม่มันก็คงต้องถึงเวลาที่เขาจะต้องแตกหักกับคุณหญิงจริงๆเสียที........................

...........................................................
 
           ความเดือดดาลใจที่มีมาแต่เดิมยิ่งประทุหนักขึ้นเมื่อสายที่กำลังคุยเมื่อครู่ถูกตัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย  เจ็บใจ นี้คือคำที่พุดขึ้นมาในหัวของคุณหญิงที่กำโทรศัพท์ไว้แน่นอยากจะขว้างทิ้งเสียแต่ก็ต้องทน

           “จะนั่งมองกันอีกนานไม มีอะไรทำก็ไปทำสิ ไป!!”   หล่อนตวาดใส่สาวใช้สองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจนทั้งสองต้องรีบลุกออกไปด้วยกลัวว่าอารมณ์ที่เดือดดานจะไหลมาลงที่พวกตน

           “เป็นเพราะแก อีเด็กเพศยาเป็นเพราะแกคนเดียว” เพราะคิดว่าใช่แน่ว่าใครคือสาเหตุให้ลูกชายไม่กลับบ้าน คุณหญิงเองก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยประณาม แต่ไหนแต่ไรมาชิตรัตน์ไม่เคยแม้จะขัดใจยิ่งถ้าอาการของโรคที่เป็นอยู่กำเริมขี้ขานจะรีบมาดูแลอย่างทำท่วงที แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ต้องเป็นเพราะเด็กนั้นมันกักตัวลูกชายเขาไว้เพราะมันลูกของเขาเลยกล้าแข็งข้อด้วย ความอาฆาตมุ่งร้ายที่มีต่อฝ่ายไม่เคยจะปกปิด คุณหญิงแสดงออกมาทางสีหน้าและแววตาอย่างชัดแจ้ง หล่อนเกลียดเด็กคนนั้น เกลียดเด็กสารเลวที่กล้าหลอกลูกชายเขา
 
          ปิ๊ด ปิ๊ด

           เสียงเตือนของข้อความที่ถูกส่งเข้ามายังโทรศัพท์ในมือพร้อมแรงสั่นเล็กน้อย ทำให้หญิงมากอายุและโทสะหันมาสนใจสิ่งที่ถูกส่งมาด้วยความหงุดหงิด เพราะเวลานี้สมควรเป็นเวลานอนและตามมารยาทที่พึ่งมีกันนั้น ถ้าไม่มีใครตายก็ควรเงียบไปเสีย

           แต่เบอร์แปลกที่ไม่ได้ถูกจัดเก็บเข้าบัญชีรายชื่อนี้ยิ่งทวีความสงสัยอย่างยิ่งจนต้องกดเข้าไปอ่าน แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะคิดผิดอย่างแรงที่ยอมเปิดอ่านข้อความที่ไม่รู้จักแบบนี้ เพียงแค่ประโยคสั่นๆที่แม้ไม่ระบุผู้ส่ง ไม่ครบองค์ประกอบของประโยคแต่มันกลับทำให้โกรธจนใบหน้าแดงก่ำได้ไม่ยาก

           //  อยู่คนเดียวเหงาไหมครับ  //
           ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เจตนาหรือก็เดาไม่ยาก จงใจจะเยาะเย้ยเขาอยู่แล้ว คุณหญิงแก่ไม่รอท่ากดโทรหาเบอร์นิรนามนั้นทันทีที่ตั้งสติได้

           //สวัสดีตอนกลางคืนครับ คุณหญิง//  เสียงปลายสายไม่แม้จะแปลกใจ คงรอที่จะให้โทรมาอยู่แล้วสินะ

           “แก แกกล้าดียังไงถึงส่งข้อความบ้าๆนั้นมาหาฉัน”

           // ผมก็แต่เป็นห่วง เห็นว่าคืนนี้ต้องอยู่คนเดียวเลยส่งไปถามด้วยความเป็นห่วง//

           “ห่วงหรอ อย่ามาตอแหลเสียให้ยากตาชินอยู่ไหนแกเอาลูกฉันไปกกไว้ไหน”

           //นั้นสินะครับ เอาไปไหวที่ไหนกันน่ะ//

           ปลายสายแย้มยิ้มสนุกพรลงลองนึกถึงท่าทีตีโพยตีพายของคนที่จงเกลียด เมื่อสักพักใหญ่เขาเพิ่งได้รับข้อความจากชิตรัตน์ว่าอีกคนจะไม่กลับมานอนกับเขาเพราะจะอยู่ช่วยลูกน้องเก็บงานเสียก่อน  นั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะหาเรื่องแกล้งแหย่ใครบ้างคนที่คงจะเป็นบ้าเป็นหลังกับการที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้านแบบนี้แน่  และมันก็จริงคุณหญิงตีโพยตีพายเสียใหญ่โตตามที่เขาคิดจริงๆ

           “อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ ที่ตาชินไม่กลับเป็นเพราะแกใช่ไหมไอ้เด็กสารเลว”

           // จุ๊จุ๊  แน่ใจหรือครับว่า สารเลว นะมันใช้เรียกผมได้// เกลส่ายหน้าขำกับคำพูดที่ย้อนศรไปเสียอกคนพูด

           // ถ้าอย่างผมเรียกสารเลวแล้วคุณหญิงละครับเรียกอะไร พรากแม่พรากลูกกีดกันคนรักกันทำตัวเช่นพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลทั้งที่ตัวเองเป็นแค่เศษดินเศษผงของจักวาลแท้ๆ อย่าเพิ่งกรี๊ดนะครับ ฟังให้จบ //    เสียงหวานเอ่ยขัดอย่างรู้ทัน เพราะอยากจะรีบพูดรีบวางสาย ถึงจะกล้าโทรมาแต่ก็ใช่ว่าจะอยากคุยด้วยนานๆเสียเมื่อไรกัน

           // ผมก็แค่อยากเตือนคุณหญิงว่าอย่าลืม  ว่าต่อให้แสงของพระอาทิตย์จะเป็นที่ต้องการของใครๆแต่เพราะแสงที่ส่องมามากเกินไปมันแผดเผาผู้ที่อยู่รอบๆจนทุกคนต้องถอยหนี ก็เหมือนกับคุณหญิงไงครับ จิตใจต่ำความคิดทราม ใครๆเขาก็ไม่อยากอยู่ใกล้ ผมพูดถูกไหมครับ คุณหญิงก้อนกวด //

           “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”   เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บทนที่โดนด่าดังมาตามสายสนทนา คนหน้าสวยทำเพียงนำมือถือออกห่างๆจากใบหูพร้อมยกยิ้มสะใจ ก็แหม่พูดความจริงทำมาเป็นรับไม่ได้

           “แกกล้าดียังไงมาด่าฉันแบบนี้หะ ไอ้เพศยา” คุณหญิงเองก็ไม่น้อยหน้า

           // ไมได้กล้าดีครับ แค่พูดความจริง//

           “นี่แก !”

           // ครอบครัวจะเป็นครอบครัวได้มันต้องมีความรักต่อกัน เมื่อไม่รักไม่ไว้ใจคำว่าครอบครัวมันก็ไม่เกิดหรอกนะ //

           เกลทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนตัดสายทิ้งอย่างไร้เยื่อใย รู้ว่าไร้มารยาทที่ทำกับคนอาวุโสกว่าแต่แล้วไงล่ะ คนแบบนี้หรือจะให้เขาเคารพ ไม่ล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจพอทน แต่นี่ไม่ใช่ เขาพอแล้วกับผู้หญิงบ้าอำนาจคนนี้ อีกอย่างก็คือเขาไม่อยากประสาทหูเสื่อมเพราะเสียงกรี๊ดของคนไร้สมองพันธ์นั้นด้วย

           สายลมของช่วงเวลาดึกสงัดที่พัดมากระทบร่างของเขาที่ยื่นนิ่งอยู่ที่ระเบียงของห้องช่วยให้อารมณ์ร้ายๆที่ไม่สงบให้เบาบางลง  เขารู้ตั้งแต่หลังกลับมาถึงบ้านแล้วว่าชิตรัตน์ต้องอยู่เคลียร์งานต่อที่โรงแรมและด้วยวิสัยลีดเดอร์ชายหนุ่มจะไม่ยอมกลับจนกว่าลูกน้องคนสุดท้ายจะขึ้นรถออกจากโรงแรมไปเพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือการนอนที่โรงแรมเสีย และก็เป็นจริงดังเขาคิดเมื่ออีกฝ่ายโทรมาบอกว่าคงไม่ได้มาหาเพราะต้องอยู่เคลียร์งานตรงนี้ให้สิ้นเสีย เขาเองก็เข้าใจดีและไม่ได้ว่าอะไรที่อีกคนจะผิดคำพูด

           คราแรกเขาเองก็เข้านอนพร้อมลูกชายไปแล้วแต่ก็ต้องตื่นขึ้นเมื่ออีกคนส่งข้อความมาบอว่างานเสร็จแล้ว อยู่ๆความคิดบ้าๆก็เข้ามาอยากลองส่งข้อความไปหาคุณหญิงดูว่าเป็นเช่นไร และจริงอย่างเข้าคิดคุณหญิงกล่าวหาว่าเขาเป็นคนผิดที่ทำให้ลูกชายไม่กลับบ้าน ทั้งทีชิตรัตน์น่าจะแจ้งให้ที่บ้านทราบแล้วว่าเพราะเหตุใด

           “บัวใต้ตมจริงๆ”
           เป็นบัวใต้น้ำยังมีสิทธิที่จะโผล่ขึ้นมาเบ่งบานแต่นี้นอกจากจะไม่พ้นน้ำแล้วยังจมฝั่งอยู่ใต้ตมจนยากที่จะผลิบานได้ทั้งตัวและจิตใจแบบนี้อีก

           เกลส่ายหน้าอย่างละอากับจิตใจของคนที่ไม่ชอบหน้าก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องช้าๆ ถึงจะยังเดินเองมากไม่ได้แต่เขาก็ต้องพยายามเดินด้วยตัวเองให้ได้ยิ่งเดินเองได้เร็วเท่าไรเขาก็จะยิ่งสามารถปกป้องเด็กชายตัวน้อยนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนนี้ได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น

           กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับเขาถูกลูบเบาๆสองสามทีก่อนะจัดแจงดึงผ้าห่มให้สูงขึ้นจนปิดลำคอเล็กเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงป่วยหรือเป็นหวัดเอาได้จากอุณหภูมิที่เย็นลงจากเครื่องปรับอากาศ

           “ใครไม่รักลูกของแม่แม่ไม่สน แต่แม่รักลูกมากและแม่จะไม่ให้ใครมาทำร้ายจิตใจลูกได้อีกแล้ว”

           คำกล่าวเหมือนคำปฏิญาณจบลงด้วยรอยจูบที่ข้างแก้มป้องเล็กของเจ้าตัวเล็ก สิ่งแรกที่เข้าจะทวงคืนจากแม่มดต่ำทรามนั้นคือ ลูกชาย ของเขาและคนต่อไปก็คือ ลูกชาย ของมันเพราะอีกไม่นานทุกอย่างจะจบ ฝนในใจตลอดหลายปีนี้จะจบลงเสียที

_________________________________________________________

คิดไปเองหรือเราคิดว่าคุณหญิงแกมีปมหว่าาา
มีใครคิิดเหมือนเราบ้างมั้ย???

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 21- 10-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-02-2017 18:14:22
คุณหญิงแกคงต้องการความรัก แต่ถ้าเรียกร้องแบบนี้ แบบที่ไม่เห็นหัวใครกระทั้งลูกตัวเองแบบนี้ เป็นเราคงไม่สนใจและปล่อยให้อยู่ตัวคนเดียวแบบนั้นต่อไปแน่ๆ รับไม่ได้กับความเอาแต่ใจและคิดถึงแต่ตัวเองเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง ไม่เคยคิดถึงคนอื่นบ้างเลย ระวังเถอะทำกับคนอื่นไว้มากๆ กรรมจะสนองคืน
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 22- 13-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 13-02-2017 01:30:34

ฝนหยดที่ 22



 หลังจากเหตุการณ์สระน้ำเดือดในคืนวันครบรอบเจ็ดสิบปีของโรงแรม เรื่องราวความขัดแย้งของคุณหญิงโฉมฉวีกับไนติงเกลน้องชายของหุ้นส่วนรีสอร์ตใหม่ที่พ่วงตำแหน่งคนรักของท่านประธานก็กลายเป็นประเด็นเด็ดให้เหล่าพนักงานทุกระดับได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างออกรสทุกครั้งที่ว่างเว้นจากงานที่ทำ ยิ่งกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตบสะท้านสระน้ำในวันนั้นอย่างฤดีมาสหัวหน้าฝ่ายบุคคลด้วยแล้วถือเป็นคนสำคัญไปอย่างเสียไม่ได้เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มันจะโดนลากตัวให้เล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังอีกหลายสิบรอบและทุกรอบก็มักจะจบลงแบบเดิมคือความเห็นอกเห็นใจที่ทุกคนมีให้ต่อนกน้อยปีกหักที่ถูกทำร้ายแถมไม่มีการถือโทษโกรธที่ฝ่ายนั้นโต้กลับจนเจ้านายวัยเกษียณตกน้ำตกท่าออกจะเห็นด้วยเสียด้วยซ้ำไป

           “นิดละอยากอยู่ในเหตุการณ์อย่างพี่มาสจริงๆเลยอ่ะ อยากรู้ว่ามันจะเหมือนฉากตบกันแบบในละครหรือเปล่า”

           “นั้นสิ แต่คุณไนติงเกลแกก็สุดยอดเลยนะกล้าโต้กลับคุณหญิงแบบนั้นนะ”  นุ่นกล่าวเสริม

           “ดี โดนกลับเสียบ้างจะได้รู้สึก” นิดยักไหล่พร้อมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแต่กลับโดนหัวหน้าสาวหยิบเข้าที่แขนจนร้องออกมา

           “โอ๊ย พี่มาสนิดเจ็บนะคะ” หล่อนว่า

           “ก็ทำให้เจ็บนะสิย่ะ ไปพูดแบบนั้นได้ยังไงเดี๋ยวคนอื่นเขาจะมองไม่ดีเอาเจ้านายมานินทาแบบนี้”

           ฤดีมาสออกเสียงปราม เพราะตอนนี้พวกเธอทั้งสามกำลังนั่งทานมื้อเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหารสำหรับพนักงานที่แยกส่วนออกมาจากตัวโรงแรมเพื่อความเป็นส่วนตัวของพนักงานและถือเป็นมุมพักผ่อนไปในตัวด้วย

           “โธ่ พี่มาสก็ มาถึงขั้นนี้แล้วนิดถามจริงเถอะมีใครเขาไม่รู้เรื่องนี้มั่งล่ะ เชื่อดิใครๆก็คิดแบบนิดทั้งนั้นละ ไม่เชื่อพี่มาสไปถามลุงยามหน้าตึกได้เลย”  สาวเจ้าว่าหน้าเชิด

ฤดีมาสถอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน หล่อนไม่แย้งหรอกนะว่าที่ลูกน้องสาวฝีปากกล้าจอมอยากรู้อยากเห็นข้างๆพูดมาไม่จริง แต่เพราะมันเป็นจริงนี้ละหล่อนถึงเพลียจิต เพราะหากนี้คือความต้องการบางอย่างที่แอบซ้อนมากับการให้หล่อนเป็นคนปล่อยข่าวลดความน่าเชื่อถือของคุณหญิงแล้วละก็หล่อนยอมรับเลยว่าไนติงเกลทำสำเร็จแล้วเพราะตอนนี้ความน่าเชื่อถือของคุณหญิงมันเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆ  โอ๊ะ ไม่สิ มันหมดลงมาเรื่อยๆตั้งนานแล้วแค่ทางนั้นเข้ามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มันหมดลงเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ถ้าไม่นับว่าคุณหญิงถือสิทธิในความเป็นเจ้าของโรงแรมและบริษัทในเครือแล้วละก็ ไม่เคยมีใครพูดถึงคุณหญิงในแง่ดีเลยทั้งนั้นยกเวนเรื่องการทำงานล่ะนะ ที่ท่านเก่งกล้าและเนี้ยบไปทุกกระบวนการ

           “ฉันละเบื่อกับการต่อล้อต่อเถียงกับเธอจริงๆ ไปละ” หัวหน้าสาวใหญ่ตัดรำคาญลุกขึ้นจากเก้าอี้

           “จะไปแล้วหรอคะพี่มาส”  หล่อนหันกลับมาพยักหน้ารับให้นุ่นก่อนเดินเอาจานไปเก็บแล้วเลยออกจากห้องอาหารไป

           ตอนแรกฤดีมาสคิดจะกลับขึ้นไปที่ออฟฟิตเพื่อจัดการเคลียร์เอกสารเพื่อทำการส่งมองให้ท่านประธานเซ็นอนุมัติเรื่องการเปิดรับพนักงานเข้าใหม่ที่จะมาประจำที่รีสอร์ตแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปพร้อมทั้งเรื่องการรับเด็กนักศึกษามาฝึกงานตามที่ทางมหาลัยต่างๆยื่นเรื่องขอเข้ามา

           “พี่มาสครับ พี่มาส” เสียงเรียกของของรีเซฟชั่นหนุ่มที่อยู่ประจำตรงล็อบบี้ร้องเรียกให้หัวหน้าของตนที่กำลังเดินผ่านมาให้หยุดกก่อนที่จะเดินตรงไปที่ลิฟต์

           “มีอะไรหรอ”

           “คือมีคนมารอพบพี่น่ะครับ”

           “ใคร”

           หล่อนถามอย่างสงสัยเพราะเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหลือแล้วนอกจากหลานชาย ส่วนสามีนี้ตัดไปได้เลยเพราะ ณ ตอนนี้เธอยังนั่งหนาวอยู่บนคานอยู่เลย อีกอย่างวันนี้เธอไม่ได้มีนัดหรือนัดใครไว้ด้วย แล้วใครกันที่มาหาเขาถึงที่นี้...

           “ไม่ทราบเหมือกันครับ เขาไม่ได้บอกเอาไว้  บอกแค่ถ้าพี่มาให้ไปหาเขาด้วย เขานั่งอยู่ตรงนั้นนะครับ” รีเซฟชั่นหนุ่มแจ้งให้คนตรงหน้าทราบก่อนชี้ไปยังที่นั่งพักผ่อนของลูกค้าที่ตอนนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งจับจองที่นั่งอยู่เพียงลำพัง

           ฤดีมาสพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่มารอพบ หนุ่มตรงหน้าน่าจะอายุอ่อนกว่าหล่อนไม่มาก แต่ก็ยังถือว่าดูดีเสื้อยืดสีชมพูอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลแถมท้ายด้วยรองเท้ารัดส้นแฟชั่นเปิดหน้าเท้า มองผ่านๆก็คงเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป จนนึกแปลกใจที่อยู่ๆอีกฝ่ายอยากพบเธอ

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ”
              หล่อนเอ่ยทักด้วยประโยคคำถามอย่างสุภาพที่สุด เพื่อว่าคนตรงหน้าจะเป็นแขกที่มาพักกับทางโรงแรมและต้องการความช่วยเหลือจากตน

“คุณฤดีมาสที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลใช่ไหมครับ”   ชายเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจก่อนดันแว่นสายตาไร้กรอบให้เข้าที ก่อนผายมือเชิญให้คนที่ยืนอยู่นั่งเมื่อทางนั้นยืนยันตัวตนเสร็จ

“ใช่ค่ะ ดิฉันเอง” หล่อนตอบก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ฝฝั่งตรงข้ามตามที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญ

“ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรหรือคะ หรือว่าพนักงานของเราทำอะไรให้คุณไม่พอใจ” มีอยู่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นหรอกที่จะทำให้ลูกค้าของโรงแรมต้องเรียกหัวหน้าฝ่ายบุคคลมานั่งคุยด้วย และแน่นอนว่ามันย่อมทำให้หล่อนอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าสิ่งที่อีกคนจะพูดจะเป็นเรื่องที่คิด

“อ๋อ ไม่ใช่หรอกครับ” ชายรีบส่ายหน้า ก่อนหยิบซองเอกสารบางอย่างส่งให้แทน

           “ผมชื่อ ชาย นะครับ ที่ผมมาวันนี้เพราะคุณเกลไหว้วานให้เอานี้มาให้ต่างหากล่ะครับ” เอกสารซองน้ำตาลถูกหยิบขึ้นมาวางลงที่โต๊ะกระจกตรงหน้า

           “คุณเกล คุณไนติงเกลนะเหรอคะ”  หล่อนถามย่ำเพื่อความแน่ใจ

           “ครับ”  หัวคิ้วที่บรรจงวาดเขียนอย่างสวยงามขมวดแน่นอย่างไม่เข้าใจ แม้สองมือจะเอื้อมไปหยิบซองเอกสารขึ้นมาพลิกดูแล้วก็ตาม

           “คุณเกลฝากผมให้มาหาคุณแต่จะเป็นเรื่องอะไรคุณคงทราบดีอยู่แล้ว”
           น้ำเสียงสบายๆของคนตรงหน้าไม่ได้ช่วยให้ใจหน่อยสบายตามไปด้วย ความคิดหลากหลายเข้ามามากมายถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายส่งคนมาหาเขาวันนี้

           “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวตีนกาขึ้นเยอะกว่าเดิมไม่สวยนะ”
           ฤดีมาสส่งสายตาเขียวปัดให้อย่างแรงให้อีคนยกมือสองข้างเชิงยอมแพ้ คุยกับผู้หญิงใครใช้ให้พูดเรื่องรอยตีนกากันย่ะเสียมารยาทที่สุดเลย

           “เอ่อ ผมว่าคุณเปิดซองอ่านก่อนดีกว่าไมครับ”

            ชายเบี่ยงประเด็น ก็แหม่เขาทำงานอยู่กินกับเพื่อนการ์ดที่เป็นผู้ชายแทบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถึงจะมีเจอบรรดาแม่บ้านบ้างแต่ก็เถอะแต่ก็แซวเล่นแบบนี้ไม่เห็นมีใครมองแรงใส่เขาเลยนิ หรือเขาพูดอะไรผิดไปเหรอ

           ฤดีมาสสะบัดหน้าใส่คนชื่อชายที่หามีความเป็นสุภาพบุรุษทางการพูดตรงหน้าไม่ มาสนใจเอกสารในซองที่ถืออยู่แทน ก่อนที่เปลือกตาทีแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีชมพูอ่อนจะเบิกกว้างอย่างตื่นตกใจหยิบเอกสารทั้งหมดออกมามองสลับไปมาหลายครั้งเพ่งอ่านใหม่อยู่หลายรอบ ก่อนหันขึ้นมามองชายที่นั่งยิ้มรออยู่

           “นี้มันหมายความว่ายังไงคะ” หล่อนถามอย่างไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงคิดจะช่วยเขา

           “ก็หมายความตามที่เอกสารบอกนั้นละครับ  น้องณัฐหลานชายคุณป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วมาแต่กำเนิด ถูกต้องไหมครับและเมื่อต้นเดือนอาการก็แสดงออกอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาลหมอวินิจฉัยว่าต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน คุณเกลแกเลยจะขอรับอาสาดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดการผ่าตัดซ่อมแซมหัวใจแถมคุณเกลยังได้จัดหาหัวใจอีกดวงมาเพื่อใช้สำหรับผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้ใหม่หากหัวใจดวงเดิมของน้องเกินเยียวยา เพียงคุณเซ็นรับรองตรงนี้น้องณัฐก็สามารถเข้ารับการผ่าตัดนี้ได้ทันที” 

           ชายชี้ไปที่ช่องว่างด้านล่างขวามือให้ฤดีมาสดู พร้อมอธิบายถึงเนื้อความและความตั้งใจของเจ้านายตนที่ส่งให้เขานำเอกสานนี้มาให้ผู้เป็นป้าของเด็กได้ดู

           “เพื่ออะไรคะ คุณไนติงเกลทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ”

           ฤดีมาสเอ่ยถามอย่างไม่ไว้ใจ ถึงเรื่องที่ชายพูดมาเกี่ยวกับอาการป่วยของหลายชายจะเป็นเรื่องจริง แม้เงินเดือนของหัวหน้าฝ่ายจะสูงแต่ก็แค่มีใช้จนเหลือเก็บแถมเงินค่ารักษาก็สูงเกินกว่าที่หล่อนจะรับภาระค่าใช้จ่ายได้ อีกอย่างหล่อนไม่เคยทำอะไรให้อีกฝ่ายจนเป็นบุญคุณขนาดที่จะต้องตอนแทนกับมากมายขนาดนี้

           “เพื่อตอบแทนไงละครับ” หล่อนฉงน

           “หรือคุณจำไม่ได้ว่าคุณเกลฝากฝั่งให้คุณทำอะไรไป”

           “ถ้าเรื่องนั้น ก็ไม่เห็นต้องตอบแทนกันขนาดนี้เลยนี้ค่ะ แบบนี้มันมากเกินไปดิฉันไม่กล้ารับหรอกค่ะ”

            ถึงใจจริงอยากจะรับไว้แทบขาดใจเพราะนี้มันหมายถึงชีวิตหลานชายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่เพราะมันมากเกินไปสำหรับการปล่อยข่าวเรื่องที่สระน้ำวันนั้น เว้นแต่ว่า....

           “หรือว่าเจ้านายคุณต้องการให้ดิฉันทำอะไรให้อีก”  ชายยิ้มอย่างพอใจกับไหวพริบของผู้หญิงตรงหน้าที่อ่านเกมออกอย่างรวดเร็ว

           “เป็นอย่างที่คุณเกลบอกจริงๆนะครับ ว่าถ้าคุณเห็นเอกสารแล้วจะเข้าใจความหมายของมัน เก่งจริงๆครับ”  เสียเยินยอที่แม้มาจากใจแต่หล่อนกลับไม่รู้สึกดีด้วยเลยสักนิด

           “แฮ่มๆ คืองี้นะครับ คุณเกลมีเรื่องอยากให้คุณช่วยหน่อยสักเรื่องสองเรื่อง แลกกับการที่ทางเราจะช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาของหลานชายคุณ วินวินเนอะงานนี้ แต่ถึงจะบอกว่าวินวินก็เถอะ แม้ว่าพอคุณฟังรายละเอียดเรื่องที่ทางเราจะให้คุณช่วยแล้วคุณเกิดไม่โอเคกับมันจนไม่อยากช่วยก็ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงเสียทางเราก็จะยังดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในตรงนี้ต่อไปอยู่ดี แถม..” ชายเว้นวรรคไว้ก่อนยกแขนซ้ายที่มีนาฬิกายี่ห้อดังรัดติดอยู่กับข้อมือขึ้นดูเวลา ก่อนพูดสิ่งที่ทำเอาคนที่นั่งฟังอยู่ต้องตกใจเพิ่มขึ้นเป็นอีกหลายเท่าตัว

            “ดูจากเวลาแล้วปานนี้หลานชายคุณคงตรวจร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมก่อนเดินทางไปผ่าตัดที่ฝรั่งเศสเสร็จเรียบร้อยแล้วแน่ๆ”

            “อะไรนะคะ !?”
           ฤดีมาสแทบไม่เชื่อหูตนเอง ตรวจร่างกายเตรียมผ่าตัด แบบนี้มันเหมือนมัดมือชกโดยการสร้างบุญคุณกันชัดๆ

           “พวกคุณจะให้ดิฉันช่วยอะไรว่ามาเลยค่ะ ดิฉันตกลงช่วย”  หล่อนตอบรับคำของกึ่งบังคับนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ ซึ่งคนรอฟังคำตอบอย่างชายก็ยิ้มรับกับผลงานตรงหน้า

           “ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แต่จะให้คุยกันที่นี้คงไม่ดีเอาไว้เดี๋ยวผมจะติดต่อไปอีกทีดีกว่านะครับ” ชายยิ้มเป็นมิตรให้คนตรงหน้า แต่หางตาของเขากับสะดุดเขากับอีกเป้าหมายหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมาที่นี้

           “น้องชาติครับ!”

            ชายโปกไม้โปกมือเรียกหนุ่มหน้ามนที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์ให้หันมา แต่ไม่รู้ว่าเขาเรียกดังไปจนคนมองกับเต็มหรืออย่างไร ทำไมคนที่เขาเรียกต้องทำหน้าดุอย่างไม่สบอารมณ์ใส่เขาด้วย แถมยังเดินปึงปังมาหาเขาด้วย วันนี้ทำไมมีแต่คนทำหน้าดุใส่เขาด้วยละ ชายทำไรผิด...

           “มีอะไรหรือครับพี่ชาย”

            ชาติว่าเสียงนิ่งอย่างไม่ชอบใจ แน่ล่ะ ใครมันจะไปชอบกันในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ใช่ๆเด็กๆที่จะมาให้ใครเรียกอะไรแบบนี้ด้วยแถมตัวเขาก็ไม่ได้บางร่างน้อยเหมือนผู้หญิงที่ไหนเผลอๆตัวจะใหญ่กว่าไอ้คนที่เรียกนั้นอีก

           “คือว่านี้ครับ” ชายว่าพร้อมส่งกระเป๋าเอกสารที่อยู่ข้างๆพร้อมรอยยิ้มละไมเพื่อหวังลบล้างความผิดเมื่อครู่ให้อีกคน

           “คุณแก้วฝากพี่เอามาให้นะ เห็นบอกว่าเอกสารพวกนี้ผ่านการพิจารณาแล้วให้คุณชิตรัตน์เซ็นได้เลย ส่วนนี้ให้เราตรวจอีกรอบถ้าไม่ผ่านก็ตีกลับ”

           ชายว่าพร้อมแจงงานที่ตนได้รับให้ผู้ช่วยเลขาได้รับทราบ ชาติพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันไปเป็นเชิงถามเมื่อเห็นว่าเด็กส่งของตรงหน้าไม่ได้อยู่คนเดียว

           “คุณมาสรู้จักกับเขาด้วยหรอครับ” ฤดีมาสมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจไม่รู้ว่าจะตอบคนอายุอ่อนกว่าอย่างไรดีแถมเธอไม่รู้ด้วยว่าชาติมาส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ แต่ดีที่ว่าชายไหวตัวทันเลยชิงตอบเสียแทน

           “อ้อ พอดีว่าญาติพี่เขากำลังหางานนะ พี่เลยเอาประวัติมาให้คุณฤดีมาสดูนะว่าพอจะรับไว้ได้หรือเปล่านะ นี้ไง”

           ไม่ว่าเปล่าชายยังชี้ไปยังซองเอสารสีน้ำตาลที่วางนิ่งอยู่บนตักของหญิงตรงหน้า ซึ่งชาติเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรก่อนขอตัวออกไปซื้อของให้เจ้านายที่ร้านคอฟฟี่ช็อป
           “หัวไวเป็นลิงเลยนะ” ฤดีมาสว่าเหน็บ แต่ชายกลับไม่สะทบสะท้านใดๆออกจะนึกว่าเป็นคำชมเสียด้วย
           “งั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า ยังมีของที่ต้องซื้อกลับอีกเยอะเลย”
            ชายลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนหันมาล่ำลาคู่สนทนาตรงหน้าแล้วเดินหายลับไปที่ประตู  ทิ้งสาวใหญ่ให้นั่งทำหน้าคิดไม่ตกอยู่เพียงผู้เดียวอย่างเหนื่อยใจ หล่อนไม่รู้ว่างานทีจะได้ทำต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่ที่หล่อนรู้มีเพียงอย่างเดียวคือ คุณหญิงไม่รอดแน่
 
       
  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 22- 13-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 13-02-2017 01:31:03

:katai2-1:

   “นี้มันหมายความว่ายังไงกันคะคุณสุวิทย์ ไหนคุณว่าคุณจัดการเรื่องเอกสารการผ่าตัดให้ดิฉันเรียบร้อยแล้วไงค่ะ แล้วนี้มันหมายความว่ายังไง” 

           เสียงโวยวายดังลั่นบ้านอย่างคนไม่พอใจดังขึ้นทันทีที่ชายวัยดึกที่ได้รับเชิญมาอย่างเร่งด่วนก้าวขาเข้ามาในบ้าน สร้างความแตกตื่นให้เหล่าสาวใช้เป็นอย่างยิ่ง แม้พวกหล่อนจะเจอทอร์นาโดอารมณ์ของคุณหญิงผู้เป็นนายอยู่ทุกวันก็ใช่ว่าจะชินเสียที่ไหนกัน ยิ่งกับผู้มาใหม่ด้วยแล้วถึงกับต้องปาดเหงื่อกันเลยทีเดียว

           “ใจเย็นๆก่อนสิครับคุณหญิง ค่อยๆพูดค่อยๆจากันเถอะครับ”

           สุวิทย์หรืออีกนัยหนึ่งคือเลขาส่วนตัวของคุณหญิงที่แม้จะขอเกษียณตัวเองสักกี่ครั้งก็ไม่เคยสำเร็จ ไม่รู้ว่าคุณหญิงแกจะติดอกติดใจการทำงานของเขาไปถึงไหนถึงไม่ยอมให้เขาได้หยุดอยู่บ้านเลี้ยงหลานเสียที

           “ค่อยๆพูดหรอ ค่อยๆพูดอะไรกันละ ฮะ!!!!”   แม้จะเจ็บที่หน้าอกจนต้องเอามือกำเสื้อจนยับยู่ ก็ไม่ทำให้ความอยากอาละวาดของคุณหญิงลดน้อยลงเลย

           “ถ้าไม่เพราะวันนี้ฉันโทรไปถามเรื่องของผู้บริจาคหัวใจ ฉันคงไม่รู้เลยสินะว่ามันมีคนตัดหน้าฉันไปนะ ทั้งๆที่ฉันก็ย้ำกับคุณตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุดนะ”

           หนุ่มใหญ่ร่างท้วมได้แต่ยกผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นซับเหงื่อจางๆตามขมับอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี  ตอนแรกเขาอยู่ออฟฟิตกำลังเคลียร์เอกสารเพื่อว่าสุดสัปดาห์นี้จะได้พาหลานๆไปเที่ยวทะเล แต่อยู่ๆก็มีสายด่วนกระชากวิญญาณที่พอรับสายก็ไม่มีแม้แต่คำทักทายเพราะประโยคแรกก็คือคำสั่งให้มาพบหล่อนเดียวนี้ และพอมาถึงก็อย่างที่เห็นสาดคำพูดความไม่พอใจใส่เขาจนตั้งตัวไม่ทัน

           “แต่ผมก็จัดการตามที่คุณต้องการหมดแล้วนี้ครับ วันนั้นคุณหญิงเองก็อยู่ด้วยตอนที่เจรจากับคุณหมอเรื่องการเข้าผ่าตัด แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ละครับ”  เรื่องการเข้ารับผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจของคุณหญิงที่ฝรั่งเศสนายสุวิทย์เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย คุณหญิงให้เขาย้ำกับหมอที่ดูแลเคสว่าถ้าตรวจดูแล้วหัวใจของใครสามารถเข้ากันได้กับของคุณหญิงให้รีบติดต่อกลับมาทันที เขาก็ทำตามที่สั่งแล้วคุณหญิงก็อยู่ฟังด้วยแล้วทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อีกกันนะ

           “คุณหญิงได้โทรกลับไปถามทางนั้นแล้วหรือยังครับ”

            บางทีทางนั้นอาจมีเหตุผลบางอย่างก็เป็นได้ เรื่องแบบนี้ต้องลองคุยกันก่อน แต่ดูท่าแล้วคุณหญิงคงไม่ได้ถามเป็นแน่สุวิทย์จึงลองถามหยั่งเชิงดู แล้วมันก็จริงดังคิดเมื่อเจ้านายแสนเอาแต่ใจของเขายื่นโทรศัพท์ส่งมาให้

           “เอาไปคุย ฉันจะรอฟัง”

           สุวิทย์ยื่นมืออูมๆออกไปรับอย่างเสียไม่ได้ก่อนกดเบอร์โทรทางไกลข้ามประเทศไป  ถือสายรออยู่ครู่ใหญ่ก็สามารถถามไถ่ถึงรายละเอียดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ แต่ข้อความที่ถูกถ่ายถอดออกมามันทำเอาคนวัยเกษียณเช่นเขาถึงกับคิดไม่ตกไม่รู้จะนำความแจ้งแก่ผู้หญิงตรงหน้ายังไง

           คุณหญิงเองที่ทำเหมือนไม่สนใจการสนทนาทางไกลของเลขาวัยใกล้เคียงกันแต่ก็อดสังเกตไม่ได้เมื่อสุวิทย์มันเหลือบตามามองตนอยู่บ่อยครั้งจนผิดปกติ จนคันปากอยากตะถามอยู่หลายครั้งแต่ก็อดทนรอจนกว่าเลขาจะคุยเสร็จ

           ครึ่งชั่วโมงผ่านไปพร้อมความอดทนของคุณหญิงที่สิ้นสุด ทันทีที่เห็นว่าสุวิทย์วางสายเรียบร้อยหล่อนจึงโผล่งถามออกไปในทันที

           “ว่ายังไง”

           “เออ คือ...” ช่างเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายออกไป

           “อย่ามาอ้ำอึ้งนะ พูดออมาสักทีสิ”

           อาการยึกยักของอีกคนทำเอาคนอารมณ์ร้อนเช่นคุณหญิงไม่พอใจ สุวิทย์รู้ดีว่าถ้าขื่นยังไม่ยอมพูดไม่แคล้วระเบิกคงลงกลางบ้าน จมูกกลมสูดหายใจเข้าปอดลึกกว่าปกติก่อนกลั้นใจพูดสิ่งที่ได้รับรู้มาเมื่อครู่ออกไป

           “ทางโรงพยาบาลบอกว่าผลการตรวจออกมาเมื่อประมาณช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วแต่ติดต่อไม่ได้อีเมล์ที่ส่งไปก็ถูกตีกลับ.. “

           “ติดต่อไม่ได้อะไร โทรศัพท์ฉันก็เปิดอยู่ตลอด” คุณหญิงแย้งขัด

           “อันนี้ผมก็ไม่ทราบครับแต่ทางนั้นยืนยันว่าติดต่อหาคุณหญิงแล้วจริงๆ”  สุวิทย์พยายามพูดตามที่ฟังมา

           “แล้วยังไงต่อ”

           “เออ....” สุวิทย์รู้สึกหนักใจที่จะพูดต่อ แต่เพราะสายตาคาดคั้นของอีกคนทำให้เขาจำใจต้องพูดออกไป

           “คือ หลังจากที่ทางนั้นติดต่อคุณหญิงไม่ได้สองวันหลังจากนั้นก็มีคนอ้างตัวว่าเป็นญาติกับคุณหญิงโทรไปขอเลื่อนการผ่าตัดเพราะเกิดป่วยขึ้นมากระทันหันแล้วยังยินยอมให้หัวใจดวงนั้นกับเด็กผู้ชายอีกคนไปครับ”

           “ญาติที่ไหนกันอีกละ ทำไมโรงพยาบาลทำงานกันแย่แบบนี้ไม่ไหวเลย แล้วทีงี้จะทำไงแล้วไอ้เด็กนั้นที่มันปาดหน้าฉันมันเป็นใคร”

           “ทางโรงพยาบาลไม่ได้บอกว่าเป็นใครนะครับ บอกแค่ว่าเป็นคิวแทรกพิเศษกำลังจะเข้ารับการผ่าตัดด่วนในอีกสองสามวันนี้นะครับ” สุวิทย์บอก

           “พิเศษยังไง พิเศษกว่าฉันตรงไหนย่ะฉันก็จ่ายเงินให้เหมือนกัน”  คุณหญิงว่าเสียงขัดใจ กอดอกหน้างอจนคนฟังได้แค่ยิ้มแห้งอย่างไม่รู้จะพูดไงต่อดี

           “ผมก็ไม่ทราบครับ ทางนั้นบอกแค่ชื่อของผู้อุปถัมภ์ของเด็กที่จะรับการผ่าตัดแทนคุณหญิงเท่านั้นเองครับ”  สุวิทย์ปาดเหงื่ออีกรอบ โดยไม่รู้ว่าคำพูดของตนเรียกความสนใจของคุณหญิงได้ไม่น้อย

           “ใคร บอกมา” และชื่อที่ชายร่างท้วมกำลังจะพูดก็เหมือนเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ เมื่อชื่อนั้นคือ

           “รู้สึกว่าจะชื่อ  ไนติงเกล ดิ เอลเมอร์ซี่ นะครับ เอ๋ นามสกุลนี้คุ้นๆนะครับว่าไม่ครับคุณหญิง”

           สุวิทย์ผู้ยังไม่รู้ชะตากรรมเอ่ยทักถึงความสงสัยในนามสกุลของคนที่เป็นผู้อุปถัมภ์คนไข้ โดยไม่ได้มองดูเลยว่าใบหน้าขาวของคุณหญิงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเพราะความโกรธ จนมือสองข้างกำแน่นก่อนพรวดพราดคว้ากระเป๋าแล้วออกจากบ้านไปทันที  ไม่สนใจสุวิทย์หรือแม่บ้านที่พยายามถามไถ่ว่าจะไปไหนอยู่ด้านหลัง ทะยานรถยนต์สีขาวพุ่งออกจากรั้วบ้านอย่างรวดเร็ว

           จุดหมายปลายทางของคุณหญิงก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล บ้านพักตากอากาศที่ไทยของตระกูลดิ เอลเมอร์ซี่ บ้านหลังใหญ่ที่ไม่โตมากเกินความจำเป็นบนที่ดินพื้นงามที่ครั้งหนึ่งหล่อนเคยหมายตาไว้เมื่อครั้งยังสาว

 
          เอี้ยดดดดด

           เสียงดอกยางรถที่บดเบียดกับพื้นถนนอย่างแรงจนดังลอดเข้าไปถึงในตัวบ้านก่อนจะตามมาด้วยเสียงโวยวายที่ดังตามมา สร้างความแปลกใจให้ผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างยิ่ง

           “ข้างนอกมีอะไรกันหรือเปล่า”  แก้วกล้าเอ่ยถามพลางชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ แต่ก็ถูกต้นไม้ที่ปลูกปังไว้จนมองไม่เห็น  เช่นเดียวกับไรอันที่แม้จะทำหน้านิ่งแต่สายตาก็ยังคงสอดสายไปมา แต่คงจะมีแต่หนุ่มผมยาวบนวีลแชร์ที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรแถมยังยกยิ้มเหมือนรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นอยู่อีกฝั่งของรั้วบ้าน

           “พี่ไรอัน เดี๋ยวเกลวานให้พาคุณแก้วกลับขึ้นไปบนห้องทีนะ ส่วนปีแอร์สั่งเด็กในบ้านทุกคนห้ามขึ้นมาที่บ้านไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตามเข้าใจไหม”  เกลสั่งการก่อนหันไปมองหน้าพลเป็นนัยๆว่าให้พาแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามา

           “ทำไมละเกลลี่ มีเรื่องอะไรหรอแล้วทำไมต้องห้ามไม่ให้ใครขึ้นมาในบ้านด้วยละ” เด็กจำไมเอ่ยถาม

           “ทำตามที่เกลบอกนะปีแอร์ พี่ไรอันด้วยอยู่เป็นเพื่อนคุณแก้วในห้องอย่าออกมาจนกว่าเกลจะให้คนไปตาม”

            ไรอันมองหน้าเกลนิ่งก่อนจะลุกขึ้นเป็นคนแรกพยุงให้คนท้องแก่ลุกตามแล้วพาขึ้นบันไดไป ในเมื่อเป็นคำสั่งเขามีหน้าที่ปฏิบัติตามถึงรู้ว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นมันคืออะไรในเมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เขาก็มีหน้าที่แค่รอดูผล

           “ไปได้แล้วปีแอร์”

           เกลออกปากไล่ แม้ปีแอร์จะออกอาการขัดใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเดินไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับ ทำให้ตอนนี้เหลือแค่เกลที่ยังนั่งรอต้อนรับแขกกิตติมาศักดิ์อยู่ข้างล่างเพียงลำพัง

           “สวัสดีครับคุณหญิง  ไม่ทราบว่าลมอะไรหอบคุณมาถึงบ้านผมได้ละครับ”   เกลส่งยิ้มละไมให้แขกของบ้านที่เดินปึงปังเข้ามาพร้อมพลกันการ์ดอีกสองคน

           “หยุดรอยยิ้มแสแสร้งของแกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ อีงูพิษ”

            ใครจะมองว่ารอยยิ้มตรงหน้าหวาดหยดสักแค่ไหน แต่สำหรับหล่อนแล้วมันก็แค่การเสแสร้งที่ต่อให้มีให้กับใครจากใจแต่ที่แน่ๆมันไม่ได้มีความยินดีส่งมาให้หล่อนแน่

           “อยู่ดีๆก็มาว่าผมแบบนี้มันไม่ดีนะครับ”

           เกลว่ายิ้มๆ แม้ภายนอกจะดูไร้ความกลัวแต่หากจริงๆแล้วแก้วตาหวานยังดูสั่นเช่นเดียวกับมือบางที่สั่นจนต้องกุมเอาไว้ที่ตัก  ทุกคนอาจมองข้ามแต่ไม่ใช่กับพลและการ์ดที่ถูกฝึกให้มีทักษะเรื่องการช่างสังเกตโดยเฉพาะพลที่อยู่ใกล้ชิดเกลมากที่สุดมีหรือจะไม่รู้ว่าที่แสร้งทำเก่งตรงหน้า ทุกครั้งหลังจากเผชิญหน้ากับแม่มดร้ายแล้วตัวจะสั่นเป็นลูกนกอย่างคุมไม่ได้นานแค่ไหน

           “อย่ามาพูดให้ฉันขำนะ ไอ้เด็กบ้า!” พลดึงสติกลับมาจองมองเหตุการณ์ตรงหน้าต่ออีกครั้งเมื่อเสียงแหลมแสบแก้วหูของคุณหญิงวีนขึ้น

           “แกใช่ไม่ที่เป็นคนโทรยกเลิกการผ่าตัดที่ฝรั่งเศสของฉัน แกกล้าดียังไงฮะ!!!!”

            ไม่พูดเปล่าร่างบอบบางของคุณหญิงก็พุ่งปรี่เข้าไปกระชากอีกคนให้หลุดออกจากที่นั่งบนวีลแชร์แล้วออกแรงเขย่าอย่างแรงจนหัวสั่นหัวคอน  ทำให้การ์ดอีกสองคนที่ยื่นอยู่รีบเข้าชาร์จล็อกตัวผู้บุกรุกที่เข้าทำร้ายเจ้านายของตนทันที พลรีบเข้าไปประคองให้ยืนขึ้นก่อนจะคอยพยุงเอาไว้

           “รู้ด้วยหรือครับว่าผมเป็นคนทำ รู้ด้วยหรอครับว่าผมกล้า”  เสียงเยาะอย่างถือดีของเกลดังขึ้นหลังจากที่ตนแสร้งก้มหน้าอยู่เมื่อครู่ สร้างความไม่พอใจให้คุณหญิงมากขึ้นเป็นทวีพยายามบิดแขนบิดตัวออกจากการควบคุมแต่ก็ไม่สำเร็จด้วยเพศสภาพและวัย

           “ผมยอมรับก็ได้ครับว่าผมเป็นคนทำ แต่ก็นะเด็กคนนั้นสมควรได้รับการผ่าตัดอย่างเร็วที่สุดอีกอย่างตัวคุณหญิงเองก็ออกจะแข็งแรงดี ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลยนี้ครับ” เกลอ้างเสียงใส

           “แกไม่มีสิทธิทำแบบนี้ นั้นมันหัวใจของฉันมันเป็นสิทธิที่ฉันจะได้”  คุณหญิงว่าเสียงกร้าว แววตาราวโรจอย่างไม่พอใจ

           “เด็กคนนั้นก็มีสิทธิที่จะได้เช่นกัน คุณหญิงน่าจะดีใจนะครับที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำบุญครั้งนี้เพื่อว่าความดีที่สละหัวใจให้คนอื่นจะช่วยให้จิตใจของคุณหญิงสูงค่ามากขึ้นตาม”

           เสียงราบนิ่งพร้อมใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของคนพูด ทำเอาคนฟังอยากกรีดร้องออกมาเสียงดัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อหนึ่งในการ์ดที่จับกุมตัวหล่อนไว้นั้นเหมือนรู้ทันยกมือปิดปากหล่อนไว้เสียก่อน

           “ก็แค่รอผลตรวจครั้งต่อไปคงไม่นานเกินรอหรอกครับ ยังไงก็ได้เปลี่ยนอยู่แล้วละครับหัวใจเน่าๆนี้นะ”  นิ้วเรียวจิ้มเข้าไปที่ตำแหน่งเหนือหัวใจคนใจร้ายเบาๆ

           “แกกล้าดียังไงมาว่าฉันแบบนี้ เหอะ ฉันละอยากรู้จริงๆว่าถ้าตาชินรู้เรื่องที่แกทำวันนี้แล้วยังจะเข้าข้างแกอยู่อีกไม่”  คุณหญิงสะบัดหน้าให้หลุดก่อนพูดออกมาอย่างเป็นต่อ เมื่อเห็นสีหน้าของอีกคนที่ดูเหมือนคาดไม่ถึง

           “หึ แกเตรียมตัวออกจากชีวิตลูกชายฉันไปได้เลย ยังไงเสียชินไม่มีวันเห็นแกดีกว่าแม่อย่างฉันแน่”

           สีหน้าที่ดูเป็นต่อของคุณหญิงทำเอาเกลนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก  เขารู้ดีว่าชิตรัตน์รักแม่ของจนเองมากเพียงใด แต่แล้วยังไงละ มาถึงขั้นนี้แล้วเขาพร้อมเสี่ยงทุกอย่าง

           “แม่เลวๆที่ทำร้ายจิตใจลูกได้อย่างเลือดเย็นนะหรือครับ โธ่ๆ ผมว่าคุณหญิงเอาเวลาสร้างความแตกแยกของครอบครัวผมไปดูแลตัวเองให้อยู่ให้ถึงวันที่จะได้เปลี่ยนหัวใจครั้งถัดไปเถอะครับคุณหญิง เพราะหัวใจของนักบุญคนนั้นมันไม่เหมาะสมกับคนที่มีจิตใจเลวทราบเป็นบัวที่จมอยู่ใต้โคลนตมสงปรกแบบนี้หรอก ส่งแขก”  เสียงประกาศิตของผู้เป็นนายดังออกมา สองหนุ่มร่างใหญ่ก็จัดการลากดึงคุณหญิงที่เมื่อไม่มีอะไรปิดกั้นฝีปากให้ไม่สามารถขยับได้แล้วก็พ่นคำด่าแบบสาดเสียเทเสียหมดความเป็นผู้ดีที่สั่งสมมานาน จนคนมองได้แต่ระอากับสิ่งที่ได้พบเห็น
 
          ผลุบ
 
          ทันทีที่คุณหญิงหายลับไปจากตัวบ้านอาการขาแข้งอ่อนแรงของคนเก่งกล้าเมื่อครู่ล้มพับตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของพี่เลี้ยงหนุ่มทันทีเมื่อมโนภาพที่มองเห็นไม่สามารถจับภาพคุณหญิงหรือใครๆได้อีก

           “ใจเย็นๆครับ ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆนะ”

           พลลูบปลอบ ก่อนจะสั่งการให้สองคนที่ไปส่งคุณหญิงเมื่อครู่ไปบอกคนอื่นๆในบ้านว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก่อนจะช้อนตัวเด็กเจ้าแผนการขึ้นไปพักต่อที่บนห้องนอน

           “รู้ผลที่จะตามมาดีใช่ไหมครับ”  พลเอ่ยขึ้นหลังจากจัดแจงวางคนในอ้อมแขนเมื่อครู่ลงบนเตียงห่มผ้าให้เรียบร้อย

           “เรื่องนี้พี่เชื่อว่ายังไงก็ต้องรู้ถึงหูของคุณชิตรัตน์แน่ คุณพร้อมรับมือกับสิ่งนี้ยังครับ” คนถูกถามพลิกหน้ามามองนิ่งก่อนจะหลับตาลงช้าๆ อย่างรับสภาพ

           “เกลรู้ครับว่าถ้าพี่ชินรู้เขาต้องโกรธเกลมาก” เขาพอรับผลที่ตามมาของการกระทำนี้แล้ว แม้อีกคนจะโกรธแต่เขาก็ไม่คิดจะถอยหรอกนะ

           “แล้วคุณเตรียมรับมือไว้แล้วหรือยัง”  เกลส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่ได้เตรียมแผลรองรับไว้นั้นคือเรื่องจริง

           เมื่อเห็นว่าอีกคนเงียบไปนานจึงไม่อยากกวนในเมื่อไม่อยากพูดก็คงเสียเวลาเปล่าที่จะถามคำถามเดิมออกไป  พลละจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่เดินออกไปจากห้องพร้อมปิดประตูให้อย่างแผ่วเบา

           ความแค้นที่มีมันไม่อาจดับได้ด้วยการปล่อยวาง เขาแค่ต้องการที่จะเอาของที่เป็นของเขาคืนมาก็เท่านั้น แม้วิธีจะรุนแรงแต่เพื่อได้มาเขาก็ไม่หวั่น แต่เกลอาจลืมไปอย่างว่านิสัยคนพาลอย่างคุณหญิงแล้วเมือสู้กับเขาไม่ได้ ก็ยังมีเหยื่ออีกตัวที่คนพาลจะลงอารมณ์ใส่

______________________________________________________________


มาส่งทุกคนเข้านอน(หรือนอนกันแล้ว หว่าาา) กันสักหนึ่งตอน
ตอนนี้ทางฝ่ายน้ำเงิน(เกล)เริ่มเปิดการ์ดโจมตีมาแล้วนะครับท่านผู้ชม
เรามาเอาใจช่วยฝ่ายแดง(คุณหญิง)กันว่าจะมีแผนตีกลับเช่นไรหรือว่าจะหัวใจวายตายก่อน
 :katai1:

เจอกันอีกทีช่วงดึงนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 22- 13-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-02-2017 10:45:39
เกลคงต้องเตรียมรับมือกับความโกรธและความสงสัยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ให้พี่ชินเข้าใจแล้วล่ะ แต่นี่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นเก่ายัยคุณหญิงมันไม่ได้เป็นโรคหัวใจแต่เวอร์นี้เหมือนจะเป็นจริงๆ ใช่มั้ยค่ะไรท์
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 23- 13-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 13-02-2017 21:01:49
ฝนหยดที่ 23


           “แม่ไม่ยอมนะตาชิน ยังไงแม่ก็ไม่ยอม”

           เสียงเรียกร้องถึงความไม่พอใจของคุณหญิงดังขึ้นไม่ขึ้นหยุดหย่อน นับตั้งแต่ชิตรัตน์เหยียบย่างผ่านเข้าประตูบ้านมาในช่วงบ่าย ทีแรกเขาคิดจะเข้ามาเอาของที่ลืมไว้แต่ยังไม่ทันได้ไปไหนไกลก็ถูกคนเป็นแม่ที่นั่งรออยู่แต่เดิมลากเข้ามาคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน  ตอนแรกเขาเอกก็ยอมรับว่าตกใจที่อยู่ๆการผ่าตัดถูกเลื่อนออกไปและยิ่งตกใจมาขึ้นไปอีกเมื่อรู้ถึงสาเหตุตัวการเกิดจากฝีมือคนรักของตัวเองแบบนี้

           “ผมว่ามันอาจเป็นการเข้าใจผิด”  เขาพยายามแย้ง

           “เข้าใจผิดอะไรกัน มันเป็นคนบอกแม่เอง มันพูดเองอยู่กับปากแกยังจะเข้าข้างมันอีกหรอ”  คุณหญิงเริ่มไม่พอใจ ขนาดว่าตนพูดขนาดนี้แล้วชิตรัตน์ยังคิดเข้าข้างอีกฝ่ายอยู่ อะไรมันโง่และไม่ได้ความขนาดนี้กัน

           “ผมว่า ผมจะลองถามเกลดูอีกทีหนึ่งก่อน”

           “ยังต้องถามอะไรกันอีกฮะ!! นี้ตาชินแกยังเป็นคนอยู่อีกมั้ยหรือว่าเป็นควายไปแล้วถึงดูไม่ออกกว่ามันตอแหลนะ”

           “แม่ครับ” ชิตรัตน์ว่าอย่างเหนื่อยใจ

            “ผมจะยังไม่ตัดสินอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะได้พูดกันเกล ผมต้องฟังความทั้งสองฝ่ายนะครับแม่ จะได้ตัดสินถูกว่าใครผิดไม่ผิด”

           ถึงจะพูดไปอย่างงั้นแต่ ลึกๆ แล้วชิตรัตน์เองก็แอบหวังว่ามันจะไม่จริงอย่างที่แม่เขาพูด  เขายอมรับว่าพอได้ยินครั้งแรกเขาเองก็ทั้งโกรธและตกใจ แต่เขาพยายามไม่เอาอคติมาบดบังความคิด เรื่องนี้มันต้องฟังความทั้งสองฝ่ายถึงจะถูก แม้ท่าทางเขาเองจะแสดงออกว่าไม่พอใจอยู่ก็ตาม

           “แกจะรอฟังคำโกหกตอแหลอะไรของมันอีกในเมื่อฉันก็พูดให้แกฟังอยู่นี้ไง”

           “เดี๋ยวผมจะออกไปคุยกับเกลให้รู้เรื่องแล้วกันนะครับ”

            เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่สนใจคำเรียกร้องของตนเอง แถมยังผลุดลุกไปเสียดื้อๆ มีหรือที่หล่อนจะยอมเรื่องนี้ยังไงหล่อนก็ถือว่าเป็นผู้ถูกกระทำอย่างแท้จริงยังไงก็ไม่ยอมให้มันผ่านไปง่ายๆอย่างนี้แน่

           “งั้นฉันไปด้วย”     

            คุณหญิงลุกขึ้นตามแล้วเดินลิ่วไปที่รถเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งโดยไม่สนใจว่าเจ้าของรถจะอนุญาตให้หล่อนไปด้วยหรือไม่ เพราะถึงจะห้ามหล่อนก็จะไป ถ้าคราวนี้เด็กนั้นมันเป่าหูลูกชายเขาให้กลายเป็นควายอีกสิเขาไม่ยอมแน่ หน้ากากแสนดีนั้นวันนี้หลอนจะเป็นคนกระชากออกมาเอง

 
            ว่าทางนั้นรีบร้อนแล้วทางนี้ก็คงร้อนยิ่งกว่า ธารรีบออกจากออฟฟิตอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ๆคนสนิทที่ตอนนี้อยู่ช่วงพักร้อนต่อสายตรงมาหาเขาแล้วบอกถึงการมาเยื่อนของแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่เขาไม่ชอบหน้า แม้ไม่มีรายละเอียดอะไรแต่แค่รู้ว่าใครมาชายหนุ่มก็หุมหันกลับบ้านทันทีไม่สนแม้แต่น้อยว่าเลขาสาวที่เดินถือแฟ้มเอกสารเข้ามาจะมีเอกสารสำคัญด้วยหรือไม่

           ทันทีที่เขามาถึงบ้านทุกอย่างดูนิ่งสงบจนน่าใจหาย มันสงบเกินไปชายหนุ่มตั้งท่าจะวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นพลกำลังเดินสวนลงมาพอดี

           “ทำไมกลับมาไวจังครับ”  พลรู้สึกตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆคนเป็นนายอีกคนก็ด่วนรีบกลับมาเร็วเพียงนี้

           “มันเกิดอะไรขึ้น ไรอันโทรหาฉันบอกว่าคุณหญิงผีนั้นมาที่นี้ มันเกิดอะไรขึ้นแล้วน้องฉันอยู่ไหน”

           ธารเค้นเสียงตามไร้ฟันถามถึงสิ่งที่เกิดอย่างร้อนใจเป็นด้วยห่วงความปลอดภัยของน้อง

           พลเองก็ไร้เหตุผลที่จะปิดจึงผายมือเชิญให้คนเป็นนายลงไปคุยกันข้างล่างแทนการยืนข้างบันไดเช่นนี้ ธารจำใจยอมเดินตามคนสนิทของน้องชายลงมาข้างล่างก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดปากถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทันที

           “ตอนนี้คุณเกลนอนพักอยู่บนห้องครับ บางทีอาจยังไม่พร้อมคุยกับใคร”


           ทั้งๆที่เขาย้ำนักย้ำหนาแล้วว่าอย่าเข้ามายุ่งแล้วเป็นไง โดนอีกฝ่ายบุกมาหาเรื่องถึงบ้านแบบนี้ไอ้พวกการ์ดพวกนี้ก็เหมือนกันปล่อยให้คนนอกเข้ามาในบ้านง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง

           “หึ ทำอะไรเป็นเด็กๆ”

           ธารบ่นการกระทำของน้องชาย ไอ้ที่โดนเขาตามหาเรื่องถึงบ้านแบบนี้เจ้าตัวแสบต้องไปทำอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาอีกแน่ๆ อุตส่าห์บอกว่าเขาจะจัดการเองแท้ๆ

           “นายครับ”

             เสียงของการ์ดที่อยู่ๆๆก็วิ่งเข้ามาดังเรียกความสนใจของทั้งคู่ที่หลบมุมคุยกันอยู่ในสวนดังขึ้น  พร้อมรายงานการมาเยือนของคนที่เพิ่งจากไปไม่นาน ตอนแรกธารตั้งใจจะปฏิเสธไม่ต้อนรับการมาของทั้งคู่แต่เพราะอยากที่จะเคลียร์ปัญหาที่ว่านั้นให้เรียบร้อยจึงตัดสินใจที่ยินยอมให้การ์ดเปิดประตูรับสองคนนั้นเข้ามา

           พวกเขาเดินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อที่จะไปรอรับแขกที่ประตู แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่เร็วกว่ามายืนรออยู่ก่อนแล้ว

           “น้องเกล”

           ธารครางชื่อน้องชายออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคนที่แทบจะไม่ลุกขึ้นจากวีลร์แชร์มายืนด้วยขาทั้งสองข้างที่ไม่มั่นคงของตนแบบนี้

           เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่รีบวิ่งลงมาจากรถเข้าไปประคองร่างคนรักที่ยืนขาสั่นอยู่ตรงประตูทันทีทันทีที่จอดสนิท

           “เกลทำไมเดินลงมาเองแบบนี้”   ชิตรัตน์ถามอย่างเป็นห่วงกลัวว่าถ้าเกิดล้มลงไปจะเป็นยังไง....  ผิดกับใครอีกคนที่เดินตามลงมาจากรถ

           “เผยไต๋ออกมาแล้วหรือไงย่ะ”  เกลยังคงยิ้มแม้เสียงถากถางนั้นจะดังขึ้นมา

           “เข้าไปคุยกันข้างในก่อนดีไม่ครับ”
           เกลเสนอและไม่รอให้ใครตอบกลับรั้งแขนของชิตรัตน์ที่พยุงตนเองอยู่นั้นให้พาเข้าไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อจะได้พูดคุยถึงการมาเยือนครั้งนี้ของทั้งคู่
         
              “พี่ชินมีเรื่องอะไรจะคุยกับเกลหรือเปล่าครับ” เมื่อมาถึงห้องรับแขกเกลชิงเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนโดยจงใจเมินหนีคุณหญิงที่กำลังอ้าปากพูดให้นิ่งค้างอยู่อย่างงั้น

           “พี่อยากรู้เรื่องที่แม่พี่พูด เกลเป็นคนขอเลื่อนเคสผ่าตัดจริงหรือเปล่า”  ชิตรัตน์ยิงประเด็นขึ้นมาทันทีเพื่อกันไม่ให้คุณหญิงเป็นฝ่ายถาม

           “อ้า ถ้าเรื่องนั้นเกลยอมรับครับว่าเป็นคนทำตามที่คุณหญิงพูดเองจริง”

           เขายอมรับในสิ่งที่ทำ ก็อย่างที่บอกไปว่าเขานะไม่มีแผนสำรองสำหรับการกระทำครั้งนี้เขาพลาดเองละที่ลืมจุดจุดนี้ไป ทำให้ตอนนี้ไม่มีอะไรจะทำได้ไปมากกว่าการยอมรับความจริง ที่ทำเอาคนที่รอฟังอยู่ถึงกับนิ่งเงียบอย่างไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงคงจะมีแต่คุณหญิงนั้นละที่ยิ้มเยาะชอบใจส่งสายตาให้ลูกชายเป็นเชิงว่าฉันบอกแล้วให้อีกคนหน้าม่ายลง

           “เกลทำแบบนี้ทำไม”

           ชิตรัตน์ถามเสียงอ่อนแรง เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง ผิดหวังหรือก็น่าจะเป็นไปได้ ทั้งทีเขาพยายามพูดให้อีกคนหลุดพ้นข้อกล่าวหาแต่อีกคนดันมายอมรับแบบนี้มันทำเอาเขาเองก็ไปต่อไม่ถูกเช่นกัน

           “เกลขอโทษนะครับพี่ชิน แต่ที่เกลทำเกลคิดดีแล้ว”

           ชิตรัตน์มองหน้าคนรักอย่างไม่เข้าใจ มันมีบางอย่างเปลี่ยนไปเกลตรงหน้าเขาตอนนี้มีบางอย่างที่ต่างออกไปเหมือนว่ามีบางอย่างที่เขายังไม่รู้

           “เห็นไหมละตาชิน ฉันบอกแกแล้ว” ยิ่งเสียงแหลมเล็กของคุณหญิงที่จีบปากจีบคอพูดใส่อย่างเย้าเย้ยลูกชายของตัวเอง

           “เกลทำไปทำไม” มันยิ่งทำให้เขาอยากรู้

           “เพราะเกลว่าคุณหญิงไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด”  เกลว่าเสียงนิ่ง  “ผลการตรวจของคุณหญิงมันยังไม่จำเป็นถึงขั้นต้องผ่าตัด แค่กินยาอีกสักระยะก็พอจะบรรเทาให้ดีขึ้นได้ แต่คุณหญิงกลับคิดจะผ่าตัดโดยการกั๊กผู้บริจาคไว้เกือบสิบทั้งทีพอตรวจแล้วมีแค่สี่คนเท่านั้นที่คุณหญิงสามารถรับหัวใจไว้ได้ เกลก็แค่ขอหัวใจดวงเดียวเพื่อให้เด็กที่ต้องการผ่าตัดด่วนที่สุดก่อน เกลผิดหรือครับ”  เขาบอกทุกคนตามความเป็นจริงพร้อมยื่นซองเอกสารที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับจากชายและพลส่งให้ชิตรัตน์ได้อ่านมัน

           “แต่นั้นมันเป็นสิทธิของฉัน ฉันมีเงินฉันจะทำอะไรก็ได้แกไม่มีสิทธิมายุ่ง”   คุณหญิงว่าเสียงกร้าวเมื่ออยู่ๆ ความลับเรื่องการรักษาของตนถูกเอามาเปิดเผยทั้งทีมันไม่ควรจะมีใครรู้

           “ผมรู้ครับว่าไม่มีสิทธิ แต่ผมคงทนเห็นความเห็นแก่ตัวของคุณหญิงทำให้คนที่มีความจำเป็นต้องตายลงต่อหน้าโดยไม่ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะครับ”  เกลอ้าง

           “ไหนแม่บอกผมว่าอาการมันหนักมากจนต้องได้รับการผ่าตัดโดยด่วนไงครับ แต่ในเอกสารนี้มันบอกว่าอาการของแม่ยังไม่จำต้องผ่าตัดไงครับ”    ชิตรัตน์นี้นั่งเงียบอ่านเอกสารอยู่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับผลการตรวจที่มันขัดแย้งกับคำพูดที่เขาเคยได้ยิน

           “แม่โกหกผมหรอครับ”  กลับเป็นหล่อนเสียเองที่ถูกลูกชายอย่างชิตรัตน์ไล่ต้อนถาม คุณหญิงมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก เมื่อจนด้วยพยานเอกสารตรงหน้า

           “ก็ตอนนี้มันจำเป็นต้องผ่าแล้วนี้ไง” หล่อนเถียง

           “แต่ใบนี้มันผลตรวจเมื่อเดือนก่อนที่แม่ไปตรวจที่ฝรั่งเศสนะครับ” ชิตรัตน์ชูเอกสารขึ้นพร้อมชี้ระบุวันที่ให้แม่ดูอย่างเคืองใจ

           “แล้วยังไงละ ฉันอยากจะผ่าตัดให้มันหายๆแต่ไอ้เด็กเวรนี้มันมันขโมยหัวใจของฉันไปแกต้องจัดการให้ฉันสิ”   เมื่อไม่รู้ว่าจะเถียงต่อไปอย่างไรดีคุณหญิงจึงโยนความผิดให้โจรขโมยหัวใจตรงหน้าไปแทน

           “ได้ครับผมจะจัดการให้ แต่แม่ก็อยากหวังว่าผมจะกลับไปเชื่อคำพูดของแม่อีกเลยแล้วกันนะครับ” พอกันทีกับคำลวงหลอกเรื่องอาการป่วยบ้าๆนี้จนชีวิตครอบครัวเขาพัง พอกันที

           “นี้แกหมายความว่ายังกันตาชิน แกพูดแบบนี้ได้ไงหะ!!”  คุณหญิงลุกปรี่เข้ามาเขย่าแขนลูกชายอย่างไม่พอใจ 

           “ก็หมายความตามที่พูดนั้นละครับ”

           ชิตรัตน์ว่าเสียงนิ่งก่อนทำท่าก้มลงอ่านเอกสารที่อยู่ในซองต่อไม่สนใจท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนของคนเป็นแม่  ที่ยืนกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจอยู่กลางห้อง

           หล่อนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่อยู่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปในทิศทางนี้ทั้งที่หล่อนเชื่อว่ายังไงเสียครั้งนี้หล่อนก็ชนะแน่ แต่ทำไมกันทำไมมันถึงมีเอกสารการรักษาของหล่อนอยู่ในมือได้  คุณหญิงกระทืบเท้าเสียงดังปังเมื่อไม่มีใครสนใจ นอกจากรอยยิ้มแสนสะใจของตัวต้นเหตุที่หล่อนคิดว่าครั้งนี้จะกำจัดออกไปได้  แต่ไม่ใช่.... หล่อนอยากเข้าไปกระชากเด็กนั้นมาตบให้หายแค้นแต่ถ้าทำมีหรือที่คนของมันจะยอมให้เข้าถึงตัวได้ หล่อนแค้น.... สายตามาดร้ายกวาดมองไปรอบบริเวณ ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องนั่งเล่นไปทำในสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงเมื่อหางตาหล่อนเผลอไปสบเขากับคนช่างยุ่งที่เพิ่งเดินลงมาจากบันได

           หล่อนไม่รอให้ใครรู้ตัวว่าหล่อนจะทำอะไรตรงเข้าไปกระชากไหล่ของคนท้องที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดให้หันกลับมาก่อนตบเข้าไปที่ซีกหน้าขาวฉากใหญ่

           “เพราะแก ถ้าแกไม่ช่วยตาชิตตามหาไอ้เด็กนี้ลูกชายฉันก็คงไม่คิดต่อต้านฉันแบบนี้ เพราะแก”   แก้วกล้าที่ยังไม่ทันตั้งตัวแม้จะโดนตบไปรอบแล้วยังต้องหัวสั่นหัวคอนกับการถูกหญิงอารมณ์ร้ายเขย่าอย่างแรงจนเวียนหัวทำได้แค่ปัดป้องตัวเองกับลูกในท้องเท่านั้น

           “คุณหญิงปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ”  ธารที่วิ่งตามออกมาคนแรกพยายามเข้ามาแยกทั้งคู่ออกทันที

           “แม่ปล่อยแก้ว” พร้อมด้วยชิตรัตน์ที่เข้ามาขว้าง

           “พวกแกสิต้องปล่อยฉัน ฉันจะฆ่ามัน”

            คุณหญิงว่าเสียงเขียวก่อนใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดเหวี่ยงร่างอวบของคนท้องที่ไม่ทันตั้งตัวลงไปอยู่กับพื้นอย่างแรงส่งผมให้เกลที่ผละตัวออกจากพลเพื่อที่จะเข้าไปรับร่างของแก้วกล้าเอาไว้พลอยล้มหัวกระแทกพื้นบ้านที่ปูด้วยหินอ่อนไปด้วยอีกคน

           “แก้ว / เกล”

           ชิตรัตน์ที่เข้ามาล็อกแขนคุณหญิงเพื่อกันไม่ให้ลงมือทำร้ายใครอื่นอยู่เมื่อครู่รีบเหวี่ยงแม่ตัวเองไปอีกทางออกอย่างไม่ลังเลก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดูคนรักของตนที่นอนสลบอยู่กับพื้นทันที  ธารรีบออกคำสั่งเสียงดังลั่นให้เตรียมรถออกก่อนสั่งให้เอาตัวคุณหญิงที่ถูกล็อคเอาไว้ไปขังเก็บไว้ที่ห้องก่อนรีบตรงหรี่เข้าไปหาคนท้องที่นั่งหน้าซีดอยู่ที่พื้น

           “แก้วเป็นไงมั่ง”  ธานถามเสียงร้อนรน เมื่อมองหน้าอีกคนที่ซีดลงเรื่อยๆสลับกับใบหน้าของน้องชายที่เปื้อนคาบของแหลงสีแดงที่ไหลออกมาจากขมับ

           “คุณธารผมเจ็บ”

            เสียงแผ่วลงของแก้วกล้า ทำให้ชายหนุ่มใจเสียก่อนต้องร้อนรนเมื่อหางตาดันไปสบเข้ากันช่วงขาเรียวที่พ้นขอบชุดคุมท้องที่ตอนนี้อาบไปด้วยของแหลวสีแดงจำนวนมากจนน่าหวั่นใจ

           “คุณธารรีบพาแก้วกันเกลไปโรงบาลเถอะครับ”

           ชิตรัตน์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบช้อนตัวคนรักขึ้นก่อนจะหันไปรีบเร่งอีกคนที่ยังทำอะไรไม่ถูกได้สติ ซึ่งพอดีกับที่การ์ดนายหนึ่งวิ่งมาแจ้งว่ารถพร้อมแล้วธารถึงตั้งสติของตัวเองได้รีบช้อนตัวอีกคนขึ้นแนบอกแล้วเร่งฝีเท้าไปที่รถ

           ตลอดทางชายหนุ่มนั่งประคองบีบมือเล็กอย่างให้กำลังใจ พูดปลอดสารพัดที่จะช่วยผ่อนปรงความกังวลของคนท้องลงได้แม้จะอ่อนแรงแต่ด้วยความเป็นแม่สิ่งที่แก้วกล้าห่วงมากที่สุดคือเจ้าตัวเล็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลก ธารรู้ดีและหากว่าทั้งสองเป็นอะไรไปเขาก็ไม่เอาคุณหญิงโฉมฉวีไว้เช่นกันต่อให้น้องเขาเอ๋ยปากขอจัดการเองอย่างไรเขาก็จะไม่สนใจอีกแล้ว

           ทันทีที่รถจอดเทียบที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาลเหล่าบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลต่างกรูกันเข้ามาร่างของเกลถูกนำตัวแยกไปอีกทางเพื่อเข้าไปยังห้องฉุกเฉินแม้แผลที่ขมับจะไม่ร้ายแรงจนถึงต้องเย็บปิดแต่เพราะเลือดที่ออกมาเยอะมากจนเกินไป แต่นั้นก็ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเมื่อเทียบกับอีกคนที่ถูกหามเข้าห้องคลอดเพื่อทำการผ่าตัดทำคลอดเป็นการด่วน โชคดีที่ว่าหมอพลอยรัมภาเข้าเวรอยู่พอดีการผ่าตัดทำคลอดครั้งนี้เจ้าหล่อนจึงรับหน้าที่เป็นผู้ดูแล

           “คุณรออยู่ข้างนอกก่อนนะคะ” คุณหมอสาวดันชายหนุ่มไว้เมื่อเห็นท่าว่าอีกคนพยายามรั้งจะเข้าไปในเขตห้าม

           “แต่ผมเป็นห่วงแก้ว ผมอยากเข้าไป” ธารว่าร้อนรน

           “ไม่ได้ค่ะ” คุณหมอว่าก่อนหายลับเข้าไปหลังบานประตู ธารทิ้งตัวตัวลงกันเก้าอี้หน้าประตูอย่างสิ้นทาง

           เวลาแห่งการรอคอยมักจะยาวนานเสมอโดยเฉพาะการรอคอยคนที่เราไม่มีทางรู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาไม่รู้ว่าเวลาตอนนี้ผ่านมานานแค่ไหนแล้วหรือว่ากี่ครั้งแล้วที่พยาบาลผลัดกันเข้าออกห้องคลอดกันให้วุ่น สีหน้าเคร่งเครียดของคนเหล่านั้นยิ่งทำเขาหวั่นวิตก

           หนุ่มลูกครึ่งนั่งหน้าเครียดไม่ไหวติงไม่สนแม้การ์ดที่มาด้วยจะแจ้งรายงานอาการของน้องชายแสนรักว่า ปลอดภัยและกำลังย้ายไปห้องพักฟื้นแล้วก็ตามทีเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าน้องของเขามีคนคอยดูแลอยู่แล้วจึงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาห่วงอีกคนเสียมากกว่า แก้วกล้าเข้าไปนานแล้วแต่ยังไรซึ่งสัญญาณที่ดีจากอีกฝากของบานประตู จนกระทั้ง

 
          แอ๊ด

          บานประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกพร้อมกับร่างระหงในชุดผ่าตัดสีเขียว ทำให้ธานรีบเด้งตัวขึ้นเข้าหาหญิงสาวที่เพิ่งเดินออกมาอย่างร้อนรน

           “หมอพลอย แก้วกับลูกเป็นยังไงมั่ง” ร่างอรชรของคุณหมอสาวที่ก้าวออกมาจากบานประตูด้วยสีหน้าอิดโรยแฝงความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

           “หมอ” 

           “คนไข้มีอาการตกเลือดอย่างหนัก” หล่อนเกรินนำด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนสูดลมหายใจลึกๆเข้าไปให้ทั่วปอดแล้วเอ๋ยสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องต่อ

           “หมอเลยต้องทำการผ่าตัดด่วนเพื่อทำคลอดก่อนให้คนไข้ก่อนกำหนด และก็ดีใจด้วยแก้วกับคุณได้ลูกสาว” คุณหมอสาวปั้นยิ้มยินดีให้ว่าที่คุณพ่อ ที่พอได้รับฟังเรื่องราวก็พอที่จะทำให้ความกังวลคลายลงแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มได้

           “จริงหรอหมอ แล้ว แล้วแก้วกับลูกละเป็นไงมั่งผมขอเข้าไปดูได้มั้ย”

             ว่าที่คุณพ่อหนุ่มออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัดตั้งท่าจะเดินผลักบานประตูนั้นเข้าไปหาคนที่รักข้างในแต่กลับถูกสาวเจ้ายกแขนดันอกเอาไว้เสีย สร้างความไม่เข้าใจฉงนงงให้เป็นอย่างมาก แต่เมื่อจ้องมองไปยังผู้ผ่าตัดใบหน้าเปี่ยมยิ้มเมื่อครู่กลับสลดลงอีกครั้งเมื่อใบหน้าสวยเชิดของคนเป็นหมอมีแต่ความตึงเครียด

           “เกิดอะไรขึ้นข้างในหรอหมอ” ธานกลั่นใจถาม คิ้วดกสีน้ำตาลเข้มขมวดชิดแน่น

           “เด็กปลอดภัยค่ะแต่เพราะคลอดก่อนกำหนดยังคงต้องอยู่ในตู้อบสักพักเพื่อดูอาการก่อน แต่แก้ว...”

           “ทำไมหมอ หมอพูดมาสิแก้วเป็นอะไร”
           หัวใจดวงน้อยของเขาแทบหยุดเต้นยิ่งหมอพลอยรัมภาทำสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นด้วยแล้ว เขายิ่งเป็นกังวล

           “หมอ แก้วเป็นอะไร” ธานบีบรั้งตรงแขนเล็กของหมอหญิงตรงหน้าออกแรงเขย่าเล็กน้อยอย่างร้อนใจ  ได้โปรด อย่าพาคนที่เขารักไปอีกเลย...........

           “ใจเย็นๆนะคุณ ตอนนี้แก้วปลอดภัยแล้วถึงจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ” หล่อนว่าพรางบิดตัวออกจากการบีบรัดที่ต้นแขน

           “หมายความว่าไง”

           “แก้วมีอาการตกเลือดอย่างหนัก และระว่างผ่าตัดก็มีอาการช็อกจากการเสียเลือดมากถึงสองครั้งแต่เดิมแก้วก็เป็นพวกเลือดน้อยเลือดจางเป็นทุนเดิมพอเจอเรื่องแบบนี้คงไม่แปลกที่จะมีอาการช็อก ยังไงเสียตอนนี้หมอให้เลือดเพิ่มแล้วคงต้องพักฟื้นเพื่อดูอาการต่ออีกสักระยะ เพราะไม่แน่ว่าช่วงที่ช็อกไปนั้นเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือไม่”

           “แล้วผมต้องทำยังไง มีทางไหนที่พอจะช่วยแก้วได้มั่งไหม หมอพลอยบอกผมสิ”

            ธารเร่งเร้าเอาคำตอบเหมือนคนกำลังสติแตก แต่พอไม่ได้คำตอบตามที่หวังมันเหมือนกับว่าอยู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนว่าร่างการสูญเสียจุดศูนย์ถ่วงเซกายลงนั่งที่เดิมกับความรู้สึกที่มันแคว้งไปหมดจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ เขาไม่อยากสูญเสียอะไรไปอีกแล้ว ..............

           “แก้วจะปลอดภัยใช่ไหมหมอ แก้วจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
            หมอพลอยไม่รู้จะหาคำใดมาปลอบทำได้แค่นั่งลงข้างๆยกมือตบบ่าหนาสองสามทีก่อนจะบีบไว้เพื่อหวังให้แรงใจที่มีอยู่ส่งผ่านไปสู่อีกคน

           ธานใช่เวลาตลอดคืนในการอยู่เฝ้าแก้วกล้าที่ห้องพิเศษติดกับห้องของเกลหลายครั้งที่การ์ดเวียนเข้ามาเพื่อขอเฝ้าแทนเพื่อให้คนเป็นนายได้พักแต่เขาเองก็ปฏิเสธอยู่ร่ำไป จนเวลาล้วงเข้าสู้ช่วงสายของอีกวันธานผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนยอมยกหน้าที่เฝ้าแก้วกล้าให้กับลูกน้องคนหนึ่งเพื่อออกไปยังห้องเด็กอ่อน ถ้าแก้วกล้าตื่นมาถามเขาจะได้มีคำตอบให้อีกคนได้......

           ธารเดินก้มมองสิ่งมีชีวิตแสนบริสุทธิที่เพิ่มออกมาสู่โลกอันแสนวุ่นวายที่อยู่หลังกระจกบานใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างเขากันเหล่าเด็กอ่อนตัวแดงที่นอนเรียงรายน่าเอ็นดูในรถเข็น ธารเดินไล่มองเด็กน้อยไปเรื่อยๆจนไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้อบที่ภายในฝาครอบใสมีร่างของเด็กหญิงตัวเล็กที่น่าจะเล็กกว่าบรรดาเด็กคนอื่นๆในห้องนอนอยู่พร้อมสายมากมายที่พาดผ่านไปตามร่างกาย โครงหน้าที่คล้ายถูกถอดออกมาจากแม่พิมพ์ทำให้แม้จะมองอยู่ไกลๆเขาก็พอที่จะเดาได้ว่าเด็กคนนั้นคือลูกของแก้วกล้า ลูกของคนที่เขารัก ลูกสาวของเขา...  แม้จะไม่ใช่สายเลือดแต่แค่แรกเห็นก็รู้สึกรักและเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาวางทับในระดับเดียวกับใบหน้าเล็กๆสีชมพูนั้นพร้อมลูบเบาๆไปมา

           “นายครับ”  แต่ความสุขเล็กๆของเขากลับถูกขัดขึ้นด้วยเสียงของชาย ธารละสาวตาจากเด็กหญิงตัวน้อยมาสบตากับผู้มาใหม่เชิงถาม

           “คุณเกลให้มาเชิญไปพบครับ”  ธารพยักหน้ารับกับสิ่งที่อีกคนได้รับมอบหมายมา ก่อนออกเดินนำอีกคนไปโดยไม่วายหันมามองเด็กในตู้อบอีกครั้งก่อนออกเดิน
 
_____________________________________________________________
เปิดตัวสาวน้อยสมาชิกใหม่ของบ้าน เย้!!

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 23- 13-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-02-2017 22:05:48
แก้วจะต้องปลอดภัยค่ะพี่ธาร แก้วจะต้องปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 24- 15-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 15-02-2017 14:18:55
ฝนหยดที่ 24

ความเจ็บจากรอยแผลใต้ผ้าพันแผลสีขาวที่มาพร้อมอาการมึนเบลอ คือความรู้สึกอย่างแรกที่คนเจ็บรู้สึกเป็นอย่างแรกแม้จะยังไม่ทันได้ลืมตา  แรงขยับศีรษะเบาๆนั้นเรียกความสนใจของคนที่ฝืนลืมตาทนอดนอนกว่าค่อนคืนให้รีบลุกปรี่เข้ามาหาเจ้าของแพรขนตาบางที่พยายามขยับกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับภาพตรงหน้า
 
              “เกลเป็นไงบ้าง ได้ยินพี่ไหม”
 
เสียงทุ้มนุ่มแสนอ่อนโยนของคนพูดที่แฝงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนของชิตรัตน์ที่รีบลุกจากเก้าอี้ขึ้นมาดูอาการของคนรักทันทีทีมีการขยับบตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
 
“แค่มึนๆ ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
 
“เดี๋ยวพี่ตามหมอมาแล้วกันนะ”
 
  ชิตรัตน์กวาดสายตาหาปุ่มฉุกเฉินข้างเตียงเพื่อที่จะเรียกให้พยาบาลที่เข้าเวรอยู่ข้างนอกไปตามหมอเจ้าของไข้มาตามที่ได้สั่งเอาไว้ว่าหากคนไข้ฟื้นแล้วให้รีบแจ้งพยาบาล  แต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วของเขาจะสัมผัสลงบนปุ่มกดแรงรั้งที่ข้อมืออีกข้างก็เรียกให้เขาหันมาสนใจคนเจ็บที่นอนมองหน้าเขาอยู่บนเตียงแทนอย่างสงสัย
 
 “อย่าเพิ่งตามหมอได้ไหมครับ”
 
“...”
 
“นะครับ"  ชิตรัตน์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแต่พอได้เห็นสีหน้ากึ่งอ้อนขอของอีกคนเขายอมที่จะวางปุ่มกดฉุกเฉินลงที่เดิมแล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างเคียงตามเดิม
 
           “งั้นเดี๋ยวอีกสักพักพี่ค่อยไปตามหมอมาให้แล้วกันนะ” เขาบอก
 
           เกลยิ้มรับก่อนจะเกิดความเงียบขึ้นภายในห้องสี่เหลียมของคนไข้พิเศษที่ตอนนี้มีเพียงแค่แสงแรกของวันสาดส่องเข้ามา คนเจ็บเหลือบมองคนข้างกายอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยถามเรื่องที่ค้างคาใจ
 
            “พี่ชินโกรธเกลไหมที่เกลทำแบบนั้น โกรธไหมที่เกลโกหกพี่”  เสียงถามเบาๆคล้ายกลัวคำตอบของคนบนเตียงที่ถามขึ้นทั้งที่สายตาเอาแต่จดจ้องอยู่แต่กับมือสองข้างที่เดี๋ยวกำเดี๋ยวคลายไปมาอย่างคนมีกังวล
 
           “โกรธสิ” เกลหน้าม่ายลงจนคางแทบชิดอก  ถึงจะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเสียดแทงใจได้ขนาดนี้ และยิ่งเจ็บเมื่อชิตรัตน์พูดต่อ
 
           “พี่โกรธมากที่เกลทำแบบนั้นกับแม่พี่ ถึงพี่จะเข้าใจว่าเกลอยากเอาคืนแต่แบบนี้มันมากเกินไปถ้าเกิดว่าแม่พี่ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนจริงๆแล้วเกลทำแบบนี้เกิดแม่พี่เป็นอะไรขึ้นมาจะเป็นยังไง เกลคิดถึงตรงนี้บ้างไหม”
 
           คิดสิ ทำไมเขาจะไม่เคยคิดแต่ที่เขาไม่ทันได้คิดไปจริงๆก็คือความรู้สึกของคนรัก ไม่ว่าจะดีจะร้ายหรือจะเลวแค่ไหนผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ แม่ที่เลี้ยงดูชิตรัตน์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถึงจะยังไม่ได้เตรียมใจเรื่องที่จะโดนอีกคนโกรธแต่เขาก็ไม่ว่าหรอกถ้าชิตรัตน์จะดุจะว่าเขา แต่ขอแค่อย่างเดียวเท่านั้น... ขออย่าได้เกรียดเขาเลย
 
           “เกลขอโทษ ขอโทษ”  แต่พอคิดว่าจะถูกเกลียดน้ำตาที่อยู่ๆไม่รู้มาจากไหนก็เริ่มหน่วงๆอยู่ตรงขอบตาจนร้อนผ่าวไปหมด     
 
           “เกลขอโทษ เกลผิดเอง ฮึก เกลเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองเอาแต่คิดว่าอยากจะเอาพี่ชินกับลูกคืน เอาแต่คิดว่าเอาชนะคุณหญิงจนคุณแก้วต้องมาพลอยคิดรากแหไปด้วย ฮึก แต่เกลไม่ใช่คนเริ่มนิ คุณหญิงต่างหากที่เริ่มก่อน ฮึก คุณหญิงแย่งพี่กับลูกไปจากเกล เกลผิดหรอที่อยากจะเอาพี่กับลูกคืน เกลผิดเหรอ ฮึก เกลผิดเหรอ ฮือ”  เกลพร่ำพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งน้ำตายกสองมือขึ้นปิดหน้าด้วยไม่อยากที่จะต้องเห็นว่าตัวเองต้องถูกอีกคนมองด้วยสายตาเกลลียดชังมากขนาดไหน
 
           และไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกผิดที่ทำไปแบบนั้น แต่เพราะเขาคือคนที่โดนกระทำก่อนเท่านั้นเขาแค่อยากเอาคืนบ้าง อยากทวงสิ่งที่เขารักคืนก็เท่านั้น แต่ไม่เคยรู้เลยว่าต้องมีคนมารับผลร้ายจากสิ่งที่เขาทำด้วย  ตอนที่เห็นคนท้องโดนเขย่าอย่างแรงก่อนถูกเหวี่ยงลงพื้นทั้งที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปรับแต่เพราะขาที่ไม่ได้เดินบ่อยถึงจะเดินได้ปกติก็ใช่ว่าจะมีแรงมาก แรงเหวี่ยงทำให้ร่างที่ต้องการจะไปช่วยกระแทรกจนเป็นเขาเองที่ล้มหัวฟาดพื้น แต่ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นแม้จะพร่าเลือนแต่มันกลับเด่นชัดกรีดแทงใจให้เจ็บทุกครั้ง
 
            ภาพของคนท้องที่อยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายกับกองเลือดที่นองอยู่ที่พื้นอาบย้อมข้อขาขาวจนน่ากลัว ความรู้สึกผิดแล่นริ้วขึ้นมาจับใจยามที่นึกถึง จนตอนนี้เขาภาพนั้นยังคงเด่นชันมากขึ้นจนปวดหัวไปหมดยิ่งส่ายหน้ายิ่งปวดแผล แรงสะอื้นหนักๆทำให้การหายใจเริ่มลำบากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
 
          หมับ
 
           “ไม่ต้องร้องแล้วหายใจเข้าลึกๆนะ ใจเย็นๆ”
 
           ชิตรัตน์คว้าเอาร่างสั่นเทาของนกน้อยซบลงที่อกกว้างของเขาพร้อมกับมือที่คอยลูบปลอบที่หัวเพื่อให้อีกคนบรรเลาความกดดันในใจของตนลง แม้ตอนแรกจะตกใจและสับสนแต่เกลก็ไม่รีรอให้ชิตรัตน์กอดตนอยู่ฝ่ายเดียว สองแขนยกขึ้นกอดตอบอย่างไม่ลังเลพร้อมกำขยุมเสื้อของคนรักแน่นจนยับปลดปล่อยน้ำตากับความรู้สึกที่มีทั้งหมดออกมาจนเปือกชื้นไปทั่วอกอีกคน
 
           ใช่เวลาอยู่นานกว่าเกลจะหยุดร้องแล้วกลับมาหายใจได้ปกติอีกครั้งและถึงจะนานจนแสงสีฟ้าของรุ่งสางแปลเปลี่ยนเป็นแสงสว่างจนมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน  มือของชิตรัตน์ก็ไม่หยุดที่จะลูบไปที่ศีรษะและแผ่นหลังของอีกคน
 
            “ดูสิตาบวมๆแดงก่ำไปหมดแล้วจมูกก็แดง นี้ถ้าลูกมาเห็นต้องบ่นพี่แน่ๆที่ทำคุณแม่เขาร้องไห้”   ชิตรัตน์ผละออกก่อนใช่นิ้วมือเกลี่ยหยาดน้ำตาสีใสที่ไหนออกจากดวงตาหวานอย่างเบามือ
 
           เกลมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มองสบสายตาที่เมื่อครู่ไม่กล้าที่จะสบตาอีกคนเพราะกลัวสายตาอย่างที่ตนคิด แต่มันไม่ใช่ ณ ตอนนี้สายตาที่เขาเห็นจากตนตรงหน้าที่เปลี่ยนมานั่งที่ขอบเตียงข้างเขานั้นมีแต่ความรักที่ส่งมาให้เหมือนทุกครั้งแม้จะไม่มากมายเหมือนแต่เดิมเพราะเจือด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่มั่นใจแต่เขาแน่ใจได้ว่ามันไม่ใช่คำว่าเกลียดแน่นอน
 
           “พี่ชินไม่โกรธเกลเหรอ จะด่าจะว่าเกลก็ได้เกลยอม”
 
           “เกลอยากให้พี่โกรธเราจริงๆหรอ” พอได้ยินแบบนั้นเข้าจริงๆกลับเป็นตัวคนถามเองที่รีบพุ่งกลับไปกอดอีกคนแน่นแล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน
 
           “ไม่เอา ไม่ๆอย่าโกรธเกลอย่าเกลียดเกลนะ”
 
           “ไม่หรอก พี่ไม่เคนโกรธหรือเกลียดเกลหรอกนะ”
 
           “แต่เมื่อกี่....”  เกลเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ  ก็เขานึกว่าจะโดนอีกคนโกรธจริงๆ นี่นะ
 
           “ตอนแรกที่พี่รู้เรื่องยอมรับเหมือนกันว่าโกรธเรามากแต่ไม่รู้ทำไมพี่ถึงเกลียดเราไม่ลง อาจเป็นเพราะเกลมีเหตุผลที่ทำลงไปเป็นพี่พี่ก็คงทำแบบเดียวกับเกลแต่พี่คงไม่ทำให้มันยุ่งยากแบบนี้หรอกนะพี่คงจะทำให้จบเร็วๆอยากกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเสียที   และอีกเหตุผลที่พี่คิดว่าทำไมพี่ถึงเกลียดเกลไม่ลงก็คงเพราะพี่รักเรามากเกินไปจนมองข้ามความเกลียดที่ควรจะมี เหมือนที่เกลไม่เคยเกลียดพี่เลย ไม่ว่าพี่จะไม่ได้เรื่องแค่ไหนก็ตามเกลก็ยังรักและให้อภัยพี่เสมอ”  คนในอ้อมกอดพยักหน้ารับ
 
           “แล้วเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดเรื่องของแก้วนะ ตอนนี้แก้วกับลูกปลอดภัยแล้วเห็นว่าได้ลูกสาวคงสมใจเจ้าตัวเขาแล้วละ”
 
           “จริงหรอครับ แต่ว่าเลือดนั้น” เกลละหน้าออกจากแผ่นอกของอีกฝ่ายมาถามอย่างไม่เชื่อหู ก็เขาเห็นเลือดนิแถมเยอะด้วย
 
            “เห็นว่าต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดทันทีแต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้วแต่เด็กยังต้องอยู่ในตู้อบไปก่อนเพราะคลอดก่อนกำหนดเลยต้องคอยดูเรื่อยๆ”  ถึงชิตรัตน์จะบอกว่าทั้งสองปลอดภัยดี แต่เกลเองก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้เพราะเขาเองก็มีส่วนทำให้ลูกของแก้วกล้าคลอดก่อนกำหนดจนอาจเกิดปัญหาเรื่องสุภาพของเด็กในอนาคตได้
 
           “ไว้เดี๋ยวเราค่อยไปเยี่ยมแก้วกับลูกกันตอนเย็นนะ”
 
           “แล้วพี่ชินจะไปไหนหรอครับ” เกลเอ่ยถามเมื่ออยู่ๆอีกคนก็ผละออก
 
           “พี่มีประชุมตอนสิบโมงนะมีเรื่องที่ยังต้องจัดการอยู่อีกสักหน่อยนะ เดี๋ยวจะได้ไปรับลูกมาหาเราด้วยไงเมื่อคืนนี้ปีแอร์โทรมาบอกว่าร้องไห้ใหญ่เลยคงเสียขวัญนะ เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมานะคนดี นอนพักเยอะอย่าคิดอะไรมาก ยังไงพี่ก็อยู่ข้างเราเสมออยู่แล้ว” ชิตรัตน์บอกก่อนจะเดินกลับมาจูบเบาๆลงหัวที่มีผ้าสีขาวพันรอบอยู่ พร้อมรอบยิ้มบางๆแล้วเดินออกจากห้องไป
 
            เกลมองตามแผ่นหลังของคนรักจนหายลับไปที่อีกฝั่งของประตูและพออยู่คนเดียวความคิดต่างๆที่อยู่ในหัวก็ไหลเข้ามาให้คิดจนปวดหัวไปหมด สักพักหมอที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของไข้ของเขาก็เข้ามาตรวจก่อนออกไป เขาจึงเรียกให้คนที่อยู่เฝ้าหน้าห้องไปตามพี่ชายของเขาให้มาหา  เขาตัดสินใจแล้วเขาควรทำให้มันจบเร็วๆอย่างที่ชิตรัตน์พูด เขาควรหยุดเล่นได้แล้ว...............
 
           “ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาที”
 
............................................................................................


:L2:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 25- 16-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 16-02-2017 12:27:43
:L2:


              “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอจบการประชุมไว้เพียงแค่นี้นะครับ”
 
              เมื่อไม่มีใครเอ่ยค้านอะไรขึ้นมาประธานหนุ่มก็ลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะก้าวเดินออกจาห้องห้องประชุมไปเป็นคนแรก ทิ้งไว้เพียงเสียงวิจารณ์ของเหล่าผู้บริหารระดับสูงต่างๆที่ถูกเชิญมาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้
 
ใครจะหาว่าเขาเป็นลูกอกตัญญูก็ได้แต่เพราะเหตุผลที่เขานำเข้าไปแถลงในที่ประชุมมันก็คงมากเพียงพอแล้วที่เขาจะยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการสั่งปลดคุณหญิงโฉมฉวีออกจากการเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมและให้มีสิทธิแค่ในนามแต่ไม่มีอำนาจออกความเห็นใดๆต่อการบริหารโรงแรมและโครงการต่างๆของบริษัทในเครือนพเทพทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่ปลดก็เป็นผลสืบเนื้องมาจากวันที่คุณหญิงไปก่อเรื่องในวันงานครบรอบของโรงแรมเมื่อหลายวันก่อนแม้จะไม่มีข่าวแพร่ตามหนังสือพิมพ์แต่ใช่ว่าจะไม่มีข่าวลือ และมติในที่ประชุมนั้นก็ออกมาเป็นเสียงเดียวกันนั้นคือการปลดคุณหญิงออกเพราะการกระทำดังกล่าวส่งผมกระทบโดยตรงต่อชื่อเสียงของทางโรงแรม และประเด็นสำคัญที่คือเขาพบหลักฐานสำคัญที่คุณหญิงเคยแอบลักลอบนำที่ดินที่ใช้สร้างหมู่บ้านจัดสรรโครงการหนึ่งไปแบ่งขายให้นายทุนอีกคนเพื่อเอาเงินกระเป๋าตนเองก่อนจะโยนความผิดให้พนักงานคนหนึ่งในบริษัทด้วยเหตุผลบ้าๆที่ว่าไม่ชอบหน้า  และไหนที่การกระทำลับหลังเขาอีกหลายเรื่องที่เขายังไม่หาหลักฐานที่เอามามัดตัวแบบจังๆได้อีก
 
           “ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือครับคุณชินถ้าคุณหญิงรู้เข้า....”
 
           “ก็ให้รู้ไปสิ” ชิตรัตน์พูดขัดขึ้นอย่างไม่สนใจ “ลางานให้ฉันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”  ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเอาเสียดื้อๆโดยที่สายตาไม่ละไปจากการหยิบจับเอกสารที่จำเป็นเก็นใส่กระเป๋า
 
           “เรียบร้อยแล้วครับ” และเมื่อได้รับคำตอบที่น่าพึ่งพอใจชิตรัตน์ก็เดินนำผู้ช่วยของตนออกจากห้องไปเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียนแล้วพาไปหาคนรักที่รออยู่
 
           ถ้าถามว่าเขาไม่คิดห่วงคุณหญิงโฉมฉวีหน่อยหรือที่ถูกธารเอาตัวไปขังเอาไว้ที่บ้านหลังนั้น เขาก็ตอบเลยว่าห่วง แต่แล้วยังไงละในเมื่อเมื่อครู่นี้พี่ชายคนสนิทของเกลโทรมาบอกชาติว่าธารเพิ่งจะให้คนนำตัวคุณหญิงกลับมาส่งบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วพร้อมกับอาการแก้วหูอักแสบของการ์ดที่พามาส่งอีกสามคนดังนั้นเขาจึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเป็นนั่งห่วงคนที่ปลอดภัยดีอยู่แล้วเช่นกัน
 
 
            “คุณแม่ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆใช่ไหมครับ”
 
            คำถามที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้ชิตรัตน์สลัดเรื่องที่อยู่ในหัวออกแล้วหันมาสนใจแก้วตาดวงน้อยที่ขอบตาบวมจากการร้องไห้หนักไปเมื่อคืนและกำลังตั้งท่าที่จะร้องอีกรอบหากเขาไม่พูดอะไรเลย
 
           “จริงสิครับ พ่อจะหลอกเราทำไมกัน” ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวเล็กๆของลูกชายที่อุ้มอยู่ให้คลายกังวล
 
           “อีกอย่างนะ เกรทจะได้เจอน้องแล้วนะดีใจไหม” ชิตรัตน์เบี่ยงประเด็นโดยเลือกที่จะยกประเด็นที่ทำให้เด็กชายต้องทำตาโตอย่างตื่นเต้น
 
           “จริงหรอครับ เกรทจะได้เจอน้องตัวเล็กแล้วหรอครับ เย้ๆ”
 
            ชิตรัตน์ยกยิ้มให้กับอาการของเด็กที่เมื่อครู่ยังทำหน้าเศร้าอยู่แท้ๆพอรู้ว่าจะได้เจอน้องเท่านั้นละดีใจยิ้มแก้มปริเลย ทำให้ตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล เกรทเอาแต่ถามถึงน้องตัวเล็กไม่ขาด จนลืมไปแล้วว่าตัวเองตั้งใจจะไปหาใครกันแน่
 
           “คุณแม่!!”
 
             เสียงร้องของเด็กชายที่วิ่งผลักบานประตูเข้ามาแย่งความสนใจจากเจ้าของห้องที่กึ่งนั่งกึ่งนอนดูรายการเกมโชว์อยู่กับเหล่าการ์ดคนสนิทให้หันกลับมายิ้มให้ก่อนที่ชายกับพลจะขอตัวออกจากห้องไป
 
           “น้องเกรท” เกลยิ้มพร้อมอ่าแขนกว้างกอดรับลูกชายที่ปีนขึ้นมาหาถึงบนเตียง
 
           “คุณแม่เจ็บมากไหมครับ” เกรทถามพรางจ้อมมองผ้าก๊อดสีขาวที่พับรอบหน้าผากของผู้เป็นแม่ด้วยความรู้สึกที่เรียกว่าแค่เห็นก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว
 
           “ไม่เจ็บเลยครับแค่หัวโขกเฉยๆเอง” เกลเลือกที่จะโกหกเพื่อไม่อยากให้ลูกชายต้องรู้สึกไม่ดี เพราะดูจากที่ดวงตากลมๆนั้นยังช้ำอยู่ก็พาเดาได้ว่าเกรทคงจะร้องไห้มากอยู่พอดูเลย
 
           “จริงหรอครับ” เกรทถามอย่างไม่เชื่อจนต้องหันไปทางคนเป็นพ่อที่นั่งมองอยู่ตรงโซฟาข้างๆอย่างหาคนช่วยยืนยัน
 
           “นั้นสิ พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณแม่หายเจ็บจริงหรือเปล่า” แต่แทนที่ชิตรัตน์จะตอบคำถามที่ช่วยคลายความคับข้องใจให้ลูกชาย เจ้าตัวกลับเลือกที่จะตอบเป็นความไม่แน่ใจแทนเสียงอย่างนั้นแถมยังลุกขึ้นย้ายที่มานั่งอีกฝั่งของลูกชายข้างๆคนเจ็บที่มองอย่างไม่เข้าใจ
 
           “แล้วเกรทต้องทำยังไงให้คุณแม่หายเจ็บละครับ”เด็กน้อยดูจะเป็นกังวลมากจนแทบจะปล่อยให้ของแหลวใสที่คลอหน่วงอยู่ที่ของตาไหลออกมาเมื่อตะหนักได้ว่าตอนนี้แม่ของเขากำลังเจ็บปวดอยู่กับบาดแผลที่ขมับ
 
           “ก็ทำแบบนี้ไงครับ”  ชิตรัตน์พูดไว้แค่นั้นก่อนรั้งเอวบางของคนเจ็บที่กำลังพยายามนั่งปลอบลูกชายให้เข้ามาใกล้พร้อมกดริมฝีปากจูบลงเหนือบาดแผลผ่านผ้าสีขาวเบาๆ ก่อนละใบหน้ามามองคนที่อยู่ในระดับสายตาเดียวกันที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ
 
           “หายเจ็บยังครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนที่ส่งมายิ่งทำให้ใบหน้านวลขึ้นสีจนแดงจัดจนต้องหลบหน้าหนีไปอีกทางอย่างเขินอายด้วยไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะกลัวทำแบบนี้กับเขาต่อหน้าลูก
 
           “เกรซทำมั่ง ให้เกรททำบ้าง”  เมื่อเห็นแบบนั้นเด็กชายก็ไม่รีรอที่จะเสนอตัวพร้อมยื่นนแขนทั้งสองข้างของตัวเองโอบรอบคอคุณแม่คนสวยแล้วจุ๊บเบาๆที่แก้มนิ่มทั้งสองข้างไปมา
 
           “จุ๊บ หายเจ็บนะครับคุณแม่ เกรทจุ๊บให้แล้ว” เกรทยิ้มกว้างหลังจัดการร่ายมนต์ใส่
 
           “ครับ คุณแม่หายเจ็บแล้ว ไหนขอแม่จุ๊บน้องเกรทมั่งสิครับ”  เกลตอบยิ้มหวานก่อนดึงลูกชายให้เข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับชิตรัตน์แล้วจัดการหอมแก้มป้องๆนั้นไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว
 
           “ฮ่าฮ่าฮ่า คุณแม่อะแก้มเกรทช้ำหมดแล้วดูสิ ไปหอมคุณพ่อมั่งเลย” เจ้าตัวแสบยกมือขึ้นปิดแก้มทั้งสองข้างก่อนโบ้ยไปให้คุณพ่อหนุ่มรับช่วงต่อ
 
           เกลหันไปมองหน้าคนรักที่อยู่ข้างกายอย่างสื่อความใน ก่อนยอมทำตามที่ลูกชายเอ่ยสั่งหอมแก้มของคนรักเบาๆแต่เนินนานก่อนจะละออกมาเล็กน้อย และเป็นชิตรัตน์เองที่เอื้อมมือไปปิดตาลูกชายตัวน้อยที่อยู่ตรงกลาง ก่อนเคลื่อนใบหน้าเขาใกล้คนรักอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ใช้แก้มของเขาที่ได้สัมผัสริมฝีปากนิ่มแต่เป็นริมฝีปากของเขาเองที่ประกบเข้ากับของอีกคนเตะเบาๆก่อนดูดดึงไปที่กลีบปากล่างของอีกคนจนขึ้นสีก่อนผละออกแล้วหันไปกระซิบที่ข้างหูด้วยประโยคที่คนฟังต้องหน้าแดงหนักกว่าเดิม
 
           “พี่ติดไว้ก่อน ออกจากโรงบาลเมื่อไรไม่ใช่แค่ปากแน่”
 
           “คุณพ่อจะปิดตาเกรททำไมเนี่ย”
 
            เด็กชายที่อยู่ๆก็กลายเป็นส่วนเกินในโลกส่วนตัวของพ่อกับแม่บ่นอุบขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ พยายามดึงมือของพ่อที่ปิดตาทั้งสองข้างของเขาออกด้วยก่อนจะทำหน้าตาไม่พอใจใส่
 
           “พ่อว่าเราไปเยี่ยมอาแก้วกันดีกว่า ปานนี้คงจะตื่นแล้วละ” ชิตรัตน์เปลี่ยนเรื่อง
 
           “คุณพ่อไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย คุณพ่อแกล้งคุณแม่ใช่ไหมบอกเกรทมานะ” แต่ดูท่าแล้วเด็กชายจะไม่ยอมง่ายๆ
 
           เกลมองภาพสองพ่อลูกหยอกล่อโต้เถียงกันไปมาจนอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหากเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้าชิตรัตน์ไม่ให้อภัยกันเรื่องที่เขากำลังอยู่ในเวลานี้เขาจะยังยิ้มได้แบบนี้หรือไม่ บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังนั่งร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้องนี้ก็เป็นได้และเขาอาจไม่ได้เห็นหน้าลูกอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้เขาอยากจะขอคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มอนุญาตให้เขาจัดการกับคุณหญิงได้อย่างอิสระ
 
           “คุณแม่ครับ ไปหาอาแก้วกับน้องกัน”
 
           แรงเขย่าที่แขนเบาๆเรียกให้เกลหันกลับมาสนใจสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เกลยิ้มรับกับคำชวนนั้น ก่อนที่ชิตรัตน์จะเดินไปนำวีลแชร์ของเขาที่อยู่ไม่ไกลมาให้แล้วยังค่อยช่วยพยุงมานั่งก่อนจะเดินไปอีกห้องที่อยู่ข้างๆกัน
 
           บางทีเกลก็อยากจะทำเป็นลืมเรื่องราวร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตทั้งหมดที่มีมาแล้วเริ่มต้นใหม่กับความสุขที่เขากำลังได้รับอยู่ในตอนนี้ ตอนที่มีคนรักอย่างชิตรัตน์อยู่ข้างๆพร้อมเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำและให้อภัยเขาเสมอ ไหนจะลูกชายคนเดียวที่เป็นเหมือนโซ่ทองที่คล้องใจสองดวงของพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกันคนนี้อีก  แต่เขาก็ทำไม่ได้เมื่อบานประตูอีกห้องหนึ่งเปิดออกมันคล้ายกับว่าเขาหลุดออกจากความฝันแสนหวานอันเปี่ยมสุขกลับเข้าไปสู่ความเป็นจริงบางอย่างที่เขาเกือบหลงลืมไป
 
           ใบหน้าขาวซีดแลดูอิดโรยของคนที่นอนทอดตัวอยู่บนเตียงสีขาวของโรงพยาบาลหลังมือข้างหนึ่งที่วางทับอยู่เหนือผ้าห่มมีสายน้ำเกลือบเสียบอยู่พร้อมด้วยถุงเลือดที่พร่องไปครึ่งหนึ่ง  รอยยิ้มเมื่อครู่ที่ยังแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าสวยค่อยๆหุบลงช้าๆอย่างใจหาย
 
           “คุณแก้วเป็นยังไงมั่งครับ”
 
            เกลถามออกไปเสียงเบาจนคล้ายว่าเขาพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่าเป็นคำถามที่ถามคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จนชิตรัตน์อดไม่ได้ที่จะออกแรงบีบเบาๆที่หัวไหล่มนของคนรักเพื่อให้กำลังใจ
 
           “แก้วเพิ่มตื่นเมื่อกี่เอง นี้หมอพลอยกำลังดูอาการอยู่นะ" ธารตอบแทนคนบนเตียงที่ตอนนี้ยังอ่อนเพลียอยู่ แก้วกล้าจึงส่งยิ้มให้บางๆกลับไปแทนเพื่อจะบอกว่าตนสบายดีไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงแล้ว
 
           “ถ้ามากันครบแล้วหมอขอพูดเลยแล้วกันนะคะ” หมอพลอยรัมภาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการก่อนก้มลงไปอ่านรายงานอาการของคนไข้คนสนิท
 
           “แรงกระแทรกจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้ช่องคลอดฉีกขาดเลยทำให้ต้องมีการผ่าคลอดก่อนกำหนดตอนนี้หมอได้ทำการเย็บปิดปากแผลเป็นที่เรียบร้อยไม่ต้องเป็นกังวลกันนะคะแต่ก็ต้องคอยระวังอย่าให้แผลได้รับการกระทบกระเทือนจนกว่าจะปิดสนิท และในระหว่างผ่าตัดแก้วมีอาการตกเลือดอย่างรุนแรงจนช็อกไปถึงสองครั้ง หมอเลยให้เลือดเพิ่มเข้าไปแต่ก็ยังต้องอยู่ดูอาการต่ออีกสักระยะว่าได้รับผลข้างเคียงจากการตกเลือดครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน ส่วนในตอนนี้อาจมีอาการอ่อนเพลียไปบางไม่ต้องกังวลไปเดี๋ยวหมอจะจับยาบำรุงให้เพิ่มเติม”  หมอพลอยรัมภากล่าวก่อนหันไปยิ้มให้คุณแม่มือใหม่ที่นอนอยู่ข้างๆ
 
           “แล้ว..ลูกของแก้วละพี่หมอ” คำถามที่แก้วกล้าถามอย่างอยากรู้ด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงนั้นทำให้คุณหมอสาวเผลอทำหน้าเครียดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนปรับให้เป็นปกติ ก่อนค่อยๆยกมือลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆไปทีหนึ่งก่อนตอบ
 
           “ยัยหนูปลอดภัยดีแต่เพราะคลอดก่อนกำหนดทำให้ตัวเล็กมาก แต่ถ้าเทียบกับวัยของเขาแล้วถือว่ายัยหนูของแก้วแข็งแรงมากเลยนะ”  หญิงสาวพยายามปลอบ
 
           “ตอนนี้พี่ให้เขาอยู่ในตู้อบเพื่อปรับอุณหภูมิก่อน แต่พี่อยากให้แก้วเข้าใจไว้อย่างหนึ่งนะว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดนะจะให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเด็กคนอื่นไม่ได้ แต่พี่จะพยายามดูแลเขาให้ดีที่สุด เชื่อพี่นะแก้ว”
 
           แก้วกล้าพยักหน้ารับทั้งน้ำตาที่ร่วงออกมา  แค่ได้ยินว่าลูกของเขายังมีชีวิตรอดอยู่แค่นี้สำหรับคนที่เพิ่งได้เป็นแม่อย่างเขาแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วจริงไหม
 
           “ผมขอพาแก้วไปดูลูกได้ไหม”
 
           ธารถามขึ้น  ซึ่งคุณหมอเองก็ไม่ได้ห้ามอะไรก่อนจะแนะนำเรื่องการดูแลตัวเองหลังคลอดสองสามเรื่องแล้วอาการของเจ้าตัวเล็กที่อาจมีผลในระยะยาวอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวออกไป
 
           หลังจากคุณหมอคนสวยเดินออกจากห้องไปพวกเขาทั้งหมดจึงมุ่งหน้าสู่ห้องเด็กอ่อน ธารเข็นวีลแชร์ที่แก้วกล้านั่งอยู่เข้าไปใกล้ๆบานกระจนใหญ่ที่เป็นตัวกลางคั่นระหว่างพวกเขากับเด็กหญิงตัวเล็กที่นอนอยู่ในตู้อบพร้อมเครื่องช่วยหายใจอันเล็กที่อยู่ตรงจมูกเล็กๆ
 
           “โตขึ้นน้องต้องสวยเหมือนอาแก้วแน่ๆเลย”
 
           เกรทพูดเสียงตื่นเต้นเกาะกระจกมองตามมือของธารที่ชี้ให้ดูว่าเด็กคนไหนคือน้องตัวเล็กๆของเขา  ก่อนจะเป็นธารที่เริ่มคุยโม้ถึงความสามารถในการหาเจ้าตัวเล็กเจออย่างรวดเร็วจนเกลเองยังอดหมั่นไส้พี่ชายตัวเองไม่ได้ จึงบอกไปว่าอีกคนแอบมาดูยัยหนูน้อยก่อนหน้าพวกเขาไปแล้วตอนเช้า งานนี้เลยกลายเป็นว่าคุณลุงตัวโตต้องมาโต้เถียงกับหลานชายตัวเล็กต่อเพราะเกรทไม่ยอมกล่าวหาว่าธารขี้โกง จนเกิดเป็นสงครามย่อมๆให้คนที่เหลือได้อมยิ้มตาม
 
           “เอ่อ ขอโทษนะคะ” เสียงของพยาบาลสาวในชุดปลอดเชื้อที่เดินเข้ามาพร้อมแผ่นบางอย่างเอ่ยขึ้นเป็นระฆังห้ามทัพของลุงหลานให้หันไปมองสาวเจ้า
 
           “คุณแก้วกล้าใช่ไหมคะ พอดีว่าดิฉันกำลังจะเอาเอกสารไปให้ที่ห้องพอดีเลยนะคะ” พยาบาลสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรพร้อมกับยื่นของที่ถือไปให้แก้วกล้าที่นั่งอยู่รับไป
 
            “นี้คือรายละเอียดเรื่องชื่อของน้องแล้วก่อนเรื่องการแจ้งเกิดนะคะ รบกวนคุณแม่กรอกให้ด้วยนะคะ”
 
           พร้อมอธิบายสิ่งที่อยู่ในระดาษนั้นให้ฟังก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปในห้องเด็กอ่อนโดยบอกว่าเมื่อกรอกรายละเอียดให้นำมาส่งที่นี้ได้เลยหรือจะให้พยาบาลเอามาส่งให้ก็ได้
         
           พวกเขากลับเข้ามาในห้องของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้วสิ่งแรกคุณแม่มือใหม่ทำคือการเอาใบเมื่อครู่ที่ได้มากรอกรายละเอียดในส่วนของตัวเองลงไป ก่อนจะมาหยุดตรงชื่อของเจ้าตัวเล็ก
 
           “แก้วคิดชื่อให้ลูกแล้วหรือยัง” ชิตรัตน์ถามขึ้นเมื่อไม่เห็นว่าคุณแม่มือใหม่จะเขียนอะไรลงไปสักที
 
           “ยังเลยครับ แต่ก็พอคิดได้อยู่ชื่อหนึ่งนะ”
 
           เจ้าตัวบอก จริงๆแล้วแก้วกล้ายังไม่ได้คิดหรอกว่าลูกของเขาควรจะชื่ออะไรดีเพราะเขาคิดว่าคงอีกนานกว่าจะได้เห็นหน้ากันบวกกับเขาไม่รู้ว่าลูกน้อยของเขาจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง แต่พอมาตอนนี้ถ้าไม่คิดก็คงไม่ได้แล้ว
 
           “ชื่ออะไรหรอครับ” เกลถามอย่างอยากรู้ แม้จะถามได้ไม่เต็มเสียงก็ตาม
 
           “งามเทวี เด็กหญิงงามเทวี ส่วนนามสกุลก็ใช้ของผม รวมไผท”  เจ้าตัวตอบยิ้มๆก่อนบรรจงเขียนชื่อที่คิดได้ในขณะนั้นลงในเอกสารและสายข้อมือเล็กๆที่จะนำไปคล้องให้เจ้าตัวเล็ก
 
           “แล้วชื่อเล่นละครับอาแก้ว จะเรียกน้องว่าอะไรดี”
 
           เด็กชายถามขึ้นทั้งๆที่สายตายังไม่ละไปจากเอกสารบนโต๊ะอย่างสนอกสนใจ  แก้วกล้าชะงักปลายปากกาทันทีเมื่อคิดถึงตรงนี้ นั้นสินะเขายังไม่ได้คิดเลยว่าจะเรียกยัยหนูว่าอะไรดี แต่ขณะที่เขากำลังทำหน้าคิดอยู่นั้นเสียงของคนคนหนึ่งที่ไม่เคยห่างกายเขาไปไหนตั้งแต่หลับตาจนลืมตาตื่นก็พูดขึ้น
 
           “วีนัส เรียกลูกว่าวีนัสดีไหม เทพธิดาวีนัสคือเทวีของความงามและความรักแก้วให้ลูกชื่อจริงว่า งามเทวี ที่แปลกลับกันแล้วได้เป็นเทวีแห่งความงาม ฉันว่าวีนัสก็น่าจะเป็นชื่อที่เหมาะกับเขานะ”
 
           “โห่ คุณลุงนี้เก่งจริงๆเลย” เกรทตบมือแปะแป๊ะสองสามที่ก่อนจะชูนิ้วโปรงให้คุณลุงตัวตัวอย่างชื้นชม
 
           แก้วกล้ายิ้มออกมาบางๆก่อนจะเขียนชื่อที่อีกฝ่ายเสนอลงไป แต่พอจะเลื่อนลงไปกรอกรายละเอียดข้างล่างฝ่ามือใหญ่ของอีกคนก็กุมเข้ากับหลังมือข้างที่เขาใช้จับปากกาอยู่เหมือนต้องการห้ามไม่ให้เขาเขียนต่อ คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นไปมองสีหน้าที่ดูก้ำกึ่งในหลายๆความรู้สึกของคนตัวโตอย่างแปลก
 
           “ฉันยอมให้เธอเขียนชื่อพ่อของยัยหนูเป็นนายแทนไทได้เพราะนั้นคือความเป็นจริงที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ แต่นามสกุลของยัยหนูนะขอให้เป็นของฉันได้ไหม”
 
           ธารพูดเสียงจริงจังจนแก้วกล้าไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีกับคำขอของคนตรงหน้า ถึงธารจะเคยบอกว่ายอมรับเขากับลูกได้แต่เขาไม่คิดว่าอีกคนจะใจกว้างขนาดให้ยัยหนูของเขาใช้นามสกุลของอีกฝ่ายด้วย เพราะนั้นมันเท่ากับว่าอีกคนยอมรับลูกของเขาไม่ใช่แค่ในฐานะที่เป็นลูกของเขาเท่านั้นแต่เป็นในฐานะลูกของเขากับธาร
 
           “หลังจากแจ้งเกิดให้ยัยหนูแล้วฉันจะจดทะเบียนรับยัยหนูเป็นบุตรบุญธรรมมีสิทธิเท่าเทียมกับลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อของฉัน ฉันจะดูแลยัยหนูให้ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะดูแลลูกสาวคนหนึ่งได้และได้โปรดเถอะแก้วขอให้ฉันได้มีสิทธิดูแลเธอในฐานะสามีที่พร้อมจะมอบชีวิตและหัวใจทั้งหมดให้กับเธอได้ไหม ชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดของฉัน ฉันขอใช้มันดูแลเธอกับลูกได้ไหม”
 
           แก้วกล้าคางชื่ออีกฝ่ายเบาๆในลำคออย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองราวกับเคลิ้มฝันไปแต่หากสัมผัสอุ่นร้อนที่กอบกุมมือของเขานั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเขานั้นไม่ได้ฝันไป ไหนจะชิตรัตน์ที่นั่งชันเข่าโอบไหล่บางของภรรยาคนสวยอย่างเกลไว้ข้างกายพร้อมด้วยพยานรักของทั้งคู่ที่ทำหน้าอายม้วนซบไหล่คนเป็นพ่อบิดไปมานั้นอีก จนใบหน้าซีดขาวจากการเสียเลือดมากของเขาเมื่อครู่กลับเริ่มแดงขึ้นนิดๆเมื่ออยู่ๆคนที่เงียบไปดันพูดขึ้นมาใหม่กับคำที่เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้ยินมันแล้ว
 
           “แต่งงานกับฉันนะแก้ว”
 
………………………………………………………
 
          โครม!!
 
           “นี้มันหมายความว่ายังไงกันคุณสุวิทย์ ทำไมอยู่ๆฉันถึงถูกปลดออกจากบริษัท”
 
           คุณหญิงโฉมฉวีกวาดเอกสารทั้งหมดที่วางอยู่ตรงหน้าออกอย่างแรงโดยไม่สนว่ามันจะมีความสำคัญเช่นไร ด้วยอารมณ์ที่เดือดดาดอย่างสุดกั้น หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหล่อนถูกคนของธารเอาตัวไปขังไว้ในห้องพักของแขกจนเวลาผ่านไปจนช่วงเช้าหล่อนถึงถูกปล่อยตัวกลับมาที่บ้านแต่ไม่วายมีคนของธารมาเฝ้าสังเกตการอยู่หน้าบ้านตลอดเวลาจนไปไหนไม่ได้แบบนี้ก็นับว่าทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษมันก็แย่มากพออยู่แล้ว และเมื่อกี้นี้อีกที่อยู่ดีๆเลขาวันเกษียณของหล่อนก็วิ่งหน้าตั้งมาหาถึงบ้านพร้อมบอกรายงานการประชุมบอร์ดผู้บริหารระดับสูงที่มีมติปลดหล่อนออกจากทุกตำแหน่งให้เหลือแค่ชื่อเพียงในนามเท่านั้น
 
           “มันเป็นมติจากที่ประชะ...”
 
           “ฉันรู้แล้ว!! แต่ฉันอยากรู้ว่าใครมันเป็นคนเสนอปลดฉันออกต่างหากไอ้โง่”
 
           เสียงเกรียวกราดของคุณหญิงดังขัดขึ้นมา ใบหน้าบูดเบี้ยวอย่างไม่พอใจแสดงออกอย่างแจ้งชัดจนสุวิทย์ได้แต่ยกมือขึ้นซับเหงื่ออย่างไม่มั่นใจว่าคำตอบที่ตนได้รับมาจะทำให้คุณหญิงคลั่งกว่าเดิมมากแค่ไหน
 
           “ตอบมาสิ!!”  เพราะสุวิทย์เอาแต่เงียบไม่ได้ดั่งใจ คุณหญิงจึงปรี่เข้าไปเขย่าตัวชายร่างท้วมอย่างแรงจนหอบออกมาเสียงดัง
 
           “ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณหญิง”  จนสาวใช้ที่อยู่ใกล้ๆต้องทำใจกล้าเข้าไปรั้งร่างของคนเป็นนายออกมาเพื่อให้ได้นั่งพัก
 
           “คือ คนที่สั่งปลดคุณหญิงก็คือ....” สุวิทย์ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนสูดหายใจเรียกกำลังที่มีอยู่
 
           “พูดมาสิ”
 
           “คือ.. คือคุณชิตรัตน์ครับ”
  ___________________________________________________________
พี่ธารคนจริงจะมีเมียแล้วคร้าาาาา
อย่าลืมเข้ามาให้กำลังใจคุณหญิงกันเยอะๆนะคะ ตอนนี้คุณหหญิงต้องการกำลังใจหนักมา
ตอนที่ 25 เจอกันดึกๆนะคะ
 
ตอนนี้ทางเพจของสนพ.อีวามีกิจกรรมต้อนรับวันแห่งความรักอยู่เพื่อนๆสามารถเข้าไปร่วมสนุกได้ที่
EVA Publishing (https://www.facebook.com/EVA-Publishing-233251020438355/?fref=ts)

เพื่อนๆสามารถติดตามความเคลื่อนไหวการอัพนิยายได้ที่ พริ้วไหว/wavery (https://www.facebook.com/Iamwavery/)
 
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 25- 16-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 16-02-2017 12:35:53
ฝนหยดที่ 25
 


           “จะไม่รับสายสักหน่อยหรอครับพี่ชิน” 

           เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่เงียบไปไม่นานดังขึ้นอีกครั้งพร้อมคำถามจากคนบนเตียงที่ตัดสินใจเอ่ยถามเจ้าของเครื่องขึ้นหลังจากปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นมาสักพักใหญ่โดยที่เจ้าของของมันไม่คิดที่จะชายตามองด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรเข้ามาและดูท่าว่าคนปลายสายคงจะไม่ยอมหยุดมือง่ายๆจนกว่าชิตรัตน์จะรับสาย  ชายหนุ่มหลุดถอนหายใจออกมาก่อนเอื้อมมือออกไปกดตัดสายแล้วปิดเครื่องก่อนจะเก็บลงกระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

              “งั้นพี่กลับเลยแล้วกัน เกลจะได้พักด้วย”
              ชิตรัตน์ว่าก่อนจะเดินเข้าไปหอมแก้มลูกชายที่ง้วนอยู่กับการระบายสีภาพลงในกระดาษที่จะต้องส่งคุณครูในวันพรุ่งนี้อย่างขะมักเขม้น เกลไม่รู้ว่าเขาคิดมาไปเองหรือเพราะน้ำเสียงที่ชิตรัตน์เปล่งออกมามันดูเหนื่อยล้าเต็มทน จนเขาเองอดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุนั้นมาจากตนหรือไม่

            “ทำไมทำหน้าอย่างงั้นละครับคนดี”  เกลไม่รู้ว่าตนทำหน้าแบบไหนอยู่ในตอนนี้อันเป็นเหตุให้ถูกถาม จนต้องเอามือยกขึ้นจับหน้าอย่างลืมตัว

           “ที่โรงแรมมีเรื่องด่วนเข้ามานะ ช่วงนี้เลยอาจยุ่งๆหน่อยอย่าคิดมากบอกแล้วไงว่าพี่ไม่ได้โกรธอะไรเกล”

           เหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ความคิดที่อยู่ในใจของเขาเลยชิงพูดออกมาเพื่อให้เจ้าตัวสบายใจ แต่แค่นี้ก็พอแล้วละแค่ได้คำยืนยันว่าอีกคนไม่ได้โกรธเขาพอให้เบาใจคลายกังวลลงไปได้หน่อย

           ชิตรัตน์ส่งยิ้มให้พร้อมกดจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มนิ่มก่อนขอตัวกลับ  ก่อนจะเป็นชายกับพลที่เข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขาในการดูแลคนหน้าสวยที่อยู่ในห้องแทน
 
           ระยะทางจากโรงพยาบาลกลับมายังบ้านของเขานั้นใช้เวลามากสุดแค่หนึ่งชั่วโมงแต่ตอนนี้เวลาล้วงมาจนเกือบจะสองชั่วโมงแล้วชิตรัตน์ยังกลับไม่ถึงบ้าน เพราะเขาสั่งให้ชาติขับรถเพียงสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้นอีกทั้งยังยังเลือกใช้ทางปกติแทนที่จะเป็นการขึ้นทางด่วนเพื่อประหยัดเวลาเดินทางอีกเพื่อที่จะยืดระยะเวลาการกลับบ้านออกไปให้นานกว่าเดิมอีกนิดหนึ่งแต่ถึงเขาจะประวิงเวลาไปนานแค่ไหนสุดท้ายตอนนี้ล้อรถสีดำก็มาหยุดจอดนิ่งอยู่ที่โรงจอดรถภายในบริเวณบ้านของเขาอยู่

           ประธานหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างแรงครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าบ้านมาพร้อมเสียงต้อนรับกลับที่ไม่น่าอภิรมณ์ใจเสียเท่าไรในความรู้สึกของเขา

            “อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะตาชิน แกมาสั่งปลดฉันออกจากตำแห่งนี้ได้ยังไง”

           เห็นไหมละ ขนาดเท้าของเขายังไม่ทันได้เหยียบลงบันไดทางเข้าตัวบ้านเลยเสียงเอ่ยต้อนรับเข้ากลับบ้านอย่างอบอุ่นก็ดังมาพร้อมกับใบหน้าทะมึนของคุณหญิงที่ยื่นกอดอกมองมาทางเขาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

            ชิตรัตน์มองคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนยกมือไหว้แล้วเลือกที่จะเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางเมินเฉยต่อคำถามและการมีอยู่ของคนตรงหน้าเพื่อกลับขึ้นไปจัดการเอกสารที่นำมาด้วยต่อที่ห้อง แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะไม่เป็นที่ถูกใจของคุณหญิงเสียเท่าไรนัก หล่อนจึงปรี่เข้าไปกระชากแขนของชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างเดือดดาดใจ

           “แกจะมาทำเมินฉันแบบนี้ไม่ได้นะตาชิน มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” จนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพึ่งพอใจ หล่อนจะไม่มีทางปล่อยให้ชิตรัตน์หนีไปไหนเด็ดขาด

           “ผมว่ามันก็ชัดแล้วนะครับ คุณสุวิทย์เองก็ทำงานได้ยอดเยี่ยมมาตลอดแค่การเอารายงานการประชุมมาให้แค่นี้ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดนี้ครับ”

            ชิตรัตน์ว่าเสียงเรียบคล้ายไม่ใส่ใจ คือจริงๆเขาก็ไม่ได้ใส่ใจจริงๆนั้นแหละออกแนวเบื่อหน่ายมากกว่าด้วยซ้ำที่ต้องมาพูดเรื่องเดิมซ้ำๆแบบนี้

           “ฉันถึงถามไงว่าแกกล้าดียังไงมาปลดฉันจากการเป็นหนึ่งในผู้บริหาร”

           ชายหนุ่มกรอกตาไปมาก่อนเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่งที่แอบฟังการสนทนาเข้ามารับกระเป๋าของเขาขึ้นไปไว้ที่ห้องทำงานให้ ก่อนที่จะหันมาเผชิญหน้ากับคุณหญิงตรงๆอีกครั้ง

           “ทำไมถึงใช้คำว่ากล้าดีกับผมละครับ”  คำถามที่ถูกย้อนกลับมาทำเอาคุณหญิงกดคิ้วต่ำลงอย่างไม่เข้าใจ

           “....”

           “นั้นสินะครับ บางทีคุณอาจไม่ได้เข้าบริษัทนานเกินไปจนหลงลืมไปแล้วว่าตอนนี้ผมคือผู้บริหารสูงสุดของบริษัท
ทั้งหมดในเครือนพเทพ และเป็นประธานบริหารของโรงแรมรุ่นที่สามอำนาจการตัดสินใจที่จะเลื่อนตำแหน่งใครหรือจะปลดใครออกผมมีสิทธิโดยชอบธรรม”  ชิตรัตน์เน้นย่ำคำว่าทั้งหมดเสียงเข้มเพื่อแสดงจุดยืนที่ตนมีอยู่ในตอนนี้ให้อีกคนรับรู้

           “แต่ฉันเป็นแม่แกนะ แกจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้” คุณหญิงแย้งเสียงแหลมอย่างไม่พอใจ

           “แล้วยังไงหรอครับ เป็นแม่ของผมแล้วยังไงจะแอบโกงเงินแล้วโยนความผิดให้ใครก็ได้อย่างงั้นหรือครับ”

           คุณหญิงชะงักลงทันทีเมื่อชายหนุ่มพูดเรื่องนี้ออกมา หล่อนมองหน้าลูกชายอย่างไม่เชื่อหูด้วยความที่ไม่คิดว่าจะไม่ล้วงรู้เรื่องนี้แถมพนักงานคนนั้นหล่อนก็ใช้ให้คนสร้างหลักฐานปลอมจนพนักงานคนนั้นถูกมติให้ไล่ออกทันทีไปแล้วนี่นะ แล้วทำไมกัน... ทำไมถึงมีคนรู้เรื่องนี้ได้

           “ตกใจหรือครับ”

           “.....”

           “อ่า นั้นสินะหลักฐานการซื้อขายที่ดินที่คุณทำเอาไว้เพื่อป้ายความผิดให้เด็กคนนั้นมองผ่านๆใครก็อาจเชื่อนะครับ แต่พอดีผมกินข้าวไม่ได้กินหญ้าในสวนและอีกอย่างผมก็มีสมองพอที่คิดได้ว่าควรต้องทำอย่างไรมั่งในการหาคนทำผิด นี้ยังไม่นับรวมคนซื้อที่ที่ยอมร่วมมือกับคุณด้วยนะกว่าจะง้างปากให้พูดได้เนี้ย เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ส่วนที่ผมยอมไล่เด็กนั้นออกไปก็เพื่อให้คุณเชื่อว่าผมทำตามที่คุณอยากให้ทำเพื่อที่ว่าผมจะได้ทำอะไรๆให้มันง่ายขึ้นโดยที่คุณจะไม่เข้ามาก้าวก่าย แต่ก็ไม่ต้องห่วงนะครับว่าเด็กคนนั้นจะตกงานเพราะผมส่งเธอไปทำงานที่โรงแรมสาขาอื่นที่ต่างจังหวัดนานแล้ว”

           คุณหญิงอึ้งเงียบอย่างพูดอะไรไม่ออกคำพูดแก้ตัวทุกอย่างมันจุกอยู่ที่ลำคออยากจะแก้ต่างให้ตัวเองแต่การที่ชิตรัตน์อธิบายทุกอย่างออกมาแบบนี้หล่อนเองก็จนที่จะแถไถ่ ปรับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้กลับมาเป็นปกติ

           “แล้วไงละ” เมื่อแถไม่ได้ก็มีแต่ต้องพุ่งชนสินะ

           “เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องปลดฉันออกคิดว่ามันไม่มากไปหน่อยหรือไง” หล่อนว่าอย่างไร้สำนึก

           ชิตรัตน์กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยามกับท่าทีเหมือนว่าไม่ผิดของคนต้องหน้า จนเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสันหาคำอะไรมาสรรเสริญความไร้จิตสำนึกของคนคนนี้ดี

           “คุณใช่คำว่าแค่นี้งั้นหรอ เหอะ”

           “....”

           “ที่คุณทำนี้มันเข้าข่ายฉ้อโกงผมไม่เรียกตำรวจมาจับคุณก็ดีเท่าไรแล้วเคยสำนึกบ้างไหม!” 

           เสียงตวาดลั่นของชิตรัตน์ทำเอาคุณหญิงที่อยู่ใกล้ที่สุดสะดุ้งโหงอย่างตกใจอย่างไม่คิดว่าคนใจเย็นอย่างชิตรัตน์จะกล้าขึ้นเสียแบบนี้ เช่นเดียวกับพวกสอดรู้ที่แอบฟังเรื่องของเจ้านายที่ต่างพากันตกอกตกใจกันทั่วหน้า

           “แกไม่กล้าทำอย่างงั้นหรอก”

           แม้จะกลัวแต่หล่อนก็ยังทำใจดีสู่เสืออย่างน้อยหล่อนก็อยู่ในฐานะที่เป็นแม่ที่เลี้ยงชิตรัตน์มาไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะทำแบบนี้กับหล่อนแน่

           “ทำไมถึงคิดว่าผมจะไม่กล้าละครับ หรือเพราะคิดว่าเป็น แม่ ผมถึงไม่กล้า”  ชิตรัตน์พูดเสียงเหยียดพร้อมส่ายหน้าอย่างสมเพชที่คุณหญิงคิดจะเอาคำคำนี้มาข่มขู่เขา

           “บางที่คุณอาจลืมเรื่องจริงบางอย่างไปเรื่องหนึ่งนะครับ คุณหญิงโฉมฉวี “ คนถูเรียกชื่อถึงกับสะอึกกับท่าทางและการเรียกชื่อเต็มของอีกคนเพราะแต่ไหนแต่ไรมาชิตรัตน์ไม่เคยเรียกตนแบบนี้มาก่อน

           “ต้องให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆให้ไหมครับ บางที่มันอาจมีอีกสักเรื่องสองเรื่องที่ผมจะใช้เป็นเหตุผลไล่คุณออกเพิ่มก็ได้นะครับ”  ชิตรัตน์ย่างสามขุมเข้ามาประชิดคนที่ยืนหน้าเสียปากสั่นอย่างใจเย็น

           “เรื่อง เรื่องอะไร แกหมายถึงอะไรฉันไม่รู้เรื่อง” คุณหญิงทำหน้าเลิ่กลั่ก

           “ก็เรื่องที่..........”
 
           
…………………………………………………………………………

       
   :hao6:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 25- 16-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 16-02-2017 12:39:26
:hao6:

           “จากการสแกนสมองดูแล้วไม่พบเลือกคลั่งหรือความผิดปกติใดๆพรุ่งนี้เช้าก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วละครับ”

           เสียงรายงานผลตรวจที่ปรากฏอยู่บนแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ของคุณหมอวัยกลางคนที่รับหน้าที่เป็นเจ้าของไข้กล่าวอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติได้รับรู้ความเป็นไปของการรักษาที่เป็นไปในทางที่ดี

           “เย้! คุณแม่จะได้กลับบ้านแล้ว”

           เกรทร้องดีใจกระโดดไปมาก่อนจะปีนขึ้นเตียงไปกอดซบอกคนเป็นแม่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง และก่อนที่คุณหมอจะขอตัวออกไปก็มีการพูดคุยบางอย่างที่อาจเป็นผลข้างเคียงจากอาการบาดเจ็บพร้อมแนะนำให้ดูแลตัวเองดี

           “ถ้างั้นเกรทไปหาอาแก้วก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่”
           เขาจะรีบไปบอกอาแก้วกับคุณลุงว่าคุณแม่จะได้กลับบ้านแล้ว.... ไม่รอให้ใครต้องอนุญาตเด็กชายก็กระโดดลงจากเตียงคนไข้วิ่งออกนอกประตูไปอย่างลิงโลด

           เกลที่มองตามหลังเล็กของลูกชายจนหายลับไปที่หลังประตูแล้ว ก็หันกลับมาสนใจคนข้างกายที่เมื่อครู่ยังทำหน้ายิ้มแย้มแต่ตอนนี้กลับถอนหายใจออกมาอย่างแรงเหมือนคนมีเรื่องให้คิดไม่ตก โดยเฉพาะท่าทางที่เจ้าตัวมักจะกำนิ้วโป้งแน่นๆเวลามีเรื่องให้คิดมากๆจนติดเป็นนิสัยนี้อีก ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะรู้ไหมแต่ตอนนี้ชิตรัตน์กำลังทำอย่างที่เขาว่าอยู่จนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปกุมรอบมือหน้าที่กำเข้าหากันแน่น

           “ทำไมทำหน้าอย่างงั้นละครับพี่ชิน มีอะไรหรือเปล่าครับ”

           “ก็นิดหน่อยนะ”

              เขาเลือกที่จะบอกปัดแทนการเล่าทุกอย่างแทนเพราะอย่างไรเสียนี้ก็เป็นเรื่องภายในที่เขาอยากจะจัดการให้เรียบร้อยด้วยตัวของเขาเอง อีกทั้งตอนนี้เกลก็ยังไม่หายดีด้วยหากเอาเรื่องนี้มาบอกให้อีกคนคิดมากเดี๋ยวอาการจะแย่เสียเปล่าๆ

           “จริงสิ พี่คิดว่าหลังจากจัดการอะไรต่างๆเรียบร้อยแล้วพี่จะย้ายไปอยู่กับเกลด้วย เราว่าดีไหม”

           ชิตรัตน์ถามขึ้น ไม่ใช่เพื่อเอาใจแต่เขาคิดเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ หลังจากเรื่องทุกอย่างจบเขาต้องการไปเริ่มชีวิตครอบครัวใหม่อีกครั้งกับคนที่รักจริงๆ

           “จริงหรือเปล่าครับ ไม่ใช่แค่พูดเอาใจลูกนะเกลไม่ยอมจริงๆด้วย”

           เกลว่าเสียงเง้างอนถึงจะยังไม่รู้เรื่องที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชิตรัตน์เอ่ยถึงการย้ายมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับตนแต่เรื่องแบบนี้มันก็เดาได้ไม่ยากไม่ใช่หรอว่าเพราะอะไร บางทีคุณหญิงอาจก่อเรื่องอะไรไว้อีกจนคนใจเย็นอย่างชิตรัตน์รับไม่ไหวเป็นแน่ ซึ่งเขาเองก็คงต้องยอมรับแล้วละว่าเป็นผลดีกับตนอย่างยิ่งที่อยู่ๆก็ได้ลูกและคนรักมาอยู่ข้างกายอย่างไม่ต้องลงแรงอะไรมากมาย

           “พี่เคยโกหกเราด้วยหรือไงละ”

           ชิตรัตน์ตอบกลับก่อนจะขอตัวออกไปรับโทรศัพท์จากหัวน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของโรงแรมที่ต่อสายตรงมาหาเขาเพื่อแจ้งให้เขาทราบว่าใครคนหนึ่งที่ไม่พอใจผลการประชุมได้บุกมาอาระวาดอยู่ที่หน้าโรงแรมจนตัวเขาเองต้องขอตัวกลับก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้  ฝ่านเกลเองก็ไม่ได้งอแงที่จะรั้งตัวชิตรัตน์หรือถามอะไรให้มากความเพราะเข้าใจดีว่าคนรักต้องทำงานและเขาก็ไม่อยากที่จะทำตัวเรื่องมากให้อีกคนตรงรำคาญใจ ทำให้ตอนนี้เขาทำแค่กดไล่รีโมทในมือเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆอย่างไม่มีอะไรทำแทน
           
          ก๊อก ก๊อก

           เกลมองไปทางประตูห้องผู้ป่วยของตนที่เปิดเข้ามาโดยชายพร้อมกับพลที่เดินตามเข้ามาด้านหลัง ดวงตาสวยมองดูพี่เลี้ยงทั้งสองคนของตัวเองก่อนจะกดปิดโทรทัศน์ลง

           “รายงานความเคลื่อนไหวของทางโรงแรมคุณชิตรัตน์นะครับ”

           หัวข้อรายงานที่เขาได้ยินนั้นเรียกความใคร่เป็นอย่างยิ่ง  ที่โรงแรมเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นสินะ.......

           “คุณฤดีมาสโทรมาเมื่อครู่นี้” ชายเกรินขึ้นอย่างไม่ต้องรอให้เกลถาม

            “บอกว่าคุณหญิงโฉมฉวีโวยวายอยู่ที่ทางเข้าของโรงแรมเนื่องจากการ์ดไม่ยอมให้เข้ามาภายใน”

           “ทำไมละครับ”  เกลหยุดมือจากปุ่มกดลงแล้วหันมาถามคนพูดอย่างสงสัย ในเมื่อคุณหญิงก็น่าจะเป็นหนึ่งในผู้บริหารของโรงแรมแล้วทำไมอยู่ๆถึงจะเข้าไปในโรงแรมของตัวเองไม่ได้อย่างนั้นกัน

           “น่าจะเป็นผลจากมติที่ประชุมบอร์ดผู้บริหารระดับสูงเมื่อวานนี้ที่มีการสั่งปลดคุณหญิงออกจากทุกตำแหน่งของบริษัทในเครือให้เหลือแค่ชื่อ”

           คำตอบที่ได้ทำเอาคนฟังแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง นี้หรือเปล่าคือสาเหตุที่ทำให้ชิตรัตน์รีบกลับไปแบบนั้น...........

           “ใครสั่งปลด”  ถึงจะพอเดาได้อยู่บ้างว่าใครที่มีจะมีสิทธิสั่งปลดคนระดับอย่างคุณหญิงออกตำแหน่งได้ แต่มันเหนือความคาดหมายจากเขามาเกินไปจนอดถามมันออกไป

           “คุณชิตรัตน์ครับ  ส่วนสาเหตุที่ปลดนั้นคุณฤดีมาสไม่ได้บอกเอาไว้แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องโกงที่ดิน” พลตอบแทนพร้อมแสดงความคิดเหตุส่วนตัวออกไป

           “แต่เรื่องมันนานมาแล้วทำไมพี่ชินถึงได้เอามาสั่งปลดตอนนี้ละ”

            เกลพึมพำอย่างใช้ความคิด จากเวลาในเอกสารที่ครั้งหนึ่งชายกับพลเคยนำมาให้นั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้หลายปีแล้วน่าจะช่วงที่ชิตรัตน์เข้ามาบริหารงานแรกๆด้วยซ้ำไปแล้วทำไมถึงเพิ่งมาสั่งปลดเอาตอนนี้

           “น่าจะเพราะเพิ่งได้หลักฐานครบนะครับ เพราะเท่าที่รู้มาคุณหญิงแกก็ทำเรื่องงามหน้าลับหลังคุณชิตรัตน์ไว้หลายเรื่องแถมยังมีหน่วยเก็บกวาดคอยเคลียร์ตลอดด้วยคงยากที่จะหาหลักฐานเอามัดตัวได้”

            ชายกล่าวเสริม ซึ่งอันนี้เกลเองก็เห็นด้วยเรื่องการยัดยอกเงินบริษัทและการแอบอ้างชื่อของโรงแรมไปทำเรื่องเสื่อมเสียก็มีมากแต่เหมือนทางนั้นก็เตรียมการมาดีเช่นกันเพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่จะมีใครสาวมาถึงตัวหล่อนได้

           “งั้นงานนี้ก็น่าสนุกสิครับ พี่ชายไปบอกพี่ธารนะครับว่าแผนนั้นเริ่มได้ทันทีส่วนพี่พลรวบรวมเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงทั้งหมดที่พอจะหาได้ไม่ว่าจะในนามของใครมาให้เกลที ช้าสุดคืออาทิตย์หน้าเอกสารต้องถึงมือ เขา”

           ทั้งสองรับคำคนเป็นนายก่อนเดินออกจากห้องไป เหลือเพียงรอยยิ้มร้ายที่ปรากฏบนใบหน้าสวยที่แสดงออกถึงความยินดีกับผลที่ได้มาอย่างง่ายดาย

           “ฝากที่เหลือด้วยนะครับ”

....................................................................

           ความวุ่นวานตรงด้านหน้าทางเข้าของโรงแรมหรูที่เกิดมาได้เกือบครึ่งชั่วโมงยังคงเรียกความสนใจจากเหล่าผู้คนที่เดินสันจรผ่านไปมาระแวกนั้นให้หันมามอง  รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เป็นแขกผู้พักอาศัยในโรงแรมที่ทั้งสนใจและรำคาญในกริยาท่าทางที่แสดงออกว่าไม่พอใจสถบคำด่าว่าผู้คนที่มองมาไม่แคร์ใครและพยายามที่จะสะบัดตัวออกจากการกุมตัวของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทำหน้าที่อย่างเหนื่อยใจ เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่นั่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ผ่านกระจกฟิล์มมืดก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างละอากับพฤติกรรมของคนที่เรียกตัวเองว่าคุณหญิงตรงหน้า

           “คุณหญิงคงไม่เลิกราง่ายๆแน่ครับ จะเอายังไงดี”

           ชาติปั้นหน้าเครียดไม่แพ้ชิตรัตน์ที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังเมื่อต้องมามองดูจากเหตุการณ์ตรงหน้าพลางคิดคาดการณ์ไปว่าอีกไม่นานกองทัพนักข่าวคงจะแห่กันมาเป็นกองทัพแน่ ไหนจะเหล่าบรรดาไทยมุมที่เริ่มยกกล้องขึ้นมาถ่ายไลฟ์สดส่งตรงจากที่เกิดเหตุแบบนี้อีกไม่แคร์ว่าชื่อเสียงของโรงแรมคงจะต้องติดลบ

              “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

           ชิตรัตน์สั่งการเสียงเข้มก่อนก้าวลงจากรถไปทันทีไม่รอให้ชาติเข้าไปในโรงแรม เดินผ่ากลางวงรอบคนที่มุงดูเหตุการณ์เข้าไปคว้าแขนของคุณหญิงแล้วออกแรงลากให้อีกฝ่ายเดินตามตนเข้าไปข้างใน  ส่วนหน้าที่เคลียร์สถานที่ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยไปจัดการ ส่วนพวกคลิปวีดีโอที่เขาคิดว่าต้องมีใครสักคนในนี้ถ่ายเก็บไว้เพื่อเผยแพร่สู่สังคมออนไลน์เขาคงจะตามลบได้ไม่หมดแน่คงจะต้องปล่อยเลยตามเลยไปอย่างช่วยไม่ได้

 
          ผลั๊วะ     

           “โอ๊ย!!”

           ร่างของคุณหญิงถูกเหวี่ยงลงโซฟาทันทีจนยู่หน้าด้วยความเจ็บพร้อมสะหวัดสายตาไม่พอใจใส่ชายหนุ่มที่ยืนจังก้าอยู่ไม่ใกล้อย่างเอาเรื่อง

           “เลิกบ้าได้หรือยังครับ คิดบ้างไหมว่าที่ทำไปมันจะส่งผลอย่างไรกับโรงแรมและความหน้าเชื่อถือของบริษัทมั่ง”

              ชิตรัตน์พยายามข่มอารมณ์ที่จะแสดงออกผ่านน้ำเสียงให้เรียบที่สุดจนกลายเป็นเสียงกดต่ำอย่างข่มอารมณ์ จดจ้องมองคนที่ยังจ้องมาที่ตนอย่างไม่สำนึก

           “แล้วมันจะทำไมละ ที่แกยังกล้ามาปลดฉันออกจากตำแหน่งได้ทำไมฉันจะทำให้มันเสียชื่อมั่งไม่ได้หรือไง”

           คนฟังได้แต่ข่มกรามแน่นอย่างข่มโทสะ

           “แกกับพวกโง่นั้นต้องรับผิดชอบที่ทำกับฉันแบบนี้ ได้ยินไหมแกต้องรับผิดชอบ”  คุณหญิงตะโกนกร้าวเสียงดัง

           “หึ แกคงจะลืมไปอย่างว่าถึงฉันจะไม่มีหุ้นในโรงแรมเฮงซวยนี้แล้วฉันก็ยังมีบริษัทของฉันเองอยู่แกอย่าหวังเลยว่าจะได้เสวยสุขอยู่ได้นานนะ ไม่มีทาง!!”

 

          ผลั๊วะ

           กระเป๋าแบรนด์หรูถูกเหวี่ยงเข้าใส่ใบหน้าของชิตรัตน์อย่างแรงจนหน้าหันพร้อมกับสายตาแค้นเคืองใจของคุณหญิงที่มองจ้องลูกชายตัวดีที่ไม่ได้ดั่งใจก่อนจะกระแทรกเท้าเดินออกจากห้องไป พร้อมเสียงที่ค่อยต่อว่าต่อขานเหล่าพนักงานที่ไม่ยอมทำการทำงานเอาแต่แอบซุ่มมองเจ้านายที่มีมากมายตลอดทางอย่างหัวเสีย    ทิ้งให้ประธานหนุ่มเจ้าของห้องที่ได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา

          ชิตรัตน์ยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากออกอย่างลวกๆ แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานที่ดูท่าว่าวันนี้โรงแรมของเขาคงจะวุ่นวายอย่างมากที่เดียว ไม่สิเพราะบางที่มันน่ารวมถึงโครงการต่างๆของบริษัทในเครือด้วยที่อาจโดนผลกระทบที่เกิดขึ้นและเขาจะต้องเตรียมตัววางแผนเพื่อตั้งรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
         
           บางทีคุณอาจเคยได้ยินหรือเห็นตามละครทีวีหลังข่าวที่มันจะมีเรื่องของการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของเหล่าทายาทตระกูลดังๆเพื่อต่อยอดเงินและอำนาจที่จะตามมาในอนาคต  กรณีเช่นนี้ก็คงจะเดากันได้ไม่ยากเท่าไร เพราะ นายชินวุฒิ บิดาแท้ๆของชิตรัตน์ก็เป็นหนึ่งคนที่ถูกคุมถุงชนเช่นนั้นกับคุณหญิงโฉมฉวีเช่นกัน

           แต่เดิมครอบครัวของชิตรัตน์มีเพียงแค่โรงแรมแห่งนี้เท่านั้นที่เป็นมรดกตกทอดส่วนบริษัทในเครือร่วมถึงอสังหาริมทรัพย์ต่างๆนี้เกิดขึ้นมาภายหลังการแต่งงานกับคุณหญิงโฉมฉวี ที่เป็นบุตรตรีเพียงคนเดียวของเจ้าสัวใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใกล้ล้มละลายในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้บทบาทหลักของคุณหญิงภายในโรงแรมและเครือนพเทพจึงเป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจให้คุณชินวุฒิและรั้งตำแหน่งรองประธานค่อยช่วยเหลือสามีโดยกินเงินเดือนตามตำแหน่งและหุ้นที่ถืออยู่ แต่จริงๆแล้วคุณหญิงกลับถือหุ้นใหญ่นั่งเก้าอี้ประธานของบริษัทตนเองอย่างลับๆโดยการแสร้งยุบบริษัทเดิมของตนเข้ากับของนพเทพแล้วตั้งขึ้นมาใหม่พร้อมเปลี่ยนชื่อเสีย ซึ่งบริษัทนี้ก็มีชื่อที่ทางเครือนพเทพคุ้นหูดีในฐานะคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญเพราะทุกครั้งแนวความคิดที่เสนอต่อลูกค้ามักจะเหมือนกันไปเสียหมดจนเกิดการกล่าวหาว่าลอกเลียนงานของกันและกันอยู่บ่อยครั้ง


              “ร้ายใช่เล่นเหมือนกันนะ นังแก่นั่นน่ะ”

           ธารเอ่ยขึ้นเรียบๆเมื่อมองตามท่าทางของน้องน้อยที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนเตียงคนไข้อย่างสนุกสนานจนเหมือนว่าเอกสารตรงหน้าคือหนังสือการ์ตูนตลกเล่นละสิบบาทยี่สิบบาทตามร้านหนังสือ

           “น้องถึงบอกไงครับว่านั่นน่ะ นังแม่มดเฒ่านั้นมันเจ้าเล่ห์แต่น้องไม่คิดเลยนะว่าข้อมูลของพี่ธารจะทำเอาน้องอึ้งไปได้เยอะเลยทีเดียว”

           เกลว่าพร้อมมองข้อมูลที่ได้รับในมืออย่างสนใจ  ข้อมูลที่ธารหามาได้รวมกับที่ชายกับพลนำมาให้เขานั้นมีแต่เรื่องให้เขาประหลาดใจอย่างไม่น่าเชื่อ คุณหญิงนี้มีเรื่องให้เขาแปลกใจได้ตลอดเวลาจริงๆ

           “แล้วจะให้พี่จัดการเรื่องไหนดีละ”

           “นั้นสินะ”

           เกลมองเอกสารในมือไปมาสลับกันไปมาเหมือนเด็กเลือกของเล่นที่น่าสนใจมาหนึ่งชิ้นจากจำนวนของเล่นมากมาย  แต่ถ้าให้เขาเลือกเขาว่าอันนี้น่าจะเหมาะกับพี่ชายคนนี้ของเขามากที่สุด

           “พี่ธาร”

           “....”

           “น้องว่าน้องอยากให้พี่จัดการอันนี้” นิ้วเรียวยาวคีบกระดาษเอกการชุดหนึ่งยื่นไปตรงหน้าคนเป็นพี่ที่ยืนมองดูอยู่ให้รับไป

           “ทำไมถึงเลือกอันนี้” ธารมองชุดเอกสารในมือพร้อมกระตุกยิ้มอย่างชอบใจกับการเลือกของน้องที่บอกตรงๆเลยว่าถูกใจเขามากที่สุด

           “ก็พี่ธารอยากให้เรื่องมันจบไวๆไม่ใช่หรอ” เกลตอบพร้อมมองสบตากับคนที่เหลือบมามองตนอย่างพอใจ

           “แล้วจะเอาแบบไหนดีละ”

           “อืมมม เอาให้ไม่เหลืออะไรเลยก็ดีนะ”

           “เอาเร็วที่สุดนะครับ แต่อย่าทำให้พี่ชินของน้องเดือดร้อนนะครับ”

           รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้พี่ชายตัวโตที่ตีหน้าบึ้งตึงอย่างขัดทั้งทีใจจริงแล้วธารเองกตั้งใจเอาไว้อยู่แต่เดิมแล้วว่าจะใช้ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น ตลบหลังชิตรัตน์สักเรื่องสองเรื่องให้อีกคนขาดทุนเล่น แต่น้องเขานี้สิมีตาทิพย์หรือไงกันถึงไม่รู้ความคิดจนพูดดักเขาไว้แบบนี้

           ธารถอนหายใจอย่างเซ็งๆก่อนจะหันไปสั่งให้พลเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลแก้วกล้าแทนตนแล้วจึงขอตัวออกไปจัดการเรื่องที่โดนไหว้วานมาให้เรียบร้อย

           คนบนเตียงมองตามแผ่นหลังพี่ชายออกไปก่อนจะหันมาสนใจเอกสารตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสั่งให้การ์ดที่อยู่ในห้องจัดการส่งมันไปให้ใครอีกคนที่เหมาะกับงานนี้

           “เกลว่าเราน่าจะหาหลักฐานเพิ่มกันดีไหมครับ”

           ชายยกยิ้มขึ้นพร้อมเหลือบตามองเจ้านายตัวน้อยของตนที่ดูท่าเหมือนจะนึกอะไรสนุกๆขึ้นมาได้อย่างสนใจจนต้องปิดแฟ้มเอกสารที่เปิดอ่านค้างอยู่ในมือลง

           “จัดให้ตามคำขอเลยครับ”

           เกลยิ้มตาหยีอย่างพอใจแล้วรอให้ชายกดโทรออกไปหาใครบางคนที่พูดจากันเพียงไม่กี่คำแล้วก็ตัดสายทิ้งไปก่อนจะส่งโทรศัพท์อีกเครื่องของเขาที่วางอยู่มาให้อย่างรู้ใจ

 
           //แกกล้าดียังไงโทรมาหาฉันฮะ!! //
           ถึงจะออกแนวโรคจิตไปสักหน่อยที่กลังแสนกลัวแต่กลับอยากแข็งข้อแต่ในเมื่อตอนนี้เขาถือว่าตอนนี้เขาเป็นฝ่ายไล่ต้อนเหยื่อต่อให้กลัวแค่ไหนเขาก็จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายแน่ เพราะยิ่งเห็นเหยื่อตัวน้อยในกำมือของตนดิ้นเร้าเอาชีวิตรอดแล้วมันน่าตื่นเต้นและยิ่งเหยื่อตัวที่ว่าคือคุณหญิงโฉมฉวีด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งอยากจะเห็นการดิ้นล้นเฮือกสุดท้ายนี้เหมือนกัน
           “ผมก็แค่โทรมากด้วยความหวังดี ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะครับ”

           //อย่างแกหรอจะมาหวังดีกับฉันอย่ามาตอแหลหน่อยเลย//

           “หึหึหึ”

             //ขำอะไรของแก//

           “ก็ขำคุณนั้นแหละครับ ผมอยากจะรู้จริงๆว่าถ้าวันหนึ่งอะไรๆที่คุณพยายามซ้อนอยู่ในความมืดมันโดนแสงส่องนำให้คนอื่นเห็นคอแข็งๆที่ค้ำเป็นฐานนั้นยังจะทำให้หน้าหนาๆนั้นเชิดได้อยู่อีกหรือเปล่า”

           //แกพูดอะไร//

           “ก็พูดตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่คุณพยายามซ้อนมันจากใครต่อใครตอนนี้มันไม่ได้มีแค่คุณเท่านั้นที่รู้”

           คำพูดส่อเคล้าบางอย่างของคนที่ตัดสายไปทันทีที่พูดจบทำเอาคนที่ยังมีคงชนักติดหลังอันยากที่จะลบล้างให้ออกไปง่ายๆนั้นถึงกับยืนไม่ติดพื้น แสดงอาการร้อนรนออกให้เห็นได้ชัดเจน

           คุณหญิงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าสะพายทันทีแล้วรีบสาวเท้าก้าวยาวๆตรงไปยังรถยนต์ของตนที่จอดเอาไว้อย่างรวดเร็ว  แต่ยิ่งรีบร้อนมากเท่าไรหัวใจก็ยิ่งทำงานหนักส่งผลให้อีกตราการเต้นของมันนั้นแรงมากขึ้นจนอาการเจ็บจี๊ดที่หัวใจแริ่มที่จะแสดงอาการออกมามากขึ้นเท่านั้นจนต้องยกมือขึ้นมาขยุ้มอกเสื้อข้างซ้ายเอาไว้แน่น แล้วรีบก้าวต่อไปให้ถึงรถเร็วๆ
           เพราะในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับหล่อนไม่ใช่การมานั่งกังวลเรื่องอาการของหัวใจแต่คือการตรงไปบริษัทของตัวเองเพื่อไขข้อข้องใจในสิ่งที่ถูกสะกิดความกังวลเมื่อครู่โดยไม่คิดไตร่ตรองเลยว่านี้อาจเป็นหลุมพรางที่ทำให้ตนต้องการมาเป็นนางแบบทำให้กับตากล้องในมุมมืดสองคนที่แอบสะกดรอยตามหล่อนมาตั้งแต่ออกจากโรงแรมของชิตรัตน์

           “ได้รูปมาแล้วครับ”

           //.....//

           ครับ ผมจะจัดการส่งไฟล์ไปให้ คุณเขา ทันทีครับ”

           //...//

           “ครับ ได้ครับ”
 
_____________________________________________________________
ฝนกลางฤดูหนาว เป็นนิยาครอบครัวใสๆ.....
แล้วทำไมมันซ้อนเงื่อนขนาดนี้!!!
 
 
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 25- 16-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-02-2017 19:05:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 25- 16-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 17-02-2017 21:04:09
ผักกาด

วันนี้ไม่อัพนิยายนะคะ

เดี๋ยววันเสาร์ อาทิตย์ จันทร์ จะมาอัพให้ยาวๆสามวันติดเลย

 :monkeysad:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
[/color]
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 25- 16-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-02-2017 00:08:31
เมื่อไหร่ยัยคุณหญิงมันจะมีสำนึกซะที ว่าตัวเองทำผิดอะไรไปบ้างน่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 25- 16-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: saseum ที่ 19-02-2017 09:36:28
เป็นแม่ที่ไม่มีความเป็นแม่เลยนะเนี่ย
ไม่สำนึกอะไรซักอย่าง เมื่อไหร่โรคจะกำเริบซะที
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 26- 19-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 19-02-2017 13:34:04

ฝนหยดที่ 26




               ความตึงเครียดและแรงกดดันที่แผ่นรัศมีเป็นวงกว้างครอบคลุมทุกตารางนิ้วของห้องประชุมใหญ่ของบริษัทเชิงอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางน้องใหม่อย่าง วิวัฒน์พงษ์ ที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาไม่ถึงสิบปีแต่ก็สามารถก้าวขึ้นมาอยู่อันดับแถวหน้าของวงการได้อย่างไม่น้อยหน้ารุ่นพี่ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งทางการที่สำคัญของนพเทพในเวลานี้ แต่ใครจะคาดคิดกันละว่าผู้กุมบังเหียนใหญ่ของวิวัฒน์พงษ์นั้นจะเป็นคนคุ้นเคยอย่าง คุณหญิงโฉมฉวี.........

              “ฉันถามทำไมไม่มีใครตอบ!!”

  น้ำเสียงเกรี้ยวกราจอย่างไม่สบอารมณ์ของคุณหญิงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมฝ่ามือฟาดลงกลางโต๊ะอย่างเต็มแรงเพื่อระบายความไม่พอใจกับการที่คำถามของหล่อนไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึ่งพอใจกลับมา ไม่สิ...ต้องบอกว่ามันไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมาเลยต่างหาก

               “ผมว่าพี่โฉมใจเย็นๆลงก่อนเถอะนะครับ”
             
              วีรกิตติ์ รักษาการแทนประธานกรรมการบริษัทที่มักจะเป็นคนออกหน้าทำทุกแทนคุณหญิงโฉมฉวีหรือที่รู้จักกันอีกนัยหนึ่งก็คือน้องชายต่างมารดาของคุณหญิง ที่อยู่ๆก็ต้องกลายมาเป็นหุ่นเชิดให้พี่สาวจิกหัวใช้สารพัดจนน่าเห็นใจ
             
               “แกยังจะให้ฉันใจเย็นอีกเหรอฮะ!! “  คุณหญิงตะคอกใส่หน้าวีรกิตติ์เสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า

              “ฉันสั่งให้แกเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วทำไมตาชินถึงได้รู้เรื่องนี้ได้อีก”

              “....”

              วีรกิตติ์ไม่ตอบอะไรเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอย่างสำนึกผิด ทำเอาเหล่าผู้ร่วมประชุมต่างรู้สึกเห็นใจกับท่าทีของผู้ชายคนนี้อย่างยิ่งเพราะนอกจากจะต้องคอยเป็นที่รองมือรองเท้าให้คุณหญิงผู้เป็นพี่แล้ว ถ้าวันใดบริษัทมีข่าวไม่ดีหลุดออกไปเพราะคุณหญิงแล้วละก็วีรกิตติ์ก็ต้องเป็นคนคอยตามเช็ดตามล้างเรื่องให้สะอาด ร่วมถึงเรื่องในครั้งนั้นด้วย....

              “นี้แค่เรื่องที่ดินแกยังทำไม่ได้ แล้วเรื่อง นังนั้น ไม่ใช่ว่ามันรู้ไปถึงหูใครต่อใครแล้วหรือไง”

              เรื่องที่น่าจะเป็นประเด็นให้อีกฝ่ายร้อนใจมากที่สุดสำหรับวีรกิตติ์คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของผู้หญิงคนนี้มากกว่า เพราะถ้าเป็นแค่เรื่องที่ดินเพียงอย่างเดียวแล้วคนอย่างโฉมฉวีไม่มีท่าร้อนรนเป็นเจ้าเข้าแบบนี้แน่  แต่เพราะอะไรต่างหากที่ทำให้พี่สาวเขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกในเมื่ออายุความของคดีนั้นก็หมดไปตั้งหลายปีแล้ว

              “...........ไม่มีท่าที่จะมีใครรู้เรื่องนั้นได้หรอกครับ”

              วีรกิตติ์ต้องใช่ความพยายามอย่างยิ่งในการอธิบายสิ่งต่างๆให้คนที่อารมณ์ร้อนได้เย็นลงเพราะถึงแม้จะเบาใจลงมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะว่างใจเสียเมื่อไรกัน

              “แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่า มัน ยังไม่แดงขึ้นมา”

              “วางใจได้เลยครับคุณหญิง เรื่องนั้น ไม่มีทางที่จะมีใครรู้แน่นอนเอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องพวกผมจัดการให้คนทำลายหมดแล้วครับ”

                ชายรูปร่างสูงที่ดูจะอายุมากกว่าชิตรัตน์อยู่ไม่กี่ปีเป็นฝ่ายแทรกขึ้นมาแทนเจ้านายของตนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างกันโดยไม่มีใครสังเกตเลยว่ามือหนาที่หลบซ้อนสายตาของใครต่อใครในห้องอยู่ใต้โต๊ะกำลังบีบมือผอมแห้งที่สั่นเทาของวีรกิตติ์เอาไว้แน่น

              “ส่วนเรื่องผู้เกี่ยวข้องหรือพยานที่จะมาเอาผิดคุณได้ มันก็ไม่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่หรอครับ”  เขตทัพ เลือกที่จะหยิบยกเอาเรื่องของพยานหลักฐานที่สามารถจับต้องได้อย่างเอกสารและพยานบุคคลมาเป็นข้อโต้แย้งมาที่อีกฝ่ายเคยบอก

           คุณหญิงเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อเจอคำพูดที่หยิบยกเอาเรื่องนั้นขึ้นมาพูดพร้อมทำหน้าคิดตามสิ่งที่ชายหนุ่มรุ่นลูกพูดออกมา นั้นสินะ... มันจะเหลือพยานมาได้ยังไงกัน ในเมื่อมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้วนี่นะ.......

           เหล่าบรรดาผู้ร่วมกระบวนการทั้งหลายจับจ้องมองนผู้กุมอำนาจสูงสุดที่เอาแต่ก้มหน้ากอดอกอยู่หน้าห้อง แต่ก่อนที่จะมีใครทันได้เอ่ยเสนอหรือชี้แจงอะไรเพิ่มเติม เสียงของบุคคลที่อยู่หัวโต๊ะก็ดังขึ้นมาเสียเฉยๆ

           “สั่งให้คนของคุณตรวจสอบเรื่องนี้อีกรอบให้ละเอียดเลยนะฉันต้องการความมั่นใจว่าเรื่องมันจะไม่แดงขึ้นมา”

           คุณหญิงย้ำใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง แล้วหันไปมองหน้าหนุ่มใหญ่รูปร่างผอมเก้งก้างอย่างวีรกิติติ์ที่อยู่ข้างๆด้วยสายตาหยามเหยียดปนไม่พอใจก่อนสะบัดร่างออกจากห้องประชุมไปไม่สนใจว่าคนที่รับคำสั่งจะมีคำถามอื่นหรือมีใครต้องการแย้งอะไรเพิ่มเติมและถึงมีหล่อนก็ไม่คิดจะอยู่ฟังอยู่แล้ว  เพราะตอนนี้หล่อนมีเรื่องให้ต้องทำมากกว่า

         
ปัง!
 
          แรงผลักบานประตูไปกระทบเข้ากับกำแพงห้องจนเกิดเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจใครเมื่อครู่นั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของเจ้าของห้องเลยว่าเสียงนั้นจะทำให้ใครต่อใครต้องตกออกตกใจกับเสียงนั้นหรือไม่ มือเรียวบางลงกรล็อกประตูห้องทันทีที่เข้ามาในห้องของตัวเองพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าราคาเหยียบแสนที่ห่วงนักห่วงหนาของตนลงกับที่นอนอย่างไม่ใยดี ก่อนจะรีบพุ่งตัวตรงไปยังตู้เก็บแบบบิวท์อินติดพนัที่อยู่มุมห้องอย่างร้อนรน ควานหากุญแจที่ซ้อนเอาไว้แถวๆนั้นขึ้นมาไข ทันทีที่ประตูตู้ถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นตู้นิรภัยสีเทาเงินขนาดเล็กที่ซ้อนตัวอยู่ด้านใน นิ้วเรียวบางบรรจงกดรหัสที่ตนจำได้ขึ้นใจเพื่อปลดล็อกตู้ให้เปิดออก

           ภาพกองเอกสารเก่าๆหลายฉบับที่วางทับกันอยู่ใต้กรอบรูปที่คว่ำหน้าและกองเงินสดอีกหลายปึกยังคงอยู่ในสภาพปกติไร้รองรอยการลื้อค้นหรือสูญหาย จมูกมนพ้นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่ของสำคัญยังอยู่ดี แต่ถึงอย่างงั้นมือเรียวสวยที่มีรอยเหี่ยวย่นกลับเอื้อมไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดูด้วยสีหน้ายากจะอ่านถูก มีเพียงรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากที่บอกได้ว่าเจ้าของร่างกายนี้ไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์คนที่จากไปในรูปนั้นเลยแม้แต่น้อย

           “ทุกอย่างที่ควรจะเป็นของฉันมันก็ต้องเป็นของฉัน คนอย่างฉันไม่มีวันล้มให้คนอย่างแกและไอ้เด็กเหลือขอนั้นจำเอาไว้ ..........”

............................................................................

              “คุณแม่ดูสิ น้องยิ้มให้เกรทด้วย”

           เด็กชายร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อน้องสาวตัวน้อยในอ้อมแขนของอาแก้วส่งยิ้มหวานมาให้เขาจนเรียกเสียงหัวเราะบ่นเอ็นดูกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่นั่งรอเวลาที่จะเจอน้องอย่างใจจดใจจ่อ

           หลังจากต้องอยู่ในตู้อบมานานถึงสามวันในที่สุดวันนี้คุณหมอพลอยรัมภาก็อนุญาตให้พยาบาลพาเด็กหญิงตัวน้องวัยแรกเกิดมาพบแม่และครอบครัวที่รอรับขวัญหลานสาวตัวเล็กกันอยู่คับห้อง ผิดกับคนที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาด้านในอย่างหนุ่มฝรั่งเศสตาน้ำข้าวที่ได้แต่พยายามชะเง้อมองคนในห้องผ่านกระจกทรงผืนผ้าตั้งที่บางประตูอย่างเอาเป็นเอาตายจน ชายกับพลได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างทำอะไรไม่ได้จำต้องปล่อยเลยตามเลยให้เด็กโข่งต่างชาติทำตัวไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของพวกตนที่ต้องออกมายืนกันไม่ให้เจ้าหมอหนุ่มนี้เข้าไปในห้องก่อนจะได้รับอนุญาต

           “ไม่เข้าใจเลย ทำไมเกลลี่ถึงไม่ให้ผมเข้าไปละผมก็อยากจะดูหน้าน้องวีนัสเหมือนกันนะ”

           เสียงงุ้งงิ้งคล้ายเด็กโดนขัดใจที่ปีแอร์ทำออกมาไม่ได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเอ็นดูหรือเห็นใจเลยสักนิดนอกจากคำว่า ทำไปได้....  แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาจนร่างโปร่งบางของใครอีกคนที่เข้ามาใหม่ยกถุงกระดาษสีน้ำตาลเข้มที่บรรจุตัวยาหลากหลายชนิดขึ้นหวดฝากเข้าที่หัวของตุ๊กแกยักษ์ตรงประตูเข้าอย่างจัง

           “โอ๊ย!!  ดาร์ลิงตีผมทำไม”

            ภาษาไทยสำเนียงแปลกๆดังขึ้นหลังโดนประทุษร้าย ก่อนจะเข้าไปออเซาะคนรักที่ตัวเองแอบปล่อยทิ้งเอาไว้ที่ห้องตรวจแล้วโดดมาเป็นตุ๊กแกอยู่หน้าห้องนี้แทนมันน่านัก

           ไรอันกรอกตาไปมาอย่างนึกเอื่อมกับการกระทำไม่รู้จักโตของปีแอร์ นี้ถ้าไม่ใช่เพราะพลที่ทนภาพประหลาดๆแบบนี้ไม่ไหวจนต้องให้ชายโทรไปหาบอกให้รีบเขามาล่ะก็ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าไอ้พ่อของลูกที่บอกจะรออยู่ที่หน้าห้องไม่ไปมันจะแอบหนีเขามาดูหน้าคุณหนูก่อนอยู่นี้ไง......

           ไรอันมองหน้าปีแอร์อย่างนึกเคืองยิ่งช่วงนี้ระดับฮอร์โมนในร่างกายของเขาไม่ปกติด้วยแล้วทำให้เขาไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไรเวลามองหน้าคนรัก ไรอันสะบัดมือตุ๊กแกของปีแอร์ออกพร้อมกับเดินกระแทกไหล่เด็กโข่งนั้นแล้วเดินเปิดปรตูเข้าไปด้านในแทน

           “ไรอัน! ตรวจเสร็จแล้วหรอ นี้ๆมาดูลูกสาวฉันสิน่ารักใช่ไหมละ”

           เสียงเริงร่าของคุณพ่อมือใหม่จอมเห่อลูกร้องทักคนที่เข้ามาใหม่ ขณะที่ท่อนแขนหนากำลังโอบกอดห่อผ้าสีขาวอย่างถนอมตามวิธีที่พยาบาลสาวสอนให้เมื่อครู่ แต่สงสัยธารจะหมุนตัวเร็วไปสักหน่อยเลยโดนคุณแม่อย่างแก้วกล้าเอ็ดเอาจนหน้าเจือผิดกับลูกสาวที่มองหน้าคุณพ่อคนใหม่ตาใสแจ๋ว

            ไรอันอมยิ้มขำกับภาพตรงหน้าก่อนจะเดินเข้าไปดูหน้าเด็กหญิงตามแรงจูงของเกรทที่ออกอาการไม่ต่างจากคนเป็นลุงเท่าไรหรือว่าบ้านนี้อาการขี้เห่อจะส่งต่อตามสายเลือดกันจริงๆ แต่พอได้มาเห็นใบหน้าเล็กๆของทารกน้อยตัวแดงที่โผล่พ้นผ้าสีขาวออกมา ดวงตากลมโตสีดำสนิทและไรผมที่ขึ้นบางๆปากอมชมพูถึงจะยังดูไม่ออกว่าเหมือนใครแต่ความน่ารักน่าชังนี้กินขาดเลยไหนจะแก้มยุ้ยๆน่าหยิกน่ากัดนั้นอีก เขาก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมีควายตัวโตๆอย่างธารถึงได้หลงนักหลงหนาออกนอกหน้าแบบนี้

           “จะลองอุ้มดูหน่อยไหมครับ”

           ไรอันเงยหน้ามองแก้วกล้าที่ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนมองตามเด็กหญิงอารมณ์ดีอยู่นาน แต่อีกคนก็โบกมือปฏิเสธไปเนื่องจากว่าเจ้าตัวไม่กล้าที่จะอุ้มเด็กอ่อนขนาดนี้ ยิ่งตัวเล็กมากขนาดนี้ด้วยแล้วไรอันยิ่งไม่มั่นใจเท่าไรว่าจะอุ้มได้ดีเท่าคนเป็นแม่จริงๆหรือเปล่า แม้พยาบาลสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงจะบอกว่าจะสอนให้ก็เถอะ

           “งั้นผมขออุ้มน้องได้ไหมครับอาแก้ว”

           เมื่อมีคนปฏิเสธก็ต้องมีคนเข้ามาสวมรอยแทน เกรทที่เห็นว่านี้น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่ตนจะได้อุ้มน้องเล็กๆจึงรีบเสนอตัว แต่ก็ถูกชิตรัตน์ปรามเอาไว้ก่อนเพราะกลัวว่าลูกชายตนจะยังรับน้ำหนักตัวของน้องไม่ไหวแล้วจะทำตกเอาเป็นเหตุให้เด็กชายพองแก้มอย่างไม่พอใจจนเกลที่มองอยู่ต้องอาสาจะเป็นคนอุ้มเด็กหญิงน้อยให้แทนเพื่อที่ว่าลูกชายของตนจะสามารถเข้ามาดูน้องได้ใกล้ชิดมากขึ้น ท่อนแขนเรียวยื่นออกไปรับวีนัสน้อยจากพี่ชายของตัวเองที่พยายามส่งเด็กน้อยมาให้เขาอย่างเก้ๆกังๆ

           “น้องวีนัสตัวเล็กมากเลยนะเนี่ย ดูสิครับพี่ชินตัวเล็กกว่าตาหนูตอนคลอดใหม่ๆอีก”

           ดวงตาสวยจ้องมองใบหน้าเล็กๆนั้นก่อนจะขยับท่าทางการอุ้มให้ถนัดขึ้นก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบน้ำหนักตัวแรกเกิดของเด็กหญิงในอ้อมแขนกับโซ่ทองแสนสำคัญตรงหน้าเขาในตอนนี้ ถึงจะผ่านมาหลายปีแต่เขาไม่เคยลืมหรอกว่าวันแรกที่ได้พบกันที่ลูกชายของเขาตัวใหญ่และอ้วนท้วมสมบูรณ์มากขนาดไหน

           “นั้นสิ สงสัยงานนี้แก้วกับคุณธารต้องขุนยัยหนูเยอะๆแล้วละ” ชิตรัตน์ตอบอย่างเห็นด้วยขณะก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขนคนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ

           “เห็นแล้วนึกถึงตาเกรทตอนนั้นเลย ร้องไห้ไม่หยุดเลยตอนหิวนมจนพยาบาลต้องรีบพามาส่ง วิ่งไปวิ่งมาตั้งหลายรอบ”

           เสียงพูดขำๆของคนเป็นพ่อที่พูดถึงลูกชายในระยะเผาขนทำเอาคนที่โดนนินทายู้ปากก่อนเดินหนีไปหลบซ้อนแก้มแดวๆที่หลังแขนของแม่แทน พร้อมคำร้องขอตามประสาเด็กอยาดได้อยากมีเหมือนคนอื่นที่ทำเอาคนเป็นพ่อเป็นแม่พูดไม่ออก

           “เกรทก็อยากมีน้องบ้างอะ คุณแม่มีน้องให้เกรทหน่อยได้ไหมครับ น่ะๆ”

           คนโดนขอร้องได้แต่มองลูกชายตาค้างอย่างไม่รู้จะพูดยังไง ครั้งจะหันไปหาคนรักให้ช่วยพูดก็ดูท่าคงไม่ได้ช่วยนอกจากส่งรอยยิ้มกรุ้ทกริ่มมาให้เขารู้สึกร้อนๆที่ใบหน้าหนักกว่าเดิมอีก

           “ก็ดีนะสิถ้าเกลลี่มีเบบี้อีกคน ต่อจากนี้ไปที่บ้านเราก็จะมีแต่เสียงเด็กร้องวุ่นวายเต็มไปหมดแถมเบบี้ของปีแอร์กับดาร์ลิงก็จะได้มีเพื่อนเล่นด้วยคงจะ Happy สุดไปเลย”

           เสียงของผู้ลักลอบเข้ามาในห้องแล้วแอบเนียนย้องเข้าไปยืนข้างๆสุดที่รักของตัวเองเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ก่อนจะโดยศอกแหลมของไรอันกระทุ้งเข้าเต็มรักที่สีข้างจนร้องลั่น

           “แง แง อึก แง”

           แต่สงสัยเสียงของปีแอร์จะดังไปหน่อยเลยทำให้วีนัสสะดุ้งตกใจอย่างแรงจนอ้าปากกว้างร้องไห้เสียงดัง จนแก้วกล้าต้องรีบรับลูกสาวกลับมาแนบอกอีกครั้งเพื่อกอดปลอบ ส่วนเจ้าตัวต้นเหตุก็ต้องรับกรรมจากทั้งคุณพ่อขี้เห่อกับดาร์ลิงอารมณ์แปรปรวนของตัวเองหิ้วกลับบ้านทันทีพร้อมกับเกลที่เห็นว่าคงสมควรพวกเขาเองควรจะกลับบ้านเพื่อให้แก้วกล้าและลูกได้พักผ่อนหลังจากต้องอยู่รับแขกมานาน

................................................................................
           ช่วงนี้ชิตรัตน์กำลังวิ่งวุ่นกับบางสิ่งที่อยู่ตลอดเวลาเลยทำให้หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วชายหนุ่มก็ขอแยกตัวกลับไปทำงานของตนต่อ ซึ่งเกลก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรอย่างที่อีกคนแอบเป็นกังวน

           เกลยืนส่งคนรักออกไปทำงานก่อนจะพาลูกชายที่นอนหลับหมดแรงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นขึ้นไปบนห้องส่วนตัวของเจ้าตัวที่เขาให้คนจัดเตรียมไว้ให้  ถึงแม้เขาจะเดินเองได้บ้างแล้วก็ตามแต่การอุ้มลูกแล้วเดินไปด้วยนั้นสำหรับเขาแล้วถือว่ายังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่พอตัวทีเดียว ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาคือการกลับไปนั่งเจ้าวีลแชร์ไฟฟ้าตัวเดิมที่เขามักจะนั่งมันอยู่เป็นประจำเหมือนอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้

           เกลประคองหัวของลูกชายมาซบที่ไหล่ของตนดีๆก่อนหมุนปรับตัวควบคุมทิศทางที่ติดอยู่กับที่วางแขนให้ตรงไปยังลิฟต์ที่อยู่ด้านหลังบ้านเพื่อขึ้นไปยังห้องนอนของเกรทที่อยู่ชั้นสอง

           ห้องนอนของเกรทคือห้องที่อยู่ถัดไปอีกฝั่งหนึ่งของห้องนอนของเขา ห้องนอนสีขาวตามแบบนี้เด็กชายชอบ เกลค่อยๆบรรจงวางหัวกลมทุยของลูกชายคนเดียวลงกับหมอนใบโตอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เด็กชายร้ององแงเพราะถูกกวนการนอนหลับ โดยไม่ลืมที่จะจูบเบาๆที่หน้าผากนูนโหนกอย่างรักใคร่

          เมี้ยว

          ตั้งแต่ที่เกรทย้านเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้อย่างเต็มตัว เน็ตตี้เองก็สถาปนาตนเองเป็นพี่เลี้ยงของเด็กชาย เพราะไม่ว่าเกรทจะไปนอนอยู่ที่ไหนของบ้านร่างกลมๆนุ่มนิ่มของมันก็จะตามมไปนอนซบอยู่ข้างๆไม่ยอมห่าง เหมือนกำลังเฝ้าพี่ชายตัวโตคนนี้แทนแม่ของมัน.....

            “ฝากเน็ตตี้ดูแลตาหนูของเกลด้วยนะ”

           กลีบปากบางเอ่ยฝากฝั่งลูกน้อยเบาๆพร้อมลูบหัวเล็กของเจ้าแมวตัวโปรดไปด้วยก่อนลุกเดินออกจากห้องไปหลังสิ้นเสียงขานรับจากองครักษ์ขนปุยที่จะคอยพิทักษ์การนอนหลับครั้งนี้ของเกรทแทนเขา

           แต่พอบานประตูห้องถูกเปิดออก เกลก็ต้องเอียงคอมองคนที่ยืนนิ่งอยู่ที่อีกด้านของฝั่งประตูอย่างสงสัย

           “มีอะไรหรือเปล่าครับ”  เสียงใสเอ่ยถามผู้ที่มายืนรออยู่หน้าห้องอย่าใคร่รู้

           “ลูกน้องผมนำเอกสารที่คุณเกลต้องการมาให้แล้วครับ”

           ความสงสัยในการมาของคนตรงหน้าเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มพอใจเล็กๆที่มุมปากทันทีที่ได้ยินคำตอบจากปากของคนสนิทตรงหน้า เกลเหล่สายตามองลูกชายอยู่พักหนึ่งแล้วจึงบังคับวีลแชร์ของตนนำไปยังห้องทำงานของธาร
 
         
           หัวคิ้วสวยยิ่งทั้งสองข้างแทบจะผูกกันเป็นปมยามที่ดวงตาเรียวกวาดไล่อ่านเนื้อความในเอกสารที่ตนได้รับมาจากชาย  เกลอ่านและฟังมันซ้ำอยู่อย่างนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า อย่างไม่อยากจะเชื่อแน่ว่าสิ่งที่ได้มาครั้งนี้จะเป็นเรื่องจริง

           “เราจะมั่นใจได้มากแค่ไหนว่าเอกสารพวกนี้เป็นของจริง””

           ด้วยเนื้อความในเอกสารและคลิปเสียงที่ได้มามันเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่ใช่แค่ว่าจะจ้างนักสืบฝีมือดีสักคนสองคนมาจะได้สิ่งของพวกนี้มาอยู่ในมือได้ มันต้องเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยต่างหากและนั้นแหละคือสิ่งที่เขาทำให้ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะได้มันมาอยู่ในมือแบบนี้

           “เอกสารชุดนี้พลได้มาจากคนใน พี่รับรองว่าทุกเรื่องเป็นของจริง”

           ชายยืนยันสิ่งที่เพื่อนของตนได้รับมาเมื่อสามวันก่อน ตอนแรกพวกเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นกลลวงหรือเปล่า แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันแล้วท้าให้เขาพิสูจน์เรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ยากจะสืบค้นได้แล้วยิ่งเอกสารอีกฉบับที่พวกเขาส่งไฟล์ไปให้ใครอีกคนด้วยแล้วมันยิ่งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงและน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องพววกนี้ได้

           “แถมเขายังบอกอีกว่าถ้าคุณต้องการหลักฐานอะไรเพิ่มเติมให้ติดต่อไปหาเขาได้เลย เขาพร้อมที่จะช่วยเราเต็มทีครับ”

           ถึงจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่คนในของวิวัฒน์พงษ์มาช่วยเขาแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันถือเป็นผลดีต่อทางเขาเป็นอย่างมากที่ได้ข้อมูลพวกนี้มาอยู่ในมือ

           “คุณเกลจะให้พวกพี่จัดการต่อเลยดีไหมครับ”       

           “ไม่ เราจะไม่เป็นคนลงมือเอง”

            ชายมองเจ้านายตัวน้อยตรงหน้าไม่เข้าใจเท่าไรนักในเมื่อหลักฐานทุกอย่างมาอยู่ในมือครบแบบนี้แล้ว เรื่องที่จะบีบให้คุณหญิงจนมุมก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรแล้วทำไมเจ้านายของเขาถึงได้เลือกที่จะไม่ทำอะไรแบบนี้

           “ส่งเอกสารทุกชุดที่เรามีไปให้ เขา แล้วเรามานั่งรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นกันเถอะครับ”
 
........................................................
 
           คุณหญิงอักษรย่อฉ.ฉิ่งถูกปลดกลางอากาศ พร้อมหางโผล่ว่าเป็นบิ๊กใหญ่บริษัทคู่แข่งหวังฮุบสมบัติสามีและลอกงานลูกชายมานานหลายปี
 
           พาดหัวข่าวใหญ่ประจำวันในเข้าวันนี้ถือเป็นประเด็นเด็ดที่ร้อนแรงและเป็นที่สนใจบนโลกโซเชียวเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อหลายวันก่อนที่มีคลิปหลุดของคุณหญิงที่หน้าโรงแรมนั้นออมาด้วยแล้วยิ่งเพิ่มระดับความน่าสนใจมาขึ้นเป็นเท่าตัวและไม่ใช่แค่หน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้นที่เล่นข่าว ตามสื่อออนไลย์ต่างๆก็เริ่มมีการขุดคุ้ยเรื่องราวเบื่องลึกต่างๆออกมาประชันกันอย่างจนกลายเป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในตอนนี้เลยกว่าได้

           “พี่ชินเป็นอะไรหรือเปล่าครับหน้าเครียดเชียว”

           มือข้างที่กำลังป้อนข้าวลูกชายอยู่นิ่งค้างกลางอากาศเมื่อหางตาสบเข้ากับสีหน้าที่ดูจะตึงเคลียดของคนรักที่อยู่หลังหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่เปิดกางค้างอยู่

            “ไม่มีอะไร พี่ขอตัวก่อนแล้วกัน”

           ชิตรัตน์ตอบปัดอย่างข่มอามรณ์หงุดหงิดก่อนจะพับเก็บหนังสือพิมพ์เจ้าปัญหาเหน็บไว้ที่ข้างแขนก่อนขอตัวออกมาท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของสองแม่ลูกที่มองตามหลังเขาออกมา

           การที่ข่าวพวกนี้กระจากออกสู่สังคมเป็นวงกว้างแม้จะทำให้ใครต่อใครรู้จักโรงแรมของเขามากขึ้นอีกหลายเท่าตัวยังไง แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมเลยแม้แต่น้อยกับการที่คนระดับผู้บริหารคิดคดทรยศต่อองค์กรของตัวเองแบบนี้แล้วมันมีแต่เสียกับเสีย............

           ยิ่งกองทัพนักข่าวจำนวนมากที่พร้อมใจรักสามัคคีกันมาจับกลุ่มนั่งรอเขาอยู่ที่หน้าโรงแรมเต็มไปหมด จนเขาต้องต่อสายตรงเข้าไปหาผู้จัดการโรงแรมให้ส่งคนมาเชิญพวกนักข่าวเข้าไปรวมตัวกันในห้องรับรองห้องหนึ่งแทนเพื่อไม่ให้นักข่างเหล่านั้นส่งเสียงเป็นการรบกวนแขกคนอื่นที่มาพักจนอาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของโรงแรมมากขึ้นไปอีกและอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขนาดย่อมขึ้นมาได้

           “ท่านประธานค่ะ เราจะเอายังไงต่อดีคะ”

           ฤดีมาสที่กำลังดูแลพนักงานอยู่นั้นหันมาเห็นเจ้านายหนุ่มของตนเองที่กำลังเดินข้ามาพอดีก็รีบวิ่งตรงเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยท่าทีร้อนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าตนจะแก้ไขเฉพาะหน้ามาที่ได้รับคำสั่งมาบ้างแล้วแต่เหนืออื่นใดทุกอย่างก็ต้องผ่านการตัดสินใจของคนที่เป็นใหญ่ที่สุดในที่นี้อย่างชิตรัตน์

           ประธานหนุ่มยืนนิ่งมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในห้องรับรองที่เขาสั่งให้คนเปิดเพื่อกักตัวเหล่านักข่าวเพื่อไม่ให้ออกไปก่อความวุ่นวายให้กับแขกของทางโรงแรมจนเหมือนการเป็นชุมนุมขนาดย่อมของคนกลุ่มหนึ่ง

           “เดี๋ยวรบกวนคุณฤดีมาสสั่งคนให้เอาเก้าอี้และของว่างมาให้พวกนักข่าวด้วยบอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงผมจะจัดแถลงข่าว และส่งคนไปกำชับกับฝ่ายรักษาความปลอดภัยด้วยว่าห้ามคนของเราออกจากโรงแรมหรือตัวออฟฟิตเด็ดขาดถ้าเจอใครที่น่าสงสัยให้รีบเข้าประชิดตัวทันที”           เขาออกคำสั่งอย่างใจเย็น

           “ชาติเอกสารที่นายได้มาเอามาให้ฉันดูหน่อย”

           เพราะคิดอยู่แล้วว่ายังไงคุณหญิงก็คงจะเล่นไม่ซื่อกับเขาแต่เขาเองก็ไม่คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าอีกคนจะทำเขาได้เจ็บแสบถึงใจได้ขนาดนี้ และในเมื่อเขาคิดจะเก็บกวาดสิ่งสกปรกในบริษัทให้หมดไปแล้วเขาก็ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

           เอกสารสองชุดที่ชาติได้รับมาจากบุคคลปริศนาที่อยู่ๆก็บุกเข้ามาหาเขาถึงในห้องยามวิกาลถูกส่งให้เจ้านายของตนเองรับเอาไป

           ชิตรัตน์มองซองเอกสารนั้นมาก่อนจะเดินนำชาติไปที่ห้องรับรองส่วนตัวด้านหลังเพื่ออ่านเอกสารโดยไม่รู้เลยว่าข้อความในนั้นจะกลายเป็นเหมือนดาบเล่มยาวที่แทงทะลุผ่านหลังของเขาเข้ามาจนแทบกระอักเลือดตายจากน้ำมือคนที่เขาไว้ใจรักและเคารพมากที่สุด จากคนที่เขาเรียกขานด้วยรักมาตั้งแต่เด็ก คนที่เขาเรียกว่า แม่.......................

____________________________________________________________________

อ้ายยยยย !!
ตอนแรกว่าจะมาลงให้เมื่อวานเสาร์แต่กว่าจะกลับก็ข้ามวันแบ้ว เลยมาลงให้ตอนนี้แทน
อย่าว่ากันเนอะ
อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว จะมาลงให้ยาวๆที่เดียวยันจบเบย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 26- 19-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-02-2017 17:00:55
อยากเห็นพี่ชินโต้งกลับคุณหญิงกลับไปเร็วจริง แล้วเอกสารที่ได้รับมีอะไรกันแน่ที่จะทำให้พี่ชินต้องเจ็บจนกระอักกันแน่
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 27- 19-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 19-02-2017 23:00:25

ฝนหยดที่ 27



     แสงจากแฟลชสีขาวสว่างวูบวาบขึ้นมาทันทีที่สองเท้าของชิตรัตน์ก้าวเข้ามาในห้องจัดแถลงข่าวจนต้องหันหนีด้วยความแสบตา ก่อนจะย่ำก้าวอย่างมั่นคงนำสองตัวแทนผู้บริหารระดับสูงสองคนที่สามารถเรียกตัวเขามาร่วมงานได้ในเวลาอันจำกัดตรงไปยังด้านหน้าของห้องรับรองที่มีการจัดวางโต๊ะตัวยาวที่ปูผ้าสีขาวสะอาดตารอรับเอาไว้สำหรับการแถลงข่าวที่ถูกจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก

           ก่อนเริ่มการกล่าวใดๆ ชิตรัตน์กวาดสายตามอมรอบห้องอย่างพิจารณากลุ่มนักข่าวรวมถึงช่างภาพที่อยู่ตรงหน้าหากกะจากสายตาแล้วน่าจะอยู่ที่ประมาณสามสิบคนได้  ส่วนพนักงานบริการของเขาที่กระจายตัวอยู่ตามจุดและฝ่ายรักษาความปลอดภัยทุกอย่างเป็นไปตามมาร์คที่วางไว้แต่หางตาของเขากลับไปสะดุดเข้ากับชายชาวต่างชาติคนหนึ่งที่นั่งประปนอยู่ในกลุ่มนักข่าวตอนแรกเขาก็คิดว่าคงจะเป็นนักข่าวทั่วๆไปเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมาแต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องหันกลับมามองผู้ชายคนนี้ใหม่อีกครั้งก็คือแว่นเลนส์ดำแบรนด์หรูที่ถูกสวมบดบังดวงตาของคนข้างล่างที่ราคาสูงเกินกว่านักข่าวทั่วไปจะมีไว้ครอบครองได้ แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครแล้วเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง...............

           แต่เขาคงต้องสลัดความสนใจจากหนุ่มต่างชาติปริศนาคนนี้ไปก่อนเพื่อที่จะได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ ชิตรัตน์สูดหายใจเข้าปอดอึกใหญ่เพื่อเรียกสติของตนก่อนเอ่ยคำทักทายแขกที่มา

           “ก่อนอื่นผมคงต้องขอกล่าวคำว่าสวัสดีนักข่าวทุกท่านที่สละเวลามาที่นี้ในวันนี้ และผมก็ต้องขอโทษด้วยที่ต้องให้รอนาน”

           “ผมรู้ดีว่าการมาในครั้งนี้ของพวกคุณทุกคนคืออะไร และทางผมยินดีที่จะตอบทุกคำถามของพวกคุณตราบเท่าที่คำถามนั้นไม่กระทบต่อความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของโรงแรมร่วมถึงบริษัทในเครือของผม”

           สิ้นสัญญาณอันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสวงหาข่าว เสียงอึกกระทึกครึกโครมแย่งกันถามก็ดังขึ้นเหมือนผึ้งแตกรังจนจับใจความไม่ได้  จนชิตรัตน์ต้องพูดอีกครั้งให้ยกมือถามทีละคนโดยเริ่มจากนักข่าวหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดให้เป็นผู้เริ่มก่อน

           “จากหัวข้อข่าวที่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันนี้” หล่อนว่าพร้อมหยิบหนังสือพิมพ์ในกระเป๋าข้างกายขึ้นมาประกอบ  “พวกดิฉันอยากได้คำตอบของเนื้อหาข่าวว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรกันแน่คะ”

           คำถามที่ได้จากนักข่าวหญิงตรงหน้าไม่ได้เหนือความคาดหมายของตนเท่าไรนัก แต่กลับสร้างความฉงนให้กับเขาเสียมากกว่าที่ทางนั้นกลับมาย้อนถามเขาทั้งที่ตีข่าวลงเรียบร้อยซึ่งก็น่าจะมีข้อมูลที่มีมูลมากพอ แต่ทำไมถึงกลับมาย้อนถามเขา

           “ทำไมคุณถึงได้ถามคำถามที่คุณได้ลงข่าวไปแล้วละครับ”

           เมื่อเช้าตอนที่ได้อ่านข่าวเขายกตกใจเลยที่เรื่องการปลดคุณหญิงออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ รั่วไหลออกไปนอกห้องประชุมทั้งๆที่เขาเองก็ย้ำกับทุกคนที่อยู่ในห้องแล้วว่าอย่างเพิ่งให้เรื่องนี้รู้ถึงหูคนภายนอกโดยเฉพาะนักข่าว เลยทำให้เขาอดที่จะถามกลับไปไม่ได้ว่าในเมื่อนักข่าวลงข่าวนั้นกับแทบทุกฉบับอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงยังมาถามในสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่แล้วด้วย

           “เพราะเอกสารฉบับนี้ครับ”   นักข่าวผู้ชายที่นั่งอยู่แถวกลางๆที่ลุกขึ้นมาพูดพร้อมเอกสารบางอย่างในมือ

           “พวกเราได้รับเอกสารที่เหมือนกันฉบับนี้ถูกส่งมาให้พร้อมกับระบุว่าให้ลงข่าวเรื่องนี้ในฉบับเช้าวันนี้ครับ”

           ชาติที่รู้หน้าที่ของตนดีก็ออกเดินไปหาชายคนนั้นเพื่อขอตรวจดูเอกสารในมือโดยไม่รอให้ผู้เป็นนายสั่ง โดยขณะที่ชาติเดินไปนั้นเสียงพูดคุยกันของเหล่านักข่าวที่นั่งอยู่รอบข้างต่างก็กันมาซุบซิบกันว่าตนก็ได้เอกสารฉบับนี้เหมือนกันและพอลองเอามาเปรียบเทียบกันแล้วเนื้อหาในเอกสารที่ทุกคนได้รับนั้นต่างมีเนื้อความที่ชี้ไปยังทิศทางเดียวกันทั้งสิ้นจนชาติรู้สึกไม่ดีของที่มาของเอกสารพวกนี้จึงรีบนำไปยื่นให้เจ้านาย

           ชิตรัตน์รับเอกสารเจ้าปัญหาดังกล่าวมาเปิดซองดูก่อนที่หัวคิ้วเข้มจะขมวดแน่นกันแน่นจนกดต่ำเรียกสายตาจากผู้คนที่อยู่ในห้องและสองผู้บริหารระดับสูงที่นั่งขนาบข้างอยู่ให้มองหน้ากันก่อนจะเสียมารยาก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือของประธานใหญ่

           ข้อความที่ปรากฏต่อสายตาคือเอกสารที่แสดงถึงการจัดตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งที่มีการปิดบังรายชื่อบริษัทเอาไว้หากมองคร่าวๆก็คงไม่น่าแปลกอะไรแต่เพราะเอกสารแนบท้ายที่ระบุรายชื่อผู้ถือหุ้นว่ามีใครมั่งพร้อมจำนวนหุ้นในบริษัท ชื่อของคุณหญิงโฉมฉวีคืออันดับหนึ่งของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถึงจะมีการปกปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นบางคนเอาไว้แต่ข้อความในเอกสารกับระบุเนื้อหาไว้อย่างชัดเจนถึงแห่งที่มาต่างๆ รวมทั้งแผนงานที่ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็เหมือนกับแผนงานของทางบริษัทเขาที่กว่าจะได้แผนงานมาซักแผนลูกน้องเขาแต่ละคนต้องอดตาหลับขับตานอนกันตั้งกี่คืนไหนจะแผนงานที่เคยใช้เสนอผู้ลงทุนบางรายยังคล้ายกับของเขาอีกแบบนี้มันชุบมือเปิดกันนิ

           ดวงตาคมฉายชัดถึงความไม่พอใจอย่างปิดไม่อยู่ จนหน้าสุดท้ายของเอกสารอันเป็นรายละเอียดการประชุมในวันนั้นที่มีการปลดคุณหญิงออกจากตำแหน่งอีกทั้งยังมีข้อมูลการกระทำความผิดแบบเดียวกับที่เขามีอยู่ในมือด้วย

           “ถ้าคุณชิตรัตน์จะถามว่าใครเป็นคนส่งมาให้พวกเราคงตอบได้แค่ว่าพวกเราไม่รู้ เรารู้กันแค่ว่าอยู่ดีๆก็มีคนนำเอกสารฉบับนี้มาวางไว้ที่สำนักพิมพ์ของพวกเราเท่านั้น”

           นักข่าวชายคนเดิมเป็นคนตอบคำถามที่แม้ชิตรัตน์จะไม่พูดถามแต่สายตาที่ส่งมาให้ทำไมคนที่ทำงานในกับคนมากมายอย่างเขาจะไม่รู้ว่าอีกคนต้องการถามอะไร

           “ครับ เอกสารที่พวกคุณได้มาในเรื่องของการปดคุณหญิงโฉมฉวีออกจากตำแหน่งผมขอยอมรับว่าเป็นจริงส่วนเหตุผลนั้นก็ตามที่เอกสารได้ระบุไว้”

           ชิตรัตน์ตอน ก่อนจะเป็นหน้าที่ของสองผู้บริหารที่อยู่ร่วมประชุมกับเขาในวันนั้นเป็นคนอธิบายเรื่องราว รวมทั้งแสดงความคิดเห็นส่วนตัวประกอบในเรื่องของการแอบทำการลับหลังของคุณหญิงที่ไม่ต่างอะไรกับการลักลอบกระทำการอันเป็นผลเสียแก่หน่วยงานที่สังกัดอยู่
           “แล้วเรื่องนี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของพวกคุณด้วยหรือเปล่าคะ”  คำถามที่คล้ายจี้ใจคนฟังอย่างชิตรัตน์เป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้แค่ตีหน้านิ่งตอบคำถามตามจริงเท่านั้น
           “เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ผมจะไม่ขอตอบแล้วกันนะครับ”
           “แล้วอย่างนี้คุณมีวิธีการจัดการยังไงคะ ไม่กลัวว่าสิ่งที่ทำไปจะทำให้คนอื่นมองว่าคุณอกตัญญูต่อบุพการีหรือคะ”  คำถามนี้น่าจะเป็นในเรื่องของการที่เขาทำการปลดคุณหญิงออก

            “ผมยอมให้ทุกคนมองว่าผมอกตัญญูต่อคนที่เลี้ยงผมมา แต่ผมคงไม่ยอมปล่อยให้คนทำผิดลอยนวลต่อไปได้ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม”

           ถามว่าตอนนั้นที่ทำเขาเสียใจไหมนั้นก็คงตอบว่าเสียใจ แต่เพราะเรื่องนี้ถือว่าใหญ่ใช้ได้ ไหนจะพฤติกรรมที่คุณหญิงแสดงออกมาอีกเขายอมรับว่าเขาเองก็ทนต่อสิ่งที่คุณหญิงทำไว้ไม่ไหวจริงๆ

           “มีข่าวว่าสิ่งเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คุณสั่งปลดคุณหญิงจริงๆแล้วเป็นเพราะคุณไนติงเกลคนรักของคุณที่โดนคุณหญิงทำร้ายในวันครบรอบของโรงแรมไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่คะ”

            ไม่ใช่แค่เขาหรอกที่มองนักข่าวคนที่ถาม หนุ่มต่างชาติคนนั้นก็เช่นกันที่เหมือนจะทำตัวลอบชายสบายอารมณ์กับการแถลงข่าวมาตั้งแต่เริ่มแต่พอชื่อของเกลกลายมาเป็นหัวข้อคำถามแล้วผู้ชายคนนั้นถึงกับหันขวับไปมองทันที และอาการเช่นนั้นมันก็ยิ่งกระตุ้นความสงสัยในตัวตนของอีกฝ่ายในความคิดของเขาเป็นอย่างมาก

            “ผมขอให้มีการแยกประเด็นนะครับ เพราะวันนั้นคุณไนติงเกลมาในฐานะน้องชายของคุณโจนาธานผู้ร่วมหุ้นคนใหม่ของบริษัทผมจึงถือว่าเกลมาในฐานะแขกและคู่ค้าคนสำคัญที่ให้เกียรติ์มาร่วมในงานวันนั้น  ส่วนคุณหญิงเองที่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงในขณะนั้นก็หมายถึงว่าคุณหญิงคือพนักงานคนหนึ่งของที่นี้ มีหน้าที่สำคัญในการขับเคลื่อนให้โรงแรมก้าวหน้าและการที่คุณหญิงโฉมฉวีทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในวันนั้นต่อแขกสำคัญย่อมถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเพราะมันจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของโรงแรมโดยตรงซึ่งทางเราได้มีการกล่าวตักเตือนคุณหญิงในเรื่องนี้ไปแล้วจึงไม่ของนำมารวมกัน ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับการที่เราพบถึงความผิดของคุณหญิงที่ส่งผลต่อบริษัทเป็นอย่างมากทางเราจึงขอปลดคุณหญิงออกก็เท่านั้นครับ”

           ชิตรัตน์อธิบายแตกความเป็นประเด็นให้นักข่าวเข้าใจ ถึงแม้ว่าเรื่องการโกงที่ดินนั้นเขาจะทำเป็นปิดหูปิดตามาสักพักแล้วแต่เมื่อเขาได้เอกสารสำคัญมาไว้ในมือครบถ้วนแล้วและคิดว่าอีกไม่นานเรื่องคงจะต้องแดงออกมาเขาจึงต้องรีบชิ่งลงมือจัดการมันเสียก่อนที่เรื่องที่รั่วไหลออกไปเองแล้วส่งผลภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือที่มีจะหมดลง

           “แล้วคุณชิตรัตน์จะดำเนินการทางกฎหมายกับคุณหญิงหรือไม่ครับ”

           “แน่นอนอยู่แล้วครับ ตอนที่ทางเราได้เจรจากับทางฝ่ายกฎหมาย................................”

            และอีกสารพัดคำถามที่ถูกถามออกมาจนเขาเองยังตอบไม่ไหวโชคดีที่ได้เอกสารจากชาติเป็นหลักในการตอบ  ไหนจะผู้บริหารทั้งสองที่มาช่วยสนับสนุนในครั้งนี้ด้วย แต่กว่าจะตอบคำถามได้แต่ละข้อก็เล่นเอาเขาแทบลงไปกองกับพื้นความผิดของคุณหญิงมีมากมายจนเขาไม่รู้จะตอบตรงไหน อะไรที่เขาพอจะเลี่ยงตอบได้ก็เลี่ยงไปจนเวลาล้วงเข้าเกือบสองชั่วโมงคำถามต่างๆเริ่มลดลงจนเขาคิดว่าคงได้เวลาอันสมควรที่จะยุติการตอบคำถามนี้เสียที แต่ก็เหมือนว่าฟ้าเบื้องบนจะไม่เข้าใจถึงความหนังหน่วงในใจของเขาถึงได้หาเรื่องมาให้เขาปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก เมื่อจู่ๆคนที่นั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่เริ่มแถลงข่าวก็ยืนขึ้นเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับถามคำถามที่เขาเองยังไม่เข้าใจ

           “คุณคิดว่าคุณหญิงโฉมฉวีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของคุณวาดฟ้าด้วยไหมครับ”

           สิ้นเสียงพูดความเงียบและความสงสัยเข้าปกคลุมพื้นที่ในห้องทันทีโดยเฉพาะคนที่นั่งอยู่ตรงกลางเวทีอย่างชิตรัตน์ที่อดไม่ได้ที่จะหรี่สายตามองชายหนุ่มชาวต่างชาติตรงหน้าที่ดูอายุมากกว่าตนยิ่งพิจารณาจากส่วนสูงที่เกินมาตรฐานคนเอเชียแล้วเป็นไปไม่ได้ที่อีกคนจะมีเชื้อสายไทยหรือบางที่อาจเป็นเพราะการเรียนรู้กันที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นพูดไทยได้ชัดมากเช่นนี้

            “ทำไมคุณถึงถามคำถามนี้”

            หนึ่งในผู้บริหารที่นั่งขนาบข้างชิตรัตน์ลุกขึ้นถามอย่างตกใจกับสิ่งที่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินใครถามเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะคนหนุ่มที่ไม่น่าจะเกิดทันเรื่องนี้ 

            “ผมก็แค่ถามเพราะคิดว่ามันน่าสนใจ”

           เสียงพูดสบายๆของคนตรงหน้ากระตุ้นความอยากรู้ของเหล่านักข่าวเป็นอย่างดีแต่เพราะเรื่องที่เกรินนำมานั้นมีมานานจนบางคนในนี้อาจยังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำทำให้ไม่มีใครถามถึงเรื่องนี้ออกมา ได้แต่แอบซุบซิบกันเองและรอฟังการสนทนานี้แทน

           “ทางเราจะตอบเฉพาะเรื่องที่เป็นหัวข้อหลังของงานวันนี้เท่านั้น ต้องขอโทษด้วย” ผู้บริหารคนเดินเป็นฝ่ายตอบกลับชายหนุ่มปริศนาที่ดูจะไม่ยี่หระเท่าไรแม้ว่าคำถามของตนเองจะไม่ได้รับคำตอบตามที่ต้องการ

           “อ่า อย่างนั้นเหรอครับ”

           รอยยิ้มถูกแจกจ่ายให้ทุกคนในห้องแต่ไม่ใช่กับชิตรัตน์ที่พอชายแปลกหน้าคนนั้นหันมารอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ที่ทุกคนได้กลับแปลเปลี่ยนเป็นเป็นรอยยิ้มเสยะอย่างคนที่กำลังเจอเรื่องสนุกอยู่ตรงหน้า

           “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอจบการแถลงข่าวในวันนี้หากมีอะไรเพิ่มเติมทางเราสัญญาว่าจะบอกให้ทราบทุกเรื่องแน่นอนครับ”

            ชิตรัตน์รีบกล่าวตัดจบการสนทนาครั้งนี้โดยไม่รอช้าแล้วออกจากห้องไปทางหลังเวทีโดยมีการ์ดคอยกันนักข่าวที่จะเข้ามาถามเรื่องคดีของวาดฟ้า ซึ่งต่อให้มีนักข่าวหลุดออกมาถามเขาได้จริงๆเขาก็คงไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ให้เช่นกัน

           ชายหนุ่มตีหน้าเครียดหนักขึ้นเมื่อเข้ามายังเขตพื้นที่ส่วนตัวอย่างห้องประชุมเล็กที่ถูกสั่งเปิดขึ้นเพื่อใช่พูดคุยถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องแถลงข่าว

           “ทำไมเจ้าหนุ่มนั้นถึงได้พูดถึงเรื่องของคุณฟ้าขึ้นมา”   ผู้อาวุโสที่สุดในห้องเอ่ยทำลายความอึดอัดในห้องขึ้นมา

           “แต่เรื่องนี้มันก็นานแล้วนะ จะเกี่ยวกับคุณหญิงจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้แถมคดีก็หมดอายุความไปแล้วอีก” คนที่อายุไม่ต่างกันมาเอ่ยเสริม

            “หรือว่าแค่พูดเพื่อปั่นเรื่องให้คุณหญิงเพิ่มครับ”

           ชาติลองเสนอความคิดขึ้นบ้าง ซึ่งสองผู้บริหารอาวุโสเองก็แสดงท่าทางเห็นด้วยอย่างชัดเจน  ผิดกับชิตรัตน์ที่นั่งเงียบรอฟังการสนทนานี้ไม่พูดจาอะไรอย่างหลังโต๊ะใหญ่อย่างใช้ความคิด บางทีเรื่องนี้มันก็ซับซ้อนเกินไปเกินจนเขาไม่แน่ใจว่าประเด็นสำคัญของเรื่องมันอยู่ตรงไหนและเขาเองจะสามารถทนให้เรื่องนี้มันไปจนถึงตอนสุดท้ายได้หรือเปล่า ในเมื่อยังมีความจริงอีกอย่างที่อยู่หลังฉากจากสิ่งที่เขาได้รู้มาจนเสียงร้องบางอย่างในใจกรีดร้องว่าเขาจะไม่สามารถทนกับสิ่งที่จะได้รับรู้

           “ใครจะคิดกันว่าเรื่องวุ่นวายที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆที่คล้ายจะไม่มีอะไรมากมายแต่กลับขยายวงกว้างจนน่าตกใจ” 

.......................................................................
 
           “...คุณชิน...คุณชิตรัตน์... คุณชินครับ!!”

           เสียงเรียกของชาติที่ดังเข้ามาในโสตประสาทปลุกให้เจ้าของชื่อที่ตกอยู่ในห้วงของความคิดของตนเองสะดุ้งหลุดจากภวังค์ให้หันมามองคนเรียกที่ทำหน้าตาตื่นอยู่ข้างกายพร้อมด้วยสองผู้บริหารอาวุโสที่ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้อยู่ไม่ไกล

           “คุณชินไหวหรือเปล่าครับกลับไปพักที่บ้านก่อนดีไหม”

            ชาติเสนอเมื่อมองดูที่มีความอ่อนล้าแสดงออกมาผ่านดวงตาให้ได้เห็นแม้เพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาของเขาที่เป็นคนใกล้ชิดไปได้ ไหนจะอาการเหม่อลอยเมื่อครู่อีกมันยิ่งตอกย้ำว่าเจ้านายของเขาควรจะได้รับการพักผ่อนจากเรื่องที่ดูจะหนักเกินไปนี้ด้วย

           “ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้คุยกันไปถึงไหนแล้วนะผมไม่ได้ฟัง”ชิตรัตน์ส่วยหน้าเบาๆก่อนหันกลับไปทวนคำพูดที่เมื่อครู่ตนไม่ได้ฟัง แล้วรับเอาแก้วน้ำเย็นจากคนหนึ่งในผู้บริหารที่ส่งมาให้อย่างเป็นห่วง

           “ผมว่าคุณควรกลับไปพักก่อนดีกว่านะ วันนี้คุณเจอเรื่องหนักๆมามากพอแล้วเดี๋ยวทางนี้พวกผมจะรับหน้าแทนให้ก่อนแล้ว”

           “แต่...”

             ถึงจะรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นห่วงเขามากแต่เขาเองก็อยากที่จะอยู่เคลียร์ปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวของเขาเอง ในเมื่อต้นสายของเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นคือ แม่ ของเขา เขาที่เอยู่ในฐานะลูกก็คงต้องมีหน้าที่จัดการปัญหาที่แม่ของเขาก่อขึ้น หากแต่ความคิดของชิตรัตน์นั้นดูจะเป็นสิ่งที่ไม่เข้าท่ามากที่สุดในสายตาคนที่ผ่านโลกมานานอย่างสองผู้บริหารอาวุโสทั้งสองที่มันมือชกชายหนุ่มรุ่นลูกให้เก็บของที่นำมาทั้งหมดลงกระเป๋าพร้อมเดินขนาบข้างมาส่งอีกคนถึงประตูรถโดยไม่ลืมกำชับชาติให้ดูแลและให้ชิตรัตน์พักผ่อนให้ได้ และยังอยู่รอจนชาติขับรถยนต์พาชิตรัตน์ออกไปจนพ้นเขตโรงแรมเสียก่อนทั้งคู่จึงจะเดินกลับเข้าไปข้างในอีกครั้งเพื่อสั่งการกับเหล่าพนักงานถึงการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะนำพาความยุ่งยากมาในไม่ช้า โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าฉนวนเหตุความวุ่นวายในห้องแถลงข่าวในครั้งสุดท้ายเมื่อครู่นี้นั้นจะยังคงนั่งจิบน้ำชาอังกฤษยี่ห้อดังอย่างสบายใจอยู่ที่ห้องอาหารของโรงแรมพร้อมนั่งมองผู้คนวิ่งวุ่นหัวปั่นกันสนุกสนาน
 
           // ดูมีความสุขจังเลยนะครับ//

           เสียงใสที่ดังออกมาจากจอภาพที่ปรากฏใบหน้าของคนคุ้นเคยบนหน้าจอสี่เหรียมขนาดสิบสองนิ้วที่ตั้งตระหง่านนอยู่บนโต๊ะตรงหน้าดังออกมาเรียกความสนใจจากชายต่างชาติที่กำลังขบขันกับสิ่งที่อยู่นอกห้องอาหารให้กลับมาสนใจคู่สนทนาตรงหน้า

           “แหม่ ก็คนมันมีความสุขนี้ก็ต้องยิ้มสิครับ” หนุ่มอารมณ์ดีตอบกลับคนบนจอภาพพร้อมยกชาอังกฤษรสนุ่มลิ้นขึ้นจิบช้าๆอย่างบายอารมณ์

           // ความสุขที่ได้เห็นคนอื่นเดือนร้อนนี้มันไม่ค่อยจะดีเท่าไรนะครับ //  มุมปากบางใต้ไร้หนวดอ่อนๆยกยิ้มชอบใจไม่ถือโทษกับคำจิกกัดเล็กน้อยของใครอีกคน ออกจะดูเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับเจ้าตัวเสียด้วยซ้ำไป

           “หึ ว่าแต่คนอื่น ตัวเองก็ชอบไม่ใช่หรือยังไง นี้อย่าคิดว่าไม่รู้นะว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่” ยิ่งเห็นรอยยิ้มของอีกคนผ่านจอภาพหนุ่มต่างชาติก็ยิ่งมั่นใจในความคิดที่อยู่ในหัวของตน

           // ก็ไม่ได้เถียงนี้ครับว่าไม่ชอบ //

           “ถึงได้บอกไงว่าไม่มีใครรู้ใจเธอได้เท่าฉันอีกแล้ว My dear”   ริมฝีปากบางสีสดของคนฟังคลี่ยิ้มชอบใจกับสรรพนามที่ถูกเรียกของมาเช่นเดียวกับคนพูดที่มองหน้าเขาด้วยสายตาเปี่ยมรัก

           ทั้งคู่พูดคุยกันอีกสักพักหนึ่งก่อนจะเป็นคนสวยในจอภาพที่เป็นฝ่ายบอกลาหนุ่มต่างชาติเสียจบการสนทนา แต่เพราะคำพูดสุดท้ายของอีกคนที่ฉุดรั้งเขาเอาไว้ด้วยปริศนาบางอย่างก่อนจะเป็นฝ่ายชิงลงมือจบการสนทนานี้เสียเอง

           แม้ภาพคู่สนทนาจะหายไปแล้วแต่ดวงตากลมสีน้ำตาลสกาวยังคงจ้องมองเครื่องมือสื่อสารในมืออย่างไม่ลดละ และไม่ถึงอึดใจให้รอนานข้อความบางอย่างก็ถูกส่งเข้ามาจากคนที่เขาเพิ่งคุยไปเมื่อครู่
 
           -เตรียมตัวรับของขวัญ เรื่องจริงกำลังจะเปิดเผย ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่เธอต้องการ ไนติงเกล-
 
           เกลมองข้อความที่ถูกส่งมาอย่างชอบใจก่อน คนคนนี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้งเดียวคงอีกไม่นานเกินรอแล้วสินะที่เรื่องพวกนี้จะจบลง.........

           เดาตอนจบไม่ออกเลยจริงๆเลยว่าสุดท้ายแล้วแม่มดร้ายของเขาจะไปลงเอยอยู่ที่ไหนกัน

           “มีเรื่องอะไรที่ทำให้ยิ้มได้ขนาดนั้นกันหรือครับ”   เสียงทักของคนที่เพิ่งกลับมาเรียกให้เกลละสายตาของตนออกจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

           “กลับมาเร็วจังเลย”

           รอยยิ้มกว้างฉายชัดบนใบหน้าสวยยามที่เงยขึ้นมาสบเข้ากับใบหน้าที่ดูอิดโรยของชิตรัตน์พร้อมสองแขนเรียวที่ยื่นออกโอบรอบคอคนรักให้เข้ามาใกล้ก่อนกดหน้าผากแนบกับหน้าผากของอีกคน แล้วเปลี่ยนเป็นประคองใบหน้าที่ดูอ่อนล้าของอีกคนแทน

           “ทำไมหน้าตาดูไม่ดีเลย ที่ทำงานมีปัญหาหรอครับ”

           เกลถามอย่างเป็นห่วงโดยเลือกที่จะเลี่ยงการพูดถึงการแถลงข่าวเมื่อเช้าออกไปเพื่อไม่ให้อีกคนต้องคิดมาก  ก่อนที่ลานไหล่เล็กของเขาจะกลายมาเป็นที่พักพิงให้กับคนตัวสูงที่อยู่ๆก็ซบหน้าลงพร้อมกับกอดเขาเอาไว้แน่น

           “พี่แค่กลับมาขอกำลังใจนะ”

           “จะออกไปไหนอีกหรอครับ

           “จัดการเรื่องบางอย่างนะ พี่เหนื่อยจังเลยเกล” เสียงครางเบาๆของคนที่เริ่มอ่อนล้าทำให้คนที่ยืนนิ่งเป็นที่พึ่งทางใจอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหลังให้

           “อีกไม่นานเรื่องทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เชื่อเกลสิครับอีกไม่นานเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้วอดทนอีกนิดนึงนะครับ”

           ชิตรัตน์ครางต่ำในลำคอ ก่อนจะผละออกแล้วขอตัวออกไปจัดการเรื่องบางอย่างที่ว่าเอาไว้เองลำพัง สร้างความแปลกใจปนกังวลให้คนสนิทอย่างชาติไปไม่ได้เนื่องจากชิตรัตน์ไม่มีงานหรือธุระอะไรอีกแล้วในวันนี้นอกจากการนอนพักผ่อนตามคำสั่งของผู้ที่อาวุโสกว่า และยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นความเร็วของรถยนต์ที่พุ่งทยานออกไปอย่างรวดเร็ว

           ส่วนจุดหมายปลายทางที่ชายหนุ่มนามชิตรัตน์มาก็ไม่ใช่ที่ซับซ้อนหรือลึกลับอะไรแต่เป็นบ้านของเขาเอง บ้านที่เขาอยู่อาศัยมาทั้งชีวิตของเขาเอง

           ทันทีที่สองขาของเขาเหยียบย่างเข้ามาในบ้านเหล่าคนใช้ที่อยู่ในบ้านต่างกรูกันเข้ามาถามไถ่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเจ้านายที่หายหน้าไป  แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำอะไรมากไปกว่าส่งเพียงรอยยิ้มบางๆไปให้ก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานของตัวเองทันที

           ชิตรัตน์ไม่รอช้าเดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำงานกลางห้องของตัวเองจัดการไขกุญแจลิ้นชักด้านข้างออกแล้วหยิบเอาเอกสารสำคัญจำนวนมากออกมายัดใส่กระเป๋าหนังที่อยู่ไม่ไกลจนหมด ก่อนที่จะเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนของคุณหญิงโฉมฉวี ชายหนุ่มหยุดตีหน้าเครียดชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าจะยอมเปิดเข้าไปแล้วเดินตรงเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เก็บของติดผนังที่ปิดซ้อนไม่ให้ใครได้รู้ว่าข้างในคืออะไร แต่ไม่ใช่กับเขา...ในตอนนี้.....

           ชิตรัตน์ล้วงมือเข้าไปหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงออกมาไขปลดล็อกบานประตูตู้นั้นออกกดรหัสตามที่ตนได้รับมา เขาไม่รู้ว่าเขาอุปาทานไปเองหรือว่ามือข้างที่กำลังกดรหัสผ่านนั้นมันสั่นเกินที่เขาจะห้ามมันได้จริงๆ เพราะทุกครั้งที่นิ้วสัมผัสกับปุ่มตัวเลขบนตู้นิรภัยเขารู้สึกเหมือนมวลอากาศรอบตัวถูกกดทับจนหนักอึ้งไปหมด และยิ่งเมื่อกดตัวเลขสุดท้ายเสร็จแสงสีเขียวสว่างก็ปรากฏขึ้นที่หน้าจอพร้อมเสียงปลดล็อกนิรภัย

           เขาก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งที่อยู่ในตู้ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด แต่ยิ่งเขาคิดเข้าข้างตัวเองมากเท่าไรก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่เขาเฝ้าขอ เอกสารเก่าๆมากมายที่วางทับกันอยู่ในตู้ถูกหยิบขึ้นมาเปิดอ่านที่ละแผ่นอย่างช้าๆพร้อมเรี่ยวแรงที่เริ่มหายไปที่ละน้อย ก่อนเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตนจะถูกกระชากออกไปเมื่อกรอบรูปที่ถูกคว่ำอยู่ถูกหยิบพลิกขึ้นมาดู

     !!!

___________________________________________________________________
ได้เวลานับถอบหลังสู่ความจริงกันได้แล้ว

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 27- 19-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-02-2017 06:21:40
รีบมาต่อนะคะ กำลังลุ้นเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 27- 19-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: saseum ที่ 20-02-2017 11:01:19
ม่านฟ้าคือใคร อยากรู้แล้ว รีบมาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 28- 20-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-02-2017 18:55:22

ฝนหยดที่ 28




- ถ้าอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับแม่ของคุณทำตามสิ่งที่ผมบอก -

              เนื้อความสั่นๆในซองเอกสารอันน้อยที่แอบซ้อนอยู่ในซ้องเอกสารสำคัญที่เขาจะสามารถใช้เอาผิดคนคิดไม่ซื่อที่มันนำพาเขามาอยู่ในห้องห้องนี้ พร้อมกับความจริงบางอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจรับได้

           มันคล้ายกันว่าอยู่ดีๆร่างกายของเขาเหมือนถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นกระชากร่างให้จมดิ่งลงสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของมหาสมุทรแต่ก็ไม่ลึกพอจะทำให้แผ่นหลังของเขาสัมผัสกับพื้นทราบด้านล่างอันมืดมิด เลยได้แต่ลอยเคว้งคว้างอยู่ลำพังที่มองไม่เห็นแม้แสงสว่างที่ลิบหรี่ ทำได้เพียงตะเกียกตะกายหาอากาศที่จะช่วยต่อชีวิตจนสมองเริ่มบีบตัวจนปวดหนึบไปหมดเช่นเดียวกับหัวใจดวงเดียวที่ยังเต้นอยู่ในอกมันบีบตัวแรงและเต้นด้วยจังหวะที่แรงมากจนเขาที่เป็นเจ้าของร่างกายตัวเองยังได้ยินเสียงการเต้นระรัว

ชิตรัตน์พยายามประคองสติให้มั่นคงอยู่ครู่หนึ่งเพื่อระงับอาการสั่นของมือทั้งสองข้างไม่ให้เผลอทำกรอบรูปตกลงมาแตก กวาดเอาเอกสารทุกฉบับที่พบอยู่ภายในลงใส่กระเป๋าหนังคู่กายรวมถึงรูปภาพที่อยู่ในกรอบนั้นด้วยที่เขาจับมันยัดใส่ลงในกระเป๋าเป็นอย่างสุดท้าย และไม่ลืมที่จะปิดล็อกทุกอย่างให้อยู่ในสภาพเดิมเหมือนเมื่อแรกเข้ามาในห้องนี้

ยอมรับว่าตอนแรกที่ได้รับข้อความมาเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อจึงต้องมาพิสูจน์แต่เมื่อทุกอย่างมันเป็นแบบนี้แล้วคงต้องบอกว่าเขาเสียศูนย์มาก มากจนไม่อาจอยู่รอเห็นหน้าเจ้าของห้องห้องนี้ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินออกจากห้องเพื่อออกจากบ้านหนังนี้เสีย
 
          กึก

แต่ไม่ทันที่มือของเขาจะมีโอกาสได้สัมผัสลูกบิดประตูเพื่อออกไป แรงหมุดจากอีกด้านของประตูก็ถูกบิดหมุนแล้วเปิดออกมาอย่างรวดเร็วเสียก่อน

              “แกเข้ามาทำอะไรในห้องฉันตาชิน”  เจ้าของห้องตัวจริงดูจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นหน้าชายหนุ่มยืนอยู่ในห้องของตัวเอง ก่อนจะเริ่มร้อนรนออกมาเมื่อเห็นกระเป๋าที่อยู่ในมือของชิตรัตน์

              “ฉันถามว่าแกเข้ามาในห้องฉันททำไม” หล่อนถามเสียงสั่นอย่างคาดคั้นเอาคำตอบขณะมองสลับไปมาระหว่างกระเป๋าหนังที่อยู่ในมือของชิตรัตน์ที่ดูจะตุงแน่นกว่าปกติกับบานประตูตู้ที่อยู่ติดผนัง

ชิตรัตน์มองคนตรงหน้าที่เขายังไม่พร้อมที่จะเจอด้วยความรู้สึกที่หลากหลายก่อนที่จะเลือกไม่ตอบคำถามของอีกคนด้วยการเดินแทรกตัวผ่านผู้หญิงตรงหน้าออกไปจากห้องไป แต่คนโดนเมินกลับไม่ยอมปล่อยให้ไปโดยง่ายคุณหญิงวิ่งลงบันไดตามหลังชิตรัตน์พร้อมตะโกนเรียกให้หยุดเสียงดังลั่น จนลงมาถึงชั้นล่าง

           “ตาชิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

           “.....”

           “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ ฉันเป็นแม่ของแกนะฉันพูดอะไรแกควรฟังที่ฉันพูดสิไม่ใช่เดินหนีแบบนี้”  หล่อนใช้แรงที่มีทั้งหมดพุ่งเข้าไปกระชากแขนของชิตรัตน์เพื่อให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับหล่อน ชิตรัตน์ไม่มีทางรู้หรอกว่าภายใต้ความรีบร้อนตกใจของคนตรงหน้ามันซ้อนความดีใจเอาไว้มากขนาดไหนที่ได้เห็นเขามายืนอยู่ที่นี้

“แต่ผมไม่มีอะไรจะพูดตอนนี้ครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างไร้เยื่อใยพร้อมตั้งท่าที่จะเดินหนีอีกครั้ง

           “แต่ฉันมี”

           “....”

           “แกเข้าไปทำอะไรในห้องฉัน”

           “....”

           “ฉันถามแกก็ตอบมาสิ”

คุณหญิงจ้องมองเพื่อเอาคำตอบอย่างไม่ลดละยิ่งเห็นว่าในมือของชิตรัตน์มือกระเป๋าหนังที่ไว้ใส่เอกสารอยู่ด้วยก็ยิ่งร้อนรนอยากจะแย้งมาจากมือแต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่ยอมง่ายๆ ชิตรัตน์มองท่าทีกระวนกระวายของคนตรงหน้าอย่างสมเพชตัวเอง ก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่คนฟังไม่คาดคิด

           “คุณหญิงรักผมไหม”

           คนถูกถามเบิกตากว้างกับคำถามที่ได้ยิน หล่อนจ้องมองใบหน้าเรียบนิ่งของชิตรัตน์อย่างไม่เข้าใจ อาจเพราะคำถามที่เจ้าตัวถามมากมันดูออกจะขัดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ จนเกิดเป็นความระแวงขึ้นมาว่า ชายหนุ่มที่หล่อนเรียกว่าลูกชายมาตลอดหลายสิบปีมีแผนอะไรซ้อนอยู่ในใจ

           “อยู่ดีๆทำไมแกมาถามฉันแบบนี้” คุณหญิงตอบกลับด้วยคำถามแทนอย่างเว้นระยะด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

           “ผมแค่อยากรู้ ตลอดหลายปีที่คุณเลี้ยงผมมาคุณเคยรักผมจริงๆบ้างไหมรักที่มาจากใจ”

           เขาไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงที่เขาเปล่งออกไปเป็นแบบไหน เขารู้แค่ว่ามันคงสั่นไหวไม่มากก็น้อยเท่านั้น

           “รักสิ แกเป็นลูกของฉัน ฉันต้องรักแกที่สุดอยู่แล้ว”

           แววตาสั่นระริกของของชิตรัตน์มองใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้าที่เข้ามาลูบตามใบหน้าและเนื้อตัวของเขาอย่างแตกตื่นใจ ก่อนจะก้มลงไปเปิดกระเป๋าที่ถืออยู่ออกแล้วหยิบซองเอกสารบางอย่างออกมา

           “นี้คือพินัยกรรมส่วนท้ายที่ยังไม่มีการแถลงตามเงื่อนไขบางอย่างที่คุณพ่อตั้งไว้ คุณหญิงอยากรู้ไหมละครับว่ามันกล่าวว่าอย่างไรบ้าง”

           แน่ละพูดแบบนี้ไปมีหรือคนอย่างคุณหญิงจะไม่สนใจ หล่อนจ้องมองเอกสารที่ถูกอ้างว่าเป็นพินัยกรรมตาเขม็งเพราะตั้งแต่วันเปิดพินัยกรรมคราวนั้นหล่อนก็ไม่เคยได้เห็นมันอีกเลย เหมือนชิตรัตน์จะเข้าใจความต้องการของคุณหญิงได้โดยที่ไม่ต้องรอให้บอก เขาจัดการเปิดซองเอกสารนั้นออกแล้วพลิกไปแผ่นสุดท้ายของพินัยกรรมที่เป็นประเด็นเมื่อครู่ก่อนเริ่มอ่านออกมาให้คุณหญิงฟัง

           “ในตอนท้ายของพินัยกรรมนี้ข้าพเจ้าของให้นายชิตรัตน์บุตรชายโดยชอบด้วยกฎหมายของข้าพเจ้าเป็นผู้เปิดอ่านด้วยตนเองต่อหน้าคุณหญิงโฉมฉวีคู่สมรสของข้าพเจ้า เมื่อถึงวันที่นายชิตรัตน์บุตรของข้าพเจ้าได้รับรู้ถึงความประพฤติอันมิชอบของคุณหญิงอันมีผลทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าเสื่อมเสียหรือเป็นเหตุให้บริษัทในเครือของนพเทพทั้งหมดหรือบางส่วนเกิดความเสียหาย”

             ชิตรัตน์เว้นระยะไว้ครู่เพื่อเหลือบมองหน้าของคุณหญิงที่ตอนนี้ฉายแววความตกใจกับเนื้อความในพินัยกรรมส่วนท้ายแต่ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจาเพียงแค่หลบสายตาเขาเมื่อเผลอไปสบตรงกันเท่านั้น

            “ข้าพเจ้าขอเรียกคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่เคยยกให้คุณหญิงโฉมฉวีในครั้งแรกคืนและให้ตกทอดแก่นายชิตรัตน์บุตรชายของข้าพเจ้าทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าขณะที่ทำพินัยกรรมข้าพเจ้ามีสติครบถ้วนสมบูรณ์ ลงชื่อ นายชินวุฒิ นพเทพสวัดิกุล”

           หลังได้ฟังคำในพินัยกรรม ท่าทางของคุณหญิงที่แสดงออกมานั้นไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่ชิตรัตน์นึกคิดเสียเท่าไร  อาการสั่นของมือที่กำเข้าหากันจนแน่น สายตาที่บอกว่าตนนั้นไม่ยอมรับสิ่งที่เขียนไว้ในพินัยกรรม ชิตรัตน์ถอนหายใจออมาคราหนึ่งก่อนเก็บเอกสารลงกระเป่าเช่นเดิมเพื่อหันหลังกลับไปยังรถยนต์ของตนที่จอดอยู่ไม่ไกล  แต่ยังไม่ทันทำอะไรตามที่ใจคิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของคุณหญิงก็ดังขึ้นขัดมาเสียก่อน

            “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

           ชิตรัตน์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปให้หยุดอยู่กับที่ก่อนจะหันกลับมามองคุณหญิงอย่างไม่เข้าใจ ที่อีกคนทำราวกับสิ่งที่ฟังเมื่อครู่เป็นเรื่องตลกขบขันหัวเราะตัวโก่งอยู่หลายนาทีก่อนจะสงบลงแล้วสะบัดหน้ามามองเขาอย่างไวจนเป็นตัวเขาเองที่ตกใจ

           “หึ เจ้าแผนการนักนะขนาดตายไปแล้วยังจองล้างจองผลาญฉันไม่ปล่อยอีก” หล่อนสบถออกมากับตัวเองอย่างหัวเสีย

           “แกก็อีกคน หึ คงสาแก่ใจเมียแกแล้วสินะที่ทำให้ฉันจนมุมได้ขนาดนี้นะ”

           “เกลไม่เกี่ยว อย่าพาลกันอย่างนี้สิครับ” ชิตรัตน์กดเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ

           “ทำไมจะไม่เกี่ยว  มันนั้นแหละตัวดีถ้าไม่เพราะมันคอยเสี้ยมแกมีหรือแกจะแข็งข้อไม่เชื่อฟังฉันแบบนี้หรอ”

           “มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่การทำตัวถึงไม่มีเกลเข้ามาเกี่ยวด้วยแต่ถ้าทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด และเรื่องพินัยกรรมเมื่อครู่ก็น่าจะคิดได้แล้วนะครับว่าเพราะอะไรทำไมคุณพ่อถึงเขียนแบบนั้น”

           การที่พ่อเขาเขียนพินัยกรรมแบบนี้ออกมาย่อมต้องหมายความว่าพ่อของเขาไปรู้เรื่องอะไรบางอย่างมาถึงไปตัดสินใจเช่นนั้นออกไป และถ้าให้เขาเดาคงไม่แคล้วว่าจะเป็นเรื่องในทำนองเดียวกับที่เขากำลังเจออยู่เป็นแน่

            “ผมไม่เข้าจริงๆ”   เขาไม่เข้าใจในตัวผู้หญิงตรงหน้านี้สักนิดเดียวทั้งๆที่ก็มีพร้อมไปทุกอย่างแล้ว แล้วทำไมถึงได้ทำอะไรแบบนี้อีก

            “เพราะอะไรหรือครับ เพราะอะไรที่มันทำให้คนที่มีพร้อมไปทุกอย่างอย่างคุณต้องโกงบริษัทหักหลังความเชื่อใจของคุณพ่อ ทำลายครอบครัวของผม เพราะอะไร!”

            ชิตรัตน์ตวาดขึ้นอย่างสุดกลั้นด้วยความสับสน แต่คุณหญิงกลับเลือกที่จะเงียบไม่พูดอะไรออกมา ซ้ำยังทำหน้าไม่ใส่ใจกับท่าทีของชิตรัตน์จนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มขื่น

           “หรือเพราะผมไม่ใช่ลูกของคุณ”  และเหมือนคำพูดไร้เรี่ยวแรงของเขาจะเป็นผล เมื่อคุณหญิงที่ยืนกอดดกเชิดหน้าหนีเมื่อครู่หันขวับกลับมามองเขาตาโต

           “นี้แก !?”

           “ผมรู้ รู้มานานแล้วเรื่องนี้แต่ผมไม่พูดเพราะผมคิดเสมอว่าคุณคือแม่ ถึงจะไม่ใช่แม่ที่ให้กำเนิดแต่คุณก็คือแม่ที่คอยเลี้ยงดูผมดูแลใส่ใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม ปลอบผมในวันที่คุณพ่อเสีย ยินดีกับผมในวันที่ผมประสบความสำเร็จ ผมคิดเสมอว่าจะต้องตอบแทนพระคุณของคุณให้ได้มากที่สุดยอมทำตามที่คุณสั่งทุกอย่างเพื่อหวังว่าจะทำให้คุณมีความสุข  มองข้ามความผิดเล็กน้อยที่คุณทำเพราะคิดว่าคุณจะคิดได้แต่ก็ไม่ คุณไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิด”

           คุณหญิงมองร่างของชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมาแต่เล็กด้วยสีหน้าตกตะลึง หล่อนไม่รู้ว่าอีกคนรู้เรื่องนี้มานานมากแค่ไหนแต่ทุกครั้งที่จำความได้ไม่เคยมีสักครั้งที่ชิตรัตน์จะแสดงท่าทีแปลกไปหรือสงสัยในความสัมพันธ์หนำซ้ำยังปฏิบัติกับหล่อยอย่างที่ลูกชายคนหนึ่งพึ่งปฏิบัติต่อมารดาอย่างดีเสียด้วย เลยทำให้ตอนนี้ที่ได้มาฟังคำพูดของชิตรัตน์เมื่อครู่ความรู้สึกผิดบางอย่างก็พลันวิ่งเข้าสู่จิตใจให้หนาวสั่นเมื่อมองดูชิตรัตน์ยกมือขึ้นปิดตาซ้อนหยาดน้ำแห่งความเสียใจจนไหล่กว้างสั่นเบา หล่อนอยากเข้าไปกอดปลอบคนตรงหน้าอย่างเช่นทุกครั้งเมื่อลูกชายเศร้าหรือหมองใจแต่ก็ทำได้แค่ยกมือค้างกลางอากาศแล้วเก็บเข้าข้างกายอย่างคนละอาไม่กล้าทำ

           “ผมยอมรับได้ทุกอย่างที่คุณทำ ผมพยายาม พยายามแม้จะถูกใครหาว่าเลวที่ทิ้งเมียเป็นไอ้ขี้ขาดที่แม้แต่คนรักยังปกป้องไม่ได้ทำให้ลูกต้องกำพร้าแม่ผมยอมเพื่อให้คุณตกลงว่าจะไปผ่าตัดหัวใจเพราะผมคิดว่าคุณอาจเห็นใจผมกับลูกบ้างแต่ไม่ใช่เลยคุณก็เหมือนเดิม และรู้ไหมสิ่งที่คุณทำให้ผมรับไม่ได้จริงๆคืออะไร”

           “....”

           “....”

           “....”

           “คุณฆ่าแม่ผม”

           !!!
 
           คุณหญิงเบิกตากว้างมองชิตรัตน์ที่ยืนนิ่งพร้อมคราบน้ำตาบนสองข้างแก้มอย่างไม่เชื่อหูตัวเองพร้อมอาการกระตุกวูบของหัวใจ

             “ตาชิน มัน มันไม่ใช่นะ มะ...”

           หล่อนพยายามควานหาเสียงที่เหมือนจะหายไปในลำคอและเรียบเรียงคำเหมือนเด็กหัดพูดเพื่อจะพยายามแก้ต่างให้ตนเอง แต่กลับถูกชิตรัตน์เอ่ยตัดหน้าเสียก่อน

            “อย่าโกหกเลยครับ”

           “ฉัน...”

            หล่อนพยายามส่ายหน้าปฏิเสธ เดินตรงเข้ามาจับเข้าที่ต้นแขนของเขาอย่างพยายามจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายชิตรัตน์เองก็ไม่ได้ขัดขื่นแต่อย่างใด เพียงแต่เขาไม่ได้รับรู้เลยว่าเสียงที่คุณหญิงเปล่งออกมา มีความหมายว่าอย่างไรพูดอธิบายเรื่องราวว่าอย่างไร เขารู้เพียงแค่ตอนนี้มันมืดไปหมดประสาทการได้ยินเหมือนดับไป

           เขามองหน้าคุณหญิงครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ จับมือทั้งสองของคุณหญิงให้ออกจากตัว ท่ามกลางความกลัวในใจของคุณหญิงเพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนต้องการ หล่อนไม่ต้องการให้ลูกชายเกลียดหล่อน ถึงจะร้ายจะเลวใส่อีกฝ่ายมากแค่ไหนแต่ได้ชื่อว่าเลี้ยงมาย่อมมีสายใยบางๆที่เรียกว่าความรักความผูกพันเชื่อมเอาไว้ชิตรัตน์ก็เหมือนลูก

           แต่ก่อนจะตีโพยตีพายอะไรไปอยู่ๆชิตรัตน์ก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าพร้อมยกมือพนมขึ้นไว้ที่หน้าอกสองตามคมจ้องหน้าหล่อนไม่ละหาย

           “ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นมายังไง ผมจะไม่กล่าวโทษหรือติดใจเอาความอะไรจากคุณอีก ผมให้อภัยคุณทุกอย่างที่ทำเอาไว้กับผม ครอบครัวผม ครอบครัวของเรา ผมจะถือว่านี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำให้คุณหญิงได้ในฐานะลูกชายคนหนึ่ง เพราะหลังจากวันนี้ไปผมกับคุณหญิงเราจะถือว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก ส่วนความรักที่คุณมีให้นั้นผมจะขอเก็บมันเอาไว้ในใจเพื่อย้ำเตือนผมว่าคุณคือแม่ของผมและผมอโหสิกรรมให้ครับ แม่”

             ชิตรัตน์ก้มกราบแนบเท้าของผู้ที่ตนรักและเคารพในฐานะมารดาผู้เลี้ยงดูพร้อมน้ำตาลูกผู้ชายที่ไม่คิดว่าจะมีออกมาให้ใครได้เห็นอีกไหลจากขอบตาคมตกลงบนเท้าเปลือยเปล่าของคุณหญิง ก่อนลุกยืนขึ้นเต็มความสูงอีกครั้งแล้วเดินไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดสนิทแล้วขับออกไป แต่ด้วยเพราะรักและอาลัยชิตรัตน์จึงอกไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองคนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน เขาตั้งใจว่าถ้าคุณหญิงไม่มีที่ไปเขายอมที่จะยกบ้านหลังนี้ให้คุณหญิงได้อยู่อาศัยอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะทำให้คุณหญิงได้ในครั้งสุดท้ายนี้

           “ลาก่อนนะครับ” 
...........................................................
           
          ไปแล้ว......
 
           ภาพรถยนต์ที่ทะยานตัวพุ่งออกจากเขตรั้วบ้านหลังโตยังคงปรากฏชัดในดวงตาสีเข้มแม้ยามนี้มันจะหายลับไปจาการมองเห็น แต่ผู้ที่มองดูก็ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไหวติงหรือพูดจาจนผิดวิสัยคนอารมณ์ร้ายอย่างคุณหญิงโฉมฉวี ขนาดว่าสาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้าถามไถ่หล่อนก็ยังเอาแต่เงียบจ้องมองไปยังประตูที่ปิดสนิท จนป้าแม่บ้านที่อยู่ดูแลมานานนมยังอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้ที่เห็นสภาพคล้ายคนวิญญาณหลุดลอยเช่นนี้หล่อนจึงรีบพยุงพานายหญิงของตนกลับเข้าข้างในเพื่อพักใจ

           หลังจากเข้าแล้วคุณหญิงก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่เช่นเดิมไม่แม้จะแตะต้องน้ำเย็นที่ถูกยกมาให้ไม่ปริปากพูดกับใคร เหม่อลอยมองดูรอบบริเวณบ้านที่ครั้งหนึ่งตนอยากได้ไว้ครอบครองแต่สุดท้ายมันก็หลุดมือไปหมด ทำไมทุกอย่างที่เขาเคยใฝ่ฝันหาถึงได้ไม่เคยเป็นจริงสำหรับเขาเลย

            ความคิดมากมายสะดุดลงเมื่อสายตาหมองจะสบเข้ากับรูปถ่ายครอบครัวขนาดยี่สิบนิ้วที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะไม้ในห้องนั่งเล่นแห่งนี้ แรงขยับลุกจากที่นั่งในรอบหลายนาทีนี้ของคุณหญิงเรียกความตื่นเต้นให้คนรับใช้ที่อยู่ดูห่างๆได้ดีแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาทำเพียงมองตามร่างเล็กของคุณหญิงลุกเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูปถ่ายกลางห้องมือเรียวบางที่เมื่อครู่ไม่กล้าจับต้องตัวลูกชายกลับยกขึ้นสัมผัสบริเวณท่อนแขนของชิตรัตน์ในภาพถ่ายไปมาเหมือนปลอบใจระลึกถึง ก่อนเอ่ยปากเรียกให้ป้าแม่บ้านคนสนิทเข้ามาหาโดยที่สายตาไม่ละไปจาภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย

           “นี่ป้า”

           “คะ คุณหญิง”

           “ที่ฉันทำมันผิดมากหรอ”

           หญิงรับใช้วัยใกล้ฝั่งเหลือบมองซีกหน้าของเจ้านายวัยใกล้กันอย่างไม่แน่ใจในคำถาม พอจะถามเพื่อให้รู้ถึงความหมายของคำถามเมื่อครู่คุณหญิงก็พูดขึ้นมาก่อนเหมือนคนละเมอพูด

           “ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนคลอดตาชินออกมาเองแต่ฉันก็รักเขานะรักมาก  ตาชินเหมือนเป็นโลกทั้งโลกของฉันเป็นคนเดียวที่รักฉัน เขาเป็นลูกชายที่น่ารักของฉันเพื่อเขาแล้วทุกอย่างต้องดีที่สุด”

           คนฟังได้แต่ยกมือทาบอกอย่างเห็นใจและเข้าใจถึงความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เสียลูกไป ถึงแม้หล่อนจะเป็นโสดมาตลอดชีวิตแต่ก็เข้าใจได้ว่าความรู้สึกผูกพันที่มีให้เป็นเช่นไร หล่อนเองก็เป็นคนที่เลี้ยงชายหนุ่มมาตั้งแต่แบเบาะจนเป็นหนุ่มแล้วไหนจะต้องคอยดูแลคุณหนูเกรทอีกเล่า ความห่วงหาความเอ็นดูและความรักที่มียอมผลิดอกออกผลอยู่เแล้วยิ่งกลับคุณหญิงที่ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ชิตรัตน์คือความรักที่จริงแท้ในหัวใจของคุณหญิง การโดนอีกคนพูดจากล่าวตัดสัมพันธ์ฉันแม่ลูกต่อให้โหดร้ายเลือดเย็นอย่างไรก็คงไม่แคล้วเสียใจเช่นคนตรงหน้าเป็นแน่

           “ฉันแค่ต้องการให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดมันผิดมากเลยหรือไง!!”

           “.....”

           “ทำไมกันละ ฉันเป็นถึงคุณหญิงหน้าตาฐานะฉันก็ได้ด้อยไปกว่าใครแล้วทำไมคุณวุฒิถึงมองข้ามฉันไปคว้าเอาผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้านั้นมาเย้ยฉันถึงบ้าน ความรักที่ฉันมีให้คุณวุฒิมันไม่มากพอหรือยังไงถึงได้ทำกับฉันแบบนี้ ทั้งๆที่ฉันมาก่อนแล้วทำไมคนที่ได้รับความรักไปถึงเป็นนังวาดฟ้า ทำไม!!!”

           เหมือนว่าความคับข้องใจของคุณหญิงจะมีมากจนเริ่มประทุเดือดขึ้นมาในอก แม่บ้านใจกล้าเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหล่อนจึงขยับตัวลุกขึ้นหมายจะเข้าไปประคองคนที่ทุบโต๊ะตรงหน้าเพื่อระบายอารมณ์

           “แล้วไหนจะไอ้เด็กเพศยานั้นอีกเพราะมารยาของมันที่ทำให้ตาชินหลงมันจนหูหนวกตาบอด เสี้ยมสอนให้ตาชินเกลียดฉันและทิ้งฉันไปเพราะพวกมัน ทั้งนังวาดฟ้าทั้งไอ้เด็กเวรนั้นพวกมันแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันทุกสิ่งที่ควรจะเป็นของฉัน สารเลวเอ๋ย!!”
 
          โครม!!

           ข้าวของราคาแพงมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าถูกแขนเล็กกวาดทิ้งลงพื้นไม่เหลือชิ้นดี เวลานี้หล่อนไม่สนแล้วว่าราคาของมันจะสูงแค่ไหนสวยงามเพียงใดไม่แม้จะชายตามองเศษซากความเสียหายบนพื้นที่ตนทำ ไม่มองและไม่รับรู้ว่าเศษซากของรอยร้าวที่แตกออกมากมายยากจะต่อคืนนั้นผลพวงทั้งหมดล้วนมาจากการกระทำของหล่อนเองทั้งสิ้น เอาแต่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะว่างเปล่าตรงหน้าทุบระบายความเสียใจพร่ำกล่าวโทษทุกคนที่แย่งความรักนี้ไป จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

           แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจกันเป็นแถวเมื่ออยู่คนที่ฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะก็ผงกหัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งตรงไปยังบันไดอย่างรวดเร็วเหมือนคนนึกบางอย่างออกจนเกินเสียงตึงตังยามเมื่อเท้าแตะพื้นบันได แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องของมารยาแล้ว เมื่ออยู่ๆหล่อนก็นึกขึ้นมาได้ว่าชิตรัตน์เข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง

           ความร้อนรนมีมากกว่าความเศร้าเสียใจหล่อนออกแรงกระชากประตูห้องออกแล้วจัดการเปิดตู้นิรภัยอย่างรีบร้อนความหวาดกลัวเกาะแน่นในใจแม้จะพยายามปลอบใจตัวเองเท่าไรว่าชิตรัตน์ไม่มีวันรู้รหัสเปิดตู้แต่ก็เท่านั้นเมื่อพอเปิดตู้นิรภัยออกแล้วหล่อนไม่เจอสิ่งที่ควรจะอยู่ในนี้เช่นทุกครั้งเรี่ยวแรงที่ใช้พยุงตัวก็เลื่อนหายไปได้แต่ทรุดตัวมองความว่างเปล่าในตู้อย่างไร้ทางไป

            จบสิ้นแล้วชีวิตนี้.......... หลักฐานและเอกสารมากมายที่สามารถระบุได้ว่าหล่อนทำการลับหลังบริษัทมากมายที่สามารถเอาผิดหล่อนได้และที่สำคัญเอกสารเหล่านั้นเชื่อมโยงถึงการตายของวาดฟ้าผู้หญิงอันเป็นที่รักยิ่งของสามีหล่อน

           ไม่......... หล่อนไม่มีทางยอมเน่าตายอยู่ในคุกเน่าๆแบบนั้นแน่ไม่มีทาง หล่อนต้องหนี
 
           เมื่อคิดได้ดังนั้นหล่อนจึงรีบกวาดของมีค่าทั้งหมดที่ยังคงเหลืออยู่ตู้ใส่กระเป๋าเดินทางขนาดกลางทันทีก่อนวิ่งทะหลาไปหยิบกระเป๋าเดินทางใบโตมาเปิดออกแล้วยัดเสื้อผ้าข้างของส่วนตัวลงไปอย่างรีบร้อนจนไม่ได้ยินเสียงความวุ่นวายจากด้านนอกห้องที่มันดังลอดพื้นประตูเข้ามา

           คุณหญิงยังคงสาละวนกับการยัดเก็บข้าวของต่างๆจนคิดว่าคงพอที่จะใช้สำหรับการเดินทางออกนอกประเทศ หล่อนก็ไม่ลืมที่จะคว้าโทรศัพท์มือถือต่อสายหาเบอร์ปลายทางที่ขึ้นท็อปเบอร์โปรด ซึ่งก็ไม่ใช่เบอร์ใครที่ไหนเลขาคนสนิทที่อดีตสามีหล่อนจัดหาไว้ให้เมื่อนานมาแล้วอย่างนายสุวิทย์ และระหว่างรอให้คนปลายทางกดรับสายหล่อนก็จัดการคว้ากระเป๋าลากออกมานอกห้องเพื่อจะเรียกให้สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลมาช่วยกันยกลงด้านล่าง

           แต่ใครมันจะคิดกันละว่าภายในวันเดียวที่เวลาห่างกันไม่มากจะเกิดเรื่องให้ต้องตกใจถึงสองครั้งติดเช่นนี้ เพราะทันทีที่บานประตูห้องนอนของหล่อนเปิดออกเงาร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์สองคนยืนจังก้าขว้างหน้าประตูเอาไว้พาดผ่านเข้ามาทำให้ต้องละสายตาจากกระเป๋าใบโตมาสอบมอง ก่อนที่แว่วตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นผู้บุกรุกแปลกหน้า จนมือข้างที่ถือเครื่องมือสื่อสารต้องลดระดับลงไปอยู่ข้างตัวจนไม่ทันได้ยินเสียงตอบรับของคนปลายสายที่ตอบรับออกมาก่อนที่หล่อนจะกดตัดสายทิ้งไป

           “พวกแกเป็นใคร” คุณหญิงถามเสียงเครียด แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรออกมา

           “นี้พวกแกจะทำอะไรฉันนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่ยังงั้นฉันจะแจ้งตำรวจ บอกให้ปล่อยไง ปล่อย!!”

           คุณหญิงหวีดเสียงลั่นเมื่ออยู่ๆผู้บุกรุกใบ้ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็เข้ามาล็อกตัวหล่อนคนละข้างแล้วจัดการหิ้วปีกออกมาจากบ้าน ถึงคุณหญิงจะออกแรงขัดขื่นเพื่อให้หลุดจากการจับกุมอย่างมากมายขนาดไหนแต่แรงของผู้หญิงรูปร่างเล็กแถมพ่วงอายุที่มากด้วยแล้วมีหรือจะสู่แรงผู้ชายสองคนที่โตเต็มได้และต่อให้คุณหญิงจะด่าทอหรือกรีดร้องแหกปากขอความช่วยเหลือจากคนในบ้านแค่ไหนก็ไม่มีผลเพราะต่อให้ชะเง้อมองจะคอหักหล่อนก็ไม่เห็นแม้แต่เหงาของคนรับใช้ในบ้านทั้งชายหญิง มีแต่ผู้ชายรูปร่างใหญ่อย่างคนต่างชาติที่ยืนกระจายอยู่ตามจุดต่างๆของบ้านแทน

           ชายฉกรรจ์แปลกหน้าพาตัวคุณหญิงเข้ามาในรถก่อนจัดการนำผ้ามาคาดปิดตาและปากเสียเพื่อไม่ให้รับรู้ถึงเส้นทางที่กำลังจะไปและเพื่อลดมลพิษทางเสียงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจนคนขับอาจเกิดเสียสมาธิแล้วเส้นความอดทนขาดเอาปืนคู่ใจออกมารับขวัญคุณหญิงให้หัวมีรูเล่นจนเจ้านายพิโรธพวกเขาทั้งคู่จึงมองหน้าแล้วเห็นพร้องรวมกันเรื่องมัดปากคุณหญิงเสียงล้านหลอดนี้เพื่ออนาคตทางหน้าที่การงานของตน

…………………………..........

 
             
  :m31:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 28- 20-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-02-2017 18:55:51

:m31:


  นานเท่าไรไม่รู้ที่เขาใช้เวลาอยู่บนท้องถนนในเมืองหลวงจนแสงร้อนแรงของพระอาทิตย์เริ่มบางเบาลงจนลาลับขอบฟ้า แต่ชิตรัตน์ก็ยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆอย่างคนไร้จุดหมายบนเส้นทางที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดนี้   ส่วนหนึ่งอาจมาจากเรื่องทุกข์ใจที่เกิดขึ้นมากมายในวันนี้ ที่เขาไม่รู้ว่าจะระบายมันออกมาอย่างไร ถ้าจะให้กลับไปบ้านแล้วต้องตีหน้าเศร้าปั้นหน้ายิ้มให้เกลต้องคอยเป็นห่วงเขาก็ขอขับไปเรื่อยๆจนกว่าจะสบายใจขึ้นจะดีว่า คือตอนแรกเขาก็คิดแบบนี้แหละ.........

 แต่อีกส่วนหนึ่งที่น่าจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นรถยนต์สัญชาติเยอรมันสีอีกาที่ขับตามเขามาได้ซักพักใหญ่ๆที่เขาไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย

ตอนแรกชิตรัตน์ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคิดว่าคงเป็นของเพื่อนร่วมทางบนท้องถนนในเมืองหลวงที่จะเจอรถที่เหมือนๆกันได้ แต่ไม่ใช่เลยเมื่อพอเขาเริ่มสงบจิตใจลงได้แล้วพิจารณาอยู่สักพักก็พบว่าไม่ว่าเขาจะขับช้าหรือเร่งความเร็วเท่าไรหรือแม้กระทั้งว่าจะทำเป็นไม่สนใจว่าโดนตาม แต่ทุกครั้งที่มองกระจกมองหลังเขาก็มักจะเห็นเจ้ารถตัวปัญหานี้เสมอ ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่ตามมีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะขับรถวนอยู่ในตัวเมืองที่ผู้คนหนาแน่นแทนการตรงกลับบ้านและรักษาระดับความเร็วให้คงทีเพื่อไม่ให้ผู้ที่ตามมารู้ตัว รอเวลาจนการจราจรเข้าสู่ช่วงเริ่มหนาแน่นก่อนจะฉวยโอกาสนี้หักพวงมาลัยรถซอกแซกไปมาเพื่อหวังให้หลุดจากการติดตาม แต่ทางนั้นเอกก็ใช่ย่อยเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มไหวตัวทันและทำการหลบหนีก็เร่งเครื่องแล้วแทรกตัวไปมาเพื่อให้เข้ามาใกล้รถของเขาในระยะประชิด แต่ถนนในกรุงเทพต่อให้ขับมานานแค่ไหนถ้าไม่มีความเคยชินในพื้นที่ก็ย่อมเสียจังหวะและสับสนในเลนส์ถนนได้

ชิตรัตน์อาศัยจังหวะที่มีรถกระบะสีขาวเข้ามาแทรกระหว่างเขากับรถปริศนาหัดเลี้ยวซ้ายออกไปประจวบเหมาะกับทางที่เขาเพิ่งเลี้ยวออกมาสัญญาณไฟจราจรได้เปลี่ยนเป็นสีแดง และนับเป็นโชคดีของเขาด้วยที่รถของเขาเป็นคันสุดท้ายพอดีก่อนที่ฝั่งตรงข้ามของรถจะปล่อยรถออกมาทำให้ตอนนี้รถของเขาถูกกลืนหายไปกับฝูงรถยนต์จำนวนมาก

ลมหายใจถูกถอนผ่อนออกมาอย่างแรงอย่างคนปลอดโปล่งคราวนี้เขาจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนจริงๆเสียที แต่ก็ไม่วายที่จะหันมองกระจกหลังอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าตนพ้นจากการโดนตามนั้นแล้ว

เมื่อมองไปไม่เจอรถที่ขับตามมาหลายชั่วโมงชิตรัตน์จึงตัดสินใจขับรถวนกลับไปยังเส้นทางที่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าปานนี้คนขี้กังวนจะร้อนรนคนมากขนาดไหนที่ป่านนี้แล้วเขายังกลับไม่ถึงบ้าน อีกทั้งโทรศัพท์มือถือของเขาก็มาตายในหน้าที่แบบไม่ได้เอาชีวิตสำรองมาด้วยอีก การติดต่อหากันจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยทางเดียวที่มีคือเขาจะต้องรีบขับรถกลับบ้านให้เร็วที่สุด  แต่ก็เท่านั้นเมื่อเขาขับรถมาจนใกล้จะถึงบ้านเจ้าสิ่งที่เขาคิดว่าสลัดหลุดแล้วกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้
 
 
          เอี๊ยด!!

ชิตรัตน์เหยียบเบรกรถสุดตัวจนหัวกระแทกเข้ากับพวงมาลัยรถอย่างแรงเมื่ออยู่ดีๆรถปริศนาเจ้าปัญหาที่ตามเขาอยู่บนถนนใหญ่เมื่อครู่กลับพุ่งตัวออกมาจากข้างทางที่มืดสนิทมาจอดดักหน้าเขาไว้  ครั้งจะถอยหลังหนีก็กลายเป็นว่ามีรถแบบเดียวกันที่เหมือนกันตั้งแต่ยี่ห้อสีแม้กระทั้งป้ายทะเบียน ชายหนุ่มสบถออกมาเสียงดังเมื่อตอนนี้เขาถูกดักทางหนีไว้ด้วยเจ้ารถฝาแฝด แบบนี้สินะเขาถึงสลัดเจ้ารถบ้านี้ไม่พ้นเพราะมันมีสองคัน

หัวคิ้วของเขากดต่ำลงอย่างคิดหนักเมื่องมองรถทั้งสองคันสลับหน้าหลังไปมาโดยไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าของรถจะการกระทำอะไรบางอย่าเลยสักนิด และเพราะไม่มีความเคลื่อนไหวนี้ละที่ทำให้ชิตรัตน์ใจเต้นระส่ำด้วยความมืดที่เข้าปกคลุมท้องฟ้าอีกทั้งพื้นที่บริเวณนี้ถึงจะมีไฟรายทางส่องสว่างแต่เพราะไม่ใช่แหล่งชุมชนการจะมีใครสักคนผ่านมาไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นทุกสองนาที การจะขอความช่วยเหลือจึงแทบติดลบ  คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อยๆเอื้อมมือไปยังที่เก็บของตรงด้านหน้าที่นั่งคนขับช้าๆ เปิดแล้วหยิบกล่องหนังสีดำมาเปิดออกแล้วเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกถือกระชับไว้ให้อุ่นใจ

ปืนโตกาเรฟ  สัญชาติรัสเซียขนาดบรรจุ 9 ม.ม. คืออาวุธป้องกันตัวยามฉุกเฉินที่พึ่งหนึ่งเดียวในตอนนี้ของชิตรัตน์ และเขายิ่งกระชับมันให้แน่นขึ้นไปอีกเมื่อรถคันที่สามมาจอดเทียบเสมอกับรถของเขาแต่คราวนี้ไม่เพียงแค่จอดนิ่งแบบสองคันก่อนหน้า

ความตึงเครียดยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกเมื่อประตูด้านหลังของรถด้านข้างถูกเปิดออกพร้อม ใครสักคนที่ก้าวออกมาจากตัวรถเป็นดังสัญญาณให้ที่คนจากบนรถที่จอดดักเขาออยู่ได้ทยอยออกมายืนข้างตัวรถ  เสียงเดินลงส้นของรองเท้าหนังราคาแพงบุคคลที่เดินตรงมายังด้านที่เขานั่งอยู่แม้จะอยู่ในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำขนาดไหนแต่เหงื่อกาฬของเขาก็ยังคงไหลซึมมาตามไร้ผมที่ขมับพรอมกับเสียงลมหายใจของเขาดังพอๆกับเสียงการเต้นของหัวใจที่ดังกลบทุกสิ่งรอบข้าง ก่อนจะเบิกตากว้างกับสิ่งที่ใกล้เข้ามาเมื่อคนปริศนาก้มหน้าเข้ามาใกล้
          !!!
 
 
            ยิ่งเข็มของนาฬิกาทรงสูงรุ่นคลาสสิกเดินเข็มบอกเวลาใกล้เลขเก้ามาขึ้นเท่าไร ความกังวลในใจของคนรอก็มีมากขึ้นเท่าทวีตาม  นิ้วมือเรียวที่พยายามต่อสายหาคนรักมาร่วมร้อยสายยังคงกดต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมรับสาย

           ชิตรัตน์ออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรเขาหรือใครเลยสักนิด แล้วจู่ๆก็หายไปขาดการติดต่อเอาเสียดื้อๆแม้ชาติจะติดต่อกลับไปที่บ้านนพเทพแล้วก็ได้ความแค่อีกฝ่ายออกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่แล้ว เวลาเกือบหกชั่วโมงที่ชิตรัตน์หายตัวไปมันทำให้เขาจะเป็นบ้า

           “คุณเกลใจเย็นๆก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณชินก็คงจะกลับ”

            ชายที่มองเจ้านายตัวเล็กของตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาจนจะล้มอยู่หลายรอบเอ่ยขึ้นเพื่อให้คลายกังวลลงบ้าง เพราะตอนนี้พลเองก็สั่งลูกน้องให้ออกไปตามหาตามที่ต่างๆที่คิดว่าชิตรัตน์น่าจะไปอยู่เช่นกัน

            “เกลเป็นห่วงพี่ชินทำไมป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีก ชาติติดต่อพี่ชินได้หรือยัง”

           ชาติที่สาละวนอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์เพื่อติดต่อหาเจ้านายส่ายหน้าแทนคำตอบ  ชิตรัตน์ไม่เคยหายไปไหนโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้มาก่อน  ถ้าหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับชิตรัตน์ขึ้นมาเขาจะทำยังไงดี.........

           “พี่พล บอกให้คนของเราออกไปดูรอบๆบ้านกับระว่างทางจากบ้านไปโรงแรมอีกรอบให้ทีเพื่อว่าพี่ชินจะเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย หรือ ระ อึก อึ๊ก”

           “คุณเกล!!”

           ทั้งสามตะโกนเรียกเจ้านายทันทีเมื่ออยู่ๆคนที่กำลังร้องสั่งก็เกิดอาการชักหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น พลที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้าชาร์ตรับตัวผอมบางของเกลได้ทันท้วงทีพร้อมทั้งทำการปฐมพยาบาลเบื้อต้นให้ จนเกลกลับมาหายใจได้เป็นปกติอีกครั้งแล้วจึงย้ายให้คนอ่อนแรงไปนั่งพักที่โซฟายาวแทน

           “ผมว่าคุณเกลควรกลับขึ้นไปนอนพักที่ห้องก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณชินมาแล้วผมจะไปแจ้งให้ทราบ”

          ชาติเสนอทางเลือกให้อย่างเป็นห่วงอาการเมื่อครู่ของคนรักของเจ้านาย ถึงจะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านของชิตรัตน์แต่อาการเช่นนี้ใช่ว่าจะหายได้สนิทเลยที่เดียวเสียเมื่อไร ไหนจะร่างกายที่ผอมบางผิดจากเพศสภาพที่ควรมีไหนจะผิวการที่ดูซีดเซียวในยามนี้ด้วยแล้วชาติยังอดที่จะกลัวไม่ได้ว่าหากมีอะไรกระทบกระเทือนเล็กน้อยร่างตรงหน้าจะสะลายไปหรือไม่....

           “ไม่ ไม่เอา เกลไม่ไปเกลจะรอพี่ชินกลับมา พี่พลส่งคนออกไปดูให้เกลหรือยังส่งไปหรือยัง”

           เกลส่ายหน้าหวือปฏิเสธความเป็นห่วงของชาติ อีกทั้งยังพยายามจะลุกออกไปดูที่หน้าต่างอย่างเดิมร้อนให้ชายกับพลต้องค่อยรั้งอีกคนที่ดูจะเริ่มคุมสติของตัวเองเอาไว้ไม่ค่อยอยู่ให้ใจเย็นลง

            “พี่ส่งคนออกไปดูให้คุณเกลเรียบร้อยแล้วใจเย็นๆก่อนนะครับ ค่อยๆหายใจเข้า”

           เมื่อได้ยินที่พลพูดมาอย่างนั้นเกลเองก็มีท่าทีที่อ่อนลงยอมที่จะให้พลรั้งร่างผอมบางของตนซบเข้าที่อกแล้วยกมือขึ้นลูบหลังเพื่อช่วยในการสูดลมหายใจเข้า ส่วนชายที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยกเอาถุงหอมขึ้นใกล้จมูกโด่งเรียวเพื่อประโลงให้หายใจสะดวกขึ้น

           Rrrrrrr

           เสียงเรียกเข้าและแรงสั่นจากสิ่งที่อยู่ในมือทำให้เกลรีบผละออกจากทุกคนที่อยู่รอบตัว กดรับสายของคนที่โทรเข้ามาโดยไม่มองเบอร์หรือชื่อที่เมมเอาไว้ก่อน ตอนนี้ความร้อนใจจากความเป็นห่วงของเขามันมีมากกว่าสิ่งอื่นใด     

           “ฮัลโหล พี่ชินพี่ชินอยู่ไหนครับเป็นอะไรหรือเปล่าบาดเจ็บตรงไหน หระ หรือว่า........”

           // ใจเย็นๆสิครับ เดี๋ยวก็อาการกำเริมหรอก//

           !!!

           เสียงปลายสายจากคู่สนทนาที่โทรเข้ามาหาทำให้เกลต้องยกมือถือออกจากข้างแก้มที่แนบอยู่ออกมาดูอีกครั้งเมื่อเสียงที่ดังลอดมาตามสายกลับไม่ใช่เสียงของคนที่เฝ้ารอ

           “พี่ทิม”

           // ไงครับ เสียใจหรอที่เป็นพี่ไม่ใช่เขานะ// หรือว่า.............

           “พี่ชินอยู่ไหน พี่เอาเขาไปไว้ไหนบอกเกลมานะ พี่ชินอยู่ที่ไหน!!”

           ไม่บ่อยนักที่เกลจะขึ้นเสียงตวาดใส่คนอื่นเสียงดังแบบนี้  ชาติเองที่เพิ่งจะเคยเห็นท่าทีเกรี้ยวกาจเช่นนี้ของเกลเองก็ถึงกลับผงะไปเล่นน้อยอย่างตกใจ

             // จุ๊จุ๊ อย่าพูดเหมือนพี่เป็นคนใจร้ายอย่างั้นสิครับไหนว่าพี่เป็นคนที่รู้ใจเรามาที่สุดยังไงละ//

            “พี่ทิม!!”

           //Calm down my dear. พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้//

           “...”

           //นายชิตรัตน์อยู่กับพี่ มันน่าน้อยใจนะทั้งทั้งทีพี่มาก่อนแท้ๆ เฮ้อออ//   เสียงตัดพ้อน้อยใจของคนที่ปลายสายไม่ได้ทำให้คนฟังเช่นเขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย

           “เกลถามว่าพี่ชินอยู่ไหน” เขาถามย้ำอีกครั้ง

           // โอ๋ๆๆ อย่าใจร้อนสิพี่แค่มีเรื่องจะคุยกับสามีสุดที่รักของเราแป๊บเดียวเอง  เดี๋ยวพอคุยเสร็จแล้วพี่จะพาไปอาบน้ำปะแป้งกินนมนอนแล้วพรุ่งนี้เช้าพี่จะพาไปส่งคืนให้ถึงเตียงนอนเลย รับรองได้ว่าไร้รอยขีดข่วนแน่นอน ไปละบาย//

           “เดี๋ยวก่อน พี่ทิม พี่ทิม!!”

           เกลกรอกเสียงเรียกคนที่ด่วนตัดสายหนีเขาไปดื้อๆอย่างหัวเสีย พร้อมพยายามโทรกลับหาเบอร์ของตัวการเมื่อครู่อยู่หลายครั้งแต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันชิงปิดเครื่องมือสื่อสารหนีทันทีที่วางสายจากกันทำให้เกลเกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเป็นอย่างมากจนเกือบจะปาสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดีที่ว่าชายมือไวพอที่จะรั้งท่อนแขนเล็กนั้นไว้ทัน

           “ใจเย็นก่อนที่ครับคุณเกล”

           “ยังจะให้เกลใจเย็นลงอีกหรอครับพี่ชาย พี่ทิมเอาพี่ชินของเกลไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชินเกลจะทำยังไง”

           “คุณทิมไม่ทำอะไรคุณชิตรัตน์หรอกครับเชื่อพี่สิ” พลพูดขึ้น

           “อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าคุณชิตรัตน์อยู่กับคุณทิม พี่ว่าคุณก็น่าจะเบาใจขึ้นได้แล้วนะครับ”พลเสริม

            แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ...... ถึงจะรู้ว่าชิตรัตน์อยู่กับทิมแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าชิตรัตน์จะปลอดภัย ยิ่งอยู่กับคนเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างคนคนนั้นด้วยแล้ว เขายิ่งเป็นห่วงชิตรัตน์

           “พี่ว่าตอนนี้คุณเกลขึ้นไปนอนพักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวถ้าคุณธารโทรมาแล้วทราบว่าคุณยังไม่ยอมนอนพวกพี่จะแย่เอานะครับ”

           ชายรีบอ้างถึงเรื่องการโทรมาเช็คของโจนาธานให้อีกคนค้อยตาม ซึ่งมันก็ได้ผลตอบรับที่ดีมาเมื่อคนที่ทำท่าดื้อรั้นเมื่อครู่ยอมผ่อนแรงยื้อยึดลง ชายจึงพยักหน้าให้พลอย่างรู้กันให้อีกคนเป็นฝ่ายพาเจ้านายตัวบางกลับขึ้นไปพักที่ห้องด้านบน ก่อนที่ทั้งชายกับชาติจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ที่เหลืออยู่ของแต่ละคน
 
 
         
              ฝ่ายชิตรัตน์ที่อยู่ๆก็ถูกพาตัวกลับมานั่งอยู่ในห้องพักรับรองของโรงแรมตัวเองก็ได้แต่มองคนต่างชาติที่มากไปด้วยปริศนาตรงหน้าอย่างระมัดระวัง ยามเมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่เขาเจอกับชายตรงหน้าที่แล้วมาอยู่ที่ได้ก็คงจะเป็นตอนหลังจากนั้น

           ตอนวินาที่ระทึกใจเมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้วที่เขาโดนสะกดรอยตามจนมาถึงการดักซุ่มรอ ตอนแรกชิตรัตน์คิดว่าปืนที่ได้มาจะต้องนอนเน่าให้สนิมกินอยู่ในกล่องจะได้เอาออกมาใช้งาน จริงวันนี้เสียอีกถ้าไม่เพราะอยู่ๆเสียงเคาะกระจกรถของเขาก็ดังขึ้น
 
          ก๊อก ก๊อก

           ชิตรัตน์สะดุ้งโหยงตกใจเมื่ออยู่ๆคนที่ห่างออกไปเพีงกระจกคั้นจะยกมือขึ้นมาเคาะกระจกพร้อมทำมือทำไม้บอกให้เลื่อนกระจกลง คราแรกเขาเองก็ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายจึงยังคงไม่ลดกระจกลงตามที่บอกและดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความคิดเขาจึงตะโกนสั่งลูกน้องเป็นภาษาอังกฤษให้กลับเข้าไปในรถให้หมด จนเขาเองเริ่มเบาใจที่ว่าอย่างน้อยถ้าอีกคนยอมให้ลูกน้องกลับเข้าตัวรถไปเหลือเพียงชายคนนั้นคนเดียวเขาก็ยังพอมีทางสู่ได้อยู่บาง แต่ชิตรัตน์ก็ยังไม่ลดการระวังตัวลงชายหนุ่มจึงเลือกที่จะลดกระจกลงเพียงแค่เล็กน้อยให้เห็นแค่ช่วงตาของตนเท่านั้น

           “ระวังตัวจังเลยนะครับ”

            เสียงพูดสำเนียงไทยชัดเจนติดจะหยอกล้อดังขึ้นชวนขัดอารมณ์จริงจังของเขาเป็นอย่างมา แต่ก็ต้องทำใจให้เย็นเพื่อไม่ให้หลุดท่าใดๆทีที่อาจเป็นฝ่ายเพรียมพร่ำได้

           “คุณเป็นใคร”

           “แหม่ ใจร้ายจังเลยนะครับผมว่าเราเพิ่งจะเจอกันไปเมื่อเช้าเอง ลืมกันแบบนี้ผมเสียใจนะครับ”  ชิตรัตน์ฉงนไปครู่ก่อนหันไปจ้องมองคนที่พยายามยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมออกปากให้เขาลดกระจกลงอีกเพื่อจะได้จำหน้าได้

           “คุณที่อยู่ในห้องแถลงข่าว”

           ชิตรัตน์เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจในความคิดเสียเท่าไรเพราะตอนนั้นอีกคนใส่แว่นตาดำบดบังใบหน้าที่ผิดจากตอนนี้ที่ไม่ใส่อะไรไว้ปิดบังตนจนเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่กระจ่างเวลาต้องแสงสลัวในความมืด

           “Bingo ถูกต้องนะครับ”

           ชายต่างชาติดูเริงร่าขึ้นมาทันทีเมื่อเขาตอบคำถามถูก ก่อนจะหันมาตีหน้าตาจริงจังใส่เขาอีกครั้งจนชายหนุ่มเริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทางที่เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว

           “ผมแค่อยากคุยกับคุณ คงต้องขอให้ช่วยมากันผมสักหน่อย”

           “ทำไมผมต้องไปด้วย”  ถึงจะไม่เข้าใจแต่เขาก็คงไม่ใช่พวกที่จะยอมทำตามใครง่ายๆโดยเฉพาะเวลานี้ที่ไม่ว่าใครก็ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น

           “เพราะคุณต้องไปไงครับ”
 
           และนั้นคือบทสนทนาสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่อีกคนจะเอาสเปย์อะไรบางอย่างมีฉีดพ่นเข้าที่หน้าของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้เขาจะสูดกลุ่มควันนั่นเข้าไปเพียงเล็กน้อยแต่มันก็ทำให้สมองเริ่มมึนช้าและภาพตรงหน้าเริ่มที่จะพร้ามั่วได้อย่างรวดเร็วก่อนที่ทุกอย่างค่อยๆมือแล้วดับลง     

            เขามาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอีกที่ก็ตอนที่ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหัว ก็พอจะจำได้ลางๆว่าเป็นของเจ้าสโตกเกอร์ชอบลักพาตัวชาวบ้านที่เพิ่งเจอเป็นคนสุดท้ายนั้น เขาค่อยลืมตากวาดมองไปทั่วห้องพักที่คุ้นตาก่อนจะสะดุดกับร่างสูงใหญ่ของชาวต่างชาติที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคุยกับใครแต่ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าคงไม่พ้นเรื่องของตัวเขาเองนี้ละ

           “อ้าวๆๆ ตื่นแล้วหรอครับ มิสเตอร์ชิตรัตน์จะเอาอะไรหน่อยไหมแต่บริการตัวเองนะผมขี้เกียจน่ะ”

           คนพูดยกยิ้มพิมพ์ใจ แต่ในสายตาคนมองอย่างเขาแล้วมันส่อเจตนากวนเบื้องล่างจนอยากเอารองเท้าหนังขัดมันเบอร์สี่สิบสามฟาดหน้ายิ้มๆนี้สักทีให้หายแค้น

           “อย่าทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนั้นสิ อะๆๆผมช่วยเปิดขวดน้ำให้ละกัน”

           ชิตรัตน์มองตามคนที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อสายตาเขาเมื่อครู่เดินเข้ามาใกล้ก่อนเอื้อมมือหยิบขวดน้ำขึ้นมาบิดฝาออกแล้วส่งมาให้ ในตอนแรกเขามีท่าทีระแวงอยู่นิดนึงแต่ก็ยอมรับมาดื่มอย่างกระหายแต่โดยดี ก่อนจะฉงนอีกครั้งเมื่อแผ่นที่แปะรอบขวดน้ำในมือปรากฏชื่อพร้อมสัญลักษณ์ของโรงแรมตน ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของโรงแรมกวาดสายตามองรอบบริเวณห้องพักที่ตนอยู่อีกครั้งอย่างละเอียดก็พบว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาคิดที่นี้คือห้องพักรับรองแขกพิเศษของทางโรงแรงของเขาเอง

            ชิตรัตน์แบนสายตามามองโจรลับพาตัวตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ ถ้าจะลับพาตัวกันจริงแล้วทำไมถึงพามาที่นี้แถมไม่มีการมัดหรือกักขังเขาแต่อย่างใด ขนาดบริกรชายยังเข็นอาหารเข้ามาเสิร์ฟได้อย่างไม่มีความเกรงกลัวว่าเขาจะร้องให้ลูกน้องช่วยเลยแม้แต่น้อย

           “อย่าทำหน้าเอ๋อเป็นหมางงแบบนั้นสิครับ”

            ชิตรัตน์เริ่มส่งสายตาไม่พอใจไปให้คนที่ทำตัวไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่กำลังลงมือตักซุปครีมผักขึ้นมากินอย่างใจเย็น นี้มีนเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่กันแน่เนี่ย

           “คุณต้องการอะไรแล้วทำไมถึงจับตัวผมมาที่นี้”  มือที่กำลังส่งช้อนที่บรรจุซุปแสนอร่อยถึงกลับหยุดชะงักกลางอากาศเมื่อเจอคำถามเช่นนั้น

           “ที่นี้ไม่ใช่โรงแรมของคุณหรือไงครับ อะไรกันแค่นี้ก็จำไม่ได้น่าสงสารจริง”

            หนุ่มต่างชาติมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยแววตาสงสัยก่อนตอบกลับไปอย่างเห็นใจแล้วลงมือกินต่อ  ไหนหมอบอกว่าสเปย์ยาสลบมันทำให้หลับอย่างเดียวไง ไหนคนโดนถึงความจำเสื่อมไปได้.......

           “ผมทราบครับว่าที่นี้คือโรงแรมของผม แต่ที่ผมอยากรู้คือคุณพาผมมาที่นี้ทำไมและคุณต้องการอะไรจากผม”

           ชิตรัตน์ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะสงบจิตใจของตนให้เย็นลงเมื่อเจอวาจากวนประสาทของคนตรงหน้า ทั้งทีใครต่อใครก็พูดว่าเขาเป็นคนใจเย็นมากจนอยากรู้จริงๆว่าหากเขาเป็นคนใจร้อนเขาจะสามารถกระทืบคนตรงหน้าให้ตายคาเท้าเขาได้หรือเปล่า

           “ถ้าคุณทราบก็ดีครับ งั้นผมขออนุญาตคุณเจ้าของโรงแรมรับประทานอาหารตรงหน้าให้เรียบร้อยก่อนนะครับ แล้วผมถึงจะตอบคำถามนั้นเพราะตอนนี้ผมหิวมากมากเลย ”

           ชายต่างชาติยื่นข้อเสนอที่ต่อให้ชิตรัตน์อยากจะง้างปากให้มันตอบคำถามที่ค้างคาในใจเท่าไรก็คงจะทำไม่ได้ จึงได้แต่ข่มอารมณ์ที่มีแล้วนั่งรอคนหิวโหยจัดการอาหารตรงหน้าให้เรียบร้อย

           และถือเป็นโชคดีของเขาที่คนเจ้าเล่ห์มากข้ออ้างตรงหน้าไม่ได้ประวิงเวลาอะไรโดยการค่อยๆกินช้าๆเหมือนพวกรักสุขภาพที่ต้องเคียวอาหารช้าๆครั้งละสามสิบทีให้ละเอียดก่อนกลืนเพื่อระบบย่อยที่ดีอะไรแบบนั้น

           “เอาละ เมื่อกี่เราจะคุยกันเรื่องอะไรนะ”

           “ผมถามว่าคุณเป็นใคร”

           “อ้าว นี้ผมยังไม่ได้แนะนำตัวให้คุณรู้หรอ”  ชิตรัตน์อยากตบหน้าตัวเองแรงๆสักทีเพื่อว่าตอนนี้เขากำลังฝันอยู่ จะได้ตื่นจากฝันบ้าๆที่ต้องมาเจอคนบ้าๆแบบนี้สักที

           “อะแฮ่มๆ สงสัยผมคงจะลืมแนะนำตัวจริงๆ ต้องขอโทษมิสเตอร์ชิตรัตน์จริงๆที่ผมเสียมารยาทขนาดนี้ มิน่าละคุณถึงได้ดูมีท่าทางไม่ค่อยไว้ใจผมเสียเท่าไร ฮ่ะๆ” เขาล่ะอยากจะบ้าตายกับไอ้คนไร้สำนึกตรงหน้า อะไรมันจะลีลาท่าทามากขนาดนี้กัน

           “ผมชื่อ ทิโมธี ดิ.เอลเมอร์ซี ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณน้องเขย

           !!!

_________________________________________________________________________

เปิดตัวตัวละครตัวสุดท้ายของเรื่อง
ชายผู้เป็น FC ตัวจริงของคุณหญิงมาแล้วคร้าาาา
นี้ พี่ทิม ไง

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 29- 20-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-02-2017 21:32:25
ฝนหยดที่ 29

   “เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณชื่ออะไรนะ”

           ชิตรัตน์ถามย้ำคนตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง นี้เขายังเบลอกับยานอนหลับนั้นอยู่หรือเปล่าถึงได้ยินนามสกุลผู้ชายคนนี้เป็นนามสกุลของคนรักได้

“ผมชื่อ ทิโมธี ดิ.เอลเมอร์ซี ครับ อะไรกับยังไม่ทันแก่เลยหูตึงเสียล่ะแย่จริงๆ”

โอเค ชัดเจน.....

ถ้าเป็นเวลาปกติชิตรัตน์คงจะอยากกดหัวคนตรงหน้าลงชามใส่ซุปที่หมดแล้วของอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ตอนนี้ที่เขากำลังอึ้งกับสถานะของคนตรงหน้าที่ได้รับรู้มาเมื่อครู่เลยทำเพียงแค่ยกมือขึ้นชี้หน้าคนตรงหน้านี้แทน

ชิตรัตน์ใช้โอกาสนี้มองสำรวจคนที่อ้างว่าเป็นพี่ชายอีกคนของคนรักอย่างไม่เชื่อเสียเท่าไรนัก เพราะมองดูแล้วนอกจากผมสีน้ำตาลเข้มแล้วก็ไม่มีสิ่งไหนที่จะบอกได้ว่ามีคนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติเลย แต่ถ้าบอกว่ามีส่วนคล้ายกับโจนาธานที่เป็นพี่ชายของเกลนี้ยังพอมีเค้าโครงอยู่บ้าง แต่กับเกลแล้วผู้ชายคนนี้ห่างไกลจากทั้งคำว่าเหมือนหรือคล้ายมากถึงมากที่สุด

“แหม่ ไม่ต้องมองผมอย่างนั้นก็ได้ ผมรู้ว่าผมไม่เหมือนเกลไม่ต้องตอกย้ำขนาดนั้นก็ได้”

ทิมทำหน้าตาน้อยอกน้อยใจในคำพูดของตัวเองเมื่อครู่หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีทึบที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทราคาแพงของตนออกมาเช็ดน้ำตาด้วยท่าทีที่ดูน่าสงสาร ถึงแม้คนมองจะเอาแต่กรอกตาไปมาก็ตาม แต่เขาก็ขอเถอะ

“Okay ผมไม่แกล้งละ ความจริงคือผมเป็นพี่ชายต่างแม่กับธารแล้วก็เกลน่ะ พูดง่ายๆคือผมเป็นThe eldest brother   พอดีว่ามัมของผมเป็นภรรยาคนก่อนของแด๊ดแต่ท่านเสียไปตอนผมสองขวบหลังจากนั้นแด๊ดก็แต่งงานใหม่แล้วธารก็โผล่ออกมาแล้วก็ตามด้วยมายเดียร์แสนน่ารักเกลลี่น้อย Oh my little angel จบการบรรยายเครือญาติครับ”

              ก็พอเข้าใจเนื้อความที่อีกคนพูดอยู่หรอกนะ แต่ถ้าจะให้ดูดีเหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้อีกฝ่ายควรจะตัดไอ้อาการบ้าน้องขึ้นรุนแรงนี้ออกไปหน่อยจะดีมาก

              “แล้วคุณเอาตัวผมมาที่นี้ทำไม ถ้าคุยอยากเจอหรืออยากคุยกับผมก็มาแบบธรรมดาก็ได้ทำแบบนี้ผมตกใจนะครับ”

           ชิตรัตน์ถามอย่างไม่เข้าใจ คนกันเองแท้ๆแค่มีเรื่องจะคุยทำไมไม่เข้ามาคุยกับแบบธรรมดาที่คนทั่วไปเขาทำกัน แค่นี้เขาก็เจอเรื่องน่าปวดหัวมากพอแล้วยังจะให้ต้องมาประสาทเสียกับเรื่องเมื่อกี้นี้อีก  เฮ้อ...........

           “ก็มันน่าตื่นเต้นต่างหาก อีกอย่างนี้มันความฝันของผมเลยนะ ผมน่ะอยากทำแบบนี้มานานแล้ว”

           แต่ไอ้คำตอบที่ได้กลับมาเนี่ยมันทำให้เส้นเอ็นขาเขากระตุกอย่างแรงจนอยากออกแรงถีบไอ้คนที่พูดจาที่เล่นที่จริงแบบนี้ให้หงายหลังตกเก้าอี้ไปจริงๆ

            “นี้คุณ!!”

           ทิมรีบยกมือขึ้นเชิงยอมแพ้ให้กับคนตรงหน้าที่ดูท่าทางแล้วคงจะหงุดหงิดเขาอยู่ไม่น้อย ทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจความบันเทิงแสนระทึกใจนี้ของเขาบ้างนะ.......

            “อย่าเพิ่มโมโหสิ ไหนเกลบอกว่าคุณเป็นคนใจเย็นไงนี้ดูไม่เหมือนที่ได้ยินมาเลยนะ”  แล้วเจอแบบนี้ใครมันจะไปใจเย็นได้บ้างละ ไม่สติแตกตั้งแต่โดนตามก็ดีเท่าไรแล้ว  ไอ้หมอนี้มันบ้าหรือมันบ้ากันแน่....

              “ว่าเรื่องของคุณมาดีกว่าผมเหนื่อยแล้วจะได้กลับไปพักสักที”

           แต่สุดท้ายคนที่ต้องยอมแพ้ให้ลูกบ้าลูกชนกลับเป็นชิตรัตน์ที่ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระนี้ไปมากกว่านี้ เลยเป็นฝ่ายที่จุดประเด็นขึ้นมาพร้อมเอนตัวพิงกับพนักพิงอย่างรู้สึกเหนื่อยใจกับการสนทนาครั้งนี้

            ทิมมองชิตรัตน์ก่อนจะก่อนจะส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่ยืนอยู่อีกด้านของห้องให้เดินออกไปจากห้อง จนผ่านไปสักครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมกระเป๋าเอกสารหนังที่ชิตรัตน์มองครั้งเดียวก็จำได้ดีว่าเป็นของตนแน่นอนและซองเอกสารต่างๆอีกหลายซองแล้วนำมาวางไว้ที่โต๊ะตรงกลางระหว่างเขากับทิม

           “ตอนที่คุณหลับไปผมแอบอ่านเอกสารในกระเป๋าของคุณหวังว่าคงจะไม่ว่าอะไรนะ”

            ทิมที่กำลังไล่ดูเอกสารในซองพูดขึ้นโดยไม่มองคู่สนทนา ซึ่งชิตรัตน์ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะถึงเขาจะว่าอะไรไปอีกฝ่ายก็คงทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนอย่างเคย

            “คุณหญิงนี่แสบใช่เล่นเลยนะเนี่ย” ทิมเปิดเอกสารไปมาแล้วก่อนจะพูดเบาๆ

           “แล้วคุณจะเอายังไงต่อครับ” ก่อนจะหันขึ้นมาถามคู่สนทนา

           “ก็คงต้องดำเนินคดีตามกฎหมายนั้นละ” ชิตรัตน์เอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ

           “เรื่องของโรงแรมและบริษัทก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องของแม่คุณละจะเอายังไง”

           “ผมอยากจะถามคุณมานานละ คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคุณแม่วาดฟ้าใช่ไหม”

            ชิตรัตน์ว่าเสียงจริงจัง เขามีความรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อตอนเช้าที่ห้องแถลงข่าวแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าต้องรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย ไม่อย่างนั้นแล้วมีหรือที่คนคนนี้จะกล้าจุดประเด็นสำคัญเช่นนี้กลางสถานที่ที่มีนักข่าวกว่าสามสิบชีวิตแบบนี้โดยไม่มีมูลอะไรเลย

           “ก็รู้เท่าที่เอกสารนี้ที่คุณมีนั้นแหละ อาจเพิ่มเติมตรงที่ผมมีคนที่สามารถเป็นพยานในคดีของแม่คุณได้แถมยังสามารถจับแม่เลี้ยงคุณเข้าไปกินอิ่มนอนหลับในคุกได้สบายๆ”

           “หมายความว่ายังไง ใครที่เป็นพยานได้”

            ชิตรัตน์ทึ้งตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ เพราะเขาคิดมาตลอดว่าพยานในคดีนี้มีเพียงคนเดียวนั้นก็คือวาดฟ้า แม่แท้ๆของเขาที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อนานมาแล้ว

           “อย่าใจร้อนสิครับ อ๋อ จริงสิผมให้คนไปรับทนายความของบริษัทคุณมานิ ทำไมยังมาไม่ถึงสักที”

            ชิตรัตน์มองหน้าทิมอย่างหมดคำพูด ที่ว่าไปรับตัวทนายของเขามาเนี่ยไปรับวิธีไหนคุณป้าทนายเขายิ่งอายุอานาไม่ใช่น้อยๆเกิดอีตานี่เล่นพิเรนทร์ป้าทนายได้หัวใจวายตายก่อนจะได้เอาผิดคุณหญิงกันพอดี

           ขณะที่ชิตรัตน์ได้แต่นั่งกุมขมับกับความคิดที่เข้ามาในหัวทิมก็พยายามต่อสายหาคนของตัวเองที่สั่งให้ไปรับคนพิเศษในการทำงานทางกฎหมายมา แต่สายที่กดโทรออกไปยังไม่ทันจะมีใครได้รับสายประตูห้องรับรองพิเศษก็เปิดเข้ามาเสียดื้อๆพร้อมเสียงไม่สบอารมณ์ของคนคุ้นตาของทั้งสองคน

           “ไอ้ทิมแกเล่นบ้าอะไรวะเนี่ย”

           ธานเดินนำเข้ามาพร้อมด้วยชายต่างชาติในสูทสีดำสามคนและอีกหนึ่งหญิงวัยเดียวกับคุณหญิงโฉมฉวีหรือที่ชิตรัตน์เรียกว่าคุณป้าทนายเมื่อครู่ที่เดินอยู่ตรงระหว่างชายชุดดำสองคนในสภาพชุดนอนผ้าซาตินที่คุมด้วยเสื้อสูทของหนึ่งในสองชายที่เดินประกบเข้ามา

           “โจนาธาน ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี้ล่ะ”  ทิมลงโทรศัพท์ในมือลงแล้วถามน้องชายตัวเองอย่างพาซื่อ

           “คำถามนั้นควรเป็นฉันที่ต้องถามแกไอ้พี่เวร เล่นบ้าอะไร”

           ธารถามกลับอย่างอารมณ์เสีย จะไม่ให้เขาหงุดหงิดได้ยังไงกัน เมื่อครู่เขายังเฝ้าสุดที่รักและลูกสาวของเขาที่โรงพยาบาลอย่างมีความสุขยู่เลย ถ้าไม่เพราะโทรศัพท์สายตรงจากชายต่อมาหาเขาพร้อมเล่าให้ฟังว่าไอ้พี่เวรมันอยู่ที่ไทยแถมทำเรื่องให้น้องน้อยสุดที่รักของเขาอาการกำเริมอีก และด้วยความเป็นพี่ชายที่รักน้องดั่งดวงใจ เขาถึงจำต้องยอมจากสุดสวาทขาดใจรักของเขามายืนอยู่ที่นี้

           “เล่นอะไร ฉันแค่มาทำความรู้จักกับน้องเขยฉันต่างหาก”

           ทิมลอยหน้าลอยตาพูดไม่สนใจทำตัวเป็นสุภาพบุรุษไปชงช็อกโกแลตอุ่นๆมาให้สุภาพสตรีหนึ่งเดียวในห้องอย่างเอาใจเพื่อแก้ตัวที่จู่ๆลูกน้องของตนก็พามาทั้งชุดนอนแบบนี้

           “อย่ามาตอแหล ค่อยดูฉันจะโทรฟ้องเมียแก”

           คล้ายคำประกาศิตชี้เป็นชี้ตายที่หลุดออกจากปากของธาร ทำเอาคนที่ตัวไร้สาระเมื่อครู่ถึงกับต้องตาโตรีบผละออกจากทนายสาวรุ่นป้าตรงไปกอดคอเพื่อหวังเอาใจน้องชายสุดที่รักแทน

           “โอ๋ๆๆ ธารน้อยของพี่อย่าทำแบบนั้นเลยนะ ขื่นอนาสตาเซีนกับเฟยหลงรู้เรื่องเข้าเนี่ยพี่ชายคนนี้จะลำบากเอานะ”

           อนาสตาเซียนะไม่เท่าไรพอคุยกันได้แต่ถ้าเฟยเฟยของเขารู้เขามีหวังเขาได้ไปว่ายน้ำเล่นกับฉลามกลางมหาสมุทรแน่ๆ  แค่คิดขนอ่อนที่หลังคอก็ลุกแล้ว...... 

           อาการเหมือนเจอผีของพี่ชายต่างแม่ของเขาทำให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าอย่างธารสะเยาะยิ้มสะใจใส่ไอ้คนกลัวเมียข้างๆ  หน่อยกลัวเมียแต่ดันมีเมียถึงสองน่าหมั่นไส้ที่สุด

           “เรื่องของมึง!”

           ธารพูดทิ้งไว้แค่นั้นแล้วเดินหนีจากพี่ชายทันทีโดยไม่หันลับไปมองว่าอีกคนจะทำหน้าจะเป็นจะตายขนาดไหน  ก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆชิตรัตน์แล้วเริ่มพูดคุยถึงเรื่องเอกสารตรงหน้าและการดำเนินการทางกฎหมายต่อคุณหญิงทันทีอย่างไม่ให้เสียเวลา  จนกลายเป็นทิมเองที่อยู่ๆก็กลายเป็นคนนอกสายตาของคนทั้งสามไปโดยปริยาย

           “เท่าที่คุณชินเล่ามาป้าว่าป่านนี้คุณหญิงไม่หนีออกนอกประเทศไปแล้วหรอ”

            ทนายสาวใหญ่ออกความคิดเห็น หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่คนนั่งพูดคุยและลำดับความเชื่อมโยงของคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน  เรื่องฉ้อโกงนี้ก็ถือว่าหนักแล้วเจอคดีฆ่าคนตายเข้าไปอีก ติดคุกเป็นสิบๆปีบางทีอาจตลอดชีวิตเสียด้วยซ้ำ ยิ่งกับคนที่หยิ่งยโสอย่างคุณหญิงโฉมฉวีแล้วหล่อนเชื่อเลยว่าคุณหญิงไม่มีวันอยู่บ้านนอนสบายใจรอให้ตำรวจมาจับเป็นแน่ไม่หลบหนีไปต่างจังหวัดก็ออกนอกประเทศไปแล้ว

           “แต่กว่าจะทำเรื่องยื่นพาสปอร์ตมันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สักอาทิตย์หนึ่งผมว่าคุณหญิงยังน่าจะอยู่ในประเทศนี้ละ”

           ชิตรัตน์ออกความคิดเห็น เพราะเขาเองก็ต้องเดินทางเพื่อทำธุรกิจกับต่างชาติมาก็ไม่น้อยไหนจะเคยไปเรียนที่ต่างประเทศ การจะเดินทางข้ามไปมาระหว่างประเทศอยู่ๆคิดจะไปเลยก็ไม่ใช่ไหนจะขั้นตอนทางศุลกากรอีกละ ถึงจะมีเส้นสายก็คงต้องใช้เวลาเป็นวันเหมือนกันนั้นแหละ

           “ฮึฮึฮึ” 

           ในขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียดถกประเด็นกันอยู่นั้น  คนที่ไม่มีใครคุยด้วยมานานอย่างทิมก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีเล่ห์นัยออกมาเรียกให้คนทั้งสามที่นั่งรวมกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเขาหันมามองอย่างเสียไม่ได้  และจากวีรกรรมสุดเหวี่ยงหลุดโลกของพี่ใหญ่ของบ้านเอลเมอร์ซี่ที่ชิตรัตน์เพิ่งประสบพบเจอมาเมื่อกี่ชั่วโมงก่อน ทำให้เขากับธารที่เริ่มจะมีความคิดที่ตรงกันเป็นครั้งแรก พวกเขาหันมามองหน้ากันเองก่อนหันไปมองคนต้นเสียงที่ทำหน้าเหมือนกุมความลับสำคัญบางอย่างเอาไว้

           “คุณทิโมธีหัวเราะอะไรหรือคะ”  สุภาพสตรีหนึ่งเดียวในห้องกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

            “ขอละพี่ อย่าพูดในสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่เลยนะ”  ธารเริ่มวิตกกับคำตอบที่จะได้เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่เริ่มกุมขมับอย่างจำใจรอฟัง
           “ฮึฮึ นายคิดอะไรอยู่หรอน้องรัก” ทิมเล่นหูเล่นตาเย้าแหย่น้องชาย

           “เอาน่าอย่าทำหน้าเครียดกันอย่างนั้นสิ ฉันก็แค่ช่วยไม่ให้คนร้ายหนีไปต่างหาก อย่ามามองฉันในแง่ร้ายแบบนั้น”

           “แล้วไม่ทรายว่าคุณให้วิธีไหนหรอครับ”   อยู่ๆชิตรัตน์ก็รู้สึกเป็นห่วงแม่เลี้ยงของตอนขึ้นมาเสียดื้อๆ  ถึงยังไงก็เป็นคนที่ผูกพันกันมานาน จะเป็นห่วงก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร........

           “ก็วิธีเดียวกับคุณนั้นละมิสเตอร์ชิตรัตน์ แต่ผมทำเบาๆนะแค่ให้ลูกน้องไปรับตัวมาเองตอนนี้คงอยู่ห้องข้างๆนั้นล่ะมั้ง”

           คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ต่างจากที่คาดเอาไว้เท่าไรถึงจะรู้สึกเครียดกับความคิดและวิธีการของอีกฝ่ายแต่ก็คงต้องขอบคุณล่ะมั้งที่ทำให้ได้ตัวคุณหญิงมาไว้ใกล้ก่อนที่อีกคนจะหนีหายไปจนไม่สามารถนำตัวมารับโทษความผิดที่ก่อได้

           “ระวังคุณหญิงจะฟ้องคุณกลับข้อหาลับพาตัวและกักขังนะคะ” ทนายหญิงเตือนเสียงเข้ม

           “เอาน่าเขาฟ้องมาเราก็ฟ้องกลับสิไม่เห็นยากเลย”  ทิมหยักไหล่อย่างไม่แคร์กับเรื่องที่ถูกเตือน

           “งั้นเรื่องฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณหญิงผมคงต้องรบกวนคุณป้าแล้วละครับ เพราะคดีนี้เป็นคดีอุทลุมผมคงทำอะไรเองได้ไม่มาก คงต้องฝากให้คุณป้าจัดการแล้วละครับ”    ชิตรัตน์ละความสนใจในเรื่องที่ทิมสร้างก่อนหันไปคุยกับทางทนายแทน ซึ่งทางนั้นก็รับปากจะช่วยอย่างเต็มความสามารถ
 
           ทั้งสี่พูดคุยรายละเอียดในทางรูปคดีต่างๆที่มีคุณหญิงโฉมฉวีเป็นจำเลยจนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางจนสามารถเอาผิดคุณหญิงได้อย่างดิ้นไม่หลุด แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะถึงการยุติชิตรัตน์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างคนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญได้

           “ไหนละครับพยานที่คุณทิมบอกว่าเอาไว้มัดตัวคุณหญิง”    เขาแค่สงสัยเพราะตั้งแต่คุยกันมาทิมไม่เอ๋ยปากถึงพยานปริศนาคนนี้เลยสักครั้งเดียว จนเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพยานคนดั้งกล่าวจะมีตัวตนจริงๆดังที่อีกคนว่าหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำอุปโลกน์ของอีกคน

           “เดี๋ยวพอถึงเวลาก็รู้เองนั้นละ คนคนนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเราหรอก”   ทิมว่าสบายๆ ก่อนจะขอตัวกลับเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อนเป็นเชิงตัดบทการสนทนาครั้งนี้เสียดื้อๆ

           “พี่ชายคุณเป็นแบบนี้เสมอเลยหรือเปล่าครับ”   ธารไหวไหล่อย่างไม่อยากพูดให้กับคำถามของชิตรัตน์ ก่อนจะออกปากสั่งลูกน้องที่ยืนประจำการเป็นยักษ์เฝ้าประตูให้พาคุณป้าทนายกลับไปส่งที่บ้านเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะได้เดินทางไปที่สำนักงานตำรวจเพื่อแจ้งความและขอรื้อแฟ้มคดีเก่าขึ้นมาอีกครั้ง

           “แล้วคุณจะอยู่เฝ้าโรงแรมหรือจะกลับพร้อมผม”    ชิตรัตน์พยักหน้ารับรีบตอบรับคำชวนของธารแล้วเดินตามอีกฝ่ายออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เพราะจากเวลาที่ข้อมือที่บอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ไม่รู้ว่าปานนี้คนที่เขาเป็นห่วงจะเป็นยังไงบ้างยิ่งได้ยินจากธารบอกว่าเกลอยู่ๆก็อาการกำเริบแบบนี้เขาเองก็อดห่วงไม่ได้ขอกลับไปเจอสักหนึ่งชั่วโมงให้ชื้นใจก็ยังดี

......................................................................

     
   :m20:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 29- 20-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 20-02-2017 21:32:57

:m20:

   “พี่ชิน พี่ชินเป็นยังไงบ้างพี่ทิมไม่ได้ทำอะไรประหลาดๆใส่ใช่ไหม”
     
            เสียงร้องเรียกพร้อมร่างโปร่งบางของเกลที่พยายามวิ่งด้วยตัวเองมากอดชิตรัตน์ที่ยังไม่ทันจะได้เดินเข้ามาในห้องนอนให้เรียบร้อย บ่งบอกถึงความเป็นกังวลและความเป็นห่วงที่มีให้เป็นอย่างมาก จนคนถูกกอดอดที่จะรู้สึกดีไม่ได้ที่ได้เห็นความเป็นห่วงเป็นใยที่อีกฝ่ายมีให้

           “ไม่ครับ พี่ไม่เป็นอะไรแล้วนี้ทำไมเกลยังไม่นอนอีกจะตีสี่แล้วนะ”

           “ก็เกลเป็นห่วงพี่ชิน เกลนอนไม่หลับหรอก”

           ถ้าให้พูดคือเขายังไม่ได้นอนเลยต่างหากล่ะ การที่อยู่ดีๆคนรักของตัวเองไปอยู่กับพี่ชายคนโตที่มีความคิดยากที่จะเข้าใจได้แถมชอบทำอะไรประหลาดๆให้ได้ใจหายใจคว่ำได้ทุกสามวินาทีแบบนั้นเป็นใครใครก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา ขนาดว่าพลให้ยากินไปรอบหนึ่งแล้วเขายังผวาตื่นขึ้นมาได้ตลอดแบบนี้ สู่เขาถางตารอนอนพร้อมชิตรัตน์ที่เดียวให้แน่ใจว่าอีกคนจะกลับมาหาเขาอย่างปลอดภัยอย่างนี้ยังจะดีกว่า

           “แต่ตอนนี้พี่กลับมาแล้วไงครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนะ”   ชิตรัตน์ระบายรอยยิ้มออกมาแล้วเพิ่มแรงกระชับกอดอีกคนให้แน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองให้เรียบร้อย
 
           “พี่ชินจะไปไหนหรือเปล่าครับพรุ่งนี้”  เกลเอ๋ยถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นคนรักเดินออกจากห้องน้ำมา

           “ไปธุระนะครับ เกลมีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มว่าก่อนสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มข้างๆอีกคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนรออยู่ก่อนแล้ว

           “เกลแค่จะขอไปด้วย เกลไม่อยากอยู่คนเดียว” เจ้าตัวว่าพร้อมกอดแขนของอีกคนไว้ เขาไม่กล้าปล่อยชิตรัตน์ไปไหนคนเดียวอีกแล้ว เขาไม่ไว้ใจพี่ชายสติล้นของเขาเท่าไร

           “เกลจะเบื่อหรือเปล่า พี่ไม่ได้เข้าไปที่โรงแรมนะไปอยู่กับแก้วที่โรงพยาบาลแทนดีกว่าไหมอย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนคุยไง”  เกลส่ายหน้าที่ฝั่งอยู่ที่ไหล่กว้างของชิตรัตน์ไปมาอย่างไม่ยอม  เพราะรู้นี้ละว่าชิตรัตน์จะไปไหนเขาถึงอยากจะไปด้วย

           “แต่...”

           เกลมองหน้าชิตรัตน์อย่างตัดพ้อก่อนพลิกตัวหันหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายพร้อมกดสวิตช์ไฟตรงหัวนอนทันที ชิตรัตน์มองการกระทำแสนขี้งอนของคนข้างตัว

            ความจริงเขาอยากจะกลับบ้านมาเพื่อพักผ่อนไม่ได้อยากมาทะเลาะกับอีกคนเลย แต่จะให้เขาปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก็คงไม่ได้ในเมื่อเลือกจะอยู่ด้วยกันแล้วการที่ต่างคนต่างไม่เก็บเอาเรื่องที่ไม่พอใจกันเอาไว้นานๆไม่ยอมคุยกันหรือปรับความเข้าใจให้ได้เร็วๆยอมไม่ส่งผลดีต่อชีวิตครอบครัวแน่  ต่อให้ง่วงจนตาจะปิดยังไงชิตรัตน์ก็ต้องอดทนเอาไว้แล้วหันไปให้ความสนใจคนที่นอนหันหลังให้เขาแทนอย่างเสียไม่ได้

           “เกลครับ”

            เจ้าของชื่อยังคงนอนนิ่งทำเป็นไม่สนใจเสียงเรียกของชิตรัตน์ที่พยายามจะง้องอนตน   เรียกไปสักพักแต่เกลกลับยังไม่ยอมที่จะหันกลับมาคุยด้วยชิตรัตน์จึงตัดสินใจรวบเอาคนขี้งอนข้างกายเข้ามากอดไว้จากด้านหลัง

           “พี่ก็แค่ไม่อยากให้เกลเหนื่อยไปตะลอนๆกับพี่” ชิตรัตน์พยายามให้เหตุผลอย่างใจเย็น

           “...”

           “...”

           “...”

           “โอเคครับ ถ้าอยากไปก็ไป”

           สุดท้ายเขาก็ใจอ่อนยอมที่จะพาอีกคนไปด้วยอยู่ดี  เกลยกยิ้มกริมในใจกับคำตอบที่ตนพึ่งพอใจ ก่อนจะพลิกตัวหันกลับมามองหน้าคนรักในความมืด

           “เกลสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้พี่ชินเด็ดขาด”

           รอยยิ้มเล็กๆประดับบนใบหน้าสวยของอีกคนพร้อมขยับกายให้ชิดอีกคนมากขึ้นพร้อมกอดกายคนรักแน่นแทนคำสัญญาเมื่อครู่ที่ให้ไว้ ซึ่งชิตรัตน์ก็ไม่เอ๋ยอะไรมากไปกว่าการกอดตอบอีกคนในวงแขนแล้วเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยอ่อน
 
         
           เช้าวันนี้เริ่มขึ้นด้วยบรรยากาศแสนครื้นเครงเสียจนเสียงดังลอดออกมาจากโซนห้องอาหารมาถึงบันไดอย่างผิดวิสัย สร้างความแปลกใจให้กับคนที่กำลังก้าวลงบันไดงมาช้าๆด้วยสองขาของตัวเองถึงกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากที่ได้ยินอยู่นั้นคือเสียงของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของตน

           “คุณแม่!!”    เสียงร้องเรียกของเด็กชายวัยอนุบาลดังขึ้นอย่างตื่นเต้นระคมดีใจเมื่อหันไปเห็นคุณแม่คนสวยเดินทำหน้าสงสัยเข้ามาในห้องอาหาร
           “คุณแม่เดินได้แล้ว คุณลุงทิมดูสิครับคุณแม่ของเกรทเดินได้แล้ว”  ชื่อของอีกคนที่อยู่ร่วมโต๊ะอาหารของเด็กชายทำให้ข้อสงสัยเมื่อครู่ของเกลเป็นอันคลายลง เมื่อทันทีที่ละสายตาจากลูกชายตัวน้อยเงยขึ้นไปสบกับพี่ชายต่างมารดาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะที่นั่งทำตาโตมองมาทางตนอย่างตกใจจนกาแฟสีเข้มในแก้วใบหรูเกือบหก

           “Oh my god เกลลี่”

            ทิมรีบว่างแก้วกาแฟลงทันทีแล้วตรงปรี่เข้าหาน้องชายสุดที่รักอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งจับคนตัวเล็กกว่าหมุนไปมาหลายรอบพร้อมกับถามนู้นนี้นั้นจนเกลเองยังฟังไม่ทัน

           “พอแล้วๆ เกลเวียนหัว”

           “Oop sorry”  คนที่ออกอาการจนเกิดหน้าเกินตาเมื่อครู่รีบกล่าวขอโทษอีกคนทันทีก่อนจะอาสาพาคนที่เพิ่งเริ่มเดินเองไปนั่งที่เก้าอี้

           “แล้วพี่ทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านได้ละครับไหนพี่ธารบอกว่าพักที่โรงแรมยังไงละครับ แถมยังอยู่กับน้องเกรทอีก” เกลพูดพร้อมลูบไปที่หัวทุยของลูกชายที่ตอนนี้เกาะเขาจนติดเป็นลูกลิงไม่ยอมปล่อย

           “ก็มันเหงานิเวลาอยู่คนเดียว อีกอย่างพี่อยากมาเจอหน้าหลานชายแสนน่ารักของพี่ด้วยไง” ทิมว่าก่อนส่งยิ้มหวานกินใจส่งให้หลานชายที่ฉีกยิ้มกว้างตอบกลับเขามา อู้ย.. น่ารักอะไรเช่นนี้หลานลุง

           “แน่ใจหรอครับว่าแค่นั้น” เกลว่าดักทางเอาไว้อย่างจับผิด ก่อนเริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้า

           “คุณแม่ครับ แล้วคุณพ่อละครับยังไม่กลับหรอ”  เกรทถามขึ้นเมื่อมองไปรอบๆแล้วยังไม่พบใครอีกคนที่ถามถึง เมื่อคืนคุณพ่อก็ไม่เห็นเข้ามาหาเขาเลย...........

           “กลับมาแล้วครับ แต่ยังไม่ตื่นเลยเดี๋ยววันนี้น้องเกรทให้อาชาติไปส่งที่โรงเรียนนะครับ”

           เด็กชายพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มทานอาหารที่แม่ของเขาป้อนให้ต่อจากที่คุณลุงป้อนค้างเอาไว้ โดยไม่สนใจการสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสองบนโต๊ะอาหาร

           “แล้วธารละยังไม่ลงมาอีกหรอ”

           “เดี๋ยวก็คงลงมามั้งครับ เห็นว่าวันนี้ต้องไปรับคุณแก้วที่โรงบาลด้วย”

           ทิมขมวดคิ้วอย่างสงสัยกับชื่อที่ไม่คุ้นเคยในบทสนทนาเมื่อครู่ที่เรียกความอยากรู้อยากเห็นของคนที่ทำตัวอยากรู้ไปทุกเรื่องอย่างทิมได้ไม่อยาก

           “แก้วไหน ?”

           “ก็ที่น้องเคนเล่าให้ฟังไงครับ ว่าที่สะใภ้คนใหม่ของบ้านเราไง”

           “อ๋อ ที่ว่าเป็นเลขาของสามีเกลนะน่ะที่ท้องอยู่ใช่ไหม”  เกลพยักหน้ารับแทนคำตอบ ทำเอาคนถามเองถึงกับทำตาโตอย่างเหลือเชื่อกับข้อความที่ได้ยิน

           “แล้วทำไมต้องไปที่โรงบาลด้วยละ หรือว่าคลอดแล้ว”

           “ใช่ครับ ได้ลูกสาว”   ทิมทำหน้าปลื้มปริ่มยิ่งกว่าเดิมกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะหยิบมือถือส่วนตัวออกมากดข้อความบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บลงไปที่เดิม

           “คุ้มจริงๆที่มาไทยครั้งนี้ ดูสิได้เจอทั้งหลานชายแถมยังได้หลานสาวเพิ่ม งานนี้ต้องฉลอง”

           ทิมว่าอย่างตื่นเต้นจนเกลอดคิดไม่ได้ว่าถ้าปีแอร์หลุดมาร่วมวงสนทนากับทิมพี่ชายของเขาเนี้ยระดับความน่าปวดหัวขนาดไหน นี้นับว่าโชคดีบนความโชคร้ายของไรอันที่ตอนเช้าฝ่ายนั้นจะมีอาการแพ้ท้องหนักจนลุกไปไหนไม่ได้ทำให้คุณหมอเด็กโข่งประจำบ้านต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดขนาดที่ต้องยกถาดอาหารเข้าไปทานด้วยกันในห้อง เลยทำให้คู่นี้เขายังไม่ได้มาเจอกัน

           “เกรทไปแล้วนะครับคุณแม่ คุณลุงทิม” เกรทยกมือไหว้ลาคนทั้งสองที่ออกมาส่งตนขึ้นรถไปเรียน

           “รีบกลับนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นจะได้ไปรับน้องวีนัสกัน”

           เกลก้มลงพูดกับลูกชายที่ดูจะตื่นเต้นดีใจกับเรื่องของสมาชิกคนใหม่ของบ้านเป็นอย่างมาก ขนาดที่ก่อนไปยังหันมาทิ้งท้ายเอาไว้อีกว่าจะรีบกลับบ้านเร็วๆอีกต่างหาก
 
           “ลูกไปโรงเรียนแล้วหรอเกล”

           ชิตรัตน์ที่เพิ่งเดินลงบันไดมาพร้อมกับธารเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักกับพี่ชายตัวแสบของเจ้าตัวยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เกลหันกลับมาส่งยิ้มให้ชิตรัตน์พร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปหาอีกคน

           “อ้าว พี่ชินตื่นแล้วหรอครับไม่นอนต่ออีกหน่อยละยังไม่แปดโมงเลยนะ”  เกลว่าอย่างเป็นห่วงเพราะเมื่อคืนชิตรัตน์เพิ่งจะได้ตอนตอนฟ้าใกล้สางไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง หน้าตาขออีกคนจึงดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

           “ไม่ละ เดี๋ยวจะสายเอาแล้วนั้นคุณทิมเขาเป็นอะไรน่ะ”

           ชิตรัตน์ว่าปัดก่อนหันไปมองคนที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่กับคนรักที่เดินแยกตัวออกไปข้างนอกพร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือด้วยท่าทียากจะอธิบาย มันเหมือนเด็กที่กำลังโดนแม่ดูอยู่อย่างนั้น............................

           เกลกับธารมองตามหลังพี่ชายคนโตที่ยืนคอตกอยู่ด้านนอกอย่างขบขัน ก็เรื่องที่เจ้าตัวไปก่อเอาไว้เมื่อวานน่ะ มันดังไกลข้ามโลกไปถึงหูภรรยาสุดที่รักทั้งสองของเจ้าตัวโดยฝีมือของเกลที่ส่งเมล์ไปหาเมื่อเช้าเพื่อให้พี่สะใภ้ทั้งสองโทรมาปรับทัศนคติพี่ชายของเขาเสียหน่อย โทษฐานทำน้องชายคนนี้ร้อนใจ.....

           “อย่าไปสนใจเลยมันก็เป็นอย่างนี้ประจำแหละ” ธารตบบ่าชิตรัตน์เบาๆสองสามที่ก่อนจะเดินแยกไปทางห้องอาหาร แต่ก็ไม่วายหันกลับมาพูดกับเกล

           “ น้องเกลจะไปด้วยใช่ไหมครับไปแต่งตัวสิเดี๋ยวจะไม่ทันเอานะ”
 
           เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าที่ทุกคนจะจัดการธุระส่วนตัวต่างๆพร้อมด้วยเอกสารที่ทุกคนต่างมืออยู่ให้ครบสำหรับการไปทำธุระสำคัญในครั้งนี้  ที่มีใครอีกคนไปรออยู่ที่นั้นก่อนแล้ว

           “สวัสดีครับป้า รอนายไหมครับ”

           “ไม่น่าหรอกค่ะ แล้วนี้คุณไนติงเกลสินะคะ ยินดีที่ได้พบค่ะ”

           ชิตรัตน์รีบลงจากรถยกมือไหว้ทนายหญิงที่คุ้นเคยกันที่ออกมายืนรอรับพวกตนอยู่ที่หน้าศาลอาญา พร้อมกับคนรักที่วันนี้เลือกที่จะเดินด้วยตัวเองแทนการนั่งอยู่บนวีลแชร์เหมือนอย่างเช่นทุกครั้งจึงจำเป็นต้องให้มีคนค่อยพยุงเดินอยู่ตลอดเวลา

           เมื่อคืนพวกเขาตกลงกันไว้ว่าวันนี้จะเริ่มต้นที่ศาลอาญาเพื่อร้องขอต่อศาลให้ช่วยนำคดีความของวาดฟ้ากลับขึ้นมานำสืบใหม่อีกครั้งโดยมีการยื่นหลักฐานพร้อมขอเบิกพยานบุคคลเพิ่มเติมประกอบการนำสืบในครั้งนี้ซึ่งทางศาลเองก็ยอมรับเรื่องนี้เอาไว้พิจารณาก่อนและจะติดต่อไปอีกครั้งเพื่อนัดมาฟังข้อพิพาท

           พอเสร็จจากศาลอาญาแล้วชิตรัตน์ก็เดินทางไปยังสถานีตำรวจในท้องที่ใกล้เคียงเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับคุณหญิงในฐานะฉ้อโกงบริษัทและปลอมแปลงเอกสารการซื้อขายที่ดินและอีกหลายกระทงที่พวกเขาเจอโดยมีคนของทางวิวัฒน์พงษ์ที่เคยส่งข่าวภายในให้เมื่อครั้งก่อนมาเป็นพยานในครั้งนี้แม้จะไม่ประสงค์ออกนามก็ตาม  เลยทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ทันทีในช่วงเที่ยงของวัน
 
           “แล้วเรื่องของคุณหญิงละจะว่ายังไง คุณลับพาตัวเขามาขังเอาไว้แบบนี้เรื่องมันจะไม่โยงมาถึงเราหรือไง”

            ป้าทนายขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาตะลอนเดินสายเข้าออกศาลกับโรงพักกันมาตั้งแต่ช่วงเช้าจนค้อยบ่ายจึงได้กลับมาตั้งหลักพักเหนื่อยกันที่ห้องทำงานของชิตรัตน์ที่โรงแรม

           “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ ผมเคลียร์ทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว”

           ทิมว่าอย่างสบายใจพลางยืดเข่งยืดขาพาดโต๊ะกระจดตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์  ในเมื่อคนในเป็นใจช่วยให้เขาส่งคนเขาไปพาตัวคุณหญิงมาขนาดนี้ มีหรือเรื่องจะสาวมาถึงตัวเขาได้จริงไหม....

              “แกนี้มันจริงๆเลย”  ธารเองก็อดที่จะถลบออกมาอย่างปลงๆไม่ได้ หมอนี้มันเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่คนธรรมดาจะตามความคิดทันได้จริงๆ

           “แต่พี่ทิมบอกว่าพี่เอาคุณหญิงมาไว้ที่นี้ ถ้าเกิดว่าคุณหญิงคิดจะเอาเรื่องพี่ชินแทนขึ้นมาจะทำยังไงละครับ”

           เกลถามขึ้นอย่างมีกังวล เพราะสัญลักษณ์ของโรงแรมก็มีให้เห็นได้ทั่วไปและยิ่งกับคุณหญิงที่อยู่ที่นี้มานานมองแค่แป๊บเดียวก็คนรู้แล้วว่าที่นี้คือที่ไหน ถึงจะมั่นใจว่าคุณหญิงจะไม่ทำร้ายชิตรัตน์แต่เขาก็ไม่วางใจอยู่ดีว่าอีกคนจะไม่เอาเรื่อง

           “คือ...พี่โกหกนะ “

           แต่คำพูดของทิมที่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ นั้น ทำให้คนที่อยู่ในห้องหันมามองชายหนุ่มเป็นตาเดียวอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง โดยเฉพาะชิตรัตน์ที่ดูจะอึ้งหนักกับคำพูดนั้นของทิม

           “ไอ้ทิมแกเอาตัวยัยแม่มดนั่นไปไว้ที่ไหน”   ธารที่ดูจะหมดความอดทนกับพี่ชายของตัวเองมาที่สุดเป็นคนคว้าเข้าที่คอเสื้ออีกคนอย่างเอาเรื่อง

           “ใจเย็นสิ เดี๋ยวเสื้อพี่ก็ยับหมดหรอก”

           ทิมยิ้มแหย่พร้อมปัดมือของธารออกก่อนจะจัดมันให้เข้าทรงดีๆอีกครั้ง  แต่ก็ต้องหยุดชะงักกับสายตาที่เริ่มแสดงความไม่พอใจของน้องเล็กคนสวยที่เริ่มกดสายตามาทางเขาอย่างหนักจดเขาเองยังอดกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆไม่ได้

           “พี่เอาคุณหญิงไปไว้ที่ไหนครับ”

           ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทิมจะทนต่อสายตากดดันของเกลได้เลยสักครั้ง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวของตัวเองลงคอก่อนจะยอมบอกที่ซ้อนที่แท้จริงของคุณหญิงให้ทุกคนรู้

           “ท่าเรือขนส่งของบริษัท เอลเมอร์ซี่.....”

__________________________________________________________________________

ทักทายผู้คนตามสไตล์พี่ทิมคนหล่อสองเมียกันหน่อย
วันนี้วันของนางจริงๆ ลองสองตอนมีแต่นางทิมที่แย้วๆอยู่คนเดียวในขณะที่คนเขาเครียดกันหมด

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 29- 20-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 20-02-2017 21:34:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 29- 20-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-02-2017 00:34:00
ไม่รู้ว่าพ่อของพี่ชินแต่งงานกับคุณหญิงเพราะอะไรและมีคนรักอยู่ก่อนมั้ย แต่ก็น่าเห็นใจคุณหญิงนะว่าโดนผัวนอกใจไปมีชู้แล้วเล่นพามาเข้าบ้านพร้อมทั้งมีลูกแบบนี้ก็คงช้ำใจใช่เล่น แต่ก็ไม่รู้อีกแหล่ะว่านิสัยคุณหญิงแกร้ายแบบนี้หรือเปล่าผัวถึงนอกใจไปมีคนอื่นน่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 30- 22-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 22-02-2017 19:21:03
ฝนหยดที่ 30


  “ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ นี้!! ได้ยินที่พูดไหม! หูแตกกันหรือไงฉันบอกให้ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!!”

           เสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของคุณหญิงโฉมฉวีที่อาละวาดร้องสั่งให้คนที่อยู่ข้างนอกให้ปล่อยหล่อนออกจากตู้คอนเทนเนอร์ตู้หนึ่งที่ได้มีการนำมาดัดแปลงให้กลายมาเป็นห้องพักในแรงแรมขนาดย่อมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบเครื่อง ยกเว้นเสียแต่อิสรภาพของคนที่อยู่ในนั้นตอนนี้เท่านั้น

           หลังจากที่ถูกพาตัวออกมาจากบ้านมาจนถึงที่นี้ก็เป็นเวลาเกือบเย็นแล้ว ยิ่งระว่างทางที่อยู่บนรถหล่อนถูกปิดทั้งปากและตาทำให้ไม่สามารถมองเห็นเส้นทางที่ตนผ่านมาได้ บวกกับคนขับรักษาระดับการขับด้วยความเร็วที่คงที่ขนาดว่าซาเล้งเก่าๆยังขับแซงได้ ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ไกลจากเมืองหลวงมากเท่าไร  อีกทั้งพอมาถึงคนพวกนั้นก็จับหล่อนโยกเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูขังเอาไว้ทันทีไม่มีการพูดหรือบอกกล่าวอะไร จะมีก็แต่อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมเสื้อผ้าที่ใช้สำหรับเปลี่ยนผลัดเท่านั้น  แต่ถึงจะหยิ่งในศักดิ์ศรีและถือดีขนาดไหนแต่หล่อนก็ไม่โง่ขนาดที่จะยอมอดข้าวอดน้ำประท้วงหรอก ดีเสียอีกอย่างน้อยได้กินอิ่มนอนหลับจะได้เป็นการเพิ่มพลังงานที่จะเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ อย่างเช่นในตอนนี้เป็นต้น

           “หูแตกกันหรือยังไง ฉันบอกให้ปล่อยไงไม่หรือไงว่าฉันเป็นใคร ค่อยดูนะฉันออกไปได้เมื่อไรฉันจะลากคอพวกแกเข้าตารางให้หมด คอยดู!”

           แต่ถึงจะตะโกนให้ลำคออักเสบยังคนที่มีหน้าที่เฝ้าอยู่ข้างนอกนั้นก็หาได้ใส่ใจกับประโยคคำสั่งที่ไร้น้ำหนักนั้นอยู่แล้ว ออกแนวจะรำคาญเสียมากว่าด้วยซ้ำไป

           “เมื่อไหร่ป้าแกจะยอมเงียบสักทีเนี่ยตะโกนมาจะร่วมสองชั่วโมงแล้วนะ ไม่เหนื่อยหรือเจ็บคอบ้างหรือไง”

           ชายหนุ่มที่เคยเป็นหนึ่งในคนที่ไปหิ้วตัวคุณหญิงมาจากบ้านเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจที่ต้องมาเฝ้าตัวปล่อยมลพิษทางเสียงเคลื่อนที่แบบนี้ ที่ทำเอาเหล่าเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับเขากว่าสามชีวิตต้องหาที่ปิดหูมาช่วยบรรเทาอาการแสบแก้วหู

            “เออน่า เดี๋ยวพอป้าแกเหนื่อยเดี๋ยวก็หยุดไปเองนั้นละ เฮ้อ คิดผิดจริงๆที่หวังดีเอาน้ำเข้าไปให้เป็นแพ๊คป่านนี้ถึงไม่ยอมหุบปาก”

           ชายอีกคนว่าพรางส่ายหน้าอย่างละอา ก็เห็นว่ามีอายุแล้วใครมันจะคิดละว่าฤทธิ์จะเยอะเหมือนอายุขนาดนี้ ยิ่งคิดถึงตรงนี้แล้วอย่างจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆสักทีที่ดันเป็นคนดีไม่รู้เรื่องแบบนี้ ขื่นถ้าป้าแกยังไม่หยุดแหกปากไม่แน่ว่าเพื่อนผู้เงียบขรึมและขี้รำคาญอันดับหนึ่งของเขาเส้นความอดทนหมดเมื่อไรป้าแกจะไปลงไปว่ายน้ำเล่นกับปลาในอ่าวไทยแทนการไปนั่งคุยกับบอสเขาเสียนี่

           “เฮ้ยๆๆ เสียงเงียบไปแล้วเว้ย”

           หนุ่มคนแรกพูดขึ้นอย่างดีใจ พร้อมสะกิดเพื่อนรักที่คิดออกอ่าวไทยไปเมื่อครู่ให้ได้รู้ความ  ก่อนที่ทั้งสองจะถอนหายใจอยากโล่งอก แต่ก็เงียบไปเพียงไม่กี่อึดใจเสียงตะโกนก็ดังลอดออกมาให้ได้ยินอีกครั้งให้ปวดหัวเล่น จนคนขี้รำคาญถึงกลับต้องลุกเดินออกไปดูต้นทางข้างนอกแทนเพื่อเป็นการสงบจิตสงบใจตนเองไปในตัวด้วยเช่นกัน

           สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างหาที่พึ่งแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะต่อให้พวกตนสวมบทโหดเอามือทุบตู้เสียงดังเอาเท้าเตะให้ผนังยุบสุดท้ายคนในห้องก็ยังคงต่อปากต่อคำพวกเขาได้อย่างไม่มีหวาดเกรง ก็คงได้แต่หวังว่าคนเป็นนายจะรีบๆมาช่วยชีวิตพวกตนไวๆอย่างเดียวเท่านั้น............
 
           ไม่ใช่แค่สองหนุ่มผู้จ้องเผชิญชะตากรรมการร้องขอให้นายมาถึงที่ท่าเรืองขนส่งแห่งนี้โดยไว  ทางชิตรัตน์เองก็รีบเร่งที่จะไปถึงที่หมายให้ไวเช่นกัน ถึงจะเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากของตัดสัมพันธ์ฉันแม่ลูกเองแต่ความผูกพันที่มีให้กันมานานหลายสิบปีทำให้ลึกๆภายในใจของเขาแล้วก็ยังคงอดเป็นห่วงเป็นใยคนที่แสนร้ายกาจอย่างนั้นไม่ได้  อยากจะโทษความไม่เด็ดขาดของใจตัวเองที่ยังคงเป็นลูกที่ดีต่อบุพการีที่เลี้ยงตนมาจนหลายครั้งที่สุดท้ายแล้วกลับต้องเป็นตัวเขาเองที่เจ็บปวด

           “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ พี่ทิมน่ะไม่ทำอะไรคุณหญิงหรอก”

           เกลที่มองสีหน้าตึงเครียดของคนรักแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงต้องเอื้อมมือไปจับที่ไหล่กว้างของอีกคนเอาไว้แล้วบีบเบาพร้อมพูดเพื่อให้คลายกังวลลงแม้ว่าในใจยากจะคิดให้เป็นแบบที่พูดได้

           “นี้ ผมว่านะเอาเวลาที่คุณมาเป็นห่วงแม่เลี้ยงคุณน่ะมาเป็นห่วงพวกลูกน้องผมที่เฝ้าคุณหญิงอยู่จะดีกว่า เนี่ยลูกน้องผมที่อยู่คันข้างหลังส่งข้อความมาบอกให้ผมรีบๆไปเพราะคนที่ผมส่งไปเฝ้าแม่คุณดูท่าจะทนเสียแสนล้านปรอทไม่ไหวแล้ว”

           ทิมแย้งแล้วหยิบเอาข้อความเมื่อครู่ที่เพิ่งเข้ามาส่งให้คนทั้งสองดู แต่กลับไปรับสายตาไม่ค่อยพอใจกับการกระทำเมื่อครู่จากน้องชายเสียแทนจนต้องหันกลับมานั่งที่ตัวเองดีๆแทนการหันไปวุ่นวายกับชิตรัตน์ที่ไม่แม้จะปายตามามองตนเลยด้วยซ้ำไป

           “อย่าไปใส่ใจที่พี่ทิมพูดเลยนะครับ พี่เขาแค่ไม่อยากให้พี่ชินเครียดเท่านั้นเอง”

             เกลรีบแก้ต่างให้พี่ชายตัวเองพร้อมซบแก้มแนบกับต้นแขนของอีกคนที่แค่หันมายิ้มนิดๆให้ตนเพียงเล็กน้อยแล้วหันออกไปมองข้างทางแทน
 

           เกือบสองชั่วโมงรถยนต์คันโตพร้อมด้วยรถติดตามอีกสองคันก็มาจอดสนิทอยู่ที่หน้าทางเข้าโกดังเก็บของใจกลางท่าเรืองขนส่งของบริษัทสัญญาติอังกฤษ  ที่ตอนนี้มีชายต่างชาติสามคนที่คาดว่าน่าจะเป็นของทิมที่ให้เฝ้าคุณหญิงเอาไว้ออกมาตอนรับการมาถึงของพวกเขา ประตูรถคันใหญ่ถูกเปิดออกโดยชายหน้านิ่งที่เป็นหนึ่งในสามคนที่ออกมารับพวกเขาเมื่อครู่ประจวบเหมาะกับที่ผู้ติดตามทั้งสองคันรถออกมายืนพร้อมหน้าอยู่ด้านข้างรถเป็นที่เรียบร้อย

           “เป็นไงมั่งแขกของฉันอยู่สบายดีใช่ไหม”

           ทิมถามเสียงสบายผิดกับหน้าตาบ่อบุญไม่รับของลูกน้อง ที่ออกอาการคล้ายคนจะร้องไห้อยู่สองคน อยากฆ่าเจ้านายตัวเองอีกหนึ่งคนที่ส่งเขามาทำเรื่องบ้าบอแบบนี้

           “สบายมากครับ นี้ก็ตะโกนมาได้เกือบสองชั่วโมงแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยครับ”

            ทิมหัวเราะร่าขึ้นทันควันหลังได้ยินคำตอบของ เอริค น้องชายบุญธรรมของเขาที่ถูกเขาส่งมาคุมพวกลูกน้องอีกที จนธารอดไม่ได้ที่จะตบเขาที่ไหล่หนาของเอริคไม่ได้

           “เอาน่าอย่าคิดมากสิ อย่างน้อยก็สามารถบอกได้ว่าคุณหญิงแม่มดนั้นน่ะยังแข็งแรงพลังเหลือล้นขนาดไหน ป่ะ เข้าไปหากันดีกว่าเนอะ”

            ทิมอ้างพร้อมตัดบทเดินนำทุกคนเข้าไปด้านในโกดังแทนเพราะเขาเองก็ยังไม่อยากเห็นด้านมืดของชิตรัตน์เสียเท่าไร ก็ดูเอาสิจ้องเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อก็ขนาดนั้นเห็นอย่างนี้เขาก็ยังอยากมีชีวิตกับไปนอนกอดสองเมียรักที่นอนรอเขาอยู่ที่อังกฤษอยู่นะเออ

 
           ชิตรัตน์เดินตามหลังทิมและธารเข้ามายังด้านในโกดังที่ถูกดัดแปลงบางส่วนให้เป็นเหมือนห้องออฟฟิตขนาดกลางที่จุคนได้ประมาณสามสิบคนตรงด้านบนส่วนด้านล่างที่พวกเขายืนกันอยู่ตอนนี้เป็นพื้นที่โล่งๆที่มีตู้คอนเทนเนอร์วางเรียงกันอยู่หลายตู้ก่อนจะได้ความจากคนข้างกลายว่ามันถูกดัดแปลงให้เป็นห้องพักของพนักงานทีต้องอยู่เฝ้าของฝนโกดังเก็บของแห่งนี้ แต่ถึงจะมีตู้นอนอยู่หลายตู้แต่กลับมีตู้หนึ่งที่เรียกความสนใจจากพวกเขาได้มากที่สุดก็คนจะเห็นเป็นตู้คอนเทนเนอร์ตู้สุดท้ายที่อยู่เกือบถึงทางออกอีกด้านหนึ่งของโกดังแห่งนี้ที่ส่งเสียงพร้อมทุบตีเสียงดังจนไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป้าหมายที่พวกตนต้องการพบอยู่ที่ใด

 
           เกลมองท่าทีของคนรักที่ดูมีความประหม่าอยู่เล็กน้อยในสายตาที่สั่นไหวยามเมื่อใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเจอกับใครบางคนที่ยังไม่พร้อมเจอ  เขาก็พอเข้าใจถึงเหตุการณ์ของคนทั้งคู่อยู่ในระดับหนึ่งแต่เขาไม่ใช้คนที่อยู่ในฐานะจะพูดไปว่าตนไปรู้อะไรมาบ้างและไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะบอกได้เต็มปากว่าเข้าใจความรู้สึกที่อีกคนกำลังเก็บกักเอาไว้ลึกๆได้  เขาจึงเลือกที่จะเอื้อมมืออกไปกุมฝ่ามือหนาของอีกคนเอาไว้แทน โดยหวังว่าแรกใจเพียงเล็กน้อยที่ตนมีอยู่ตอนนี้จะพอช่วยให้ชิตรัตน์พอจะมีความกล้ามากขึ้นที่จะเจอหน้าคุณหญิงไม่มากก็น้อยและดูคล้ายว่าชิตรัตน์เองจะเข้าใจความหมายที่ถูกส่งผ่านมาจากมือที่กรอบกุมเขาเอาไว้ ชายหนุ่มจึงกระชับฝ่ามือข้างนั้นให้จับกันแน่นมากขึ้น

           “เกลจะอยู่ข้างๆพี่ชินเอง”

           ชิตรัตน์ยิ้มกับรับคำพูดที่ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่เขาที่กำลังเผชิญกับเรื่องนี้แม้ผลที่จะตามมาจากการมาเจอหน้าคุณหญิงในเรื่องนี้มันไม่ได้มีแต่เรื่องที่ดีเท่านั้นที่จะต้องเจอในอนาคตแต่เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับมัน

           “ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้ หูแตกกันหรือไง!”

             ยิ่งเดินเข้ามาใกล้เสียงที่คุ้นเคยของคนที่ถูกขังอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ดังชัดมากขึ้น  จนมีบางครั้งที่เกลเผลอสะดุ้งโหยงกับเสียงทุบตึงที่แสดงออกมา

           “ฉันว่ารีบๆเปิดประตูออกสักทีเถอะ จะได้คุยให้เสร็จๆเรื่องจะได้จบสักที” ธารว่าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าไรขณะก้มมองนาฬิกาข้อมือไปด้วย  นี้ก็ใกล้ได้เวลาไปรับแก้วกับลูกแล้วเขายังทำธุระไม่เสร็จสักที

           ทิมหันไปพยักหน้าส่งให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นคนเข้าไปปลดล็อกกุญแจที่คล้องอยู่ที่ด้ามจับประตูของตู้ให้เปิดออก  แล้วเดินนำเข้าไปข้างใน

           “พวกแกจับตัวฉันมาทำไม อ๋อ ฝีมือแกเองสินะไอ้เด็กเหลือขอ”

           คุณหญิงที่เขยิบตัวถอยห่างออกจากบานประตูที่เปิดออกตอนที่ผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่วางใจก่อนรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นหน้าตาของลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนเดินเข้ามาตามหลังหนุ่มแปลกหน้าที่ทำลอยหน้าลอยตาจนอดหมั่นไส้ไม่ได้พอจะพูดขอความช่วยเหลือพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครอีกคนที่เดินตามหลังลูกชายเขามาจนอดไม่ได้ที่จะทำเสียงเย้ยหยันขึ้นเมื่อเห็นว่าใคร

           เกลที่ถูกเรียกด้วยถ้อยคำดูเหยียดก็อดจะแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่คนพูดไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการที่ตนกระชับมือที่กุมอยู่กับชิตรัตน์ไว้ให้แน่นขึ้นเท่านั้นเพราะคนที่โต้ตอบกลับไปอย่าไงไม่พอใจกลับเป็นทิมและธานที่เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย

           “อ้าวๆ ป้า ทำไมพูดจาเป็นหมาเห่าแบบนี้ละครับ”

           ทิมว่าส่วนไปอย่างไม่พอใจที่อยู่ผู้หญิงตรงหน้าพูดจาดูถูกน้องชายคนเล็กที่เขาดูแลมาอย่างดีอย่างนี้ เช่นเดียวกับธารที่ยกมือขึ้นกอดอกไม่ชอบใจก่อนจะพูเสริมพี่ชายของตน

           “นั้นสิ เป็นถึงคุณหญิงแต่สมบัติผู้ดีนี้ไม่เคยอ่านหรือยังไงครับหรือวันๆใช้ชีวิตอยู่แต่กับแม่ค้าปากตลาด”

           “นี่พวกแก!!”

           คุณหญิงเองก็ตะคอกกลับอย่างไม่พอใจที่อยู่ๆโดนเด็กคราวลูกส่วนกลับเชิงสั่งสอนเช่นนี้ ชิตรัตน์ที่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่สักพักก็ออกตัวมาเป็นกรรมการห้ามศึกแทน

           “พอกันสักทีเถอะครับ เรามาคุยธุระกันแค่นั้น พอเสร็จแล้วคุณทิมก็จะพากลับไปส่งบ้านถูกไหมครับ”

           ด้วยความที่เขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างสงครามน้ำลายของทั้งสองฝ่าย ชิตรัตน์จึงต้องพูดจุดประสงค์ในครั้งนี้ออกไปพร้อมมัดมือชกให้อีกคนที่ละทิ้งหน้ากากคนอารมณ์ขันไปจนเหลือเพียงหน้าตาและอามรณ์ที่แท้จริงอย่างทิมที่จ้องมองคุณหญิงตาเขม็งด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง

           “แต่พวกมันจับตัวฉันมาแกต้องเขาข้างฉันสิตาชินฉันเป็นฝ่ายเสียหายนะ”

           “ก็ถ้าคุณไม่คิดหนีมีหรือที่ผมจะให้คนไปเอาตัวคุณมาขังไว้ที่นี้นะ”  ทิมส่วนขึ้นทันทีเมื่อคุณหญิงออกปากเรียกร้องความเห็นใจจากคนที่หล่อนไม่คิดจะตัดขาดความสัมพันธ์ด้วย

           “ที่ผมให้คนไปพาตัวคุณมาก็เพราะว่าคุณหญิงกำลังหนีความผิดซึ่งผมคงยอมไม่ได้” ทิมว่าพร้อมเดินไปนั่งลงที่โซฟาขนาดสามคนนั่งพร้อมยกมือพาดไปตามพนักพิงโดยที่สายตายยังไม่ยอมละไปจากตัวการเมื่อครู่

           “ใครว่าฉันจะหนี ฉัน ฉันแค่จะไปพักผ่อนที่ต่างประเทศเฉยๆ” หน่อยแก้ตัวน้ำขุ่นที่ทำให้คนฟังยังต้องส่ายหน้า

           “ตอแหลมาก” แต่คนปากไวอย่างทิมหรือจะปล่อยให้คำหลวงนั้นเป็นจริง

           คุณหญิงชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันทีเมื่อโดนส่วนกลับกลับมาเช่นนั้น แต่คนที่ยืนทนฟังมานานอย่างเกลเริ่มที่จะเบื่อหน่ายกับการโต้คารมไร้สาระพวกนี้เต็มทน เขาไม่อยากอยู่ในพื้นที่แคบๆหายใจเอาอากาศเข้าปอดร่วมกับผู้หญิงตรงหน้าเท่าไรนัก จึงใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่กระตุกชายเสื้อของธานให้รู้สึกตัวแล้วรีบๆทำเรื่องที่ค้าคาเอาไว้เสีย

           “ผมว่าเรารีบๆเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมต้องรีบไปรับเมียกับลูกอีก”  ธารที่เข้าใจความต้องการของน้องชายจึงเป็นฝ่ายออกปากพูดขึ้นโดยเอาเรื่องส่วนตัวขึ้นเป็นข้ออ้าง

           “หึ เด็กนั้นมันยังไม่ตายอีกเหรอ”

           แต่ดูเหมือนคุณหญิงจะยังไม่เข็ดหรือรู้สถานะของตัวเองที่ดันเอ่ยปากพูดจาแสนร้ายกาจแบบนั้นจนเส้นความอดทนของเกลที่มีอยู่น้อยนิดถึงกลับขาดสะบั้นลงปล่อยมือที่กุมอยู่กับชิตรัตน์ออกแล้วตรงเข้าไปฟาดฝ่ามือใส่ข้างแก้มของคนปากเสียอย่างแรงจนล้มลงไปกับพื้น
 
          เพี้ยะ !

           ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคนในห้องที่มองเหตุการณ์อยู่  เช่นเดียวกับคุณหญิงที่ลงไปนั่งกับพื้นก็ยังหันมามองเกลอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองเพราะคิดว่าอยู่ต่อหน้าชิตรัตน์แล้วเกลจะไม่กล้าที่จะทำอะไรตนแน่แต่หล่อนคิดผิด ความเจ็บที่ข้างแก้มทำให้หล่อนรู้ว่ามันคือเรื่องจริง

           “นี้แกกล้าตบฉันอย่างงั้นหรอฮะ!!”

            คุณหญิงตะโกนกร้าวพร้อมพยุงตัวลุกขึ้นหมายจะเอาคืนคนที่ตบหล่อนจนปากแตก  แต่มีหรือที่ลูกน้องจะปล่อยให้ใครที่ไหนเข้ามาทำร้ายเจ้านายตัวเองได้ ชายหนุ่มที่เป็นคนเปิดประตูเมื่อครู่รีบตรงเข้าไปรั้งตัวของคุณหญิงเอาไว้ทันที่เช่นเดียวกับชิตรัตน์ที่รีบวิ่งเข้าไปดันตัวคนรักหลบไปที่ด้านหลังของตัวเอง

           “พอได้แล้ว!!”

           และก็เป็นชิตรัตน์อีกครั้งที่เริ่มหมดความอดทน คราวนี้คุณหญิงยอมนิ่งเงียบแต่โดยดีไม่มีขัดอะไรไม่รู้เป็นเพราะตกใจกับเรื่องเมื่อครู่หรือเพราะคำพูดนั้นมาจากปากของชายหนุ่มเอง แต่ก็ถือว่าความวุ่นวายขนาดย่อมเมื่อครู่ยุติลงด้วยดี

           ชิตรัตน์โอบประคอมคนรักของตนให้มานั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆเมื่อเห็นว่ามือของอีกคนเริ่มที่จะสั่นจนยากจะคุมได้ ธารที่มองอยู่ไม่ไกลจึงสั่งให้ลูกน้องยืนประกบคุณหญิงเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของน้องน้อยที่รักของเขาทันที

           “เรามาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่าไหมครับ เสียเวลามามากพอแล้วรีบๆทำให้เสร็จก่อนที่ผมจะหมดความอดทนดีกว่านะ”

            คนที่อยู่ในโหมดจริงจังอย่างทิมพูดขึ้นพร้อมคำขู่ในตอนท้ายทำให้ทุกคนเริ่มหาที่นั่งลงเพื่อเริ่มการเจรจาในครั้งนี้เสียที  ทิมไม่ชอบความวุ่นวายและที่ไม่ชอบที่สุดคือการเห็นใครมาพูดจาไม่ดีใส่น้องหรือทำให้น้องเขากลัวอย่างตอนนี้   รีบๆคุยให้จบก่อนที่เขาจะหมดความอดทนส่งคุณหญิงประสาทเสียนี้ลงไปเป็นผีเฝ้าท่าเรือ

..............................................................

         
:serius2:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 30- 22-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 22-02-2017 19:21:38

:serius2:

   เมื่อทุกคนหาที่นั่งกันได้ครบแล้วและพร้อมที่จะเริ่มคุยกันเสียที ชิตรัตน์จึงหยิบเอาเอกสารต่างๆที่พวกเขารวบร่วมกันมาเอามาวางไว้ตรงหน้าของคุณหญิง ทีแรกหล่อนทำหน้าไม่รับรู้อะไรจนมาถึงเอกสารชุดสุดท้ายที่ถูกวางลงบนโต๊ะ ใบหน้าแสนเย้อหยิ่งเมื่อครู่พลันซีดเผือกอย่างเสียไม่ได้ จนต้องตะหวัดสายตามองคนที่หยิบมันมาวาง

           “ที่ผมจะคุยกับคุณคือเรื่องในเอกสารพวกนี้นี้แหละครับ” ชิตรัตน์เปิดประเด็น

           “ตอนนี้ผมได้ทำการแจ้งข้อหาคุณในฐานฉ้อโกงบริษัทและขโมยงานของบริษัทไปรวมถึงการที่เราไปขอให้มีการนำคดีของ คุณแม่ ผมกลับมาสืบใหม่อีกครั้ง”

           คำเรียกวาดฟ้าที่หล่อนได้ยินมันช่างเสียดแทงใจหล่อนมากกว่าการที่ได้ยินว่าลูกชายที่หล่อนเลี้ยงมากับมือแจ้งความดำเนินคดีกับตัวเธอเอง ถึงจะไม่เกินความคาดหมายที่คิดไว้แต่ก็ไม่อยากจะต้องมารับรู้ด้วยปากของชิตรัตน์เองแบบนี้แถมยังต่อหน้าคนที่หล่อนเกลียดแสนเกลียดนี้อีก

            คุณหญิงจ้องมองไปยังคนรักของชิตรัตน์ด้วยสายตาเครียดแค้นอย่างไม่คิดปิดบังยิ่งพออีกคนมองตอบเขามาด้วยสายตาที่ไม่เกรงกลัวนั้นด้วยแล้วมันยิ่งทำให้หล่อนแค้นฝั่งใจจนอยากลุกเข้าไปกระชากทั้งคู่ให้ออกจากกันแต่มันก็เป็นไปได้แค่ในความคิดเท่านั้นเมื่อความเป็นจริงแล้วหล่อนยังคงนั่งกำมือแน่นอยู่กับที่โดยมีชายสองคนยืนคุมอยู่ที่ด้านหลังจนแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ทำได้เพียงมองอย่างแค้นใจเท่านั้น

           “แต่คดีมันหมดอายุความไปแล้ว ต่อให้มีหลักฐานอะไรมาเพิ่มมันก็แค่นั้นแหละ”  คุณหญิงว่าอย่างใจเย็น ผิดกับในใจที่เริ่มเต้นระส่ำ

            “แต่หลักฐานที่ได้มาจากห้องของคุณมันก็มากพอที่จะทำคดีผ่านการพิจารณานำกลับมาสืบใหม่นะครับ” ธารว่า

              “แล้วยังไง”

           “ก็หมายความว่างานนี้คุณเตรียมตัวเข้าคุกได้เลยยังไงละ” ทิมว่าเยาะเย้ยพรางกระดิกปลายเท้าไปมาอย่างไม่แคร์มารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่

           “มีแค่เอกสารเก่าๆไม่กี่ใบคิดจะเอาผิดฉันได้อย่างงั้นนะหรอ เหอะ” คุณหญิงพูดพร้อมปล่อยเอกสารที่ตนถือมาดูเมื่อครู่ลงอย่างไม่แยแสกับเนื้อความข้างในที่ตนอุตส่าห์เก็บซ่อนมานานหลายปี

           “ก็ถ้ามันมีแค่เอกสารน่ะนะครับ” ทิมสะเยาะยิ้มมุมปากอย่างจงใจยั่ว ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อคนที่ทำเป็นไม่แคร์เมื่อครู่เริ่มหน้าถอดสีอีกครั้งและดูท่าคราวนี้จะซีดหนักกว่าเดิมเสียด้วย

           “หมายความว่ายังไงที่ว่า แค่ นะ”   น้ำเสียร้อนรนของคนพูดทำให้สามพี่น้องหันมามองหน้ากันเงียบๆพร้อมรอบยิ้มที่จุดขึ้นมานิดๆอย่างไม่ปกปิด

           “ก็หมายความตามที่พูดนั้นละครับ พอดีว่าพี่ชายผมเขามีพยานปากเอกตัวเป็นๆที่สามารถให้การได้ว่าคุณนะเป็นคนฆ่าคุณวาดฟ้าที่ถือว่าเป็นผู้รู้เห็นในการฉ้อโกงบริษัทเมื่อตอนนั้นไงละครับ” ธารว่า คราวนี้คุณหญิงยิ่งทำหน้าคิดหนักกว่าเดิมจนแทบจะคุมสติที่มีอยู่ไม่ได้

           “ยอมรับเสียเถอะครับว่าคดีนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่คุณตั้งใจฆ่าคุณแม่ผมจริงๆ” ชิตรัตน์พูดเสียงเบาโดยไม่ยอมมองหน้าคุณหญิงที่พยายามจะส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ได้รับ

           “ไม่จริงนะตาชินฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำจริงๆมันเป็นอุบัติเหตุ”

           “เลิกโกหกเถอะครับ ยอมรับเรื่องนี้เถอะครับเรื่องจะได้จบเสียที” ชิตรัตน์ว่าอย่างผิดหวังและหมดกำลังใจ ผิดกลับอีกคนที่ดูจะร้อนรนผิดปกติ

           “ฉันไม่ได้โกหกนะ “

           หล่อนว่าพร้อมลุกพรวดหมายจะเข้าไปหาชิตรัตน์แต่กลับถูกชายสองคนด้านหลังจับแขนรั้งเอาไว้ จนต้องออกแรงดิ้นขัดขื่นอย่างไม่พอใจปากก็พร่ำพูดแต่ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ

           “แล้วถ้าคุณหญิงบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุแล้วทำไมพยานที่เรามีถึงบอกว่าคุณเป็นคนตั้งใจฆ่าละครับ”

           คุณหญิงหันขวับไปตามเสียงพูดของคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เข้าห้องอย่างเกลอย่างเดือดดานใจกับคำพูดที่ยิ่งทำให้ตนยิ่งตกเป็นคนผิดในสายตาของชิตรัตน์

           “หุบปากเน่าๆของแกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” คุณหญิงตวาดใส่เกลอย่างไม่พอใจกับคำพูดนั้น ทำเอาพี่ชายทั้งสองของเกลออกท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

           “ผมว่าคุณหญิงพูดความจริงออกมาดีว่านะครับว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น เอาแต่บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุแบบนี้มีมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุจริงๆเราจะได้ขอยกเลิกการพิจารณาเรื่องที่จะเอาเรื่องนี้กลับมาสืบใหม่”

            เกลว่าอย่างใจเย็นขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายทั้งสองที่เริ่มแสดงความไม่พอใจจนเขากลัวว่าเรื่องะไม่เป็นไปตามแผนที่พวกเขาวางเอาไว้ ด้วยนิสัยใจร้อนของทั้งคู่เกลรู้ดียิ่งเป็นเรื่องของเขาด้วยแล้วมีหรือที่ทั้งคู่จะยอมอยู่เฉยๆให้ใครมาว่าน้องคนเล็กอย่างเขาต่อหน้าแบบนี้แล้วจะถูกปล่อยไปง่ายๆ  ไหนจะชิตรัตน์เองที่ถือว่าเป็นคนกลางที่ต้องหนักใจที่สุดในเรื่องนี้เขาอยากให้เรื่องนี้มันจบเร็วๆเพื่อพาทั้งตัวเองและคนรักออกให้ห่างจากแม่มดร้ายตรงหน้านี้เสียที

           “ฉันไม่เชื่อ!! พวกแกตั้งใจจะยัดข้อหาให้ฉันโดยเฉพาะแก นังเพศยาอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้แผนการของแกนะ แกตั้งใจที่จะเขี่ยออกจากชีวิตของตาชินใช่ไหม อย่าหวังเลยว่ามันจะเป็นจริง ตาชินไม่โง่หลงเชื่อคำโกหกของพวกแกหรอก”  คุณหญิงพูดอย่างคนรู้ทันอีกทั้งยังยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองต่อชิตรัตน์อีกครั้ง

           “แล้วความจริงมันเป็นแบบไหนกันละครับ” แต่กลับชะงักเพียงเพราะคำถามที่ออกมาจากปากของชิตรัตน์ที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆเกล

           “ถ้าคุณบอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆแล้วมันเป็นยังไงหรือครับ”

           เขามองหน้าคุณหญิงอย่างต้องการคำตอบ เขาต้องการได้ยินมันจากปากของคุณหญิงเองว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันเป็นยังไงกันแน่ถ้าอีกคนบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุจริงแล้วสิ่งที่เขาได้รู้มาละมันคือเรื่องหลอกหลวงใช่ไหม

           ขอแค่ว่าคุณหญิงยอมพูดเรื่องครั้งนั้นออกมาอีกครั้งเท่านั้นเขาเองก็อาจใจอ่อนขอยกเลิกการสอบสวนเรื่องนี้ก็เป็นได้แต่ทำไมกันละ ทำไมครางนี้คุณหญิงถึงเงียบไปไม่ตอบคำถามเขาเหมือนที่พยายามเถียงมาตลอดทำไมไม่พูดอะไรบ้างละ ขอเพียงแค่พูดออกมาเขาเองก็พร้อมยอมให้อภัยแท้ๆแต่ทำไมกันละ ทำไมถึงไม่ยอมพูดอะไรออกมา................

           ชิตรัตน์ตัดพ้อความคิดของตนเงียบโดยสื่อมันผ่านออกมาทางสายตายามที่มองท่าทีของคุณหญิงที่เลิกพยายามดิ้นหนีคนที่รั้งตัวเอาไว้แล้วกลับมานั่งนิ่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอีกทั้งยังมองสบตาเขากลับมาอย่างวิงวอนขอความเห็นใจอีกด้วย อาจเพราะอะไรบ้างอย่างที่เชื่อมผูกชิตรัตน์เอาไว้กับคุณหญิงมานานทำให้เขาพร้อมที่จะยอมให้อภัยคุณหญิงอีกครั้งหากเรื่องนี้มันเป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ

           และดูเหมือนว่าเกลจะเข้าใจความนัยที่ส่งผ่านไปทางสายตาของชิตรัตน์ที่ส่งไปยังคุณหญิงซึ่งนั้นคือสิ่งที่เขาไม่มีทางยอมได้แน่

            ชิตรัตน์เป็นคนขี้ใจอ่อนยิ่งกับคนที่เรียกแม่มาจนถึงตอนนี้ด้วนแล้วต่อให้โกรธให้เกลียดขนาดไหน เขาเชื่อว่าชายหนุ่มพร้อมที่จะให้อภัยอีกฝ่ายแน่ เขาไม่ยอมและไม่มีทางยอมให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นแน่ไม่งั้นแล้วความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเขามันสูญเปล่านะสิ ไม่ได้การ เขาไม่ยอม

           “พูดออกมาสิครับ ความจริงมันคือยังไงกัน” ชิตรัตน์พยายามแค้นถามอย่างไม่ยอมแพ้ จนกลายเป็นความกดดันให้คุณหญิงที่เริ่มพูดไม่ถูก

           “หรือว่าจริงๆแล้วคนที่โกหกเป็นตัวคุณหญิงเอง” ทิมแย้งขึ้นหลังจากที่เงียบดูสถานการณ์มานาน

           “ผมอ่านในเอกสารประวัติของคุณวาดฟ้าที่ได้มา ในนั้นเขียนว่าคุณวาดฟ้าเป็นภรรยาคนก่อนของสามีคุณในนั้นระบุว่าคุณที่เป็นอดีตคู่หมั่นในตอนนั้นไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก เพราะคุณต้องการที่จะได้แต่งงานกับคุณชินวุฒิเพื่อช่วยพยุงบริษัทของพ่อคุณแต่กลับโดนคุณวาดฟ้าชิงตัดหน้าไปเสียก่อน ผมว่าแค่นี้มันก็พอจะเป็นแรงจูงใจได้เหมือนกันนะ”

           “หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเอกสารฉบับนี้ที่คุณชิตรัตน์ได้มาจากตู้เซฟในห้องของคุณ เอกสารการยักยอดเงินสดของบริษัทจำนวนหลายสิบล้านเพื่อนำไปทำบริษัทเก่าของพ่อคุณให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ดูจากรอยที่อยู่บนกระดาษแล้วนี้น่าจะเป็นสาเหตุจริงๆที่คุณลงมือฆ่าคุณวาดฟ้า” ธานพูดเสริมขึ้นพร้อมยกเอกสารฉบับนั้นขึ้นมาให้ดู พร้อมชี้ไปที่รอยเลือดแห้งๆที่ติดอยู่ตรงมุมหนึ่งของระดาษ

           “หรืออาจเป็นเพราะเอกสารอันนี้เรื่องที่คุณแอบปลอมแปลงเอกสารสำคัญของโรงแรม เอ๋? หรือจะเป็นอันนี้กันน่ะ ธารแกช่วยพี่ดูหน่อยสิว่าใช่ไหม  มิสเตอร์ชิตรัตน์ก็ช่วยดูด้วยสิครับว่านี้ใช่รายเซ็นของพ่อคุณหรือเปล่า”

            ทิมยื่นเอกสารดังกล่าวไปให้ตรงหน้าชิตรัตน์ช้าๆเหมือนกำลังรออะไรบ้างอย่างอยู่ แล้วมันก็ได้ผลพอชิตรัตน์ทำท่าว่าจะเอื้อมมือมาหยิบเอกสารจากเขา คุณหญิงที่ทำนิ่งไปนานก็กระชากแย่งเอกสารนั้นไปจากเขาอย่างรวดเร็วพร้อมยังฉีกเอกสารนั้นต่อหน้าทุกคนและไม่ใช่แค่นั้นเอกสารต่างๆที่อยู่บนโต๊ะหล่อนก็คว้ามาฉีกจนคนคุมทั้งสองต้องเข้าล็อกตัวอีกครั้ง แต่เมื่อมือใช้ไม่ได้เท้าก็เอา หล่อนยกเท้าขึ้นมาทั้งถีบทั้งปัดเอกสารไปมาอย่างไม่ยอมแพ้ตนพวกเขาทั้งสี่ต้องลุกถอย

           “แม่” ชิตรัตน์เผลอเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนาเดิมอย่างตกใจในการกระทำ

           “ทำไม แกจะเรียกฉันทำไมฮะ?!”

             หล่อนว่าเสียงกร้าวอย่างคนขาดสติ ทำเอาคนที่เคยมีอดีตฝั่งใจอย่างเกลอดสะดุ้งตามเสียงไม่ได้จนชิตรัตน์ต้องรั้งตัวให้เข้ามาใกล้โดยโอบไหล่อีกคนไว้หลวมๆ

           “แพศยา ทั้งแกทั้งนังนั่นเพศยาเหมือนกันหมดนั่นแหละ หนอย ทำมาเป็นคนดีพูดจาเหมือนเข้าใจ ตอแหล !!”

           “คุณหญิง!” คนถูกเรียกสะดุ้งตามเมื่ออยู่ๆธารและทิมตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด

           “รับไม่ได้หรือไงที่ฉันพูดความจริง น้องพวกแกมันร่านคิดจะจับลูกชายฉัน”

            หล่อนว่าต่ออย่างไม่เกรงกลัวแถมยังยิ้มเหยียดยามที่มองไปทางชิตรัตน์ที่โอบกอดเกลไว้แน่นขึ้นอย่างเป็นห่วง  เมื่อเห็นท่าไม่ดีชิตรัตน์จึงพาหลบฉากออกไปจากสายตาของคุณหญิงที่ดูเหมือนคลุ้มคลั่งขึ้นมา

           “นังนั่นมันก็แย่งคุณวุฒิไปจากฉันมันก็สมควรแล้วที่จะตายน่ะ” เมื่อเห็นว่าชิตรัตน์ไม่อยู่ในสายตาแล้วหล่อนจึงพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

           “สรุปคุณเป็นคนฆ่าคุณวาดฟ้าจริงๆงั้นสิ” ธานพูดหยั่งเชิง

           “ใช่ นังนั่นมันสมควรตายแล้วสาระแน่ไม่เข้าเรื่อง แต่ก็ดีตายๆไปสะได้ดี ฮ่าฮ่าฮ่า”

           หล่อนยิ้มเหยียดกับสิ่งที่พูดออกไปพรางนึกสะใจกับภาพที่เห็นในวันนั้น ภาพของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาคนแรกและรักแรกของชินวุฒินอนตายอยู่ตรงหน้าเธอแค่คิดถึงตอนนั้นหล่อนก็สะใจอย่างหาที่สุดไม่ได้

           “ไหนคุณว่าเป็นแค่อุบัติเหตุไง” ทิมแกล้งถามออกมาพร้อมดูท่าทีของคุณหญิงที่ตอนนี้ดูจะไม่รู้ว่าโดนหลอกถามอยู่

           “ก็แค่ทำให้เป็นอุบัติเหตุไงละ ชนแล้วหนีใครๆก็ตามจับไม่ได้แล้วส่วนรถก็เอาไปปล่อยลงคลองใกล้ๆ หึ ตำรวจโง่ๆแบบนั้นจะทำอะไรฉันได้แค่บอกว่ารถโดนขโมยแค่นี้ก็เชื่อแล้ว”

           คำสารภาพที่หลุดออกจากปากของคุณหญิงมาง่ายๆ อย่างไม่มีใครคาด แต่ก็ไม่เกิดจากที่คิดเมื่อต้องอยู่ในสถานการกดดันเช่นนี้เป็นใครก็คงสติแตกหลุดคำพูดที่เก็บไว้ออกมา ยิ่งคนที่ความอดทนต่ำแบบนี้ด้วยแล้วจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะได้คำตอบมาง่ายๆแบบนี้

           “เอกสารเอาผิดก็ไม่มีแล้วคราวนี้พวกแกจะเอาผิดฉันยังไงล่ะ แค่คำพูดนะมันไม่มีน้ำหนักพอหรอกนะย่ะ”

            คุณหญิงว่าอย่างเป็นต่อ แต่มันก็ไม่ทำให้สีหน้าของสองพี่น้องตรงหน้าแย่ลงเลยแม้แต่น้อยกลับกันทิมยังส่งยิ้มเหมือนพอใจกลับมาให้ จนหล่อนเริ่มหวั่นใจ

           “ใครบอกละครับว่าไม่มี” ธานพูดขึ้น ก่อนจะหยิบเอกสารอีกชุดที่ไม่ได้นำออกมาจากกระเป๋าชูขึ้นให้คุณหญิงดู

           “นี้เป็นบันทึกประจำวันในวันที่เกิดเหตุ ต้องยอมรับว่าคุณนี้รอบคอบมาที่มาแจ้งความว่ารถโดนขโมย” ธานเอ่ยชม

           “แต่คุณดันพลาดอย่างหนึ่งตรงที่คิดว่าไม่มีพยานเหลือแล้วในวันนั้น”

           !!!

           “มะ มะ หมายความว่ายังไง” คุณหญิงว่าเสียงสั่นอย่างตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้รู้

           ธารมองเหยียดคนตรงหน้า ก่อนจะหยิบรูปบางอย่างที่เก็บเอาไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านในออกมาให้ดู  คุณหญิงเพ่งมองคนในรูปก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจอีกรอบหนึ่ง

           “คุณหญิงคงรู้จักคนในรูปนี้ดีสินะครับ”  ธารถาม ก่อนจะเก็บรูปเมื่อครู่กลับคืนมา

           “วีรกิตติ์....”

           “ครับ คุณวีรกิตติ์น้องชายต่างแม่ของคุณ ที่คุณใช้เป็นหุ่นเชิดแทนในการดำรงตำแหน่งประธานของวิวัฒน์พงษ์ไงครับ”

           ธารยิ้มกริมกับใบหน้าถอดสีของคุณหญิง นี้คงคิดไม่ถึงละสิว่าวีรกิตติ์จะเป็นคนเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบแบบนี้ คุณหญิงแกจะรู้บ้างไหมนะว่าน้องชายที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียดคนนี้จะเป็นคนที่พยายามปกป้องพี่สาวจากความผิดทั้งหมดนี้มาตลอด

           จากคำให้การของเขตทัพ ผู้ช่วยของวีรกิตติ์ที่เป็นสายให้กับเขารายงานมาให้ทำให้เขาสามารถหาข้อมูลภายในของบริษัทนั้นมาได้มากมายพร้อมกับสามารถกล่อมให้วีรกิตติ์ยอมเปิดปากบอกเรื่องทั้งหมดร่วมถึงรหัสตู้เซฟของคุณหญิงที่อยู่ในห้องนั้นได้

           “คราวนี้มีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือเปล่าครับคุณหญิง ถ้าพยานพูดเองแล้วศาลไม่ฟังพวกเรายังมีนี้อีกนะครับ”    ทิมว่าเสียงเรียบก่อนหยิบเครื่องบันทึกเสียงในรูปของปากกาที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อสูทตัวนอนออกมากดย่ำให้ฟังอีกครั้ง

          “สรุปคุณเป็นคนฆ่าคุณวาดฟ้าจริงๆงั้นสิ”

          “ใช่ นังนั่นมันสมควรตายแล้วสาระแน่ไม่เข้าเรื่อง............

           เสียงพูดที่ดังลอดมาจากเครื่องบันทึกเสียงขนาดพกพาทำเอาคนที่นิ่งค้างไปถึงกลับล้มลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง  คราวนี้นี้ต่อให้ไม่มีเอกสารที่จะเอาผิดหล่อนหรือคำให้การปากเปล่าของคนที่ยังเหลืออยู่หรือต่อให้ตำรวจบอกว่าคดีนี้ไม่มีทางนำกลับมาสืบใหม่ได้ แต่ถ้าคลิปเสียงนี้ถึงมือตำรวจแล้วละก็ยังไงเสียหล่อนก็คงดิ้นไม่หลุดถึงจะรอดจากคดีวาดฟ้าแต่คดีฉ้อโกงใช่ว่าหล่อนจะรอด หมดแล้วทุกอย่างที่ทำมา

            “ยอมรับความจริงสักทีเถอะ แล้วไปให้ปากคำสะ บางทีชิตรัตน์อาจใจอ่อนยอมยกฟ้องเรื่องที่คุณฉ้อโกงก็ได้”

           ธารพูดเหมือนปลอบใจก่อนจะสั่งให้ผู้คุมจำเป็นทั้งสองหิ้วปีกคุณหญิงขึ้นเพื่อนจะนำตัวออกจากห้องนี้เพื่อพากลับไปส่งบ้านที่เขาได้สั่งการให้คุณทนายป้าพาตำรวจไปรอรับอยู่ที่นั้นแล้ว

           ส่วนชิตรัตน์ที่พาเกลหลบออกมาก็ใช่ว่าจะไปไหนไกลพวกเขาอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของประตูตู้คอนเทนเนอร์เขารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในนั้นทั้งหมด อยากจะปฏิเสธความจริงที่ได้ยินแต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วคุณหญิงสารภาพออมาเองว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหล่อนเป็นคนทำเองทุกอย่าง

            “พี่ชินไหวไหมครับ”

           เมื่อคนที่เป็นที่พึ่งพิงเริ่มอ่อนแรงจนไม่อาจนิ่งเฉยได้ เกลที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของชิตรัตน์จึงตัดสินใจถามขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ข้างในเริ่มสงบลง

           “พี่ไม่รู้เกล พี่ไม่รู้”

           เกลมองใบหน้าคมของคนรักที่ก้มต่ำพร้อมส่ายไปมาอย่างคนหมดหนทาง ก่อนจะก้มลงซบลงบ่าของเขาอย่างหาที่พึ่งพิงจนเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลมใจให้อีกฝ่ายบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจนี้ที่ตนเองก็มีส่วนทำให้มันเกิดขึ้นมา

           ไม่ใช่ว่าเขาไม่เจ็บปวดใจยามที่ต้องเห็นชิตรัตน์เศร้าโศกและทุกข์ใจเช่นนี้แต่จะทำไงได้ละในเมื่อครั้งหนึ่งคนตรงหน้าที่เขารักหมดหัวใจนี้ก็เคยทำร้ายจิตใจดวงนี้ของเขามาก่อนและนี้คือการเอาคืน เอาคืนทั้งความทุกข์จนตรอมใจที่อีกฝ่ายหยิมยืนมาให้เขาแม้จะไม่เต็มใจ และเอาคืนคนรักที่ถูกแย่งไปจากแม่มดร้ายที่กำลังย่อยยับไม่เหลืออะไร

           เขายอมเห็นคนที่รักร้องไห้เจ็บปวดแทบขาดใจในวันนี้เพื่อที่วันพรุ่งนี้และตลอดไปชีวิตของพวกเขาจะไม่ต้องเจอกับคนที่ชื่อ โฉมฉวี อีก

            “จะยืนกอดกันอีกนานไหม รีบๆไปกันได้แล้ว”

           เสียงที่ดังขึ้นฝ่ากลางความเงียบของทั้งคู่ทำให้ชิตรัตน์ต้องรีบเช็ดน้ำตาที่รั้งหน่วงอยู่ที่ขอบตาให้หายไปก่อนจะหันมาเผชิญหน้าคนที่เพิ่งออกมาจากด้านใน

              “เรียบร้อยแล้วหรอครับ”

           “เออ” ธารขานรับเสียงห้วนก่อนเดินนำทุกคนไปยังทางรถยนต์ที่จอดรออยู่ไม่ไกล

           ทิมมองท่าทีของน้องชายคนรองก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ก็รู้อยู่แหละว่าอยากจะปลอบใจชิตรัตน์แต่เจ้าตัวดันเล่นใหญ่ทำเป็นโกรธทำเป็นเกลียดเขามาแต่ต้นขนาดนั้นแล้วอยู่ดีๆจะให้พูดดีด้วยเหมือนคนไม่เคยมีเรื่องหมางใจกันเลยแบบนั้นคงไม่ใช่

            ส่วนเขาเองเวลานี้จะให้ทำตัวบ้าบอพูดจาเห็นอกเห็นใจก็คงจะโดนน้องรักส่งสายตาร้ายกาจกลับมาให้เป็นแน่ เพราะงั้นเขาต้องรักษาภาพลักษณ์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในสายตาน้องเขยให้ดีที่สุดโดยการตบเขาที่บ่าอีกคนเบาๆสองสามทีเป็นการบอกนัยๆว่าไม่ต้องกังวลก่อนจะเดินตามหลังน้องชายอีกคนไป

           “ตาชิน”

            แต่เขาก็ยังไม่ทันเดินไปได้ไกลจนไม่ทันได้ยินเสียงของคุณหญิงที่เอ่ยเรียกลูกชายเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็นะคนหูผีแบบเขามีหรอจะไม่ได้ยิน

           เจ้าของชื่อชายตามองคนที่เรียกอยู่เพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นก็จะเบือนหน้าไปอีกทางแล้วเดินหนีไปไม่ยอมแม้จะพูดจาอะไร เพราะมันเจ็บเกินไปที่จะมองได้......

         
           ยิ่งชิตรัตน์แสดงท่าทางแบบนี้ออกมาให้คุณหญิงได้เห็นความเจ็บแปลบที่หัวใจก็แสดงออกมาจนอดไม่ได้ที่จะต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้  หล่อนไม่รู้ว่าความเจ็บที่ได้รับในตอนนี้เป็นผลมาจากความผิดปกติของหัวใจที่รอการผ่าตัดใหม่อีกครั้งหรือเป็นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากจิตใจยามที่เห็นคนที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจหันหลังให้ตนด้วยความผิดหวัง ไม่รู้เลยจริงๆว่ามันเป็นอย่างไหน หรือว่ามันจะเป็นทั้งสองอย่าง

           “หึหึหึ”

           เสียหัวเราะอย่างคนเย้ยหยันดังขึ้นเบาๆที่เหนือหัวของคุณหญิง ก็คงไม่ต้องเดาให้เสียเวลาหรอกว่าเสียหัวเราะเมื่อครู่นี้เป็นของใคร ถ้าไม่ใช่

           “หัวเราะอะไรของแก”

           เกลระบายยิ้มบางๆส่งให้คนที่ถามอย่างสมเพช เพราะสภาพของคนตรงหน้านี้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่จนตรอกหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างในชีวิต  เหมือนกับเขาในวันนั้น

           “รู้สึกเป็นยังไงบ้างหรือครับคุณหญิงเวลาตอนที่ไม่เหลือใคร มันรู้สึกเป็นยังไงหรอครับ”   แม้น้ำเสียงที่เอ่ยถามมาจะไม่ได้แสดงออกมาว่าซ้ำเติมหรือหาเรื่อง แต่สายตาที่แสดงออกมากลับตรงข้ามอย่างสิ้นชิง

           “นี้แก”

           คุณหญิงข่มกรามแน่นเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวว่า เรื่องทั้งหมดมีตัวการที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังและมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย

           “ความเจ็บปวดที่ไม่เหลือใครที่คุณยัดเหยียดให้ผมในวันนั้น ผมขอคืนมันทั้งหมดให้คุณในวันนี้และจากนี้เราอย่าได้เจอกันอีกเลย”

           เกลว่าเสียงขาดก่อนเดินตามพี่ชายและเข้าไปกอดแขนคนรักที่รอขึ้นรถอยู่ โดยไม่หันมามองดูเลยว่าหมาจนตรอกที่เหมือนพ่ายแพ้ลงแล้วมันเก็บความแค้นในใจที่ถูกซ้ำเติมเอาไว้ในอกเงียบๆและยอมเดินตามแรงดันของผู้คุมทั้งสองเข้ามาใกล้

           ช่วงจังหวะที่เดินเข้ามาใกล้กลุ่มคนที่เดินมาหยุดรออยู่ก่อนหน้านั้นสายตาของคุณหญิงก็เหลือบไปเห็บบางอย่าง บางอย่างที่จะทำให้หล่อนรอดพ้นจากบั้นปลายชีวิตเน่าๆและสามารถกำจัดมารชีวิตตัวที่สองในชีวิตของหล่อนออกไป ในเมื่อวาดฟ้าหล่อนยังกำจัดมาได้แล้วดับภาษาอะไรกับอีเด็กนั้น

              คุณหญิงให้ความได้เปรียบทางสรีระของผู้หญิงพุ่งตัวเข้าไปด้านหลังของการ์ดที่เดินตามหลังเกลอย่างรวดเร็วพร้อมฉกชิงบางสิ่งมาไว้ในมือโดยที่ไม่มีใครคาดคิด

               “อย่าอยู่เลยแก!!”

              “เกล!!!”

              ปัง!!!
 
______________________________________________________

อ้าวเห้ย!!!
จบแบบนี้เลยหรอ
คิดหนักจังเลยว่าจะลงตอนต่อไปวันนี้เลยดีไหม??
หรือจะปล่อยค้างเอาไว้ให้เพื่อนๆเดาเล่นว่าใครตาย เอ๊ย โดนยิงดี เอ๊ะๆๆๆ

ตอนนี้ดราม่าซีรี่ย์ในทวีสกำลังมันส์ขอตัวไปเกาะติดสถานการณ์ก่อนนะคะ
Twitter : wavery (https://twitter.com/PewTer2)

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 30- 22-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 22-02-2017 23:33:09
ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะตัวคุณหญิงเองนั่นแหล่ะ
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 31- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-02-2017 20:43:20
ฝนหยดที่ 31

 ไม่เจ็บ?

          ทำไมล่ะ ก็เมื่อกี้นี้...........................

          ถูกยิง ?

          ใช่แล้วเมื่อกี้นี้เขาจำได้ว่าคุณหญิงเล็งปลายกระบอกปืนมาทางเขานี่นะ แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยละ? ทำไมกัน..............................

 
           เหตุการณ์เมื่อครู่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ไม่ใครทันคาดคิดและไม่มีใครจะทำได้ระวังตัว เพราะไม่มีใครคิดว่าอยู่ดีๆคุณหญิงที่ดูเหมือนหมดอาลัยตายอยากตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องจะกล้าพุ่งตัวเข้ามาขโมยปืนที่เหน็บอยู่ที่ขอบกางเกงของบอดี้การ์ดที่อยู่ใกล้ตัวเอง จนเกิดเป็นเหตุความวุ่นวายขนาดย่อมเมื่อเป้านิ่งที่ถูกเลือกมานั้นคือคุณหนูเล็กของตระกูล

           “อย่าอยู่เลยแก!!”

เสียงตะโกนที่เหมือนเป็นสัญญาณว่าในอีกไม่ช้านี้เพชฌฆาตสีดำนี้กำลังจะฆาตชีวิตคนตรงหน้านี้

“เกล!!”

เสียงร้องพี่ชายทั้งสองที่เข้าไปนั่งรออยู่ในรถแล้วตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังจะเกิดขึ้นกับน้องชายผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเขา 

            เสียงปืนดังลั่นหนึ่งนัดดังแหวกอากาศฝ่าความตกใจของผู้คนโดยรอบบริเวณ ร่วมถึงคนที่ลั่นไกย์ปืนออกไปด้วย

          ปัง!!

           !!!

           เสียงลั่นไกลปืนที่ดังออกมาพร้อมกับควันร้อนจากปลายกระบอกเริ่มจางหายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความเงียบเพียงชั่วครู่ จนได้ยินเสียงบางสิ่งร่วงตกสู่พื้นคอนกรีตของท่าเรือขนส่งพร้อมกับความตื่นตกใจของผู้คน

           เมื่อกระบอกปืนสีดำที่ถูกหยิบฉวยมาเพื่อหวังปลิดชีพคู่แค้นที่ทำร้ายชีวิตตนกลับร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับร่างของมือปืนชั่วคราว เมื่อลูกตะกั่วที่อยากจะฝั่งมันลงร่างไร้วิญญาณของเกลกลับถูกฝั่งลงบนแผ่นหลังของใครอีกคนแทน

            “พี่ชิน!!”

            เกลประคองร่างของคนรักที่โถมกายเข้าหาตนอย่างคนไร้เรี่ยวแรงจนเขาที่รับน้ำหนักของอีกคนไม่ไหวถึงกลับล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้นอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อฝ่ามือที่ประคอมหลังของชิตรัตน์เปือกชื้นไปด้วยขงเหลวที่แดงฉานเต็มฝ่ามือ

           “พี่ชิน พี่ชิน”   เกลหวีดเรียกคนรักอย่างคนเริ่มคุมสติไม่อยู่ทั้งเรียกทั้งเขย่ากายหนาไปมาแต่อีกคนกลับแน่นิ่งไปจนเจ้าตัวเริ่มใจเสีย

             “ตาชิน!!!”

           เช่นเดียวกับคนที่ยิงลูกปืนออกไป เมื่อเห็นว่าคนที่ออกรับกระสุนจนแน่นิ่งไปคือลูกชายของตนเองคุณหญิงเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากคนเสียสติ พยายามตะเกียดตะกายไปตามพื้นเพื่อเข้าไปให้ถึงชิตรัตน์แต่ก็โดยการ์ดจับตัวเอาไว้เสียก่อน จนต้องดิ้นไปมาอย่างคนบ้าก่อนจะถูกทิมสั่งให้แยกตัวเอาไปไว้ที่รถอีกคันหนึ่งแทน

           “เลือดออกเยอะมาเลย รีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ” ธารว่าเสียงเครียดก่อนหันไปเรียกให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆให้มาช่วยพาอีกคนขึ้นรถ

           “ไม่ๆ จะเอาพี่ชินไปไหนอย่าเอาพี่ชินไปนะ!”

            แต่ดูเหมือนว่าคนที่เสียสติไปแล้วจริงๆจะเป็นเกลที่ตอนนี้ไม่ยอมแม้จะให้ใครเข้ามาใกล้หรือมันจับตัวของชิตรัตน์เลย  จนทิมต้องเข้ามารวบตัวน้องชายของตัวเองเอาไว้เพื่อให้ลูกน้องช่วยกันพยุงร่างของชิตรัตน์เข้าไปไว้ในรถได้สะดวก

           “น้องเกลใจเย็นๆนะ ไม่มีใครพาชิตรัตน์ไปไหนทั้งนั้นพี่แค่จะพาเขาไปหาหมอ”

           ธารพยายามพูดอย่างใจเย็นเมื่อเกลเริ่มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพยายามเบี่ยงตัวเพื่อเข้าไปหาชิตรัตน์ให้ได้ ร้อนถึงทิมที่ต้องเข้ามานั่งประกบเพื่อไม่ให้น้องชายเกิดอาการคลั่งไปมากกว่านี้ แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

            “ไม่จริง เกลจะไปหาพี่ชินปล่อยเกลนะพี่ธารพี่ทิมปล่อย” เกลพยายามบิดตัวออกจากแขนของธานที่พยายามรั้งตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ข้ามไปข้างหลังที่มีชิตรัตน์นั่งอยู่กับการ์ดอีกคนหนึ่ง

           “กะ เกล”

            เสียงแผ่วเบาจากริมฝีปากซีดอย่างคนขาดเลือดของชิตรัตน์เอ่ยเรียกชื่อคนรักออกมาทันทีที่เริ่มได้สติ  เกลที่พยายามดิ้นดึงอยู่เมื่อครู่พอได้ยินเสียของชิตรัตน์ก็เริ่มมีกำลังใจสะบัดตัวออกจากแขนของพี่ชายอย่างแรงจนหลุดแล้วรีบตรงเข้าไปหาชิตรัตน์ที่อยู่ข้างหลังทันที

           “พี่ชิน พี่ชินเป็นยังไงมั่งเจ็บมากไหม” เกลรีบถามอย่างรนรานพร้อมยกฝ่ามือของอีกฝ่ายขึ้นมาทาบกับแก้มของตัวเอง

           “พี่ไม่เป็นอะไร เกลละเจ็บตรงไหน ไหม”  เขานะไม่เจ็บอะไรเลยต่างหาก

           “เกลไม่เป็นอะไร”  พอได้ยินดังนั้นชิตรัตน์ก็ระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ

           “ดีแล้ว” ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้ง

           “พี่ชิน?”  คราวนี้ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากคนที่ไดรับบาดเจ็บอีกครั้ง

           “ไม่ๆๆ ไม่นะพี่ชินตื่นสิตื่นมาเดียวนี้นะ เกลบอกให้ตื่นไง พี่ชิน!!”

           เมื่อเห็นว่าชิตรัตน์นิ่งเงียบไป เกลก็รู้สึกรนรานมากกว่าปกติพยายามเขย่าร่างของอีกคนพร้อมเรียกชื่ออยู่หลายครั้ง จนเอริคที่นั่งอยู่ข้างชิตรัตน์รีบเข้ามาประคอมจับที่ไหล่คนที่เริ่มออกอาการคลุ้มคลั่งอีกครั้งเอาไว้แทน

            “คุณหนูใจเย็นๆครับ”

           “ไม่ เอริคปล่อยเดี๋ยวนี้นะ พี่ชิน อึก”

           “คุณหนู / เกล”

            กลายเป็นเกลอีกคนที่เป็นลมหมดสติจนเกือบร่วงไปนอนกับพื้นรถโชคดีที่เอริคการ์ดที่อยู่ด้านข้างรับตัวเอาไว้ได้แล้วพาขึ้นมานอนข้างๆชิตรัตน์

           “เหยียบให้มันไว้กว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ”

            ทิมหันไปเร่งให้คนขับขับให้ไวมาขึ้นกว่าเดินจนไม่สนแล้วว่ารถติดตามที่ขับตามมานั้นจะไล่ตามตนทันหรือไม่ ตอนนี้ความปลอดภัยของน้องเขาต้องมาก่อนค่าปรับที่ขับรถเร็วเกินกำหนดน่ะเอาไว้ก่อน

              เมื่อเจ้านายสั่งมีหรือลูกน้องจะกล้าขัดได้ เป็นคนขับรถของทิมมันต้องทำได้ทุกอย่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาต้องสวมวิญญาณนักขับตีผีปาดได้ปาดแซงได้แซงอะไรที่ทำแล้วโดนเพื่อนร่วมถนนด่าเขาทำหมดเลยทำให้รถคันโตสีดำมาถึงยังโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุดในเวลาเพียงแค่หนึ่งอึดใจพร้อมเสียงด่าไล่หลังอีกเป็นโขยงและไม่ใช่แค่คันของเขาเท่านั้นที่มาถึงได้อย่างรวกเร็วเพราะรถติดตามทั้งสองก็มาจอดถึงที่หมายในเวลาไม่ห่างกันมาก

           และด้วยความที่ขับมาด้วยความเร็วอย่างยิ่งเมื่อมาจอดสนิทอยู่หน้าทางเข้าของโรงพยาบาลเหล่าบุรุษพยาบาลและคนดูแลด้านนอกก็รีบเข้ามาดูว่ามีผู้บาดเจ็บอยู่หรือไม่

           “มีคนถูกยิงครับ”

            ทิมที่เป็นคนเปิดประตูออกร้องบอกให้บุรุษพยาบาลที่เข้ามารับรู้ก่อนจะหลบทางให้คนในชุดสองสามคนเข้ามาในรถแล้วช่วยกันนำตัวคนที่สาหัสลงมาพร้อมกับอีกหนึ่งคนที่สลบไม่ได้สติ

           ร่างของชิตรัตน์ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดด่วนพร้อมเครื่องช่วยหายใจแบบพกพา ส่วนเกลถูกแยกให้ไปยังห้องพักฟื้นอีกห้องหนึ่งพร้อมนายแพทย์อีกคนที่เข้ามาดูอาการโดยมีธารคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

           การผ่าตัดของชิตรัตน์ใช้เวลาอยู่นานมีพยาบาลเดินเข้าออกอยู่หลายครั้งทำเอาคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดรู้สึกผิดมายิ่งขึ้นจนกลายเป็นความเครียด

 
           คุณหญิงโฉมฉวีนั่งรอลูกชายที่ถูกหามเข้าห้องผ่าตัดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักไม่ใช่เพราะการ์ดที่เฝ้าอยู่ไม่ห่างหรือสายตาที่มองมาเป็นระยะอย่างกดดันของทิม แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ข้างในนั้นต่างหากที่เธอเป็นห่วง

           หล่อนไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ตอนนั้นหล่อนคิดแค่ว่าขอแค่กำจัดศัตรูให้ออกไปจากชีวิตได้แค่นั้นแล้วลูกชายของหล่อนก็จะกลับมาหาหล่อนเองอย่างแน่นอน  แต่ไม่คิดเลยว่าชิตรันตน์จะเข้ามารับกระสุนแทนจนอาการสาหัสขนาดนี้

           คุณหญิงยกมือสองข้างที่พลาดพลั้งจนเกือบปลิดชีวิตลูกชายขึ้นมาด้วยอาการสั่นเทา มือคู่นี้ที่ครั้งหนึ่งเคนโอบอุ้มค้ำชูชายหนุ่มมาตั้งแต่แบเบาะ แต่เมื่อไม่นานมานี้มันกลับเป็นมือคู่ที่กำลังพรากลมหายใจของอีกคนไป

           “มองมันให้ทะลุ ชิตรัตน์ก็ไม่หายขึ้นมาตอนนี้หรอก” คุณหญิงเงยหน้ามองคนที่พูดจาเชือกเชือนใส่ตนที่นั่งกอดอกมองอยู่ตรงข้าม

           “ทำอะไรโง่ๆ คิดว่าถ้าเกลตายแล้วลูกชายจะกลับมาหาคุณอย่างงั้นหรอ เหอะ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะคิดวิธีโง่ๆแบบนี้ออกมา”  ทิมยังคงพูดจาด้วยถ้อยคำร้ายกาจนั้นนออกมาอีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้าคนตรงหน้าเลยว่าจะแสดงสีหน้าแบบไหนยามที่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด

           “แล้วจะให้ฉันทำยังไง ก็เพราะมันนั้นแหละที่แย่งความรักของชิตรัตน์ไปจากฉันเพราะมัน มันแย่งลูกชายไปจากฉัน!”

           หล่อนตะโกนออกมาเสียงดังอย่างไม่แคร์เลยว่าที่ที่ตนอยู่ตอนนี้คือหน้าห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลสถานทีที่ต้องการความเงียบมากที่สุดในการช่วยเหลือชีวิตของผู้ป่วย เพราะในยามนี้หล่อนคิดอย่างเดียวคือขอแค่ได้ระบายความอัดอั้นในใจที่มีอยู่ออกมาแค่นั้น แค่ความอัดอั้นจากความคิดที่ตนมีขอแค่ได้พูดมันออกมา

           “ไม่มีใครแย่งความรักไปจากใครได้หรอกนะ คุณหญิง”

           !!

            “คุณเอาแต่บอกว่าทุกคนแย่งความรักไปจากคุณ แล้วคุณนะเคยเผื่อแผ่ความรักที่คุณมีอยู่ให้ใครบ้างหรือเปล่า”

           “แกหมายความว่าไง”   

           คุณหญิงถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่หนุ่มตรงหน้าพูดออกมา  แต่ทิมกลับหันหน้านี้ทำทีเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่อีกคนถาม

           “ฉันถามก็ตอบมาสิว่ามันหมายความว่ายังไง”

           คราวนี้ไม่ใช่เสียงตะคอกโฮกฮากเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นเสียงของคนที่เหมือนกับกำลังหลงทางและสับสน    แต่ถึงจะพยายามถามอีกฝ่ายอย่างไรทิมก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ยอมพูดจาอะไรที่จะเป็นคำตอบที่ทำให้หล่อนพึ่งพอใจเลย จนความสับสนเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจที่ไม่ได้รับคำตอบ ครั้งจะอยากกระแทรกเสียงใส่คนที่อายุน้อยกว่าบานประตูหน้าผ่าตัดก็เปิดออกพร้อมแสงไฟสีแดงที่ดับลง พร้อมกับร่างของคุณหมอผ่าตัดร่างท้วมใส่ชุดปลอดเชื้อสีเขียวเป็นผู้ที่เดินผลักบานประตูออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า  ทำให้คนที่ตั้งใจจะเค้นคำตอบของปริศนาคำของหนุ่มตรงหน้าต้องเบนเข็มความสนใจทั้งหมดของตนไปที่ผู้มาใหม่แทน

           “คุณหมอลูกชายดิฉันเป็นยังมั้งคะ”

          น้ำเสียงร้อนรนของญาติผู้บาดเจ็บที่เสนอตัวบอกความสัมพันธ์ที่มีต่อกันออกมาก่อนที่คนเป็นหมอจะได้ถาม   แต่เพราะความกังวลในน้ำเสียงของญาติผู้บาดเจ็บทำให้นายแพทย์มากประสบการณ์รู้สึกกดดันทุกครั้งที่ต้องออกมารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

           “คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”

           แม้คำที่ออกมาจากปากของคุณหมอจะทำให้ใครหลายคนที่หน้าห้องผ่าตัดรู้สึกโล่งใจกับข่าวดีที่ได้รับ แต่สีหน้าที่ยังไม่คลายความกังวลของคุณหมอทำให้คนที่โล่งใจไปเมื่อครู่เริ่มตีหน้าเครียดขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อยากคาดเดาว่าสีที่กำลังจะกล่าวออกมาจะเป็นเช่นไร

           “ทำไมคุณหมอทำหน้าแบบนั้นละคะ ไหนว่าลูกชายฉันไม่เป็นอะไรแล้วไง” คุณหญิงเริ่มลนลาน

           “ถึงเราทำการผ่าตัดเอากระสุดออกจากร่างกายของคนเจ็บได้แล้ว แต่เพราะกระสุนเข้าไปฝั่งอยู่ในจุดที่ถือได้ว่าเสี่ยงต่อชีวิตมากอีกทั้งคนเจ็บมาอาการเสียเลือดอย่างมากทำให้ต้องอยู่ดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องปลอดเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้ออีกสักระยะ ตอนนี้หมอคงบอกพวกคุณได้เท่านี้ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ”

           คุณหมอว่าจบก็เดินเบี่ยงตัวหลบออกไป ทิ้งเอาไว้เพียงญาติผู้ป่วยที่ไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงที่จะทรงตัวอยู่ได้ที่ทรุดล้มลงกับพื้นเย็นเฉียบของกระเบื้องสีขาวของโรงพยาบาล

           “ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ทำไม อ๊ายยยยยย!!” หล่อนกรีดร้องยกกำปั้นทุบลงที่พื้นอยู่หลายครั้งวนเวียนอยู่แบบนี้หลายครั้งอย่างไม่หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง

              ทิมมองการกระทำของคุณหญิงอย่างไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้อย่างไร จะพูดว่าสงสารมันก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีจะว่าสมเพชก็ดูแรงไป แต่ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นแล้วละในตอนนี้ แต่ที่คิดไม่ตกในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องของอาการชิตรัตน์ที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะบอกน้องของเขาให้รู้เรื่องนี้ยังไงดี  ทิมมองดูผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะเดินเลี่ยงจากภาพตรงหน้านี้เพื่อไปดูอาการของน้องที่นอนพักอยู่อีกห้องหนึ่งก่อนจะสั่งให้คนของตนอยู่เฝ้าแทน

           แต่ยังไม่ทันที่ทิมจะเดินไปถึงห้องที่น้องเกลของเขานอนพักอยู่เคนที่เขากำลังจะไปหากลับมาอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับคนติดตามที่เขาสั่งให้อยู่เฝ้าหน้าห้อง

           “ทำไมน้องถึงมาอยู่ตรงนี้ เอริคนายพาน้องออกมาทำไม”

           ทิมตรงเข้ามาถามอย่างร้อนใจ  แม้ทุกอย่างจะดูปกติดีแต่เพราะใบหน้าที่ยังคงซีดเซียวของคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นสีน้ำเงินของโรงพยาบาลทำให้คนเป็นพี่ชายอย่างเขาอดเป็นห่วงไม่ได้

           “อย่างไปว่าเอริคเลยครับ น้องขอให้เขาพาออกมาเอง” เกลตอบแทนคนที่อยู่ด้านหลังเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกตำหนิจากพี่ชายของเขา

           “แต่น้องควรพักต่ออีกสักหน่อยดูสิหน้ายังซีดอยู่เลย แล้วเจ้าธารมันไปไหนทำไมปล่อยน้องออกมาแบบนี้ได้”

           ทิมเริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้งอีกครั้งเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบแม่แต่เงาของน้องชายคนรองที่รับอาสาจะอยู่ดูแลเกลให้เสียดิบดีแต่ดันหายไปเสียนี้

           “พี่ธารต้องไปรับคุณแก้วกับลูกที่โรงพยาบาลนะครับเกลเลยฝากให้ไปรับน้องเกรทที่โรงเรียนด้วยเลยเดี๋ยวก็คงกลับมาเย็นๆนู้นละครับ”

           เกลตอบคำถามพี่ชายอีกครั้งก่อนจะขอให้ทิมช่วยพาไปหาชิตรัตน์ แต่ชายหนุ่มผู้พี่กลับมีทีท่าไม่ค่อยมั่นใจเสียเท่าไรที่จะพาน้องเข้าไปหาจนแสดงอาการลุกลี้ลุกลนออกมา

           “มีคนมาบอกน้องเรื่องอาการของพี่ชินแล้วละครับ นะครับพี่ทิมพาน้องไปหาพี่ชินทีแค่เห็นหน้าก็ยังดี”

            เกลเอื้อมมือออกไปจับมือของพี่ชายเอาไว้พร้อมแววตาขอร้องอย่างน่าสงสารจนทิมไม่อาจปฏิเสธได้จึงต้องจำใจยอมพาน้องไปยังด้านหน้าของห้องปลอดเชื้อที่มีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว

           เกลมองคุณหญิงที่ยืนเอามือแนบกับกระจกบานใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างด้านนอกกับห้องพักฟื้นพิเศษเขตปลอดเชื้อที่มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมด้วยสายต่างๆที่พาดผ่านร่างกายรวมทั้งเครื่องช่วยหายใจขนาดเล็กที่วางอยู่เหนือริมฝีปาก

           “ให้ทุกคนออกไปก่อนได้ไหมครับ น้องมีเรื่องอยากคุยับคุณหญิงหน่อย”  เขาว่าเสียงนิ่งโดยที่สายตาไม่ละไปจากตัวต้นเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

           “แต่..”

           เกลชายตากลับมามองพี่ชายคนโตนิ่งๆอีกครั้งก่อนพยุงตัวขึ้นจากรถเข็นของทางโรงพยาบาลเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ถึงความต้องการที่แน่ชัดของตนเอง  ซึ่งทิมเองก็ไม่กล้าที่จะขัดใจขัดความต้องการของน้องชายได้จะโทษก็คงต้องโทษพวกเขานี้แหละที่ตามใจน้องคนเล็กมากเสียจนตัวเองไม่กล้าขัดใจอีกฝ่ายไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่อะไร

           เกลยืนนิ่งรอจนทิมและพวกเดินออกไปจากบริเวณนั้นจนหมดและรอจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครเดินมายังบริเวณที่ตอนอยู่รวมทั้งสอดส่องดูตำแหน่งของกล้องวงจรปิดที่อาจซ้อนอยู่ตามบริเวณนี้จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีจึงได้เดินเข้าใกล้จุดที่คุณหญิงยืนอยู่  ก่อนเว้นนะยะห่างเอาไว้แล้วหันหน้ามองไปยังคนรักที่นอนอยู่ตรงหน้า

           “คุณมันฆาตกร”

           !!!

           คนที่ถูกสบประมาทหันขวับไปยังผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจด้วยสายตาที่มากไปด้วยความอาฆาตและชิงชัง แต่เกลกลับไม่สะทบสะท้านต่อสายตาที่อีกคนส่งมาให้ กลับหันไปสบตาตอบด้วยแววตานิ่งเรียบแทน

           “คุณมันฆาตกร” เขาแน่ย้ำค้ำพูดนี้อีกครั้งให้อีกคนได้ยินชัดๆก่อนจะหันกลับมามองชิตรัตน์ใหม่อีกครั้ง

           “เพราะแกนั่นแหละที่ทำให้ลูกชายฉันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีแกสักคนลูกฉันก็ไม่ต้องมานอนเป็นผักแบบนี้หรอก!”

           หล่อนตวาดเสียงดังลั่นอย่างเจ็บแค้น ถ้าไม่มีมันสักคนชิตรัตน์ที่น่ารักของเขาก็ไม่ต้องมาทำร้ายจิตใจหล่อนแบบนี้ไม่ต้องมาเจ็บเจียนตายแบบนี้มุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันเป็นเพราะไอ้เด็กเหลือขอนี้ทั้งหมด เป็นเพราะมันคนเดียว!!

           เกลได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดคำพูดกับคำพิพากษาที่อีกคนพิพาทเขาอย่างเห็นแก่ตัว จนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่เคยยอมรับความจริงอะไรสักอย่างจริงๆ

           “เพราะแก ฮึก เพราะแกคนเดียว”

           และสิ่งหนึ่งที่เกลเองก็ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะได้มาเห็นมัน น้ำตาของแม่มดร้ายที่กำลังไหลอย่างไม่อาจปกปิดได้ แต่ขอล่ะนะอย่าใช้มันมาเป็นเครื่องขอความเห็นใจเลยเขาไม่มีให้หรอกนะ

           “ร้องไห้เป็นด้วยหรอครับ” เขาถามในสิ่งที่คิด

           “คนเลือดเย็นที่ฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกผิดเนี่ยร้องไห้เป็นด้วยหรือครับ”

           “ฉันก็คนนะ หัวใจฉันก็มีลูกชายฉันจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าแกจะให้ฉันยิ้มมีความสุขหรือไง” คุณหญิงว่ากลับอย่างขุ่นมัวใจ

           “งั้นหรอครับ แล้วคุณไม่คิดมั่งหรือไงว่าคนอื่นเขาก็มีหัวใจเหมือนกัน”

           “....”

           “คุณเคยคิดมั่งไหมว่าจะมีใครต้องเจ็บต้องเสียใจกับสิ่งที่คุณทำไปมั่งคุณเคยรู้บ้างไหม” เกลเริ่มเสียงสั่นอย่างข่มอารมณ์ที่มี แต่คุณหญิงกลับเอาแต่เงียบและก้มหน้านิ่ง

           “หึ คุณมันไม่เคยเห็นหัวใครเลยนอกจากตัวเองคุณมันเห็นแก่ตัว”  เขาย้ำ

           “....”

           “คุณคงอยากให้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นผมแทนที่จะเป็นพี่ชินสินะ”  เกลยิ้มเยาะเมื่อแค่มองสายตาของคุณหญิงก็เหมือนว่าตนสามรถอ่านความคิดของอีกคนได้

           “ใช่ ถ้าเป็นแกที่ตายเรื่องทุกอย่างมันก็จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีแกตาชินก็จะไม่มีวันทิ้งฉันไป”

           “ไม่ทิ้งงั้นหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า”

           เกลหัวเราะออกมาอย่างกับว่าเรื่องที่เขาพูดทวนเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก จนทำให้คุณหญิงต้องมองอย่างไม่เข้าใจว่ามันมีเรื่องอะไรให้น่าขำนักหนา

           “ขำอะไรของแกไอ้เด็กบ้า” หล่อนว่าอย่างหัวเสีย

           “ก็ขำคนที่เงาหัวยังไม่มีแต่ก็ยังพยายามยืดคออยู่น่ะสิครับ”

           “นี่แก!”

           “คุณหญิงคิดจริงหรือครับว่าแค่กำจัดผมออกไปพี่ชินจะกลับมาเป็นลูกชายที่น่ารักของคุณอยู่อีกน่ะ”

           “....”

           “ลองคิดดูเล็นๆนะครับถ้าวันนี้คนที่โดนยิงเป็นผมตามที่คุณตั้งใจไว้จริง ตอนนี้คุณคิดว่าพี่ชินจะเดินเข้ามาหาคุณแล้วบอกว่า ยอดเยี่ยมที่สุดครับ อย่างงั้นหรอ”  เกลลองเชิงถามเสียงเหยียด

           “...”

           “เงียบทำไมละครับทำไมไม่ตอบละ หรือเพราะว่าคำตอนที่รู้ดีอยู่ในใจมันพูดออกมาแล้วเสียหน้ากันล่ะครับ”

           หล่อนมองหน้าคนถามตาขวาง ใช่ เพราะสิ่งที่เกลพูดมันเป็นความจริงถ้าตอนนี้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นไอ้เด็กนี้ และตรงนี้เป็นชิตรัตน์ล่ะก็ หล่อนคงโดนสายตาตัดพ้อและเจ็บปวดของอีกคนส่งมาให้ทิ่มแทงใจเล่นอย่างแน่นอน เพราะอะไรทำไมหล่อนถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

           “คุณมันรักแต่ตัวเองคุณหญิง คุณมันไม่เคยรักใครจริงขนาดคนที่คุณบอกว่ารักนักรักหนาคุณยังทำให้เขาเกือบตาย มันก็สมควรแล้วนิที่คุณมันจะต้องไม่เหลือใคร”

            เกลว่าทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้ แต่เพราะเสียงจากคุณหญิงที่ยังคงดึงดันในความถูกแบบผิดๆของตัวเองเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน

           “ที่ฉันไม่เหลือใครมันก็เพราะพวกแกนั้นแหละที่เป็นคนแย่งไป พวกแกทุกคนมันก็แค่พวกขี้อิจฉาเห็นฉันได้ดีเลยคิดจะแย่งไปใช่ไหมล่ะ เหอะ ฉันไม่ยอมหรอก!!”

           เกลส่ายหน้าอย่างละอากับความสมองน้อยคิดได้แค่เรื่องของตัวเองแบบนี้อย่างสมเพชเวทนา จึงต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับคุณหญิงใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาที่จ้องมองมายังคนตรงหน้ามีแต่คำว่าดูถูกและสมเพชอย่างมาที่มีให้อีกคน

           “ไม่มีใครแย่งของของคุณหรอกนะคุณหญิง มันมีแต่คุณนั้นแหละที่ผลักไสพวกเขาออกมาจากชีวิตคุณน่ะ”

           !!

     
  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 31- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-02-2017 20:43:42
:monkeysad:

    “เรื่องของคุณวาดฟ้าผมจะไม่ของพูดอะไรเพราะเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของผมมันเกิดขึ้นนานแล้ว แต่ที่ผมจะพูดมันคือเรื่องระหว่างงผมกับคุณและพี่ชิน”

           เกลเว้นระยะไว้แค่นั้นก่อนสาวเท้าเข้ามาใกล้คุณหญิงจนกลายเป็นว่าตอนนี้พวกเขายืนประชิดกันในระยะใกล้ ไม่มีความเกรงกลัวจากเกลออกมาให้เห็นเหมือนเวลาปกติจนทำให้ตัวคุณหญิงเองกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกว่าขนอ่อนทั่วลำตัวลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุยาวที่เด็กคนนี้เดินเข้ามาใกล้

           “คุณคิดว่าผมแย่งพี่ชินมาจากคุณงั้นหรอ ?”

           “...”           

           “ผมจะบอกให้นะ พี่ชินนะเขารักคุณมากมากพอที่จะทำให้เขากล้าทำร้ายจิตใจของผมโดยแลกกับการที่จะมีคุณเป็นแม่ของเขาอยู่กับเขาบนโลกใบนี้ต่อ”

           !!!

           “ทำหน้าตกใจทำไมครับ อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้วนะว่าเคยทำอะไรไว้อย่าให้ผมต้องพูดเรื่อเก่าๆของเราเลยครับผมยังไม่อยากเป็นฆาตกรเหมือนกับคุณตอนนี้ “

           “แกต้องการจะพูดอะไรกันแน่”

           คุณหญิงมีท่าทีสับสนอย่างเห็นได้ชัดยามที่คำพูดพวกนั้นออกมาจากปากของเกล แต่หล่อนเลือกที่จะปิดหูปิดตาทั้งทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกถึงความหมายที่อีกคนต้องการสื่อ

           “พี่ชินรักและเลือกคุณมากกว่าที่จะเลือกผมในตอนนั้น แต่ก็เพราะคุณมันไม่รู้จักพอไงคุณถึงไม่เคยรู้เลยว่าความที่พี่ชินมีให้แม่เลวๆแบบคุณมันมีมากขนาดไหนคุณถึงได้ผลักไสความรู้สึกดีๆที่เขามีให้คุณทิ้งโดยการทำร้ายจิตใจของเขาสารพัดเพียงเพราะคุณคิดว่าผมกำลังจะแย่งความรักของคุณไป  น่าสงสารจริงๆคุณหญิง ทั้งชีวิตนี้คุณเคยได้รู้จักความรักบ้างหรือเปล่าครับ?”

           !!

           คนฟังถึงกลับสะอึกจะพูดอะไรไม่ออกยามที่ถูกถามคำถามที่จี้ใจแบบนี้  ความรักสำหรับหล่อนคืออะไรกันแน่หล่อนเองก็ยังไม่สามรถตอบได้ สำหรับคนที่มีทุกอย่างมากมายพออยากได้อะไรก็ต้องได้แต่พอเบื่อแล้วก็โยนทิ้งแล้วความรักสำหรับคุณหญิงโฉมฉวีคืออะไร หล่อนไม่รู้ แต่ถ้าความรักของคนที่ชื่อโฉมฉวีแล้ว คงพอตอบได้ว่าคือทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อหลอมออกมาจนเป็นชิตรัตน์ในวันนี้

           “ถ้าคุณหญิงรู้จักความรักคุณหญิงก็จะรู้ว่าความรักที่พี่ชินมีต่อคุณกับที่มีต่อผมมันไม่เหมือนกัน สำหรับคุณแล้วความรักของคุณช่วยสร้างชีวิตให้กับเขาทำให้เขาเป็นเขาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับผมผมเป็นจิตใจอีกครึ่งที่เข้ามาเติมเต็มให้เข้าก้าวต่อไปได้ เขาไม่มีวันละทิ้งผู้ให้ชีวิตเขาได้คุณเข้าใจไหม”

           คุณหญิงก้มหน้ารับฟังสิ่งที่เกลพูดอย่างเงียบๆพร้อมหยดน้ำตาใสที่ล้วงหลนลงพื้นกระเบื้องขาวหลายหยด เหมือนคนคิดได้เมื่อสายไป

           “ถ้าคุณรู้จักความรักคุณจะรู้จักแบ่งปันความรักที่มีให้คนอื่นด้วย”

           !!

           หล่อนเบิกตากว้างก่อนค่อยๆเงยหน้ามองเกลช้าๆ อย่างไม่เชื่อหู นี่น่ะเหรอคำตอบของปริศนาคำที่พี่ชายของอีกคนพูดทิ้งท้ายเอาไว้ไม่ยอมตอบ

           เพราะเขาไม่รู้จักคำว่ารักใช่ไหมเคนถึงไม่เคยได้รับความรักจากใคร แต่พอหล่อนให้ความรักกับชิตรัตน์จนอีกคนยอมมอบความรักตอบกลับมากลับเป็นหล่อนเสียเองที่ผลักไสความรักนั้นออกไปจนเกิดเป็นรอบร้าวในใจ

           หล่อนทำร้ายลูกชายที่หล่อนรักเองกับมือ หล่อนทำให้ลูกชายไม่มีความสุข เพราะหล่อนโง่เขลาในความรักที่มีลูกชายหล่อนถึงต้องมามีชะตากรรมที่น่าสงสารเช่นนี้

           คุณหญิงโฉมฉวีค่อยๆหันหน้ากลับไปหาลูกชายอีกครั้งก่อนจะวางฝ่ามือประกบเข้ากับกระจกตรงตำแหน่งหน้าของชิตรัตน์ที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องลูบเบาๆพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายก่อนที่ร่างอรชรนั้นจะทรุดตัวลงกับพื้นที่แสนเย็นเฉียบเหมือนหัวใจที่ว่างเปล่าของตน

           “แม่ขอโทษตาชิน ฮึก แม่ขอโทษ”  เสียงสะอื้นร่ำไห้ของคุณหญิงดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ

           เกลยืนนิ่งมองคุณหญิงที่สะอื้นอยู่กับพื้นอย่างเฉยชาก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งยองๆอยู่ข้างๆก่อนจะหยิบบางสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าที่ตนใช้คุมกายตั้งออกมาจากห้องพักฟื้นมาวางไว้ที่ตักของคนที่หมดสิ้น

           “อยากแก้ตัวใหม่ไหมละครับ” เกลกระซิบเบาๆที่ข้างหูพอให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน

           “...”

           “ใช้สิ่งนี้ ชดใช้ในสิ่งที่คุณทำไว้กับทุกคนสะ เพื่อพี่ชินคุณทำได้หรือเปล่า ?”
 
           ปืนเล็กแบบพกพาสำหรับผู้หญิงถูกวางลงบนพื้นตรงหน้าของคุณหญิงที่ยังคงก้มหน้ามองพื้นไม่พูดไม่จากเหมือนกับว่ากำลังจมอยู่กับความคิดของตนที่หลั่งไหลอยู่มากมายในหัวจนไม่อาจรับรู้ได้ว่ารอบกายมีสิ่งได้เคลื่อนไหวไปบ้าง

“โชคดีนะครับคุณหญิง คิดให้ดีๆก่อนที่จะทำอะไรลงไป”

เกลเอ่ยคำอวยพรทิ้งท้ายนี้เอาไว้ก่อนจะลุกขึ้นหันไปมองเตียงที่มีร่างของคนรักนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยรอบยิ้มก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้เพื่อให้เวลากับคนที่ยังจิตใจล่องลอยได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอยู่ตรงนั้นคนเดียว   เกลก้าวเดินออกไปตามทางเดินที่ทอดยาวก่อนจะหยุดลงเมื่อเห็นร่างของพี่ชายคนโตยืนนิ่งรอเขาอยู่ตรงทางแยกที่เขาเดินออกมา

“คุยกันเสร็จแล้วหรอครับ”

เกลยิ้มบางๆให้แทนคำตอบก่อนที่หางตาจะไปสะดุดกับชายในเครื่องแบบตำรวจสามคนที่ยืนคุยอยู่กับคุณหมอที่ทำการผ่าตัดให้ชิตรัตน์เมื่อครู่ จนเผลอมองอย่างใคร่รู้ในคำตอบ

“ตำรวจมาเพื่อขอสอบเรื่องที่มีเหตุยิงกันที่ท่าเรื่องของเรานั้นแหละ”

ทิมที่มองตามสายตาของน้องชายไปเป็นคนตอบข้อสงสัยนี้ให้แทน มีคนโดนยิงมาขนาดนี้ทางโรงพยาบาลคงจะเป็นคนโทรตามตำรวจจากสน.ใกล้ๆนี้มา

           “ครับ แล้วน้องต้องให้การด้วยหรือเปล่า”   เขาถามอย่างสงสัยเพราะถ้าตำรวจมาถึงนี้แล้วแสดงว่าทิมและลูกน้องก็ต้องโดนสอบสอนเพื่อให้การด้วยเหมือนกัน

           “ก็นะ พี่กับคนอื่นๆก็เพิ่งให้การเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง”เขาพยักหน้ารับ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งจะเดินเข้ามาตรงทางที่เขายืนอยู่

           “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่คุณไนติงเกลใช่หรือเปล่าครับ”

           “ครับ” เขาขานรับ

           “ผมจะขอรบกวนขอเวลาคุณสักครู่ได้หรือไม่ครับ พอดีเราต้องการทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมเสียหน่อยนะครับ”

           เจ้าหน้าที่วัยกลางคนเอ่ยอย่างสุภาพ ซึ่งเกลเองก็ไม่ได้มีอะไรต้องปกปิดจึงรับปากที่จะร่วมให้การในครั้งแต่ พอกำลังจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อที่จะได้เริ่มการสอบปากคำ ก็พลันเกิดเสียงที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้ยินมันในโรงพยาบาลดังขึ้น

              ปัง!!

             เสียงที่ดังมาจากทางที่เกลเพิ่งเดินจากมาเรียกความสนใจและตื่นตัวเจ้าเหล่าบอดี้การ์ดที่ลุกหน้าเข้ามาเอาตัวบังเจ้านายทั้งสองเอาไว้อย่างรวดเร็วร่วมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทีรีบชักปืนที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมาอย่างเตรียมพร้อม พร้อมส่งสัญญาณให้กันเพื่อเดินเข้าไปยังสถานที่เป็นจุดเกิดเสียงเมื่อครู่อย่างระแวดระวัง ประจวบเหมาะกันเวลาที่ตำรวจกำลังเข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุเสียงของนางพยาบาลที่คาดมาน่าจะออกมาดูเหตุการณ์ก็ดังขึ้น

              “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!!”

              ทำให้นายตำรวจรีบวิ่งเข้าไปเร็วกว่าเดิมด้วยกลัวอาจมีผู้ได้รับอันตราย แต่พอไปถึงกับต้องหยุดชะงักกันทันทีไม่เว้นแม้แต่พวกของทิมที่วิ่งตามหลังเข้ามาด้วย

           ภาพที่อยู่ตรงสุดท้างเดินที่เลยจากห้องกระจกที่ชิตรัตน์นอนพักฟื้นอยู่ปรากฏร่างไร้วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาจากบริเวณศีรษะเช่นเดียวกับผนังที่มีรอยสาดกระเด็นของเลือดเปื้อนติดอยู่ส่วนที่มือด้านขวามีปืนพกกระบอกหนึ่งตกอยู่ไม่ไกล เป็นภาพที่ชวนสังเวชใจให้แก่คนที่มองดูอย่างทิมจนต้องดึงน้องชายเอามากอดเพื่อไม่ให้มองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า

           นายตำรวจเข้าไปตรวจสอบสภาพร่างของคุณหญิงโฉมฉวีที่ทำการปลิดชีพตัวเองลงก่อนจะขอให้พวกเขาออกไปจากที่เกิดเหตุนี้พร้อมนางพยาบาลสาวที่ถึงกับเข่าอ่อนเดินไม่ไหวจนถึงพึ่งพาคนของทิมให้ช่วยประคองเดินออกไปแล้วตามหน่อยฉุกเฉินเข้ามานำร่างของคุณหญิงออกไป
 

           ทิมพาน้องชายกลับมายังห้องพักที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้เมื่อตอนมาถึง  ทิมจัดการสั่งคนของตัวเองให้ออกไปรอข้างนอกและบางส่วนให้แยกออกไปรอรับพวกธานที่กำลังเดินทางมายังทีนี้และหน้าห้องพักฟื้นของชิตรัตน์เพื่อที่ว่าหากรู้สึกตัวแล้วจะได้มารายงานได้ทันท้วงที

           “เป็นไงมั่งเกล”

           ทิมเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องกันหมดแล้ว คนบนเตียงส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ ทิมมองท่าทางของน้องคนเล็กเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปรินน้ำใส่แก้วให้อีคนรับไปดื่ม

           “พี่ไม่รู้นะว่าเราไปคุยอะไรกับคุณหญิงเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ แต่ถ้าชิตรัตน์ตื่นขึ้นมาน้องจะตอบเรื่องนี้ยังไง”

           พี่ชายคนโตว่าเสียงจริงจัง เพราะยังไงเสียข่าวการตายของคุณหญิงก็ต้องเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งแน่ถ้าชิตรัตน์รู้เรื่องเขาน้องของเขาจะตอบคนรักว่ายังไง

           “ก็ตอบตามจริงสิครับ”  เกลพูดขึ้นหลังจิบน้ำเข้าเข้าปากไปเหมือนคนที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร หากแต่ว่ามือข้างที่ถือแก้วน้ำเอาไว้นั้นกลับสั่นจนสังเกตเห็นได้ชัด

           “ยังไงพวกนักข่าวก็จะลงข่าวตามที่เราได้ให้การกับตำรวจไปแล้วเอามาโยงกับเรื่องการฆ่าตัวตายนี้อีก ยังไงเราก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้วละครับ” เจ้าตัวว่าอย่างใจเย็นแล้วค่อยๆจิบน้ำที่อยู่ในแก้วใสต่อจนหมดแล้วนำไปวางคืนที่โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย

           “มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าเรื่องมันจะไม่สาวมาถึงตัวเกลที่เป็นคนเอาปืนไปให้น่ะ”

           ทิมหรี่ตามองน้องชายอย่างจับผิด แต่ว่าคนโดนมองกลับทำทีเป็นไม่สนใจสายตานั้นพร้อมยังพูดเหมือนนั้นไม่ใช่ความผิดของตนทั้งที่มือทั้งสองข้างของเขาเองกำชายผ้าห่มเอาไว้แน่น

           “ปืนกระบอกนั้นเป็นปืนของคุณหญิงเอง เขาจะพกติดตัวมาด้วยก็ไม่เห็นแปลกอะไรนิครับ”

           “แต่ตอนที่พี่ไปเอาตัวคุณหญิงมาปืนกระบอกนี้มันไม่ได้อยู่กับตัวคุณหญิงนะ”    ทิมพูดดัก ในเมื่อมันไม่ได้อยู่ที่ตัวของคุณหญิงมาแต่แรกแบบนี้การที่อยู่ดีๆมันมาอยู่ที่นี้ได้ต้องเป็นเพราะมีใครจงใจเอามันมาไว้ที่นี้ต่างหาก

           “แล้วยังไงหรอครับ ในเมื่อคนที่ตัดสินใจในตอนนั้นคือคุณหญิงไม่ใช่น้อง ต่อให้ใครจะว่าน้องว่าเลวว่าชั่วยังไงก็ได้แต่น้องจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายครอบครัวของน้องอีกแล้ว พี่ทิมเข้าใจที่น้องพูดใช่ไหมครับ”

           เข้าใจสิ เข้าใจดีเลย เขาเองก็มีครอบครัวแล้วเหมือนกันยิ่งในฐานะหัวหน้าครอบครัวแล้วเขามีหน้าที่ปกป้องลูกเมียไม่ให้ใครมาทำอันตรายได้แถมเมียก็มีตั้งสองคนไหนจะลูกอีกสามแล้วไหนนะใรอนาคตที่ไม่รู้จะมีอีกกี่คนนั้นอีก หน้าที่ของเขามันเยอะและใหญ่หลวงยิ่งกว่าน้องเขามาก และเขาเองก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่เคยมีบาดแผลในใจกับการโดนพรากครอบครัวไปต่อหน้าและต้องการที่จะได้ครอบครัวกลับคืนมาแบบนี้เขาก็พอเข้าใจ แต่ที่คิดไม่ถึงคือการที่น้องของเขาบีบให้ตัวการของเรื่องต้องฆ่าตัวตายแบบนี้

           “พี่ให้การกับตำรวจไปว่ามาคุยกับคุณหญิงเรื่องคดีความ”

           “...”

           “เดี๋ยวพี่ไปบอกตำรวจเพิ่มให้แล้วกันว่าคุณหญิงพกปืนมาเพื่อป้องกันตัว”

           ในเมื่อเรื่องมันมาขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องโยงเรื่องทุกอย่างเข้ามาเป็นเรื่องเดียวกันสินะ  ทิมตั้งท่าจะเดินออกจาห้องเพื่อไปพูดคุยถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดไปกับตำรวจเพิ่มเติม หากแต่ชายเสื้อของเขากลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือนิ่มที่เริ่มสั่นเทาอีกครั้งของคนบนเตียง

           “เกลกลัว”

           เสียงแผ่วเบาที่ดังออกมาจากปากของน้องชาย ทำให้ทิมต้องถอนหายใจออมอย่างแรงอย่างช่วยไม่ได้  ก็นะถึงน้องเขาจะทำเรื่องที่มันร้ายแรงแบบนั้นลงไปด้วยหน้านิ่งๆไม่รู้สึกรู้สาอะไรแต่ลึกๆแล้วเจ้าตัวนะอ่อนไหวง่ายจะตาย ความรู้สึกที่พูดออกมาเมื่อครู่นี้ก็คงจะมาจากจิตใจส่วนลึกของเจ้าตัวเองนั้นแหละ

           “ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนะทุกอย่างจบแล้ว”

           เขาหันหลังกลับไปรั้งร่างของน้องชายเข้ามากอดพร้อมกับฝ่ามือหนาลูบแผ่นหลังบางไปมาอย่างปลอบโยน เมื่อเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นเล็กน้อยที่สวมกอดอยู่

           ทิมกอดปลอบน้องชายออยู่อย่างนั้นเป็นเวลาอยู่นานกว่าแรงสั่นเทาบนร่างนั้นจะคลายลงได้ ทิมจึงดันร่างของน้องออกมาเพื่อใช้ปลายนิ้วโป้งทั้งสองเกลี่ยน้ำตาที่ยังคงไหลรินอยู่ที่สองข้างแก้มนิ่มอย่างถนอม ประจวบเหมาะกับที่ประตูถูกเปิดออกด้วยมือเล็กๆของเด็กชายที่เมื่อเช้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้าผิดกับตอนนี้ที่สองแก้มป้องมีคาบน้ำตาติดเหมือนผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่บนเตียงกลางห้อง

           “คุณแม่ ฮึก”เกรทวิ่งร้องไห้เข้ามาในห้องเป็นคนแรกก่อนโผเข้ากอดกับเกลที่ยันตัวลงจากเตียงเพื่อเข้ามากอดรับลูกชายที่วิ่งร้องโยเยเข้ามา

           “คุณแม่ฮึก”

           “ครับ คุณแม่อยู่นี้แล้วครับไม่เป็นไรแล้ว ชู่ๆ”

           เกลกดหัวลูกชายซบลงกับไหล่พร้อมลูบปลอบเด็กน้อยที่กำลังขวัญเสีย ก่อนหันไปมอง ธารและแก้วที่อุ้มเด็กทารกแนบอกเดินตามหลังเข้ามาอย่างร้อนรน

           “คุณเกลเป็นยังไงมั่งคับ แล้วคุณชินละครับ”

           แก้วกล้าถามอย่างเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดแม้จะยังไม่หายดีจากแผลผ่าคลอดจนต้องให้ธารคอยพยุงแล้วไหนจะต้องคอยอุ้มลูกน้อยอีก จนเกลต้องรีบบอกให้ธารพาแก้วมานั่งลงที่เตียงแทน

           “ชิตรัตน์พ้นขีดอันตรายแล้วแต่ยังต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อเพื่อกันการติดเชื้อและดูอาการนะ”ทิมอาสาเป็นคนตอบเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนรู้แทน 

            “แล้วที่โรงบาลมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมดูมันวุ่นวายกว่าตอนที่ฉันออกไปรับแก้วกับหลาน” ธารทักขึ้นถึงความวุ่นวายของกองทัพนักข่าวและตำรวจที่ด้านล่างของโรงพยาบาลจนพวกเขาเองยังแทบเขามาข้างในไม่ได้

           เกลกับทิมหันมามองหน้ากันก่อนจะเป็นเกลที่อุ้มลูกชายที่ยังคงสะอื้นเงียบอยู่ขึ้นซบบ่าแล้วพาออกไปนอกระเบียงห้องแทน เพื่อให้ผู้ใหญ่ในห้องได้คุยกันสะดวก

           ธารมองทั้งคู่อย่างใช้ความคิดการที่เกลพาลูกชายออกไปแบบนี้ย่อมแสดงว่าเรื่องที่เขากำลังจะได้รู้ต้องไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดีเสียเท่าไร

           “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

           แก้วกล้าเริ่มใจคอไม่ค่อยจะดีเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากถามขึ้น จนธารที่อยู่ข้างๆต้องยกมือขึ้นจับบ่าให้ใจเย็นลงด้วยกลัวว่าลูกสาวตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงจะตื่นขึ้นมาก่อน

           “คุณหญิงตายแล้ว”

           !!

           “ตายแล้ว หมายความว่ายังไง”

            ธารว่าเสียงดังพร้อมทำหน้าตาแตกตื่นจนกลายเป็นเขาเสียเองที่ทำให้ลูกสาวตกใจตื่นจนร้องไห้จ๋าเสียงดังลั่นห้อง ขนาดเกลที่กำลังกลอมลูกอยู่นอกระเบียงยังสะดุ้งโหยง

           “แงงงงงงงง อึก แงงงงงงง”

           “ชิบหาย”

           “ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย”  แกล้วกล้าบ่นอุบอย่างหัวเสียที่อีกคนทำให้ลูกสาวของเขาทำให้ต้องตกใจจนร้องโยเยเช่นนี้

           “โอ๋ๆๆ หนูวีจ๊ะแด๊ดดี้ขอโทษนะครับ โอ๋ๆๆไม่ร้องนะคนดี โอ๋ๆๆๆ”

           ธารวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังแก้วกล้าที่อุ้มลูกขึ้นซบบ่าเพื่อปลอบขวัญ  จนแก้วกล้าต้องส่งสายตารำคาญมาให้แล้วเดินหนีออกไปอยู่นอกระเบียงกับเกลแทน

           “อย่าทำหน้าง่อยเป็นหมาโดนทิ้งแบบนั้นสิ”   ทิมตบบ่าน้องชายอย่างเห็นใจ  ส่วนคนที่ถูกเปรียบว่าเป็นหมาโดนทิ้งก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างทำใจ

           “แล้วเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมอยู่ๆ ยัยแม่มดนั่นถึงตายได้”

           ธารเลิกทำเป็นเล่นแล้วหันกลับมาถามพี่ชายของตนอย่างจริงจัง   ทิมมองหน้าก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์หลังจากที่ธารออกจากโรงพยาบาลไปแล้วให้เจ้าตัวฟังทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

              ธารได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นก็อดที่หวนคิดถึงเรื่องที่ตนเคยคุยกับน้องน้อยเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับเรื่องของคุณหญิงโฉมฉวีกับความปรารถนาสูงสุดที่วันนั้นเจ้าตัวหลุดปากเอ๋ยออกมา แวบขึ้นมาในหัว

            “........................คุณหญิงนั่นต้องไม่อยู่ร่วมลมหายใจกับน้องอีก” 


               “  การตายของคุณหญิงเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเขาเลือกเองอย่าโทษน้องเลย น้องเองลึกๆ แล้วก็รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน”  ธารพยักหน้าเข้าใจ

           ไม่มีใครไม่เคยไม่ทำผิดเรื่องนี้เขารู้และทุกคนมีเหตุผลที่จะทำมัน ไม่โทษน้องของเขาที่หยิบยื่นความตายนี้ให้คุณหญิง เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยหยิบยื่นความตายให้ใคร

           ทั้งเขาและทิมเองตั้งแต่จำความได้พวกเขาก็วนเวียนอยู่กับเรื่องราวพวกนี้มาตลอด อาจเพราะต้นสายของตระกูลที่ต้องอยู่ท่ามกลางวงล้อแห่งการแกร่งแย่งการหลั่งเลือดเพื่อให้ได้มาเพื่ออำนาจที่มากมาย ไหนจะเรื่องของทางธุรกิจอีก ทำให้สิ่งที่เกลทำไปนั้นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาสองคนหรืออาจทุกคนในตระกูลทำมาเสียด้วยซ้ำ

           เขากับทิมก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งนี้เป็นการลงมือครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่น้องน้อยของพวกเขาจะทำ น้องของเขาสะอาดและบริสุทธิ์เกินกว่าจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้

           ในเมื่อเมฆฝนดำมืดที่ปกคลุมอยู่ในใจของเกลและชิตรัตน์ถูกปัดเป่าออกไปจนหมดสิ้นแล้ว เขาที่เป็นพี่ก็ได้แต่หวังว่าท้องฟ้าที่สดใสหลังจากผ่านความหนาวเย็นของสายฝนจะเป็นแสงแดดที่ส่องสว่างและอบอุ่น......................
_____________________________________________________________

โปรดยืนไว้อาลัยแด่คุณหญิงโฉมฉวีสักหนึ่งนาที...
นิยายเรื่องนี้ไม่มีใครดีสุดและร้ายที่สุด ทุกคนเป็นสีเทาๆ ดั่งเช่นพี่อู๊ด นะคร้าบบบบ พี่น้องครับ
เหลืออีกตอนเดียวเท่านั้นกับบทสรุปของทุกๆตัวละคร
แล้วเจอกันเที่ยงคืน

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดสุดท้าย- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 23-02-2017 22:44:45
ฝนหยดสุดท้าย


ข่าวเรื่องการตายของคุณหญิงโฉมฉวีที่ลงมือปลิดชีวิตตนเองลง เพราะทนรับแรงกดดันกับหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นมาไม่ไหวโดยเฉพาะเรื่องของชิตรัตน์ แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสามวันแล้วแต่หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับยังคงลงข่าวเรื่องนี้กันอย่างต่อเนื่องรวมทั้งขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงโฉมฉวีมาตีแพร่ร่วมถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณหญิงกับชิตรัตน์ที่ว่าแท้จริงแล้วคุณหญิงไม่ใช่แม่แท้ๆของชิตรัตน์ร่วมถึงข่าวลือที่คุณหญิงเป็นคนลงมือฆ่าคุณวาดฟ้าผู้เป็นแม่ที่แท้จริงของชิตรัตน์แล้วสวมรอยแทน

เกลกดปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการข่าวภาคเที่ยงที่ตอนนี้กำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงของคุณหญิงลงอย่างไม่อย่าสนใจ ก่อนจะเดินไปทางระเบียงเพื่อเปิดบานประตูกระจกออกให้อากาศภายในห้องพักผู้ป่วยที่ชิตรัตน์ถูกย้ายออกมาพักฟื้นอยู่ในตอนนี้ได้ระบายอออกพร้อมเปิดรับอากาศดีๆในวันที่แสงแดดไม่แรงมากไหนจะลมเย็นๆที่พัดเข้ามาหลังจากฝนที่ตกหนักมาตลอดคืน

ชิตรัตน์ถูกย้ายออกมาจากห้องปลอกเชื้อเมื่อวานตอนเย็นหลังแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าไม่พบการติดเชื้ออะไรแต่ยังคงต้องอยู่ดูอาการอีกสักระยะอย่างใกล้ชิด  ส่วนเรื่องงานศพของคุณหญิงมีกำหนดสวดเพียงสามวันและจะทำการเผาร่างในวันพรุ่งนี้ที่จะถึงภายใต้การดูแลของวีรกิตติ์ที่เป็นเหมือนญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่

ส่วนแก้วกล้ากับลูกสาวถูกธารสั่งให้อยู่แต่ภายในบ้านอย่างเดียวเท่านั้นเพราะหลังจากกลับจากการมาเยี่ยมชิตรัตน์ในวันที่อีกฝ่ายโดนยิงแล้ว วีนัสมีอาการไม่สบายร้องไห้ทั้งคืนจนธารต้องขับรถพาลูกสาวมาหาหมอในยามวิการก่อนจะได้ความว่าลูกสาวของเข้าติดเชื้อมาจากโรงพยาบาลทำให้รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวจนเป็นไข้อ่อนๆ ทำให้ธารทวีความเป็นห่วงกว่าเดิมจนคนเป็นแม่อย่างแก้วกล้ายังออกอาการปวดหัวกับพฤติกรรมที่เรียกว่าเกินคนปกติทำของธารที่สั่งย้ายหน้าที่ของปีแอร์จากการเป็นหมอส่วนตัวของเกลให้มารับหน้าที่ดูแลเรื่องสุขภาพของวีนัสทั้งหมดซึ่งอันนี้เกลเองก็เห็นควรด้วย ส่วนไรอันที่ช่วงนี้ยังไม่สามารถกลับไปทำงานกับธารได้อย่างปกติจึงหยุดพังตัวเองมาคอยช่วยแก้วกล้าดูแลวีนัสอีกแรงหนึ่ง

           ความสงบในแต่วันที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตเขาตอนนี้จะบอกว่ามีความสุขดีไหมนั้นเขาเองก็ยังคงตอบได้ไม่เต็มปากเท่าไรนัก  เกลหันหน้ากลับเข้ามามองใครอีกคนที่อยู่ในห้องเดียวกับเขาที่ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเลยสักครั้งเดียว

           เกลเดินกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงตัวเดิมกับที่เขานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั้งถึงเมื่อสักครู่นี้ เขาเอื้อมมืออกไปจับมือของใครอีกคนขึ้นมาทาบที่ใบหน้าพร้อมสายตาจับจ้องไปยังคนที่ยังคงนอนหลับตาสนิทอยู่เช่นเดิม

           “เมื่อไรพี่ชินจะตื่นสักทีละครับ”

           “...”

           “เกลกับลูกคิดถึงพี่ชินแล้วนะ”

           “...”

              “เมื่อ ฮึก เมื่อไรจะตื่น ฮึก “

           สุดท้ายเขาก็ไม่อาจกลั้นความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจได้ ทั้งทีคิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ร้องได้ออกมาแต่เขาก็ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเพราะห่วงคนรักที่ยังนอนนิ่งไม่ไหวติ่งหรือจะเป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อการตายของคุณหญิงที่อยู่ลึกลงไปในใจ สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งที่อยู่ในใจจนต้องซบหน้าร้องไห้ลงกับเตียงนอนผู้ป่วยสีขาวจนกายสั่น

           เขาร้องไห้ออกมาเงียบๆอยู่อย่างนี้นานพอที่จะทำให้ดวงตาทั้งสองบวมจนสังเกตได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่อยู่ดีๆสิ่งที่เขาไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็เกิดขึ้น เมื่อมือข้างที่วางอยู่อีกฝั่งหนึ่งของร่างกายที่เขาคิดว่ายังคงหลับลึกไม่รู้สึกตัวกลับมาลูบเบาๆที่หัวของเขาอย่างอ่อนโยน เกลค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กระทำการบางอย่างเงียบๆนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

           !!!

           “ร้องไห้ทำไมครับ คนดี” เสียงแผ่วเบาติดจะแหบแห้งของชิตรัตน์เรียกร้อยยิ้มทั้งน้ำตาของคนฟังอย่างเขาได้ไม่ยาก

“พี่ชิน”

ชิตรัตน์ยิ้มรับให้กับคนรักที่ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็กอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเอ็นดู ตามจริงเขาเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเพราะอากาศที่แสดจะสดชื้นจากภายนอก ก่อนจะเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นเบาๆที่ข้างตัวพร้อมกับความเปือกชื้นจากหยดน้ำตาของใครบางคนที่ใช้แขนข้างนั้นของเขาเป็นที่รองน้ำตา จนเขาอดไม่ได้ที่จะยกมืออีกข้างไปลูบปลอบใจ

“ครับ คนดีของพี่”

           เขายกมือข้างที่เปือกน้ำตาของอีกคนขึ้นเพื่อจะไล่เกลี่ยหยาดน้ำตาที่ไหลเป็นทางอยู่บนแก้มสีมุขนั้น  ทำให้เกลเริ่มทำหน้าแหย่เกอย่างสุดจะกลั่นจนต้องร้องออกมาอีกครั้งพร้อมพุ่งตัวเข้าไปกอดคนที่นอนอยู่กับทีอย่างคิดถึง

           “พี่ชินฟื้นแล้ว พี่ชินกลับมาเกลกับลูกแล้ว”

           “พี่อยู่นี้แล้วครับพี่ไม่ไปไหนแล้ว”  ชิตรัตน์ย้ำคำแล้วกดจูบลงบนขมับของอีกคนแทนคำสัญญา

           เกลใช้ไหล่ของอีกคนรองรับน้ำตาแห่งความปลื้มปีติของตนอยู่นาน ก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งดีๆก่อนจะปรับเตียงผู้ป่วยขึ้นเพื่อให้ชิตรัตน์ได้เปลี่ยนท่าทางพร้อมหยิบแก้วที่ใส่น้ำเอาไว้มายื่นให้อีกคนรับไปดื่มแก้กระหาย

           “พี่หลับนานขนาดไหนหรอ”  ชิตรัตน์ส่งแก้วน้ำคืนแก่เกลพร้อมกับคำถามที่เขาอยากรู้

           “สามวันนะครับ พี่ชินทำเกลกับทุกคนเป็นห่วงมาเลยรู้ไหม” เกลเอามือทาบหน้าคนรักอย่างห่วงหา 

           “พี่ขอโทษนะครับ” ชิตรัตน์ว่าพร้อมรั้งให้ใครอีกคนเข้าสู่อ้อมกอดเข้าอีกครั้งโดยโอบเอาเล็กของอีกคนไว้หลวมๆ

           “ไม่ๆๆๆ พี่ชินไม่ผิดเกลต่างหากที่เป็นสาเหตุที่ให้พี่ชินถูก .....”

           เกลส่ายหน้ารั่วอยู่กับไหล่ของชิตรัตน์ก่อนจะพูดปัดไม่ให้อีกคนรู้สึกผิดแต่กลับเป็นเขาเองที่ต้องชะงักคำพูดเอาไว้เมื่อเกือบจะเผลอพูดถึงคนที่ไม่อาจหวนกลับมาได้อีก

           ชิตรัตน์เองก็เข้าใจดีที่อยู่ๆเกลก็หยุดคำพูดลงเสียดีๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปจนเกิดเป็นความเงียบขึ้นมากั้นกลางระหว่างพวกเขาสองคน

           “แล้วคุณหญิงละ” เกลสะดุ้งขึ้นมาทันทีเมื่อชิตรัตน์เอ่ยปากถามหาคนที่ไม่อยู่แล้ว จนเขาเองก็เริ่มจะอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ

           “พี่แค่ถามครับ ไม่มีอะไรไม่ตอบก็ได้”

           “....”

           ชิตรัตน์กดหัวคิ้วลงอย่างไม่เข้าใจเมื่ออยู่ๆคนรักก็เพิ่มแรงที่กอดเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับแรงสั่งที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งทำให้เขาเองเริ่มตั้งตัวไม่ถูก

           “คุณหญิง ฮึก คุณหญิงเสียแล้ว”

           !!

           “หมายความว่ายังไง” เขาถามเสียงสั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

           “หลังจากที่พี่ชินพ้นขีดอันตรายแล้ว คุณหญิงก็ยิงตัวตายที่หน้าห้องปลอดเชื้อ ฮึก มันเป็นเพราะเกล เกลทำให้คุณหญิงตาย ฮึก”     ชิตรัตน์นิ่งค้างกับคำตอบที่ตนได้รับเขาดูช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อยคงเพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

           “เพราะเกล ฮึก คุณหญิงตายเพราะเกล ฮือ”

           เกลที่ยังคงพรั่งพรูกับเรื่องที่คล้ายว่าจะฝั่งใจจนยากที่จะลบออกได้ ดังเรียกสติที่หลุดลอยของชิตรัตน์หลังเกิดอาการช็อกจากข่าวของคุณหญิงจนต้องกลายมาเป็นฝ่ายที่ต้องกอดปลอบขวัญอีกคนแทน

           “มันไม่ใช่ความผิดของเกลหรอกนะ ไม่ต้องร้อง”

           เขาไม่รู้ว่าความหมายที่เกลพูดนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าหาจะหมายความถึงว่าตัวเองคือสาตุที่ทำให้ตนโดนยิงจนทำให้คุณหญิงคิดฆ่าตัวตายแล้วล่ะก็มันไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลย เขาต่างหากที่ยินดีจะเอาตัวเข้ารับกระสุนแทนคนรัก

           “เกลบอกพี่เองไม่ใช่หรอว่าคุณหญิงฆ่าตัวตาย แล้วมันจะเป็นความผิดของเกลได้ยังไงกัน” ชิตรัตน์พยายามพูดอย่างมีเหตุผลตามความเข้าใจของตัวเขาเอง เพื่อลบล้างความผิดที่คนรักสร้างขึ้นในใจ

           “มันเป็นการตัดสินใจของคุณหญิงเองเกลไม่ผิดหรอก”

           ใครๆต่างก็พูดบอกว่าเขาไม่ผิดนั้นเพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนเสนอทางเลือกพร้อมปืนกระบอกนั้นให้คุณหญิงเองแม้ทิมที่รู้เรื่องทั้งหมดจะพูดเหมือนกับที่ชิตรัตน์พูดมาแบบนั้นหรือแม้ในใจของเขาจะต้องการให้ผลเป็นแบบนี้เองก็ตามทีแต่ทำไมกันละ ทำไมเขาเองกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกผิดแบบนี้กัน

           “แล้วเรื่องงานศพละ ใครเป็นคนจัดการ” ชิตรัตน์พยายามชวนคุยแทนเพื่อไม่ให้อีกคนดูเศร้ามากไปกว่านี้

           เกลเองก็พยายามเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วตอบคำถามของชิตรัตน์รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้นตลอดเวลากว่าสามวันที่ชิตรัตน์สลบไป

           ส่วนเรื่องที่โรงแรมกับบริษัทนับว่าชิตรัตน์โชคดีที่มีเหล่าผู้บริหารระดับสูงที่ไว้ใจได้คอยช่วยพยุงดูแลเอาไว้เป็นอย่างในระหว่างที่เกิดเรื่อง อีกทั้งยังมีชาติที่คอยเป็นคนประสานงานระหว่างคนในโรงแรมรวมทั้งแก้วกล้าที่แม้จะต้องคอยดูแลลูกสาวที่เพิ่มคลอดแต่ก็ไม่คิดที่จะละเลยหน้าที่ค่อยเป็นกำลังให้เขาอีกแรงในการช่วยชาติจัดการงานโรงแรมและคงจะช่วยกันต่อไปจนกว่าชิตรัตน์จะแข็งแรงพอที่จะกลับมาจัดการงานต่างๆด้วยตัวเองได้อีกครั้ง

           ส่วนเรื่องบริษัทวิวัฒน์พงษ์นั้นก็ไม่เป็นปัญหาเพราะวีรกิตติ์ตกลงขายกิจการทั้งหมดของวิวัฒน์พงษ์ให้กับทางนพเทพเพื่อเป็นการไถ่บาปทั้งหมดของวีรกิตติ์แทนคุณหญิงโฉมฉวีผู้เป็นพี่สาว แต่ถ้าเสียคนมีความสามารถอย่างวีรกิตติ์กับเขตทัพไปคงน่าเสียดายทางเหล่าผู้บริหารจึงคิดอยากให้ทั้งสองเข้ามาร่วมทำงานด้วยกัน โดยธารเห็นว่าควรส่งทั้งสองคนไปเป็นผู้ดูแลรีสอร์ตของตนที่เพิ่งลงทุนร่วมกับชิตรัตน์จึงไม่ได้ถามถึงความคิดเห็นของชิตรัตน์แต่อย่างใด เพราะคิดว่าอีกคนก็คงคิดไม่ต่างกันเท่าไร

 
           หลังจากที่ชิตรัตน์ฟื้นขึ้นมาเมื่อช่วงบ่ายของวันนายแพทย์ที่ทำการผ่าตัดและเจ้าของไข้ก็เข้ามาตรวจเช็คอาการของเขาก่อนจะขอให้ดูอาการต่อที่โรงพยาบาลอีกสองวันจึงจะกลับบ้านได้เพื่อรอดูผลข้างเคียงจากการถูกยิง โดยตลอดเวลาที่ชิตรัตน์รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้นก็จะมีผู้คนมาหน้าหลายตาเข้ามาเยี่ยมเยียนเขามากมายโดยส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานของโรงแรมที่มีความใกล้ชิดกับเขาและเหล่าผู้บริหารระดับสูงที่เข้ามารายงานความเป็นไปของโรงแรมในช่วงที่เขาอยู่ที่นี้  และถึงจะมีคนมากมายที่เข้ามาหาเขาเยอะขนาดไหนแต่ก็ยังมีอีกคนที่อยู่ข้างกายเขาตลอดไม่ไปไหน

           เกลคอยดูแลชิตรัตน์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลาส่วนในช่วงเย็นเขาก็จะมีผู้ช่วงพิเศษที่ไม่รู้ว่ามาช่วยเขาดูแลชิตรัตน์หรือมาให้เขาดูแลเพิ่มอย่างเกรทที่หอบหิ้วเอาพี่ชายคนโปรดอย่างปีแอร์เข้ามาด้วย จนเกิดเป็นความวุ่นวายเล็กๆในห้องพักผู้ป่วยพิเศษแห่งนี้ทุกวันไม่รู้เบื่อ

           “ไม่ลืมของอะไรแล้วใช่ไหมครับ” ชายเอ่ยถามขึ้นในช่วงสายของวันอาทิตย์วันสุดท้ายของการนอนเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลของชิตรัตน์ เพื่อที่ว่าตนจะได้นำสิ่งของของเจ้านายไปเก็บที่รถ

           “ไม่มีอะไรแล้วละครับ พี่ชายเอาไปเก็บที่รถเลยก็ได้” ชายก้มหัวรับก่อนเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมเดินออกจากห้องไปเพื่อไปเก็บแล้วเตรียมรถออกมารับที่หน้าโรงพยาบาล

           “เรียบร้อยยังครับพี่ชิน”  เกลหันมาถามคนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำ

           “ครับ ในห้องน้ำไม่มีของอะไรเหลือแล้ว” ชิตรัตน์ว่ายิ้มๆ ก่อนจะอุ้มลูกชายที่ยืนกางแขนรอให้อุ้มอยู่ข้างๆขึ้นมา

           “น้องเกรท คุณพ่อยังไม่หายนะครับ” เกรทหน้ายู่ลงทันทีเมื่อถูกเกลเอ็ดใส่ จนชิตรัตน์ต้องออกโรงป้องลูกชายสุดที่รัก

           “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เองพี่ไม่ได้เจ็บอะไรแล้วด้วย”

            เกลมองอย่างขัดใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากในเมื่อเจ้าตัวยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอะไร  ก่อนจะเดินออกไปหาพลที่ไปจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลของชิตรัตน์ที่เคาน์เตอร์

           “แล้วเรื่องบ้านพี่ชินจะเอายังไงครับ”  เกลถามขึ้นขณะที่กำลังเดินอยู่ตรงโถงด้านล่านกลางโรงพยาบาลเพื่อที่จะออกไปขึ้นรถที่ชายนำมาจอดรอไว้อยู่ข้างหน้า

           “พี่ว่าจะให้น้าวีย้ายกลับมาอยู่บ้าน อย่างน้อยมีน้าวีอยู่บ้านจะได้ไม่ไร้คนอาศัยอีกอย่างจะได้มีคนคอยดูแลน้าวีตอนที่คุณเขตลงไปดูแลการก่อสร้าง” เกลพยักหน้าเข้าใจ

           พอหลังจากสิ้นคุณหญิงแล้วบ้านก็ถูกโอนมาเป็นชื่อของชิตรัตน์ตามหลักแต่เพราะชิตรัตน์เลือกที่จะย้ายมาอยู่กับตนที่บ้านแทนการที่อยู่บ้านหลังนั้น เพราะเจ้าตัวบอกกับเขาเองว่าที่นั้นมีความทรงจำของที่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงมากเกินไป มากจนไม่กล้าที่กลับเข้าไปอยู่ได้อย่างสนิทใจอีกทั้งลูกชายของพวกเขาเองก็คนอยากจะอยู่ที่บ้านของเขาเองมากกว่าอาจด้วยความที่ติดน้องสาวคนใหม่ด้วยเลยไม่ยอมที่จะแยกไปไหน

           ส่วนวีรกิตติ์เองแต่เดิมก็เคยอยู่บ้านนี้มาก่อนเขาจะเกิดก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะขอให้คนที่เขานับถือเหมือนน้าแท้ๆกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ยิ่งอาการเจ็บออดๆแอดๆของวีรกิตติ์ที่เป็นมานานด้วยเขายิ่งอยากให้อีกคนกลับมาอยู่บ้านเพื่อที่ว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้ทันท้วงที

           “งั้นเราก็กลับบ้านกันเถอะครับ เกรทคิดถึงน้องวีนัสแล้ว”เด็กชายว่าเสียงสดใสก่อนจะดิ้นออกจากอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ

           “ครับ  กลับบ้านของเรากัน”

           เกลหันไปพูดพร้อมรอยยิ้มให้คนรักแล้วก็ลูกชายที่ตอนนี้อยู่ตรงกลาระหว่างพวกเขาทั้งสองพร้อมมือคู่น้องที่จับจูงเชื่อมพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน

           ความฝันเล็กๆที่เขาเคยวาดเอาไว้ว่าวันหนึ่งเขาจะได้เดินจับมือสามคนแบบนี้กลับบ้าน ในวันนี้และตอนนี้มันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

           เมื่อคำว่า บ้าน ที่พวกเขาจะกลับไปต่อจากนี้คือคำว่าบ้านของพวกเขาจริงๆ บ้านที่จะมีพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกัน แต่อาจไม่ใช่แค่ครอบครัวของเขาเท่านั้นที่จะอยู่ในบ้านหลังนั้นเพราะยังคงมีธารแก้วกล้าวีนัสไรอันปีแอร์และทุกคนอยู่ด้วยกัน ทำให้ตอนนี้ ครอบครัว ของเขาจะไม่มีเพียงแค่ เขา เพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ครอบครัวของเขายังมีทุกคนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ ในบ้านหลังใหญ่ที่ต่อจากนี้จะมีแต่ความสุขและความอบอุ่น มันจะเป็นบ้านที่ไม่ว่าใครก็จะอยากกลับไปเพราะมีคนที่เรารักรออยู่ที่บ้านหลังนี้เสมอ.............................
 
.......................จบบริบูรณ์......................

จบแล้ว!!
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามกันมาตลอดตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้ายนะคะ
สำหรับรูปเล่มของฝนฤดูหนาวยังเปิดรอให้เพื่อนได้จับจองเป็นเจ้าของพร้อมตอนพิเศษอีกมากมายที่จะมาเป็นของหวานหลังมาม่ามื้อหลักของเรา

อ่านจบแล้วอย่าลืมเข้ามาพูดคุยถึงความรู้สึกต่างๆได้ที่เพจนะคะ
เราจะเก็บทุกคำของเพื่อนๆไปเป็นหลักการฝึกฝนในนิยายเรื่องต่อไปของเรา

ขอบคุณจากใจจริง
แล้วเจอกันใหม่กับนิยายเรื่องต่อไป

 :mew1:
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดสุดท้าย- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-02-2017 11:22:37
เป็นบทสรุปที่เกินความคาดหมายไปซะหน่อย เราแค่คิดว่าคุณหญิงอาจจะแค่ติดคุกและตายในนั้นก็เท่านั้น
ไม่ได้คิดว่าเกลจะบีบให้คุณหญิงถึงกับฆ่าตัวตายด้วย แต่ก็นะคุณหญิงจะว่าน่าสงสารก็ไม่เชิง แต่ที่คุณหญิง
มีนิสัยแบบนี้ก็อาจเป็นเพราะไม่เคยที่จะมีความรักที่แท้จริงกับคนอื่นเขาก็เท่านั้น
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดสุดท้าย- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: karashi ที่ 25-02-2017 16:26:03
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดสุดท้าย- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-02-2017 22:08:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดสุดท้าย- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 26-02-2017 04:49:30
มีครบรสเลย
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดสุดท้าย- 23-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 26-02-2017 23:38:21
ลุ้นตลอดเรื่องเรยย  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ว่าด้วยเรื่อง ตอนพิเศษ- 27-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 28-02-2017 19:27:36


สวัสดีกันอีกครั้งหลังจบเรื่องนะคะ
อ่านกันแล้วรู้สึกยังไงบ้างอย่างลืมบอกกันให้รู้ด้วยนะ :katai2-1:

อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้ ฝนกลางฤดูหนาว กำลังเปิดรอบพรีอยู่
(ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 16  มีนา 2560)

วันนี้เราจะมาแนะนำหนังสือกันสักหน่อย(ขอพื้นที่ขายของนั้นแหละ)

นิยายของเราจะมีอยู่ 2 เล่ม

โดยเล่มแรก จะเป็นเรื่องหลักเนื้อหาในเรื่องก็จะเป็นตามที่เราในบล็อคนี้เลย อาจมีแก้คำผิดบ้างสักเล็กน้อย

ส่วนเล่มที่สอง จะเป็นตอนพิเศษ จำนวน 10 ตอน !!

คือ

 
1. รัก นาน นาน                            (ชินเกล)
 
 2. ลูกสาวของแด๊ดดี้                      (ธารแก้ว)
 
3. คนของเธอ                              (ธารแก้ว)
 
4. สมาชิกใหม่                         (ปีแอร์ไรอัน)
 
5.ครอบครัวของเรา             (รวมทุกตัวละคร)
 
6. แรกเจอ (การเจอกันครั้งแรกของชินกับเกล)
 
7. วันสำคัญ                          (วันเกิดเกรท)
 
 8. ความเป็นห่วง                          (แทนไท)
 
9. ฉันชื่อ โฉมฉวี    (ความในใจของคุณหญิง)
 
งานนี้ใครFCตัวจริงคุณหญิงต้องห้ามพลาด !!

 Mini novel 1 ตอน

เจ้าหญิงของบ้าน    (เน็ตตี้)

หลังจากสัมผัสความขมปร่าของน้ำตา ในเล่มหลักกันแล้ว  มาเสพย์ความหวานได้ในเล่มนี้กันเลย!!
 
 เดี๋ยวเราจะเอาตัวอย่างตอนพิเศษในเล่มมาให้ได้อ่านกันนะคะ


Pre-oder ฝนกลางฤดูหนาว (http://evapublishing.lnwshop.com/category/2/pre-order)

 :mew1:

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดพิเศษ 1- 1-3-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 01-03-2017 21:39:34
รัก นาน นาน
[/size]




       “ไม่ได้ พี่ไม่ให้ทำ”

   ธารตอบกลับความต้องการของน้องชายที่เอ่ยปากร้องขอบางสิ่งจากเขาอย่างหัวชนฝา ขณะกำลังก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวตัวน้อยวัยสองเดือนที่นอนมองหน้าเขาตาแป๋ว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะได้ไม่ต้องมองใบหน้าง้ำงออย่างเด็กโดนขัดใจของอีกคนแล้วยอมใจอ่อนให้ง่ายๆ เหมือนทุกครั้ง

    “แต่เกลอยากทำงานบ้าง อยู่แต่บ้านเกลเบื่อ”

   “แต่น้องยังเดินเหินไปไหนได้ไม่สะดวก พี่ว่าเราอยู่บ้านอย่างนี้ไปก่อนดีกว่า รอให้หายดีแล้วค่อยไปทำก็ได้”

   “เอางี้นะ รอให้อะไรเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้ก่อน แล้วถ้าน้องอยากทำจริงๆ พี่จะให้ไรอันช่วยหาตำแหน่งว่างๆ ให้ดีไหม”

   แล้วเมื่อไรละ..... เกลได้แต่บ่นในใจก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกดหมุนวิลแชร์ที่ตัวเองนั่งอยู่ออกจากห้องไปแทนด้วยใบหน้าง้ำงอเมื่อสิ่งที่ต้องการไม่เป็นไปตามที่หวัง

   ……

   ……………..

   ………………………….

   ดวงตากลมสีฟ้าใสขัดกับเส้นขนสีขาวมองดูใบหน้ากึ่งตัดพ้อกึ่งไม่พอใจของเจ้านายนิ่งเหมือนรับฟังความในใจนั้นก่อนถูไถหัวของตัวลงที่ข้างแก้มของเกล แทนคำปลอบเหมือนต้องการจะสื่อให้เจ้านายของมันรับรู้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีมันอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน

   เกลมองการกระทำกึ่งออดอ้อนของเจ้าตัวโปรดด้วยรอยยิ้ม อย่างน้อยเขาก็ยังมีเน็ตตี้อยู่ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าขนฟูจะเข้าใจที่เขาพูดมากน้อยแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ปฏิเสธเลยว่าการที่มีเจ้าตัวนี้อยู่ข้างในตอนที่ไม่มีใครแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกดีมากขนาดไหน สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเขานอนกอดเจ้าเพื่อนรักขนฟูเอาไว้อย่างนั้นจนเผลอหลับไป

   …………

   …………………

   …………………………



   ก๊อก ก๊อก

   เกรทยกมือขึ้นเคาะบางประตูห้องเบาๆ ตามมารยาก่อนจะหันกลับมามองหน้าของบิดาที่อยู่ในระดับเดียวกันเมื่อเห็นว่าไร้เสียงตอบรับจากผู้ที่อยู่ด้านใน เด็กชายจึงลองเคาะอีกครั้งแต่ก็เป็นเช่นเดิมเมื่อสิ่งที่สองพ่อลูกได้กลับมาคือความเงียบจากคนข้างใน ชิตรัตน์จึงตัดสินใจถือวิสาสะเปิดประตูห้องที่เขาใช้นอนร่วมกับคนรักเข้าไปด้านใน และเป็นไปตามคาด เมื่อคนที่อยู่ในห้องนอนหลับสนิทอยู่ที่กลางเตียงโดยมีองค์รักขนฟูนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

   ชิตรัตน์ปล่อยลูกชายลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลเพื่อไม่ให้สะเทือนจนทำให้คนที่หลับอยู่ตกใจตื่น ก่อนจะทรุดนั่งลงข้างๆ ร่างของเกลแล้วออกแรงเขย่าที่ต้นแขนเล็กของอีกคนเบาๆ

   “เกลครับ”

   “...”

   “เกล”

   ชิตรัตน์เขย่าเบาๆ อยู่หลายครั้งจนเปลือกตาขาวเริ่มขยับไปมาแล้วค่อยๆ ปรือตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะเบิกตากว่างเมื่อเห็นใบหน้ากลมของลูกชายคนเดียวนอนตะแคงส่งยิ้มกว้างมาให้ พอหันไปอีกด้านก็เป็นคนรักที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือนมองมาที่ตนอยู่ไม่ไกล

   “พี่ชิน”

   เจ้าของชื่อยิ้มรับก่อนจะช่วยพยุงร่างคนเพิ่งตื่นให้ลุงขึ้น  เกลมองคนที่รักทั้งสองสลับไปมองก่อนจะอ้าแขนกอดทั้งคู่เอาไว้แน่นด้วยความคิดถึงบวกกับความน้อยใจที่สะสมอยู่เป็นทุนเดิมด้วยแล้ว ก็ยิ่งกระชับกอดให้แน่นกว่าเดิมจนชิตรัตน์เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติที่อีกคนเป็น

   “เกรท เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาหนังสือไปนั่งอ่านกันปีแอร์ก่อนนะเสร็จแล้วจะได้มากินข้าวกัน” ชิตรัตน์เอ่ยปากแกมไล่ลูกชายให้ออกไปก่อน ซึ่งเกรทเองก็รับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะออกจากห้องไปโดยมีเจ้าแมวรู้มากเดินตาม หลังออกไปด้วย

   ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่วันนี้เจ้าแมวสายพันธ์ดีนั้นหันกลับมามองเขาด้วยสายตาดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเหมือนตอนก่อนที่เขาจะไปใต้ ยิ่งตอนที่เดินมาเหยียบที่หน้าขาของเขาแล้วแอบจิกกรงเล็บลงกับเนื้อเขาแบบนั้นเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่ามันไม่พอใจเขาอยู่อย่างนั้น แต่เรื่องนั้นมันก็ดูจะไม่น่าสนใจเท่าคนข้างกายที่ผละออกจากอ้อมแขนของเขาทันทีที่บานประตูห้องปิดลง พร้อมกับเมินหน้าหนีเขาไปดื้อๆ อย่างนั้น

   “เป็นอะไรไปครับ” เขาถาม

   “...”

   “เกล”

   “คิดอะไรอยู่ครับคนดี” ชายหนุ่มนั่งซ้อนหลังอีกคนก่อนรวบร่างโปร่งบางของคนตรงหน้าเข้าสู่วงแขนแข็งแรงของตน

   “....”

   แต่อีกคนก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมตอบอะไร แต่ชิตรัตน์ก็ยังไม่ละความพยายามเขาจึงกระชับอ้อทกอดที่กอดอีกคนเอาไว้ให้แน่นขึ้นพร้อมกดจูบลงไปยังกลุ่มผมเส้นเล็กสีน้ำตาลเข้มที่เขาชอบอย่างถนอม และดูเหมือนว่าคราวนี้สิ่งที่เขาทำจะได้ผลเมื่อร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเขาขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นอาการสั่นของร่างกายก็ตามที

   “ใครทำอะไรคนดีของพี่ครับ ไหนบอกพี่สิเดี๋ยวพี่ไปจัดการให้” เขาว่าพลางโยกตัวไปมาเหมือนปลอบเด็ก ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาเพิ่มแรงสั่นจากร่างกายมากขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนมากอดเขาเสียเองอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่กอดเพราะคิดถึงเหมือนอย่างครั้งแรกที่เป็น เพราะการกอดครั้งนี้มาพร้อมกับความชื้นที่อกซึ่งทำให้เขารู้ว่าอีกคนร้องไห้ออกมาเงียบๆ

   “ร้องไห้ทำไมครับ”

   “ทุกคนทิ้งเกล ฮึก ทุกคนไม่รักเกลแล้ว”

   “ไม่จริงสักหน่อย เกลอย่าคิดมากสิ” คนฟังส่ายหน้าหวืออย่างไม่เชื่อ

   “แต่ทุกคนทิ้งเกล”


   “พี่ไม่ได้ทิ้งเกลเสียหน่อย ไม่มีใครทิ้งเกลเลยนะ”

   ชิตรัตน์ที่พอจะเรียบเรียงเรื่องราวได้คร่าวๆ จากการกาคาดเดาของตนกับพฤติกรรมคำพูดของคนรักจึงสรุปเอาเองว่าคนขี้น้อยใจตรงหน้ากำลังน้อยใจที่เขาหรือใครๆ ไม่ค่อยมีเวลาให้จนรู้สึกเหมือนถูกทิ้งแบบนี้

   “อีกอย่างตาเกรทก็อยู่ด้วย แถมตอนนี้พี่ก็กลับมาแล้ว ไม่มีใครทิ้งเราไปไหนเสียหน่อย”

   “...”

   เกลไม่พูดอะไรและไม่ยกเอาเรื่องที่ตนแอบเผลอน้อยใจลูกชายบอกให้อีกคนรู้ด้วย แต่กลับยกเรื่องที่โดนธารขัดใจเมื่อเขาเรียกร้องขอในวันนี้ให้อีกคนฟังเหมือนเป็นการฟ้องแทน 

   ชิตรัตน์ยิ้มอย่างอ่อนใจกับเรื่องที่ได้ฟัง เพราะถ้าหากเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายถูกร้องขอมา เขาก็คงจะตอบเช่นเดียวกับธารเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้คนรักต้องลำบากกับการทำงาน แต่เพราะเขาเองไม่อยากให้เกลต้องฝืนตัวเองในการทำสิ่งที่ตนไม่เคยทำ และทำมันในขณะที่ร่างกายไม่อำนวยอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ซึ่งเขาเองก็เชื่อว่าธารที่เป็นพี่คงคิดไม่ต่างจากที่เขาคิดเท่าไรนัก เพียงแต่คำพูดที่ธารเลือกใช้มันอาจดูตรงเกินไปจนคนฟังไม่เข้าใจถึงความเป็นห่วงกังวลที่แฝงมา

   “ทำไมพี่ธารไม่เข้าใจเกล ทั้งๆ ที่เกลแค่อยากจะช่วย อยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง” เจ้าตัวตัดพ้อพี่ชายตนเองออกมาไม่หยุด

   “ไม่ใช่ว่าคุณธารไม่เข้าใจเกลนะ” เขาพยายามพูด

   “คุณธารเองก็มีเหตุผลของเขาที่ยังไม่อยากให้เกลทำงานในตอนนี้  เอางี้ไหมเดี๋ยวพอคุณธารกลับมาพี่ไปคุยให้ดีไหม”

   ชินรัตน์พยายามหว่านล้อม เพราะถ้าสังเกตดูดีๆ แล้วนิสัยบางอย่างของเกลเองก็คลับคล้ายคลับคลากับนิสัยของคุณหญิงอยู่บ้างในเรื่องของความเอาแต่ใจ แต่เกลจะดีกว่าตรงที่แค่อธิบายด้วยเหตุผล เจ้าตัวจะลดความดื้อดึงลงแล้วยอมรับฟังมัน และไอ้สาเหตุที่ทำให้ใบหน้าสวยบึ้งตึงแบบนี้คงหนีไม่พ้นการโดนพี่ชายขัดใจมาแน่ๆ แถมคนที่น่าจะพอเป็นหลักให้อย่างชายกับพลก็ไม่อยู่เพราะดันมาป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลไปทั้งคู่แบบนี้ ทำให้นิสัยเสียของอีกคนออกลายออกมาอย่างที่เห็น เพราะงั้นวิธีรับมือกับอาการแบบนี้เขาจึงถนัดนัก

   “จริงหรอครับ”  เห็นไหมละ......

   “จริงสิครับ พี่จะโกหกเราทำไมกัน แต่ถ้าพี่พูดแล้วคุณธารไม่ยอม เดี๋ยวเกลหายเมื่อไรพี่จะพาเราไปทำงานกับพี่ดีไหม”  ข้อเสนอดังกล่าวทำให้เกลยิ้มกว้างอย่างพอใจ
   “เอางี้ไหม อาทิตย์หน้าเราไปเที่ยวกัน”  เขาเสนอ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วใช้โอกาสนี้พาครอบครัวไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน

   “อาทิตย์หน้าตาเกรทก็สอบปลายภาคเสร็จพอดี หลังจากนั้นก็ปิดเทอม งานที่บริษัทก็คงจะลงตัวมากขึ้นแล้ว หระ..”

   หมับ

   “จริงๆ นะครับ พี่ชินพูดจริงๆ นะไม่ได้หลอกเกลจริงๆ นะ”  แรงกอดรัดแน่นของคนที่โถมตัวเข้าหาเขาพร้อมย้ำคำพูดของเขาเมื่อครู่ มันทำให้ชิตรัตน์อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับพร้อมลูบหัวคนรักอย่างเอ็นดู

   “จริงสิครับ พี่จะโกหกเราทำไมล่ะ”

   “เกลรักพี่ชินที่สุดเลย”

   นี่สิ สิ่งที่เขาอยากจะเห็น............

   
   เช้าวันศุกร์ที่สุขสมชื่อของมันจริงๆในความคิดของเกล  เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าทุกๆ สิ่งรอบตัวดูจะสวยงามถูกใจเขาไปหมดไม่ว่าใครจะทำอะไรหรือพูดอะไรเจ้าตัวก็ดูจะพึ่งพอใจกับสิ่งเหล่านั้นไปเสียทุกอย่าง อาจเป็นเพราะว่าวันนี้คือวันที่เขารอคอยมันมาตลอดทั้งสัปดาห์

“พี่ธารจะไม่ไปด้วยกันจริงๆหรอครับ”

   เกลเอ่ยถามพี่ชายอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถ ตอนนี้เขากำลังจะไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดกันตามที่ชิตรัตน์ได้บอกกับเขาไว้เมื่อหลายวันก่อน และนั้นก็พลอยทำให้เรื่องเคืองที่เขามีต่อพี่ชายหายไปเสียดื้อๆ เล่นเอาคนที่ตั้งใจจะเอาของมาง้องอนน้องถึงกับปรับตัวไม่ทันเมื่อเห็นคนที่คิดว่าโกรธอยู่นั่งยิ้มกว้างรอเขากลับบ้านอยู่ที่ห้องรับแขก

   “ไว้งานหน้าแล้วกันนะ รอหนูวีโตกว่านี้หน่อยเราค่อยไปพร้อมกันทั้งบ้านเลย ดีไหมคะ”

   ธารว่าก่อนหันมาพูดเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ลูกสาวที่ตอนนี้จ้องมองมาที่เขาตาแป๋วแหววอย่าไม่รู้ความ แต่ในสายตาของธารแล้วบอกได้คำเดียวเลยว่ามันน่ารักมาก มากเสียจนเขาเองยังอดไม่ได้ที่จะฟัดแก้มกลมๆ ของลูกสาวเสียให้หายหมั่นเขี้ยว จนก้อนนุ่มนิ่มเริ่มแดง

   “พอแล้วน่าคุณธาร แก้มลูกแดงหมดแล้ว” แก้วกล้าอดที่จะขึ้นเสียงเอ็ดคนตัวโตไม่ได้เมื่อเห็นว่าธารเริ่มจะลงแรงหอมลูกมาขึ้นอีก ทั้งคนเป็นแม่หวั่นใจกลัวว่าไรหนวดแข็งของอีกคนจะก่อความระคายเคืองผิวบอบบางของลูกน้อย พร้อมกับยื่นมือไปแย่งเอาลูกสาวมาอุ้มเอาไว้เสียเอง ก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับเกลต่อ

   “คุณเกลกับคุณชินไปเที่ยวกันให้สนุกเถอะครับ ถือซะว่าไปฮันนีมูนกันสักรอบก็ได้ เผื่อว่ากลับมาคราวนี้น้องเกรทจะได้มีน้องเพิ่มไง”  คนถูกแซวรีบก้มหน้าซ่อนพวงมะเขือเทศสดที่สองข้างแก้มก่อนจะรีบตัดบทหนีขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คนที่เหลืออมยิ้มขำกับท่าทางน่ารักผิดอายุเมื่อครู่

   “ถ้าได้แบบนั้นก็ดีสิแก้ว ฮึฮึ” ชิตรัตน์ที่อุ้มลูกชายที่หลับคอพับคออ่อนที่บ่าเอี้ยวตัวมองคนรักก่อนหันกลับมาพูดกับแก้วกล้า

   “อย่าให้มันเยอะนักนะ ทำอะไรก็หัดเกรงใจลูกตัวเองมั่ง ไหนจะชายกับพลอีก ไม่ได้ไปกันแค่สองคน” ธารว่าเสียงขรึมกับคำพูดของคนทั้งสองที่ดูจะไม่ค่อยเข้าหูเจ้าตัวสักเท่าไร จนแก้วกล้าได้แต่ส่ายหน้าไปมากับอาการหวงน้องของธารที่ไม่ว่าจะเวลาไหนเจ้าตัวก็พร้อมทำตัวเป็นบราคอนได้ตลอด

   “งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวออกสายแล้วจะไปถึงที่นู่นค่ำ” ชิตรัตน์ว่าก่อนจะเอ่ยลาคนทั้งสองที่ออกมาส่งพวกเขาตั้งแต่เช้า พร้อมกับส่งลูกชายที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องให้คนรักที่เขามานั่งรออยู่ก่อนให้รับไป

   เมื่อชิตรัตน์เข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้วชายกับพลก็เข้ามาประจำตำแหน่งคนขับและผู้ดูแลก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วออกจากบ้านไป โดยจุดมุ่งหมายของทริปครั้งนี้คือจังหวัดเล็กๆ ที่แสนโรแมนติกแห่งหนึ่งของประเทศไทยอย่างจังหวัด น่าน ............


   ….

   ………

   ……………….


   เกือบสองทุ่มกว่าที่พวกเขาจะเดินทางมาถึงโรงแรมที่พักที่ได้จับจ้องเอาไว้ก่อนหน้า โดยชิตรัตน์เลือกโรงแรมที่ขนาดไม่ใหญ่มากโดยเน้นหนักไปทางเรื่องของสถาปัตย์และสภาพแวดล้อมเสียมากกว่า เพื่อให้พวกเขาได้ดื่มด่ำกับการพักผ่อนในครั้งนี้ให้มากที่สุด และอีกอย่างหนึ่งก็เพื่อที่เขาจะได้ศึกษาเก็บข้อมูลต่างๆ จากการเข้าพักในครั้งนี้ไปปรับใช้กับโรงแรมของเขาเองที่กำลังสร้างอยู่ด้วย

“คุณพ่อดูสิ มีเตียงของเกรทด้วย”   เกรทเอี้ยวหลังไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่พร้อมกับร้องบอกด้วยความดีใจ

   “อย่ากระโดดอย่างนั้นสิครับ ขายังไม่ได้ล้างเลย เดี๋ยวคืนนี้นอนก็คันหลัง
หรอก”  เขาว่าก็จะรวบตัวลูกชายขึ้นอุ้มแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไปเพื่อจัดการเจ้าตัวแสบให้ล้างมือล้างเท้าก่อนที่จะขึ้นเตียงใหม่อีกรอบ

   แต่ไม่รู้ว่าเขาพาลูกเข้าไปในห้องน้ำนานไปหรือว่าอย่างไ รเมื่อพอพวกเขาพากันเดินออกมาก็พบว่าคนที่นั่งรออยู่บนเตียงเมื่อครู่เอาหัวพิงหัวเตียงหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   “คุณแม่ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” เกรทว่าเสียงอ่อยขณะมองคุณแม่ของตัวเองนั่งหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

   “งั้นเดี๋ยวเกรทไปอาบน้ำให้เรียบร้อยนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อเช็ดตัวให้คุณแม่เอง คุณแม่จะได้สบายตัวไงดีไหม”

เกรทหยักหน้ารับก่อนจะวิ่งไปเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองที่ปีแอร์ช่วยจัดของใส่ไว้ให้เมื่อวานออก เพื่อหยิบเอาอุปกรณ์อาบน้ำของตัวเองพร้อมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กและชุดนอนขาสั้นสีฟ้าอ่อนที่เจ้าตัวชอบใส่ประจำออกมาก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปอีกรอบ  แต่ดูท่าเกรทจะรีบไปหน่อยจนลืมไปว่าชิตรัตน์ยังไม่ได้เข้าไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้คนที่นอนหลับอยู่เลย แต่จะให้ตะโกนเรียกก็คงไม่ทันแล้วเมื่อเสียงล็อกกรประตูดังออกมาให้ได้ยิน

   ชิตรัตน์ถอนหายใจออกมาอย่างหมดทางเลือก ก่อนจะหันกลับมามองคนที่ยังหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนจัดท่าทางให้อีกคนได้นอนในท่าทีคิดว่าน่าจะสบายกว่าท่าเดิมเมื่อครู่

   ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่ใบหน้ายามหลับของเกล มักทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนั่งมองใบหน้าขาวๆ ที่มีแพรขนตาหนาบดบังแก้วตาสีคาราเมลนั้นเอา ไว้ พอได้มามองในระยะใกล้แบบนี้แล้วมันทำให้เขาคิดไปถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่เขาเคยพบกับคนตรงหน้าครั้งแรก  คนที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดให้เขาอยากรู้จัก และรักมาตลอดไม่ว่าจะตอนนั้นหรือแม้กระทั้งตอนนี้  ใบหน้าแสนใสซื่อในยามที่หลับแบบนี้มันคล้ายกับเชื้อเชิญให้ชิตรัตน์ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกคนมากขึ้น มากจนระยะห่างของพวกเขามีเพียงลมหายใจอุ่นๆ คอยกั้นกลางเอาไว้

   !!


อ่านต่อในเล่ม :katai1:

อุ๊ย!!
ตอนพิเศษหลุด
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดพิเศษ 2- 2-3-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 02-03-2017 20:07:49

แรกเจอ


              ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูเป็นประกายฉายแววอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กๆ กับรอยยิ้มสดใสชวนมองที่ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดไหน ก็ไม่มีเลยสักคนที่จะส่องประกายได้เท่ากับคนคนนี้ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเผลอมองรุ่นน้องร่วมสถาบันคนนี้มานานขนาดไหนแล้ว ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเผลอแอบยิ้มตามท่าทางน่ารักเป็นธรรมชาติของคนคนนี้ไปกี่ครั้ง

….

…………….
 

               “มึงชอบน้องเขาหรอวะ”  คำถามง่ายๆ ที่เขาเองก็เฝ้าถามตัวเองมาตั้งแต่สามชั่วโมงที่แล้วตั้งแต่ได้เจอกับนางฟ้าในใจเป็นครั้งแรก

              “ถ้ากูตอบว่าใช่ละ” คนถูกถามตอบกลับไปโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังรุ่นน้องหนุ่มหน้าสวยที่ถูกเรียกออกมายืนหน้าแถวร่วมกับเพื่อนๆ อีกหลายคนตรงลานกว้างของตึกคณะที่กำลังจัดกิจกรรมรับน้องรวมทุกสาขาของคณะเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของรุ่นพี่รุ่นน้อง และเพื่อให้น้องๆ ที่มาจากหลากหลายที่มาได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกันเผื่อว่าในอนาคตจะได้สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับกันและกัน

               “มึงก็เข้าไปจีบเลยดิ หล่อๆ แบบมึงจีบติดอยู่แล้ว” ดลธรรมยุเพื่อนสนิทของตนทันที ก็ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาเขายังไม่เห็นเพื่อนรูปหล่อดีกรีแรงคนนี้จะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง นอกจากลากเขาไปนู่นไปนี่เพื่อตามดูน้องเฟรชชี่หน้าสวยต้อยๆ เป็นเหมือนพวกโรคจิตอย่างไรอย่างนั้น

                “กุไม่กล้าว่ะ” คำตอบโคตรใจเสาะของประธานนักศึกษา อดีตเดือนมหาลัยทำเอาเขาอยากเอาเท้าก่ายหน้าผากนอนตาย ชอบแต่ไม่พูดแล้วมันจะได้ไหม

                 “หรือมึงจะรอให้หมามันคาบไปแดกวะ” เขาบ่น

                  “ไม่เอา” ชิตรัตน์หมุนตัวกลับมาพูดกับเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง นั่นรักแรกพบของเขาเลยนะ ใครจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ล่ะ เขาก็แค่ขอเวลารวบรวมความกล้าหน่อยสิ ตั้งแต่เกิดมาเคยจีบใครก่อนที่ไหนกัน

                    “งั้นมึงก็ควรรีบหน่อย” ดลธรรมเตือนเพื่อนพร้อมบุ้ยหน้าไปยังด้านหลังให้ชิตรัตน์หันตามไปดู

                      “เวรล่ะ”

                       ชิตรัตน์สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าเด็กน้อยที่ตนหมายตากำลังหัวร่อต่อกระซิกสนุกสนานกับผู้ชายผิวเข้มหุ่นนักกีฬาที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างออกนอกหน้า และที่ทำให้เขาหัวร้อนไปมากกว่านั้นคือเกมที่ตอนนี้พี่สันทนาการกำลังให้น้องเล่นก็คือ การส่งกระดาษรูปหัวใจสีหวานแหววด้วยปาก ปาก เลยนะ

                       ให้ตายเถอะ!!

                        เขาล่ะอยากเข้าไปแยกทั้งคู่ออกจากกันใจจะขาด ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้เด็กน้อยน่ารักของเขา แต่เขาทำไม่ได้ ได้แต่นั่งมองกิจกรรมรับน้องกระชับมิตรออยู่ห่างๆด้วยใจว้าวุ่นแบบสุดๆ  มันอาจฟังดูบ้ากับการที่ต้องมานั่งนับเวลารอเลิกกิจกรรมเหมือนเด็กปีหนึ่งหัวรุนแรงที่ต่อต้านการรับน้องในขณะที่ตัวเขาเป็นถึงหัวหน้าในการจัดกิจกรรมและที่น่าปวดหัวมากไปกว่านั้นคือเขานี่แหละคือคนคิดเกมที่กำลังเล่นในตอนนี้ด้วย
เมื่อไรกิจกรรมจะจบสักทีวะ...............
 

                   สุดท้ายจนแล้วจนรอดเขาก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปทำความรู้จักรุ่นน้องคนสวยที่ว่า เพราะระหว่างที่รอให้กิจกรรมรับน้องเลิกเขากับดลธรรมก็ถูกเรียกตัวให้เข้าประชุมเพื่อวางแผนกิจกรรมรับน้องในวันพรุ่งนี้ กว่าจะเสร็จก็ปาไปเกือบสองทุ่มซึ่งก็เลยเวลารับน้องมาหลายชั่วโมงแล้วด้วย

                  “เอาน่าพรุ่งนี้ยังมี” ดลธรรมได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจชิตรัตน์ที่เดินออกมาจากห้องประชุมสโมสรนักศึกษาด้วยอาการคอตกจิตใจห่อเหี่ยวขัดกับภาพ ลักษณ์จริงจังเมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องประชุมลิบลับ

                    “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแล้วละ” ชิตรัตน์ว่าอย่างปลงๆ  ทั้งๆ ที่เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปทำความรู้จักหลังเลิกกิจกรรมแท้ๆ

                       ถึงวันนี้จะไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร ยังไงก็อยู่คณะเดียวกันถึงจะคนละสาขาก็เถอะ ยังไงเขาก็ยังมีโอกาสที่จะได้เจอน้องคนนั้นอยู่ ชิตรัตน์ปลอบตัวเองเบาๆก่อนจะเดินไปยังลานจอดรถของคณะที่ด้านหลังตึก

                       แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันของเขาจริงๆ นั่นแหละ นอกจากจะไม่ได้รู้ชื่อรักแรกที่เฝ้ามองมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้เขายังทำกุญแจรถหายไปไหนอีกก็ไม่รู้

                         “กุญแจหายเหรอวะ” ดลธรรมตะโกนถามมาจากอีกฝั่งของลานจอดรถเมื่อเห็นเพื่อของตัวเองยังพะวงอยู่แต่กับการค้นหาของในกระเป๋าไม่ยอมเปิดประตูรถสักที

                          “น่าจะใช่” ชิตรัตน์หน้าเครียดเพราะไม่ว่าจะล้วงจะค้นยังไงเจ้ากุญแจรถมันก็ไม่แสดงตัวออกมาให้เขาได้เห็นเลยแม้แต่น้อย

                         “ให้กูช่วยหาไหม” ดลธรรมอาสา

                         “ไม่เป็นไร น่าจะลืมไว้ที่ห้องสโม มึงกลับไปก่อนเลย”

                         “เอางั้นเหรอ”

                           “เออ”

                          “แล้วถ้าไม่เจอล่ะ มึงจะกลับไง”

                           “ถ้าไม่เจอเดี๋ยวกูโทรให้ชาติเอารถมารับก็ได้”

                          “เอางั้นเหรอ”

                           “เออ”

                          “เออๆ ถึงบ้านแล้วบอกกูด้วยละกัน”

                          ดลธรรมโบกมือลาเพื่อนก่อนจะกลับไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่แล้วขับออกไปโดยไม่วายจะหันมาเปิดกระจกถามย้ำเพื่อนอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

                          “เออ กลับๆ ไปได้แล้วมึงอะ”

                         ชิตรัตน์โบกมือไล่เพื่อนก่อนจะเดินกลับหลังหันเข้าไปในตัวอาคารเรียนอีกครั้งอย่างเซ็งๆ ดีนะที่ช่วงนี้แม่เขาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด แถมน้าวีรกิตติ์ก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว ไม่อย่างนั้นมีหวังสายโทรศัพท์เขาได้ไหม้แน่ที่กลับบ้านเกินเวลาโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้
 

……………
………………………
…………………………………….



                           ช่วงขายาวก้าวไปตามทางเดินภายในอาคารที่ปราศจากผู้คนจนเกินเสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วบริเวณยามที่ส้นรองเท้าหนังขัดมันของเขากระทบลงบนพื้น ชิตรัตน์รีบจ้ำก้าวอีกเป็นเท่าตัวเมื่อประตูห้องสโมที่เพิ่งประชุมเสร็จเมื่อครู่อยู่ตรงหน้า ฝ่ามือหนาผลักบานประตูเข้าไปพร้อมคลำหาสวิทช์ไฟที่อยู่ตรงกำแพงเพื่อให้แสงสว่างช่วยทำให้เขาสามารถมองหาสิ่งที่ตามหาได้ง่ายขึ้น

                             เกือบห้านาทีที่เขาหมดไปกับการหากุญแจรถเจ้าปัญหาก่อนจะพบว่ามันนอนนิ่งอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานประจำตำแหน่งของเขาที่ด้านในสุดของห้อง  เขารีบคว้ามันเอาไว้ก่อนจะรีบปิดไฟล็อกประตูแล้วพุ่งกลับไปที่รถทันที ไม่ใช่ว่าเขากลัวว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาในความมืดเหมือนที่เพื่อนๆ ชอบเล่าให้ฟังเวลาอยู่ทำงานกันดึกๆ หรอกนะ เขาก็แค่อยากรีบกลับบ้านไปนอนก็เท่านั้น จริงๆ นะ

                           โชคดีที่ห้องสโมสรนักศึกษาของเขาอยู่ชั้นล่างสุด ทำให้เขาไม่ต้องฝ่าฟันกับความมืดขึ้นไปชั้นบนของตัวตึก แต่ทางที่จะไปลานจอดรถมันก็ต้องผ่านลานกิจกรรมซึ่งอยู่ตรงกลางของตึกอยู่ดี ถ้าเป็นเวลาปกติเหมือนตอนขามาเขาจะไม่กลัวหรืออะไรเลยเพราะตรงลานจะเปิดไฟเอาไว้สว่างพอให้เห็นทาง แต่ตอนนี้นี่สิไฟที่ว่ามันดันดับหมดเลยเหลือแต่ไฟสำรองที่ส่องพอให้เห็นสลัวๆ เท่านั้น และสิ่งที่ทำให้เขาต้องชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหนีห่างจากความมืดก็คือเงาตะคุ่มๆ กลางลานกิจกรรมนั้นต่างหาก
 

…………….
………………………..

                 “นั่นใครนะ”  เขาทำเป็นใจดีสู้เสือตะโกนถามออกไป  ในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้เจ้าของเงาตะคุ่มที่ว่านั้นเป็นใครสักคนในคณะหรือลุงยามที่คอยดูแลตึก เพราะถ้าเป็นอะไรที่นอกเหนือไปจากที่เขาจินตนาการไว้ละก็ เขาไม่แน่ใจว่าลูกผู้ชายอกสามศอกที่ชื่อชิตรัตน์คนนี้จะสามารถก้าวขาวิ่งหนีได้ทันหรือไม่

                   “ฉะ ฉันถามว่าใคร”  เขาถามย้ำอีกครั้งพร้อมพยายามก้าวขาที่เริ่มจะสั่นกลัวของตัวเองเข้าไปใกล้เจ้าเงาปริศนาที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ชิตรัตน์ค่อยๆ ก้าวเข้าไปที่ละนิดละนิดจนกระทั้ง

!!

                    “เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยย!!”
……………….

……………………………
 

อ่านต่อในเล่ม
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดพิเศษ 3 คนของเธอ- 2-3-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 03-03-2017 19:26:36

คนของเธอ (ธารxแก้ว)




เสียงหอบหายใจหนักๆ ดังขึ้นมาเป็นระยะพร้อมกับความร้อนในกายที่เพิ่มขึ้นมาเป็นระยะและยังคงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ

   …..
   …………
                
   CUT เบนเข้าโคมไฟ
[/b]
   
   ……………………
   …………………………………….

   “คุณธาร... “
   “ครับ”
   เขารวบเอามือข้างนั้นของคนรักขึ้นมาสอดผสานแล้วโน้มตัวลงไปประทับจูบที่กลีบปากอิ่มเบาๆ ก่อนจะไล่ไปตามลำคอและลาดไหล่เล็ก ขบเม้มเบาๆ ตรงอกซ้ายจนเกิดรอย
   “ผม..ไม่ไหวแล้ว”  แก้วกล้าว่าเสียงหอบ
   ตั้งแต่เขาเปิดใจยอมรับธารในฐานะคนรักที่จะร่วมชีวิตด้วยกันแล้วอะไรๆ ก็ดูจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และเมื่ออยู่ด้วยกันเรื่องบนเตียงก็ดูจะเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างหนึ่งที่ควรจะเกิดขึ้น แต่เพราะตัวของแก้วกล้าเองที่ยังมีบาดแผลจากการคลอดอยู่ เรื่องอย่างว่าจึงถูกผลัดออกไป และเมื่อถึงคราวที่ร่างกายของเขาพร้อม ธารก็ไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่ตนอดทนรอต้องยืด เวลาต่อไป
   พวกเขาสองคนเริ่มสัมพันธ์ทางกายกันมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว และนั่นก็ทำให้แก้วกล้าค้นพบความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของธารด้วยเช่นกัน
   “ขออีกรอบ ฮึ่ม ฉันหยุดมันไม่ได้แล้ว”
    ในเมื่อคนนำเกมไม่คิดจะหยุดเกมรักในครั้งนี้ลง คนตามอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิถอนตัวเช่นกัน
   ……………….
   ……………………………
   ………………………………….

   แสงแดดยามสายที่สาดแสงจ้าถูกบั่นทอนความเจิดจ้าลงด้วยผ้าม่านผืนหนาที่ถูกเลื่อนมาปิดไว้ เพื่อไม่ให้ความสว่างของดวงอาทิตย์มารบกวนการนอนอย่างเป็นสุขของคนบนเตียง
   ลมหายใจที่สม่ำเสมอกับช่วงอกที่ขยับเป็นจังหวะบ่งบอกถึงการนอนอันแสนสุขของคนซึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้างได้เป็นอย่างดี บานประตูหนาถูกเปิดและปิดลงอย่างเบามือเพื่อไม่ให้คนที่นอนอยู่ตกใจ  ช่วงขายาวก้าวเดินแผ่วเบามาหยุดตรงข้างเตียง ก่อนจะประคองร่างเล็กๆ ที่เขาโอบอุ้มอย่างทะนุถนอมเอาไว้ในอ้อมแขนลงบนเตียงใหญ่อย่างเบามือ
   ฝ่ามือคู่น้อยยื่นออกตะปบไปมาบนแก้มของคนที่ยังคงนอนหลับอยู่พร้อมกับเสียงอ้อแอ้ที่ถูกเปล่งออกมาไม่เป็นศัพท์ เหมือนพยายามเรียกคนที่หลับใหลอยู่ให้รู้ตัว
   แก้วกล้าที่ถูกรบกวนการนอนจนไม่สามารถข่มความรู้สึกให้หลับลงต่อไปได้อีกครั้ง แม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงรู้สึกอ่อนเพลียจากกิจกรรมเมื่อคืนอยู่จนอยากจะจมอยู่กับความสบายของที่นอนหนาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนรอยยิ้มจะถูกจุดขึ้นเมื่อเห็นว่าใครกันที่เป็นผู้มาปลุกเขาในเช้านี้
   “ไงคะเจ้าหญิงของแม่”
   เขาว่าพร้อมจูบลงบนแก้วยุ้ยนิ่มของลูกสาวตัวน้อยที่ส่งเสียงพึ่งพอใจออกมา ก่อนจะถูกอุ้มลอยไปอยู่บนตักของผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแทน  คนเพิ่งตื่นไล่สายตามองตามการกระทำนั้นก่อนจะค่อยๆ ชันตัวลุกขึ้นมานั่ง แม้จะยังรู้สึกเสียดตรงช่องทางอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เจ็บมากมายเหมือนเมื่อครั้งแรกแต่อย่างไร
   “หอมแต่ลูก แล้วฉันละ” ธารว่าเสียงกระเง้ากระงอด
   “เมื่อคืนได้ไปเยอะแล้วไม่ใช่หรือไง”  แก้วกล้าเถียงกลับแต่ก็ยินยอมที่จะรับจูบจากริมฝีปากร้อนของอีกคน
   เมื่อพอใจกับรสสัมผัสในตอนเช้าแล้ว ธารจึงค่อยๆ ละจากสัมผัสนุ่มนั้นออกมาพร้อมกับเดินอุ้มลูกน้อยออกจากห้องไป เพื่อเป็นการเปิดทางให้แก้วกล้าได้มีเวลาจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย

   …………..
   ……………………..
   ……………………………………


   แก้วกล้ามองตามแผ่นหลังธารออกไปจนหายลับออกไปจากสายตา ก่อนจะบิดขี้เกียจน้อยๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงนอน ความเสียดจากช่วงล่างทำให้คนตัวเล็กไม่อาจเดินได้ไวมากเท่าที่ควร สองขาเรียวก้าวช้าๆ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำจัดการชำระร่างกายให้สดชื่น ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ก่อนจะเดินกลับออกมา หากแต่ระหว่างที่เขากำลังจะเดินตรงไปที่ประตูห้อง หางตาก็ไปสะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ตกอยู่ข้างโต๊ะทำงานของธารที่ถูกจัดเอาไว้อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง
   คนตัวเล็กเปลี่ยนจุดหมายจากบานประตูห้องไปยังกระดาษแผ่นนั้นแทนอย่างสนใจ  เขาเอื้อมลงไปหยิบเอากระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูแล้วพบว่ามันเป็นแผนงานการขนส่งสินค้าต่างๆ ทั่วๆ ไปของบริษัท คนตัวเล็กจึงไม่ได้สนใจอะไรกับมันมากเลยทำแค่วางมันกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง พร้อมกับหาอะไรทับเอาไว้กันไม่ให้มันปลิวตกลงมาอีก แต่ขณะที่กำลังหาที่ทับอยู่นั้นดวงตาสวยก็ไปสบเข้ากับบางอย่างที่อยู่ในลิ้นชักที่ปิดไม่สนิท
   ล็อกเก็ตอันเล็กซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นสิ่งที่ธารมักจะพกติดตัวอยู่เสมอถูกเปิดค้างเอาไว้ ด้วยความสงสัยใคร่รู้เขาจึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างสนใจ โดยเฉพาะรูปหญิงสาวต่างชาติที่ปรากฏอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้คนมองนิ่วหน้าด้วยความรู้สึกไม่พอใจ  สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะปิดล็อกเก็ตแล้วนำมันวางลงที่เดิมพร้อมกับแรงกระแทรกปิดลิ้นชักเสียงดัง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับความรู้สึกยุบยิบที่หัวใจ.......
   ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...?


อ่านต่อในเล่ม
[/color]
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดพิเศษ 3 คนของเธอ- 2-3-60
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 05-03-2017 11:04:25
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะ คนแต่งเขียนได้ดีมากทั้งความรู้สึกตัวละครขอบคุณ^^
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: wavery ที่ 09-05-2017 19:31:44
 

เพื่อนๆสามารถเข้าไปตรวจสอบรายชื่อการแจ้งโอนนิยายในรอบพรีออเดอร์ได้ที่

รายชื่อ-ที่อยู่ (https://drive.google.com/file/d/0B3eE6H2QHiByclpuZWpodmZrM2c/view)

นิยายจะจัดส่งช่วงสิ้นเดินนะคะ
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 16-05-2017 15:57:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 14-10-2018 22:24:34
อ่านจบแล้วววว มันส์ได้ใจ  o13 o13
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 29-10-2018 17:36:15
เคยอ่านแล้วรอบหนึ่ง
กลับมาอ่านรีไรท์อีกรอบ
ก็สนุกเหมือนเดิม
ชอบปิแอร์มาก
ร่าเริงตลอดๆ
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 22-06-2019 21:20:46
 :katai2-1: :katai2-1: ผูกเรื่องได้ดี ชอบๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 27-06-2019 22:02:45
 o13
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 24-08-2020 01:06:36
ดีมากๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 4- 26-12-59
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 24-08-2020 14:00:41
 เพื่อความสมบูรณ์ของนิยายเราขอคอมเมนต์อะไรนิดหน่อยนะ คงไม่ว่ากัน
ชื่อโจนาธาร (Jonathan) ต้องเขียนว่า โจนาธาน สะกดด้วย "น" ไม่ใช่ "ร" ที่จริงแล้วฝรั่งจะออกเสียงว่า จอนาธั่นด้วยซ้ำไป
ส่วนปิแอร์ (P'ierre ) เป็นชื่อของชาวฝรั่งเศสไม่ใช่อิตาลี :mew1:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 14- 25-1-60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 24-08-2020 22:27:07

 
 เมื่อทำอะไรไม่ได้คุณหญิงจึงเอามาลงที่คนท้องแทนจากแค่เขย่าร่างกายอย่างแรงเปลี่ยนเป็นเริ่มลงไม้ลงมือ แต่คนท้องใช่ว่าจะยอมเพราะแก้วกล้าเองก็ปัดป้องด้วย ถึงแม้แรงจะยืนเขายังไม่มีแต่เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเขากับลูกฟรีๆเหมือนกัน

            ปัง!

“แม่ / แก้ว!!!”

เสียงบานประตูที่ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงจนทำให้คุณหญิงหยุดการกระทำเมื่อครู่ลงแล้วหันไปมองผู้มาใหม่ทั้งสองที่อุกอาจเข้ามายังในห้องนอน

ชิตรัตน์รีบเข้าไปรั้งเอาตัวของคุณหญิงให้ออกมาห่างๆจาก คนท้องที่เริ่มทรงตัวไม่อยู่จนเซไปมาก่อนจะล้วงลงไปในอ้อมแขนของธานที่วิ่งตามเข้ามารับร่างอวบนั้นเอาไว้

“แก้ว!” ธานนึกโกรธผู้หญิงตรงหน้าที่กล้ากระทำการร้ายกาจใส่คนที่กำลังท้องอยู่ได้ขนาดนี้ดูสิแขนขาวทั้งสองข้างแดงเป็นรอยมือไปหมดไหนจะรอยฟกช้ำดำเขียวนั้นอีก แม่งเอ๊ย! เขาสถลออกมาในใจใครมันจะคิดละว่าการที่เขาขับรถวนกลับมาเพื่อนำของที่อีกคนลืมไว้มาให้จะทำให้เขาต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ นี้ถ้าแก้วกับลูกเป็นอะไรไปเขาจะเอาเรื่องอีคุณหญิงปีศาจนี้ให้ถึงที่สุดเลยจริง

“คุณธาน” แต่เสียงเรียกชื่อเขาเบาๆของคนในอ้อมแขนนั้นเรียกสติของเขาที่เอาแต่ต้องมองคุณหญิงอย่างโกรธเคืองนั้นให้หันกลับมามองคนในอ้อมแขนอีกครั้ง

“คุณธานรีบพาแก้วไปโรงพยาลดีกว่าครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเสร็จแล้วจะตามไป”

คราวนี้ธานยอมทำตามที่ชิตรัตน์พูดอย่างว่าไง เขารีบช้อนตัวของแก้วกล้าขึ้นอุ้มแล้วรีบเดินฝ่าผู้คนออกไปโดยมีชาติคอยเคลียทางเดินให้จนไปถึงรถ

ส่วนชิตรัตน์เมื่อเห็นว่าธานพาแก้วกล้าออกไปแล้วเขาก็หันไปสั่งให้คนที่ออกันอยู่เต็มหน้าประตูกลับไปทำงานของตนเสียแล้วรอจนทุกคนออกจากห้องเขาไปจนหมดแล้วจึงปล่อยตัวของคุณหญิงโฉมฉวีให้เป็นอิสระหลังจากที่ถูกจับมานาน

“แม่ทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหม”

“หึ รู้สิ ถ้าไม่รู้จะทำไปหรือไง”

“แล้วถ้าแก้วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

ชิตรัตน์ขึ้นเสียงอย่างเหลืออดกับการกระทำของแม่ตัวเอง รู้ว่าไม่ชอบแต่อย่างน้อยก็ควรจะมีมนุษยธรรมมากกว่านี้สิ เลขาของเขาก็ท้องขนาดนั้นไม่เห็นหรือไงถ้าเกิดเด็กเป็นอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบเขาไม่มีปัญญาไม่ขุดเอาแทนไทขึ้นมาจากหลุมมาทำลูกใช้คืนแก้วกล้าใหม่หรอกนะ

“ก็ชั่งหัวมันสิ”

 
คุณหญิงวรนุช :m20:
หัวข้อ: Re: ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -ฝนหยดที่ 27- 19-2-60
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 25-08-2020 00:31:01

ขอเดานะ
ชินเป็นลูกของวาดฟ้าที่โดนคุณหญิงวรนุชฆ่าตาย ใช่มั้ยๆๆ
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 04-09-2020 21:55:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 11-09-2020 16:58:07

 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 17-02-2022 20:46:09
ทั้งสนุก ทั้งเครียด 555   ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 12-03-2022 20:16:55
 :z13:
หัวข้อ: Re: End ฝนกลางฤดูหนาว (mpreg) -Updeat รอบพรีออเดอร์- 9-5-60
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 27-03-2022 00:00:10
 :pig4: :pig4: