Chapter 17 : ห้องหนังสือลูคัสพยายามสงบใจและค่อยๆ ใช้ฟันแกะเศษผ้าที่ผูกข้อมือไว้ออก เขาเสียเวลาอยู่นาน เพราะนอกจากปมจะแน่นมากแล้วแสงสว่างภายในห้องก็ยังริบหรี่ลงทุกที บนข้อมือมีร่องรอยสีแดงช้ำไม่ต่างกับรอยจูบบนแผ่นอก เมื่อลองสัมผัสดูก็รู้สึกเจ็บ บ่งบอกว่าเรื่องร้ายๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝัน
นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยที่เขาชอบมอง มันไม่ได้มีความรักเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย ท่านลอร์ดทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง แต่ตัวเขายังเป็นมนุษย์มีหัวใจ เขาไม่อาจทนรับสภาพการเป็นทาสของใครๆ ได้
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงแล้วหยิบผ้าคลุมสีดำผืนหนาที่สาวใช้แขวนไว้ให้ในห้องมาสวม ในใจคิดเพียงแค่ว่า ในเมื่อเข้าใกล้ห้องหนังสือไม่ได้ กลับบ้านไม่ได้ เขาก็จะต้องไปจากที่นี่ ไปที่ไหนก็ช่าง ขอให้ไกลที่สุด ไกลจากความเจ็บปวดทั้งร่างกาย... และหัวใจ
ลูคัสรอเวลาฟ้าสาง แม้จะมีหมอกหนาแต่ก็คงช่วยในการพรางตัวได้ดี และก็น่าจะยังพอมีแสงสว่างให้มองเห็นทางได้บ้าง พอถึงเวลาสายที่หมอกสลายไปเขาก็น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ในยามที่โผล่พ้นปลายฟ้าขึ้นมาด้วย ส่วนวิธีที่จะผ่านประตูกำแพงปราสาทก็ไม่น่ายากสักเท่าไหร่ เพราะช่วงหลังๆ มานี่พวกทหารไม่ได้ระแวงว่าเขาจะคิดหนีเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
แต่เขาก็กำลังจะทรยศต่อความไว้ใจของทุกคน
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ”
ทันทีที่มองเห็นแสงบางเบาที่ปลายฟ้า ลูคัสก็ปีนลงไปจากระเบียงห้อง เขาค่อยๆ เดินเลียบตัวปราสาทไปยังคอกม้า เมื่อเข้าไปในคอกได้แล้วก็เลือกจูงม้าตัวที่ดูสงบนิ่งที่สุดออกมา
ส่วนวิธีที่จะผ่านประตูกำแพงปราสาทออกไปได้... ก็คงมีวิธีเดียวเท่านั้น
เด็กหนุ่มปีนขึ้นหลังม้า เตะสีข้างให้มันวิ่งออกไปพร้อมกับดึงผ้าคลุมศีรษะออก
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ พวกทหารที่เฝ้าประตูจำเขาได้
“ท่านลูคัส! จะไปไหนแต่เช้าขอรับ”
“มีธุระในเมืองน่ะ ผมได้ยินว่ามีช่างโลหะฝีมือดี เลยว่าจะไปดักพบเขาสักหน่อย”
“ทำไมไม่ให้ทหารไปพาตัวมาเล่าขอรับ”
“เมื่อคืนผมเพิ่งนึกเรื่องช่างได้น่ะเลยไม่ทันบอกใคร แต่ไม่เป็นไร ผมต้องรีบไปก่อน เพราะได้ข่าวว่าช่างเขาจะไปธุระต่างเมืองตอนสายๆ” เด็กหนุ่มตอบไปด้วยสีหน้าจริงจัง “ถอยไปได้แล้ว เปิดประตูด้วย เร็วเข้า”
“ขอรับ” พวกทหารค้อมศีรษะลง
พอผ่านประตูไปได้ ลูคัสก็เตะสีข้างม้าอย่างแรง มันวิ่งพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หากเมื่อพวกทหารปิดประตูปราสาทไปสักพัก องครักษ์หนุ่มก็ควบม้าเข้ามาสอบถาม “เมื่อกี้ใครออกไปข้างนอกหรือ”
“ท่านลูคัสขอรับท่านคอนราด ท่านว่าจะไปธุระในเมือง”
คอนราดขมวดคิ้ว “ลูคัสน่ะรึ แปลกจริง” เขากระตุกบังเหียนม้าให้มันกลับหลังแล้วเตะสีข้างให้มันวิ่งออกไป
พอมาถึงตัวปราสาท องครักษ์หนุ่มก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วรีบรุดไปยังห้องนอนของผู้เป็นนาย ระหว่างทางที่เดินไปก็พบกับเออร์วินซึ่งกำลังตรวจตราความปลอดภัยในปราสาทฝั่งขวาอยู่พอดี
“รีบไปไหนน่ะคอนราด”
“ท่านคาร์ลอยู่ที่ไหน เจ้ารู้ไหม”
“ที่ห้องหนังสือ ดูเหมือนท่านจะไม่ได้กลับไปที่ห้องนอน อ้าว! คอนราด!” เออร์วินยังพูดไม่จบอีกฝ่ายก็วิ่งออกไป เขาจึงรีบวิ่งตาม “มีอะไรรึ!”
“ลูคัสออกไปข้างนอกปราสาทแล้ว!”
“ฮะ!?”
องครักษ์หนุ่มทุบบานประตูห้องสมุดอย่างแรงแล้วเปิดผางเข้าไป “ท่านคาร์ล!”
“มีอะไร” ลอร์ดหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขามานั่งสงบอารมณ์อยู่ในห้องหนังสือนี่ แล้วก็หยิบหนังสือมาอ่านจนเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ท่านได้อนุญาตให้ลูคัสออกไปข้างนอกปราสาทหรือไม่”
คาร์ลยืนขึ้นพรวด “ลูคัสออกไปข้างนอกรึ!”
“ขอรับ ไปเมื่อกี้”
“ไปเอาม้าออกเดี๋ยวนี้!” ลอร์ดหนุ่มหันไปคว้าเสื้อคลุมมาสวม แล้วรีบรุดออกจากห้องไปทันที
“ข้าจะไปเตรียมทหาร”
“ไม่ต้อง! พวกเจ้าไปกับข้าก็พอ ไม่ต้องให้ใครรู้”
“ขอรับ”
บานประตูปราสาทเปิดออกกว้างอีกครั้ง ก่อนม้าทั้งสามตัวจะพุ่งทะยานออกไป ลอร์ดหนุ่มอยู่บนหลังม้าสีดำสนิท มันเป็นม้าพันธุ์ดีที่มีฝีเท้าเป็นเลิศ จึงสามารถพาเจ้าของไปได้รวดเร็วกว่าม้าอีกสองตัวที่วิ่งตามอยู่ข้างหลัง
คาร์ลกัดฟันกรอด เขานึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะพยศกับเขาได้ถึงเพียงนี้ “ร้ายเหลือเกินนะ เจ้าเด็กดื้อ!”
เมื่อผ่านจากแนวป่าไปแล้วก็เป็นเวลาที่แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงให้ความสว่างไปทั่ว บนทางดินอัดแน่นมีรอยเท้าของม้าปรากฏอยู่มากมายจนแยกไม่ออกว่ารอยไหนเป็นของใหม่ เออร์วินจึงตะโกนถาม “ท่านคาร์ล จะไปทางไหนดีขอรับ”
“ลูคัสต้องเลือกเดินทางย้อนแสงแน่ ไปทางนั้น!” ลอร์ดหนุ่มชี้ไปทางทิศตะวันออก
“ลูคัสจะไม่ไปบ้านที่เขาเคยอยู่หรือขอรับ”
“เขารู้ว่านั่นจะเป็นที่แรกที่ข้านึกถึง” คาร์ลตอบพลางควบม้าออกไป
องครักษ์ทั้งสองควบตาม ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แต่ท่านคาร์ล ถ้าไปทางนี้น่ะ ลูคัสก็จะเห็น...”
ลอร์ดหนุ่มไม่ตอบ เขาเตะสีข้างม้าแรงขึ้นอีก “เร็วเข้ายาสเพอร์!”
ควบม้าไปอีกสักพักก็ถึงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หากบนทางดินอัดแน่นไม่มีรอยเท้าของม้าเลย แม้กระทั่งรอยเท้าของคนก็ไม่มี
“ท่านคาร์ล ไม่มีรอยเท้าเลยขอรับ”
“ลูคัสต้องมาทางนี้แน่” คาร์ลหันมองไปรอบๆ “หญ้าที่แหวกเป็นทางนั่น เขาคงลงเดินจูงม้าไป” จากนั้นจึงเตะสีข้างม้าให้วิ่งออกไปพร้อมกับสังเกตพงหญ้าไปด้วย แล้วก็เป็นอย่างที่ลอร์ดหนุ่มคิด ขี่ม้าไปสักพักก็พบว่าร่องรอยในพงหญ้าหายไป แต่เขาสังเกตเห็นใบหญ้าขยับซ่อกแซ่ก
“ลูคัส! ออกมาเดี๋ยวนี้!”
ฮี้~ เสียงม้าแว่วมาจากในพง
เด็กหนุ่มในพงหญ้าสะดุ้งเฮือก ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นหิน มือที่กุมบังเหียนม้าไว้เหงื่อออกจนชุ่ม เขาจะทำอย่างไรดี โดนตามทันเสียแล้ว
ฟันซี่เล็กกัดลงบนกลีบปากสีแดง เขาได้ยินเสียงเรียกของท่านลอร์ดใกล้เข้ามาทุกที เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจปล่อยมือจากบังเหียนแล้วตบก้นม้าอย่างแรงให้มันวิ่งนำออกไป
คาร์ลส่งสัญญาณมือให้องครักษ์ทั้งสองม้าไล่ตามไป ส่วนตัวเขานั่งนิ่งรออยู่บนหลังม้า ไม่นานพงหญ้าก็เริ่มขยับอีกครั้ง ลอร์ดหนุ่มจึงควบม้าตามไปช้าๆ
สักพักลูคัสก็โผล่ศีรษะออกมาจากพงหญ้า เขาประสานสายตากับดวงตาสีฟ้าเข้าอย่างจัง “ท่านลอร์ด!” เด็กหนุ่มวิ่งกลับเข้าไปในพงหญ้าอีกครั้ง
หากครั้งนี้คาร์ลไม่ปล่อยให้เขาเล็ดลอดไปจากสายตาได้ง่ายๆ ลอร์ดหนุ่มควบม้าตามเข้าไปในพงหญ้าทันที “ลูคัส! หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ไม่!” ลูคัสหลับหูหลับตาวิ่งไปโดยไม่สนใจว่าหญ้าจะบาดตามท่อนแขนกับใบหน้า เขารู้เพียงแค่ว่าจะไม่ยอมกลับไปกับท่านลอร์ดอีกแล้ว ทว่าจู่ๆ ก็หลุดออกจากพงหญ้าและถลาล้มไปบนทางดิน “อะ!” ที่ตรงหน้าเขานั้นองครักษ์ทั้งสองคนนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้ารอคอยการมาของเขาอยู่แล้ว
หากไม่ใช่แค่นั้น เบื้องหลังองครักษ์ทั้งสองมีกำแพงไม้สูงที่ตรงยอดเป็นไม้แหลม เอาไว้ใช้บ่งบอกเขตแดนของเมืองแบร์กไฮม์ มีทหารเวรยามยืนประจำอยู่ตลอดแนว และที่เด่นกว่านั้น คือมีร่างไร้วิญญาณแขวนไว้เรียงรายห้อยลงมาจากไม้แหลมบนยอดกำแพง
เด็กหนุ่มชะงัก เบิกตาโพลง ก่อนจะหันไปเห็นศีรษะของใครบางคนถูกเสียบอยู่บนเสาไม้ เขาตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด สองขาอ่อนแรงลงเสียอย่างนั้น
“นี่... นี่มัน...”
“พวกโจรที่เข้ามารังควานเมืองแบร์กไฮม์ขอรับ” คอนราดตอบเสียงขรึม “หัวนั่นเป็นของหัวหน้าพวกมัน”
หยดน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาสีเข้ม ในชีวิตไม่เคยคิดว่าต้องมาพบเห็นภาพน่าสยดสยองเช่นนี้มาก่อน และนี่... ตัวเขากำลังจะมีชะตากรรมเช่นเดียวกันกับพวกโจรใช่หรือไม่ ก็ในเมื่อเขา...
“ลูคัส”
น้ำเสียงคุ้นเคยส่งผลให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก ใจนึกถึงบิดามารดาและพี่ชาย พวกเขาคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ปิดลงอย่างจำใจต้องยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่สั่งสมอยู่ในอกหลั่งไหลออกมากับน้ำตา
“จะทำอะไรก็ทำเถอะครับ”
คาร์ลควบม้าเข้าไปหาแล้วคว้าตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาบนหลังม้าด้วย “ข้ามาพาเจ้ากลับ”
ลูคัสส่ายหน้าไปมา สองมือทั้งทุบทั้งผลักลอร์ดหนุ่มออก หากอ้อมแขนที่กอดรัดตัวเขาไว้ก็แน่นหนามากเช่นกัน “ผมไม่กลับ คุณจะฆ่าผมก็ฆ่า หรือไม่ก็ปล่อยผมไว้ที่นี่แหละ”
ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาส่งผลให้หัวใจของคาร์ลเจ็บปวดไม่แพ้กัน เขาเองก็ไม่เข้าใจความคิดของลูคัส ทั้งที่ทำเหมือนจะมีใจให้กัน แต่ทำไมจึงคิดแต่จะหนีไปจากเขา
“เจ้าไม่อยากอยู่กับข้ามากเพียงนี้เชียวหรือ”
เด็กหนุ่มชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่น “ผมอยากไปจากที่นี่... อยากกลับบ้าน”
คาร์ลกำมือแน่น... นั่นสินะ เขาไม่อาจเป็นเจ้าของอีกฝ่ายได้จริงๆ หากแต่ยังจะขอรั้นพยายามรั้งเด็กหนุ่มไว้อีกสักครั้ง
มือกร้านยกขึ้นเช็ดน้ำตาบนแก้มที่มีร่องรอยใบหญ้าบาดจนเลือดซึมออกมาเล็กน้อยอย่างอ่อนโยนที่สุด “เจ็บไหม”
ทว่าลูคัสก็เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเท่านั้น
“ลูคัส ลืมตาขึ้น” ลอร์ดหนุ่มจับคางเรียวเงยขึ้น “มองตาข้าสิ”
ในยามนี้นัยน์ตาที่เคยสดใสขุ่นมัวไปด้วยม่านน้ำตา และบนลำคอขาวก็ยังคงมีร่องรอยของฝ่ามือเขาชัดเจน
คาร์ลใช้ปลายนิ้วลูบไล้กลีบปากสีแดงอย่างอ่อนโยน คล้ายจะเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายลองคิดทบทวนดูอีกสักที จากนั้นจึงก้มลงแนบจุมพิตบนหน้าผากมนแล้วกระซิบถาม “บอกข้าสิ เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
สองมือที่สั่นเทาและเย็นเฉียบยกขึ้นกุมฝ่ามือหยาบกร้านไว้ ขณะที่เด็กหนุ่มเอ่ยปากขอร้องด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ผมอยากกลับบ้าน ผมคิดถึงครอบครัวของผม ได้โปรด... ถ้าคุณจะกรุณา... ให้ผมไปที่ห้องหนังสือ...”
คาร์ลเสตาหลบ หัวใจเจ็บเสียดราวกับมีหอกแหลมพุ่งเข้าแทง เขาพูดเสียงแผ่วอย่างสิ้นหวัง พลางถอนหายใจยาว “ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”
ลอร์ดหนุ่มควบม้าตัวสีนิลของเขากลับไปยังปราสาท ตลอดทางเขาไม่พูดอะไรกับเด็กหนุ่มอีก หากก็รู้ว่าอีกฝ่ายเกาะเสื้อคลุมตนเองไว้แล้วสะอื้นฮักๆ ตลอดเวลา
อย่างน้อย... ลูคัสไม่ได้รังเกียจเขาก็พอแล้ว
เมื่อไปถึงปราสาท ลอร์ดหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้า แล้วอุ้มร่างโปร่งพาดบ่า เขาสาวเท้าตรงไปยังชั้นสองของปราสาทฝั่งซ้าย
“ท่านคาร์ล!” เออร์วินควบม้าตามมาถึงก็รีบรุดตามผู้เป็นนายเข้าปราสาทไป ส่วนคอนราดนำม้าตัวที่ลูคัสขี่ออกไปกลับมาด้วย เขาจึงมาถึงช้าที่สุด
“คุณจะพาผมไปไหน!” มือเรียวขยุ้มเสื้อคลุมของลอร์ดหนุ่มไว้แน่น ศีรษะโคลงเคลงไปตามจังหวะการเดินของอีกฝ่าย
“เจ้าอยากจะไปที่ห้องหนังสือไม่ใช่รึ” คาร์ลตอบก่อนจะวางเด็กหนุ่มลงที่ข้างหน้าประตูห้อง
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง เขายกมือขึ้นปาดทางน้ำตาบนใบหน้า “ห้องหนังสือ” ทว่าพอถึงเวลาที่ได้มายืนหน้าห้องหนังสือจริงๆ ใจเขากลับลังเลและว้าวุ่น รู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างประหลาด เพราะถ้าหากบานประตูนี้พาเขากลับสู่โลกปัจจุบันได้จริงอย่างที่คิด ก็หมายความว่า... เขากับท่านลอร์ดจะต้องจากกันไปชั่วนิรันดร์
ลูคัสส่ายหน้าไล่ความรู้สึกสับสนออกไป
ไม่ได้! เขาไม่ใช่คนที่นี่ เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับ!
ความรักก็ไม่มีทางสมหวัง ตัดใจเสีย ลูคัส!
มือนุ่มยกขึ้นจับที่จับบานประตูค้างไว้ ก่อนจะหันหน้าไปทางลอร์ดหนุ่ม “ท่านลอร์ด”
ห้ามผมสิ ถ้าหากมีใจให้กันสักนิด... แวบหนึ่งใจคิดเช่นนั้น
ดวงตาทั้งสองคู่สบประสานกันเพียงชั่วครู่ ก่อนคาร์ลจะเบือนหน้าไปอีกทาง เขาไม่ใช่เจ้าของเด็กหนุ่มอย่างที่อีกฝ่ายว่า ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจรั้งสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองเอาไว้ได้
และในเมื่อไม่มีใจให้กัน สักวัน... เด็กหนุ่มก็คงจะหาทางไปจากเขาได้ในที่สุด ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาก็ควรจะตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ สวรรค์คงต้องการส่งลูคัสมาเพื่อช่วยเขากับชาวเมืองแบร์กไฮม์ แล้วก็นำตัวกลับไป...
ไม่ได้ส่งมาเพื่อให้อีกฝ่ายเป็นของเขาเพียงลำพัง
“ไปซะ”
ลูคัสเม้มปากแน่น หัวใจไหววูบ แววตาใสไหวระริก เขาบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าต้องตัดใจ ที่บ้านนั้น บิดามารดาและพี่ชายคงจะเป็นห่วงมากแล้ว ทุกคนกำลังรอเขาอยู่ มือขาวกดก้านโยกประตูลงแล้วผลักเข้าไปสุดแรง
ได้โปรด... พาเขากลับไปสู่โลกปัจจุบันด้วยเถอะ ส่วนหัวใจของเขาจะขอทิ้งไว้เบื้องหลัง
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือห้องที่เขามาถึงในคราวแรก ทุกสิ่งทุกอย่างคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ โซฟา เก้าอี้หรือหนังสือบนชั้น
มือเรียวเย็นเฉียบ เด็กหนุ่มประสานมันเข้าไว้ด้วยกันขณะก้าวขาเข้าไปภายในห้อง เดินวนไปรอบๆ ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง เขาไม่ได้กลับไปสู่โลกปัจจุบัน ห้องหนังสือแห่งนี้... ไม่ใช่บานประตูเชื่อมสองยุคอย่างที่คาดหวังไว้
“ไม่... ไม่จริง... กลับไม่ได้” เขาต้องอยู่ที่นี่ ติดอยู่ในยุคนี้ตลอดไปอย่างนั้นหรือ
“พ่อ! แม่! ไอแซ็ก!” ลูคัสร้องลั่น จากนั้นก็ร้องไห้จนตัวโยน ถึงจะคิดว่าโอกาสที่จะได้กลับบ้านอีกครั้งมีน้อยมากเหลือเกิน หากก็ยังมีความหวังเล็กน้อยอยู่ในใจเสมอ ดังนั้นเมื่อความจริงมาถึงไวเกินกว่าที่จะตั้งตัวได้ทัน เขาก็ทำใจยอมรับลำบาก
ลอร์ดหนุ่มรีบเข้าไปประคองร่างโปร่งก่อนที่อีกฝ่ายจะทรุดลงบนพื้นห้อง “ลูคัส!”
“ฮือ ผมกลับไม่ได้ กลับไม่ได้อีกแล้ว” สองมือขยุ้มเสื้อคลุมของคาร์ลเอาไว้แน่น นัยน์ตาสีเข้มมีม่านน้ำตาบดบัง “ผมจะทำยังไงดี”
คาร์ลลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยนก่อนจะโอบกอดเด็กหนุ่มไว้ เขารู้ว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัว หากก็ห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้ เขาก้มลงจูบบนศีรษะเล็กอย่างแผ่วเบาแล้วกระซิบบอก “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะลูคัส ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปื้อนไปด้วยน้ำตา เขาส่ายหน้าไปมา “แต่อีกไม่นานคุณก็ต้องแต่งงาน แล้วผมล่ะ ผมจะอยู่กับใคร”
หัวใจของลอร์ดหนุ่มราวกับถูกลวดหนามทิ่มแทง เขากระชับอ้อมแขนแน่น “ข้าไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า ลูคัส ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ”
ลูคัสพยายามปรือตาขึ้น ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเพราะถูกน้ำตาบดบังไว้ “ผม... ผมจะเชื่อคุณได้งั้นหรือ ถ้าหากวันหนึ่งผมหมดประโยชน์ คุณยังจะสนใจผมอีกอย่างนั้นหรือ”
“ลูคัส ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น”
“ฮือ...” ลูคัสไม่ฟังคำพูดใดๆ อีกแล้ว เขาสะอึกสะอื้นไห้อยู่ในอ้อมแขนลอร์ดหนุ่ม ไม่นานก็หมดสติไป
เออร์วินยืนมองเหตุการณ์อยู่ทางด้านนอกห้อง คำพูดของลูคัสไม่ต่างจากการสารภาพความในใจกับลอร์ดหนุ่ม เขาเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองคนดี แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกเจ็บหน่วงในอก ไม่นานคอนราดก็วิ่งเข้ามาสมทบ ภาพตรงหน้าทำให้เขารู้สึกสงสารเด็กหนุ่มจับใจ
“ท่านคาร์ล”
คาร์ลอุ้มร่างโปร่งขึ้นแนบกาย “ข้าจะพาลูคัสกลับไปที่ห้องของข้า พวกเจ้าไปเรียกสาวใช้มา แล้วเตรียมทหารไว้เฝ้าเขาด้วย”
บนเตียงนอนขนาดใหญ่แบบสี่เสา ม่านหนาถูกรวบเก็บไว้ ร่างโปร่งถูกนำไปวางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนคนที่อุ้มเข้ามาจะนั่งลงเคียงข้างกัน เขาลูบสัมผัสรอยบาดของใบหญ้าที่ปรากฏขึ้นมากมายตามท่อนแขนและใบหน้าที่ยังเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ในหัวใจเจ็บแปลบขณะที่นึกย้อนไปถึงสีหน้าของเด็กหนุ่มในยามที่พยายามวิ่งหนีไปให้ไกลจากตนสุดแรง
“ทำไมเจ้าถึงอยากไปจากข้ามากถึงขนาดนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ ไม่รู้สึกผูกพันกับข้าบ้างสักนิดเลยหรือ”
มือหยาบค่อยๆ ถอดผ้าคลุมของเด็กหนุ่มออก ยิ่งได้พบว่าอีกฝ่ายสวมใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นอยู่ข้างใน แล้วยังหนีไปในยามที่อากาศเย็นเยือกขนาดนั้นก็ยิ่งเจ็บร้าวในอก เขาพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ
สักพักพวกสาวใช้ก็ทยอยกันเข้ามาในห้อง คาร์ลปล่อยให้พวกหล่อนทำความสะอาด ใส่ยาบาดแผลและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แก่ลูคัส ส่วนตัวเขากลับไปยังห้องหนังสืออีกครั้ง
..
.....
..
นัยน์ตาสีเข้มลืมขึ้นช้าๆ เมื่อภาพเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นก็ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยกสองมือขึ้นกุมใบหน้า เนื่องจากรู้สึกปวดศีรษะ ตามร่างกายและดวงตา
“ท่านลูคัสเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เจ้าของชื่อเรียกลดมือลงพลางหันไปยังต้นเสียง ก่อนจะสังเกตว่าตัวเขาไม่ได้อยู่ในห้องของตนเอง และห้องนี้... เขาเคยมาที่ นี่ครั้งหนึ่งแล้ว
“ที่นี่คือห้องของท่านลอร์ดเจ้าค่ะ”
เพียงแค่ได้ยินชื่อหัวใจก็กระตุกวูบ สีหน้าแย่ลงไปอีก เขานึกย้อนถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ จนกระทั่งถึงตอนที่ได้เข้าไปในห้องหนังสือ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบไป
สิ่งเดียวที่จำได้แม่นและชัดเจนในใจก็คือ... เขากลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว จะต้องลาจากบิดามารดาและพี่ชายตลอดกาล และจะต้องทนเห็น...
ท่านลอร์ดกับเลดี้ของท่านในอนาคต
แม้เจ็บปวดในอกเจียนตาย หากน้ำตาก็ไม่รินไหลออกมาอีกแล้ว เขาสิ้นหวังจนไม่อยากจะเขยื้อนกายเลยสักนิดเดียว
“ท่านลูคัสเจ้าคะ” พวกสาวใช้จ้องมองเด็กหนุ่มอย่างเป็นกังวล “ท่านลูคัส...”
หลังจากนั่งนิ่งเป็นก้อนหินอยู่นาน เด็กหนุ่มจึงถาม “ท่านลอร์ดไปไหน”
“เมื่อก่อนหน้านี้ข้าเห็นท่านคุยงานกับหัวหน้าทหารอยู่ข้างล่างเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ” ลูคัสค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง หากยังไม่ทันลุกยืนพวกสาวใช้ก็ปราดเข้ามารั้งไว้
“จะไปไหนเจ้าคะ”
“ไปจากที่นี่”
“จะไปไหนเจ้าคะ ท่านเดินไหวหรือ”
“ไหวสิ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นพรวด แต่แล้วก็เซถลา เป็นผลให้พวกสาวใช้ตกใจร้องลั่นพร้อมกับรีบเข้าไปช่วยประคองไว้
“ท่านควรจะนอนพักอีกสักหน่อย” พวกหล่อนจับให้ลูคัสเอนหลังลงนอนอีกครั้ง “ท่านออกไปข้างนอกโดยที่ใส่แค่เสื้อขาดๆ กับเสื้อคลุมเท่านั้นตั้งครึ่งวัน ข้าเกรงว่าท่านจะเป็นไข้ และเมื่อวานท่านก็ไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน เพราะงั้นดื่มซุปแล้วดื่มยาสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ จะได้มีแรง”
“ผม... ไม่อยากกิน”
“ถ้าอย่างนั้นจะรอกินพร้อมท่านลอร์ดไหมเจ้าคะ เดี๋ยวข้าไปตาม...”
“ไม่! ไม่... ไม่ดีกว่า” เด็กหนุ่มส่ายหน้ารัว “งั้นเอามาตอนนี้เลยก็ได้ ผมหิวแล้ว”
สาวพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ”
ที่ด้านหน้าประตูห้องนั้น เจ้าของห้องได้ยินและรับรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้อง เขาพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ จากนั้นจึงหันหลังกลับแล้วเดินจากไป
ภายในห้องหนังสือ ลอร์ดหนุ่มวางปากกาขนนกในมือลงแล้วยกมือขึ้นคลึงขมับ เขานั่งทำงานอยู่ในห้องหนังสือมาตั้งแต่เมื่อคืน ไม่อยากอยู่นิ่งเฉย ไม่อยากพักผ่อน เพราะเมื่อใดที่ว่างก็จะนึกถึงแต่ใบหน้าเปื้อนน้ำตา และคำพูดของลูคัสที่เอาแต่บอกว่าต้องการจะไปจากเขา
“ท่านคาร์ล” องครักษ์หนุ่มเคาะประตูห้องหนังสือ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายใน
“มีอะไรหรือ เออร์วิน”
“ท่านอาเธอร์ส่งจดหมายมาบอกว่าอีกสี่วันจะมาถึงขอรับ”
สักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นคอนราดที่รีบรุดเข้ามาหาผู้เป็นนาย “ท่านคาร์ล ทหารลาดตระเวนของเราพบกองทัพของท่านบาร์ดอฟแล้ว คงเดินทางจะมาถึงที่แบร์กไฮม์นี่ภายในสัปดาห์นี้ อาจจะล่าช้ากว่าท่านอาเธอร์สักสองวัน”
ลอร์ดหนุ่มชักสีหน้า “กองทัพงั้นรึ? เขาพาทหารมาด้วยเยอะไหม”
“ประมาณสามร้อยนายขอรับ”
“อืม...” คาร์ลกัดกรามแน่น
“ทหารสามร้อยนาย พวกข้ารับมือได้สบายๆ ท่านคาร์ลโปรดอย่ากังวล”
“ข้ารู้ เขาคงตั้งใจมาดูลาดเลามากกว่า” ลอร์ดหนุ่มเอนตัวพิงพนักโซฟาพลางถอนหายใจ “ส่งข่าวไปบอกไฮน์ริชกับยาคอปด้วย”
“ข้าส่งไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เออร์วินสบถออกมาอย่างหัวเสีย “มีแผนอะไรอีกนะ!”
“ไม่เป็นไรหรอกเออร์วิน บาร์ดอฟไม่ได้งี่เง่าขนาดที่จู่ๆ ก็จะบุกมาตีแบร์กไฮม์ด้วยทหารแค่สามร้อยนายหรอก และเขายังต้องเป็นพันธมิตรกับท่านพ่ออยู่... แต่ภายในสามวันนี้ พวกเจ้าจงไปเตรียมทหารให้พร้อม เราจะต้องแสดงให้เขาเห็นว่าแบร์กไฮม์ไม่ใช่เมืองที่อ่อนแอ และข้า คาร์ล ฟรีดริช มาควิสแห่งไฮเดลแบร์ก ยังเป็นศัตรูคนที่สำคัญที่สุดของเขา”
*~TBC~*กรี๊ดด สงสารน้องลู ไม่เป็นไรนะลูก ชะตาชีวิตต้องมีสามียุคโบราณก็งี้แหละ /ตบตูดปลอบใจ
ตอนนี้อึมครึมนิดหน่อยนะคะ แต่ก็แบบ...ต้องมีเหตุการณ์ให้น้องลูตัดใจเนอะ จะได้หันมาเดินหน้าจับสามีให้อยู่หมัดไรงี้ 555555555555
ช่วงนี้ยุ่งมั่กๆ ค่า ปั่นนิยายแล้วยังอ่านหนังสือสอบไปล่วย หมดแรงวันละหลายๆ หนเลย /อ้อน
แต่ก็ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่อดทนรอติดตามน้องลูกับทั่นหลอดนะคะ รักนะ ม้วฟฟฟฟ
ปล. ขอบคุณสหายสาขาดันกระทู้ด้วยค่ะ น่ารักจริงๆ ฮืออออ จะรีบปั่นนิยายมาลงไวๆ นะคะ