ตอนที่ 28.1
จาเร็ตต์กลั้นใจเมื่อเรือของตนเริ่มเคลื่อนตัว เนื่องด้วยเป้าหมายของเขาคือการเข้าเผชิญหน้ากับเรือคาร์เธียร์ ซึ่งเป็นเรือรบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในน่านน้ำนี้ก็ว่าได้ และต่อให้พ่อบ้านชราของ 'คุณชายเอเรส' จะยืนยันว่าเรือลำนี้มีความปลอดภัยมากพอ แต่การที่ราชาโจรสลัดไม่ปรากฎตัวออกมาให้เห็นหน้าเลย ก็ทำให้ร่างโปร่งหวั่นใจ
"จะไม่รอเอเรสก่อนหรือ..."
จาเร็ตต์ผู้ยืนไม่ติดที่ เดินวนรอบพังงาเรือเป็นครั้งที่สาม ในขณะที่พ่อบ้านชรายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเขาจะเป็นคนออกคำสั่งเคลื่อนพลก็ตาม "คุณชายสั่งไว้น่ะขอรับ ว่าไม่ต้องรอ" จาเร็ตต์หันกลับมามองข้าศึกตรงหน้าอย่างไม่พอใจในคำตอบนัก เนื่องจากเอเรสไม่บอกอะไรกับเขาเลย ทั้งที่เขาถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่ายแท้ๆ
"แล้ว 'คุณชาย' ไปไหนเสียแล้วล่ะ" ร่างโปร่งบ่นอุบ "แค่มีม้าบินเลยจะไปไหนก็ได้ตามใจชอบรึ"
กองเรือเวเรเซียหันหน้าไปทางตะวันตก และส่งเรือปืนทั้งหมดออกไปเบื้องหน้าเพื่อจัดการถล่มท่าเรือออโรราตามคำสั่งของผู้นำ ในขณะกองทัพโจรสลัดกระจายกำลังรุกเข้ามาจากด้านหลังช้าๆ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เรือสั่งการ และเรือสนับสนุนที่ไร้อาวุธ
"พระนาง! พวกโจรสลัดเทเทส!!"
ราชินีธีสธรัลรีบรุดมายังท้ายเรือ เพื่อจะพบว่ากองเรือปริศนามุ่งหน้าเข้ามาใกล้ ซึ่งในตอนนี้เวเรนเซียมีเพียงเรือสั่งการคาร์เธียร์เท่านั้นที่มีปืนใหญ่ แต่เรือสนับสนุนลำอื่นมีอาวุธน้อยมาก ดังนั้นหากถูกโจมตี พวกเขาก็ไม่มีทางสู้ได้ "พวกโจรสลัดใช้เรือเร็วทั้งนั้น" หญิงสาวอ้าปากค้าง "ระดมพลกลับมา! เรียกกลับมา!! คุ้มกันเรือสนับสนุน เรือเสบียงทั้งหมด!"
แตรของธีสธรัลถูกเป่าขึ้นในทันที ทว่ามันก็ไม่ดังพอที่จะทำให้เรือเร็วซึ่งแล่นออกไปไกลแล้วได้ยิน
เพราะกลางทะเลเช่นนี้ หากกองทัพแยกห่างจากกันแล้วจะไม่สามารถรวมตัวกันได้โดยง่ายอีก "มีพลุไฟอยู่ในคลังแสงบ้างหรือเปล่า!" ผู้นำหญิงตวาดถามร้อนรน "นำคาร์เธียร์พุ่งเข้าไป พุ่งเข้าไปสมทบกับเรือเร็ว! กางใบเรือให้หมด!!"
"พระนาง... ลมแรงไม่พอขอรับ เราระดมฝีพายทั้งหมดแล้ว"
"หาพลุไฟ! สื่อสารกับพวกเรือเร็ว บอกให้พวกเขากลับมา" เรือโจรสลัดหลายลำทยอยพุ่งเข้าเทียบเรือสนับสนุนที่ใหญ่กว่า และเริ่มทำสิ่งที่โจรสลัดถนัดที่สุด นั่นคือการปล้นเอาทุกสิ่งอย่างมาเป็นของตน "ระดมฝีพายทุกลำเรือ คาร์เธียร์เปิดประตูปืนใหญ่!!"
"ยิงไปก็เท่ากับจมเรือตัวเองนะ พระนาง"
ไวลด์หันตามเสียงพูดที่ตนไม่คุ้นหู และพบกับชายร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาหาตนพร้อมกับม้าสีดำตัวเขื่อง องครักษ์ของราชินีรีบกรูเข้ามาขวางด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะชักดาบที่บั้นเอวออกมาทำร้ายผู้นำอาณาจักร จนอีกฝ่ายยกมือขึ้นตนขึ้นทั้งสองข้าง และยอมรักษาระยะห่างเอาไว้แต่โดยดี "ข้าไม่ได้มาเพื่อมีเรื่องน่ะนะ"
"เจ้าเป็นใคร..." สายตาของไวลด์เหลือบไปมองม้าที่อยู่ด้านหลังผู้มาเยือน "ม้ามีปีกรึ"
"ข้าคือเอเรส"
เอเรสแนะนำตัวเท่านั้น แล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อเพื่อหยอบซองหนังออกมา "ข้ามาทวงสัญญาของท่าน..." ชายหนุ่มคลี่แผ่นหนังออกก่อนจะหยิบแว่นกลมอันเดี่ยวออกมากระเป๋าเสื้อ และวางบนสันจมูกของตน "ยี่สิบแปดปีที่คลังหลวงธีสธรัลจะต้องแบกรับภาระค่าธรรมเนียมท่าเรือในการติดต่อค้าขายกับเรา หากเอเดรียนยินดีทำตามข้อเสนอ... ด้วยการขึ้นเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย" เอเรสแสร้งมองผ่านแว่น แล้วค่อยๆหันเอกสารในมือตนให้ราชินีธีสธรัลเห็นกับตาว่ามันคือสัญญาที่เขียนด้วยลายมือของพระนางเอง
"แลกกับความสงบสุขของอาเดรีย..."
สัญญาที่เอเดรียนไม่แม้แต่จะมองในตอนนั้น... บัดนี้อยู่ในมือของเอเรส และปรากฎลายมือชื่อของแม่ทัพเอเดรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้าตัวตกลงที่จะทำตามข้อเสนอ "เรียกเรือปืนของท่านกลับมา หากไม่อยากเป็นผู้ผิดสัญญาเสียเอง" เอเรสกดเสียงลงต่ำเป็นเชิงข่มขู่ แต่แล้วราชินีก็เป็นฝ่ายชักดาบประจำกายออกมาและชี้ตรงไปที่คนตรงหน้าอย่างไม่กลัวเกรง
"เจ้าขโมยสิ่งนี้ออกมาจากห้องของข้า ถ้าข้าฆ่าเจ้าที่นี่... จะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าสัญญานั่นมีอยู่จริง"
บรึ้ม...!!
ท้ายเรือคาร์เธียร์ก็ถูกโจมตีจนลำเรือสั่นไหวและเหล่าทหารเสียหลักยืน เอเรสอาศัยจังหวะนั้นกระโดดขึ้นม้าของตนและดึงบังเหียนให้มันบินออกไปจากคาร์เธียร์ กลับไปยังเรือบัญชาการของตนที่แล่นเข้ามาใกล้ ทว่าไม่อยู่ในระยะปืนใหญ่
"ตาเฒ่า! ท่านมาได้ถูกจังหวะตลอดเลยนะ!"
ออร์เดนร่อนลงบนดาดฟ้าเรือ คุณชายแห่งฟลินทรัสต์ส่งยิ้มให้พ่อบ้านคนสนิทก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคนที่กำลังโกรธจัดกับการหายตัวไปของเขา "เอเรส!" จาเร็ตต์พุ่งลงมาจากดาดฟ้าด้านหลัง และแหงนมองคู่สนทนาที่เพิ่งกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับซองหนังสีดำ "เจ้านี่มัน!!"
"ถามสิว่าข้าบาดเจ็บไหม" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ข้าเตรียมคำตอบรอแล้ว"
"ไม่ถาม!!"
"อา... เลขาใจร้าย" ร่างสูงหัวเราะ และยัดซองหนังสือใส่มืออีกฝ่าย ก่อนจะผละไปยังกราบเรือ "ตาเฒ่า... หันหัวเรือออกมาหน่อย เรายังต้องนำพวกที่เหลือตามไปถล่มด้านในอ่าว" เรือบัญชาการกางใบเรือรับลม และมุ่งตรงเข้าไปในอ่าวออโรรา ประตูปืนใหญ่ทั้งหมดถูกเปิดออกเป็นสัญญาณพร้อมที่จะโจมตี
"นี่มัน... สัญญา..." จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว "เอเดรียนยอมรับข้อเสนอนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!"
"นั่นลายมือข้าเอง" เอเรสหัวเราะ "ถ้ารอพี่ข้าเขียนคงไม่ได้สงบศึกกันหรอกวันนี้"
--------------------------------------------------
เซนทอร์ที่ไม่ใคร่จะถูกกันสนทนากันได้เพียงเท่านั้น เมื่อพบว่าพวกเขามีภารกิจที่สำคัญกว่าการเถียงกันไปมาในเรื่องที่หาสาระไม่ได้ ซาฮาลหันกลับไปหาทหารมนุษย์ที่ดาหน้าเข้ามาเมื่อครู่นี้ แต่ก็พบว่าหน่วยรบพิเศษของแม่ทัพโมนากระจายกำลังควบคุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว
"โมนา..."
"เจ้าทำอะไร เหตุใดแม่ทัพโมนาถึงได้มาที่นี่ได้ แล้วยังหน่วยพิเศษของนางอีก นี่จะเปิดสงครามฆ่าล้างบางพวกมนุษย์กันหรือไร!" รีดาห์ดึงแขนซาฮาลกลับมาเมื่อเห็นว่าโดยรอบตัวไม่มีศัตรูที่จะทำอันตรายพวกเขาได้ โดยประโยคคำถามของเขาก็ดึงความสนใจจากเอเดรียนเช่นกัน
"นางมาตามคำสั่งข้า" ร่างสูงตอบกลับ "เจ้าให้ข้าดูสัญญานั่นก็เพื่อให้ข้าช่วยไม่ใช่รึ"
"ข้าไม่ได้..."
"เจ้าต้องการสู้หลังชนกับเพื่อน..." ซาฮาลหันไปมองอีกฝ่ายตรงๆ "แล้วข้าเป็นเพื่อนเจ้าได้ไหม"
รีดาห์อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร แต่แล้วก็นึกได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมาอ้ำอึ้งอยู่กับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าขัดเขินหรืองุนงง "ได้!!" ร่างโปร่งพยักหน้าพร้อมกับยกโล่ขึ้นมา
"จะเอายังไงก็เอาเลย!"
เอเดรียนยังคิดหาวิธีเปิดประตูปราการชั้นสุดท้าย ประตูสูงใหญ่ทำจากเหล็กหนาที่ปิดล็อคได้หลาย ดังนั้นจึงเปล่าประโยชน์หากคิดจะใช้มือเปล่าในการทำลาย เดิมทีเขาคิดจะให้คนของตนที่ปราการชั้นในทำหน้าที่นี้ แต่ในเมื่อเหตุการณ์บานปลายวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ แม่ทัพใหญ่ก็คิดว่าเขาคงไม่สามารถให้สัญญาณใดๆกับคนของตนได้
"อา... ให้ตาย"
ร่างสูงมุ่นคิ้ว และเริ่มคิดถึงกลไกของประตูบานนี้ที่เขารู้จักมันดี มันอาจเป็นความภูมิใจสูงสุดของอาเดรีย ป้อมปราการที่ไม่มีใครตีแตกนี้คือจุดแข็งของเมืองท่าแห่งแผ่นดินตะวันตก หากไม่มีไส้ศึก ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะอาเดรียได้
"รอช้าอะไรอยู่ เจ้าจะบอกว่าไม่สามารถเปิดประตูได้อย่างนั้นรึ"
รีดาห์เร่งเร้า ทหารเซนทอร์ที่ติดตามทยอยมาสมทบหลังจากกำจัดศัตรูที่ขวางอยู่ตรงหน้าจนหมด พวกเซนทอร์วิ่งผ่านย่านร้านค้าที่ร้างผู้คน บ้านเรือนของชนชั้นสูงที่ปิดตาย และสำรวจทุกพื้นที่ในปราการชั้นสองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูที่มีชีวิตหลงเหลืออยู่
กำลังพลทั้งหมดของคัสนาห์... ไม่มีใครได้กลับบ้านเกิดของตนเอง
คิดเพียงเท่านั้น ใจของเอเดรียนก็หนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิด
ทั้งที่พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ๆ ทั้งที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ แต่กลับถูกส่งมาตายแบบนี้ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่ทรยศบ้านเมืองตัวเองด้วยการร่วมมือกับเซนทอร์ "ท่านชายซินญอร์!!" ร่างสูงดึงม้าถอยหลังก่อนตะโกนออกมาสุดเสียงเพื่อเรียกหาเจ้าเมือง
"ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดกับท่าน..."
แน่นอนว่าเบื้องหลังประตูใหญ่ได้ยินเสียงของเอเดรียนชัดเจน และนั่นยิ่งทำให้พลทหารที่ละล้าละหลังไม่มั่นใจอยู่แล้วยิ่งรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม เมื่อครู่ยังมีเสียงของทหารคัสนาห์โห่ร้องด้วยความฮึกเหิม แต่บัดนี้กลับมีแต่ความเงียบและกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ด้านนอก อีกฟากประตูคือแม่ทัพใหญ่ที่คอยประคับประคองกองทัพ ส่วนด้านหลังของพวกเขาคือผู้นำที่คอยปกปักษ์รักษาบ้านเมือง ทหารธรรมดาอย่างพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะลดอาวุธลงหรือไม่
...ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาสามารถเลือกข้างได้หรือเปล่า
แต่หากต้องเลือกขึ้นมาจริงๆ พวกเขาควรจะอยู่เคียงข้างใคร หากยืนหยัดอยู่ข้างผู้นำอาณาจักรตามธรรมเนียมปฏิบัติ ท่านชายซินญอร์ผู้นี้จะสามารถปกป้อง และหาทางออกในทุกปัญหาได้หรือเปล่า ในเมื่อคนที่คอยแก้ปัญหาทุกอย่างก็คือแม่ทัพเอเดรียน ผู้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งฟากประตูนี้ แต่ถ้าเข้าข้างแม่ทัพใหญ่ ก็เท่ากับว่าพวกเขาหันหลังให้ผู้นำอาณาจักรไม่ใช่หรือ ผู้นำอาณาจักรที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตกษัตริย์ผู้ล่วงลับ
ท่านชายซินญอร์มีท่าทีสงบนิ่งเสมือนไม่รู้สึกรู้สา แต่ใครจะรู้ว่าผู้นำอาเดรียในตอนนี้หวาดกลัวจนแทบลืมหายใจ "เอเดรียน..." เขารู้แก่ใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคืออะไร แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเร็วเกินไป ทั้งที่เขาตั้งใจให้เรื่องราวลงเอยเช่นนี้แท้ๆ
ราชินีหัวดื้อของธีสธรัลจะไม่ยอมปล่อยเมืองท่านี้ให้เป็นอิสระอย่างแน่นอนตราบใดที่เขายังปกครอง และจะต้องยึดอาเดรียกลับคืนไปเป็นอาณานิคมอีกครั้งให้ได้เพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจของตนเอาไว้ ตราบใดที่เขายังเป็นผู้นำอาณาจักรอยู่เช่นนี้ ซินญอร์ก็จะถูกจับนั่งในตำแหน่งของวีรบุรุษผู้สามารถแข็งข้อกับจักรภพได้
ทั้งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้...
มีทางเดียวที่อาเดรียจะอยู่รอดปลอดภัยต่อไปก็ต่อเมื่อเขาลงจากอำนาจเท่านั้น
แต่ใครจะเป็นผู้นำอาเดรียคนต่อไป ในเมื่อท่านชายก็ไร้ซึ่งทายาท ดังนั้นความหวังของเขาจึงมอบให้เอเดรียน แม่ทัพใหญ่ผู้โดดเด่นในเรื่องของความเยือกเย็น ต่อให้เอเดรียนคิดการกบฎด้วยตนเอง ซินญอร์ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายทำเพื่ออาณาจักรมากกว่าอำนาจ และต่อให้เอเดรียนคิดเนรคุณเขา ท่านชายก็ไม่รู้สึกเสียใจ ...เพียงแต่คนอย่างเอเดรียนขาดเพียงความกล้าหาญเท่านั้น
จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องทำให้แม่ทัพของเขาแข็งแกร่งขึ้น...
แข็งแกร่งพอ และมีอำนาจบารมีพอที่จะปกป้องอาเดรียต่อจากเขา ท่านชายซินญอร์หลับตาลงแล้วค่อยๆดึงบังเหียนให้ม้าของตนเดินนำไปด้านหน้าประตูใหญ่ที่ยังปิดสนิท เอเดรียนไม่เอ่ยเรียกซ้ำ แต่ซินญอร์เชื่อว่าอีกฝ่ายอดทนรออยู่ด้านนอกอย่างใจเย็น และไม่มีความคิดจะพังประตูเข้ามา
เพราะปราการชั้นสุดท้ายของอาเดรียแข็งแกร่งแค่ไหน... เอเดรียนรู้ดีที่สุด
"เปิดประตู..." ท่านชายสั่ง "ถ้าแม่ทัพของพวกเจ้าพาเซนทอร์มาฆ่าเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ก็จงให้เขาทำ"
"ท่านชาย...!"
ประโยคที่ออกจากปากของผู้นำทำให้ทุกคนในที่นั้นเบิกตาขึ้นด้วยความตกตะลึง "ท่านชาย... แต่ว่า... พวกคัสนาห์ด้านนอก!" พลทหารมั่นใจว่าเสียงของกองทัพคัสนาห์ที่ประจำอยู่ด้านนอกเงียบไปแล้ว และคงถูกพวกเซนทอร์เข่นฆ่าจนหมดสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย "ท่านชาย... แม่ทัพเอเดรียนจะสามารถ..."
"ข้าสั่งให้เปิดประตู!" ร่างสูงตวาด
"เอเดรียน ฟลินทรัสต์!! นี่เจ้านำหายนะมาสู่บ้านเมืองตัวเองหรืออย่างไร!"
มนุษย์ที่ไม่ใช่ชนชั้นขุนนางมักไม่มีนามสกุล ดังนั้นพลทหารจึงเข้าใจว่าแม่ทัพของพวกเขาเป็นคนธรรมดามาโดยตลอด แต่เมื่อผู้นำอาณาจักรเรียกขานสกุลอีกฝ่าย มันก็เป็นเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่าการที่เอเดรียนพาเซนทอร์มาบุกถึงอาเดรีย
เพราะตระกูลฟลินทรัสต์คือตระกูลที่เคยมีอิทธิพลมากในอดีต
...และตอนนี้ก็เป็นตระกูลที่คอยปกป้องพวกโจรสลัดด้วย
กลอนหนักๆหลายตัวค่อยๆถอดถอน และโซ่ใหญ่ก็ดึงบานประตูเลื่อนเปิดช้าๆ เบื้องหน้าของกองทัพอาเดรียในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับคนครึ่งม้า และผู้นำทัพของตัวเอง เอเดรียนสูดลมหายใจลึกเมื่อเห็นท่านชายของตนดึงม้ามาหยุดด้านหน้ากองทัพ และลูกทัพที่จับอาวุธเตรียมพร้อม แม้ว่าสีหน้าของพลทหารจะไม่สู้ดีเอาเสียเลยก็ตาม
พวกเซนทอร์ยอมหยุดอยู่เบื้องหลัง ขณะมองแม่ทัพใหญ่ลงจากหลังม้าของตน และเดินตรงไปหาผู้นำอาณาจักรโดยปราศจากอาวุธติดตัว ซินญอร์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงบนิ่ง และเลื่อนสายตาขึ้นมองอมนุษย์ครึ่งม้าเบื้องหน้า มองความรู้สึกชิงชังที่อยู่ในสายตาของพวกเขา แล้วจึงกลับมาสนใจคนตรงหน้าดังเดิม
"เจ้าทำอะไร เอเดรียน..." ประโยคที่ดูใจเย็นผิดปกติทำให้เอเดรียนรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนจากญาติผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน "เจ้าปกป้องอาเดรียด้วยการยกทัพจากต่างเมืองมารุกรานบ้านเมืองตนเองหรือไร"
"เจ้าคิดว่าฆ่าข้าแล้วพวกธีสธรัลจะยอมล่าถอย ไม่ไล่ต้อนเราอีกต่อไปหรือไร"
เอเดรียนเงยหน้าขึ้นมองร่างบนหลังม้า ใบหน้าของท่านชายในตอนนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะมองมากที่สุด เพราะยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิดเสียจนเจ็บแปลบไปทั้งอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องอธิบาย เพื่อให้สิ่งที่เขากลัวที่สุดไม่เกิดขึ้น "ข้าไม่ได้ทำเพื่อเอาอกเอาใจธีสธรัล..." นัยน์ตาสีเข้มส่ายไหวเล็กน้อยขณะเสียงสั่นพูดต่อ "แต่ข้าทำเพื่ออาเดรีย"
"..." ซินญอร์ไม่ตอบคำ แต่ฟังการอธิบายของอีกฝ่ายต่อ
"ราชินีไวลด์ให้สัญญากับข้า หากข้าขึ้นเป็นผู้นำอาเดรีย นางจะยอมล่าถอย" แม่ทัพใหญ่ว่า "ท่านชายซินญอร์... หนีไปเถอะ" คำที่ออกจากปากเอเดรียนทำให้ผู้นำอาณาจักรประหลาดใจอยู่บ้าง เขาก้มลงมองคู่สนทนาที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำทัพ ทว่ากลับเป็นคนใจอ่อนไม่เด็ดขาดไม่เคยเปลี่ยน
"ข้าเอาชีวิตท่านไม่ได้... แต่ข้าต้องใช้อำนาจของท่าน"
"เจ้าควรจะฆ่าข้า ตามประเพณีของการล้มล้างราชบัลลังก์" ซินญอร์ตอบเสียงเย็น "ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นได้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่ต้องเสียเวลาเอาตัวเองมาเดิมพันเช่นนี้" ชายหนุ่มพูดเรียบๆ "จงฆ่าข้าให้แล้วมันเป็นตราบาปในใจเจ้าต่อไปเถอะ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น... เจ้าจึงจะปกป้องอาเดรียได้ดีกว่าใคร"
"ท่านชาย...!"
"ข้าให้เจ้าไปเจรจากับแอสทารอธ เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง... เจ้าในฐานะขุนนางที่จงรักภักดีต่ออาณาจักรที่สุดกลับไม่สามารถแก้ปัญหาให้อาณาจักรได้" ร่างบนหลังม้าตำหนิ "เจ้าไม่สามารถเจรจาเพื่อให้ได้คำตอบว่าแอสทารอธต้องการอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพราะเจ้าไม่มีความกล้ามากพอ ไม่สามารถตัดสินใจได้ดีพอ ดังนั้น... ถ้าให้พวกมันต้องการชีวิตข้าคงจะง่ายกว่ารอเจ้า"
เอเดรียนเบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เรื่องราวในหัวค่อยๆปะติดปะต่อทีละน้อยและสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัว "ข้าคิดเช่นนี้ได้เมื่อหัวหน้าพรานจับเซนทอร์ของเจ้ากลับมา... ในเมื่อเจ้าหาสิ่งที่แอสทารอธต้องการไม่ได้ ข้าก็คงต้องทำแบบนี้" เอเดรียนอ้าปากค้างและส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อหู ตลอดเวลาที่ผ่านมา สาเหตุที่ท่านชายผู้นำของเขาดูไร้เหตุผลและเสียสติ ก็เพื่อสร้างความเกลียดชังให้เขา เพื่อให้เขาอดรนทนไม่ได้จนต้องหันหลังให้ และหักใจทำแบบนี้น่ะหรือ
"และที่ข้าไม่เจรจากับธีสธรัล เพราะยิ่งเจรจาไป พวกมันก็มีแต่จะเอาเปรียบ..."
"ท่านถึงได้ดึงดันที่จะติดต่อแอสทารอธ แม้ว่าจะทำให้พวกเขาเกลียดชังอย่างนั้นหรือ"
"เซนทอร์อ่านไม่ยาก... เจ้าคบกับพวกมันไม่รู้เลยหรือไร เผ่าพันธุ์นี้ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ เจ้าควรเลือกผูกมิตรกับแอสทารอธมากกว่าธีสธรัล" ซินญอร์เหลือบมองครึ่งม้าที่ยังยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างเป็นระเบียบแลละอดทน "เอเดรียน... ลงมือเสีย"
คำสั่งแบบนี้เท่านั้นที่บีบหัวใจของผู้ใต้บัญชาที่สุด... สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าการที่แม่ทัพใหญ่เป็นฝ่ายก่อกบฎ นั่นคือเจตนาของผู้นำอาณาจักรที่บีบให้เอเดรียนทำเช่นนี้แต่แรก "เจ้าก็รู้... เรื่องนี้ไม่มีทางจบหากข้ายังเป็นผู้นำ แต่ข้าลงจากตำแหน่งไม่ได้หากยังมีลมหายใจ"
"ข้าขอให้ท่านหนีไป... กลับไปยังคัสนาห์ก็ได้ อย่าบังคับให้ข้าลงมือเช่นนี้!"
ซินญอร์เหยียดมุมปากขึ้นอย่างนึกสมเพช "เจ้ามันอ่อนแอ... หากข้าร้องขอสิ่งนี้กับน้องชายเจ้า เขาคงตัดสินใจง่ายกว่า" ร่างบนหลังม้าชักดาบออกจากฝัก การกระทำนั้นทำให้เหล่าเซนทอร์หยิบอาวุธมาเตรียมพร้อม โดยไม่สนใจว่าเอเดรียนจะเคยขอให้เว้นชีวิตทหารอาเดรียอย่างไร "ถ้าเจ้าไม่รีบ... ข้าจะสู้กับพวกเซนทอร์ และเจ้าคงรู้ดีว่าอัศวินเหล่านั้นเด็ดขาดกับศัตรูอย่างไร"
เอเดรียนหันกลับไปมองอมนุษย์เบื้องหลังตน และเห็นเซนทอร์สีขาวปลอดก้าวมายืนเบื้องหน้าคนของตนแล้ว แม่ทัพหญิงแห่งแอสทารอธมีชื่อเสียงในเรื่องของความดุเดือดและเด็ดขาด ดังนั้นหากท่านชายซินญอร์สั่งโจมตี พลทหารเบื้องหน้าของเขาทั้งหมดนี้อาจต้องตาย
...ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ท่านชาย
"ถ้าข้าลงมือ ข้าคงไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต"
"ก็จงจมอยู่กับความผิดนั้นไปให้ตลอด..." ท่านชายย้ำ "โทษฐานที่เจ้าทำให้ข้าผิดหวังอย่างที่สุด"
เอเดรียนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยไม่สามารถตัดสินใจได้ บุคคลตรงหน้ามีบุญคุณกับเขามากจนเกินไป อีกฝ่ายเอ็นดูเขา และคอยช่วยเหลือเขามาตลอด ในเหตุการณ์ครั้งนี้อีกฝ่ายก็มีเจตนาทำเพื่อเขา แล้วจะให้เขาหันอาวุธให้ผู้นำของตนได้อย่างไร ...เขาจะมอบความตายให้คนที่เป็นเหมือนพี่ชายตัวเองได้อย่างไร
--------------------------------------------------