พิมพ์หน้านี้ - ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: khaosap ที่ 23-10-2016 19:47:38

หัวข้อ: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 23-10-2016 19:47:38
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

**************************************************

(http://image.dek-d.com/27/0060/1224/116355724)

นิยายเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของ GREAT ARCHER series

สารบัญ
[เนื่องจากนิยาย 1 ตอนมีความยาวเกิน 20,000 ตัวอักษร (10 หน้า A4) จึงต้องแยกโพสต์ x.1+x.2]
ตอนที่ 1 [ 1.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3497424#msg3497424) + 1.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3497425#msg3497425) ]
ตอนที่ 2 [ 2.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3498720#msg3498720) + 2.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3498721#msg3498721) ]
ตอนที่ 3 [ 3.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3498780#msg3498780) + 3.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3498781#msg3498781) ]
ตอนที่ 4 [ 4.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3499432#msg3499432) + 4.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3499433#msg3499433) ]
ตอนที่ 5 [ 5.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3500018#msg3500018) + 5.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3500019#msg3500019) ]
ตอนที่ 6 [ 6.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3500628#msg3500628) + 6.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3500629#msg3500629) ]
ตอนที่ 7 [ 7.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3501429#msg3501429) + 7.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3501432#msg3501432) + 7.3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3501434#msg3501434) ]
ตอนที่ 8 [ 8.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3502183#msg3502183) + 8.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3502185#msg3502185) ]
ตอนที่ 9 [ 9.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3503086#msg3503086) + 9.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3503087#msg3503087) ]
ตอนที่ 10 [ 10.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3503758#msg3503758) + 10.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3503759#msg3503759) ]
ตอนที่ 11 [ 11.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3504645#msg3504645) + 11.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3504647#msg3504647) ]
ตอนที่ 12 [ 12.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3505551#msg3505551) + 12.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3505554#msg3505554) ]
ตอนที่ 13 [ 13.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3506323#msg3506323) + 13.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3506324#msg3506324) ]
ตอนที่ 14 [ 14.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3506985#msg3506985) + 14.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3506998#msg3506998) ]
ตอนที่ 15 [ 15.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3508180#msg3508180) + 15.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3508323#msg3508323) ]
ตอนที่ 16 [ 16.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3509242#msg3509242) + 16.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3509944#msg3509944) ]
ตอนที่ 17 [ 17.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3510318#msg3510318) + 17.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3510640#msg3510640) ]
ตอนที่ 18 [ 18.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3512068#msg3512068) + 18.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3512739#msg3512739) ]
ตอนที่ 19 [ 19.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3516193#msg3516193) + 19.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3517083#msg3517083) ]
ตอนที่ 20 [ 20.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3517635#msg3517635) + 20.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3517768#msg3517768) ]
ตอนที่ 21 [ 21.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3519101#msg3519101) + 21.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3519421#msg3519421) ]
ตอนที่ 22 [ 22.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3521120#msg3521120) + 22.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3523102#msg3523102) ]
ตอนที่ 23 [ 23.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3533639#msg3533639) + 23.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3535147#msg3535147) ]
ตอนที่ 24 [ 24.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3537982#msg3537982) + 24.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3538390#msg3538390) ]
ตอนที่ 25 [ 25.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3540137#msg3540137) + 25.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3541210#msg3541210) ]
ตอนที่ 26 [ 26.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3542107#msg3542107) + 26.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3542816#msg3542816) ]
ตอนที่ 27 [ 27.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3560919#msg3560919) + 27.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3560922#msg3560922) ]
ตอนที่ 28 [ 28.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3562454#msg3562454) + 28.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3562458#msg3562458) ]
ตอนที่ 29 [ 29.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3563608#msg3563608) + 29.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3564174#msg3564174) ]
ตอนที่ 30 [ 30.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3564965#msg3564965) + 30.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3565400#msg3565400) ]
บทส่งท้าย [ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3566050#msg3566050) + 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3568529#msg3568529) + 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3569362#msg3569362) ]

ตอนพิเศษ [ (1) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3570389#msg3570389) + (2) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3574597#msg3574597) + (3) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56200.msg3575157#msg3575157) ]
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 1.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 23-10-2016 19:53:36
แผนที่โลกประกอบการอ่าน
(https://image.dek-d.com/27/0060/1224/122454349)

****************************************



ตอนที่ 1.1

มหาทวีปกอนด์วานาเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด

แต่มันก็เป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างที่สุดเช่นกัน ด้วยเหตุผลของความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ซึ่งมีทั้งมนุษย์ ภูตไม้ นางพราย และเซนทอร์ ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีวิถีชีวิต และความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป เป็นต้นว่าเซนทอร์ไม่ชอบให้ใครขี่ม้าให้พวกเขาเห็น ในขณะเดียวกันพวกภูตไม้ก็ไม่ล่าสัตว์จำพวกนก หรือแม้กระทั่งเหล่านางพรายที่มักจะไม่พอใจเมื่อเห็นสตรีเดินทางโดยสารอยู่บนเรือ ดังนั้นการที่ทุกเผ่าจะอยู่ร่วมกันได้  พวกเขาจึงต้องเคารพ และยอมรับในวัฒนธรรมความแตกต่างของเผ่าอื่น

ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่ในตอนนี้มหาทวีปกอนด์วานาปราศจากปัญหาความขัดแย้งทางเผ่าพันธุ์

แต่สิ่งที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งนี้คือผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว

เมื่ออาณาจักรมนุษย์ที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่สุดอย่างธีสธรัลเกิดความผันผวนจากสงครามภายใน และผลัดบัลลังก์กษัตริย์ให้กับราชินีไวลด์ การค้าขายระหว่างอาณาจักรจึงเกิดความสั่นคลอน เนื่องด้วยองค์ราชินีผู้นี้ไม่เป็นที่รู้จักและน่าเชื่อถือสักเท่าใดในสายตาของพ่อค้าชาวเอลฟ์แห่งแผ่นดินตะวันออก จึงเป็นงานท้าทายสำหรับราชินีองค์ใหม่ที่จะกอบกู้ความสัมพันธ์ และความน่าเชื่อถือจากชาวเอลฟ์เพื่อชักจูงให้พวกเขาไว้วางใจที่จะกลับมาค้าขายกับธีสธรัลอีกครั้งหนึ่ง

ทุกอย่างคงเป็นไปได้ด้วยดี หากธีสธรัลไม่ใช่อาณาจักรที่ตั้งอยู่บนเกาะ...

เมื่อมหาอำนาจเพลี่ยงพล้ำ อาณาจักรคัสนาห์-อาเดรียซึ่งตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่และมีชื่อเสียงในด้านการเดินเรือจึงเกิดความคิดที่จะแข็งข้อต่อสู้ หลังจากตกเป็นเบี้ยล่างของมหาอำนาจมาหลายสิบปี โดยท่านหญิงซินญอร่าผู้ปกครองอาณาจักรคัสนาห์บังคับให้ท่านชายซินญอร์ผู้ปกครองอาณาจักรอาเดรียตัดสินใจตัดขาดการติดต่อค้าขายกับอาณาจักรธีสธรัล และปิดอ่าวอาเดรียเพื่อบีบบังคับให้ราชินีไวลด์ผู้ตกที่นั่งลำบากยอมเดินทางมาเจรจาที่แผ่นดินใหญ่ ด้วยความมั่นใจว่าราชินีผู้นี้ไม่สามารถรับมือสงครามทางเศรษฐกิจจากทั้งสองฝั่งได้พร้อมกัน

ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถวางใจได้ว่าตนจะมีชัยในการเจรจา เพราะต่อให้คัสนาห์-อาเดรียจะได้รับสมญาว่าประตูสู่มหาทวีป แต่ก็ยังมีอีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งมีความสามารถในการเดินเรือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อีกทั้งยังมีท่าเรือขนาดใหญ่นับร้อยเรียงรายอยู่ในอ่าวทางเหนือของอาเดรีย จึงนับเป็นคู่แข่งสำคัญที่ธีสธรัลอาจเบนเบี่ยงไปสมาคมด้วย

...นั่นคือ แอสทารอธ อาณาจักรแห่งดวงดาว

--------------------------------------------------

คลื่นลมในวันนี้เป็นใจให้นักล่า...

แสงอาทิตย์แรงกล้า และท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆทำให้อากาศร้อนกว่าที่เคย แต่นั่นก็ทำให้เกิดกระแสลมแรงที่ใกล้พื้นแผ่นดินและผิวน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เหล่านักเดินเรือพอใจอย่างที่สุด เพราะเป้าหมายของกลุ่มคนที่อยู่บนเรือเดินสมุทรซึ่งลอยลำกลางทะเลอยู่โดดเดี่ยวมาหลายวันนี้ คือปลาวาฬตัวเขื่องที่กำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนหนีอย่างสุดกำลังโดยที่มีเชือกหลายเส้นพันธนาการอยู่รอบตัว

สำหรับกลุ่มคนที่มีเพียงธนูไม้ และหอกยาวเป็นอาวุธดูจะยากเกินไปสำหรับการล่าวาฬ แต่วาฬตัวนี้จะเป็นวัตถุดิบสำคัญในการปรุงอาหารเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งหมายถึงการเป็นหน้าตาของอาณาจักร

"แทงที่ด้านหน้า! ดึงหางมันขึ้นมา! อย่าให้มันลากเรือเราลงน้ำ!!"

กัปตันเรือร้องบอกกลุ่มคนที่เอนเอียงแออัดไปข้างหนึ่งของลำเรือ และพยายามจะใช้อาวุธทำให้สัตว์ใหญ่ศิโรราบ มันสะบัดหางมหึมาฟาดผิวน้ำอย่างรุนแรงด้วยความอึดอัดและเจ็บปวด เพราะบริเวณส่วนหัวนั้นมีหอกสองเล่มใหญ่ปักอยู่ น้ำทะเลถูกย้อมเป็นสีแดงจากเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผล แต่สัตว์ยักษ์ก็ยังไม่สิ้นแรง ดังนั้นนักล่าจึงยังไม่สามารถลากร่างมหึมานั้นขึ้นฝั่งได้

เดิมทีพวกเขาควรจะใช้เรือเล็กสำรองในการล่าวาฬ เพื่อป้องกันความเสียที่อาจเกิดขึ้นกับเรือใหญ่หากวาฬมีพละกำลังมากพอที่จะต่อสู้ แต่ภารกิจล่าวาฬครั้งนี้ต้องการความรวดเร็ว ดังนั้นกองทัพเรือจึงอนุญาตให้นำเรือเร็วติดฉมวกออกมาใช้งานได้ เรือล่าวาฬทั่วไปนั้นมีขนาดใหญ่กว่านี้มาก เนื่องจากพวกเขาต้องการพื้นที่ห้องเสบียงจำนวนมากในการเก็บสำรองน้ำและอาหารเพื่อยังชีพลูกเรือหลายคนเป็นเวลาหลายเดือน

แต่เรือเร็วนี้สามารถลอยลำอยู่กลางทะเลได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น

"แบบนี้ข้าคงต้องรอไปอีกทั้งวันกว่ามันจะสิ้นลม"

ชายหนุ่มร่างโปร่งก้าวออกมาจากกลุ่มลูกเรือที่ส่งเสียงโหวกเหวก เขาพุ่งตรงไปหากัปตันเรือร่างสูง และเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาสีน้ำเงินทะเลลึกเป็นเชิงออกคำสั่ง "กดมันให้จมน้ำ... ไม่กี่อึดใจหรอก สัตว์พวกนี้ต้องการอากาศ กดให้มันจมน้ำตาย!" แม้น้ำเสียงของผู้พูดจะไม่ทรงพลังอย่างกัปตันเรือ แต่มันก็เด็ดขาดพอที่จะทำให้ลูกเรือทั้งหมดต้องเงียบเสียง และมองผู้นำของตนเป็นตาเดียว

ลูกเรือต้องฟังคำสั่งกัปตันเท่านั้น ...ดังนั้นกัปตันจึงต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

แต่กัปตันเรือล่าวาฬธรรมดาหรือจะกล้าชัดคำสั่ง เลสธีราห์ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือ

"กดให้มันจมน้ำ... จะกดด้วยน้ำหนักตัวของพวกเจ้าหรืออะไรก็ได้ ทำให้มันจมน้ำ!!"  วาฬเป็นสัตว์ที่หายใจด้วยปอด พวกมันยังต้องการอากาศ และต้องหายใจเป็นระยะ ดังนั้นหากพวกเขากดหัวให้มันจมน้ำเสีย อย่างไรสัตว์ใหญ่ก็ต้องสิ้นใจอยู่ดี แม้ว่ามันจะกลั้นใจได้นานแค่ไหนก็ตาม

ชายฉกรรจ์หลายคนกระโดดลงไปในทะเลและใช้น้ำหนักตัวเองในการกดทับให้ 'จมูก' ของปลาวาฬซึ่งอยู่บนหลังของมันจมลงไปใต้น้ำเพื่อปิดกั้นไม่ให้มันมีโอกาสหายใจ แม้ว่ามันจะดิ้นรนต่อสู้ก็ตาม

เลสธีราห์ก้มมองสัตว์ใหญ่ที่หมดแรงไปทีละน้อยด้วยสีหน้าที่ระบุไม่ได้ว่าสงสารหรือสมเพช ชายหนุ่มวางมือลงบนกาบเรือก่อนจะหลับตาลงและถอนใจ "การฆ่าสัตว์ใหญ่แบบนี้เป็นเรื่องลำบากใจข้าที่สุด" เขาพูดกับกัปตันเรือที่ยืนอยู่ข้างกัน "แต่เรา..."

"ท่านเลสธีราห์..."

ยังไม่ทันพูดจบ กัปตันเรือก็อุทานขึ้นด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับที่ลูกเรือคนอื่นที่ยังอยู่บนเรือพากันเงียบและมองไปยังเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือเรืออีกลำหนึ่งซึ่งมีตราประจำเมืองปรากฎอยู่บนธงยอดเสา... อันเป็นสัญลักษณ์ว่าเรืออีกลำนี้ไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขา

"เตรียมอาวุธ... พร้อมรับการปะทะ!"

เป็นอีกครั้งที่เลสธีราห์ออกคำสั่ง และในครั้งนี้ลูกเรือไม่รอคำสั่งจากกัปตัน พวกเขาพุ่งกลับเข้าไปใต้ท้องเรืออย่างรู้งาน และลำเลียงอาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ออกมา

ทว่าเรือที่ผ่านมากลับดูไม่สนใจพวกเขาเลย...

"ท่านเลสธีราห์ จะให้ข้าสั่งเปิดประตูปืนหรือไม่"

นัยน์ตาสีน้ำเงินของเลสธีราห์เหลือบมองท้องฟ้าสักครู่หนึ่งและยกมือขึ้นปรามทุกคนทั้งลำเรือ ชายหนุ่มเพ่งมองไปที่ธงยอดเสา และใบเรือทุกใบที่กางอยู่ ก่อนจะละกลับมามองปลาวาฬตัวเขื่องที่ยังดิ้นพราดๆ อยู่เคียงข้างลำเรือของตน "ถอนคำสั่ง..." ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ "พวกมันลักลอบเข้ามาในอาณาเขตของเราแปลว่าเส้นทางเดินเรือหลักไม่สามารถใช้งานได้"

เมื่อถอนคำสั่งแล้ว เลสธีราห์ก็ละความสนใจจากปลาวาฬ เขาเดินนำกัปตันเข้าไปในห้องพักที่มีแผนที่ทางทะเลกางอยู่บนโต๊ะกว้าง และลากนิ้วไปตามแนวอาณาเขตที่เป็นของพวกเขา "ธงนั่น... เป็นพวกอาเดรียไม่ผิดเพี้ยน แต่อาเดรียที่มีเส้นทางเดินเรือและอาณาเขตในทะเลมากกว่าเราจะลักลอบเข้ามาในเขตเราทำไมกัน" ร่างโปร่งชี้นิ้วไปที่แนวหินโสโครกในแผนที่อันเป็นเขตน้ำตื้นที่แบ่งคั่นอาณาเขต "พวกมันกำลังหนีอะไรอยู่

"ท่านเลสธีราห์..."

"กัปตัน..." เลสธีราห์กล่าวเด็ดขาด แม้เขาจะสูงเพียงแค่ระดับสายตาของกัปตันเรือ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามดูน้อยลงไปเลย "เราต้องเร่งกลับแอสทารอธ!"

--------------------------------------------------

แอสทารอธ...

อาณาจักรแห่งเซนทอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามมหาอำนาจทางทะเล ปกครองโดยเหนือหัวดาเรียสผู้แข็งแกร่ง มีอาณาเขตกว้างไกลครอบครองป่าเพลีเวธาร์ทางตอนใต้ทั้งหมด อีกทั้งอ่าวมารินาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลเทเทสอีกด้วย พื้นที่บริเวณกว้างเช่นนี้เองทำให้แอสทารอธมีอำนาจต่อรองมากกว่าเมืองอื่นๆหลายเท่าตัว และกลายเป็นศูนย์กลางการค้าไปโดยปริยาย

แต่อัธยาศัยของชาวแอสทารอธเทียบไม่ได้กับเมืองคู่แข่งอย่างอาเดรีย

อาเดรียเป็นอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้ที่มีชายแดนติดกับแอสทารอธ และเป็นถิ่นอาศัยของมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าช่างเจรจาที่สุดในบรรดามนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งยังฉลาด หลักแหลม มีไหวพริบ และมีความสามารถในการค้าขายมากเสียจนแอสทารอธไม่สามารถเอาชนะได้

เซนทอร์เกิดมาเพื่อเป็นนักรบ ...หาใช่พ่อค้า

แต่ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเป็นเรื่องสำคัญ เซนทอร์ก็จำต้องปรับตัวเพื่อให้ตนเองอยู่รอดต่อไป ความคิดเช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของประวัติศาสตร์ความสูญเสียครั้งใหญ่ของเมืองเซนทอร์นี้ ซึ่งมันอาจเป็นประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำให้คนครึ่งม้ายิ่งเพลี่ยงพล้ำในการทำการ ค้าขายเนื่องจากมันทำให้พวกเขาไม่ไว้ใจกลุ่มคนกลุ่มใดง่ายๆ อีกต่อไป

...หากไม่ใช่เพราะอดีตเจ็บปวดที่ฝังใจนี้ แอสทารอธก็คงจะเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองที่สุด

เมื่อครั้งที่ครึ่งม้าไม่มีวิธีที่ใดที่จะเดินทางออกไปยังท้องทะเล พ่อค้าเอลฟ์จากแผ่นดินตะวันออกได้เดินทางเข้ามาขอซื้อไม้จากป่าของพวกเขาโดยใช้ความเจริญรุ่งเรืองมาเป็นตัวหลอกล่อ เซนทอร์ตกลงยินยอมในทันทีด้วยเกรงว่าเมืองอื่นจะฉกฉวยโอกาสนี้ไปต่อหน้าต่อตา โดยหารู้ไม่ว่าการเจรจาซื้อไม้เป็นเพียงเรื่องบังหน้า จุดประสงค์ที่แท้จริงของชาวเอลฟ์คือฝูงปลาในน่านน้ำของแอสทารอธที่มีมากมายมหาศาล พวกเขาจึงยอมซื้อไม้จากเซนทอร์ สอนพวกครึ่งม้าต่อเรือ และเคลื่อนขบวนเรือกลับแผ่นดินตะวันออกพร้อมกับปลาในทะเลที่ลักลอบจับขึ้นมา

...พวกครึ่งม้าที่ไม่รู้จักมหาสมุทรจะทำอะไรได้

นานนับสิบปีกว่าแอสทารอธจะได้สติ และพยายามขับไล่ชาวเอลฟ์ออกไปจากอาณาเขตของตนในทุกวิถีทาง แต่ก็เป็นผลยากเนื่องจากเอลฟ์เองก็เริ่มรู้จักน่านน้ำมากขึ้น และรู้จักหลบซ่อนต่อกรเก่งกาจขึ้น มหานครแอสทารอธจึงเพลี่ยงพล้ำ สิ้นหวัง และสูญเสีย... ราวกับพวกเขากำลังถูกปล้นโดยที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเฝ้ามอง

ดังนั้นพวกเซนทอร์จึงไม่เคยไว้ใจใครอีกเลย...

--------------------------------------------------

...ฮูม!

แตรเมืองแห่งอาเดรียส่งเสียงอู้อี้ประกาศถึงการกลับมาของเจ้าเมืองหลังเดินทางไปเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตที่ดูจะไม่สำเร็จ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในของคู่เจรจา แต่ก็อาจส่งผลดีอยู่บ้างเนื่องจากสงครามการเมืองที่ว่านี้ทำให้เกิดการล้มล้างราชบัลลังก์ และเปลี่ยนกษัตริย์ใหม่ คัสนาห์และอาเดรียจึงได้รับอิสรภาพหลังจากตกเป็นเมืองในอาณานิคมนับสิบปี

"ซินญอร์อยู่ที่ไหน..."

ท่านหญิงซินญอร่า ผู้นำอาณาจักรคัสนาห์ก้าวลงจากม้าขาวของนางในสภาพที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมม นางรีบบึ่งตรงมาที่มหาคฤหาสน์อันเป็นที่พักของผู้นำแทบจะในทันทีที่เรือลำใหญ่เทียบท่า เจ้าเมืองหญิงรวบผมยาวรุงรังที่เกราะกรังไปด้วยเศษฝุ่นขึ้นให้พ้นคอเพื่อระบายความร้อน และมองหาน้องชายซึ่งเป็นเจ้าเมือง "ไปตามเขามาพบข้า"

"ท่านพี่... เหตุใดจึงรีบเดินทางกลับ"

น้องชายฝาแฝดของท่านหญิงก้าวออกมาจากที่พัก ก่อนจะก้มหัวลงน้อยเพื่อแสดงความเคารพและต้อนรับญาติคนสนิท "ข้าได้รับแจ้งว่าท่านจะเดินทางกลับในอีกสามวัน" รูปหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันขมวดมุ่นคิ้วด้วยความฉงน แต่ท่านชายซินญอร์ก็ดูจะได้คำตอบเมื่อเห็นพี่สาวของตนพยักหน้า "พวกธีสธรัลผลัดบัลลังก์แล้วสินะ"

ท่านหญิงถอนใจยาวหนึ่งครั้งและพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในคฤหาสน์ด้วยตนเอง "เรามีเรื่องจะต้องเร่งหารือกัน จริงอยู่ว่าการผลัดบัลลังก์ของธีสธรัลจะทำให้เราเป็นอิสระจากพวกมัน แต่จะมีใครรับรองได้ว่าผู้นำคนใหม่จะไม่ยกกองทัพกลับมาตีเมืองแห่งนี้อีกครั้ง คิดว่าธีสธรัลจะยอมเสียเมืองในอาณานิคมไปทั้งหมดหรือ"

ธีสธรัลเป็นชื่อเมืองซึ่งเคยเป็นเมืองที่ทั้งคัสนาห์และอาเดรียต้องยำเกรง

แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว...

"ซินญอร์ เราจะต้องลงมือก่อนที่ธีสธรัลจะไหวตัวทัน" ผู้เป็นพี่สาวกล่าวแน่วแน่ "เราจะต้องเป็นอิสระจากการครอบงำของพวกมัน และวิธีที่จะได้มาซึ่งอิสระนี้ เราจะต้องร่วมมือกับแอสทารอธ"

เมื่อครั้งที่ผู้นำทั้งสองยังเยาว์วัย ข้าศึกจากธีสธรัลได้บุกประชิดตัวเมืองและส่งคนเข้ามาลอบสังหารองค์กษัตริย์เป็นผลสำเร็จ แต่ด้วยความเมตตาที่หลงเหลืออยู่ในจิตใจ ทำให้ผู้ชนะยอมลดมือและไว้ชีวิตสองพี่น้องผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อผู้นำ ท่านหญิงซินญอร่าและท่านชายซินญอร์จึงมีชีวิตรอดและได้เป็นเจ้าเมืองสืบมาภายใต้ธงเครือจักรภพ

คัสนาห์เมืองพี่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเป็นที่ต้องการของข้าศึก

แต่เมืองน้องอาเดรียนั้นเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในมหาทวีป

หากเป็นอดีต ซินญอร่ายอมรับว่านางกลัวความตายหากคิดจะแข็งข้อ แต่ในตอนนี้นางคิดว่าตนพร้อมแล้วที่จะต่อสู้ เพื่อแย่งชิงสิ่งที่พวกเขาควรจะมีกลับมา ...คัสนาห์และอาเดรียคือเมืองท่าที่ควรจะแข็งแกร่งที่สุด และรุ่งเรืองที่สุดในมหาทวีป

และความแข็งแกร่งนั้นจะต้องเริ่มสร้างในตอนนี้...

"เราจะต้องปิดท่าเรืออาเดรีย... และเจรจาขอความร่วมมือจากพวกเซนทอร์!"

--------------------------------------------------

วาฬยักษ์สิ้นลมในระหว่างการเดินทางกลับที่ใช้เวลาเกือบครึ่งวันหลังจากถูกเรือใหญ่ลากมาด้วยทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหัววันทำให้ผู้บัญชาการกองทัพเรือไม่อาจนิ่งนอนใจรอต่อไปได้ เขาจะต้องรีบกลับมายังเมืองหลวงเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้สภาขุนนางรับรู้ในการประชุมที่มีจะมีขึ้นในรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง และด้วยความที่แอสทารอธเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างไกลครอบคลุมทั้งป่า ภูเขา และทะเล ทำให้การเดินทางจากกลางทะเลกลับไปยังเมืองหลวงนั้นใช้เวลามากพอสมควร

เรือล่าวาฬแล่นกลับเข้ามาในเขตอ่าวมารินา และมุ่งเข้าสู่ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธ ลูกเรือที่เหนื่อยล้าจากการออกล่าสัตว์เริ่มขยับตัวยืดเส้นยืดสายอีกครั้งเพื่อทำงานใหญ่ชิ้นต่อไป ซึ่งนั่นก็คือการนำซากวาฬขึ้นฝั่ง อ่าวมารินามีท่าเรือเล็กๆ นับร้อยรอบอ่าว ซึ่งยังแบ่งออกเป็นหลายสัดส่วน ทั้งท่าเทียบเรือประมง ท่าเทียบเรือพาณิชย์ ท่าเทียบเรือรบ และท่าเทียบเรือที่ออกแบบมาเพื่อการนำซากวาฬขึ้นฝั่งโดยเฉพาะ โดยเรือล่าวาฬจะจอดเทียบท่าที่ยื่นออกไปนอกแผ่นดินมากเป็นพิเศษ ก่อนที่จะใช้กำลังคนลากซากสัตว์จากเรือไปที่ท่าที่อยู่ติดกันซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นลาดเอียงลงไปในทะเล "เอ้า! อีกอึดใจเดียว... ตื่นตัวกันหน่อย" กัปตันเรือหัวเราะลงคอด้วยความขบขันเมื่อเห็นท่าทางอ่อนเปลี้ยของคนใต้บัญชา ชายฉกรรจ์ที่มีกำลังค่อยๆ เดินลงไปทีละคน ก่อนจะคืนร่างเป็นครึ่งม้า และออกแรงร่วมกันลากซากสัตว์ขึ้นฝั่ง

เลสธีราห์... ผู้บัญชาการสูงสุดกอดอกมองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไร

เขากำลังมองขนาดของสัตว์ที่จับได้ และเริ่มคิดไปว่าจะสามารถเลี้ยงอาคันตุกะจากต่างแดนได้สักกี่มื้ออาหาร ตอนนี้แอสทารอธกำลังจะให้การต้อนรับคณะทูตจากดินแดนตะวันออกซึ่งมาเพื่อเจรจาการค้าในฤดูหนาวอันใกล้ อันเรียกได้ว่าอาจจะเป็นฤดูค้าขายที่สำคัญที่สุดของเซนทอร์ก็เป็นได้ เพราะชาวเอลฟ์ที่แผ่นดินตะวันออกกำลังจะประสบกับความหนาวเย็น ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร และต้องสั่งซื้อวัตถุดิบจำนวนมากจากตะวันตกที่มีอากาศอบอุ่นกว่า และอยู่ในช่วงเพาะปลูก

เซนทอร์ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ดังนั้นเนื้อสัตว์จึงเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของเมืองนี้ ซึ่งแม้จะฟังดูประหลาดไปสักหน่อย แต่อมนุษย์ครึ่งอาชาทุกคนเกิดมาเป็นนักรบ ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่พวกเขาจะมีความสามารถพิเศษในการล่าสัตว์

ทว่าด้วยนิสัยของม้าที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้อมนุษย์เผ่านี้เป็นมังสวิรัติ

พวกเซนทอร์ช่วยกันลากวาฬทั้งตัวขึ้นไปอยู่บนลานหินที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ชำแหละสัตว์ใหญ่ เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลบนตัวสัตว์จนเจิ่งนองไปทั่วบริเวณเช่นเดียวกับกลิ่นคาวที่เริ่มเหม็นคลุ้ง พวกเขาจะต้องรีบชำแหละซากสัตว์นี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่ฟ้าจะมืด เพื่อให้มันคงความสดใหม่เอาไว้ดังเดิมเมื่อไปถึงห้องเตรียมอาหารในพระราชวัง

"ท่านเลสธีราห์ เราควรจะวู่วามแจ้งข่าวนี้กับเหนือหัวจริงหรือขอรับ"

เลสธีราห์ละสายตาจากภาพนั้นแล้วจึงหันไปหากัปตันเรือที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายตั้งคำถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้ จริงอยู่ว่าเลสธีราห์เป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุด และกัปตันเรือธรรมดาก็คงจะไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนความคิดหรือการตัดสินใจของผู้นำ แต่อย่างไรกัปตันหนุ่มก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเรือจากเมืองอืนสักลำแล่นล้ำเข้ามาในเขตของตน เพราะอย่างไรอาณาเขตทางทะเลก็แบ่งกั้นได้ยากอยู่แล้ว ดังนั้นการล่วงเข้ามาในเขตของกันและกันจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

"ขออภัย... แต่ข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น"

หากเป็นเซนทอร์ตนอื่น ความเข้มขวด และความเคารพอย่างแรงกล้าในตัวผู้นำคงจะทำให้กัปตันหนุ่มได้รับบทลงโทษบ้างที่กล้าถามเช่นนี้ แต่นั่นไม่ใช่อุปนิสัยของผู้บัญชาการอย่างเลสธีราห์ แม้ว่าใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มจะไม่ปรากฎรอยยิ้ม แต่ทุกคนรู้ดีว่าเลสธีราห์เป็นคนที่มีจิตใจดี อ่อนโยน และมีเมตตาเสมอ

"ถ้าเป็นเรือประมงธรรมดาของพวกชาวบ้านอาเดรียที่ชอบลักลอบเข้ามาในน่านน้ำของเรา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้าก็คงดูไม่ออกในครั้งแรกว่านั่นเป็นเรือของอาเดรีย แต่ในเมื่อเราเห็นธงอาณาจักรของพวกมันเด่นชัดปานนั้น จะเป็นใครอื่นใดอีกที่โดยสารมาในเรือ" ร่างโปร่งตอบเสียงเรียบ และนุ่มนวลใจเย็นเกินกว่าใครจะเชื่อว่านี่คือชายหนุ่มที่มีอายุเพียงยี่สิบสองปี

แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เลสธีราห์ได้รับตำแหน่งนี้

...ความเยือกเย็นของเขา

"มหาอำนาจทางทะเลเทเทสมีสามอาณาจักรใหญ่คือแอสทารอธ อาเดรีย และธีสธรัล แต่อาเดรียถูกธีสธรัลครอบครองไปเป็นหนึ่งในเมืองอาณานิคม ทำให้ถูกถอดเขี้ยวเล็บไปสักระยะหนึ่ง แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าอาเดรียจะทำใจยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ได้" ร่างโปร่งหยุดพูดเพื่อสูดลมหายใจเข้าน้อยๆ "ข้าได้ยินว่าธีสธรัลเกิดการปฏิวัติจนถึงขั้นล้มกษัตริย์เดิม และผลัดบัลลังก์ใหม่ นี่เป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะที่สุดที่อาเดรียจะเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพของตัวเอง"

"เช่นนั้น... บนเรือนั่นคงเป็นท่านชายซินญอร์ ผู้นำของอาเดรีย"

"ข้าคิดว่าเป็นท่านหญิงซินญอร่า พี่สาวของเขามากกว่า" เลสธีราห์ว่า "อาเดรียเป็นเมืองท่าที่ร่ำรวย ไม่ว่าเมืองใดก็อยากได้เป็นอาณานิคมหรือพันธมิตรทั้งนั้น ดังนั้นต่อให้เป็นการเจรจาที่สำคัญแค่ไหน ข้าเชื่อว่าท่านชายซินญอร์ไม่กล้าทิ้งอาเดรียไปหรอก" ร่างโปร่งกอดอกเล็กน้อยขณะพยายามคิดต่อไป "แล้วอาเดรียจะทำอะไรธีสธรัลได้กันเล่า ขนาดกำแพงเมืองที่ว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ยังเคยถูกตีแตกด้วยฝีมือของธีสธรัลมาแล้วเลยนี่"

"ข้าเห็นด้วยว่าเรื่องนี้คงต้องรายงานสภาขุนนางจริงๆ ขออภัยที่บังอาจตั้งคำถามเช่นนี้"

ถึงเลสธีราห์จะเป็นผู้นำที่ไม่ใคร่จะถือสา แต่เขาก็ไม่ได้ใจดีตอบรับคำขอโทษด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มก้าวลงจากเรือ มุ่งหน้าไปยังทางเดินทางจะทอดยาวไปสู่เมืองหลวง และพระราชวังอันเป็นที่พักของเหนือหัวผู้นำ เขาจะต้องรีบรายงานสิ่งที่เห็นให้อีกฝ่ายทราบเพื่อหาทางรับมือต่อไป

"ส่งคนไปตามรีดาห์... บอกให้ไปสมทบกับข้าที่พระราชวัง"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 1.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 23-10-2016 19:54:08
ตอนที่ 1.2

เมืองหลวงของแอสทารอธคือ เลาน์เรน

เลาน์เรนอยู่ในป่าเพลีเวธาร์ทางตอนใต้และเป็นเมืองหลวงที่ดูจะเงียบเหงาที่สุดถ้าเทียบกับเมืองหลวงของอาณาจักรอื่นๆ เพราะคำว่าเมืองหลวงสำหรับเซนทอร์นั้นไม่ใช่เมืองที่ผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุด แต่มันหมายถึงเมืองอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่พำนักของเหนือหัว และเป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมือง

และการเดินทางจากเมืองท่ามารินามาถึงเมืองหลวงเลาน์เรนก็ใช้เวลาประมาณครึ่งวันสำหรับการวิ่งเต็มแรงซึ่งนั่นเป็นการขนส่งที่พวกเซนทอร์นิยมมากที่สุด พวกเขาใช้ขาของตัวเองวิ่งไปทุกที่ และเทียมตัวเองกับรถเพื่อขนส่งทุกอย่าง ดังนั้นอาณาจักรแห่งนี้จึงไม่เลี้ยงม้า แต่หากเหนือหัวผู้ปกครองอาณาจักรต้องการจะไปที่ใด การวิ่งด้วยตนเองอาจจะเป็นภาพที่ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ ดังนั้นเหล่าขุนนางแห่งสภาขุนนางทุกคนจึงได้อภิสิทธิ์ในการเดินทางที่สามารถด้วยรถลากที่ถูกเทียมด้วยกระทิงป่า

รวมทั้งผู้บัญชาการกองเรือรบอย่างเลสธีราห์ด้วยเช่นกัน...

แต่แน่นอนว่าขุนนางอายุน้อยย่อมต้องรู้จักสำรวม ดังนั้นเลสธีราห์จึงไม่เคยเรียกหารถลาก สำหรับเซนทอร์หนุ่มแล้ว การที่มีโอกาสได้นั่งตำแหน่งขุนนางในสภาขุนนางทั้งที่เพิ่งมีอายุได้แค่ยี่สิบสองนับเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แม้ว่าทั้งสภาขุนนางจะไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวที่อ่อนวัยที่สุดก็ตาม

เลสธีราห์มาถึงพระราชวังอัสเธียร์ในตอนเช้าตรู่

สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักขององค์เหนือหัวแห่งแอสทารอธ มันก่อสร้างด้วยหินทั้งหมด ค้ำยันด้วยเสาหินสูงชะลูดเกินยอดไม้ แม้เดิมทีเซนทอร์จะไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา การมาเยือนของชาวเอลฟ์จากแผ่นดินตะวันออกก็นำพาความเจริญมากมายมาสู่เมืองแห่งนี้ ภาพวาดบนฝาผนังที่แต่งแต้มด้วยสีสันจึงล้วนเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของชาวเอลฟ์กับเผ่าคนครึ่งม้า

ลมอ่อนๆ ยามเช้าพัดผ่านเข้ามาทางประตูบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ขุนนางหลายฝ่ายเดินทางมาถึงพระราชวังและยืนพูดคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งของท้องพระโรงใหญ่เพื่อรอการปรากฎตัวขององค์เหนือหัวดาเรียส ผู้นำแห่งแอสทารอธ ฝีเท้าขององค์เหนือหัวเป็นที่จดจำของคนใต้ปกครอง เมื่อกีบเท้าก้าวขึ้นเหยียบขั้นบันไดผ่านรูปม้าสลักหินอ่อนขึ้นไปบนแท่นเบื้องหน้าท้องพระโรง เสียงเซ็งเซ่ทั้งหมดก็เงียบลง และสายตาทุกคนหันมามองผู้นำสูงสุด และราชเลขาคนสนิทที่ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังเพื่อคอยรับใช้และให้คำปรึกษา

ผมยาวของเซนทอร์หนุ่มเป็นสีดำสนิท เช่นเดียวกับดวงตาลุ่มลึกน่าเกรงขาม ลำตัวช่วงบนที่เป็นมนุษย์สวมเกราะหนังสีน้ำตาลเข้ม เช่นเดียวกับขาทั้งสี่ที่ตึงแน่นไปด้วยมัดกล้ามซึ่งปกคลุมด้วยขนสีดำ

บัลลังก์แห่งแอสทารอธเป็นเสมือนเบาะนอน แต่ก็เป็นแท่นหินอ่อนที่ดูสง่างาม ยิ่งเมื่อกายแกร่งค่อยๆ ทอดร่างอาชาลงทว่ายังยืดหยัดกายมนุษย์เบื้องบนเอาไว้ แม้จะไม่มีมงกุฎหรือสิ่งใดบ่งบอกถึงตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่ก็ไม่มีเซนทอร์ตนใดจะสง่างามผ่าเผยเท่ากับผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นี้อีกแล้ว

"วันนี้อาคันตุกะจากเธสซาลีย์จะเดินทางมาถึง เพื่อติดต่อเรื่องการค้าขายในช่วงฤดูหนาว"

เสียงของผู้นำกล่าวเรียบ ทว่าทรงพลังดังก้องไปทั่วทั้งโถงประชุม "ข้าได้ยินจากราชเลขาว่าปีนี้การค้าขายของเราเราค่อนข้างจะติดขัดในเรื่องการล่าสัตว์" สายตาดุดันเฉียบคมของเหนือหัวจับจ้องไปที่ขุนนางระดับสูงคนซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องดังกล่าว "ภาวะสงครามของอาณาจักรอื่นทำให้พวกเขาเข้ามาล่าสัตว์ในป่าเพลีเวธาร์จนสังเกตเห็นได้ชัดว่าฝูงสัตว์อย่างน้อยหนึ่งฝูงใหญ่หายไป"

พวกขุนนางเซนทอร์ยืนประชุม ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะต้องพูด หนึ่งในนั้นจึงก้าวออกมาจากแถวโดยไม่มีทางอิดออดว่าจะถูกตำหนิหรือติเตียน "กวางป่าเป็นสัตว์ที่ล่าง่ายและมีจำนวนมาก ดังนั้นจึงตกเป็นเป้าหมายของพวกมนุษย์ และพวกภูตไม้ จากเดิมทีที่พวกเขาจะล่าเพียงเดือนละสี่ถึงห้าตัว แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ภาวะสงครามทำให้ต่างฝ่ายต่างสะสมเสบียง และฝูงสัตว์ที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาอย่างกวางป่าก็ถูกไล่ล่าถึงเดือนละหลายสิบตัว" พวกเขาอยู่ในป่าเพลีเวธาร์ทางตอนใต้ ร่วมกับพวกภูตไม้ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ ดังนั้นเหนือหัวดาเรียสจึงไม่อาจตำหนิเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจห้ามฝูงสัตว์อพยพได้อยู่ดี

"สิ่งที่เราพบเป็นปัญหาไม่ใช่ปริมาณของกวางที่ลดลงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเรื่องลูกกวางจำนวนมากที่ยังไม่เติบโต ตัวหนึ่งก็เล็กจนเกินไปไม่สามารถนำมาทำประโยชน์ได้"

เหนือหัวผ่อนลมหายใจยาวอย่างครุ่นคิด เหตุผลหนึ่งที่เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาที่ยากจะคาดเดาวิธีแก้นั่นก็เพราะเซนทอร์ทุกตนล้วนเป็นมังสวิรัติ พวกเขาล่าสัตว์เพื่อการค้าเท่านั้น และเนื้อกวางก็เป็นเนื้อที่มีราคาดีและราคาสูงซึ่งคุ้มค่าต่อการล่าแต่ละครั้ง แต่ในเมื่อพวกเขาต้องพบเจอปัญหาเช่นนี้ เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยลิ้มรสชาติของเนื้อสัตว์เลยจึงไม่สามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้

"ท่านมาร์แซลจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับตลาดเนื้อสัตว์ในตอนนี้ด้วยการล่าวัวป่าค่ะ"

ราชเลขาคนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนเป็นเอกลักษณ์ของนาง สตรีเซนทอร์ผู้นี้คือท่านหญิงลีอาห์ ผู้ได้ชื่อว่าอาจจะเป็นหญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในแอสทารอธ "แต่วัวป่ามีขนาดใหญ่กว่ากวางมาก อีกทั้งยังเป็นอันตราย แม้ว่าเนื้อจะมากกว่าและในบางครั้งก็ราคาดีกว่า แต่นี่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาระยะยาวเลย"

เมื่อขุนนางอยากออกความคิดเห็น พวกเขาจะใช้วิธีเคาะกีบเท้ากับพื้นเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะก้าวออกมาจากแถว และเจ้าของเสียงเคาะฝีเท้าเมื่อครู่ก็ก้าวออกมายืนเบื้องหน้าเหนือหัว ร่างเพรียวของอาชาสีขาวสะอาดที่รับกับท่อนบนซึ่งดูบอบบางสมเป็นสตรี และผมยาวสีขาวโพลนที่ดูสวยสง่าเป็นเอกลักษณ์ของเซนทอร์หญิงอีกตนหนึ่งซึ่งมีนามว่า โมนา

"ท่านหญิงโมนามีความเห็นหรือ" ราชเลขาทอดยิ้มละมุน

ต่างจากเซนทอร์หญิงเบื้องบนซึ่งยืนอยู่เคียงข้างบัลลังก์ โมนานั้นเยาว์วัยกว่าทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยความดุดันของนักรบ "ท่านมาร์แซลคอยควบคุมดูแลหน่วยล่าสัตว์และพวกพรานมาตลอดก็จริงอยู่ แต่พวกเราก็เคยออกล่าเพียงกวางเท่านั้น ข้าจึงเห็นกว่าการเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นพวกวัวป่าดูเป็นเรื่องไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ จริงอยู่ว่ากวางที่เราเคยล่าก็มีตั้งแต่ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดมหึมา แต่ลักษณะนิสัยของกวางไม่ดุดันเท่าพวกวัว" วาจาของหญิงสาวฉะฉาน อีกทั้งท่าทางก็ยังดุดัน "ข้าควบคุมดูแลพวกทหารหน่วยลาดตระเวนและหน่วยจู่โจมมาตลอด มีหรือจะไม่เคยปะทะกับฝูงสัตว์อย่างพวกวัว"

เซนทอร์หญิงเคลื่อนสายตาไปมองขุนนางมาร์แซลที่บัดนี้รู้สึกขนลุกขึ้นมาดื้อๆ

ในแอสทารอธแห่งนี้ ไม่มีสตรีคนไหนอีกแล้วที่จะเด็ดขาดเท่าโมนา

...และนางก็ชื่อว่าเป็นขุนพลหญิงที่ดุร้ายป่าเถื่อนที่สุดในเผ่าพันธุ์เสียด้วย

"ข้ายังไม่อยากได้ยินข่าวคราวจากหน่วยล่าสัตว์ว่ามีพี่น้องของเราได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับวัวป่าโดยที่ข้ายังไม่ได้ลงมือทำอะไร ดังนั้นข้าจึงอยากอาสาผนวกกำลังกับหน่วยล่าสัตว์เพื่อแก้ไขปัญญาเฉพาะหน้าไปก่อน" แม้ว่าโมนาจะเป็นสตรีที่ดูน่ากลัวในสายตาของใครหลายคน แต่โดยจิตใจของความเป็นเซนทอร์แล้ว นางได้ชื่อว่าจงรักภักดีต่อเผ่าพันธุ์ของตัวเองไม่แพ้ใครเลย

"เรื่องชายแดนเรียบร้อยดีใช่หรือไม่ ท่านหญิงโมนา" เหนือหัวดาเรียสทอดเสียงถาม

"ชายแดนที่น่าเป็นห่วงของเราไม่ใช่ด้านที่อยู่ติดกับพวกภูตป่า แต่เป็นด้านที่ติดกับพวกมนุษย์จากอาเดรีย และข้าก็ได้ยินว่าเขตแดนทางทะเลก็มีปัญหาเช่นกัน" สายตาเฉียบคมของนางตวัดไปมองขุนนางอีกคนหนึ่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านนี้เพื่อส่งต่อบทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะก้าวถอยกลับไปยืนในจุดที่นางยืนอยู่เมื่อครู่นี้

หากเสียงกีบเท้าของท่านหญิงโมนาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง เสียงกีบเท้าที่ดังในครั้งนี้ก็อาจทำให้ทั้งพระราชวังรับรู้ เพราะท่อนขาทรงพลังที่มีขนาดใหญ่กว่าใครกระแทกเท้ากับพื้นสามครั้ง และร่างกายสูงใหญ่ก็ก้าวออกมาจากแถวเป็นสัญญาณขออนุญาตออกความเห็นจากขุนนางที่ดูแลความเรียบร้อยในทะเล "เหนือหัวดาเรียส..." ร่างสูงค้อมหัวลงแสดงความเคารพอย่างจริงใจ เขาเป็นเซนทอร์ที่มีขนสีด่างดำสลับขาว เช่นเดียวกับผมยาวที่มีสีขาวสลับดำ ดวงตาสีเข้มหนักแน่นและลุ่มลึกสะท้อนอุปนิสัยจริงจังและเข้มงวด เซนทอร์ตนนี้คือ ซาฮาล ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ 'กราเทียร์' แห่งแอสทารอธ

แม้เรื่องการรุกล้ำชายแดนทางทะเลจะไม่ใช่ความผิดชอบของซาฮาลโดยตรง แต่ในเมื่อผู้รับผิดชอบโดยตรงยังไม่ปรากฎตัว อย่างไรเขาก็คงจะต้องพูดออกไปก่อนเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน "เรื่องชายแดนทางทะเลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากเขตแดนที่ไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่าทะเลส่วนใดเป็นของฝ่ายใด  ดังนั้นจุดที่เป็นปัญหามากที่สุดจึงเป็นฝั่งรอยต่อของอ่าวมารินาและแหลม..."

ทว่าเหนือหัวดาเรียสกลับยกมือขึ้นปรามการพูดของซาฮาล

"เจ้ามีหน้าที่ดูแลการขนส่งสินค้าไปทางตะวันออก และข้าก็เชื่อว่าเจ้ามีรายงานเรื่องการขนส่งอยู่ในหัว เหตุใดจึงมาชี้แจงเรื่องเขตแดนระหว่างเรากับอาเดรียได้" นัยน์ตาสีดำของเหนือเหลือบไปมองราชเลขาข้างกาย "ท่านหญิงลีอาห์... เลสธีราห์ยังไม่มาหรือ" เมื่อเหนือหัวถามออกมาเช่นนั้น สภาขุนนางก็เริ่มพูดคุยและคาดเดาเหตุผลว่าเหตุใดขุนนางอายุน้อยผู้นั้นจึงกล้าขาดประชุมในสภาขุนนาง ทั้งที่นี่เป็นการประชุมสำคัญ

และเหตุผลที่เหนือหัวต้องถามราชเลขา...

นั่นก็เพราะขุนนางเลสธีราห์ ผู้บัญชาการกองเรือรบนั้นเป็นบุตรชายของนางนั่นเอง

"ข้าได้ยินว่าเขาออกทะเลไปล่าวาฬเมื่อสองอาทิตย์ก่อน" ซาฮาลกล่าว "การจะหาวาฬสักตัวในมหาสมุทรไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่เขาจะยังไม่กลับมา" เมื่อพูดถึงการล่าวาฬ สภาขุนนางก็เงียบเสียงลง ด้วยทุกคนรู้ดีว่านั่นเป็นภารกิจสำคัญ คณะทูตจากเธสซาลีย์เป็นชาวเอลฟ์ และชาวเอลฟ์ค่อนข้างจะโปรดปรานเนื้อวาฬ ดังนั้นการที่ผู้บัญชาการกองเรือรบต้องออกทะเลไปด้วยตนเองนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ในอาณาจักรแอสทารอธแห่งนี้ ไม่มีใครรู้จักท้องทะเลดีไปกว่าเลสธีราห์

"คณะทูตแจ้งข่าวการมาเยือนตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว เหตุใดจึงเพิ่งออกล่าวาฬเมื่อไม่สองอาทิตย์ก่อน การประชุมเดือนที่แล้วก็ไม่มีภารกิจใดติดขัดขนาดทำให้เลสธีราห์ออกลทะเลไม่ได้ไม่ใช่รึ" เหนือหัวมุ่นคิ้ว "และต่อให้เขามีความเชี่ยวชาญในทะเลแค่ไหน แต่นี่ก็แสดงถึงความบกพร่องในการปฏิบัติภารกิจอยู่ดี" ท่านหญิงลีอาห์ไม่กล่าวแก้ตัวแทนบุตรชาย นางเพียงค้อมหัวลงยอมรับคำตำหนิของเหนือหัวเพื่อไปสั่งสอนต่อเมื่อเขามาถึง

ผู้นำแห่งแอสทารอธถอนใจยาวครั้งหนึ่งและเคลื่อนสายตากลับไปมองซาฮาลอีกครั้ง

"เช่นนั้นก็รายงานเรื่องของเจ้ามาจะดีกว่า เมื่อเลสธีราห์กลับมา ข้าจะให้เขารายงานด้วยตนเอง"

แม้จะตัดสินความได้ดังนั้น แต่ร่างเงาสูงโปร่งในร่างของมนุษย์ก็ปรากฎขึ้นที่ประตูทางเข้า ผมยาวสีอ่อนเปียกลู่บ่งบอกได้ว่าการเดินทางของอีกฝ่ายอาจจะฝ่าเม็ดฝนมา ร่างกายท่อนบนที่ปราศจากอาภรณ์ยังคงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อและหยดน้ำ ชายชุดยาวที่ตัดเย็บจากเส้นหนังสีดำปลิวสะบัดตามแรงลมที่พุ่งเข้ามาปะทะร่างกาย รองเท้าเหล็กก้าวเดินเป็นจังหวะตรงเข้ามาในที่ประชุมทำให้เกิดเสียงก้องดังไปทั่ว เจ้าของร่างเงยมององค์เหนือหัวที่ค่อยๆ ทอดยิ้มมองเขาด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะค้อมหัวลงต่ำ

"เลสธีราห์... กลับมาแล้วขอรับ"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 2.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-10-2016 09:30:28
ตอนที่ 2.1

การประชุมของสภาขุนนางในท้องพระโรงจะมีเหนือหัวดาเรียสนั่งอยู่บนบัลลังก์หินที่ประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นม้า และเหล่าขุนนางจะยืนเรียงเป็นสองแถวหันหน้าเข้าหากันโดยเว้นพื้นที่ทางเดินตรงกลางเอาไว้เพื่อให้ขุนนางได้ก้าวออกมาชี้แจงเรื่องของตน

ซาฮาล... ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์อยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ในจังหวะที่เลสธีราห์กลับมา

ร่างโปร่งที่สูงได้เพียงเอวของซาฮาลในร่างของเซนทอร์ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างอีกฝ่ายเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้นำแห่งแอสทารอธ "ขออภัยในความบกพร่องทางวินัย ข้าขอรับบทลงโทษตามที่เหนือหัวเห็นสมควร" ท่านหญิงลีอาห์ที่ยืนอยู่เบื้องหลังส่งยิ้มให้บุตรชายอย่างพอใจครู่หนึ่งก่อนจะวางสีหน้านิ่งดังเดิม

"ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งออกเรือไปเมื่อสองสัดาห์ก่อน แม้จะกลับมาทันการประชุมในสภาขุนนาง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าตำหนิอยู่ดีที่เพิ่งมาคิดจะทำงาน" เลสธีราห์ไม่แก้ตัวใดๆ เขายังยืนอยู่ที่ด้านหน้าบัลลังก์ และเตรียมจะถอยกลับไปในจุดที่เขาควรจะยืน "แอบไปเตร็ดเตร่ท่องเที่ยวที่ไหนหรือไร พ่อหนุ่ม..."

ดาเรียสรักอีกฝ่ายเสมือนน้องชาย ...ดังนั้นการหยอกล้อกลางท้องพระโรงแบบนี้จึงเกิดขึ้นบ่อย

"ข้าอาจจะเตร็ดเตร่บ้างตามประสาคนหนุ่ม... แต่ก็ไม่ได้เสียการงานหรอก" ร่างโปร่งยิ้มตอบ ก่อนจะถอยกลับไปยืนในตำแหน่งของตน เซนทอร์ทุกคนมีความสูงมากกว่าม้า ดังนั้นเลสธีราห์ที่รักจะอยู่ในร่างมนุษย์ตลอดเวลาจึงดูหายตัวไปท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น "ขอให้ท่านขุนนางซาฮาลได้กล่าวรายงานก่อนเถอะ"

ซาฮาลเหลือบมองคนที่ตัวเล็กกว่าตนมากด้วยสายตาเรียบเฉยครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเรื่องของตน

"การขนส่งโดยภาพรวมยังราบรื่นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่น่าห่วงในระยะยาวก็คือเทคโนโลยีของพวกมนุษย์บนเกาะธีสธรัลที่ดูจะก้าวหน้าไปมาก" ซาฮาลเริ่ม "พวกธีสธรัลสมาคมกับพวกอัสคาห์ซึ่งเป็นอริกับเรามาแต่เดิม ดังนั้นแอสทารอธกับธีสธรัลจึงไม่ได้ข้องแวะด้วยกันมากนัก แม้ว่าในช่วงสองสามปีมานี้ธีสธรัลจะส่งทูตมาเจริญความสัมพันธ์และติดต่อค้าขายกับเราบ่อยขึ้นก็ตาม"

ในประวัติศาสตร์ของแอสทารอธ อัสคาห์เป็นกลุ่มคนที่สอนพวกเขาต่อเรือ และเป็นเมืองเดียวกับที่ปล้นทรัพยากรทั้งทางบกและทางทะเลไปจากพวกเขาอย่างเห็นแก่ได้ ดังนั้นแอสาทารอธจึงไม่เคยนิยมชมชอบพวกอัสคาห์แม้แต่น้อย แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของพวกอัสคาห์นั่นก็คือ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ

"พวกมันสร้างเรือที่ใช้เทคโนโลยีที่เราเรียกว่า 'เรือจักรไอน้ำ' ขอรับ"

สภาพขุนนางเริ่มส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อซาฮาลเอ่ยชื่อสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของชาวเอลฟ์ขึ้นมา "มันเป็นการขับเคลื่อนเรือที่ให้ความเร็วมากกว่าเรือที่พวกเราใช้อยู่มาก อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่โตจนสามารถขนสินค้าทีละมากๆ ได้ในเรือลำเดียว ไม่จำเป็นต้องจ้างเรือขนส่งสองสามลำต่อการขนส่งสินค้าหนึ่งครั้งอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้"

แม้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับขุนนางทุกคน แต่เหนือหัวดาเรียสก็ถอนใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก "เหตุใดเราจะต้องก้าวตามอัสคาห์ด้วย... เจ้าก็รู้ว่าพวกมันทำอะไรกับแอสทารอธบ้างในอดีต" แม้แต่ตัวเหนือหัวเองก็ยังรู้สึกสนใจในสิ่งที่ซาลฮาลพูด แต่ด้วยความเป็นเซนทอร์แล้ว ไม่ว่าใครก็รู้สึกระอักกระอ่วนทั้งนั้นที่จะต้องยอมรับว่าพวกเขาล้าหลังกว่าชาวเอลฟ์พวกนั้น และอาจจะต้องหันกลับไปพึ่งพาพวกมันเพื่อยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นตามการเปลี่ยนแปลง

"เหนือหัว... เรื่องของเรือจักรไอน้ำเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับการพาณิชย์ ถึงเราจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเธสซาลีย์ แต่ก็ยังมีชาวเอลฟ์อีกหลายเมืองที่เช่าเหมาลำเรือพาณิชย์ของเรา แต่ถ้าหากเรายังไม่ปรับปรุงตามเรือจักรไอน้ำพวกนั้น เราอาจสูญเสียช่องทางการค้าขายในอนาคตไปได้ อย่างไรการจ้างเรือจักรไอน้ำสักหนึ่งลำในราคาที่สูงกว่า ก็ดูจะมั่นใจและปลอดภัยกว่ากองเรือสามเสาสักสี่ห้าลำอยู่ดี"

นี่เป็นความคิดที่ยากจะยอมรับได้ในหมู่เซนทอร์ ความเกลียดชังที่พวกเขามีแต่อาณาจักรอัสคาห์ทำให้คนครึ่งม้ายอมล้าหลังไปหลายสิบปี แต่นั่นก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลยกับคุณภาพชีวิตที่พวกเขาควรจะมีในตอนนี้ ดังนั้นหลังจากสงครามขับไล่อาณาจักรอัสคาห์ออกไปจากทะเลอันเป็นน่านน้ำของแอสทารอธ เมืองเซนทอร์จึงเริ่มคิดจะปรับเปลี่ยน โดยเริ่มต้นด้วยการยอมติดต่อค้าขายกับเมืองเธสซาลีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองนักปราชญ์ที่มีคุณธรรมมากกว่า นำมาซึ่งวิชาความรู้ใหม่ๆมากมายที่คนครึ่งม้าไม่เคยรู้มาก่อน

เพื่อเรียนรู้ที่จะสร้างที่อยู่อาศัย เรียนรู้ที่จะสร้างอาวุธ และกองกำลัง

และการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้ก็คือการมีตัวตนของเลสธีราห์

...การมีเซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ตนแรกที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้

แน่นอนว่าท่านหญิงลีอาห์ผู้เป็นมารดาควรจะถูกเรียกว่าเป็นเซนทอร์ตนแรกที่เรียนรู้การใช้พลังแปลงตนให้เป็นมนุษย์ แต่แน่นอนว่าสายเลือดครึ่งม้าที่เข้มข้นของนางก็ทำให้นางเลือกจะอยู่ในร่างของเซนทอร์มากกว่า และปล่อยให้บุตรชายเดินไปทั่วอาณาจักรในร่างมนุษย์แทน ...เว้นเสียแต่ต่อหน้าสามีของนางที่นานๆ จะมาเยือนสักครั้งหนึ่ง ท่านหญิงลีอาห์จึงจะยอมกลายเป็นหญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนมนุษย์โดยทั่วไป

...

เหนือหัวดาเรียสถอนใจอีกครั้งและยกมือขึ้นกุมขมับอย่างคิดไม่ตก

"เช่นนั้น ซาฮาล... เจ้าไปศึกษาเรื่องของ 'เรือจักรไอน้ำ' แล้วนำมารายงานข้า ว่าเราจะต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง" ถึงจะออกคำสั่งไปแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะปิดปัญหาของกองเรือพาณิชย์ได้ เพราะซาฮาลกล่าวต่ออย่างหนักแน่นอย่างผู้ที่ลงมือศึกษาข้อมูลแล้ว

"เทคโนโลยีที่ข้าว่านี้เพิ่งทดลองใช้ในอาณาจักรอัสคาห์เท่านั้น ข้าส่งหน่วยสอดแนมไปในน่านน้ำของธีสธรัล และพบว่าพวกธีสธรัลเองก็มีเพียงผังการสร้างเรือจักรไอน้ำ ทว่าไม่มีทรัพยากรพอที่จะทำได้"

ทว่าเหนือหัวดาเรียสมุ่นคิ้วเล็กน้อยกับประโยคนั้น "เราจะต้องต่อเรือใหม่อย่างนั้นรึ"

"ข้าเคยเห็นเรือจักรไอน้ำลำหนึ่งของอัสคาห์..." ซาฮาลว่า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก "เป็นเรือที่สร้างจากเหล็กขอรับ" ดังมารยาทในที่ระชุมสภาขุนนาง หากใครต้องการจะพูดจะต้องเคาะกีบเท้ากับพื้นสามครั้งก่อนแล้วจึงก้าวออกมาได้ ทว่าเลสธีราห์ผู้ไม่ได้อยู่ในร่างเซนทอร์สามารถทำได้แค่กระแทกส้นเท้ากับพื้นเท่านั้น และก้าวออกมาจากกลุ่มขุนนางด้วยส่วนสูงที่ดูเตี้ยจนเหนือหัวดาเรียสยังเกือบจะมองข้ามไป

"เหนือหัว... ก่อนที่พวกเราจะสนใจเรื่องของเรือจักรไอน้ำ ข้าเชื่อว่าที่สิ่งข้าเพิ่งพบเจอมาก็เป็นเรื่องด่วนไม่แพ้กันอย่างแน่นอน" ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นกลบเสียงพูดคุยเซ็งเซ่ของสภา "และสิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องของท่านซาฮาลด้วยก็เป็นได้" เซนทอร์ร่างสูงดูจะไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ แต่ในเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้นำอาณาจักร เขาก็ทำได้แค่เก็บซ่อนสีหน้าเอาไว้

"พวกภูตไอย์ชวลที่ป่าทางเหนือเพิ่งได้รับชัยชนะในสงคราม และสามารถดึงเอาธีสธรัลเข้ามาเป็นเมืองพี่เมืองน้องได้สำเร็จ" เลสธีราห์ว่า "สงครามที่ทำให้กวางในป่าเพลีเวธาร์ถูกฆ่าอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสะสมเป็นสเบียงยามสงคราม และส่งผลกระทบทำให้หน่วยพรานของเราต้องล่าวัวป่าแทนซึ่งเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่า"

...เหนือหัวดาเรียสดูแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ทั้งที่เขามาประชุมสาย

"ในเมื่อไอย์ชวลกับธีสธรัลเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เมืองแรกที่จะต้องตื่นตัวนั่นก็คืออาเดรียซึ่งมีชายแดนติดกับเรา เพราะอาเดรียเป็นเมืองที่ขวางอยู่ตรงหลางระหว่างธีสธรัลกับไอย์ชวล พวกเขาจะต้องเลือกว่าจะโอนอ่อนตามธีสธรัลหรือว่าขัดขวาง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อแอสทารอธในทั้งสองทางเลือก หากพวกเรายังอยู่เฉย" นัยน์ตาสีฟ้าครามน้ำทะเลของเซนทอร์หนุ่มเคลื่อนขึ้นมองผู้นำของตน

"ปัญหาของเราในตอนนี้อาจไม่ใช่เรือจักรไอน้ำ... แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถยืนอยู่ในจุดเดิมได้อย่างไรในเมื่อรอบข้างของพวกเรากำลังจะก้าวไปสู่สงครามรูปแบบใหม่ซึ่งถ้าพวกเราไม่เข้าร่วมก็จะกลายเป็นผู้ที่ล้าหลังในทันที" เลสธีราห์กล่าว "เมื่อวานนี้ข้าได้พบกับเรือลำหนึ่งซึ่งมีธงสัญลักษณ์ของอาเดรีย แล่นเข้ามาในน่านน้ำของเรา โดยไม่สนใจเรือรบของเราที่ลอยลำอยู่ไม่ห่างกัน"

ทุกคนดูจะตื่นตกใจกับข่าวนั้น เพราะโดยตำแหน่งแล้ว เลสธีราห์คือผู้นำกองเรือรบซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาอาณาเขตทางทะเล การมีเรือสักลำเคลื่อนเข้ามาในน่านน้ำจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่จะต้องนำมากล่าวรายงานต่อสภาขุนนาง เลสธีราห์สามารถออกคำสั่งลงมือได้ทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง

"ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเรือของท่านหญิงซินญอร่า... จึงไม่ได้จัดการอย่างที่เคยทำ"

ท่านหญิงซินญอร่าคือผู้นำอาณาจักรคัสนาห์ซึ่งเป็นเมืองพี่ของอาณาจักรอาเดรีย การจะลงไม้ลงมือกับผู้นำนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และแอสทารอธเองก็ไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางกับอาณาจักรข้างเคียงเช่นกัน "พวกเขาดูรีบเร่ง และรีบร่อน และเรือลำนั้นก็เพิ่งเดินทางมาจากทิศตะวันออกซึ่งหมายถึงเกาะธีสธรัลที่ซึ่งพวกเราได้ข่าวว่าพวกเขาเพิ่งผลัดบัลลังก์และเปลี่ยนแปลงกษัตริย์ผู้นำเป็นราชินีไวลด์

ราชินีไวลด์เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งภูต... และเป็นลูกพี่ลูกน้องของกษัตริย์องค์ก่อน

นางเพิ่งได้รับชัยชนะหลังจากต่อสู้กับพี่ชายของตนเองเพื่อแย่งบัลลังก์มาเนิ่นนาน

"ข้าคิดว่านี่เป็นสัญญาณความเคลื่อนไหวของอาเดรียซึ่งเป็นเมืองท่าเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับสมญาว่าประตูสู่มหาทวีป" เลสธีราห์วิเคราะห์ "หากพวกเขาเข้าร่วมกับธีสธรัลและไอย์ชวล แอสทารอธจะเป็นเมืองที่ถูกทอดทิ้ง จริงอยู่ว่าพวกเรามีความชำนาญในการล่าสัตว์ แต่อย่าได้ลืมว่าพวกภูตเองก็ใช่จะน้อยหน้า เพียงแค่ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้ค้าขายกับตะวันออกก็เท่านั้น ส่วนธีสธรัลที่เป็นเมืองศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนอยู่แล้วก็ยังจะยิ่งเพิ่มอำนาจการต่อรองมากขึ้นหากสามารถเป็นพันธมิตรกับอาเดรียได้"

เหนือหัวดาเรียสเข้าใจในตอนนั้น และพยักหน้ารับช้าๆ "หากเราไม่เคลื่อนไหว แอสทารอธจะไม่มีอะไรเลย... และอาจจะไม่เหลืออะไรเลย" พวกเซนทอร์ยอมรับว่าเผ่าของตนไม่ใคร่จะมีมนุษยสัมพันธ์ แต่อย่างไรก็ยังไม่ยอมแพ้ในการติดต่อกับอาณาจักรอื่น แต่หากสามอาณาจักรดังกล่าวผนวกกำลังกันขึ้นมา อย่างไรแอสทารอธก็ต้องอับจนอยู่ดี

ทว่าซาลฮาลกลับไม่เห็นด้วยในแนวคิดนั้นสักเท่าไหร่

"แล้วเจ้าอยากให้เราทำอะไรเล่า เลสธีราห์... ปรี่เข้าไปหาพวกธีสธรัลหรือไม่ก็อาเดรียอย่างนั้นรึ พวกมนุษย์บนเกาะนั่นก็ไม่ต่างจากพวกเอลฟ์อัสคาห์ หากเห็นเราประนีประนอมด้วยสักหน่อยก็จะหาปัญหามาให้พวกเราในอนาคตอยู่ดี ข้ายอมรับในสายตาที่มองการณ์ไกลของเจ้าก็จริงอยู่ แต่ในเมื่อไม่มีความคิดที่เป็นรูปธรรม แล้วจะโน้มน้าวให้แซนทอร์ทั้งอาณาจักรยอมรับความคิดนี้ได้อย่างไร"

"ซาฮาล..." เหนือหัวดาเรียสปราม "พวกธีสธรัลใกล้ชิดอัสคาห์มากเกินไป แต่จะให้เราเข้าทางไอย์ชวลข้าก็ไม่สันทัดกับพวกภูตไม้เหล่านั้น" ผู้นำอาณาจักรเหลือบมองราชเลขาคนสนิท "ท่านหญิงลีอาห์... ท่านสามารถพูดคุยกับพวกภูตได้หรือไม่ ข้าคิดว่าอมนุษย์ด้วยกันคงจะสนทนากันเข้าใจมากกว่า"

เซนทอร์หญิงยิ้มจางและค้อมตัวลงรับคำสั่ง "ข้าจะต้องพบกับทูตของไอย์ชวลอยู่แล้ว จะถือโอกาสนั้นสอบถามความเห็นจากท่านทูตเสียเลยก็ย่อมได้ค่ะ" ใบหน้าสงบนิ่งภูมิฐาน และน้ำเสียงละมุนละไมอ่อนโยนของนางทำให้ปัญหาที่ดูจะใหญ่โตคลี่คลายลงในทางที่ดีไปครึ่งหนึ่ง

แต่ถึงกระนั้นเหนือหัวก็ยังมอบหมายภารกิจต่อไป

"เลสธีราห์... ถ้าข้ามอบหมายภารกิจสอดแนมให้เจ้าจะว่าอย่างไร ไปสืบมาสิว่าอาเดรียคิดจะแก้ปัญหานี้อย่างไร และเราควรแสดงออกในทิศทางไหนบ้าง" เหนือหัวออกคำสั่ง "ข้าอยากรู้ท่าทีของอาเดรีย แต่การเป็นฝ่ายสูงทูตไปก่อนดูจะไม่ใช่วิถีเราสักเท่าไหร่ และขุนนางระดับสูงก็ดูจะมีคนเดียวที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นข้าจะฝากเรื่องนี้ไว้ที่เจ้าก็แล้วกัน"

ทว่าซาฮาลกลับไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น "เหนือหัว ข้าต้องการ..."

"ซาฮาล" ผู้นำปรามอีกครั้ง และพยักหน้าให้เขาถอยกลับไปยืนในที่ของตนเอง "ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยเลสธีราห์ แต่ข้าไม่สามารถส่งผู้บัญชาการกองเรือออกไปทำภารกิจได้ทั้งสองคนพร้อมกัน เจ้าควรอยู่ดูแลที่มารินา นี่ก็ใกล้ฤดูหนาวของพวกเอลฟ์แล้ว การเดินเรือจะวุ่นวายและการค้าขายจะสะพัด เจ้าต้องดูแลให้ราบรื่น ในส่วนหน้าที่ของเลสธีราห์ เจ้าไปมอบหมายต่อให้คนที่เจ้าไว้ใจเองก็แล้วกัน"

--------------------------------------------------

การยืนประชุมตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับม้า แต่สำหรับคนที่อยู่ในร่างมนุษย์อย่างเลสธีราห์ก็ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยเอาดื้อๆ ที่ต้องยืนนิ่งๆ นานถึงครึ่งค่อนวัน "อูย..." ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งกับขั้นบันไดด้านหน้าพระราชวังและยืดขาเรียวให้ตึงเพื่อไล่ความเมื่อยขบ

"จะให้ข้าช่วยเหยียบดีหรือไม่ หากเมื่อยขนาดนั้น"

ฝีเท้าร่าเริงของเซนทอร์อีกตัววิ่งเข้ามาใกล้ และด้วยความที่เลสธีราห์ยังนั่งอยู่ที่พื้น ทำให้เขาต้องแหงนหน้าจนเกือบบจะขนานกับพื้นดินเพื่อมองสหายที่พุ่งเข้ามาทักทาย "ข้าเกรงว่าสันหลังของข้าอาจมีปัญหา หากให้เจ้าช่วยเหยียบ... อาจจะหักไปเลยก็เป็นได้" ร่างที่นั่งอยู่หัวเราะตอบ "ข้อดีในร่างม้าก็เป็นการที่ไม่เมื่อยนี่ล่ะกระมัง"

"ใครเขาห้ามเจ้าเป็นเซนทอร์เล่า" สหายหนุ่มบ่นอุบ "แต่ก็นั่นล่ะ... นี่หากไม่ใช่เลสธีราห์ การแปลงเป็นมนุษย์แล้วเดินไปเดินมาในเลาน์เรนเช่นนี้จะต้องถูกรังเกียจเป็นแน่" ชาวเอลฟ์กล่าวว่าเซนทอร์ทุกตนมีอำนาจซ่อนอยู่ พวกเขาสามารถแปลงตนเป็นมนุษย์ได้ หากเรียนรู้ที่จะควบคุมพลัง และหลังจากที่พวกเอลฟ์เข้ามาที่นี่ เซนทอร์หลายตนก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในร่างมนุษย์

ท่านหญิงลีอาห์ซึ่งเป็นทูตในขณะนั้นสามารถทำได้เป็นตนแรก...

แม้ว่าในตอนนี้จะมีการสนับสนุนให้เซนทอร์เด็กเรียนรู้ที่จะใช้พลังเหล่านั้น แต่อย่างไรการอยู่ในร่างมนุษย์ตลอดเวลาก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ...พวกเขามีศักดิ์ศรี และศักดิ์ศรีของพวกเขาก็อยู่เหนือสัตว์สองขาอย่างมนุษย์ เลสธีราห์เป็นเซนทอร์คนเดียวที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในร่างสัตว์สองขาได้โดยไม่รู้สึกแปลก เพราะเขาเกิดมาด้วยร่างกายเช่นนั้น

ชายหนุ่มเกิดมาในร่างกายที่เหมือนมนุษย์ และเพิ่งเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนร่างตัวเองเมื่อไม่นานมานี้

ในเมืองหลวงเลาน์เรนแห่งนี้มีเพียงเลสธีราห์ที่กล้าใช้ร่างของมนุษย์เดินไปเดินมา แต่หากจะว่ากันถึงเมืองท่ามารินาแล้วละก็ เซนทอร์แทบทุกคนจะอยู่ในร่างมนุษย์ เนื่องจากการไปไหนมาไหนด้วยสองขาดูจะสะดวกมากกว่าสี่ขา

เพราะการลื่นล้มบนเรือไม้ดูจะไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับอมนุษย์อย่างเซนทอร์

"เอาไว้ข้าวิ่ง... แล้วค่อยแปลงก็ได้ ข้ายังชอบใช้สองขาเดินอยู่" ผู้นำกองเรือตอบ "อีกอย่าง กองเรือของข้าก็ต้องการคนมีเท้ามากกว่าคนมีกีบ" ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นยืนก่อนจะก้าวลงบันไดพระราชวังมุ่งตรงไปยังถนนดินที่จะพาเขาไปที่ลานฝึกซ้อมของพวกเซนทอร์ที่กำลังเรียนรู้

สหายสนิทวิ่งตามลงมาพร้อมกับเสียงกึกกักของกีบเท้าทั้งสี่

"โกรธอะไรอีกล่ะ หัวหน้า... เจ้ายืนจนเมื่อยนี่ไม่ใช่ความผิดข้าเลยนะ ข้าเพียงแค่แนะนำให้เจ้าใช้ร่างเซนทอร์ตอนประชุมบ้าง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้ร่างนั้นเดินบนเรือนี่ ใครก็รู้ว่ากีบเท้าไม่เหมาะกับพื้นไม้ ลื่นล้มกันตั้งกี่คนแล้ว..." ขณะพูดมาก เซนทอร์ร่างสูงก็ค่อยๆเปลี่ยนร่างตนเองกลับมาเป็นมนุษย์และเดินพูดอยู่ข้างๆผู้นำกองเรือที่ในตอนนี้สูงกว่าคนพูดเสียอย่างนั้น

"ฟังข้าอยู่รึเปล่า เลสธีราห์..!"

"ข้าก็ไม่ได้โกรธอะไรเสียหน่อย" เจ้าของชื่อหยุดเดินพลางหันมากอดอก "ข้าจะไปดูลานฝึก เจ้ามีธุระอะไรก็ไปทำเสียสิ รองผู้บัญชาการ" การเกร็งแขนเพียงเล็กน้อยช่วยขับกล้ามเนื้อให้เห็นเป็นรูปร่างเด่นชัดขึ้น บ่งบอกคู่สนทนาได้ว่าหากพูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นมา เอลฟ์ครึ่งเซนทอร์ผู้นี้ก็อาจจะอัดหมัดหนักๆใส่ได้ "เรือพาณิชย์ที่ไปรับจ้างกลับมาหมดแล้วหรือยัง ได้ตรวจสภาพเรือหรือไม่ ข้าไม่อยู่สามวันเจ้าอู้งานไปถึงไหนแล้ว รีดาห์!"

"นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบข้าเสียหน่อย!" เจ้าของชื่อรีดาร์ปฏิเสธ "เรือพาณิชย์ก็ส่วนเรือพาณิชย์ ข้าเป็นรองผู้บัญชาการกองเรือรบ เหตุใดจะต้องไปตรวจเรือพาณิชย์ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์สิ"

"เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโครงสร้างเรือไม่ใช่รึ นี่คิดจะโยนความรับผิดชอบให้ซาฮาลอย่างนั้นรึ!"

ซาฮาลคือผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์...

กองเรือพาณิชย์ไม่มีกฎเข้มงวดมากเท่ากองเรือรบ เพราะเรือพาณิชย์นั้นเน้นที่ความเร็ว และความคล่องตัว โดยส่วนมากจะใช้ขนสินค้าจากแผ่นดินตะวันตกไปตะวันออก และจากแผ่นดินตะวันออกกลับมายังตะวันตก กองเรือพาณิชย์มีจำนวนลำเรือมากกว่ากองเรือรบถึงสี่เท่า แต่หากถูกโจรสลัดโจมตีก็ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ มีแต่ต้องใช้ความเร็วอันเป็นเอกลักษณ์หนีเอาตัวรอดไปให้ถึงแผ่นดินใหญ่เท่านั้น ต่างจากเรือของกองเรือรบที่ทุกลำติดตั้งปืนใหญ่จำนวนมาก และหน้าที่ของกองเรือรบนี้ก็คือการลาดตระเวนในน่านน้ำของตนไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาโดยพลการ

รีดาร์ยังคงปฏิเสธเป็นพัลวันและเริ่มพูดยาวไปถึงภาระหน้าที่ในขอบข่ายของตน

"อย่างกับว่ามีใครพูดถึงข้าอย่างนั้น"

ร่างเงาสูงใหญ่ขยับเข้ามาทาบทับคู่สนทนาทั้งสองที่คนหนึ่งยังคงเถียงข้างๆ คูๆ ไม่หยุดปาก "ซาฮาล..." นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบไปมองผู้มาใหม่ด้วยหางตาก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการกองเรือกราเทียร์ หรือกองเรือพาณิชย์ที่ทุกคนรู้จักกัน "มีธุระอะไร"

"เลสธีราห์..." ร่างสูงยังอยู่ในร่างเซนทอร์โดยไม่มีความคิดจะเปลี่ยนมาเป็นมนุษย์เพื่อสนทนา

รีดาร์เห็นท่าทางไม่ดีจึงเปลี่ยนกลับเป็นม้าอีกครั้ง เขารู้ดีว่าซาฮาลไม่ชอบร่างมนุษย์ แม้เจ้าตัวจะสามารถเปลี่ยนได้ก็ตาม "อาจจะมาพูดคุยตามประสาคนร่วมงานกันก็เป็นได้" ชายหนุ่มมีผมสีดำคลับโดยที่ส่วนปลายของมันเป็นสีขาว เช่นเดียวกับร่างกายท่อนล่างที่ปกคลุมด้วยขนสลับสีแบบเดียวกัน ท่อนขาที่หนากว่าม้าทั่วไปบ่งบอกได้ว่าซาฮาลได้รับความแข็งแกร่งมาจากบรรพบุรุษ

ขนาดของกระดูกท่อนขาบ่งบอกได้ถึงชาติตระกูล องค์เหนือหัวดาเรียสเองก็มีท่อนขาแบบนี้

ในขณะที่เลสธีราห์และรีดาร์มีขาเล็กเรียวแบบม้าโดยทั่วไป

"กำลังจะไปลานฝึกหรือไง ไปดูพวกเด็กๆ ที่ถูกส่งมาเรียนแปลงเป็นร่างมนุษย์รึ" เลสธีราห์พยักหน้ารับ แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดจะไปเยือนที่นั่นเมื่อครู่นี้เนื่องจากความไม่เป็นส่วนตัว "ไหนว่าเรื่องของอาเดรียนั้นเร่งหนักหนาเสียจนต้องพูดแทรกขึ้นมาในที่ประชุมเลยทีเดียว... นี่จะไปเที่ยวเตร่ตามประสาคนหนุ่มอีกหรือไร"

นั่นเป็นคำประชดของผู้บัญชาการกราเทียร์

...หากเลสธีราห์เป็นหนึ่งในขุนนางที่อายุน้อยที่สุดในสภา ซาฮาลก็คือขุนนางอีกคนหนึ่งที่มีอายุน้อยที่สุด ซึ่งนั่นก็คือยี่สิบสองเท่ากับเลสธีราห์ "ทำตัวอย่างกับเด็กเรียกร้องความสนใจ ทั้งที่ปัญหาของทั้งเจ้าและข้าต่างก็ใหญ่มากพอกัน"

"ซาฮาล" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว "เจ้าน่าจะเข้าใจว่าเราไม่มีเวลาไปไล่ตามเรื่องเรือจักรไอน้ำ ตราบใดที่เมืองเพื่อนบ้านยังตีกันเป็นพัลวันเช่นนี้" คู่สนทนาผิวปากเบาเป็นเชิงล้อเลียนกึ่งเหยียดหยาม และเดินวนไปรอบคู่สนทนาทั้งสองอย่างไม่สนใจสิ่งที่เลสธีราห์พยายามจะพูด

"เจ้าจะว่าเจ้ามองการณ์ไกลกว่าข้าอย่างนั้นหรือ"

"เจ้าอย่าเอาอารมณ์หงุดหงิดมาโยนใส่ข้าหน่อยเลย"

"ข้าคงจะไม่หงุดหงิดเพียงนี้หากเจ้ารู้จักมีมารยาทเสียบ้าง" เซนทอร์ร่างสูงตอบเสียงเข้ม "ข้าคงต้องไปดูแลกองเรือกราเทียร์ ตามคำสั่งของเหนือหัว ส่วนเจ้าก็ไปสอดแนมพวกอาเดรียในฐานะเซนทอร์หนึ่งเดียวที่แนบเนียนกับมนุษย์ที่สุดก็แล้วกัน" ชายหนุ่มยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม "งานสอดแนมไม่ใช่งานคิดเองเออเองล่ะ ระวังตัวให้มากด้วย... ความใดที่เจ้าได้มาแล้วเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองก็ไม่ควรจะเก็บงำไว้เอาหน้าเพียงคนเดียว ถูกหรือไม่ เลสธีราห์ ปัญหาที่เจ้ามองอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ขุนนางผู้อื่นเห็นก็เป็นได้ เจ้าเป็นถึงผู้นำกองเรือรบเซเลสต์ อย่าคาดการณ์ผิดให้เสียชื่อแม่ทัพ"

"ชักจะมากไปแล้วนะ..." คิ้วเรียวกดมุ่นบ่งบอกถึงโทสะหลังจากคู่สนทนาสั่งสอนราวกับเป็นเด็ก

ซาฮาลยอมถอยเท้าออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ "เช่นนั้นต้องขออภัยด้วย ข้าควรจะขอตัวกลับไปที่มารินาก่อน คณะทูตจากตะวันออกจะเดินทางมาถึงในเย็นวันนี้ และช่างโชคดีที่แม่ทัพเลสธีราห์สามารถหาเนื้อวาฬชั้นดีมาต้อนรับได้ไม่เสียชื่อแอสทารอธ..." ว่าแล้วร่างสูงก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นไปที่พระราชวังหินอ่อน โดยมีสายตารำคาญของเลสธีราห์มองตามไป

รีดาร์จับบ่ากว้างของสหายแทนการเตือนสติ "ซาฮาลมีประสบการณ์มากกว่าเจ้า อย่าถือเลยน่า"

"อย่าทำเหมือนข้าได้รับภารกิจนี้เพราะเป็นลูกครึ่งเอลฟ์หน่อยเลย" ร่างโปร่งกัดฟันกรอด "การที่ข้ารู้เรื่องชายแดนทางทะเลมากกว่าก็เพราะข้าเป็นผู้นำของเซเลสต์ ข้าต้องคาดการณ์ได้กว้างกว่าผู้นำที่วันๆวุ่นวายแต่กับเรื่องขนส่ง และจัดระเบียบลำเรืออยู่แล้ว"

"ไม่เอาน่า..." รีดาร์พยายามปลอบ "ตกลงเจ้าเรียกข้าให้วิ่งตามมาจากมารินาทำไม"

...เมื่อถามอีกครั้ง เลสธีราห์ก็นึกขึ้นได้ว้าเขาบอกให้กัปตันเรือลำนั้นส่งคนไปตามรีดาห์ให้มาสมทบกับเขาที่เลาสน์เรน "ถ้าเจ้าเรียกมาแล้วไล่ข้ากลับไปตรวจสภาพเรือ... ข้าจะโกรธเจ้าจริงๆ และเจ้าจะต้องเลี้ยงเหล้าข้าสักถังหนึ่งแน่ๆ เลสธีราห์" รีดาห์เป็นฝ่ายกดเสียงเข้มและกอดอกบ้างอย่างเอาเรื่อง

"ข้าจะมอบหมายหน้าที่ของข้าให้เจ้าสักระยะ" เลสธีราห์ตอบ "เพราะข้าจะต้องไปสืบข่าวที่อาเดรีย"

"เรื่องแค่นี้ไม่ต้องให้ข้าวิ่งมาก็ได้กระมัง ผู้บัญชาการ!"

"เพราะข้าคงไม่กลับมารินาอีกหลายวันน่ะสิ" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว "แล้วข้าก็ไม่มีเวลาหยุดเล่าเรื่องให้เจ้าฟังอีกด้วย ดังนั้นการเรียกให้เจ้ามาก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว" ร่างโปร่งยืดอกอย่างคนที่ไม่ได้ทำผิด แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดจริงๆที่เรียกให้อีกฝ่ายตามมาพบที่นี่ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องด่วนขนาดนั้น

เขาเรียกอีกฝ่ายมาทั้งที่ไม่แน่ใจตั้งแต่แรกว่าตนจะได้ไปสืบข่าวที่อาเดรียด้วยตนเองหรือไม่

"ระวังตัวด้วยล่ะ... ประเดี๋ยวจะถูกซาฮาลหาเรื่องเอาได้อีก เจ้ารู้ไม่ใช่หรือไงว่าเจ้านั่นไม่ชอบมนุษย์ แล้วการที่เจ้าชอบอยู่ในร่างมนุษย์ก็ดูจะขัดหูขัดตาเหลือเกิน" เลสธีราห์พ่นลมหายใจแรงๆอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วจึงกดอกเพื่อเก็บกลั้นโทสะเอาไว้

ซาฮาลไม่ได้เกลียดมนุษย์... แต่ผู้นำกองเรือกราเทียร์ต้องการแสดงอำนาจเหนือกว่าเขาก็เท่านั้น

รู้ไหม... ว่าข้าออกหน้าแทนเจ้ากี่ครั้งแล้ว เลสธีราห์ ในเรื่องที่กระทั่งมารดาของเจ้าก็ไม่สามารถแก้แทนได้... หากไม่มีข้าแล้วเจ้าจะได้มายืนอยู่ที่นี่หรือ

...

ใครกันแน่ที่ปกป้องเจ้ามาตลอดน่ะ!

"แล้วกลับมานี่ได้อาบน้ำหรือยัง" เสียงของรีดาห์ดังขึ้นทำลายความคิดของเลสธีราห์

จริงอยู่ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานั้นฝนตก และเซนทอร์หนุ่มก็วิ่งฝ่าฝนกลับมายังเมืองหลวง แต่แน่นอนว่าคนที่ออกเรือไปร่วมสองสัปดาห์นั้นย่อมไม่มีน้ำสะอาดให้อาบแน่นอน รีดาห์มองจ้องหน้าสหายของตนก่อนจะแกล้งทำจมูกย่นฟุดฟิด "ยังแน่ๆ!!"

"หุบปากน่า จะเสียงดังไปทำไมกันเล่า!" เลสธีราห์ไม่ปฏิเสธ แต่ก็อดหน้าง้ำไม่ได้เมื่อถูกแทงใจดำ

"เจ้าไปประชุมขุนนางในสภาพหัวฟูแบบนี้ก็แย่แล้ว ไปเลย! ไปกระโดดแม่น้ำ! ข้าจะไปขอสมุนไพรขัดผิวจากพวกนางวัง" นางวังในความหมายของรีดาห์ก็คือนางกำนัลผู้ทำงานในวังสำหรับอาณาจักรอื่นนั่นเอง "ใครยืนข้างเจ้าเมื่อครู่นี้ ซาฮาลหรือเปล่า หรือว่ารองผู้บัญชาการของซาฮาล เขาไม่บ่นบ้างหรือไร..."

"เงียบน่ะ" เลสธีราห์ถอนใจ แล้วจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากลานฝึกเป็นเส้นทางสู่ประตูเมือง

"เลส เจ้าจะไปไหนน่ะ" รีดาร์ร้องเรียกผู้นำของตน "เจ้าเรียกให้ข้าวิ่งจากมารินามาถึงที่นี่ เพื่อจะบอกว่าเจ้ามอบหมายหน้าที่ให้ข้าดูแล แค่นี้น่ะหรือ แล้วรายละเอียดงานเล่า! เราจะต้องล่าวาฬอีกหรือเปล่า ลำพังข้าหาพวกมันไม่เจอในกลางทะเลหรอกนะ เจ้าเซนทอร์สองขา!" ร่างโปร่งชะงักไปเมื่อถูกเรียกเช่นนั้น เขาหันกลับไปมองผู้ใต้บัญชาก่อนให้คำตอบ

"ข้าจะไปอาเดรีย...!"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 2.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-10-2016 09:33:47
ตอนที่ 2.2

อาเดรียเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ ที่ไม่มีเมืองหลวงหรือเมืองท่าให้วุ่นวายอย่างแอสทารอธ

ทุกสิ่งทุกอย่างของอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินอยู่ในปราการเมืองสามชั้นและท่าเรือที่กินพื้นที่กว้างใหญ่ทั่วทั้งอ่าว โดยปราการชั้นที่สามจะเป็นย่านที่พักอาศัยของประชาชนและเป็นปราการชั้นนอกสุดซึ่งโอบล้อมด้วยกำแพงเมืองสูงชะลูดเกินกว่าที่ข้าศึกจะปีนข้ามได้ ส่วนปราการชั้นที่สองจะเป็นย่านการค้าและมีส่วนประตูเมืองที่เชื่อมต่อกับท่าเรือนับร้อยของอาเดรียซึ่งอยู่โดยรอบอ่าวออโรรา และปราการชั้นที่หนึ่งจะเป็นที่ตั้งของมหาคฤหาสน์อันเป็นสถานที่พำนักของผู้นำแห่งอาเดรีย

...หรือท่านชายซินญอร์

"เราจะต้องขอความช่วยเหลือจากแอสทารอธ..." ผู้นำแห่งอาเดรียพึมพำกับตนเองขณะใช้ปลายนิ้วลูบไปบนใบสีเขียวของต้นไม้เล็กๆที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา "อย่างกับว่าเซนทอร์พวกนั้นญาติดีกับใครนอกเหนือจากเธสซาลีย์อย่างนั้น" ท่านชายซินญอร์ส่งเสียงขึ้นจมูกด้วยความรู้สึกสมเพชตนเองอยู่ลึกๆที่ไม่มีเหตุผลใดจะโต้แย้งพี่สาวของตนได้

เขาไม่คิดว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นเรื่องถูกต้อง

จริงอยู่ว่าอาเดรียไม่ต้องการอยู่ในการปกครองของธีสธรัลอีกต่อไปแล้ว แต่การปิดท่าเรือและตัดขาดการค้ากับธีสธรัลไปเสียเฉยๆก็ดูจะเป็นการหักหาญที่รุนแรงมากไปเสียหน่อยจนยากจะเจรจา หลังจากท่านหญิงซินญอร่าออกคำสั่งให้ปิดท่าเรือ เรือพาณิชย์ทุกลำที่เป็นของธีสธรัลก็ถูกขับไล่ออกไปจากอ่าวออโรรา จริงอยู่ว่าธีสธรัลเป็นเมืองเกาะที่ไม่น่าจะมีพิษภัยต่อเมืองที่เป็นถึง 'ประตูสู่มหาทวีป' อย่างอาเดรีย แต่สิ่งที่ทำให้ธีสธรัลมีชัยเหนือพวกเขามาโดยตลอด นั่นก็คือการขายตัวเองของพวกขุนนางที่เห็นแก่ได้ พวกขุนนางที่เห็นแก่เงินเล็กน้อยและความมั่งคั่งจอมปลอมที่ธีสธรัลเสนอให้เป็นค่าตอบแทนในการทรยศกษัตริย์แห่งอาเดรีย

แต่ตอนนี้ถึงจะกวาดล้างเหล่าขุนนางพวกนั้นออกไปแล้ว และขับไล่พลทหารของธีสธรัลกลับแผ่นดินเกิดแล้ว อีกทั้งยังตะเพิดพวกพ่อค้ากลับไปได้อีกด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอาเดรียได้รับชัยชนะในการประกาศตนเป็นอิสระจากธีสธรัล

ธีสธรัลในตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่เมืองเกาะธรรมดา

...แต่พวกเขามีไอย์ชวลเป็นพันธมิตรด้วย

ไอย์ชวลคือเมืองของภูตป่า ผู้ครอบครองผืนป่าเพลีเวธาร์ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในมหาทวีป พวกภูตเหล่านี้มีความชำนาญในการสู้รบอย่างมาก ทั้งทางพื้นดินและทางอากาศ หากพวกเขายกกำลังพลเข้าบุกอาเดรียเมื่อใด ปราการในตำนานแห่งนี้ก็ยากที่จะทัดทานไหวเช่นกัน

แต่มันคือความขลาดเขลาที่ทำให้ท่านชายซินญอร์ไม่เคยลงมือทำอะไรเพื่อทำให้อาเดรียเป็นอิสระ

เขายอมอยู่ภายใต้การกดขี่ของธีสธรัลเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ มากกว่าจะแข็งข้อและสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนากมายแลกกับคำว่าอิสรภาพที่อาจไม่มีอยู่จริง นับตั้งแต่กษัตริย์คนสุดท้ายของอาเดรียถูกสังหาร เมืองท่าแห่งนี้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองทัพ แม่ทัพและขุนพลมากฝีมือถูกสังหารและกวาดล้างศาสตร์การต่อสู้ทุกอย่างออกไปจากแผ่นดิน

อาเดรียจึงไม่มีอะไรที่จะเป็นอาวุธต่อสู้เอาชนะได้

ยกเว้นกองกำลังส่วนตัวที่เรียกว่าเป็น 'หน่วยอารักขา' ของผู้นำอาณาจักรเท่านั้น

"ท่านชายซินญอร์... ขออนุญาตค่ะ" นั่นเป็นเสียงของสาวใช้หน้าห้อง และเมื่อนางพูดจบ ประตูห้องก็เปิดดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะเคร่งเครียดหลังจากถูกตามตัวมาจากคฤหาสน์ที่พักของตน ผมสีเข้มที่ยาวประบ่าของอีกฝ่ายเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อทว่าเสื้อผ้ากลับดูสะอาดสะอ้านอย่างน่าประหลาด ผู้นำอาณาจักรจึงคิดว่าเขาอาจเรียกอีกฝ่ายออกมาในช่วงเวลาที่เขากำลังฝึกซ้อมร่างกายประจำวัน

นี่คือ เอเดรียน ผู้นำของหน่วยอารักขาที่ใกล้ชิดเขามากที่สุดตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา

หรืออีกตำแหน่งหนึ่งจะเรียกว่าเป็น แม่ทัพแห่งอาเดรีย ก็ย่อมได้

แน่นอนว่าการลักลอบซ่องสุมกำลังพลจะเป็นความคิดของท่านหญิงซินญอร่า แต่ในเรื่องนี้ท่านชายซินญอร์ก็เห็นด้วยอยู่มาก เนื่องจากการกวาดล้างของธีสธรัลในอดีตนั้นทำให้อาเดรียไม่เหลือนักรบเลยสักคนเดียว จนทำให้เมืองขาดความมั่นคงและสั่นคลอนจนแทบล่มสลาย แต่พวกเขาก็ถูกสั่งห้ามก่อตั้งกองทัพอยู่ดี ดังนั้นการแต่งตั้งใครสักคนขึ้นเป็นแม่ทัพจะต้องกระทำขึ้นเป็นความลับ และจะต้องเป็นบุคคลที่สองพี่น้องไว้ใจเท่านั้น และเอเดรียนผู้นี้ก็คือบุคคลคนนั้น

"ข้าได้ยินว่าท่านหญิงซินญอร่าสั่งปิดท่าเรือออโรรา และขับไล่พวกพ่อค้าจากธีสธรัลออกไปจนหมดเมือง" คิ้วเรียวสีเข้มขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ "เหตุใดจึงออกคำสั่งใช้กองทัพที่ข้าดูแลอยู่โดยพลการเช่นนี้" แม้จะเป็นประโยคที่ไม่สมควรพูดกับผู้ที่เป็นเจ้านาย แต่ท่านชายซินญอร์ก็ยอมรับว่าตนเป็นฝ่ายผิดที่ออกคำสั่งแทนแม่ทัพโดยไม่ปรึกษาใคร

"การเดินทางจากธีสธรัลมาถึงที่นี่ใช้เวลาเพียงคืนเดียว หากพรุ่งนี้เช้า กองเรือของพวกมันเข้ามาในอ่าวออโรราแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า" แม่ทัพหนุ่มถอนใจ "ท่านชาย... เหตุใดจึงไม่ปรึกษาข้าบ้าง" ผู้นำสูงสุดของอาเดรียไม่ตอบคำ เขาค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้โซฟาตัวยาว ก่อนจะผายมือให้แม่ทัพคนสนิทนั่งที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง

"ท่านหญิงซินญอร่าหลบหนีออกมาได้ในช่วงชุลมุนของการต่อสู้ภายในอาณาจักรธีสธรัล และผู้ชนะก็คือฝ่ายภูตไม้ นั่นแปลว่าธีสธรัลกำลังจะเปลี่ยนแปลงผู้นำ ดังนั้นพวกเขาไม่ผลีผลามส่งกองทัพเรือมาบุกเราในตอนนี้หรอก" สาวใช้เดินเข้ามาในห้องรับรองอีกครั้งพร้อมกับถ้วยชาและอาหารว่าง "แปลว่าตอนนี้ไอย์ชวลตอนนี้ได้ธีสธรัลเป็นพันธมิตรแล้ว แน่นอนว่าพวกมันย่อมได้เส้นทางเดินเรือในทะเลด้วย แต่หากเมืองท่าหนึ่งเดียวอย่างเราแข็งข้อ พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"

"ท่านชาย แต่เหตุใดจะต้องวู่วามปิด... พวกพ่อค้าก็จะเดือดร้อนไม่ใช่หรือ"

ท่านชายซินญอร์เม้มปากกับคำถามที่คาดเอาไว้ว่าจะต้องตอบ "ไอย์ชวลยกทัพไปรบกับธีสธรัลทางอากาศ พวกเขาใช้ม้าศึกบินได้ทั้งหมดบินข้ามทะเลไป แต่หลังจากได้ชัยชนะแล้ว พวกม้าศึกก็อ่อนแรง กำลังพลก็อ่อนเปลี้ย ไม่อาจบินข้ามกลับมาได้ จะต้องใช้เรือเท่านั้น และแน่นอนว่าเมืองท่าบนแผ่นดินนี้ก็มีเพียงแค่สองเมือง นั่นคืออาเดรียกับแอสทารอธ พวกเซนทอร์เก็บค่าเรือแพงเกินตัวอยู่แล้ว ซึ่งข้าไม่คิดว่าพวกไอย์ชวลจะยอมจ่ายสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงแน่นอนว่าพวกนั้นจะต้องหันมาพึ่งพาเรา ดังนั้นเราจะต้องใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส"

เอเดรียนคิดวิเคราะห์ที่เจ้าเมืองของตนพูด และยอมรับว่าเขามีเหตุผลอยู่มาก

"การปิดท่าเรือเป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ และถ้าผลการเจรจาไม่เป็นที่น่าพอใจ ท่าเรือก็จะไม่เปิด" แต่ต่อให้มันเป็นวิธีการที่ดีอย่างไร แต่เอเดรียนก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี เพราะอาเดรียเป็นเมืองที่ใช้ทะเลเป็นเส้นทางค้าขาย การสั่งปิดท่าเรือนี้จึงเป็นการสั่งห้ามชาวเมืองทำการค้าซึ่งนั่นกระทบต่อรายได้และปากท้องของพวกเขาอย่างแน่นอน

เว้นเสียแต่พวกที่ค้าขายกับชาวเอลฟ์ทางแผ่นดินตะวันออก

"แต่ทางธีสธรัลยังไม่ทราบเรื่องนี้ใช่ไหมขอรับ"

"เมื่อเรือพาณิชย์ของพวกมันที่เราขับไล่ออกไปกลับไปถึง พวกมันจะได้รู้เรื่องแน่... แต่ระหว่างนี้ ข้าต้องการให้เจ้าไปทำภารกิจสำคัญ เพราะถ้าเราต้องการเป็นมหาอำนาจทางทะเล เราไม่อาจทำเรื่องนี้ได้เพียงลำพัง"

"ท่านชาย..."

"ข้าจะส่งคณะทูตเดินทางไปยังแอสทารอธเพื่อยื่นข้อเสนอพันธมิตรแก่พวกเขา ขอให้เจ้าเดินทางร่วมไปด้วยเพื่อเจรจา จงจดจำเจตนารมณ์ของเราเอาไว้ เจรจาให้พวกนั้นเข้าร่วมกับเราให้ได้"

"ท่านชาย ข้าไม่ใช่ทูต อาจจะไม่ถนัด..."

"เจ้ารู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางมากมาย และข้าเชื่อว่าเจ้าอาจเป็นคนเดียวที่รักษาผลประโยชน์ของอาณาจักรเอาไว้ได้ดีที่สุด" ผู้นำตัดบท "หากเจรจาได้สำเร็จ ท่าเรือก็จะเปิดเร็วขึ้น เรื่องทุกอย่างก็จะเร็วขึ้น ตอนนี้เราจะต้องรีบลงมือ เราต้องเร็วกว่าพวกภูต เอเดรียน"

"แต่ว่า..."

"เรารออะไรไม่ได้อีกแล้ว" ผู้น้อยได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่งอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มถอนใจกับตัวเองเนือยๆและก้มหน้ารับคำสั่งอย่างไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร "อาเดรียไม่เคยส่งคณะทูตเข้าไปอย่างเป็นทางการมาก่อน ดังนั้นอาจจะใช้เวลาสามหรือสี่วันในการติดต่อ เจ้าถึงจะเดินทางเข้าไปที่แอสทารอธได้"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 2 [25-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: princeofdark ที่ 25-10-2016 11:40:44
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ เลสนี่จะใช่ตัวเอกของเรื่องมั้ยน้า บรรยายดี เห็นภาพเลยค่ะ สู้ๆนะคะ มาต่อไวๆน๊า
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 3.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-10-2016 11:52:02
ตอนที่ 3.1

คฤหาสน์ราห์โมนา... ที่พักของแม่ทัพเอเดรียนแห่งอาเดรีย

เมื่อกลับมาจากมหาคฤหาสน์ที่ปราการชั้นที่หนึ่งแล้ว อาเดรียนก็กลับมายังที่พักของตนด้วยจิตใจที่ไม่สงบสักเท่าไหร่ เขารู้สึกอึดอัดกับภารกิจที่ได้รับ อีกทั้งยังรู้สึกเสมือนมีความคิดเห็นและคำแนะนำทว่าไม่ได้รับอนุญาตให้พูด อีกทั้งยังถูกบังคับให้ก้มหน้าทำในสิ่งที่ผิดต่อไปอีกด้วย

จริงอยู่ว่าท่านชายซินญอร์ไม่ใช่คนหนักแน่น แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะห้ามปรามพี่สาวของตัวเองบ้างก่อนที่จะลงมือกระทำการใหญ่โตเช่นนี้ การแข็งข้อกับธีสธรัลด้วยวิธีนี้ไม่ใช่หนทางที่ฉลาดที่สุด แต่เอเดรียนก็ยอมรับว่ามันได้ผลมากที่สุด แต่อีกฝ่ายควรจะไปเจรจากับแอสทารอธก่อนที่จะปิดท่าเรือไม่ใช่หรือ

...พวกเซนทอร์เหล่านั้นคุยง่ายเสียที่ไหน

"ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เอเดรียน" ชายร่างโปร่งที่มีเรือนผมสีแดงก้าวออกมาจากคฤหาสน์เพื่อรับผ้าคลุมสีเขียวเข้มที่แม่ทัพหนุ่มถอดออกพาดแขนตัวเองมาถือให้แทน เขาคือจาร์เร็ตต์ คนสนิทผู้เปรียบเสมือนมือซ้ายของเอเดรียน "ให้ข้าถือเถอะน่ะ..." ร่างโปร่งเอ็ด "ได้ยินว่าท่านหญิงซินญอร่ากลับมาแล้วรึ"

"ใช่ กลับมาพร้อมกับปัญหาเสียด้วย"

ร่างสูงถอนใจ และยอมให้อีกฝ่ายช่วยถือแต่โดยดี "ท่านหญิงสั่งปิดท่าเรือออโรรา ขับไล่พวกพ่อค้าที่มาจากธีสธรัลออกไปจนหมด จะเหลือก็แต่พวกพ่อค้าชาวเอลฟ์เท่านั้น" ผู้นำฝ่ายทหารเปิดประตูเข้าไปในห้องรับรองใหญ่และทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวราวกับหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อ "และท่านชายซินญอร์ก็ห้ามอะไรไม่ได้นอกจากทำตามคำสั่งพี่สาว ซ้ำยังมอบหมายภารกิจให้ข้าร่วมคณะเดินทางไปกับพวกทูตเพื่อเจรจากับแอสทารอธด้วย"

จริงอยู่ว่าผู้นำสูงสุดของอาเดรียคือท่านชายซินญอร์ แต่ด้วยความที่ของอีกฝ่ายค่อนข้างตามอกตามใจพี่สาว ทำให้เขาอาจไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะปกครองบ้านเมือง ดังนั้นเอเดรียนจึงอดกังวลไม่ได้ว่า หากเขาไม่อยู่เคียงข้างผู้นำ อีกฝ่ายจะปรึกษาหาคำแนะนำจากผู้ใด ท่านชายซินญอร์จะพึ่งพาใครหากไม่ใช่เขา...

"เจรจากับแอสทารอธรึ เรื่องนี้ต้องทำก่อนที่จะปิดท่าเรือไม่ใช่หรือไร"

"ในเมื่อก้าวพลาดไปแล้วจะทำอะไรได้เล่า" เอเดรียนว่า "ข้าเพิ่งกลับมาจากการนำคณะพรานไปล่าสัตว์ ส่วนเจ้ากับโจฮาลล์ก็ออกไปลาดตระเวนชายแดนทางเหนือ ท่านหญิงซินญอร่าจึงออกคำสั่งแทนข้าในฐานะพี่สาวของผู้นำและใช้กำลังขับไล่พวกธีสธรัลออกไป" แม้ว่ากำลังทหารของอาเดรียจะเป็นกองกำลังลับ แต่พวกเขาก็ได้รับการฝึกมาจากอย่างเข้มงวดจนเป็นยอดฝีมือ ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะปฏิบัติภารกิจดังกล่าวสำเร็จลุล่างในเวลาอันรวดเร็ว

แต่นั่นก็ทำให้แม่ทัพอย่างเอเดรียนไม่พอใจไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

"ถ้าพวกพ่อค้ากลับไปถึงธีสธรัล กษัตริย์ของพวกมันก็จะรู้ว่าเราลักลอบจัดตั้งกองทัพขึ้นน่ะสิ"

เอเดรียนพยักหน้าเบาด้วยยอมรับว่าหวั่นเกรงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา นั่นก็คือธีสธรัลอาจจะหันเป้าหมายมาหาเขาซึ่งเป็นแม่ทัพโดยลับนั่นเอง แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจสักเท่าไหร่ เพราะเหตุการณ์นี้เหมือนจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีกลายที่ผ่านมา "นั่นไม่สำคัญหรอก จาเร็ตต์ ตอนนี้เราต้องคิดหาวิธีเจรจากับแอสทารอธมากกว่า"

ทว่าที่ปรึกษาคนสนิทกลับส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย "เจ้าเห็นผลเจรจาอยู่แล้ว เหตุใด..."

"ข้ามีทางเลือกอื่นหรือ" เอเดรียนสวนขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ "จะให้ข้าปล่อยอาเดรียเป็นไปตามชะตากรรม ปล่อยให้พวกธีสธรัลกลับเข้ามามีอำนาจโดยไม่ทำอะไรหรือไร" แม่ทัพหนุ่มหลับตาลง "จะให้ข้าปล่อยพวกมันฆ่าผู้นำของเราอย่างนั้นหรือ เจ้าก็รู้... ว่าข้าเป็นคนหนึ่งที่ยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้"

ท่านชายซินญอร์มีบุญคุณกับเอเดรียน... หรืออาจะเรียกว่าหนี้ชีวิต

แม้ว่าเจ้าเมืองจะทำผิด แต่หากหักหาญต่อต้านไปก็มีแต่จะกลายเป็นคนเนรคุณ "เราไม่เคยลองติดต่อกับแอสทารอธ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่เราคิดก็เป็นได้" คนพูดพยายามปลอบตัวเอง แม้ว่ายิ่งคิด ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกมืดบอด เซนทอร์เป็นอมนุษย์ และพวกเขาก็เป็นอมนุษย์ประเภทที่เข้าหาได้ยากที่สุด พวกครึ่งม้าแต่ละคนล้วนเกิดมาเป็นอัศวิน และด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันจนเกินไปทำให้เซนทอร์พร้อมที่จะหันดาบใส่ทุกคนที่ไม่ได้มีสี่ขา...

กระทั่งพวกภูตไม้ที่เป็นอมนุษย์เหมือนกันยังออกปากว่าเซนทอร์เข้าใจยาก

นับประสาอะไรกับมนุษย์ปุถุชนอย่างเขาเล่า

จาเร็ตต์พยักหน้ารับรู้และเข้าใจขณะนั่งลงที่เก้าอี้โซฟาอีกตัวใกล้ๆกัน "เช่นนั้นในฐานะผู้ติดตาม ข้าก็ควรจะสนับสนุนเจ้า ถูกหรือไม่เล่า" ร่างโปร่งว่า "ข้าเชื่อว่าลึกๆ แล้วเซนทอร์ก็อยากติดต่อกับอาณาจักรอื่นบ้างเช่นกัน แต่พวกเขาก็กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย" คนสนิทออกความเห็น และพยายามจะหาวิธีช่วยผู้เป็นนาย "เจ้าคิดว่าทูตของฝ่ายนั้นจะประนีประนอมมากกว่าเซนทอร์ตนอื่นหรือเปล่า... ข้าเคยได้ยินแต่เรื่องของแม่ทัพหญิงโมนา"

จาเร็ตต์เงียบไปครู่หนึ่งเมื่อนึกถึงวีรกรรมที่ทุกคนเล่าขาน

"นางได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์นักรบ" แทนที่จะช่วยให้กำลังใจ แต่จาเร็ตต์คิดว่ามันดูเหมือนมันจะยิ่งเพิ่มความหดหู่ให้ความหวังอันริบหรี่ตรงหน้า "แต่เซนทอร์ก็ไม่เหมือนแม่ทัพหญิงเสียทุกคนหรอก จริงไหม" เมื่อมานั่งพูดคุยกันแบบนี้ จาเร็ตต์ก็เริ่มรู้สึกว่าพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับแอสทารอธน้อยมาก แล้วท่านชายซินญอร์ยังดึงดันจะส่งพวกเขาไปเจรจาถึงถิ่นหรือ

เชื่อว่าหากกระทำอะไรผิดมารยาทแม้แต่นิดเดียว การเอาชีวิตรอดออกมาก็ดูจะเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน

"ข้าคิดว่าพวกพรานป่าที่ตระเวนแถบชายแดนน่าจะมีคนรู้เรื่องเซนทอร์บ้าง ได้ยินว่าพวกเขาพบเจอกับคนครึ่งม้าอยู่บ่อยๆ ทว่าไม่ได้มีใครเข้าไปคลุกคลีด้วย" จาเร็ตต์ว่า "เรายังพอมีเวลาใช่หรือเปล่า เราควรจะเริ่มจากการพูดคุยกับพวกพรานป่าแล้วก็..."

"ผู้นำฝ่ายทูตของแอสทารอธคือ ท่านหญิงลีอาห์ ราชเลขาแห่งแอสทารอธ" เอเดรียนตัดบทของคู่สนทนา เพื่อบอกอีกฝ่ายว่าเขาลงมือสืบเรื่องนี้ด้วยตนเองมาแล้ว "ได้ยินว่านางมีทักษะในการพูดและคารมคมคายแยบยลน่าฟัง แม้ไม่แน่ใจเรื่องอุปนิสัยส่วนตัวของนาง แต่นางเป็นทูตที่สามารถผูกการค้าของอาณาจักรเอลฟ์เธสซาลีย์เอาไว้ได้ถึงร้อยละเจ็ดสิบ นั่นคือเหตุผลที่เธสซาลีย์ไม่ใคร่จะติดต่อกับเรา"

หากตัดเรื่องค่าเช่าเรือที่แสนแพงและกฎระเบียบเคร่งครัดของพวกเซนทอร์ออกไปแล้ว การค้าขายกับพวกเขาก็ดูจะได้รับความนิยมอยู่มาก อมนุษย์เหล่านี้มีความเป็นอัศวินอยู่ในสายเลือด ดังนั้นกฎระเบียบจึงเคร่งครัด และไม่มีการผ่อนปรน แต่ความซื่อตรงซื่อสัตย์ปราศจากการฉ้อฉลเป็นจุดแข็งที่สุดที่ทำให้หลายเมืองยอมติดต่อค้าขายด้วย

รวมทั้งคู่ค้าคนสำคัญของอาเดรียอย่างเธสซาลีย์ ...มหาอาณาจักรของชาวเอลฟ์

จาเร็ตต์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความฉงน "เจ้าไปรู้มาจากไหนกันน่ะ"

"เจ้าอย่าเพิ่งตำหนิข้าก็แล้วกัน หากข้าพูดไป" เอเดรียนหัวเราะเบาๆ กับตัวเองก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง "ข้าไปได้ยินพวกชาวบ้านในตลาดกลางเล่าต่อกันว่ามีพรานหนุ่มมากฝีมือคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น และมักจะมากับเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ยากอย่างเช่นวัวป่า หรือกระทิงป่า ด้วยความที่ข้าอยากได้ยอดฝีมือมาร่วมคณะอีกจึงได้ลองตามหาพรานหนุ่มผู้นั้นดู"

จาเร็ตต์มุ่นคิ้วทันทีที่ได้ยินดังนั้น "เจ้าก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ไม่ควรออกไปตามหาใครแบบนั้น"

"จาเร็ตต์..." ร่างสูงเหลือบมองคนสนิทเล็กน้อยเหมือนต้องการเอ็ดว่าเขายังพูดไม่จบ "ข้าก็เลยไปดักรอเขาที่ร้านขายเนื้อตามที่พวกชาวบ้านบอก จนเจอเข้าในวันหนึ่ง" คนพูดนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดว่าควรจะเล่าอย่างไรไม่ให้ตนเองถูกคนสนิทตำหนิอีก "ข้าสังเกตพฤติกรรมเขาอยู่นานจนมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่มีพิษมีภัยแน่นอน"

"เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าพบเขาเมื่อไหร่กัน" จาเร็ตต์เป็นคนสนิทของเอเดรียน ...อย่างน้องก็สนิทที่สุด เขาจึงแปลกใจที่ไม่เคยรู้ว่าก่อนว่าสหายหรือเจ้านายของตนดอดออกไปเพื่อทำเรื่องเช่นนี้ ทั้งที่มันมีความเสี่ยงอย่างมากที่สุดสำหรับอีกฝ่าย

"ประมาณสามหรือสี่เดือนที่แล้ว"

"แล้วอย่างไรต่อ... จู่ๆ เขาก็มาเล่าให้เจ้าฟังเรื่องเซนทอร์รึ"

แม่ทัพหนุ่มหัวเราะสั้นๆกับคำแดกดันของสหาย "ข้าลองเข้าไปทำความรู้จักกับเขา เพื่อจะถามว่าเขาเป็นใครมาจากไหน เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน... เขาจึงเสนอให้ข้าซื้อหนังเสือราคาแพง  แล้วเขาจึงจะบอกชื่อ" น้ำเสียงของคนพูดดูจะเอ็นดูปนชื่นชมอยู่มาก จนจาเร็ตต์นึกเป็นห่วง "เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร"

"แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสายลับทุกคนรู้ว่าเจ้าเป็นใครทว่าทำเหมือนไม่รู้... อย่างเวห์เซีย"

เมื่อพูดชื่อนี้ขึ้นมา เอเดรียนก็ขมวดคิ้วมุ่นและเพ่งสาตาไปที่คนพูดราวกับสั่งให้เงียบเสีย "ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกหรอก" มันเป็นความทรงจำที่ทั้งคับแค้นและเจ็บปวด เมื่อพูดถึงคนรักเก่าที่เขาทั้งรักและชิงชัง ผู้หญิงที่ธีสธรัลส่งมาค้นหาความลับของอาเดรียและเปิดโปงว่าเขาคือแม่ทัพที่ท่านชายซินญอร์ลักลอบแต่งตั้ง เอเดรียนเคยถูกจับไปที่ธีสธรัลและถูกทรมานจนปางตาย แต่ก็รอดชีวิตกลับมาได้เพราะท่านชายซินญอร์

"เอเดรียน..."

"ไม่ต้องพูดแล้ว" ร่างสูงลุกขึ้นนั่งในที่สุด และลุกขึ้นยืนอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะคว้าผ้าคลุมไหล่ของตนขึ้นมา "บอกพี่ชายของเจ้าให้เตรียมตัวเดินทางด้วย ในเวลาไม่เกินสามวัน เราคงจะต้องไปแอสทารอธกัน" เมื่อออกคำสั่งแล้ว คนพูดก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง โดยที่คนสนิทขมวดคิ้วมุ่นมองอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

"เจ้าจะไปไหน"

"ไปพบพรานป่าผู้นั้น..."

แม่ทัพใหญ่เร่งฝีเท้าลงมาจากชั้นสอง และเข้าไปในโรงเก็บม้าเพื่อพาอาชาคู่ใจออกมาขึ้นขี่ ขณะที่คนสนิทรีบตามลงเพื่อห้ามปรามแม่ทัพใหญ่ที่พยายามจะดื้อใส่เขาเป็นเด็กๆ "เอเดรียน... อย่ารั้นน่า! เจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเลยไม่ใช่รึ... แล้วนี่ถึงขั้นอยากได้มาร่วมคณะ มันไม่สะเพร่าไปหน่อยหรือ!"

"อย่างน้อยหากพามาที่นี่ เจ้าจะได้ช่วยข้าพิสูจน์อย่างไรเล่า!"

--------------------------------------------------

รีดาห์ยังรั้งรออยู่ที่เลาน์เรน เมืองหลวงแห่งแอสทารอธ เพื่อพักผ่อนอีกสักระยะก่อนจะบึ่งกลับไปที่มารินา หลังจากวิ่งกลับมาเต็มเหยียดเพียงเพื่อรับรู้คำสั่งสั้นๆของเลสธีราห์ว่า ‘ฝากดูแลทางนี้ด้วย’ เซนทอร์หนุ่มเดินไปยังด้านหลังของพระราชวังอัสเธียร์ซึ่งเป็นโรงเก็บเรือขนาดใหญ่ที่สุดของแอสทารอธ มันเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหนึ่งที่จะไหลสู่ตะวันออกสู่อ่าวมารินาในที่สุด

…โรงเก็บเรือรบเซเลสต์

เรือรบที่เก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรเซนทอร์ และเป็นเรือรบในตำนานลำสุดท้ายที่เหลือจากสงครามของแอสทารอธกับอัสคาห์ "รีดาห์..." เสียงนุ่มละมุนดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาเซนทอร์หนุ่มสะดุ้งจนเกือบลื่นพื้นหินอ่อนที่ทอดยาวเข้าไปในโรงเก็บเรือ เขาหันหน้าไปหาเซนทอร์หญิงที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยิ้มรับและค้อมหัวต้อนรับอย่างนอบน้อม

"ท่านหญิงลีอาห์"

ท่านหญิงลีอาห์เป็นสตรีร่างเล็ก เรีกได้ว่าค่อนข้างเล็กหากเทียบกับเซนทอร์หญิงด้วยกัน นางมีผมสีน้ำตาลแดงสม่ำเสมอ ต่างจากรีดาห์ที่มีผมสีแดงสลับขาวเช่นเดียวลำตัวของเขาที่เป็นอาชาขนด่าง ราชเลขาแห่งแอสทารอธสวมกระโปรงยาวที่ถักทอจากผ้าหนัง ร่างกายท่อนบนปกปิดมิดชิดด้วยผ้าชนิดเดียวกัน "นานสักครั้งที่จะเห็นใครอื่นนอกจากเหนือหัวดาเรียสเข้ามาที่นี่" ท่านราชเลขาเดินไปตามทางหินอ่อนที่ทอดยาวไปถึงลำเรือเซเลสต์ กีบเท้าของนางกระทบพื้นเป็นจังหวะการก้าวช้าๆและสง่างาม

ท่านหญิงทอดยิ้มจางก่อนจะเป็นฝ่ายชวนรีดาห์พูดคุย “ช่วงนี้เจ้าอาจจะต้องเหนื่อยสักหน่อย มีหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมกันเช่นนี้ ไม่ได้มีแต่ฝ่ายทหารหรอกที่ปวดหัวไปตามๆกัน” รีดาห์ไม่ใช่ขุนนางระดับสูง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการประชุมในสภาขุนนาง แต่ก็พอจะรู้เรื่องจากผู้อื่นมาบ้างว่าในตอนี้แอสทารอธกำลังเผชิยหน้ากับปัญหาอะไรบ้าง

ทั้งฤดูค้าขายที่ใกล้เข้ามาทว่าสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ก็ยิ่งหาได้ยากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องพิพากชายแดนทางทะเลระหว่างแอสทารอธกับอาเดรีย และเรื่องที่จู่ๆ อาเดรียก็สั่งปิดท่าเรือออโรราและจุดชนวนสงครามเย็นระหว่างสามอาณาจักรขึ้นมา และแน่นอนว่าแอสทารอธจะต้องเขาร่วมเป็นอาณาจักรที่สี่อย่างไม่ต้องสงสัย

แต่จะยื่นมือเข้าร่วมอย่างไรให้สวยงาม... นั่นคือหน้าที่ของเลสธีราห์

รีดาห์อ้าปากเหมือนพยายามจะคิดหาคำพูดมาสนทนาต่อ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเรื่องกลางครัน

“นี่เรากำลังจะก้าวสู่สงครามรึเปล่าขอรับ ท่านหญิง"

"ไม่หรอก" ท่านหญิงตอบ "สงครามไม่เกิดง่ายขนาดนั้น ทั้งไอย์ชวลและธีสธรัลต่างก็เบื่อหน่ายสงคราม หากไม่ถึงที่สุดก็คงจะไม่เกิดศึกหรอก" ผู้นำทุกอาณาจักรที่เห็นแก่ประชาชนย่อมเห็นพ้องต้องกันว่าการศึกให้โทษมากกว่าประโยชน์ หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ย่อมไม่มีผู้นำที่ดีคนไหนอยากพาประชาชนของตนออกไปสังเวยชีวิตกลางสนามรบอย่างแน่นอน

"แต่ก็มีโอกาสใช่ไหมขอรับ"

"อืม มี..."

"แล้วถ้าอาเดรียไม่ยอมอ่อนข้อ เราจะร่วมไปกับพวกเขาไหม"

"เราต้องมองประโยชน์ของอาณาจักรเป็นใหญ่ หากอาเดรียคิดจะยื้อความขัดแย้งก็คงเป็นการยื้อที่พวกเขาได้ประโยชน์แน่ๆ แต่ถ้ามันเป็นโทษสำหรับเรา แอสทารอธก็คงจะไม่สอดมือเข้ายุ่งหรอก" ลีอาห์ตอบ "เราไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เพียงแต่องค์เหนือหัวดาเรียสต้องการจะขยับขยาย และหาความเจริญก้าวหน้าให้กับอาณาจักรเราเท่านั้น"

เซนทอร์ละทิ้งแผ่นดินใหญ่มานานเกินไป พวกเขาหันไปพึ่งพาชาวเอลฟ์และศรัทธาในดวงดาวมากเกินไป ในตอนนี้เผ่าคนครึ่งม้ากำลังจะถูกลบเลือนออกจากความทรงจำ แต่เดิมที่เรือของแอสทารอธนั้นเป็นหนึ่งในทะเลเทเทส ตอนนี้กลับเป็นเรือของธีสธรัลที่ต้านแรงลมได้ดีกว่า แต่เดิมที่สรรพาอาวุธของเซนทอร์เป็นที่โด่งดัง ตอนนี้กลับเป็นฟาวสต์ที่ครอบครองเหล็กกล้า แต่เดิมที่แอสทารอธเป็นเมืองของอัศวินครึ่งม้าชั้นสูง ตอนนี้เหลือเพียงสมญา 'อาชาโดดเดี่ยว' แทน...

และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป องค์เหนือหัวดาเรียสเชื่อว่าแอสทารอธอาจจะเหลือเพียงชื่อ

...ในตอนนี้แอสทารอธจะต้องก้าวหน้า

พวกเขาหยุดก้าวมานานและภาคภูมิใจกับความสำเร็จในอดีตโดยไม่ได้เหลียวมองว่าอาณาจักรอื่นๆได้ก้าวขึ้นมาทัดเทียมกันแล้วเช่นกัน และกำลังจะนำหน้าในไม่ช้านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบออกเดินด้วยขาทั้งสี่ของเซนทอร์ พวกเขาจะต้องเรียนรู้ว่าพวกเขามีสิ่งใดที่เหนือกว่าเมืองอื่นๆในตอนนี้ และไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะต้องรีบขวนขวายค้นหา

นั่นคือภารกิจที่เลสธีราห์ได้รับมอบหมาย

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 3.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-10-2016 11:52:45
ตอนที่ 3.2

ม้าศึกส่งเสียงครางในลำคอเมื่อพาเจ้านายของมันมาถึงจุดหมาย นั่นก็คือชายแดนทางตะวันตก ณ จุดที่ลำธารสองสายไหลมาบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งจะกลายเป็นเส้นแบ่งกั้นดินแดนให้ฝั่งหนึ่งเป็นของอาเดรีย และอีกฝั่งหนึ่งเป็นของแอสทารอธ เอเดรียนกระโดดลงจากหลังม้าและจูงมันไปที่ริมตลิ่งเพื่อให้อาชาคู่ใจได้พักดื่มน้ำหลังจากวิ่งห้อมาเกือบครึ่งค่อนวัน

"หวังว่าวันนี้คงจะได้พบกันนะ"

อัลธอร์ก้มหน้าลงดื่มน้ำ รอบตัวรายล้อมไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดและเสียงนกร้องเซ็งเซ่ซึ่งบอกถึงเวลาที่สรรพสัตว์เริ่มกลับรัง แต่ถึงกระนั้นแม่ทัพใหญ่ก็ไม่มีความคิดที่จะเดินทางกลับอยู่ดี เพราะที่แห่งนี้เปรียบเสมือนจุดนัดพบ แม้ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ที่เขากำลังรอคอยอยู่นั้นจะมาเมื่อไหร่ และจะเดินทางมาหรือไม่ก็ตาม

ริมน้ำแห่งนี้ก่อนดวงอาทิตย์ตก... มันคือจุดนัดพบอย่างไม่เป็นทางการที่พวกเขารู้แก่ใจ

"พรานป่า...รึ"

อาชาคู่ใจเงยหน้าขึ้นจากน้ำ และมองซ้ายขวาพร้อมกับขยับหูขึ้นฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบตัว มันสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเริ่มไม่ชอบมาพากล ก่อนจะก้มลงใช้หัวดันเจ้านายที่ยืนอยู่ข้างๆพยายามบอกให้เขารีบหันหน้ากลับบ้าน "ข้ารู้แล้วน่า... เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก" ชายหนุ่มเสยผมสีเข้มชื้นเหงื่อให้พ้นหน้า โดยที่ไม่ขยับตัวเดินไปไหนอย่างที่ม้าคู่ใจอ้อนวอน

สายตาคู่หนึ่งจับจ้องทั้งสองจากพุ่มไม้ระวังระไว ดวงตาสีฟ้าเข้มเพ่งเล็งไปที่ร่างที่กำลังเคลื่อนไหว ประสาทหูเงี่ยฟังฝีเท้าของม้าศึกที่เริ่มย่ำวนลุกรนราวกับรู้ตัวว่าเป็นเป้า ขณะที่เอเดรียนเองก็จับด้ามมีดกระชับมั่นอย่างรู้ตัวเช่นกัน

สวบ!

ม้าศึกยกสองขาข้าขึ้นตะกุยอากาศตื่นตระหนก จังหวะเดียวกับที่แม่ทัพหนุ่มหมุนตัวหันปลายมีดยาวหวังจะต่อสู้กับผู้ประทุษร้าย

"...!..."

แต่แม่ทัพหนุ่มกลับสะดุ้งเมื่อพบว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ต่างออกไปจากที่คาด เพราะตรงหน้านั้นไม่ใช่เสือ หรือว่าสัตว์ที่จ้องจับเขาเป็นอาหาร ทว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งอีกคนหนึ่งที่ง้างศรจ่อหยุดตรงหน้าเขาพอดี "..." ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะด้วยอารามตกใจ แต่แล้วเอเดรียนก็ค่อยๆ เหยียดมุมปากขึ้นยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าคนที่ตนอุตส่าห์มารอถึงถิ่นที่ปรากฎตัวออกมาในที่สุด

"เลสธีราห์..."

ร่างโปร่งยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนลดอาวุธในมือลง และตรงเข้าไปปลอบม้าที่ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก "เจ้าไม่ฟังความอัลธอร์เช่นนี้ ประเดี๋ยวมันก็ตกใจวิ่งหนีหายไปไหนเสียหรอก" มือเรียวยาวขาวซีดของผู้มาถึงลูบจากปลายจมูกขึ้นไปถึงหน้าผากของม้าศึกอย่างคุ้นเคยสนิทสนม และเหลือบมองเจ้าของม้าด้วยสายตากึ่งตำหนิกึ่งขบขัน "แล้วนั่นคือทักษะที่เจ้ามีทั้งหมดรึ... ขุนนาง เชื่องช้าขนาดนั้น หากเป็นเสือจริงก็คงจะถูกขย้ำตายไปแล้วแน่ๆ"

"ก็ใครกันที่บอกว่าถ้าอยากมาพบก็ให้มาที่นี่น่ะ"

พวกเขามาพบกันที่ริมน้ำแห่งนี้เกือบทุกวัน หากไม่นับวันที่พบกันครั้งแรกในตลาด เลสธีราห์เป็นผู้แนะนำสถานที่แห่งนี้ ชายหนุ่มกล่าวว่ามันเป็นสถานที่ที่เขาโปรดปราน แม้ว่าจะเป็นป่าชายแดนที่ดูน่ากลัว แต่ริมธารแห่งนี้กลับมีบรรยากาศที่สงบและธรรมชาติที่สวยงามชวนหลงใหลที่เขาจะต้องมาพักผ่อนที่นี่ในทุกวัน

ดังนั้นมันจึงกลายเป็นจุดนัดพบอย่างไม่เป็นทางการในทุกเย็น

"ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่แถวนี้"

เลสธีราห์มีผมสีอ่อนยาวปรกบ่า ดวงตาสีฟ้าสดที่โดดเด่นขึ้นมาด้วยแพขนตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเหมือนจะยาวกว่าปกติ จมูกโด่งเป็นสันเห็นชัด ซึ่งรับกับริมฝีปากบางอย่างลงตัว "ข้าไม่ได้มาที่นี่ตั้งสองสัปดาห์ เหตุใดเจ้าคิดว่าข้าจะอยู่แถวนี้ได้" อีกฝ่ายหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินเอเดรียนว่าอย่างนั้น ก่อนจะปล่อยมือออกจากม้าตัวโตแล้วหันมาหาคู่สนทนา

แม่ทัพหนุ่มยิ้มขัน "ข้าเห็นรอยเท้าของเจ้า..."

เขามองต่ำลงไปที่ริมตลิ่ง ซึ่งเป็นดินเนื้ออ่อน และปรากฎรอยเท้าของของเลสธีราห์ที่ดูเหมือนจะเดินลงไปในลำธาร "ก็น่าแปลกดีที่พรานป่ามาอาบน้ำแถวนี้เสียได้ เหตุใดจึงไม่กลับบ้านช่องไปอาบน้ำให้สบายตัว" ร่างสูงเลิกคิ้ว "ถ้าไม่ใช่เจ้ามารอพบข้าแล้วจะเป็นใครไปอีกเล่า"

"อา... สำคัญตัวเองผิดหรือเปล่า ขุนนาง น้ำแถวนี้อาจจะแค่เย็นถูกใจข้าก็ได้นะ" ร่างโปร่งยิ้มเล่นหัว "ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องเปลี่ยนสถานที่พักผ่อนเสียแล้ว เพราะมีเจ้ามากวนใจได้ทุกวี่ทุกวันเลยเชียว" คนตรงหน้าสะพายกระบอกธนูไว้ที่บั้นเอว  และคันศรก็อยู่บนบ่าขาวเปล่าเปลือย แม้ว่าจะเป็นลักษณะของพรานป่า แต่เอเดรียนก็ไม่เคยเห็นพรานป่าชาวอาเดรียแต่งตัวแบบนี้มาก่อน

อันที่จริงลักษณะของอีกฝ่ายดูไม่ใช่ชาวบ้านชนชั้นธรรมดาเลยด้วยซ้ำ

เลสธีราห์ย่อตัวลงนั่งและใช้สองมือประคองน้ำขึ้นมาดื่มชิดริมฝีปาก เมื่อเห็นดังนั้น เอเดรียนจึงย่อตัวลงนั่งบ้างและดื่มน้ำตามที่อีกฝ่ายทำ ทว่าความที่เขาไม่ได้ทำแบบนี้เป็นกิจวัตร ทำให้สองมือไม่สามารถอุ้มน้ำขึ้นมาถึงริมฝีปากได้ และไหลลงไปตามแขนจนแขนเสื้อเปียกชุ่มไปหมด "พวกขุนนางเขาไม่เคยเรียนวิธีดื่มน้ำจากมือหรืออย่างไร" ร่างโปร่งหัวเราะเบา แต่ก็ไม่ได้อาสายื่นมือเข้าช่วยอีกฝ่ายแต่อย่างใด

"คราวหน้าเจ้าน่าจะนำแก้วมาด้วยนะ ได้ยินว่าของใช้ของพวกขุนนางสวยงามมีราคาทั้งนั้น"

เอเดรียนปาดหยดน้ำจากริมฝีปากของตัวเองขณะร่วมหัวเราะไปด้วย "ข้าบอกแล้วนี่... เหตุผลที่ข้าชอบมาที่นี่ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ขุนนางสักวันหนึ่ง" คนฟังยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนพร้อมกับหญ้าอ่อนริมธารที่เพิ่งเด็ดออกมาเมื่อครู่นี้ และยื่นให้อัลธอร์กินเพื่อสร้างความคุ้นเคย

"แต่เจ้าก็ปลีกเวลามาเพียงแค่ตอนเย็น จะนับเป็นหนึ่งวันได้อย่างไร"

เอเดรียนยิ้มขำ "ต่อให้ข้ามาทั้งวัน ก็ได้พบเจ้าแค่ตอนเย็นไม่ใช่หรือไง"

"ในที่สุดก็สารภาพเองว่ามารอพบข้า... " เลสธีราห์หัวเราะ และเริ่มจูงม้าสีน้ำตาลเพื่อพาเดิน ซึ่งน่าแปลกที่มันยอมตามแต่โดยดี "วันนี้อาเดรียวุ่นวายมากเลยไม่ใช่หรือไร แล้วขุนนางอย่างเจ้ามีเวลาว่างมาเตร็ดเตร่ถึงที่นี่ด้วยหรือ" เมื่ออีกฝ่ายออกเดิน เอเดรียนก็เข้ามาจูงม้าของตนและเดินอยู่เคียงข้างกัน "หรือเป็นเจ้านี่เองที่ถ่วงความเจริญของอาณาจักรด้วยการหนีประชุมขุนนางน่ะ หืม" ร่างโปร่งหยอกเย้า แม้จะเป็นคำหยอกที่ฟังดูแรงไปเสียหน่อยก็ตาม

"เจ้าเด็กนี่... ไม่กลัวโดนข้าลากไปตัดลิ้นบ้างหรือไร"

เลสธีราห์หัวเราะอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น "เจ้าน่ะหรือจะลากข้าไปตัดลิ้นได้ แค่หยิบมีดก็ช้าปานนั้นแล้ว" ทั้งคู่หัวเราะไปพร้อมๆกัน ก่อนที่เอเดรียนจะหันไปเปิดกระเป๋าหนังที่อยู่บนหลังม้าก่อนจะส่งห่อผ้าห่อหนึ่งให้เลสธีราห์

"นี่มันอะไรกัน..."

ในห่อผ้านั้นมีมีดอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่ใช่งานปราณีตที่ดูมีมูลค่ามากมาย แต่เลสธีราห์ก็บอกได้จากรูปร่างและความเงาของมัน ว่ามีดเล่มนี้มีความคมพิเศษเลยทีเดียว "ให้ข้ารึ ...มันไม่ได้มีค่าเกินกว่าที่พรานอย่างข้าจะครอบครองหรือไร" เมื่อไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เลสธีราห์ก็เก็บมีดไว้ในห่อผ้าตามเดิม "แต่วันนี้ข้าไม่มีหนังสัตว์มาให้เจ้าหรอกนะ"

"คิดเสียว่าเป็นของขวัญ..." เอเดรียนยิ้มจางอย่างเอ็นดู "พรานป่าควรจะมีมีดดีๆ ไว้ใช้สักเล่มหนึ่ง"

"คราวที่แล้วเจ้าก็ให้ของข้า คราวหน้าจะให้อะไรล่ะ นี่เป็นวิธีที่จะล่อให้ข้ามาหาเจ้าทุกวันหรือไง"

"ก็ได้ผลไม่ใช่หรือไร" เอเดรียนไหวไหล่ "แต่เจ้าก็หายไปเสียนาน ปล่อยให้ข้ามารอเก้ออยู่ได้ตั้งหลายวัน" ร่างโปร่งชะงักไปครู่หนึ่งเพื่อหาเหตุผลดีๆ ที่ฟังดูเป็นมนุษย์ธรรมดามาอ้างให้น่าเชื่อถือ เพราะหากบอกไปว่าตนออกทะเลไปล่าวาฬคงได้เป็นเรื่องป็นราวขึ้นมาแน่นอน

พวกเขาต้องมาพบกันทุกวัน... แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยนัดหมายกันจริงๆเลยก็ตาม

"ข้าออกไปล่าสัตว์ที่ทางเหนือ เผื่อจะเจอตัวอะไรที่ราคาดีกว่ากวางบ้าง"

"แล้วเจอหรือไม่"

เลสธีราห์ส่ายหัวเบา "อาชีพพรานป่านี่ข้นแค้นขึ้นทุกวันเลยเชียว" ชายหนุ่มมองคู่สนทนาซึ่งแต่งตัวภูมิฐานสมเป็นขุนนางในมหาคฤหาสน์ "งานของขุนนางมีอะไรบ้างล่ะ ข้าได้ยินว่ามีแต่เรื่องประชุม" การแกล้งทำเป็นไม่รู้ในบางครั้งก็ยากยิ่งกว่าการเป็นคนโง่ แต่เพื่อเข้าหามนุษย์ระดับสูงสักคนเพื่อจะสืบข่าวคราว เลสธีราห์จึงจำเป็นต้องทำเช่นนี้

"ใช้สมองในการแก้ไขปัญหาน่ะสิ" ร่างสูงว่า "พักนี้ดูจะต้องใช้มากเป็นพิเศษเสียด้วย"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วแสร้งทำเป็นไม่รู้และสงสัย แม้จะคาดเดาได้ว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าขุนนางปวดหัวในตอนนี้คงไม่พ้นเรื่องของการปิดท่าเรือออโรรา แม้เอเดรียนจะไม่ใช่ขุนนางระดับสูงอย่างที่เลสธีราห์ต้องการสนิทสนม แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่มีพิษมีภัยมากเท่าไหร่ "เจ้าชอบพูดเป็นปริศนาทั้งที่รู้ว่าข้าไม่มีหัวด้านนี้" ร่างโปร่งบ่นอุบ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าปัญหาที่เอเดรียนพูดถึงคืออะไร แต่ถ้าเขาแสดงภูมิออกไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน

"เจ้าอายุเท่าไหร่ ทำไมถึงฟังเรื่องพรรค์นี้ไม่รู้เรื่องเล่า"

"เปลี่ยนมาเป็นซักประวัติข้าแล้วหรือไร" คนถูกถามหัวเราะ "เอาเถอะนะ ข้าไม่แปลกใจ ขุนนางก็ต้องระวังระแวงตัวเองเป็นธรรมดา... ข้าอายุยี่สิบสอง" เซนทอร์หนุ่มไหวไหล่ "แล้วเจ้าล่ะ หืม..."

วาจาฉะฉานค่อนไปทางโอหังเลยทีเดียว... เจ้าเด็กนี่

เอเดรียนหัวเราะกับตัวเอง "สามสิบสี่"

"แต่ดูไม่แก่เลยนะ" จู่ๆ แม่ทัพหนุ่มก็ไม่รู้จะตอบอะไรขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คู่สนทนาพูดออกมานั่นเป็นคำชมหรือคำล้อเลียนกันแน่ "สำหรับ... คนในหมู่บ้านข้าน่ะ อายุสามสิบขึ้นไปก็เริ่มแก่แล้ว" ร่างโปร่งเกือบจะหลุดคำว่า เซนทอร์ ออกไป แต่ก็ยั้งเอาไว้ทัน เลสธีราห์ขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยด้วยความรู้สึกกดดัน หรือว่านิสัยพูดจาไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้เองที่ทำให้คนมองว่าเขาเป็นเด็กยังไม่โต และไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเลยแม้แต่น้อย

แต่อย่างเอเดรียนเองก็ดูเชื่อคนง่ายไม่สมขุนนางเลยไม่ใช่หรือไร...

"เจ้านี่ก็แปลกนะ ปากก็ว่าไม่ชอบสมาคมผู้อื่นถึงได้ปลีกวิกเวกออกมาตามลำพังแบบนี้ แต่ก็ยังนึกถึงหมู่บ้านตัวเองอยู่เหมือนกัน" แม่ทัพหนุ่มว่าและมองอีกฝ่ายอย่างกลั่นแกล้งจับผิด "ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเด็กหนีออกจากบ้านหรืออย่างไร" คำพูดนั้นแทงใจเลสธีราห์อยู่บ้าง เพราะในความเป็นจริงแล้วพฤติกรรมของเขาเขาก็อาจจะคล้ายกับที่เอเดรียนว่า

เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ที่ไม่รู้จะยืนในจุดไหนของสังคมเซนทอร์จึงขอปลีกตัวออกมา...

...เพราะอย่างนี้ซาฮาลจึงได้เหน็บแนมค่อนแคะฐานะของเขานัก

"มีธุระอะไร" เมื่ออีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหู เลสธีราห์ก็เริ่มหมดอารมณ์จะหยอกล้อ คิ้วเรียวกดมุ่นลงมาเล็กน้อยทำให้สีหน้าเรียบเฉยดูดุดันขึ้นมา "ธุระอันใดที่ขุนนางผู้สูงศักดิ์มีกับพรานชาวบ้านธรรมดาคนนี้"

"จะธรรมดาหรือไม่ เอาไว้ข้าตัดสินเองจะดีกว่า..."

เลสธีราห์ลอบยิ้มที่มุมปาก "ช่างเล่นลิ้นนักนะ" คนพูดหยุดเดิน และเอเดรียนก็พบว่าอีกฝ่ายพาเขามาส่งที่ชายป่า โดยเบื้องหน้าคือเส้นทางที่จะพาเขากลับไปยังปราการแห่งอาเดรีย "น่าเสียดาย... ดูจะหมดเวลาคุยสำหรับวันนี้แล้วกระมัง เห็นทีว่าเจ้าจะต้องเดินทางกลับเสียแล้ว"

"เจ้าไม่อยากรู้ธุระของข้าแล้วรึ เลสธีราห์"

"เหตุใดข้าจะต้องเอาธุระของคนอื่นมาใส่หัวตัวเองด้วย แค่ล่ากวางไม่ได้ก็น่าอนาถใจพอแล้ว" แม้จะเป็นการตอบโต้ที่ฟังดูรุนแรง แต่ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่ามันคือการหยอกเย้า และรู้สึกสนุกกับมันอย่างประหลาดเสียด้วย "กลับไปได้หรือยัง ไม่ใช่ขุนนางทุกคนหรอกนะ... ที่ข้าจะพามาส่งกลับบ้านแบบนี้ทุกวันน่ะ"

ทว่าเอเดรียนยังคงจับบังเหียนม้าอาไว้โดยยังไม่ขึ้นไปบนหลังของมัน "ข้าต้องการความช่วยเหลือ"

คนถูกเรียกกลับตบแผงคอม้าเบาๆ แทนคำปฏิเสธ "พรุ่งนี้ค่อยคุยกันน่า"

แม่ทัพใหญ่สูดลมหายใจช้าๆ แล้วค่อยผ่อนออกมาอย่างใจเย็น เพราะเรื่องนี้เขาคงรอพูดพรุ่งนี้อย่างที่เลสธีราห์บอกไม่ได้ "ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นคนสนิทของข้า" นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองคนพูดอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ เพราะคนที่เป็นขุนนางน่ะหรือจะชวนใครก็ไม่รู้ไปเป็นคนสนิทได้ แต่โอกาสนี้ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้หลุดมือไปได้เสียที่ไหน

"ไว้ใจข้าหรือไง" แต่ถึงกระนั้น เลสธีราห์คิดว่าตนควรจะสงวนท่าทีไว้บ้าง

"ยังไม่ไว้ใจหรอก แต่ฝีมือเช่นนี้จะปล่อยให้หลุดลอยไปก็น่าเสียดาย หากเป็นพรานชาวบ้านจริงยิ่งน่าเสียดาย" เอเดรียนตอบเรียบ "แต่หากไม่จริง... อีกไม่นานก็คงรู้กระมังว่าเป็นใคร" นัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่ายมองนิ่งเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนอง แต่คู่สนทนากลับไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจและดูไม่ร้อนใจเลยสักนิดที่ถูกระแวง

"ตกลง ยังไงช่วงนี้ข้าก็ล่ากวางไม่ได้อยู่แล้ว คิดเสียว่าฆ่าเวลา..."

"เช่นนั้น... ไปแอสทารอธกับข้า"

"อะไรนะ!" ทั้งที่เพิ่งตกลงไปเมื่อครู่นี้แท้ๆ เลสธีราห์คิดว่าเขาควรจะได้ติดตามเข้าไปทำรู้จักกับขุนนางคนอื่นในมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรียก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่คำสั่งแรกกลับเป็นการบอกให้เขาออกเดินทางไปเมืองอื่นด้วย ซึ่งเมืองอื่นที่ว่านั้นก็เป็นเมืองบ้านเกิดของเขาเอง ...และผู้คนที่เดินทางเข้าไปติดต่อเจรจากับเมืองเซนทอร์แห่งนี้จะต้องสนทนากับท่านราชเลขาลีอาห์เท่านั้น

จะให้เขาแสร้งปลอมตัวเป็นมนุษย์ไปเจรจากับแม่ตัวเองอย่างนั้นหรือ!?

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 4.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-10-2016 09:43:52
ตอนที่ 4.1

เอเดรียนบอกได้ว่าพรานหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น...

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายในตลาด เขาก็จดจำใบหน้านั้นได้ขึ้นใจ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่ลุ่มลึกเสมือนมีความลับบางอย่างแอบซ่อนอยู่ รับกับจมูกโด่งสวย และรูปหน้าเรียวคม พรานหนุ่มผู้นั้นนำหนังสือผืนใหญ่มาขายให้กับร้านค้าในตลาดกลาง และได้รับเงินถุงโตกลับมาเป็นค่าตอบแทน

"ถ้าเจ้าสามารถหางาช้างมาได้ล่ะก็ ข้ารับรองว่าความตอบแทนจะงดงามยิ่งกว่านี้เสียอีก"

เจ้าของร้านพยายามโน้มน้าวให้พรานหนุ่มตอบตกลงหรือสัญญาว่าจะพยายาม งาช้างเป็นสินค้าหายากและมีราคาแพง อันเนื่องจากความยากลำบากที่จะได้มันมา ทั้งช้างสี่งาและช้างแมมมอธก็ล้วนแต่มีขนาดใหญ่ ดุร้าย และกราดเกรี้ยวเกินกว่าที่พรานทั่วไปจะฆ่ามันได้

"ข้าออกล่าตามลำพัง... จะไปหางาช้างมาจากไหนได้เล่า"

ร่างโปร่งยิ้มขัน ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วจึงปลีกตัวเลี่ยงออกมาเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่าตนเผชิญหน้าอยู่กับคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง เอเดรียนกำบังเหียนของอัลธอร์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อดวงตาสีทะเลคู่นั้นช้อนขึ้นมองประสาน อีกฝ่ายสูงเพียงระดับสายตาของเขา กระบอกใส่ธนูสะพายอยู่ที่บั้นเอว และคันธนูก็พาดอยู่บนบ่าที่เปล่าเปลือย

"ที่ทางมีตั้งมาก เหตุใดจึงมายืนขวางข้าเล่า..."

เอเดรียนถอยออกมาก้าวหนึ่งเมื่อถูกตำหนิ "หากว่าข้ามีเรื่องจะสนทนากับเจ้า จะยืนขวางได้หรือยัง"

คนแปลกหน้าเหยียดยิ้ม แต่แทนที่จะตอบคำถาม เขากลับเดินตรงเข้าไปลูบหัวม้าสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยความหลงใหล "ม้าของเจ้ารึ... ช่างสง่างามไม่มีที่ติ" ตามปกติแล้ว อัลธอร์ไม่มีนิสัยต้อนรับแขกและเป็นมิตรกับคนทั่วไปสักเท่าไหร่ แต่เอเดรียนก็ต้องมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าอาชาคู่ใจยอมให้คนแปลกหน้าลูบหัวมันแต่โดยดี

"มันชื่อ อัลธอร์..." แทนที่จะแนะนำตัวเอง เอเดรียนคิดว่าเขาควรจะแนะนำให้อีกฝ่ายรู้จักกับม้าน่าจะเป็นการเริ่มต้นการสนทนาที่ดีกว่า "เป็นม้าที่เกิดจากพ่อพันธุ์ชั้นยอด มีพละกำลังและความอดทนเป็นเลิศ" เอเดรียนมองดูอีกฝ่ายลากมือไปตามสันกรามของสัตว์ใหญ่ ลูบวนขึ้นไปถึงลำคออันแข็งแกร่ง จนจบด้วยการลดมือลงช้าๆ

"พ่อพันธุ์หรือ" อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "เอาอะไรมาตัดสินว่าตัวใดคือพันธุ์เล่า" เมื่อพูดจบ พรานหนุ่มก็หมุนตัวไปทางประตูทางออกเมือง "ยืนพูดเฉยๆจะเกะกะทางเปล่า ดูเหมือนว่าการเดินไปคุยไปจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า" จากคำร่ำลือแล้ว เอเดรียนคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านสามัญชนทั่วไป แต่เมื่อได้ลองสนทนาเพียงไม่กี่ประโยค เขากลับรู้สึกถึงชั้นเชิงในการพูดของอีกฝ่ายซึ่งต่างจากคำว่า 'พรานชาวบ้าน' ทั่วไปมากนัก และด้วยความอยากรู้อยากเห็น ร่างสูงจึงออกเดินตาม

"เจ้ามีชื่อว่าอะรึ พรานหนุ่ม... ข้าได้ยินชาวบ้านแถวนี้พูดถึงเจ้ามาสักพักใหญ่"

"แล้วเขาพูดถึงข้าว่าอย่างไรเล่า" อีกฝ่ายเล่นลิ้น "จะไม่รู้ชื่อข้าเชียว"

"เจ้าไม่เคยบอก กระทั่งพ่อค้าจอมเคี่ยวร้านนั้นก็ยังไม่รู้ชื่อของเจ้า" เอเดรียนว่า "แต่เขากล่าวว่าเจ้าเป็นพรานหนุ่มลึกลับฝีมือดีที่มักจะมีของหายากมาขายเสมอ" อัลธอร์ถือโอกาสเดินเคียงข้างคนแปลกหน้าแม้ว่ามันจะไม่เคยมีนิสัยสนิทกับใครง่ายแบบนี้มาก่อน ดังนั้นการพูดคุยของคนทั้งสองจึงต้องคุยกันลอดคางม้า "หรือกระทั่งชื่อเจ้าก็ยังมีมูลค่า จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้มากันล่ะ"

ร่างโปร่งอ้าปากชะงักเมื่อจับได้ว่าอีกฝ่ายเหน็บแนม "ถึงข้าจะขายของ แต่ไม่ได้ขายตัวเองหรอกนะ"

"เช่นนั้นจะบอกตรงๆได้หรือเปล่า"

"อา... หากมันง่ายขนาดนั้น ทุกคนก็รู้หมดน่ะสิ" ดวงตาคู่สวยเลื่อนไปมองม้าใหญ่ข้างๆตนก่อนจะเลื่อนมองเหรียญตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรอาเดรียซึ่งห้อยอยู่ที่อกของมัน "เจ้าเป็นขุนนางหรอกรึ" พรานหนุ่มเลิกคิ้ว "มองผ่านช่างเหมือนคุณชายลูกเศรษฐีที่ไหน ช่างเอาม้ามาเดินในตลาดกลางเสียได้"

"ข้าเชื่อว่าต่อให้ข้าเป็นขุนนาง ก็ไม่สามารถทำให้เจ้าบอกชื่อข้าได้อยู่ดี" เอเดรียนตอบ

"ข้าแค่อยากได้มารยาท" อีกฝ่ายกล่าวบ้าง "เหตุใดจึงไม่บอกชื่อตัวเองก่อนบ้าง"

"อ้อ..." ชายหนุ่มอ้าปากค้างไปเล็กน้อย แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ "ข้าชื่อเอเดรียน..." พวกเขาเดินออกจากตลาดกลางมาจนถึงประตูทางออกเมือง และเมื่อเอเดรียนพูดชื่อของตนจบ คู่สนทนาก็หยุดก้าวแล้วหันมาเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ

"ขอบคุณที่มาส่ง ข้าคงต้องกลับบ้านของตัวเองบ้างแล้ว" พรานหนุ่มยิ้มขัน "ข้าชื่อ เลสธีราห์"

เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจหลังได้ยินชื่อ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะจากไปจึงนึกได้ว่าเขาคงต้องการมากกว่าชื่อของอีกคน "หากข้าจะสนทนาเรื่องอื่นกับเจ้าบ้าง จะต้องไปรอพบที่ร้านนั้นหรืออย่างไร"

เลสธีราห์ยิ้มตอบ "เดินขึ้นไปยังต้นแม่น้ำ จนพบต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งที่มีผลสีส้มอมแดงสะดุดตา ผลของมันมีรสชาติดีมาก ข้ามักจะไปรอให้มันออกผลอยู่ทุกวี่วัน หากเจ้าสนใจ... จะไปสนทนากับข้าที่นั่นก็ย่อมได้" พรานแปลกหน้ากล่าว "มันสงบกว่าที่นี่"


--------------------------------------------------

เรื่องน่าลำบากใจที่สุดของเซนทอร์นั่นคือการบังคับให้พวกเขาขี่ม้า... ซึ่งตอนนี้เลสธีราห์ก็กำลังพยายามเก็บซ่อนสีหน้ากังวลของตนเอาไว้ไม่ให้เอเดรียนสังเกตเห็น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถเดินจากชายแดนกลับไปยังเมืองหลวงได้ด้วยสองเท้าภายในเวลาข้ามคืน ดังนั้นเอเดรียนจึงอนุญาตให้ร่างโปร่งขึ้นขี่ม้าตัวเดียวกับตนเพื่อกลับไปยังที่พักในฐานะคนสนิทคนใหม่

เลสธีราห์คิดวิธีรับมือกับการเดินทางกลับแอสทารอธในฐานะมนุษย์ได้แล้ว...

แต่ในตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องขี่ม้า

อัลธอร์เหลือบดวงตากลมโตของตนขึ้นมองเซนทอร์ในร่างมนุษย์ราวกับต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างที่เลสธีราห์ไม่เข้าใจ ต่อให้เขาเป็นเซนทอร์แต่ก็มีเลือดเซนทอร์เพียงครึ่งเดียว ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าใจม้าได้หมดจด แต่แน่นอนว่าม้าทุกคนจะรู้ว่าใครบ้างที่เป็นเซนทอร์ ราวกับว่าสามารถสัมผัสได้จากจิตใต้สำนึก “กลัวมันแล้วหรือไง” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าซีด แม่ทัพใหญ่ก็ทอดยิ้มบางและเดินมาลูบแผงคออัลธอร์เพื่อทำให้ม้าคุ้นเคยยิ่งขึ้น "ทุกวันนี้ดูเจ้าสนิทกับอัลธอร์มากกว่าข้าอีกไม่ใช่รึ"

เลสธีราห์ลูบสันกรามม้าใหญ่ช้าๆขณะเถียงอยู่ในใจ... สนิทกว่าก็ไม่เกี่ยวกับว่าต้องขี่สักหน่อย

"ข้าไม่เคยขี่ม้า"

"นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก" เอเดรียนโหนตัวขึ้นนั่งบนหลังอัลธอร์อย่างรวดเร็วและส่งมือให้ร่างโปร่ง "ข้าเตรียมม้าไว้ให้เจ้าอีกตัวแล้ว และปัญหาที่ว่านั่นก็คือ ลูเซียไม่ค่อยเชื่องสักเท่าไหร่" เลสธีราห์ยังไม่จับมือที่ยื่นมาของอีกฝ่าย เขาเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วใส่คนพูดด้วยความงงงวย

"เตรียมไว้รึ นี่เจ้าคิดว่าข้าจะตอบรับอยู่แล้วหรือไง"

"เจ้าไม่ใช่คนเดายากนี่ เลสธีราห์..." ร่างบนหลังม้าทอดยิ้ม "เหตุใดจะอ่านไม่ออกกัน" ร่างโปร่งกลั้นใจวูบเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ความว้าวุ่นกังวลใจผุดขึ้นมารบกวนความคิดของชายหนุ่มในทันที และแน่นอนว่าเลสธีราห์ลืมไปจนหมดว่าต้องทำอะไรต่อไป ...เอเดรียนรู้หรือไม่ว่าเขาเป็นเซนทอร์

และฝ่ายนั้นรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพเรือ

"เลสธีราห์... มาสิ ถ้ากลับไปช้า จาเร็ตต์จะต้องสวดเจ้าถึงเช้าแน่นอน" ที่อีกฝ่ายคะยั้นคะยอแบบนี้เพราะต้องการจะทดสอบว่าเขาเป็นเซนทอร์หรือเปล่า เพราะเอเดรียนก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเซนทอร์อ่อนไหวกับม้า เลสธีราห์มุ่นคิ้วด้วยความกังวลที่ก่อตัวเพิ่มมาขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เอเดรียนกลับโคลงหัวมองคู่สนทนาอย่างสงสัย

ร่างโปร่งมองสบตาม้าศึกอีกครั้งด้วยแววตาที่บอกไม่ได้ว่ากำลังเว้าวอน ขอโทษ หรือว่ารู้สึกผิด

...ข้าไม่มีทางเลือก

ปลายเท้าที่สวมรองเท้าเหล็กก้าวเหยียบบังโกลน และโดยที่ไม่จับมือของเอเดรียน เลสธีราห์ก็โหนตัวขึ้นนั่งม้าโดยซ้อนอยู่ด้านหลังอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว แม้จะไม่คุ้นเคยแต่อัลธอร์ก็ไม่ส่งเสียงร้องโวยวายออกมา มันแค่ผงกหัวสองสามครั้งและออกเดินช้าๆเมื่อเจ้านายบนหลังกระตุกบังเหียน

ท่ามกลางความเงียบ... เลสธีราห์พยายามคิดเรื่องคุย และพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกที่สุด เพราะเขาจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าอาเดรียกำลังจะทำอะไร และแอสทารอธควรจะรับมืออย่างไร นั่นคือภารกิจที่เหนือหัวดาเรียสมอบให้เขา...

"แล้วหมายความยังไงที่ข้าอ่านไม่ยาก"

เอเดรียนหลุดหัวเราะเบาๆเมื่อค้นพบจุดเด่นอีกหนึ่งประการของเลสธีราห์ นั่นคืออีกฝ่ายไม่เคยยอมแพ้ และไม่เคยปล่อยวางเรื่องที่ตัวเองยังคลางแคลงใจ... "เจ้ารู้เหตุผลแค่นั้นเถอะ หากพูดมากกว่านี้ประเดี๋ยวจะกระโดดลงจากหลังอัลธอร์แล้ววิ่งกลับบ้านเสียก่อน" ม้าศึกเริ่มวิ่งเหยาะและเพิ่มความเร็วขึ้น คนที่ไม่เคยนั่งม้ามาก่อนได้แต่จับอานคนข้างหน้าเอาไว้ซึ่งนั้นเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าเดิม

"จับบ่าข้า ไม่ก็เอวก็ได้...อันที่จริงแล้วเจ้าควรมานั่งข้างหน้ามากกว่าข้างหลังนะ"

"ข้างหน้าได้อย่างไร ไม่ประหลาดรึ เหมือนเจ้ากำลังกอดข้าอยู่อย่างนั้น"

“ข้าไม่ได้คิดมากเช่นนั้นเสียหน่อยนะ”

เอเดรียนไหวไหล่กับคำพูดของอีกฝ่าย และดึงบังเหียนให้อัลธอร์ออกวิ่ง ทำให้ทั้งร่างขยับโยกมากยิ่งขึ้น สุดท้ายแล้วเลสธีราห์ก็ยอมจับบ่ากว้างเอาไว้แต่โดยดี ซึ่งโชคดีที่ร่างโปร่งนั่งอยู่ข้างหลัง ทำให้เอเดรียนไม่ทันสังเกตว่า เซนทอร์ในร่างมนุษย์ที่มาด้วยกันกำลังหลับตาแน่นด้วยความรู้สึกกลัวอย่างประหลาด

เลสธีราห์ไม่ชอบการขี่ม้าเลย... ให้เขาวิ่งเองยังจะดีกว่า

แต่หากทำเช่นนั้น ความลับที่สุดของอาณาจักรจะต้องถูกเปิดเผยเป็นแน่ และเขายังไม่อยากถูกเหนือหัวดาเรียสลงโทษทัณฑ์เอาเสียด้วย เซนทอร์หนุ่มลอบกลืนน้ำลาย กฎเกณฑ์ของเซนทอร์ถือว่าเป็นที่สุด พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องระเบียบวินัย ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดจะกระทำความผิด ก็จะต้องได้รับโทษ แต่โทษหนักหรือเบาก็ขึ้นกับสถานการณ์

ความลับของอาณาจักรนับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และทุกคนก็ควรจะรักษาความลับนั้นไว้

...เลสธีราห์ไม่ควรแลกความลับของอาณาจักรกับความกลัวเพียงเล็กน้อยของตน

มือเรียวเผลอจิกบ่าคนตรงหน้าไม่รู้ตัว "ไม่ตกหรอกน่า จับไว้นั่นแหละ" แม่ทัพใหญ่สัมผัสได้ถึงอาการเกร็งของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงพยายามจะรักษาความเร็วเอาไว้ ไม่ให้อัลธอร์วิ่งห้อจนเกินควร เพราะจะทำให้คนที่ไม่ได้นั่งบนอานกระเด็นตกลงมาได้ "ข้าจะผ่านหมู่บ้านของเจ้าหรือเปล่า เลสธีราห์" เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายยิ่งเกร็งมากขึ้นไปอีก เอเดรียนก็พยายามจะชวนคุยเพื่อให้ร่างโปร่งลืมความรู้สึกกลัวไปชั่วคราว

"ไม่... หมู่บ้านข้าอยู่ทางเหนือของอาเดรีย"

ร่างสูงหัวเราะพรืดอย่างขบขัน "หนีออกจากบ้านจริงๆสินะ เจ้าน่ะ"

"ข้าเปล่า"

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหายเกร็ง เอเดรียนก็เลิกหยอกล้อและบังคับม้าให้วิ่งไปตามทางอย่างเดิม แม่ทัพใหญ่นึกขันอยู่ในใจที่จู่ๆก็นึกอยากชวนพรานชาวบ้านมาเป็นคนสนิทเสียอย่างนั้น แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเลสธีราห์มีบุคลิกไม่น่าไว้ใจ ทั้งการแต่งตัว รสนิยม และวิถีชีวิตก็ดูไม่เป็นมนุษย์สักอย่าง แต่วิธีการนี้เองที่จะทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสายลับมาจากบ้านเมืองไหน หรือเป็นเพียงพรานชาวบ้านอย่างที่ปากว่า

หากเป็นพรานชาวบ้านจริงๆ ก็คงจะดีกระมัง...

เอเดรียนเองก็ไม่มีคนสนิทเป็นนักธนูแม้แต่คนเดียว แม้ว่าเขาจะมองหาบุคคลเช่นนั้นจากพลธนูหลวงที่ประจำการในมหาคฤหาสน์ แต่โดยมากก็มักเป็นพวกหวังผลตอบแทนใหญ่หลวง ชายหนุ่มยังไม่พบใครที่พร้อมจะร่วมรบไปกับเขาจริงๆเลยสักคนก็ว่าได้ ...หากเลสธีราห์เป็นสหายของเขาได้ก็คงดีกระมัง

แม้ว่าการพบกันครั้งแรกจะดูจงใจมากกว่าบังเอิญก็ตามที

แม้ว่าท่าทางของอีกฝ่ายจะเป็นลักษณะของคนมีความลับมากมายก็ตามที

...แต่อย่างน้อย เลสธีราห์ก็ต่างจากขุนนางในเมืองหลวง

...

อย่างน้อยก็ยังดูเป็นคนนอกที่ทำให้เขาสบายใจได้บ้างกระมัง

"เจ้าอย่าเหม่อสิ... อัลธอร์วิ่งเร็วไปแล้ว" น่าแปลกที่คนซึ่งกลัวการขี่ม้าขนาดนั้นจะสามารถขึ้นม้าได้อย่างคล่องแคล่ว และคนที่บอกว่าตัวเองไม่เคยมีม้าจะรู้จักนิสัยใจคอม้าได้ดีราวกับเป็นคนเลี้ยงเสียเอง และน่าแปลกยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าคนที่ว่านี้แตะมือกับสีข้างอัลธอร์ครั้งเดียวก็สามารถควบคุมจังหวะการวิ่งของมันได้

ช่างเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย... แต่เขาก็ยังปล่อยให้ฝ่ายนั้นนั่งม้าตัวเดียวกับตนไม่ใช่หรือ

--------------------------------------------------

เกือกเหล็กก้าวย่ำไปบนทางไม้ที่ทอดยาวตรงไปยังลำเรือ ซาฮาลปรายตามองเรือลำใหญ่สองลำที่เพิ่งเดินทางกลับมาด้วยสายตาเรียบเฉย และประเมินระยะเวลาที่ผู้เช่าเหมาลำเรือจะต้องใช้ในการนำข้าวของทั้งหมดออกจากคลังท้องเรือ ม้าศึกจำนวนมากค่อยๆก้าวลงมาตามแผ่นไม้ที่พาดเชื่อมระหว่างเรือกับท่าเรือ พวกมันมีท่าทางเหนื่อยอ่อน และเมาคลื่นอย่างเห็นได้ชัด

"ส่งคนไปตามรีดาห์... ข้าอยากจะตรวจสอบสภาพเรือทันทีหลังจากพวกภูตขนของเสร็จ"

ซาฮาลออกคำสั่งกับคนสนิท ก่อนจะเหลือบสายตามองผู้นำคณะเดินทางที่พยายามจะส่งยิ้มเป็นมิตรและเดินเข้ามาทักทายเขาตามมายาท "เจ้าคงเป็นซาฮาล... ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์" เซนทอร์ไม่ยิ้มตอบ อีกทั้งไม่กล่าวตอบซึ่งเป็นการยอมรับตามมารยาทเผ่าครึ่งม้าว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรผิด "ถ้าไม่รังเกียจ ข้าจะขอมอบเหล้าที่หายากเหล่านี้เอาไว้ให้สักสิบถัง..."

"เซนทอร์ไม่รับสินบน... วิกโทเรียส ลอว์เรนโซ แม่ทัพแห่งไอย์ชวล"

เจ้าของนามวิกโทเรียสยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี "ข้าเรียกสินน้ำใจ..."

"ไม่เอาก็ดีสิ แทนที่จะเหลือยี่สิบถังก็เหลือสามสิบถังอย่างไรเล่า คนเขาไม่เอาเจ้าจะยัดเยียดทำไมน่ะ" ซาฮาลเป็นเซนทอร์ที่ค่อนข้างสูง เขาคุ้นเคยกับการก้มมองมนุษย์มาโดยตลอด แต่เมื่อบุคคลที่สามเดินเข้ามา ซาฮาลก็พบว่าอีกฝ่ายสูงใหญ่พอที่ทำให้เขาไม่ต้องก้ม "เซนทอร์ไม่ดื่มเหล้าหรอก มันทำให้พวกเขาบกพร่องในระเบียบวินัย" อีกฝ่ายจงใจแดกดันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และด้วยท่าทางการพูดเช่นนั้นทำให้ซาฮาลจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร...

และโดยไม่พูดอะไรต่อ ผู้เช่าเรือก็ขนของผ่านหน้าเขาโดยไม่เสนอ 'สินน้ำใจ' ให้อีกเป็นครั้งที่สอง

กฎเกณฑ์ของแอสทารอธเข้าใจง่าย โดยกฎข้อแรกนั้นคือการห้ามขี่ม้าและใช้งานม้าอย่างเด็ดขาดภายในอาณาจักร และเพื่อทำตามกฎนั้นไอย์ชวลจึงได้นำกระทิงตัวเขื่องลงเรือมาด้วยเพื่อใช้เทียมรถลากข้าวของทั้งหมดที่พวกเขาขนกลับมา

"ท่าเรือนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จากครั้งสุดท้ายที่ข้าเคยมา"

ซาฮาลเหลือบมองคนพูดคนเดิมที่กำลังมองไปรอบตัว "ลูกพี่ลูกน้องข้ายังอยู่ดีไหม ซาฮาล"

"เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เอ่ยชื่อข้า คูแรนน์..." เซนทอร์ตอบเสียงเย็น กีบม้าข้างหนึ่งเคาะกับพื้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจ "รีบขนของลงจากเรือแล้วกลับบ้านเมืองตัวเองไปเสีย" คนฟังแค่นหัวเราะขึ้นจมูก ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกอย่างยียวน

"ถ้านี่ยังเป็นวิธีที่แอสทารอธใช้ต้อนรับผู้มาเยือน ข้าเกรงว่าพวกเจ้าคงติดต่อได้แค่พวกบลังค์เท่านั้น"

คูแรนน์แห่งทัพปราการไม่ใช่คนฉลาดพูด แต่ซาฮาลยอมรับว่าอีกฝ่ายแทงใจดำคนได้เจ็บนัก เซนทอร์หนุ่มไม่คิดเลยว่าเขาจะถูกภูตต้อนคำพูดให้จนเอาดื้อๆแบบนี้ แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเชือดเฉือนต่อ ซาฮาลก็เลือกตอบคำถามง่ายๆนั่นจะดีกว่า "เลสธีราห์ออกไปทำภารกิจ ไม่ใช่เรื่องของเจ้าที่จะรู้ แต่แน่นอนว่ายังสบายดี"

บลังค์เป็นชื่อตระกูลของกลุ่มเอลฟ์ชั้นสูงที่มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าซาฮาลเองก็เป็นพวกบลังค์คนหนึ่ง โดยเขามีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นภูต และครึ่งหนึ่งเป็นเอลฟ์ เช่นเดียวกับเลสธีราห์ที่มีครึ่งหนึ่งเป็นเซนทอร์ ส่วนอีกครึ่งเป็นเอลฟ์ โดยส่วนมากแล้วตระกูลบลังค์มักมีทายาทที่มีผมสีขาว และผิวสีอ่อน ดังนั้นต่อให้ท่านหญิงลีอาห์จะเป็นอาชาสีน้ำตาล แต่อย่างไรบุตรชายของนาง... เลสธีราห์ บลังค์ก็มีผมสีทองอ่อนและดวงตาสีฟ้าสดซึ่งได้มาจากบิดาอยู่ดี

"ข้าขอตัวก่อน" และป้องกันไม่ให้คูแรนน์ถามอะไรมาก เซนทอร์หนุ่มคิดว่าเขาควรจะหลีกทาง

"ยินดีต้อนรับสู่ แอสทารอธ..."

...และควรปรับปรุงมารยาทตามที่คูแรนน์ว่าด้วยกระมัง

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 4.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-10-2016 09:44:51
ตอนที่ 4.2

เลสธีราห์แหงนมองประตูเมืองสูงใหญ่ขณะผ่านเข้าไปในปราการชั้นแรก และเอาไปเปรียบเทียบกับประตูเมืองแอสทารอธโดยไม่ได้ตั้งใจ กำแพงเมืองมนุษย์หนากว่ามาก อีกทั้งยังมิดชิดสมเป็นป้อมปราการด่านแรกที่ใช้ทัดทานศัตรู เอเดรียนแสดงป้ายผ่านทางด้วยการตบสีข้างอัลธอร์เพื่อให้ทหารยามสังเกตเห็นเหรียญตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรบนอกของมัน ก่อนจะดึงม้าผ่านเข้าไปยังปราการชั้นที่สองซึ่งต้องขึ้นบันไดไปอีกหลายร้อยขั้น

“ไม่เคยเข้ามารึ...”

ร่างสูงรู้สึกได้ว่าคนที่มาด้วยลอบกลั้นใจด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อเขาออกปากถาม เลสธีราห์ก็รีบกลบเกลื่อนด้วยการแค่นเสียงประชดประชัน “ชาวบ้านธรรมดาจะไปมีป้ายผ่านทางเข้าปราการชั้นในได้อย่างไร” ร่างโปร่งปล่อยมือจากบ่ากว้าง เขารู้ว่าเอเดรียนได้ยินเสียงลมหายใจของเขา และรู้สึกถึงความตื่นเต้นของเขาผ่านจากจังหวะชีพจร เซนทอร์หนุ่มเริ่มคิดว่าตนควรจะระวังตัวมากกว่านี้จะดีกว่า เพราะดูเหมือนว่าเอเดรียนเองก็กำลังระแวงเขาอยู่เหมือนกัน

...การชักชวนให้มาเป็นคนสนิทอาจเป็นแผนหนึ่งที่จะสืบว่าเขาเป็นใครก็ได้

นี่เลสธีราห์กำลังเดินเข้าปากเสือหรือเปล่านะ

เอเดรียนสวมผ้าคลุมไหล่สีเขียวอ่อนรับกับชุดซึ่งเป็นสีเขียวน้ำทะเล ซึ่งไม่ได้ดูแปลกตาสำหรับชาวเมืองที่เดินขวักไขว่ อีกทั้งการขี่ม้าเข้ามาในปราการก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลก ดังนั้นเหตุผลเดียวที่สายตาหลายคู่จ้องมองมาทางพวกเขานั้นคือลักษณะการแต่งตัวแปลกประหลาดของเลสธีราห์

“ทำไมเจ้าต้องใส่กระโปรงด้วย...” เอเดรียนเองก็รู้สึกถึงสายตาที่ว่า จึงได้หันมาถามคนข้างหลัง

“ไม่ใช่กระโปร่งสักหน่อย”

“แต่ก็ไม่ใช่กางเกงนี่”

“เรื่องของข้าน่า!” พวงแก้มขาวแอบขึ้นสีเรื่อเมื่อถูกซักไซ้ถึงเครื่องแต่งกาย เพราะไม่ว่าเซนทอร์หนุ่มจะแต่งอะไร กระทั่งคนเป็นแม่อย่างลีอาห์ก็ยังไม่เคยกล่าวตำหนิสักคำ “มันเป็นชุดชายยาว ทำให้ข้าสะดวกเวลาเคลื่อนไหว การล่าสัตว์ที่ไม่ใช้ม้า แค่เสียงเสื้อผ้าก็ทำให้เหยื่อรู้ตัวได้แล้ว” ร่างโปร่งอ้างกลับไปถึงอาชีพของตนซึ่งพอจะใช้เป็นเหตุผลได้ ตัวเขาเป็นพรานมาก่อน ดังนั้นจึงคลุกคลีและเข้าใจธรรมชาติมากกว่าขุนนางที่เอาแต่นั่งประชุมอยู่ในคฤหาสน์อย่างแน่นอน

เอเดรียนเองก็ไม่ตอบโต้เพื่อเอาชนะ แต่กลับหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดูแทน

"อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็กนะ"

"แล้วใครว่าเจ้าอย่างนั้นเล่า" ร่างสูงมองข้ามไหล่ตนกลับมาที่คู่สนทนา แม้จะไม่ได้พูดออกไป แต่เอเดรียนคิดว่าเลสธีราห์ช่างเหมือนพวกลูกขุนนางที่พยายามจะเรียนรู้โลกเหลือเกิน อีกทั้งยังมีความอยากเอาชนะเป็นเด็กๆ อีกด้วย ตัวเขาเองก็เคยพบเจอกลุ่มคนแบบนี้มามากมายพอสมควร แต่โดยมากมักจะเป็นบุตรสาวสุดรักสุดหวงที่เหล่าขุนนางจะพามาเปิดตัวในงานเลี้ยงเพื่อเสี่ยงหาคู่ ชายหนุ่มเคยพบปะพูดคุยกับพวกนางบ้างแล้ว และไม่รู้สึกประทับใจเอาเสียเลย

...แต่น่าแปลกที่เลสธีราห์ไม่น่าเบื่ออย่างเด็กสาวพวกนั้นเลย

อาจจะเป็นเพราะใบหน้าเรียบเฉยของฝ่ายนั้นก็เป็นได้ที่ทำให้เลสธีราห์ดูเป็นเด็กที่พยายามจะโตจริงๆ ไม่ใช่เด็กที่แสร้งทำตนเป็นผู้ใหญ่ "เราไม่ได้พักที่มหาคฤหาสน์ของท่านชายซินญอร์ แต่บ้านพักพวกเราอยู่ในเขตปราการชั้นที่สองนี่ ข้าจะแนะนำคนอื่นๆให้เจ้าได้รู้จัก อย่าไปโวยวายใส่พวกเขาล่ะ"

"เจ้าเห็นข้าขี้โวยวายหรืออย่างไรกัน" เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้าง

เอเดรียนหัวเราะเบากับตัวเอง ขณะดึงม้าเดินเข้าไปในเขตที่พักส่วนตัว "เจ้าไม่ใช่คนเดายากนี่"

"ไม่ต้องมาเดาข้า เจ้าเดาไม่ออกหรอก!" เมื่ออัลธอร์หยุดเดิน เลสธีราห์ก็กระโดดลงจากหลังม้าศึกทันที แล้วจึงหันไปลูบหัวมันแทนคำขอบคุณและขอโทษไปพร้อมๆกันราวกับเพิ่งนึกได้ว่าตนนั่งบนหลังม้ามาตลอดการเดินทางซึ่งไม่ว่าเซนทอร์ตนไหนก็ไม่เคยทำ

"เข้ามาสิ... พรุ่งนี้ค่อยคุยกับอัลธอร์ก็ได้"

แม่ทัพใหญ่ลงจากม้าแล้ว และเด็กรับใช้ก็เดินเข้ามารับอัลธอร์เพื่อจะพากลับไปที่โรงม้า เซนทอร์หนุ่มจึงได้แต่มองตามไปสักพักด้วยความสงสัย "โรงม้าของข้ากว้างขวาง อัลธอร์ไม่ลำบากหรอกน่า" ร่างโปร่งรีบหันกลับมาและกลบเกลื่อนท่าทางของตัวเองในทันทีด้วยรู้สึกว่าเอเดรียนกำลังอ่านความคิดของเขาผ่านท่าทางการแสดงออก

เลสธีราห์ไม่ต้องการให้ใครอ่านเขาออก... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขุนนางผู้นี้

"ข้าแค่..." ร่างโปร่งเม้มปากเมื่อนึกหาคำโต้แย้งไม่ออก และนั่นก็ทำให้เอเดรียนยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูอีกครั้งก่อนจะเดินนำอีกฝ่ายตามอัลธอร์ไปที่โรงม้า "ไหนว่าจะเข้าไปในคฤหาสน์ไง" เลสธีราห์ก้าวตามมาพร้อมกับเสียงทักท้วง แต่เมื่อเห็นว่าเอเดรียนตรงเข้าไปหาม้าศึกของตนและรับถังไม้ซึ่งบรรจุน้ำใสเอาไว้มาส่งให้สัตว์เลี้ยงคู่ใจด้วยตนเอง ร่างโปร่งก็คิดว่าเขาไม่ควรจะทักท้วงอะไรอีก

ม้าศึกมุดหัวลงไปในถังและตั้งหน้าตั้งตาดื่มน้ำเหมือนอดอยากมาหลายวัน และเมื่อมันดื่มน้ำเสร็จ เอเดรียนก็ลูบหัวมันเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินไปจับแผงคอและสางเส้นขนที่ติดพันกันยุ่ง อัลธอร์เองก็ดูจะชอบที่เอเดรียนทำแบบนั้น มันจึงได้ยืนแกว่งหางเบาๆพร้อมกับส่ายหัวไปมาอย่างเพลิดเพลิน "อยากเล่นกับมันบ้างไหมล่ะ... เจ้าดูจะชอบม้าไม่ใช่รึไง" เอเดรียนเสนอ "ถ้าเจ้าปราบพยศลูเซียได้ ข้าก็ยกให้เจ้าเอาไว้ใช้งานจากแล้วกัน"

เลสธีราห์ไม่รู้จะตอบอย่างไรเมื่อได้ยินว่าตนจะได้มีม้าสักตัวไว้ 'ใช้งาน'

มนุษย์ธรรมดาก็ควรจะดีใจกระมัง... แต่สำหรับเซนทอร์อย่างเขา มันเสมือนถูกบังคับให้กินเนื้อเลยทีเดียว "อะ... อืม แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะปราบ... พยศมันได้หรือไง" เลสธีราห์ตะกุกตะกัก อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าพวกมนุษย์ปราบพยศม้าอย่างไร และมีเหตุผลใดที่ม้าจะไม่เชื่องกับมนุษย์ เพราะหากเซนทอร์เจอม้าที่ค่อนข้างดุร้าย พวกเขาก็แค่พูดคุยด้วยดีๆเท่านั้นเอง

"ถึงเจ้าปราบไม่ได้ ข้าก็มีตัวอื่นให้เจ้า" เอเดรียนกล่าวไม่ไม่รู้ร้อน "ข้าแค่คิดว่าเจ้าเหมาะกับลูเซีย"

"ทำไมกัน"

"ลูเซียเป็นม้าสีขาว..." ขุนนางหนุ่มว่า "เหมือนกับเจ้าที่ดูบริสุทธิ์ไม่แพ้กัน" เมื่อพูดจบ เอเดรียนก็ผละออกมาจากการให้อาหารอัลธอร์ และเดินนำร่างโปร่งกลับไปที่ด้านหน้าคฤหาสน์ "มาเร็วเข้า... เจ้าพร้อมจะโดนจาเร็ตต์สวดแล้วหรือยัง" เลสธีราห์อ้าปากค้างเล็กน้อยและรู้สึกร้อนที่ใบหน้าอย่างพูดไม่ถูก เขาได้แต่มองแผ่นกว้างเดินนำเข้าไปในตัวคฤหาสน์พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆเสมือนสามารถหยอกลูกแมวตัวหนึ่งได้สำเร็จ

"เอเดรียน ไม่ตลกนะ!" รองเท้าเหล็กก้าวตามร่างสูงเข้าไป เขาเดินไปบนพื้นหินอ่อนทำให้เกิดเสียงกระทบดังก้องไปทั่วห้องโถง "การที่จะเข้ากับม้าตัวใดได้ดี เจ้าต้องให้ม้าเป็นฝ่ายเลือก หรือทั้งคู่ใจตรงกันสิ และข้าอาจจะเหมาะกับม้าดำมากกว่าก็ได้! อย่มาตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกนะ"

"เบาหน่อย ฝีเท้าเจ้าจะทำให้คนในคฤหาสน์ตื่นกันหมด"

เอเดรียนว่า เขารู้สึกแปลกใจที่จังหวะการเดินของเลสธีราห์ไม่เหมือนจังหวะการก้าวเท้าของคนทั่วไป อีกฝ่ายก้าวสั้นและถี่มากกว่าปกติเพื่อจะเดินไล่หลังเขา ทั้งที่ปกติแล้ว การก้าวตามใครสักคนหนึ่ง คนที่ตามมักจะใช้วิธีก้าวยาวๆมากกว่าเดินเหยาะๆ แบบนี้

"การใส่รองเท้าเหล็กนี่ช่วยทำให้ปีนต้นไม้ได้ถนัดขึ้นหรือยังไง" แม่ทัพใหญ่เปลี่ยนเรื่องคุย เพราะคิดว่าตนเองอาจจะระแวงมากไป ไม่ว่าเลสธีราห์จะเป็นใคร เป็นภูตหรือเป็นมนุษย์ อย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเป็นเซนทอร์ไปได้ พวกเซนทอร์ไม่สามารถเปลี่ยนร่างตนเองเป็นมนุษย์ได้ และหากดูจากความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของเผ่าตัวเองแล้ว คนครึ่งม้าเหล่านั้นก็คงจะไม่แปลงเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน

เขาอาจจะคิดมากไปเอง...

"เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นขโมยบ้างรึไง พรุ่งนี้เช้าเจ้าอาจจะไม่ 'คนสนิท' อยู่ที่ห้องพักแล้วก็ได้ ซ้ำแล้วม้าของเจ้าอาจจะหายไปด้วยก็ได้" เลสธีราห์ไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยสักเท่าไหร่แต่เขาควรจะสร้างความสนิทสนมในเร็ววันเพื่อล้วงความลับจากอาเดรีย ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยายามฝืนตัวเองในการพูด และแน่นอนว่าประโยคเปิดบทสนทนาก็ทำให้เอเดรียนต้องหัวเราะออกมาอีกครา

"แล้วโจรปกติเขาจะบอกแผนการของตัวเองแบบนี้รึไง"

เซนทอร์หนุ่มไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายรู้ทันไปหมดทุกอย่าง "เก่งนัก ไหนบอกซิว่าเจ้ามองข้าว่าอะไร"

"เป็นเด็กหนีออกจากบ้านคนหนึ่งกระมัง" เอเดรียนเดินนำมาถึงห้องพักที่กว้างขวาง แม้ว่าองค์ประกอบของมันจะมีเพียงเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว และเก้าอี้อีกหนึ่งตัวเท่านั้นก็ตาม "เจ้ามีฝีมืออยู่พอตัว...  ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพรานชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง"

"แต่เจ้าก็ยังเรียกให้ข้ามาเป็นคนสนิททั้งที่ไม่ไว้ใจกันแบบนี้น่ะรึ"

เมื่อเลสธีราห์ตอกกลับบ้าง แม่ทัพอาเดรียก็ถึงกับเงียบ เขาไม่เคยถูกย้อนแบบนี้มาก่อน... โดยเฉพาะกับคนที่สร้างภาพเอาไว้ว่าตนเป็นพรานชาวบ้านธรรมดา "หากไม่ไว้ใจ ข้าคงไม่ยอมพาเข้ามาในปราการชั้นในหรอกน่า" แม่ทัพหนุ่มแก้หน้า

"หึ..." คนฟังกอดอก และเดินเข้าไปในห้องพักของตนโดยไม่ตอบอะไร

ร่างโปร่งปลดสายสะพายกระบอกใส่ลูกดอกและคันธนูออกวางไว้ที่โต๊ะตัวใกล้ๆ  เลสธีราห์ในตอนนี้ช่างเหมือนเด็กที่ดูจะไม่พอใจกับห้องนอนใหม่ ทว่าลึกๆ แล้วก็ตื่นเต้นกับมันอยู่มากทีเดียว ซึ่งมันทำให้เอเดรียนหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขัน ก่อนจะเหลือบไปเห็นสหายของตนที่เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเอาเรื่อง

"ไม่เอาน่า จาเร็ตต์ เจ้าทำหน้าแบบนี้อีกแล้ว" เลสธีราห์หันไปมองตามเสียงเพื่อดูว่าเอเดรียนพูดคุยกับใคร ก่อนจะอ้าปากน้อยๆ เมื่อเห็นผู้มาเยือนเป็นชายหนุ่มร่างโปร่งที่มีผมยาวประบ่าสีแดงหยักศก และดวงตาที่ไม่ใคร่จะบอกความรู้สึกหรืออารมณ์สักเท่าไหร่

"นี่คือเลสธีราห์..." เอเดรียนแนะนำอย่างเสียไม่ได้ "เลสธีราห์ นี่คือจาเร็ตต์... เลขาของข้า"

"ยินดี" จาเร็ตต์ยิ้มรับตามมารยาทก่อนเหลือบสายตากลับไปมองเอเดรียนทางคำคาดคั้น "เป็นใครมาจากไหนกันล่ะ เจ้าถึงมั่นใจพาเข้ามาที่ราห์โมนาได้" เอเดรียนไม่เคยบอกมาก่อนว่าคฤหาสน์แห่งนี้ถูกเรียกว่าอะไร แต่ชายหนุ่มก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ในใจว่ามันคือคฤหาสน์ราห์โมนา และคฤหาสน์แห่งนี้ก็น่าจะเป็นของขุนนางฝ่ายทหาร

เอเดรียนเป็นขุนนางฝ่ายทหารอย่างนั้นหรือ...

อีกฝ่ายไม่เคยพูดตรงๆ ว่าตนเองมีหน้าที่อะไรในสภาขุนนาง แต่จากการพูดคุยก็น่าจะเป็นฝ่ายเศรษฐกิจเสียมากกว่า อีกฝ่ายคอยเป็นห่วงเป็นใยเรื่องการค้า ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรมากกว่าการทหาร และดูจะไม่สนใจเรื่องชายแดนหรือการป้องกันอาณาจักรอีกด้วย ...แต่อาเดรียก็ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองทัพไม่ใช่หรือไร จึงไม่น่าแปลกที่ขุนนางฝ่ายทหารจะไม่มีความสำคัญ และเหมือนจะมีไว้เพื่อดูแลความปลอดภัยของผู้นำอาณาจักรเท่านั้น

แต่ถ้าเอเดรียนเป็นผู้นำสูงสุดของขุนนางฝ่ายทหาร... ก็แปลว่าเขามียศเทียบเท่าแม่ทัพเลยไม่ใช่หรือ

"บอกข้าสิ... เจ้าเป็นใครกัน" จาเร็ตต์ถามเสียงเรียบ ดวงตายังจับจ้องคู่สนทนาอย่างคาดคั้น

"ข้าเป็นนายพราน ล่ากวางและสัตว์ป่าหาเลี้ยงชีพไปวันๆ" คู่สนทนาไม่ได้มีท่าทางดุดัน แต่ด้วยความที่ถูกจ้องมอง เลสธีราห์จึงรู้สึกประหม่าอย่างช่วยไม่ได้ และในขณะที่ตอบคำถามนั้น ร่างโปร่งก็เริ่มสงสัยและอยากถามคำถามเดียวกันกับเอเดรียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น "แล้ว... ตกลงวันว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนาง" เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางธรรมดามาโดยตลอด และคิดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไป แต่เมื่อไตรตรองดูให้ดีแล้ว...

เอเดรียนก็ดูไม่ใช่คนธรรมดาเลย

"ข้าคือเอเดรียน... ผู้นำของขุนนางฝ่ายทหาร และเป็นแม่ทัพแห่งอาเดรีย" ร่างสูงตอบทั้งที่ยังยิ้มจาง "เป็นสถานะที่บอกใครไม่ได้ยกเว้นคนที่ไว้ใจเท่านั้น" เลสธีราห์ตะลึงงันในประโยคแรก แต่ประโยคที่สองก็ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่า "ถ้าข้าต้องการความจริงใจจากใคร ข้าควรจะจริงใจกับผู้นั้นก่อน... ไม่ใช่หรือ เลสธีราห์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 4 [26-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-10-2016 11:25:04
เอาล่ะสิ เอเดรียนหงายไพ่ให้ดูแล้วหนึ่งใบ เลสธีราจะทำยังไงนะทีนี้
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 4 [26-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 26-10-2016 15:52:03
นี่เข้ามาเพราะชื่อคนแต่งเลยค่ะ
ขอแปะไว้ก่อนเดี๋ยวกลับมาอ่านนะคะ
จำได้ว่าตอนอ่าน prussian blue ตอนเด็กๆนี่ติดมาก555
ยาวนานหลายปีบ่งบอกอายุ
ติดตามผลงานต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 5.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 27-10-2016 09:12:53
ตอนที่ 5.1

เลสธีราห์เริ่มคิดว่าการฆ่าเวลาของตนมีประโยชน์เมื่อได้พบเอเดรียน...

การที่ไม่มีใครรู้ว่าเซนทอร์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อาจทำให้เขาได้เปรียบในการแฝงตัวอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย ในเมื่อผู้คนที่พยายามจะทำความรู้จักเลสธีราห์เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาที่มีทรัพย์สินเงินทอง และจ้องจะหาประโยชน์

เลสธีราห์ต้องการพบขุนนางสักคนหนึ่งของอาเดรีย

เนื่องจากเหนือหัวดาเรียสมีความคิดจะผูกมิตรกับอาณาจักรอื่นอยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่มีขุนนางใดเสนอแผนงานหรือแนวทางที่เป็นรูปร่าง ดังนั้นเลสธีราห์จึงคิดว่าเขาอาจจะช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้บ้าง เนื่องจากเขาเป็นเซนทอร์ที่สามารถอยู่ในร่างมนุษย์ได้โดยไม่รู้สึกอะไร เพราะเซนทอร์ไม่ได้คิดจะผูกมิตรกับบ้านเมืองใกล้เคียงอย่างไอย์ชวลแต่พวกเขากำลังคิดจะสมาคมกับพวกมนุษย์ ซึ่งมีสองหนทางให้เลือก นั่นก็คือธีสธรัลและอาเดรีย

แม้ว่าทั้งสองตัวเลือกนี้จะไม่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากอาเดรียเป็นเมืองในอาณานิคมของธีสธรัล

แต่เลสธีราห์เชื่อว่าลึกๆแล้ว ชาวอาเดรียยังต้องการเป็นอิสรภาพล ดังนั้นเขาจึงอยากรู้จักชาวอาเดรียเพื่อจะสืบความเคลื่อนไหวของพวกเขาไปเงียบๆ และคงเป็นการดีมากหากได้พบขุนนางสักคนหนึ่งที่พอจะรู้ความเคลื่อนไหวภายในบ้าง ที่ผ่านมาเลสธีราห์ทำความรู้จักกับมนุษย์ไม่มาก และไม่เคยบอกชื่อเสียงเรียงนามของตนเอง เนื่องจากเกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่คู่ควรจะรับรู้

ผู้หญิงที่เข้ามาทำความรู้จักเขาเลี้ยงเหล้าสักแก้วหนึ่ง และชักชวนให้ไปร่วมทุนค้าขายกับนาง แต่เมื่อลองพูดคุยแล้ว เลสธีราห์ก็พบว่านางต้องการผืนหนังราคาแพงจากเขาสักผืนโดยไม่จ่ายเงิน ในขณะที่อีกคนก็ต้องการเครื่องประดับเขี้ยวสัตว์หายากโดยแลกกับอัญมณีของนางที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงกรวดหินไร้ราคา หรือกระทั่งบุรุษที่เข้ามาทำความรู้จักก็คิดหาแต่ประโยชน์ของตนโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด

แต่ขุนนางเอเดรียนผู้นั้นกลับแตกต่งออกไป... แม้ว่าเพิ่งเคยพูดคุยกันเป็นครั้งแรกก็ตาม

เอเดรียนใจเย็น ไม่รบเร้าเซ้าซี้ และไม่เอาแต่คิดเรื่องประโยชน์ส่วนตนดังเช่นคนอื่น และสิ่งที่ยืนยันความแตกต่างของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีก็คืออัลธอร์ ม้าศึกสีน้ำตาลที่สง่างามสมบูรณ์แบบตัวนั้นสามารถบอกเล่านิสัยใจคอของเอเดรียนได้ผ่านสายตาของมัน แม้ว่าเซนทอร์จะไม่ชื่นชอบการเห็นม้าถูกพันธนาการ แต่อัลธอร์กลับบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ทำให้มันกับเจ้าของพลัดจากกัน

บุคคลที่ทำให้ม้าศึกยอมเดินตามได้โดยไม่มีเงื่อนไขจะต้องมีความแตกต่างจากมนุษย์ผู้อื่นที่เลสธีราห์เคยพบเจอมาอย่างแน่นอน อีกทั้งอีกฝ่ายก็เป็นถึงขุนนางของอาเดรีย อย่างน้อยเขาก็อาจจะได้ข้อมูลอะไรดีๆที่เป็นประโยชน์ต่อแอสทารอธบ้าง

ดังนั้นเลสธีราห์จึงไม่ลังเลที่จะบอกชื่อ และทำความรู้จักขุนนางผู้นั้น


--------------------------------------------------

แอสทารอธได้รับการขนานนามว่าเป็นอาณาจักรแห่งดวงดาว จากพรสวรรค์ของเซนทอร์ในการอ่านอนาคต แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงในอดีต เพราะเซนทอร์ในปัจจุบันสูญเสียความรู้และความสามารถในการพยากรณ์ไปมาก อันเนื่องมาจากความพยายามที่จะปรับตัวให้เหมาะสมกับความเป็นไปของโลก ดังนั้นเซนทอร์จึงให้ความสำคัญในการพยากรณ์น้อยลง และหันไปจับต้องสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากกว่า

แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียมันไปทั้งหมดเสียทีเดียว...

ท่านหญิงลีอาห์ยืนอยู่ด้านหลังพระราชวังอัสเธียร์แหงนหน้าขึ้นอ่านดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยสีหน้ากังวลใจ เพราะอนาคตที่นางกำลังจ้องมองอยู่คือการบอกลางอันไม่น่ายินดี เมื่อดวงดาวแห่งการเปลี่ยนแปลงโคจรเปลี่ยนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอันหมายถึงการเปลี่ยนอิทธิพลของมัน และที่ที่มันโคจรไปนั้นสื่อถืออาณาจักรแอสทารอธเอง

ราชเลขาไม่ใช่หนึ่งในนักดูดาวที่เก่งที่สุดในแอสทารอธ  แต่ด้วยความไม่รู้นั่นเองที่ก่อกวนจิตใจของคนเป็นแม่ เพราะอนาคตที่แปรเปลี่ยนไปเบื้องหน้ากล่าวถึงบุคคลที่เข้าไปพัวพันกับการเปลี่ยนแปลง และอาจจะต้องจมหายไปในเงาของดวงดาวตลอดกาล

ซึ่งบุคคลที่ว่าในตอนนี้ก็เห็นทีจะเป็นเลสธีราห์ บุตรชายของนางเอง

"ท่านราชเลขา..."

เสียงทุ้มของซาฮาลดังขึ้นไม่ไกลทำให้ลีอาห์หยุดพิจารณาท้องฟ้าและหันมาหาต้นเสียง ดูเหมือนว่านางจะจดจ่อกับการทำนายมากเกินไปจนไม่ทันสังเกตว่าผู้นำกองเรือพาณิชย์ได้มายืนอยู่ตรงหน้าตนแล้ว  และร่างกายสูงใหญ่ของฝ่ายนั้นก็บดบังแสงจันทร์ไม่ให้ส่องผ่านมาถึงตัวนาง "พวกอาเดรียส่งสารอย่างเป็นทางการเพื่อขอเข้าพบเหนือหัวดาเรียส ...เราควรจะรับมืออย่างไรขอรับ"

"เหนือหัวไม่พบใครอยู่แล้ว ไม่ว่ามนุษย์หรือภูต"

ซาฮาลไม่พยักหน้ารับรู้ เขาได้แต่ทอดสายตามองราชเลขาแห่งแอสทารอธอย่างพิจารณา "พวกมันรุกเข้ามาทุกขณะในทุกวิถีทาง กองเรือเซเลสต์ต้องรับมือกับพวกลักลอบข้ามน่านน้ำอยู่วี่ทุกวัน ขณะที่ชายป่าก็ถูกรุกรานบ้างประปราย ข้าไม่คิดว่าเราควรจะเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวนะขอรับ"

ลีอาห์หลับตาลงและหมุนตัวเดินหนีคู่สนทนา "เราอาจจะดูได้เปรียบ แต่แท้จริงแล้วเราเสียเปรียบอยู่มาก ซาฮาล และข้ายังไม่เห็นช่องทางที่เราจะเอาชนะการเจรจาได้ อาเดรียอาจจะชวนเราเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อแข็งข้อกับธีสธรัลและไอย์ชวล แม้ว่านั่นจะทำให้เรามีอำนาจเพิ่มมากขึ้น แต่เหนือหัวดาเรียสก็ยังไม่ต้องการสูญเสียพันธมิตรอีกสองเมืองไป และเช่นกัน... หากเราไม่ยื่นมือเข้าร่วม อาเดรียก็อาจจะเป็นฝ่ายถูกขยี้ ทั้งมนุษย์และภูตจะทำสงครามกันจนรู้ผลแพ้ชนะ และสุดท้ายแล้วเซนทอร์ที่เอาแต่ยืนมองก็คงจะไม่ได้อะไร ข้ารู้นิสัยพวกภูตดี ต่อให้อาเดรียใช้เรื่องท่าเรือมาอ้าง พวกนั้นก็คงไม่เบนหน้ามาหาเราหรอก"

ราชเลขายกแขนขึ้นกอดอก "เรารุกไม่ได้จนกว่าจะรู้ว่าพวกอาเดรียมันมีจุดอ่อนอะไร"

ซาฮาลอยากจะถามลีอาห์เหลือเกินว่าบุคคลที่แอสทารอธส่งไปล้วงความลับของอาเดรียจะทำงานสำเร็จหรือไม่ แต่ก็เป็นคำถามที่จุกอยู่ในคอของเขา เพราะบุคคลที่ว่าคือบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของราชเลขาเอง "เจ้าคงสงสัยว่าเลสธีราห์จะทำงานสำเร็จหรือไม่กระมัง" ท่านหญิงลีอาห์อ่านได้จากสายตาของอีกฝ่าย

"เจ้าเป็นผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดไปก่อนเถอะ"

"ข้าเห็นว่าเขาเป็นผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ แต่ต้องทิ้งกองเรือเอาไว้เพื่อไปทำภารกิจนี้ทั้งที่น่านน้ำเราก็ถูกรุกราน รีดาห์เพียงคนเดียวไม่สามารถรับมือไหว ข้าไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้วที่ส่งเขาไปทำเรื่องที่เขาไม่ถนัดแบบนี้" ลีอาห์เหลือบมองคนพูดครู่หนึ่งแล้วจึงถอนใจเบา ซาฮาลเรียกได้ว่าเป็นคู่กัดของเลสธีราห์ เพราะทั้งสองอายุเท่ากัน อีกทั้งยังเป็นผู้บัญชาการกองเรือเหมือนกัน แต่ทั้งที่ซาฮาลดูแข็งแกร่งกว่า กลับได้รับตำแหน่งให้เป็นเพียงผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ในขณะที่เลสธีราห์ที่ดูอ้อนแอ้นเกินไปสำหรับเซนทอร์กลับได้เป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือรบ คงช่วยไม่ได้ที่ซาฮาลจะรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่ในความไม่ถูกกันของสองคนนี้ ลีอาห์ก็รู้สึกได้ว่าซาฮาลยังพอจะเป็นห่วงเพื่อนร่วมงานอยู่บ้าง

ในขณะที่เลสธีราห์ไม่เคยเป็นห่วงใคร...

นี่อาจเป็นความผิดพลาดของนางในการเลี้ยงดูบุตรชาย

"มันเป็นความผิดของข้าที่ทำให้เลสเอาแต่มองไปข้างหน้าจนไม่ประเมินกำลังตนเองแบบนั้น แต่สิ่งที้เหนือหัวพูดมันก็ถูกต้องไม่ใช่หรือ เขาอาจเป็นเซนทอร์เพียงตนเดียวที่สามารถทำตัวกลมกลืนกับมนุษย์ได้ ดังนั้นเขาจึงเหมาะสมกับภารกิจนี้ที่สุด ต่อให้ข้าเป็นมารดาของเขา สามารถแปลงตัวเองให้เป็นมนุษย์ได้ แต่ผู้หญิงในสังคมมนุษย์ไม่มีจุดยืนแบบเซนทอร์ หากข้าลงสืบข่าวด้วยตนเองคงจะไม่ได้ความ"

"แต่เขาก็ต้องทิ้งกองเรือของเขา... ทั้งที่เขาเป็นคนที่รู้จักทะเลมากที่สุดในอาณาจักรน่ะหรือขอรับ"

"เจ้าอยากจะพูดอะไร ซาฮาล" ลีอาห์มุ่นคิ้วใส่ชายร่างสูง "ตำหนิข้าหรือเหนือหัวดาเรียสที่ส่งเขาไปทำภารกิจ หรือว่าจะตำหนิที่กองเรือเซเลสต์ขาดผู้นำกันแน่ เจ้าต้องการตำแหน่งของเขาอย่างนั้นหรือไร" ซาฮาลชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อสายตาเย็นชาของราชเลขามองตรงมาที่เขา ชายหนุ่มเม้มปากแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

"ส่งข้าไปช่วยเลสสืบข่าว... เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่กลมกลืน แต่ข้าอาจเป็นคนเดียวที่รู้เท่าทัน"

"กองเรือกราเทียร์ต้องการเจ้า นี่ก็ใกล้ฤดูค้าขายแล้ว หากไม่มีเจ้าคอยบริหารงานแล้วผู้ใดจะทำ"

"ดวงดาวกล่าวเตือนเรื่องบุคคลที่จะเข้าไปพัวพันกับการเปลี่ยนแปลง และเราอาจจะสูญเสียเขาไปตลอดกาล ท่านเองก็อ่านออกไม่ใช่หรือ นี่ไม่ใช่ลางดีในการส่งใครไปเพียงลำพัง อย่างน้อยหากข้ามีส่วนร่วมด้วย อาจจะดึงเขากลับมาได้ และแก้ไขคำเตือนของดวงดาวได้" คนเป็นแม่ถึงกับเงียบเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงคำเตือนของดวงดาว และนางเองก็อ่านคำพยากรณ์นั้นได้ใจความเดียวกัน แม้การถูกเงามืดครอบงำอาจไม่ได้หมายถึงการสูญเสียชีวิต แต่อาจเป็นความล้มเหลว หรือความผิดพลาด ซึ่งสิ่งที่ลีอาห์กลัวมากที่สุดในตอนนี้ก็คือความล้มเหลวของเลสธีราห์ ซึ่งนางรู้ดีว่าบุตรชายของตนมีความตั้งใจมากแค่ไหน และหากเขาทำไม่สำเร็จ ปมที่อยู่ในจิตใจฝ่ายนั้นอาจจะยิ่งฝังรากลึกลงกว่าเดิม

...ครึ่งเซนทอร์ตนนั้น ต้องการแค่การยอมรับจากเผ่าเซนทอร์ ว่าเขาก็เป็นปุถุชนคนหนึ่งที่มีความสามารถ และเขาใช้ความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง หาใช่เส้นสายอย่างที่ถูกกล่าวหาทุกวันนี้

เซนทอร์อาจไม่รับสินบน... แต่บิดาของเลสธีราห์เป็นถึงทูตใหญ่จากเธสซาลีย์ ใครเล่าจะกล้าขัดคอ

"ข้าไม่มีอำนาจที่จะอนุญาตเจ้า เรื่องนี้เจ้าจะต้องพูดกับเหนือหัวดาเรียสเอง" ลีอาห์บอกปัด แม้ว่านางจะเป็นห่วงบุตรชาย แต่นางก็รู้ดีว่าเลสธีราห์ไม่ต้องการให้นางยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แน่นอนว่าหากนางอนุญาตให้ซาฮาลติดตามเลสธีราห์ไป บุตรชายของนางอาจจะรู้สึกแย่มากกว่าเดิมก็เป็นได้

แต่ราชเลขาก็ปฏิเสธไม่ออกว่านางเป็นห่วงลูกชายแค่ไหน

ซาฮาลมาด้วยเจตนาอันใดจึงเสนอตัวเข้าช่วยแบบนี้ ฝ่ายนั้นจะร้องขอตำแหน่งอย่างนั้นหรือ ต่อให้สมมติฐานนี่เป็นไปได้มากที่สุด และลีอาห์มั่นใจว่าชายหนุ่มไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้น ต่อให้ตำแหน่งผู้นำกองเรือกราเทียร์จะดูด้อยกว่าผู้นำกองเรือเซเลสต์ แต่เรือในสังกัดกราเทียร์มีมากกว่าเซเลสต์หลายเท่า เพียงแต่กองเรือเซเลสต์จะต้องใช้ผู้นำที่มีความชำนาญและมีความสามารถเท่านั้นจึงจะควบคุมมันได้ เพราะเรือทุกลำในกองเรือนี้เป็นเรือที่ติดตั้งปืนใหญ่ อีกทั้งมีน้ำหนักมาก อีกทั้งควบคุมยากจนได้รับการกล่าวขานว่า บังคับเรือกราเทียร์สิบลำไม่ยากเท่าคุมเรือเซเลสต์ลำเดียว

และเลสธีราห์ก็ทำได้...

"เจ้าต้องการอะไรจากการทำแบบนี้ ซาฮาล" ลีอาห์ถามตรงพลางจ้องประสานกับคู่สนทนา

"นั่นเป็นเรื่องที่ข้าจะตกลงกับเลสธีราห์เองขอรับ"

และผู้ชายอย่างซาฮาลก็ไม่เคยพูดมากเกินความจำเป็น เจ้าตัวค้อมหัวลงอย่างนอบน้อมและย่อเข่าหน้าข้างหนึ่งลงหลังจากพูดธุระของตนเสร็จ "ข้าต้องขอตัวก่อน ท่านหญิงลีอาห์ ราตรีสวัสดิ์ขอรับ"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์เองก็เห็นคำเตือนของดวงดาวเช่นกัน... และนี่เป็นลางไม่ดีสำหรับเซนทอร์หนุ่มอย่างที่สุด

ชายหนุ่มเดินวนอยู่ในห้องพักของตนขณะครุ่นคิดวนไปมาอย่างหาคำตอบไม่ได้ แม้เลสธีราห์จะรู้สึกถึงอันตรายรอบตัวอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่คิดว่าดาวแห่งการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่เอาเสียดื้อๆ แบบนี้ ซึ่งนั่นหมายถึงผู้ที่กำลังกระทำการบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงแอสทารอธกำลังจะถูกกลืนกิน

ซึ่งผู้นั้นอาจหมายถึงตัวเขาเอง

ต่อให้ยังนึกไม่ออกว่าเอเดรียนจะสามารถทำอะไรเขาได้บ้างก็ตาม ฝ่ายนั้นรู้จักตัวตนของเขาหรือไม่ และถ้ารู้ว่าเขาเป็นเซนทอร์ซึ่งอาจเป็นศัตรู เหตุใดจึงกล้าพาเดินเข้ามาในปราการชั้นในซึ่งเป็นเขตหวงห้ามสำหรับคนนอกแบบนี้

อาเดรียต้องการผูกมิตรกับเซนทอร์... ดังนั้นอีกฝ่ายจึงพยายามเริ่มต้นที่เขาหรือเปล่า

ชื่อของเลสธีราห์ไม่ค่อยได้รับการเปิดเผยกับคนนอกนัก ผู้โด่งดังเป็นที่รู้จักของแอสทารอธก็เห็นจะมีแต่เหนือหัวดาเรียส ราชเลขาลีอาห์ หรือท่านหญิงโมนาบ้าเลือดเท่านั้น และเหตุผลที่ไอย์ชวลรู้จักเลสธีราห์ นั่นก็เพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู้นำทัพคนหนึ่งของไอย์ชวล

คูแรนน์ก็ดูไม่น่าพูดถึงเลสธีราห์บ่อยๆอยู่แล้ว... เช่นนั้นเอเดรียนจะสืบรู้มาได้อย่างไรว่าเขาเป็นใคร

และอีกเหตุผลหนึ่งที่เรื่องนี้สร้างความกังวลใจอย่างที่สุดในเลสธีราห์นั่นก็เพราะเขาเพิ่งรู้ว่า 'ขุนนางไม่เอาไหน' อย่างเอเดรียนนั้นเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรีย เดิมทีเลสธีราห์คิดจะผูกมิตรกับขุนนางชั้นบริหาร เพราะพวกเขาอาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่า และเขาก็คิดว่าตลอดว่าเอเดรียนเป็นขุนนางฝ่ายบริหารที่ว่า

ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลยว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนั้นจะเป็นถึงแม่ทัพ

...ก๊อก! ก๊อก!

"ข้าเอง..." เสียงของเอเดรียนดังขึ้นหน้าประตู และโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเดินไปต้อนรับ อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าพับหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเสื้อคลุมที่พวกขุนนางอาเดรียสวมใส่ "เจ้าควรสวมเสื้อ ก่อนที่จะสวมผ้าคลุมนี่ ไม่มีติดมาสักตัวเลยรึไง" เซนทอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความฉงน จริงอยู่ว่าเลสธีราห์ดูประหลาดสำหรับเซนทอร์ด้วยกันเพราะเขาสวมใส่เสื้อผ้า แต่สำหรับมนุษย์แล้ว เลสธีราห์ก็ยังดูแปลกอยู่ดีเนื่องจากเจ้าตัวสวมชุดคล้ายกระโปรงของผู้หญิง อีกทั้งยังไม่ใส่เสื้อด้วย

แต่นั่นคือชุดที่สะดวกที่สุดในการเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นเซนทอร์...

"อากาศมันร้อน ข้าก็ไม่สวมแต่ไหนแต่ไรแล้ว" ร่างโปร่งเลี่ยงตอบและเริ่มมองการแต่งตัวของคนตรงหน้าด้วยสายตาของคนที่ใส่เสื้อไม่เป็น และอีกอย่างก็คือเขาจะไปหาเสื้อที่ว่ามาจากไหน "แอสทารอธห้ามคนเปลือยอกเข้ารึยังไง" เมื่อนึกคำย้อนได้ ชายหนุ่มก็ว่าไปเช่นนั้น ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากคู่สนทนาได้

"ไม่หรอก อาจจะดูกลมกลืนกับพวกเขาด้วยซ้ำ"

แต่เมื่อเอเดรียนตอบกลับ คนฟังก็เหลือบตาขึ้นมองด้วยความระแวง แต่เขาจะต้องเก็บซ่อนสีหน้าเหล่านั้นเอาไว้ ต่อให้เอเดรียนรู้ว่าเขาเป็นใคร เขาก็ไม่ควรจะตื่นตูมตอนนี้ ไม่คววรจะตื่นตกใจทั้งที่ยังอยู่ในปราการชั้นในของอาเดรียแบบนี้ "สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี ลงไปกินอาหารเช้าซะสิ จาเร็ตต์กับโจฮาลล์อยู่ที่โต๊ะแล้ว พวกเขาใช้ข้ามาตามเจ้านี่"

มีใครออกคำสั่งกับแม่ทัพใหญ่ได้ด้วยหรือไง... และนอกจากจาเร็ตต์ที่มองเขาด้วยสายตาเหมือนพยายามอ่านความลับแล้วยังมีใครอื่นอีกอย่างนั้นหรือ!!

"ข้าอยากคุยกับเจ้าสักพักได้ไหม" แม้จะไม่อยากพูดถึง แต่เลสธีราห์ก็ไม่อาจปัดเรื่องกวนใจนี้ออกไปได้อยู่ดี "ข้า... ยังตกใจเรื่องที่เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นแม่ทัพ" นัยน์ตาสีน้ำเงินช้อนมองคู่สนทนาเล็กน้อยเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย เอเดรียนดูไม่ใช่คนใจคอโหดร้ายเหมือนแม่ทัพหญิงโมนาแห่งแอสทารอธ ดังนั้นเลสธีราห์จึงโล่งใจไปบ้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายทอดยิ้มจางอย่างอ่อนโยน

"อาเดรียถูกสั่งห้ามจัดตั้งกองทัพมาตั้งแต่ตกเป็นอาณานิคม... เจ้ารู้เรื่องนี้ใช่ไหม"

เซนทอร์หนุ่มพยักหน้าเบาและพยายามปะติดปะต่อเรื่องด้วยตนเอง

"ดังนั้นการที่ข้าเป็น 'แม่ทัพ' จึงเป็นเรื่องต้องห้ามที่สมควรปกปิดเอาไว้ เพราะอาเดรียไม่มีกองทัพ ไม่มีกองกำลังที่จะสามารถแข็งข้อได้ จึงไม่สามารถมีแม่ทัพได้" ร่างสูงอธิบายต่อไปอย่างใจเย็น น้ำเสียงและท่าทางของเขาดูสุขุมและเยือกเย็นยิ่งกว่าแม่ทัพคนใดที่เลสธีราห์เคยเจอ... อันที่เขาจริงเขาแค่นำอีกฝ่ายไปเปรียบกับแม่ทัพหญิงโมนาอยู่เท่านั้น

"แต่ถ้าข้าอยากให้เจ้ามาร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในฐานะคนสนิทด้วยแล้ว นี่เป็นเรื่องแรกที่เป็นความลับต่อกันไม่ได้ เข้าใจหรือยัง"

"ไม่กลัวข้าเป็นสายสืบหรืออย่างไร" ร่างโปร่งถามกลับ "จู่ๆ ก็ไว้ใจใครก็ไม่รู้ให้มาเป็นคนสนิท"

เอเดรียนเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังใคร่ครวญคำตอบที่ดีที่สุด "ข้าเคยถูกคนรักหักหลังอยู่เหมือนกัน... เพราะข้าเชื่อว่านางไม่มีความลับต่อข้า แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็คือสายสืบจากธีสธรัลเพื่อมาสืบข่าวคราวเกี่ยวกับแม่ทัพอย่างข้า" อีกฝ่ายอธิบายอย่างใจเย็น แม้ว่าความทรงจำเหล่านั้นจะเจ็บปวดมากสำหรับเขาก็ตาม

แต่เอเดรียนคิดว่าเขาควรจะจริงใจต่อเลสธีราห์... หากคาดหวังให้เลสธีราห์จริงใจต่อเขาบ้าง

"เจ้าก็อาจไม่ต่างจากนางหรอก" อีกครั้งที่ประโยคธรรมดาของเอเดรียนทำให้คนฟังกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว "แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องแบบนั้น" ชายหนุ่มว่า "เจ้ามีความรู้เรื่องเซนทอร์ ข้าอยากให้เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับมัน ส่วนเรื่องที่เจ้าเป็นใคร ไว้ข้าจะใส่ใจทีหลัง"

"เอเดรียน..."

"ลงไปกินอาหารเช้าได้แล้ว" แม่ทัพหนุ่มส่งเสื้อคลุมให้คู่สนทนา "วันนี้เจ้าจะได้ทำความคุ้นเคยกับม้า และคฤหาสน์ราห์โมนาเสียก่อน" เลสธีราห์หยิบธนูคู่ใจขึ้นมาพร้อมกับกระบอกใส่ลูกดอกขึ้นมาคาดไว้ที่บั้นเอวตามความเคยชิน และฉวยเสื้อคลุมที่เอเดรียนยื่นให้มาถือไว้ "เดี๋ยว เลส... วันนี้ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปฆ่าใครนะ"

"เอ๋..." ร่างโปร่งกระพริบตาปริบ และนึกได้ว่าเขามักจะพกอาวุธด้วยความเคยชิน

...แต่ชื่อเล่น 'เลส' นี้เขาอนุญาตให้เรียกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!

เซนทอร์หนุ่มปลดสายสะพายที่เอวออกวางไว้ที่เดิมและคลุมผ้าบนไหล่ตามที่เอเดรียนทำ "แต่ข้าขอเอาคันธนูไปด้วยได้ไหม" คำถามของเลสธีราห์ทำให้เอเดรียนนึกถึงเด็กชายตัวเล็กๆที่หวงของเล่นของตัวเองจนอยากพกไปด้วยทุกที่ และหันมาขออนุญาตพ่อตัวเองเพื่อนำไปด้วยก็ไม่ปาน

"ได้สิ ถ้าเจ้าหวงมันมากขนาดนั้น"

ในการพบกันครั้งแรก เอเดรียนคิดว่าเลสธีราห์เป็นคนที่ค่อนข้างจะเคร่งขรึม และยิ่งยโส แต่เมื่อได้ลองพูดคุยด้วยหลายครั้งเข้า ร่างสูงก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเด็กหนีออกจากบ้านอยู่ดี แต่เด็กที่หนีออกจากบ้านทุกคนก็ล้วนแล้วมีปมอยู่ในจิตใจทั้งนั้น ดังนั้นเอเดรียนจึงเริ่มอยากรู้ว่าปมของอีกฝ่ายคืออะไร เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะคำพูดจาแล้ว เลสธีราห์ไม่ใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาสามัญชนอย่างแน่นอน ทั้งยังมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์หาตัวจับยากอีกด้วย

หากเป็นชาวอาเดรียโดยพื้นเพ เหตุใดเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฝ่ายนั้น

และทั่วไปแล้วชาวอาเดรียจะไม่ตั้งชื่อคนว่า 'เลสธีราห์' อีกด้วย

คำนี้เป็นคำที่ดูเหมือนจะยืมมาจากภาษาเอลฟ์ ซึ่งโดยนิสัยของคนแผ่นดินใหญ่แล้ว พวกเขาจะไม่ยืมคำเอลฟ์มาง่ายๆ หากไม่มีความเกี่ยวดองด้วย อีกทั้งชาวเอลฟ์โดยแม้ก็มักมีร่างกายสูงใหญ่กว่าปกติไม่เว้นแม้แต่สตรี ดังนั้นเลสธีราห์คงจะไม่ใช่เอลฟ์แท้ๆอย่างแน่นอน

อย่างนั้นอีกฝ่ายเป็นครึ่งเอลฟ์หรือ...

เอเดรียนเดินนำทางมาเรื่อยและขบคิดวนไปมาด้วยความอึดอัดที่ไม่อาจออกปากถามได้ เขารู้ว่าต่อให้ถามไปตรงๆ เลสธีราห์ก็จะไม่ตอบคำถามของเขา ฝ่ายนั้นยังระวังระแวงเขาอยู่มาก แม้จะตอบรับคำชวนให้มาเป็นคนสนิทของเขาแล้วก็ตาม เอเดรียนอยากได้คนเก่งมาเป็นลูกมือของตน แต่หากลูกมือดื้อแพ่งและไว้ใจไม่ได้เช่นนี้ เขาควรจะจัดการอย่างไรต่อไปเล่า

"เฮ้ย! เอเดรียน เจ้าเดินเลยห้องอาหารแล้ว"

เสียงดังอารมณ์ดีของชายร่างใหญ่ตะโกนเรียกพร้อมกับยื่นใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยผมสีแดงหยิกฟูออกมาจากห้องที่คนอื่นนั่งอยู่ "เฮ้! แล้วเจ้าผอมบางนั่นน่ะ... คือเลสธีราห์ที่เจ้าพูดถึงใช่ไหม!" เซนทอร์หนุ่มหมุนตัวกลับด้วยความหงุดหงิดและตั้งใจจะมองหน้าคนที่บังอาจเรียกเขาว่า 'ผอมบาง' แต่เมื่อเห็นร่างกายสูงใหญ่ราวกับชาวเอลฟ์ เลสธีราห์ก็ยอมเป็น 'เจ้าผอมบาง' ที่ว่านั่นต่อไป

"นั่นโจฮาลล์... มือขวาของข้า" เอเดรียนบอกด้วยรอยยิ้ม "เจ้าอาจจะรำคาญเสียงของเขาหน่อย ปากเสียไปบ้าง แต่ก็นับเป็นสีสันอย่างหนึ่ง"

"มาๆ นั่งนี่เสีย เจ้าเด็กผอม"

มือใหญ่ตบเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งและเจ้าตัวก็ลงไปนั่งข้างๆ เสียเอง เอเดรียนเดินกลับไปนั่งที่ประจำของเขาที่หัวโต๊ะ อาหารตรงหน้าพวกเขาคือซุปข้นชามโตกับขนมปังหนึ่งก้อนใหญ่ "ข้าโจฮาลล์ มือขวาของเอเดรียน เป็นนักเดินป่า ขาดข้าไปแล้วระวังจะหลงทาง กลับออกมาไม่ได้ล่ะ ฉะนั้นจงจำข้าเอาไว้ให้ดีเลยพ่อหนุ่ม" คนฟังแอบห่อไหล่เล็กน้อยด้วยไม่รู้จะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสม

"เขากลัวเจ้าแล้ว โจฮาลล์ อย่าเสียงดังให้มันมาก" จาเร็ตต์ที่นั่งตรงข้ามอยู่ปรามเสียงเรียบ

"ข้าไม่ได้กลัวสักหน่อย" ร่างโปร่งก็ไม่เคยยั้งปากเพื่อแก้หน้าให้ตัวเอง เขาน่ะหรือจะกลัวคนที่แค่พูดเสียงดังด้วยความสนุกปาก ดูท่าทางอีกฝ่ายแล้วไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรเลยสักนิด ...ถ้าเทียบกับคูแรนน์ ลูกพี่ลูกน้องตัวแสบของเขาแล้ว หมอนี่ยังนับว่าน้อยไปมากนัก

คนที่ถูกย้อนหัวเราะเบาๆ แล้วแนะนำตัวเองอีกครั้ง "โจฮาลล์เป็นพี่ชายข้า"

สองพี่น้องมีผมยาวสีแดงเพลิงทั้งคู่ โดยของโจฮาลล์จะค่อนข้างหยิกฟูและดูไม่เป็นระเบียบ ในขณะที่ผมของจาเร็ตต์หยักศกและถูกมัดรวบเอาไว้เรียบร้อย สมกับบุคลิกของเขาที่ดูเงียบขรึม มีมารยาท และดูเจ้าระเบียบอย่างที่สุด "เอเดรียนเล่าให้ข้าฟังเรื่องเจ้าบ้างแล้ว เจ้าดูมีความสามารถมากทีเดียว เลสธีราห์" หากเป็นยามปกติ ร่างโปร่งก็คงจะตอกกลับไปว่าอีกฝ่ายไม่ควรเรียกชื่อเขาถ้าไม่ได้รับอนุญาต เซนทอร์ไม่นิยมเรียกชื่อกันพร่ำเพรื่อ เพราะชื่อของพวกเขาทุกคนได้รับมาจากดวงดาวอันสูงส่ง

แต่ตอนนี้เลสธีราห์คิดว่าตนจะต้องผูกมิตรกับผู้อื่นและทำตัวเป็นปกติไว้จึงได้เงียบปาก

"เจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน รูปร่างหน้าตาดูเป็นผู้ลากมากดีโดยแท้ อีกทั้งชื่อเสียงเรียงนามก็ช่างประดิษฐ์ประดอยเหลือเกิน แม่ตั้งให้หรือยังไง หรือว่าพ่อล่ะ ผมสีบลอนด์ขาวนี่ได้มาจากใคร หาได้น้อยนักในอาเดรียที่จะมีผมสีนี้!" คำถามทุกคำถามที่เอเดรียนไม่กล้าถาม โจฮาลล์เป็นคนพูดออกมาทั้งหมดในอึดใจเดียว และนั่นทำให้เลสธีราห์ต้องอ้าปากค้างน้อยๆด้วยความตกตะลึง

"ท่านพี่ ปล่อยให้เขาได้หายใจหายคอหน่อยเถอะ น้ำสักแก้วก็ยังไม่ได้ดื่มเลย"

จาเร็ตต์ห้ามปราม และเลื่อนแก้วน้ำไปให้เลสธีราห์ ร่างโปร่งรับมาถือไว้และเริ่มมองอาหารตรงหน้าด้วยความตื่นตูมลึกๆ ในใจ... เซนทอร์กินแต่ผักกับหญ้ามาตลอด จู่ๆ จะให้ตักของเหลวเหนียวๆ ข้นๆ นี่ใส่ปากเลยได้อย่างไรกัน "โอ้ จริงสินะ... เอ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าขอดูธนูของเจ้าได้หรือเปล่า มันเป็นงานแกะสลักละเอียดที่หาดูได้ยากเชียว"

"ไม่..." คำแรกที่หลุดออกมาทำให้ทั้งโต๊ะเงียบไปกับเสียงเด็ดขาดของผู้มาใหม่

"เอ่อ... มันเป็นของต่างหน้าพ่อข้า" เซนทอร์หนุ่มรีบแก้ไขเมื่อรู้สึกตัว่าพูดแรงไป แต่เหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ยอมให้ใครแตะต้องธนูของตนก็เนื่องมันยังเป็นธนูเอลฟ์ที่บิดามอบให้ ซึ่งสำหรับชาวเอลฟ์แล้ว การจับต้องอาวุธคู่กายของผู้อื่นนับเป็นเรื่องเสียมารยาทและไม่ควรทำอย่างยิ่งยวด อีกทั้งธนูคันนี้ยังมีชื่อของเขาสลักอยู่ด้วย

ชื่อเต็มของเขา... เลสธีราห์ บลังค์

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 5.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 27-10-2016 09:13:31
ตอนที่ 5.2

เซนทอร์หนุ่มยอมสวมผ้าคลุมไหล่ของอาเดรียในที่สุดหลังจากทำใจอยู่สักระยะหนึ่ง และพยายามจะตีตัวออกห่างโจฮาลล์ผู้ซึ่งมีอัธยาศัยดีเกินควร แม้ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะชะงักนิ่งไปสักพักหลังจากถูกผู้ร่วมทางคนใหม่ตวาดใส่ แต่เอเดรียนก็เป็นคนคลายความตึงเครียดนั่นด้วยการชวนพูดคุยเรื่องอื่นซึ่งผ่อนคลายกว่า และดูจะไม่เกี่ยวกับงานที่เอเดรียนขอให้เซนทอร์หนุ่มเข้ามาช่วยเหลือเลย

"เจ้าเป็นพรานป่า แต่ไม่ชอบเนื้อกวางหรอกเหรอ"

เลสธีราห์กระพริบตาถี่อย่างไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเมื่อถูกซักไซ้เรื่องอาหารการกิน แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่าจะสร้างความสนิทสนมให้มากขึ้นได้ แต่สำหรับเซนทอร์ที่ทั้งชีวิตไม่เคยกินเนื้อสัตว์แต่ต้องเสแสร้งว่าตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี งานนี้จึงค่อนข้างยากไม่ใช่น้อย อีกทั้งยังมีเลขาคนสนิทของเอเดรียนที่นั่งมองเขาตาไม่กระพริบอีกด้วย หากความลับเรื่องที่เขาเป็นเซนทอร์จะถูกเปิดโปง ก็เกรงว่าจะเป็นจาเร็ตต์ผู้นี้เองที่น่าจะรู้เป็นคนแรก

"ข้าชอบเนื้อกระทิง..."

"เนื้อกระทิงออกจะเหนียว ยิ่งกว่าเนื้อกวางด้วยซ้ำ อีกทั้งล่าได้ยาก ต้องใช้คณะพรานยี่สิบคนขึ้นไปในการไล่ล่า อีกทั้งยังมีราคาแพง ข้าควรจะพูดว่าเจ้ารสนิยมสูงหรือกระไรดีล่ะนี่" เอเดรียนวิจารณ์ออกมาตรงๆ แม้ว่าจะแปลกใจอยู่มากที่เลสธีราห์เคยกินเนื้อกระทิงกับเขาด้วย

"เจ้าเคยล่ากระทิงด้วยหรือ ไปกับใคร พวกไหนมาเล่า..."

คนที่พยายามจะไขข้อข้องใจของทุกคนดูจะเป็นจาเร็ตต์ที่หันมาถามเสียงเรียบ ทำให้สายตาของทุกคนมองมาที่เลสธีราห์อย่างคาดคั้นหาคำตอบ "ข้าเป็นพรานป่า จะเคยรวมกลุ่มกับพรานป่าคนอื่นบ้างเพื่อล่าสัตว์ยากๆ อย่างกระทิงมันแปลกด้วยรึไง" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว ก่อนจะหยิบผักแต่งจานตรงหน้ามาใส่ปากด้วยความเคยชิน "พวกเจ้าคิดว่าพวกพรานไม่มีสมาคมเลยหรือไง"

โจฮาลล์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วยื่นจานสลัดให้เลสธีราห์อย่างเป็นทางการ

"เจ้าชอบกินผักขนาดนั้น ข้ายกนี่ให้เจ้าเลยก็แล้วกัน"

จาเร็ตต์เหลือบสายตาเอ็ดพี่ชายเล็กน้อยแล้วจึงพูดจุดประสงค์ในการซักไซ้ของตนต่อ "ข้าไม่ได้ประกาศตนเป็นศัตรูหรือปฏิปักษ์ต่อเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เจ้าคงต้องเข้าใจว่าขุนนางของอาเดรียไม่ได้ชอบหน้ากันเสียทุกคน อีกทั้งเอเดรียนก็เป็นถึงขุนนางระดับสูงฝ่ายทหาร ดังนั้นข้าจึงมีหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ใช่สายสืบของขุนนางคนไหนทั้งนั้น"

"จาเร็ตต์..."

เสียงเข้มดุดันของเอเดรียนทำให้บรรยากาศทั้งโต๊ะสะดุด และเลสธีราห์ก็แปลกใจที่เห็นแม่ทัพหนุ่มเอ็ดคนสนิทของตนด้วยสายตาที่ดุดันเสียจนรู้สึกเย็นสันหลัง "นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าสนใจ และไม่ใช่ธุระของเจ้าที่จะมาเอาความกับเลสธีราห์ต่อหน้าข้าแบบนี้"

เอเดรียนหันไปมองเซนทอร์ร่างโปร่งก่อนจะยิ้มให้ "ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้สนใจส่วนนั้น"

"เอเดรียน ข้าเป็นเลขาของเจ้า มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องรู้..."

แม่ทัพใหญ่ถอนใจก่อนจะยันตัวขึ้นลุกจากโต๊ะเป็นการตัดบทสนทนา "ต่อให้เลสธีราห์เป็นสายสืบมาจากธีสธรัลข้าก็ไม่เกี่ยง... ตอนนี้ข้าต้องการให้เขาเล่าเรื่องของเซนทอร์ให้ข้าฟังเท่านั้น หากไม่พึ่งเขาแล้ว เรายังจะไปพึ่งใครอีกในแผ่นดินนี้ อีกไม่นานเราก็ต้องเดินทางไปที่นั่นอยู่แล้ว"

"แต่ถ้าข้อมูลของเขาเป็นเท็จล่ะ... เอเดรียน!" จาเร็ตต์มุ่นคิ้วตอบ "เจ้าจะทำให้การเจรจาล้มเหลวนะ"

"เรากำลังจะล้มเหลวอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไร"

แม่ทัพใหญ่ปลีกตัวออกไปจากโต๊ะอาหารเพื่อเลี่ยงการมีปากเสียง แต่ก่อนที่เขาจะออกไปก็หันมาพูดกับเลสธีราห์อีกประโยคหนึ่ง "ถ้าเจ้าอิ่มแล้วก็ตามออกมาที่ลานด้านหลังคฤหาสน์ล่ะ ให้โจฮาลล์นำทางด้วย" ผู้นำสูงก้าวออกไปจากห้องพร้อมกับเลขาคนสนิทที่ยังคงตามถามเหตุผลที่ดูจะฟังไม่ขึ้นของแม่ทัพผู้นำ ทิ้งให้เซนทอร์ผู้มาใหม่นั่งหน้าเสียอยู่กับมือขวาของแม่ทัพแห่งอาเดรีย

"นี่เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกน่ะนะ"

โจฮาลล์ตบมือบนพนักเก้าอี้ของเลสธีราห์แทนที่จะเป็นบ่าของอีกฝ่ายเนื่องจากกลัวจะถูกตวาดใส่อีกรอบหนึ่ง ร่างโปร่งพยักหน้ารับรู้เบาๆก่อนจะตักสลัดใส่ปากคำหนึ่ง และมุ่นคิ้วเพราะคิดว่ารสชาติมันช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย "เอเดรียนมีศัตรูรอบตัว... ทั้งที่เป็นศัตรูภายนอก และภายใน"

เลสธีราห์หันไปมองคนพูดเล็กน้อยด้วยความอยากรู้ "ศัตรูภายในรึ"

"อา... ข้าก็ไม่แน่ใจว่าสมควรจะเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังไหมน่ะนะ" ชายผมแดงหัวเราะลงคอ "เจ้าสัญญาหรือสาบานได้หรือเปล่าเล่า... ว่าเจ้าไม่ใช่สายสืบของขุนนางคนไหนทั้งนั้น" โจฮาลล์มีวิธีการพูดที่เป็นมิตรกว่าจาเร็ตต์ผู้เป็นน้องชาย ซึ่งนั่นสร้างความประหลาดใจให้เลสธีราห์มากนัก เพราะคนที่น่าจะเป็นเลขา หรือเหมาะกับตำแหน่งเจรจาน่าจะเป็นคนอย่างโจฮาลล์มากกว่า เหตุใดจึงเป็นจาเร็ตต์ไปได้

...แต่จะว่าไปแล้ว ท่านหญิงลีอาห์ก็ใช่ว่าจะพูดจาไพเราะอ่อนโยนเสียเมื่อไหร่

"ข้าไม่มีอะไรจะเป็นหลักประกันได้หรอก"

เลสธีราห์เลี่ยงคำสัญญา... ตามนิสัยของพวกอมนุษย์ เพราะหากเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ อมนุษย์จะไม่ลั่นวาจาพร่ำเพรื่อ ต่างจากมนุษย์ที่สัญญาไปเสียหมดทุกเรื่อง แล้วก็ผิดคำสัญญากันง่ายดายเหลือเกินเสมือนมันไม่ใช่คำมั่นที่วิเศษวิโสอะไร "ต่อให้ข้าพูดว่าข้าเป็นพรานป่าจริงๆ จาเร็ตต์ก็ไม่เชื่อข้าอยู่ดี"

"ถ้าเจ้ายังมีช่องว่างแบบนี้ ข้าก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรล่ะนะ" โจฮาลล์ยักไหล่ "ดูจากลักษณะเจ้าแล้วก็ใช่ว่าจะน่าไว้ใจ ลักษณะรูปร่าง หน้าตา ชื่อ การแต่งตัวดูพิลึกพิลั่นยิ่งกว่าพวกไหน น่าแปลกที่จู่ๆ เอเดรียนก็ชวนเจ้าเข้ามาร่วม ทั้งที่เขาเป็นคนเชื่อใจใครยากจะตายไป"

"..." เลสธีราห์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาบ้าง "ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะชวนข้าเข้ามาง่ายๆ แบบนี้"

"แล้วทำไมเจ้าถึงยอมมาเล่า"

เซนทอร์หนุ่มหันไปหยิบผักแต่งจานอีกใบมาถือเอาไว้ก่อนตอบ "ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน"

โจฮาลล์ไม่ใช่คนเซ้าซี้ เขาจึงนั่งรอจนเลสธีราห์กินอิ่มท้อง ซึ่งนั่นหมายถึงผักแต่งจานอาหารทุกจานหมดไปนั่นเอง แล้วจึงเดินนำอีกฝ่ายออกมาที่ด้านหลังคฤหาสน์ซึ่งเป็นลานทรายกว้างๆ และเอเดรียนก็ยืนอยู่ที่ลานทรายนั้นกับม้าตัวใหญ่ที่มีสีขาวค่อนไปทางเทา

"ลูเซียเหรอ" โจฮาลล์พึมพำ และปล่อยให้เลสธีราห์เดินเข้าไปหาแม่ทัพใหญ่เอง

"เจ้าเรียกข้าออกมาพบม้าอย่างนั้นรึ"

เอเดรียนลูบหัวม้าตัวนั้นเบาๆ โดยไม่กล่าวอะไรตอบ อีกทั้งม้าใหญ่ดูจะมีท่าทางตกใจกับการมาถึงของเลสธีราห์อีกด้วย เอเดรียนจึงต้องลูบปลอบอีกสักพักก่อนจะค่อยๆ หันมาหาคู่สนทนาที่ยังยืนรอคำตอบอย่างอดทน "ยื่นมือเจ้ามาหน่อยสิ" เซนทอร์หนุ่มเหลือบมองม้าขี้ตื่นอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็ยื่นมือให้เอเดรียนตามที่อีกฝ่ายบอก เพื่อจะวางลงบนสันจมูกหนาของอาชาสีขาว

ลูเซียพ่นลมหายใจพร้อมกับคำรามในลำคอเมื่อถูกคนแปลกหน้าแตะต้อง แต่มันก็รู้ในอึดใจนั้นเองว่าอีกฝ่ายเป็นเซนทอร์ที่เรียกได้ว่าเป็นเผ่าอาชาชั้นสูงที่มันควรให้ความเคารพ "ใจเย็น ลูเซีย ใจเย็น..." เอเดรียนปลอบเสียงนุ่ม และพยายามกระซิบข้างหูของมันพร้อมกับลูบแผงคอยาวสีขาวควันไปด้วย "ข้าจะปล่อยมือแล้วนะ" แม่ทัพหนุ่มถอยตัวออกห่างม้า ทว่ายังไม่ละมือจากมือของเซนทอร์หนุ่ม

เลสธีราห์เหลือบตาขึ้นมองสบกับม้าใหญ่ก่อนสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ถูก

"เจ้าเป็นตัวผู้หญิงเหรอ..." นัยน์ตาสีฟ้าเบิกขึ้นเล็กน้อยหลังจากมองสำรวจลูเซียได้สักพัก เลสธีราห์หันไปมองร่างสูงที่ยังอยู่ข้างๆ ตนพร้อมกับอ้าปากค้าง "ม... เจ้าใช้ม้าผู้หญิงทำงานด้วยเหรอ" แม้วิธีการเรียกของอีกฝ่ายจะดูแปลกไปสักพักหน่อย แต่เอเดรียนก็ขบขันกับสายตาของเลสธีราห์มากกว่าจะมาสนใจ

"เจ้ารู้ได้ยังไงว่าลูเซียเป็นตัวเมีย"

"ก็..." เซนทอร์หนุ่มชะงัก แล้วจึงหันกลับไปมองม้าตรงหน้าเพื่อหาข้อแก้ต่าง "ลูเซียเป็นชื่อผู้หญิง"

"อืม ใช่ ลูเซียเป็นตัวเมีย" เอเดรียนยิ้ม ก่อนจะลูบแผงคอม้าสาวด้วยความชื่นชม "เป็นม้าพันธุ์ดีที่สุดของอาเดรีย" เขาหันมายิ้มให้เลสธีราห์ และปล่อยมืออีกฝ่ายให้วางอยู่บนสันจมูกของม้าศึกแบบนั้น ก่อนถอยออกมาช้าๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของทั้งคู่ "แต่ไม่เคยมีใครขึ้นขี่หลังลูเซียได้หรอกนะ"

"ล... แล้วเจ้าก็เอาม้าพยศมาให้ข้าน่ะเหรอ!"

เลสธีราห์เผลอเกร็งด้วยความที่วางตัวไม่ถูก จริงอยู่ว่าเขาไม่ควรจะกลัวม้า แต่สิ่งที่เซนทอร์หนุ่มกังวลนั่นก็คือ ลูเซียที่ว่าเป็นม้าพยศนี้อาจจะยอมเชื่องให้ขึ้นหลังได้โดยง่ายจนน่าสงสัย และนั่นจะทำให้เอเดรียนคลางแคลงใจในตัวเขาหรือเปล่า... แม้ว่าเซนทอร์ในหัวของมนุษย์จะไม่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกเขาก็คงไม่ปักใจเชื่อเช่นนั้นทั้งหมดเสียทีเดียวเป็นแน่

...พยศหน่อยสิ เอาหัวโขกข้าก็ได้!

เลสธีราห์พยายามสื่อสาร แต่ลูเซียก็ยังยืนนิ่งให้ร่างโปร่งจับอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนอย่างที่ควรจะทำ "อ... เอเดรียน... แล้วยังไงต่อล่ะ" แม่ทัพหนุ่มอ้าปากค้างน้อยๆราวกับประหลาดใจที่ม้าพยศที่โด่งดังของอาเดรียกลับไม่ทำอันตรายต่อผู้มาใหม่เลยสักนิด หรืออาจเป็นเพราะเลสธีราห์ยังไม่ได้ขึ้นขี่หลังหรือเปล่าหนอ

โจฮาลล์ผิวปากเล็กน้อยขณะเดินตามมาสมทบกับเอเดรียน "เจ้าพรานนี่ชักจะไม่ธรรมดานะ"

"กับเรื่องล่าสัตว์ล่ะภูมิใจนักหนา แต่แค่ให้จับหัวม้ายังมือสั่น" เอเดรียนขำ "ไม่ว่ามองอย่างไรก็ช่างเหมือนเด็กเหลือเกิน" แม่ทัพใหญ่เดินกลับเข้าไปหาเลสธีราห์แล้วจึงดึงมือแข็งทื่อของอีกฝ่ายออก และปล่อยให้ลูเซียเดินออกไป "น่าแปลกใจเจ้าไม่ถูกมันคำรามใส่ มีไม่กี่คนในอาณาจักรนี้หรอกที่สามารถจับเจ้าหล่อนนั่นได้" ร่างสูงเพยิดหน้าไปทางม้าศึก "ลูเซียเป็น... ลูกแม่เดียวกับอัลธอร์ แต่เจ้าหล่อนมีพ่อพันธุ์ที่ดีกว่า ทว่าอัลธอร์เป็นลูกม้าพันธุ์ทาง"

เมื่อพูดถึงม้าคู่ใจ น่าแปลกที่เจ้าสัตว์สี่ขาจะรู้ประสา ม้าสีน้ำตาลจึงได้เดินปรี่เข้ามาหาเจ้านายและใช้หัวดุนดันไหล่กว้างอย่างออดอ้อนในทันที โดยใช้ร่างกายใหญ่โตของมันเบียดโจฮาลล์เซถลาออกไปให้พ้นทางเสียก่อนอีกด้วย "เจ้านี่ขี้ประจบกว่าพี่สาวเป็นกอง" เอเดรียนยิ้มแล้วลูบหัวม้าของตน

"เรื่องพันธุ์ม้าเป็นเรื่องที่กำหนดขึ้นมาเองชัดๆ" เลสธีราห์บ่นอุบ "มันก็เหมือนกัน..."

การแบ่งพันธุ์ม้านั้นเปรียบเสมือนการแบ่งชนชั้นให้พวกมัน แต่หากจะว่ามนุษย์พยายามขีดเส้นแบ่งชนชั้นเพียงฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะในหมู่เซนทอร์เอง เลสธีราห์ยังรู้สึกได้ว่าซาฮาลซึ่งมาจากตระกูลที่แข็งแกร่งกว่า... จะได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากกว่าเขาที่เป็นทั้งลูกครึ่งและมารดาไม่ได้มาจากตระกูลเก่าแก่

"สายพันธุ์ของม้ามีไว้เพื่อหาม้าศึกที่แข็งแกร่งไปร่วมรบในสงคราม" เอเดรียนยิ้มตอบ "ลูเซียมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าอัลธอร์ ถ้าเจ้าไม่ทันสังเกต ทั้งกล้ามเนื้อ รูปร่าง ความคล่องแคล่ว และขนาดตัว ไม่ได้เกิดจากการฝึกฝนอย่างเดียว ชาติพันธุ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง" การพูดอย่างนั้นอาจทำร้ายจิตใจอัลธอร์ได้ แต่เอเดรียนก็เลือกจะลูบแผงคอม้าคู่ใจเป็นการปลอบไปด้วย

"แต่ข้าเลือกม้าที่เข้ากับข้าได้ดีกว่า... หากจะต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันจริงๆ"

นัยน์ตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเหลือบมองเลสธีราห์บ้าง "เช่นกัน... เลสธีราห์ ถ้าเจ้าเข้ากับข้าได้ดีกว่า ข้าก็ไม่ต้องการพรานชั้นสูงที่มีชื่อเสียงหรือฝีมือจากไหน หากต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันจริงๆ"

"ข้าไม่ใช่ม้าศึกเสียหน่อย เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเลือกข้าเล่า"

"เช่นนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายเลือกข้าไหม..."

เซนทอร์หนุ่มหลบสายตาอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วจึงยกแขนขึ้นกอดอก พร้อมกับรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ "มันยังเร็วเกินไปที่จะตัดสิน" เอเดรียนดูไม่ได้คาดหวังอะไรกับคำตอบมากนัก เขาจึงยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนไม่ถือสา

"...แต่การเข้ากันได้มันก็คงจะดีกว่า"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


---------- WRITER's TALK ----------

เหมือนจะโผล่มาลงอย่างเดียวไม่พูดไม่จามา 4 ตอน ^^' สวัสดีค่า... เอ่อ... เรียกข้าวก็ได้ค่ะ
ปกติชอบเขียนแนวแฟนตาซีที่เหมือนจะไม่ใช่นิยายวาย (ถ้าเอาที่น่าจะมีคนรู้จักก็จักรวาล OCEAN GRACE สัญญาสาปสมุทร เรื่องแวมไพร์ x เงือก... ไม่รู้ตอนนั้นครึ้มอะไรจับคู่แบบนี้) (ยิ่งมาจักรวาล GREAT ARCHER อันนี้นี่ยิ่งดูแบบ... อ้าว... วายเหรอ เหมือนจะเน้นอย่างอื่นหมด ความรักเป็นรองมากกก) ...และในเรื่องของแอสทารอธนี้ก็ดูจะเป็นสารคดีม้านิดนึง-----

...แต่ไม่มีปีนหลังนะคะ ไม่เอา OTL (โดนล้อมาเยอะ พอบอกว่าจะเขียนเซนทอร์เนี่ย 555)

----- รูปตัวละครแหละ -----
วาดโดยคุณ Booririn เมื่อนานมากแล้ว

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/14721664_10209727360155830_4910433460517224290_n.jpg?oh=19d7cc4dd3901821d8317b72ded63b90&oe=589813F2)
เอเดรียน > เลสธีราห์ > เอเรส > จาเร็ตต์ > รีดาห์ > ซาฮาล

เอเรสยังไม่มีบทเน้อะ... แต่นอกนั้นมีหมดแล้วแหละ
อ่า... มีคำแนะนำ-ติ-ชมอะไรก็บอกกันได้นะคะ ฉบับนี้เป็นฉบับรีไรท์ละด้วย... อยากได้คำแนะนำนิดนึง 555

ขอบคุณที่ติดตามค่า ^0^
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 5 [27-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-10-2016 10:53:35
เจอคำผิดอยู่ประปรายค่ะ
ดูท่าเลสธีราห์จะอึดอัดกับการวางตัวมากกว่าเอเดรียนนะ ฝ่ายนั้นยังมีลูกน้องคู่ใจ เลสธีราห์มาคนเดียวแถมยังต้องคอยปิดบังตัวตน
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 6.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-10-2016 07:22:12
ตอนที่ 6.1

"เจ้าช่างเป็นขุนนางที่แปลก... บอกให้ออกมาในที่ที่ห่างไกลเมืองขนาดนี้ก็ยังมา"

เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นจากธารน้ำใส เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เดินตรงเข้ามาหา และเมื่อพิจารณาให้ดีก็พบว่าเป็นขุนนางเอเดรียนผู้นั้น "ไม่กลัว่าข้าจะเป็นโจรป่าดักปล้นทรัพย์สินของเจ้าบ้างหรือไง" ร่างโปร่งยืนตัวขึ้นจากธารน้ำ หลังจากเติมน้ำใส่กระเป๋าหนังของตนจนเต็มแล้ว

"เจ้าบอกเองว่าไม่ชอบที่พลุกพล่าน" อีกฝ่ายไหวไหล่ และแน่นอนว่าข้างกายของเขาก็คือม้าศึกตัวเดิม "อีกอย่าง... ข้ามีม้า ส่วนเจ้าเดินด้วยเท้าเปล่า" เลสธีราห์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินตรงเข้ามาทักทายอัลธอร์ด้วยการยื่นหญ้าอ่อนที่เขาเก็บจากริมธารเมื่อครู่นี้ให้อีกฝ่ายกิน

"เจ้าเป็นคนรักม้าสินะ"

"พวกมันสง่างาม ข้าจึงหลงใหล" ร่างโปร่งตอบ "เช่นเดียวกับที่ข้าหลงใหลเซนทอร์" ในวันนี้อัลธอร์ดูจะอารมณ์ดีมากกว่าปกติ อาจจะเป็นเพราะได้เดินออกมานอกเมือง และสูดกลิ่นธรรมชาติที่คุ้นเคยอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่แต่ในคอกม้า และวิ่งเล่นอยู่บนพื้นหินแข็งๆแทนดินและหญ้าที่อ่อนนุ่มกว่า

"ข้าได้ยินมาบ้างว่า เจ้าชื่นชอบพวกเซนทอร์มาก... ถึงขนาดเก็บเกือกของพวกเขาเอาไว้เป็นที่ระลึก"

"เหตุใดจึงลือไปทางนั้นได้เล่า" ร่างโปร่งเลิกคิ้ว "จริงอยู่ที่ข้าชอบเซนทอร์ แต่ข้าไม่ได้มีเกือกของพวกเขาสะสมอยู่ที่บ้านหรอกนะ" ม้าศึกดูจะสนใจผลไม้ที่อยู่ในกระเป๋าหนังของเลสธีราห์ ดังนั้นเขาจึงหยิบมันออกมาเพื่อให้มันชิม "ลูกพลับน่ะ กำลังอร่อยเลยเชียว"

เอเดรียนยิ้มบางเมื่อเห็นอีกฝ่ายเล่นกับม้าของตนอย่างสนิทสนม "เช่นนั้นก็เล่าเรื่องจริงให้ข้าฟังสิ"

"เรื่องจริงอะไรหรือ" เซนทอร์หนุ่มสงสัย ในขณะที่อัลธอร์กินลูกพลับสีสดเข้าไปในคำเดียว

"เหตุใดชาวบ้านจึงเอาไปลือว่าเจ้าสะสมเกือกของเซนทอร์ได้เล่า" ร่างสูงยิ้มขัน "แปลว่าเจ้าจะต้องมีความรู้ในเรื่องใดสักเรื่องมากเป็นพิเศษ จนคนทั่วไปคิดว่าเจ้าสัมผัสคลุกคลีกับมันทุกวัน อันเป็นที่มาของข่าวลืออย่างไรเล่า"

"อ้อ..." เซนทอร์หนุ่มหยุดคิด และชั่งใจว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้เป็นสิงที่ควรบอกเล่าให้คนนอกได้รับรู้หรือไม่ ที่ผ่านมาเขาไม่ใคร่จะสนทนากับใครให้มากความ แต่ด้วยความที่มีความรู้เกี่ยวกับเซนทอรากกว่ามนุษย์คนอื่นๆ เลสธีราห์จึงคอยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ผู้อื่น และคอยดูปฏิกิริยาของบุคคลผู้นั้นด้วยว่ามีความสนใจเรื่องของแอสทารอธมากน้อยเพียงใด

แต่สิ่งที่เขาได้มาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือสายตาของชาวบ้าน

แอสทารอธยังเป็นอาณาจักรที่ยากจะเข้าถึง และมากพิธีรีตรองเสียจนมนุษย์ไม่อยากยุ่งย่าม

"ข้าอาจจะเคยพูดถึงเกือกม้าของเซนทอร์ให้พวกเขาฟัง พวกเขาจึงคิดว่าข้าสะสมกระมัง" ร่างโปร่งไหวไหล่ "คนครึ่งม้าพวกนั้นใส่เกือกเป็นรองเท้า แตกต่างจากเกือกม้าของมนุษย์ที่ตอกเข้าไปเลย" เขาอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้จนสีหน้าบอกได้ชัดว่ารู้สึกขนลุกกับสิ่งที่จินตนาการ

"แค่เรื่องนั้นเองหรือ ที่ทำให้เขาลือกันไปเป็นเรื่องราว"

"ข้าเป็นเพียงพรานชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่หลงใหลเซนทอร์ แต่จะไปรู้เรื่องอะไรมากมายได้อย่างไร กระทั่งหนังสือข้าก็ยังอ่านไม่ออกด้วยซ้ำ" นี่อาจเป็นข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดสำหรับเลสธีราห์ในตอนนี้ วิธีการพูดของเอเดรียนไม่ใช่การคะยั้นคะยอ รบเร้า เซ้าซี้อย่างที่เขาเกลียด แต่เป็นการพูดคุยไปเรื่อยๆและทำให้เขาต้องพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา อาจจะสมแล้วที่อีกฝ่ายเป็นถึงขุนนาง จึงได้แตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นเช่นนี้

"แต่วิธีการพูดของเจ้าก็ใช่ว่าจะเหมือนสามัญชน" เอเดรียนหัวเราะ "แต่เอาเถิด เราเพิ่งพบกันครั้งสองครั้ง จะให้สนิทสนมราวกับรู้จักกันมาสักสิบปีก็คงจะไม่ได้" เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งและค่อยๆเคลื่อนสายตามามองประสานกับสายตาของเลสธีราห์ "ดวงตาของเจ้าช่างเหมือนมหาสมุทร ลุ่มลึกและเต็มไปด้วยความลับมากมาย... ข้าเชื่อว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เจ้าแอบซ่อนเอาไว้"

ร่างสูงยิ้มจาง "แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้คิดจะค้นหาความจริงอะไรจากเจ้าในตอนนี้"


--------------------------------------------------

"เจ้า... กลั่นแกล้งเขาหรือว่ากระไร"

จาเร็ตต์เอ่ยถามเอเดรียนด้วยท่าทางที่ดูอ่อนลงแตกต่างจากเมื่อเช้าที่ผ่านมาที่ทั้งคู่มีปากเสียงกันค่อนข้างจะรุนแรงจนเอเดรียนต้องปลีกตัวออกมาจากห้องอาหารเพื่อไม่ให้คนที่ตกเป็นประเด็นต้องรู้สึกแย่ไปด้วย และแน่นอนว่าเรื่องที่ทำให้ผู้นำและเลขาคนสนิทต้องบาดหมางกันย่อมเป็นเรื่องของเลสธีราห์

"ที่ยกลูเซียให้เขาน่ะรึ" เอเดรียนอ่านใจคนสนิทของตัวเองได้ดีพอๆ กับกับอ่านสายตาของศัตรู เขาจึงเข้าใจสิ่งที่จาเร็ตต์พูดเป็นอย่างดี ว่าหลังจากยืนมองเลสธีราห์ที่ยังอยู่ในลานฝึกกับม้าขาวตัวนั้นตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ เลขาคนสนิทก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของแม่ทัพใหญ่เลยแม้แต่น้อย

...การหลอกเลสธีราห์ว่าลูเซียเป็นม้าพยศ และยกให้อีกฝ่ายเป็นคนปราบ

ม้าสาวที่ได้ชื่อว่ามีพันธุ์ดีที่สุดในอาณาจักรนั้นดูจะเอาใจยากพอๆ กับมนุษย์ผู้หญิงก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ม้าพยศที่ช่างดีดดิ้นอย่างที่เอเดรียนพยายามจะแต่งเรื่องราว ทว่าหลังจากเลสธีราห์ลูบหัวมันได้ไม่นาน ม้าศึกก็เริ่มสะบัดอีกฝ่ายออกและเดินกลับคอกด้วยท่าทางรำคาญใจ ทว่าผู้มาใหม่กลับไม่ยอมแพ้และไปดึงมันออกมาอีกครั้งราวกับยังแนะนำตัวเองไม่เสร็จ

"มันเป็นบททดสอบน่ะ"

"หืม..." จาเร็ตต์เลิกคิ้ว "หลอกให้ไปปราบพยศม้าที่เชื่องอยู่แล้วน่ะรึ"

เอเดรียนไหว่ไหล่เบาอย่างคนที่ไม่แน่ใจในความคิดของตนเองเช่นกัน "ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์" นัยน์ตาสีเข้มมองไปร่างชายหนุ่มร่างโปร่งที่ดูจะเหน็ดเหนื่อยกับการพยายามเอาอกเอาใจม้า เขาวิ่งไปกับมัน เอาฟางให้มัน เอาน้ำให้มัน แต่ดูเหมือนว่าอย่างไรลูเซียก็เล่นตัวอยู่ดี "เจ้าก็รู้ว่าลูเซียไม่ได้มีนิสัยดุดันดุร้ายอย่างที่ข้าประโคมบอกเลสธีราห์"

เอเดรียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "แต่นี่เจ้าหล่อนดูหงุดหงิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน"

"เจ้าคิดว่าเขาคุยกับม้าได้หรือไร และบอกให้มันเล่นละครตามไปอย่างนั้นหรือ"

จาเร็ตต์ลองถาม และเอเดรียนก็ตอบรับด้วยการพยักหน้าก่อนอธิบายต่อ "ลูเซียอาจเอาใจยาก แต่มันไม่เคยกระฟัดกระเฟียดใส่ใคร หากไม่ใช่เพราะเจ้าหล่อนรำคาญเลสธีราห์จริงๆ ก็คงเป็นเพราะเจ้านั่นบอกให้ลูเซียแสร้งแสดงออกมา" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงอย่างวิเคราะห์ ขณะมองดูชายหนุ่มในลานฝึกพยายามจะทำให้ม้าศึกสงบด้วยการลูบหลังปลอบ "พวกอมนุษย์มีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์ และพวกสัตว์เองก็รู้ว่าใครบ้างที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งน่าแปลกที่พวกมันเชื่องกับคนพวกนั้นมากกว่าพวกเรา"

"เจ้าก็เลยคิดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นรึ"

"ข้าประหลาดใจตั้งแต่เขาสามารถลูบหัวอัลธอร์ได้ทั้งที่ข้าไม่เคยแนะนำให้รู้จัก"

"รู้แบบนี้แล้วเจ้ายังจะให้เขาร่วมทางไปกับเราหรือ เอเดรียน" จาเร็ตต์กอดอก "เจ้าบอกว่าการที่เขาจะเป็นใครมันอาจไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่เจ้าต้องการจากเขาในตอนนี้คือความรู้ที่เขามี แต่ถ้าเขามาจากอาณาจักรที่เป็นศัตรูกับเราล่ะ ถ้าเขามาจากไอย์ชวลล่ะ แล้วชี้นำทางที่ผิดให้เรา... เจ้าจะฝากอนาคตของอาเดรียเอาไว้หรือ"

"พวกภูตมีอายุขัยเกินร้อยปี พวกเขามีเวลาสั่งสมประสบการณ์มาก อีกทั้งยังได้เปรียบที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ตลอดเวลาอีกด้วย  และข้าเชื่อว่าสายสืบของพวกภูตสามารถแฝงตัวเข้ามาได้แนบเนียนกว่านี้ พวกเขาไม่มีทางส่งสายสืบที่สะเพร่ามาหรอก กระทั่งการทดสอบง่ายๆก็ยังพลาดท่าไม่รู้ทันแบบนี้" เอเดรียนเม้มปากอย่างครุ่นคิด "อีกทั้งยังใช้ชื่อที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองอีกด้วย เพราะไม่ว่าใครฟังคำว่า 'เลสธีราห์' แล้วก็ล้วนคิดถึงเอลฟ์ทั้งนั้น หากเจ้าเป็นสายสืบจริงๆ เจ้าควรจะใช้ชื่ออื่นที่ดูแนบเนียนและดูเป็นมนุษย์มากกว่านี้ไม่ใช่หรือไร"

"เรื่องนั้นก็ข้าเห็นด้วยอยู่มาก" จาเร็ตต์พยักหน้า "...อย่างไรก็ไม่แนบเนียน"

"ข้าจึงคิดว่าเขาบริสุทธิ์ใจ" แม่ทัพหนุ่มว่า "เอาเถอะ ต่อให้เขาเป็นพวกธีสธรัล เขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อท่านชายซินญอร์ประกาศแข็งข้อกับเมืองเกาะนั่นไปแล้ว คงไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรที่แย่กว่านั้นหรอก" ร่างสูงยักไหล่  "ตอนที่เขาพบข้า พูดคุยกับข้า ทุกวันตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่ได้เสแสร้งเลย"

"เจ้าก็อย่าวางใจไปหน่อยเลย" เลขาหนุ่มปราม "ต่อให้เขาทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากไปกว่านี้ไม่ได้ แต่การที่เขามีความลับต่อเจ้าแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ เอเดรียน" เอเดรียนไม่ตอบคำเมื่ออีกฝ่ายถามแบบนั้น เจ้าตัวเลี่ยงบทสนทนาด้วยการเบือนหน้าหนีและเดินตรงไปที่ลานฝึกแทน

"เลสธีราห์..."

คนถูกเรียกกำลังลูบหัวม้าขาวด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนจากการพยายามทำความรู้จัก เนื้อตัวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผ้าคลุมไหล่ที่เอเดรียนมอบให้เมื่อเช้านั้นพาดอยู่บนหลังม้าแทน ร่างโปร่งหันมาตามเสียงเรียกพร้อมกับโคลงหัวเป็นเชิงถาม "หมดเวลาฝึกของวันนี้แล้วหรือไง"

เอเดรียนจรดยิ้มที่มุมปาก แล้วจึงยกมือขึ้นลูบคอลูเซียช้าๆ "ใช่ แล้วเจ้าก็ควรไปอาบน้ำเสีย"

"ในที่สุด..." ร่างโปร่งยิ้มออกมาเล็กน้อย การพยายามใช้จิตบอกให้ม้าพยศทั้งที่มันไม่มีความกระด้างกระเดื่องเลยสักนิดทำให้เลสธีราห์รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าการวิ่งไล่ฝูงกระทิงทั้งวันเสียอีก แต่มันก็คงจะดีกว่าการสยบม้าพยศเอาง่ายๆ จนพวกมนุษย์ทั้งหลายตะลึงมองกระมัง

"แล้วเราก็มีเรื่องที่ต้องคุยกันด้วย" เอเดรียนกล่าวเสียงเรียบ

--------------------------------------------------

"มีการปะทะอีกแล้วรึไง"

เสียงกีบเท้าหนักๆ ที่เดินตรงเข้ามาหาตนทำให้รีดาห์ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นสนทนาด้วยนักเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าของประโยคนั้นคือใคร "พวกมนุษย์ไม่เข็ดหลาบ เจ้าเคยพูดเองนี่ ซาฮาล" ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นจากที่นั่งย่ออยู่กับพื้น และพบว่าตัวเองสูงเพียงเอวของคู่สนทนาเนื่องจากเขายังอยู่ในร่างของมนุษย์

การทำงานบนเรือจำเป็นต้องใช้ร่างมนุษย์มากกว่า เนื่องจากร่างกายของเซนทอร์ไม่สามารถเคลื่อนไหวบนเรือได้ดั่งใจนัก กีบเท้าของพวกเขาสวมเกือกซึ่งทำจากเหล็ก และเหล็กเหล่านั้นก็ไถลลื่นได้ง่ายบนพื้นไม้ที่ใช้ต่อเรือ อีกทั้งการปีนป่ายไปบนกราบเรือหรือขึ้นไปบนเสาเรือก็จำต้องใช้แขนขาในร่างมนุษย์ทั้งนั้น

"เสียหายมากขึ้นทุกที... พวกชาวประมงธรรมดาเริ่มพัฒนาวิธีต่อสู้กับกองเรือเซเลสต์แล้ว"

"เรือประมงมีความเร็วมากกว่าเรือรบ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะโจมตีพวกเจ้าได้" ซาฮาลมองรอยถลอกขนาดใหญ่บนกราบเรือ ไม้ระเบียงแถบหนึ่งถูกไฟไหม้หายไปและยังมีร่องรอยเสียหายอีกหลายแห่งบนลำเรือนี้ "ระเบิดมือ..."

"ต่อให้เลสธีราห์อยู่ พวกมันก็ขว้างระเบิดมือใส่พวกเราอยู่ดี"

รีดาห์ตัดบท เขาเบื่อหน่ายที่จะฟังคู่สนทนาบ่น ซาฮาลคอยแต่จะหาเรื่องต่อว่าในช่วงพักหลังๆ มานี้ รีดาห์ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ แต่นับตั้งแต่เลสธีราห์พยายามจะผลักดันตัวเองให้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ซาฮาลก็ยิ่งพยายามจะผลักตนเองตามไปด้วย ความสัมพันธ์แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งหรืออย่างไร

"แค่ธนูในมือเลสธีราห์ก็ทำให้พวกมนุษย์หวาดกลัวได้แล้ว" ร่างสูงตอบเสียงเรียบ "ไม่กล้าที่จะขว้างระเบิดมือใส่แบบนี้หรอก"

"เขาไปทำภารกิจตามคำสั่งของเหนือหัวดาเรียส เหตุใดเจ้าจึงขัดคอนัก หากคิดว่าตนทำได้ดีกว่า ใยจึงไม่ไปเรียนเหนือหัวเสียเองแล้วก็ออกไปเผชิญโลกของมนุษย์เลยเล่า" แววตาดุดันของซาฮาลตวัดกลับมามองคนพูดแทนคำสั่งให้อีกฝ่ายเงียบปาก ก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"ข้าเรียนท่านราชเลขาแล้ว เมื่อคืนนี้ดวงดาวมีการเคลื่อนไหว ข้าจึงไว้ใจไม่ได้"

รีดาห์ชะงักไปครู่หนึ่งที่ได้ยินดังนั้น "ดวงดาวรึ... ข้ามิทันได้สังเกต" ร่างโปร่งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน และเริ่มมองหาดาวที่พวกเขารู้จักคุ้ยเคย "นี่ไม่ใช่ลางดีสำหรับคนเพียงคนเดียว" รีดาห์ไม่สันทัดในด้านการดูดาว แต่เขาก็พอจะแยกลางดีและลางร้ายออกจากกันได้ "หรือแม้แต่สองคนก็ยังเป็นอันตราย"

"ข้าจึงเสนอให้ความช่วยเหลือเลสธีราห์โดยเร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะถูกกลืนไป"

ทว่ารีดาห์กลับส่ายหัว "เจ้าคิดว่าใครเหมาะสมกับหน้าที่นั้น ตัวเจ้าเองหรือ... เจ้าคิดว่าเลสธีราห์จะยินดีที่เจ้ายื่นมือเข้าช่วยหรือไร" ในฐานะสหาย รีดาห์รู้ดีว่าผู้บัญชาการของเขาไม่กินเส้นกับซาฮาลยิ่งกว่าใคร ต่อให้เป็นการยื่นมือเข้าช่วยด้วยความเป็นห่วงฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่เขาก็คิดว่าซาฮาลไม่เหมาะกับบทบาทนั้นอยู่ดี

"เจ้ารู้ว่าเลสธีราห์เป็นคนอย่างไร เขายินดีที่จะล้มเพียงลำพังดีกว่าให้เจ้ายื่นมือเข้าช่วย"

"เพราะความกระด้างกระเดื่องแบบนี้ล่ะ ที่ทำให้ข้าอยากปราบนัก" ผู้ชายอย่างซาฮาลไม่ใช่คนอ้อมค้อม และไม่ใช่คนช่างเลือกสรรคำพูดนัก ดังนั้นสิ่งที่ออกมาจากปากของเขาย่อมเป็นความจริงและแปลตรงความหมายทุกคำ

"เลสธีราห์เป็นผู้บัญชาการเซเลสต์..." รีดาห์พูดบ้าง "พูดจาให้เกียรติเขาด้วย ซาฮาล"

"เฮอะ ผู้บัญชาการเซเลสต์รึ ถ้าเจ้านั่นไม่มีราชเลขาคอยหนุนจะมีอันทำอะไรได้ ถ้าเจ้านั่นไม่ใช่บุตรชายของราชทูตแห่งเธสซาลีย์จะสามารถหลักลอยไปมา ทำงานไม่สำเร็จสักประการอย่างที่ทำทุกวันนี้ได้รึ" ซาฮาลหัวเราะขึ้นจมูก และมองตอบคู่สนทนาอย่างดูแคลน "ที่สามารถเชิดหน้าชูคอได้ทุกวันนี้มันเป็นเพราะความสามารถจริงๆหรือ รีดาห์"

คนที่ตัวเล็กกว่ามุ่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อสหายของตนถูกต่อว่า

"ในการแข่งขัน... เลสธีราห์เอาชนะทุกคนได้โดยไม่มีข้อกังขา เจ้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่แพ้เขา!"

ในการแข่งขันเพื่อค้นหาผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์ ผู้ที่เสนอตนเข้าร่วมจะต้องผ่านการทดสอบความสามารถ ซึ่งการทดสอบที่ยากที่สุดในครั้งนั้นคือการออกล่าวาฬ ผู้ที่สามารถล่าวาฬได้ในระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งเลสธีราห์สามารถเอาชนะผู้อื่นได้ด้วยสถิติการออกเรือเพียงสองสัปดาห์ ในขณะที่ซาฮาลซึ่งได้อันดับรองลงมาใช้เวลาถึงหกสัปดาห์

 ซาฮาลไม่เถียงว่าหรือแก้ตัว ด้วยยอมรับว่าตนแพ้ความสามารถในด้านนี้ของเลสธีราห์จริงๆ

เพราะการล่าวาฬหมายถึงความสามารถในการเดินเรือ การอ่านทิศทางของน้ำและลม ความชำนาญในแผนที่ทางทะเล และการเข้าใจถึงธรรมชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความสามารถที่จำเป็นของผู้บัญชาการเรือรบที่อาจจะต้องประคองชีวิตลูกเรือจำนวนมากเอาไว้เมื่ออยู่กลางทะเล แต่นี่ก็อาจเป็นเหตุผลหลักที่ซาฮาลไม่ใคร่จะพอใจ เนื่องจากบิดาของเลสธีราห์นั้นได้ชื่อว่าเป็นกัปตันเรือที่มีความชำนาญพิเศษในด้านนี้ อีกทั้งยังมีงานอดิเรกเป็นการสำรวจทะเลอีกด้วย เลสธีราห์จึงได้พรสวรรค์การเดินเรือมาจากบิดาทั้งหมดก็ว่าได้ แม้ว่าพ่อลูกคู่นี้จะไม่ได้พบหน้ากันมาร่วมยี่สิบปีแล้วก็ตาม

"เจ้ายังจะบอกว่าเขาไม่มีความสามารถอีกรึ" รีดาห์เป็นฝ่ายรุกบ้าง หลังจากทนฟังคู่สนทนามานาน

ซาฮาลสูดหายใจเข้าครั้งหนึ่งเหมือนต้องการปรามให้ตนเองอารมณ์เย็นลง "หน้าที่ของผู้บัญชาการเซเลสต์คือการปกป้องน่านน้ำไม่ให้ถูกรุกราน เลสธีราห์ผ่านการทดสอบโดยเอาชนะข้าซึ่งปรารถนาในตำแหน่งนี้มาตลอด แต่กลับละเลยหน้าที่ ออกไปวิ่งเล่นทำทุกอย่างตามใจตนเองแบบนี้ เจ้าคิดว่าข้าควรจะยินดีหรืออย่างไร!"

"แท้จริงแล้วเจ้าก็ต้องการตำแหน่งของเขา..."

"ข้าเคยต้องการครอบครองตำแหน่งของเขา" ซาฮาลเหยียดยิ้มก่อนจะยอมรับ "แต่ตอนนี้ข้าอยากมีอำนาจเหนือเขาเสียมากกว่า" ร่างสูงตัดสินใจจบบทสนทนาด้วยการหันหลังกลับและเดินหนี เพราะเกรงว่าหากมีปากเสียงมากกว่านี้ เขากับรีดาห์อาจมีกรณีลงไม้ลงมือบ้างเป็นแน่

...ต่อให้อีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าอย่างไรก็แพ้ก็ตาม

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 6.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-10-2016 07:23:02
ตอนที่ 6.2

เลสธีราห์กลับมาที่ห้องพักกลับมาหลังจากลงไปอาบน้ำที่ห้องด้านล่าง และเนื่องจากเสื้อผ้าเพียงชิ้นเดียวที่เขามีก็คือกระโปรงหนังสีดำ เซนทอร์หนุ่มก็จำต้องยอมสวมชุดคลุมนอนสีขาวที่หญิงรับใช้นำมาให้แต่โดยดีหลังจากถอดชุดเดิมออกเพื่ออาบน้ำชำระล้างคราบเหงื่อไคล และด้วยความที่แทบจะไม่เคยใส่เสื้อแบบนี้มาก่อนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายตัวเองเสียเลย

"ใส่ชุดแบบนั้นแล้วเจ้าดูแปลกจริงๆด้วย"

เอเดรียนนั่งรอสนทนาอยู่ที่โซฟาหน้าโต๊ะน้ำชาในห้องพักของเขา โดยมีห่ออะไรบางอย่างห่อหนึ่งวางอยู่บนหน้าตัก แม่ทัพแห่งอาเดรียรินน้ำชาให้ก่อนจะผายมือไปยังเก้าอี้ตรงข้ามที่ซึ่งเลสธีราห์วางคันธนูและกระบอกใส่ลูกดอกเอาไว้

เลสธีราห์ลอบกลั้นใจเมื่อรู้สึกได้ว่าตัวเองสะเพร่าเกินไปที่วางอาวุธคู่ใจเอาไว้แบบนั้น

แต่เขาก็จำได้ว่ามันยังอยู่ที่เดิม ซึ่งแปลว่าเอเดรียนไม่ได้แตะต้องมันแม้แต่น้อย "ข้าคิดว่าเจ้าจะให้ไปพบที่ห้องเจ้าเสียอีก" เซนทอร์หนุ่มนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่าย และวางคันธนูไว้บนหน้าตัก "มีเรื่องอะไรล่ะ ท่านขุนนาง... มาอธิบายส่วนงานหน้าที่ของข้าเหรอ" เลสธีราห์พยายามพูดติดตลก เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ และรักษาภาพลักษณ์เด็กหนุ่มไม่รู้กาละเทศะเอาไว้ โดยเขาคิดว่ามันเป็นรูปลักษณ์ที่ทำให้เอเดรียนรู้สึกวางใจ และสบายใจที่สุด

...แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคิดเอาเองทั้งนั้น

เอเดรียนเหลือบมองคันธนูที่ทำจากไม้เนื้อดีของอีกฝ่าย มันเป็นงานศิลปะแกะสลักที่สวยงามหาได้ยาก และโดยไม่ต้องหยิบขึ้นมาพิจารณา เขาก็รู้ว่านั่นเป็นธนูที่ทำขึ้นโดยช่างฝีมือชาวเอลฟ์ แม่ทัพหนุ่มลอบถอนใจกับตัวเองเบาๆด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ว่าเวทนาหรือขบขันกับคนตรงหน้าที่ดูพยายามปกปิดตัวตนทว่าไม่มีสิ่งใดแนบเนียนเอาเสียเลย

"ข้าพูดไว้แล้วว่าข้าไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะเป็นมิตรหรือศัตรูที่แฝงตัวมา..."

แม้เอเดรียนจะยิ้มจาง และเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากสำหรับแม่ทัพคนหนึ่ง แต่ใครบ้างเล่าจะรู้สึกผ่อนคลายกับประโยคเปิดบทสนทนาแบบนั้น เลสธีราห์เกร็งขึ้นมาในทันทีและเหมือนว่าเขาจะลืมวิธีหายใจไปแล้วด้วยซ้ำหลังจากได้ยินคำนั้น "ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เลสธีราห์... แต่ช่วยตอบข้าทีว่าเจ้าเป็นใคร"

คนฟังได้แต่นิ่งตะลึง กิริยานั้นเองที่ยิ่งย้ำให้เอเดรียนมั่นใจว่าเขาพูดถูก...

"ข้า..."

"ชื่อของเจ้าเป็นภาษาเอลฟ์ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะใช้ชื่อเอลฟ์ ถ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกันจริงๆ กระทั่งภูตที่มีเชื้อสายเอลฟ์ชั้นสูงอย่างแม่ทัพของไอย์ชวลก็ยังชื่อ 'วิกโทเรียส' ข้าจึงไม่คิดว่าเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา" เอเดรียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ "และอีกประการหนึ่ง..."

"...ลูเซียไม่ใช่ม้าพยศ เลสธีราห์"

นัยน์ตาสีฟ้าครามเบิกขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น และโดยที่ลืมวิธีการวางตัวไปจนหมดสิ้น เลสธีราห์ก็ได้แต่อ้าปากค้างอย่างเถียงไม่ขึ้น เอเดรียนแค่ให้เขาทำความรู้จักม้า และยืนมองอยู่ห่างๆเท่านั้น เพียงแค่นั้นอีกฝ่ายก็สามารถบอกได้แล้วว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป "จริงอยู่ว่าลูเซียเป็นม้าที่เอาใจยาก แต่ก็ไม่ได้ยากไปกว่าอัลธอร์... แต่เพราะเจ้าสื่อสารกับมันได้ จึงบอกให้มันแสดงท่าทางหงุดหงิดแบบนั้น เพื่อไม่ให้ข้าสงสัยใช่ไหม"

"ข้า..."

หัวใจของคนฟังแทบจะตกลงไปที่ข้อเท้า มือเรียวที่กำรอบคันธนูอยู่ขยับกำแน่นเข้าด้วยความตึงเครียด ถ้าหากเอเดรียนรู้ว่าเขาเป็นใครขึ้นมา หากรู้แอสทารอธรู้ว่าเขาพลาดท่าเพราะความอ่อนหัดแบบนี้ ไม่ยิ่งขายหน้าไปกันใหญ่หรือไร

แล้วเขาควรจะทำอย่างไรเพื่อปกปิดความลับนั้นเอาไว้เล่า...

"ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะเป็นศัตรูหรือไม่" เอเดรียนย้ำเสียงเรียบ "แค่บอกข้ามาตรงๆ ว่าเจ้าเป็นใคร" ดวงตาของฝ่ายนั้นจับจ้องคู่สนทนา แม้จะไม่ได้คาดคั้น แต่ก็ไม่ได้ผ่อนปรน "ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าเรื่องเซนทอร์ แล้วเจ้าต้องการอะไรถึงได้พยายามเข้าใกล้ข้าล่ะ เลสธีราห์"

คนฟังสัมผัสได้ถึงนัยยะบางอย่างที่อยู่ในการกระทำของเอเดรียน และเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น เซนทอร์หนุ่มก็พบคำตอบ "เจ้าไปรอข้าทุกวันที่สระน้ำนั่น แต่เจ้าก็ไม่ได้ไว้ใจข้า ไม่เคยคิดว่าข้าเป็นคนธรรมดาเลยสักครั้ง" คิ้วเรียวขมวดเข้าเล็กน้อยก่อนที่สายตาจะเคลื่อนขึ้นมองแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรีย "แต่ที่เจ้าชวนข้าเข้ามาที่ราห์โมนาก็เพื่อจะให้ข้าอยู่ในสายตา ถ้าเป็นสายสืบขึ้นมาก็ไม่สามารถกลับอาณาจักรไปรายงานใครต่อใครได้อย่างนั้นรึ"

เอเดรียนไม่ให้คำตอบ เขาแค่ยกถ้วยช้าขึ้นจิบช้าๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น "เลสธีราห์..."

เป็นครั้งแรกที่เซนทอร์หนุ่มคิดว่าผู้ชายตรงหน้าช่างมีความคิดที่แยบยล และในความฉลาดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มกำลังท้าทายให้เขาเปิดเผยความจริง "เจ้าพูดว่าต้องการความช่วยเหลือ... และข้าอาจเป็นคนเดียวที่ช่วยเจ้าได้" นัยน์ตาสีฟ้าเคลื่อนขึ้นมองคู่สนทนา และมองนิ่งอยู่เช่นนั้นสักพักใหญ่ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลงเรื่อยๆ "ไม่เคยมีใครอ้อนวอนข้าแบบนั้นมาก่อน"

เอเดรียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถเป็นการเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ

เซนทอร์หนุ่มกลั้นใจ ต่อให้อีกฝ่ายจะใช้วิธีแบบไหนในการกดดันเขา แต่เอเดรียนจะต้องไม่รู้ว่าเขาคือใคร เขาจะต้องเก็บรักษาความลับของเซนทอร์เอาไว้ให้ได้นานที่สุด "ข้าเป็นชนชั้นสอง... เอเดรียน" ร่างโปร่งพูดต่อ และนั่นคือความจริงเขาที่เขาไม่ได้บิดเบือน "ข้าไม่ใช่มนุษย์ก็จริง แต่ก็ไม่ถูกนับเป็นอมนุษย์ ข้าไม่เคยมีที่ยืนในสังคมของข้า" เลสธีราห์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดประโยคต่อไป "การที่จู่ๆ มีขุนนางคนหนึ่งมาพูดแบบนี้ด้วย เจ้าคิดว่าตัวเองจะปฏิเสธได้รึ"

แม้ว่านั่นจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเมื่อครู่นี้ แต่เลสธีราห์ก็คิดว่าเขาอาจจะรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้างก็เป็นได้ เพราะในตอนที่เลสธีราห์ตอบตกลง เขารู้เพียงแค่ว่าเอเดรียนเป็นขุนนาง และเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายเป็นขุนนางธรรมดาเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าจะเอเดรียนผู้นั้นจะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของอาเดรีย

หากเขาเป็นคนธรรมดาจริงๆ... การถูกขุนนางชักชวนแบบนั้นย่อมไม่มีใครปฏิเสธได้อยู่แล้ว

"ถ้าเป็นอย่างนั้น... ข้าคิดว่าข้าคงจะเข้าใจเจ้าบ้างแล้วกระมัง" เอเดรียนยิ้มอีกครั้ง "หากมันเป็นอดีตที่ไม่น่าจดจำ ข้าก็จะไม่เซ้าซี้ก็แล้วกัน เลสธีราห์" อีกฝ่ายถอนใจออกมาเบาๆ และนั่นก็ทำให้คู่สนทนาผ่อนคลายลงไปด้วย "แล้วเจ้าสัญญาลูกผู้ชายได้รึเปล่า ว่าที่พูดมานั่นเป็นความจริง"

 เซนทอร์หนุ่มกระพริบตาถี่ก่อนจะอ้าปากค้าง เนื่องด้วยไม่เข้าใจคำว่า 'สัญญาลูกผู้ชาย'

...ในหมู่เซนทอร์ไม่มีคำนี้

เอเดรียนยื่นกำปั้นมาหาร่างโปร่ง "สัญญาที่ห้ามกลับคำน่ะ"

"..." ร่างโปร่งมองหมัดของคู่สนทนาครู่หนึ่งก่อนจะกำมือและยื่นไปชนด้วย "ด้วยเกียรติของอัศวิน"

แม่ทัพหัวเราะชอบใจกับวลีนั้น ก่อนจะพูดต่อบ้าง "เอาเถอะ ข้าคงทำให้เจ้าตกใจ และบังอาจหักหาญน้ำใจของเจ้าด้วย ข้าต้องขอโทษด้วยเกียรติของข้า" ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มหัวช้าๆด้วยท่าทางที่ไม่ได้เสแสร้งจนเลสธีราห์ต้องลุกขึ้นเพื่อค้อมหัวลงด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน

"จ... เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก..."

เอเดรียนนั่งลงตามเดิมและผายมือให้คู่สนทนานั่งลงด้วย "แต่เจ้าก็มีไหวพริบพอตัว" ร่างสูงว่า "ที่รู้ว่าข้าพาเจ้ามาที่นี่ เพื่อหากว่าเจ้าเป็นสายสืบจากบ้านเมืองไหน เจ้าก็จะกลับไปรายงานความคืบหน้าไม่ได้ และจะอยู่ในสายตาของข้าตลอดเวลา" นัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่ายมองคู่สนทนาอีกครั้ง "ข้าต้องการแค่ข้อมูลที่เจ้ามีเกี่ยวกับพวกเซนทอร์ หากเจ้าเป็นศัตรูขึ้นมาจริงๆ ข้าก็อาจจะปล่อยเจ้าไปหลังจากนี้ และคงไม่ข้องแวะด้วยอีก"

เลสธีราห์เผลอกลั้นใจอีกครั้ง และพยายามหลบสายตาเรียบเฉยของอีกฝ่าย

"แต่ในเมื่อเจ้าไม่ใช่... ข้าก็ขอโทษที่บังอาจสงสัยในตัวเจ้า" เอเดรียนหันไปสนใจห่อผ้าที่อยู่บนหน้าตักของตัวเองครู่นหึ่งก่อนจะพูดต่อ "อมนุษย์ไม่เคยโกหก ดังนั้นข้าจะเชื่อเจ้า เลสธีราห์..." ทั้งที่มันไม่ใช่คำพูดที่มีความหมายอะไร ทว่าเซนทอร์หนุ่มกลับรู้สึกจุกขึ้นมาราวกับถูกทุบเข้าที่กลางอก สิ่งที่เอเดรียนพูดนั้นคือความจริงที่ว่า อมนุษย์ไม่เคยโกหก ไม่เหมือนพวกมนุษย์ที่ปลิ้นปล้อนกลับคำได้เสมอ

แล้วเขาได้โกหกเอเดรียนหรือเปล่า เขาประพฤติตนสมเป็นอมนุษย์ที่ควรได้รับเกียรติหรือเปล่า

"ข้าเป็นเอลฟ์แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น" ร่างโปร่งพึมพำ เบือนหน้าหนีเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

"หากเจ้าไม่เคยได้รับการยอมรับในฐานะอมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นข้าจะเป็นคนหนึ่งที่ยอมรับเจ้าดีหรือไม่" เอเดรียนว่า "หากมันทำให้เจ้ารู้สึกดีได้..." คนฟังรู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะคำพูดของเอเดรียนทำให้เขารู้สึกตื้นตันและรู้สึกผิดไปพร้อมๆกัน ไม่เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน เลสธีราห์เป็นครึ่งเอลฟ์ และเซนทอร์บางกลุ่มก็ไม่ยอมรับเขาในฐานะอัศวินเซนทอร์ แต่กระทั่งมารดาของเขาก็ไม่เคยปลอบโยนด้วยคำพูดแบบนี้ พวกคนครึ่งม้ามีหัวใจแข็งแกร่งเกินกว่าจะหวั่นไหวกับเรื่องเล็ก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาคิดหาวิธีพิสูจน์ความสามารถของตนเองเสียมากกว่าจะมานั่งปลอบใจซึ่งกันและกัน แต่เลสธีราห์ก็ยอมรับว่าการมีใครสักคนพูดเช่นนี้ด้วยทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่เซนทอร์ก็ตาม

เอเดรียนมองสีหน้าที่ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัดของอีกฝ่าย และโดยไม่เซ้าซี้ต่อ แม่ทัพหนุ่มก็เปิดห่อผ้าที่อยู่บนตักออก เพื่อให้คู่สนทนาเห็นห่อลูกดอกจำนวนมากซึ่งมีขนาดความยาวพอเหมาะกับคันธนูของเจ้าตัวพอดิบพอดี "ข้าเห็นว่าลูกธนูของเจ้าเหลือไม่มาก ก็เลยนำมาให้..."

"ไม่ต้องเป็นห่วงข้า" ...ขนาดนั้น

ทั้งที่ประโยคเมื่อครู่นี้ยังติดหู เจ้ามนุษย์ตรงหน้านี้ก็ทำให้เขารู้สึกตื้นตันขึ้นมาอีกแล้ว

"ข้าเรียกว่าน้ำใจต่างหาก"

เลสธีราห์ย่นจมูกเล็กน้อยก่อนจะหมุนกระบอกใส่ลูกดอกของตนแล้วหยิบเอามีดพกที่เหน็บอยู่ขึ้นมาส่งให้เอเดรียน "เช่นนั้นข้าก็ให้เจ้า ข้าก็เห็นว่าเจ้าไม่มีมีดยาวเกินศอกเลยสักเล่ม" ความเงียบเกิดขึ้นสักพักระหว่างการแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้คาดฝัน เลสธีราห์รับห่อลูกดอกเหล่านั้นมาจากเอเดรียน ในขณะที่เอเดรียนก็รับมีดยาวที่อีกฝ่ายส่งให้มาพิจารณา

"นี่เจ้าเป็นห่วงข้ารึ..."

"ข้าเรียกว่าน้ำใจ!" เซนทอร์ไม่มีวันรับสินบน ...อย่าหวังว่าจะซื้อใจข้าหน่อยเลย มนุษย์!

--------------------------------------------------

ดูเหมือนว่าเอเดรียนจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับจาเร็ตต์ในเรื่องของเลสธีราห์แล้ว ในวันต่อมา เซนทอร์หนุ่มจึงไม่เห็นท่าทางแข็งกร้าวของจาเร็ตต์อีก แต่เขารู้ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็คงจะไม่ไว้ใจเขาง่ายๆเป็นแน่ กระทั่งตัวเดรียนเอง เลสธีราห์ก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าอีกฝ่ายไว้ใจเขามากแค่ไหน เพราะจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เซนทอร์หนุ่มก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายแทบจะไม่เชื่อในตัวเขาเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมา

...ทำไมการอ่านใจผู้อื่นจึงได้ยากเย็นนักหนอ

เสื้อผ้าของมนุษย์ทำให้เขารู้สึกระคายเคืองอกอยู่บ้าง เนื่องจากเลสธีราห์แทบจะไม่เคยสวมเสื้อเลย แต่เนื้อผ้านิ่มๆที่สัมผัสท่อนขาก็ให้ความรู้สึกดีกว่าชุดหนังอย่างประหลาด แต่ก็มันก็เบาสบายเสียจนทำให้ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนไม่ได้สวมอะไรมากกว่า เขาจึงเดินไปมาด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

"เซนทอร์มีการแบ่งระดับชั้นของอาคันตุกะจากอาหารที่จัดเลี้ยงในงานต้อนรับ ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกเรียกว่า การเจรจาไร้เสียง" เซนทอร์หนุ่มอธิบาย แล้วจะตักซุปผักรวมใส่ปากตัวเองคำหนึ่ง แม้ว่ามันจะรสชาติไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยก็ตาม แต่หากเขายังสนใจผักแต่งจานอยู่เช่นเมื่อวาน เอเดรียนอาจจะสงสัยบางอย่างในตัวเขาขึ้นมาอีกก็เป็นได้ "แน่นอนว่าอาคันตุกะที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดคือผู้มาเยือนจากแผ่นดินตะวันออกอย่างเธสซาลีย์ แอสทารอธจะออกเรือล่าวาฬและนำเนื้อวาฬซึ่งเป็นสิ่งหายากมาปรุงเป็นอาหารจัดเลี้ยงแก่คณะทูตจากเธสซาลีย์"

"เช่นนั้นการจัดอาหารเลี้ยงก็เหมือนเป็นการบอกสถานะของอาคันตุกะว่าแอสทารอธมีท่าทีกับการเจรจาอย่างไรสินะ" เอเดรียนพึมพำ "แล้วปกติแอสทารอธใช้อาหารแบบไหนจัดเลี้ยงบ้าง ข้าได้ยินว่าพวกเขาติดต่อกับเมืองอื่นบ้างประปราย"

"เซนทอร์เป็นมังสวิรัติ... อย่างแย่ที่สุด เมืองที่พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญก็คงจะเลี้ยงเพียงแค่พวกพืชผัก แต่อาหารสำหรับเมืองอื่นเป็นเช่นไร ข้อนี้ข้าไม่รู้" ร่างโปร่งตอบเสียงเรียบ แม้ว่าเอเดรียนจะอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเซนทอร์ ทว่าเลสธีราห์ก็คงจะเผยทั้งหมดไปไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเขาจะกลายเป็นคนน่าสงสัยที่สุดแน่นอน

แอสทารอธนับว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างเก็บตัวและลึกลับ...

ดังนั้น 'คนนอก' อย่างเขาจึงไม่ควรรู้มากเกินไป

"เรื่องที่น่าห่วงที่สุดในตอนนี้อาจไม่ใช่เรื่องอาหารบนโต๊ะก็ได้ เอเดรียน" โจฮาลล์ว่า "เราไม่เคยติดต่อกับแอสทารอธมาก่อน อย่าไปคาดหวังว่าเขาจะต้อนรับเราอย่างดีเลย ข้าคิดว่าเราควรเตรียมข้อเสนอดีๆไปยื่นให้พวกเขาจะดีกว่า" อาเดรียต้องการความร่วมมือจากแอสทารอธ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนำข้อเสนอไปยื่นเจรจา และข้อเสนอนี้เองที่จะตัดสินว่าพวกเขาจะได้รับผลอย่างไรในการเจรจาไร้เสียงของแอสทารอธ

"ข้าพอจะมีประเด็นอยู่บ้างแล้ว และมอบหมายให้จาเร็ตต์หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุน"

เลสธีราห์รู้ดีว่าเขาไม่ควรถามเอเดรียนว่าอีกฝ่ายมีความคิดอะไร ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดก็ตาม ดังนั้นร่างโปร่งจึงได้แต่ฟังเงียบๆและทำทีเป็นไม่สนใจเรื่องของอาเดรีย "ถ้าเจ้าจะไปเยือนแอสทารอธ... กฎข้อแรกก็คือพวกเจ้าห้ามขี่ม้าเข้าไปในเมือง" เลสธีราห์เอ่ยขึ้น "พวกเซนทอร์นับตัวเองเป็นม้าชั้นสูง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นพวกม้าถูกปฏิบัติด้วยอย่างทารุณ เช่นการขึ้นขี่หลังของพวกมัน หรือใช้พวกมันเทียมรถลาก"

"หา..." โจฮาลล์อ้าปากค้าง เช่นเดียวกับเอเดรียนี่เลิกคิ้วขึ้นสูง

"พวกเจ้าไม่รู้รึ..." ร่างโปร่งกระพริบตางุนงง "นั่นจะทำให้พวกเขาโกรธมากเลยนะ"

"ข้ารู้ว่าพวกเซนทอร์ไม่ชอบที่พวกเราขี่ม้า แต่ไม่ว่าเผ่าใดก็ทำแบบนั้นทั้งนั้น ม้าแข็งแกร่งกว่าวัว และไม่เลี้ยงยุ่งยากเท่าพวกช้าง แล้วพวกเซนทอร์ลากรถเลื่อนกันอย่างไรโดยไม่ใช่ม้า พวกเขาคงไม่เทียมตัวเองเข้าไปลากหรอกกระมัง"

"ใช้..." เซนทอร์หนุ่มหยุดตัวเองเอาไว้ก่อนจะหลุดปาก พวกเซนทอร์ที่มีสิทธิ์นั่งรถลากนั้นต้องเป็นเซนทอร์ระดับสูง และรถลากที่ว่าก็เทียมด้วยกระทิงป่า ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่แอสทารอธภาคภูมิใจเป็นพิเศษว่าพวกเขาสามารถฝึกกระทิงป่าที่ดุร้ายให้เชื่องได้ "ข้าไม่เคยเห็นรถลากของพวกเขา"

"แค่นี้เจ้าก็ดูจะเชี่ยวชาญเกินกว่าจะเป็นพรานป่าธรรมดาแล้ว เลสธีราห์"

โจฮาลล์หัวเราะร่วน โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นทำให้คนฟังต้องเหลือบตาไปมองเอเดรียนอย่างไม่แน่ใจ แต่แม่ทัพใหญ่ก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มจางให้เท่านั้น รอยยิ้มของอีกฝ่ายนี่เองที่ทำให้เลสธีราห์ไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วเอเดรียนคิดอย่างไรกับเขา อีกฝ่ายไว้ใจเพราะคำพูดของเขาแค่นั้นจริงๆหรือ รึว่าอีกฝ่ายยังมีแผนการจะพิสูจน์ตัวตนของเขาอีกกันหนอ

"แล้ววันนี้ข้าต้องไปฝึกกับลูเซียอีกหรือเปล่า" เลสธีราห์ถาม

เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัว "วันนี้พวกเราคงได้แต่นั่งหารือ เพราะคนงานกำลังเตรียมตัวทั้งข้าวของและเสบียงอาหารจนวุ่นวายไปหมดทั้งลานฝึก ...และเราจะไปแอสทารอธในวันพรุ่งนี้" คราวนี้เลสธีราห์เป็นฝ่ายอ้าปากค้างบ้าง และหันไปมองสองพี่น้องผมแดงที่นั่งตรงข้ามเขาราวกับต้องการคนร่วมตกใจด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะตกใจมาก่อนหน้านี้แล้ว พวกเขาจึงพยักหน้าและอยู่ในอาการสงบนิ่ง

"หลังจากนี้..." เอเดรียนหยิบองุ่นลูกหนึ่งเข้าปาก "ข้าคงต้องฝากคณะเดินทางของข้าไว้กับเจ้าแล้ว"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 6 [28-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: igaga ที่ 29-10-2016 00:08:22
เอาอีกๆๆๆๆๆ
เรื่องนี้สนุกอะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 29-10-2016 08:08:39
ตอนที่ 7.1

"หากข้ามธารน้ำนี้ไปทางเหนือก็จะเป็นดินแดนของเซนทอร์"

เลสธีราห์หยิบกิ่งไม้เล็กๆที่ร่วงอยู่ใกล้มือขึ้นมาเขียนเป็นแผนที่คร่าวๆให้คู่สนทนาดู "เราอยู่ที่ริมธารน้ำที่ไหลแยกออกมาจากแม่น้ำไอเรนา และจะไหลไปรวมกับธารน้ำสายอื่นๆที่ไหลลงมาจากภูเขาจนกลายเป็นแม่น้ำธีนาที่แบ่งกั้นเขตแดนของแอสทารอธและอาเดรียอย่างชัดเจน และไหลลงสู่ทะเลในที่สุด" เอเดรียนพยักหน้าเบาๆอย่างเห็นด้วย ขณะพยายามนึกภาพตามที่อีกฝ่ายบอก นี่เป็นสัปดาห์ที่สามแล้ว ที่เอเดรียนปลีกตัวออกมาจากอาณาจักรในทุกวันเพื่อมาสนทนากับพรานหนุ่มแปลกหน้า หลังจากพบว่าพวกเขาทั้งคู่มีความสนใจคล้ายคลึงกันจนเรียกได้ว่าคุยกันถูกคอ

เอเดรียนหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาอีกอันหนึ่งก่อนจะวาดเพิ่มลงบนดินทรายตรงหน้าบ้าง "ข้ารู้มาว่ามีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใกล้กับเทือกเขาตะวันตกนี่ อยู่ระหว่างเมืองเลาน์เรนกับเมืองท่ามารินาของแอสทารอธ พวกพรานป่าลือกันว่าเป็นที่หากินของฝูงกวางฝูงใหญ่หลายฝูง" ชายหนุ่มว่า "เจ้าเคยเข้าไปล่าสัตว์ที่นั่นหรือไม่"

เลสธีราห์รู้จักทุ่งหญ้าแห่งนั้นดี แต่เขาคิดว่าตนไม่ควรจะรู้อะไรมากไปจนน่าสงสัยจะดีกว่า

"ข้าอาจจะอยากรู้อยากเห็น แต่ข้าก็ไม่อยากไปโผล่ในคุกของพวกเซนทอร์หรอกนะ"

ขุนนางหนุ่มหัวเราะร่วนก่อนจะออกปากชวน "หากไม่เข้าไปใกล้เมืองหลวงมากจนเกินควร ข้าคิดว่ามันคงไม่เสียหายอะไร เอาไว้เมื่อข้าออกไปล่าสัตว์ที่นั่น จะพาเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน" แม้จะเพิ่งพบกันได้ไม่นาน แต่เอเดรียนกลับรู้สึกถูกชะตาอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะคนอื่นรอบตัวเอเดรียนไม่มีใครมีชีวิตอิสระแบบเลสธีราห์เลยก็เป็นได้

เขาจึงรู้สึกอิจฉาชีวิตของพรานหนุ่มผู้นี้... และอยากใช้ชีวิตแบบนั้นบ้างสักครั้งหนึ่ง

"จะพาข้าไปติดคุกเซนทอร์กับเจ้าหรือไร" เลสธีราห์หัวเราะ "ได้ยินมาว่าพวกครึ่งม้านั่นเข้มงวดอยู่ในระเบียบยิ่งกว่าอะไร หากมีเรื่องกับพวกเขา ข้าไม่คิดว่ามันจะจบง่ายๆ หรอกนะ" ร่างโปร่งยิ้มเล่นหัว "แล้ววันๆ เจ้าเอาแต่ล่าสัตว์หรือไร งานการไม่ต้องทำรึ"

เอเดรียนยิ้มตอบ แม้ว่าการพูดคุยกับเลสธีราห์จะทำให้เขาสบายใจและลืมเรื่องวุ่นวายทั้งหมดทั้งปวงได้ แต่อย่างไรเอเดรียนก็คิดว่าเขาควรจะระวังตัวไว้ก่อน ชายหนุ่มจึงเลือกให้คำตอบทางอ้อม "ข้าอาจจะเป็นขุนนางที่ดูแลเรื่องการล่าสัตว์ก็ได้" ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองม้าคู่ใจของตนที่ตั้งท่าจะย่ำลงไปในธารน้ำ ก่อนจะกลับมามองคู่สนทนา

"ตกลงจะไปล่าสัตว์กับข้าหรือไม่"

เลสธีราห์ยิ้มตอบ ก่อนจะส่ายหัวเบาๆเมื่อพบว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธได้ "นัดวันมาได้เลย"

เขาไม่ขัดข้องกับการมีสหายเป็นมนุษย์ อาจจะเพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าพวกมนุษย์มีเคล็ดลับอะไรในการล่าสัตว์บ้างซึ่งมันคงจะมีประโยชน์กับเซนทอร์ผู้ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ไม่มากก็น้อย แม้ว่าเลสธีราห์จะรู้ดีว่าในตอนนี้ กวางฝูงใหญ่ที่เอเดรียนพูดถึงนั้นแทบจะไม่เหลือแล้วก็ตาม

"อา... นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าควรจะกลับเข้าตัวเมืองสักที"

คนตรงหน้าค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วจึงเดินลุยลงไปในธารน้ำเพื่อดึงม้าคู่ใจของตนขึ้นมา เลสธีราห์มองการปฎิบัตินั้นด้วยความคลางแคลงสงสัย เพราะแม้อัลธอร์จะไม่ขัดขืน แต่เขาก็อ่านใจม้าสีน้ำตาลตัวนั้นออกว่ามันยังไม่อยากกลับ "เจ้าควรจะปล่อยอัลธอร์ไปเล่นแม่น้ำบ้าง มันชอบน้ำเย็นๆ"

เอเดรียนเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงตบแผงคอของมันเบาๆ "ครั้งหน้า ข้าจะปลดอานออกแล้วก็แล้วกัน" ม้าศึกขยับหูตั้งขึ้นเล็กน้อยด้วยความยินดี แล้วจึงใช้สันจมูกหนาๆของตัวเองดุนดันเจ้านายแทนคำขอบคุณ "อา ไม่ต้องอ้อนแล้ว รีบกลับเถอะ" เอเดรียนยิ้ม "พรุ่งนี้พบกันใหม่แล้วกันนะ เลส"

"เจ้าสนิทสนมกับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่จึงเรียกชื่อข้าสั้นๆแบบนั้น!"

 เอเดรียนยิ้มขัน "...หากไม่สนิทก็สนิทเสียสิ"


--------------------------------------------------

จนถึงวันนี้ เลสธีราห์ก็ไม่ได้ออกไปล่าสัตว์กับเอเดรียนในทุ่งหญ้าที่อีกฝ่ายพูดถึงเลย นั่นเป็นเพราะว่าวันที่เอเดรียนมาชักชวนเขา เลสธีราห์ได้ออกเรือไปล่าวาฬที่กลางทะเลแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสร่วมทางไปด้วย แต่เซนทอร์หนุ่มก็ไม่เคยคิดเลยว่า ตัวเองจะต้องร่วมทางกับอีกฝ่ายในการกลับมายังเมืองหลวงเลาน์เรนแห่งอาณาจักรแอสทารอธนี้

เมืองหลวงที่เรียกได้ว่าเงียบเหงาที่สุดที่พวกเขาเคยพบ

คณะเดินทางก้าวลงจากหลังม้าและปลดเครื่องพันธนาการออกเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโกลน เหล็กปาก สนับขา เหลือไว้เพียงผ้ารองอาน กระเป๋าหนังข้างตัว และเชือกจูงที่ดึงพวกมันไว้ไม่ให้หนีเตลิดหากเกิดอะไรขึ้น เพราะแม้ว่าเซนทอร์จะไม่พอใจที่เห็นม้าถูกใช้งาน แต่พวกเขาก็พยายามทำความเข้าใจว่าไม่มีอาณาจักรใดนำกระทิงมาฝึกจนเชื่องได้อย่างที่เซนทอร์ทำ ดังนั้นจึงต้องนำม้ามาใช้งาน

เนื่องจากแอสทารอธตอบตกลงเจรจากับอาเดรีย พวกเขาจึงส่งเฟลิเซีย เซนทอร์หญิงคนสนิทของราชเลขาลีอาห์มาต้อนรับคณะเดินทาง และด้วยความที่นางเป็นถึงคนสนิทของมารดา จึงเป็นไปไม่ได้ที่เลสธีราห์จะไม่รู้จัก "ข้ามีนามว่า เฟลิเซีย จะเป็นผู้ดูแลเรื่องอาหารการกินและที่พักให้กับท่านคณะทูต" หญิงสาวถอยเท้าไปด้านหลังเพื่อย่อตัวลงพอประมาณตามมารยาทการทักทายของเซนทอร์ โดยไม่ก้มหัวให้คู่สนทนา ดวงตาสุกใสกลมโตของนางตวัดขึ้นมองสบกับดวงตาของเลสธีราห์ และนางก็รู้ในทันทีดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการสบตาหรือแสดงท่าทีว่ารู้จักมักคุ้นกัน

"ท่านราชเลขารอพวกท่านอยู่"

แม้ว่าเฟลิเซียจะเป็นเซนทอร์หญิงร่างบาง แต่อย่างไรเซนทอร์ก็สูงมากกว่ามนุษย์อยู่มาก ทุกคนจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านหน้าด้วยความแปลกใจปนตกตะลึง "ข้าจะนำทางพวกท่านไปถึงโถงกลาง ส่วนม้าและสัมภาระทั้งหมดจะถูกส่งไปยังที่พัก" นางผายมือไปยังเซนทอร์หนุ่มอีกสองตนที่ตรงเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาทักทายและทำความรู้จักกับม้าด้วยการสบตาเพียงครั้งเดียว ก่อนจะลูบหัวพวกมันและพาออกไป

ด้วยความที่เหล่าเซนทอร์สูงกว่า คณะเดินทางจึงไม่กล้าพูดอะไร แม้ว่าเอเดรียนจะรู้สึกห่วงข้าวของของตนอยู่บ้างก็ตาม แต่แค่มองกีบเท้าทั้งสี่ของเซนทอร์หญิงตรงหน้า เขาก็คิดว่าตัวเองอาจช้ำในตายได้จากการถูกดีดเพียงครั้งเดียว

--------------------------------------------------

หากถามว่ากองเรือที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกตะวันตกเป็นของอาณาจักรใด ไม่ว่าใครก็ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคือกองเรือของอาณาจักรธีสธรัล... แต่ตำแหน่งกองทัพเรือที่น่าเกรงขามที่สุดกลับเป็นของกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ ด้วยจำนวนเรือรบนับร้อยลำที่ติดตั้งปืนใหญ่และอาวุธครบมือ อีกทั้งอุปนิสัยและระเบียบวินัยที่เคร่งครัดของเซนทอร์ ทำให้พวกเขากลายเป็นจ้าวมหาสมุทรได้ง่ายๆ ดังนั้นต่อให้เรือของธีสธรัลจะมีน้ำหนักเบากว่า มีความเร็วมากกว่า หรือกระทั่งมีขนาดใหญ่กว่า ก็ไม่อาจสู้ความแข็งแกร่งของแอสทารอธได้

แต่ด้วยความก้าวหน้าของธีสธรัลทำให้เซนทอร์นึกลำบากใจจะประกาศตนเป็นศัตรู

และทำให้การเจรจาของอาเดรียยากยิ่งขึ้น...

"ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องร่วมมือกับอาเดรียเพื่อปิดท่าเรือในฤดูการค้าขายไม่ใช่รึ" น้ำเสียงของท่านหญิงลีอาห์แข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว วาจาของนางดังลั่นไปทั่วห้องโถง สร้างความกดดันให้กับคณะทูตที่มาเยือน

เหนือหัวดาเรียสไม่เคยออกพบอาคันตุกะจากต่างแดน เขามักจะส่งราชเลขามาเจรจาแทนเสมอ

คณะเดินทางประหลาดใจเล็กน้อยที่พวกเขาต้องยืนสนทนา เนื่องด้วยไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซนทอร์มีธรรมเนียมในการยืนประชุม และเลสธีราห์เองก็ไม่กล้าเตือนเอเดรียนก่อนหน้านี้เนื่องด้วยจะเป็นการรู้มากจนเกินควรสำหรับพรานชาวบ้านธรรมดาอย่างเขา และแน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนในคณะเดินทางต่างรู้สึกปวดเมื่อยกันเหลือเกิน

ราชเลขาหญิงพอจะคาดเดาสถานการณ์ได้จึงไม่มีท่าทีประหลาดใจเมื่อเห็นบุตรชาย

ขณะที่เอเดรียนนั้นเหลือบมองไปรอบตัวด้วยความสนอกสนใจที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มพบว่าสิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับม้า ชาวแอสทารอธนิยมสวมเกือกเหล็กที่ไม่ได้ตอกยึดถาวร มันสร้างความเจ็บปวดน้อยกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็เลื่อนหลุดได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหว ดังนั้นพื้นของพระราชวังอัสเธียร์จึงเป็นหินอ่อนที่มีความขรุขระกว่าหินอ่อนปกติเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาลื่นล้ม

ท้องพระโรงกว้างปกคลุมด้วยความเงียบ อัศวินองครักษ์ประจำการอารักขาโดยปกติ แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักร มีเพียงเซนทอร์หญิงตนหนึ่งยืนอยู่เบื้องขวาของแท่นบัลลังก์หินสีขาวขนาดใหญ่เท่านั้น เอเดรียนยกหน้าที่เจรจาให้กับคณะทูตที่มาจากมหาคฤหาสน์ แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่าการเจรจานี้อาจไม่ประสบผลสำเร็จ

อาเดรียไม่เคยส่งทูตเข้ามาเจริญความสัมพันธ์กับแอสทารอธมาก่อน หากด้วยเหตุผลสิบปีที่ผ่านมาก็คงจะเป็นข้อห้ามที่ธีสธรัลสั่งเอาไว้ไม่ให้อาเดรียคบค้าสมาคมกับดินแดนอื่นใดที่ไม่ใช่พันธมิตรของธีสธรัล แต่ถ้าพูดถึงยี่สิบปีก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นช่วงหลังจากแอสทารอธปิดฉากสงครามกับพวกเอลฟ์อัสคาห์ เหตุผลที่มนุษย์ไม่ยอมผูกมิตรกับเซนทอร์อาจเป็นเพราะความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์

ในเมื่อต่างฝ่ายต่างดูแคลนซึ่งกันและกัน พวกเขาจึงไม่เคยเดินหน้าเข้าหากันด้วยดีเลยสักครั้ง

การที่พวกเขาเข้ามายืนในพระราชวังอัสเธียร์ ที่พักของเหนือหัวแห่งแอสทารอธได้นี้นับเป็นความก้าวหน้าที่แทบจะต้องจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว แม้ว่ามันอาจจะเป็นประวัติศาสตร์ที่อาจจะไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ก็ตาม

"ตอนนี้พวกภูตยึดครองน่านน้ำในส่วนที่เป็นของธีสธรัลได้แล้ว อีกไม่นานพวกเขาก็จะแผ่ขยายอำนาจมาจนถึงที่นี่ หากเราไม่ร่วมมือกันในตอนนี้ เกรงว่าในอนาคตจะต้องเกิดสงครามเป็นแน่"

"ข้าคิดว่าการร่วมมือกับอาเดรียต่างหากที่ผลักดันให้เกิดสงครามเร็วขึ้น" ลีอาห์ตอบ

จริงอยู่ว่าแอสทารอธสนใจจะมีส่วนร่วมในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในอนาคต แต่ว่าการเปิดเผยเจตนารมณ์แต่เนิ่นๆก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำในการเจรจา ราชเลขาเองยังมีความสงสัยอยู่ว่าอาเดรียมีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน หากต้องการจะให้แอสทารอธร่วมเป็นพันธมิตร

"ธีสธรัลเป็นมหาอำนาจทางทะเล และพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาวเอลฟ์อัสคาห์ ซึ่งสำหรับแผ่นดินตะวันออกแล้ว พวกอัสคาห์มีความเชี่ยวชาญทางเรือที่สุด และหากอาเดรียต้องต่อสู้เพียงลำพังต่อไป ทั้งศึกจากธีสธรัลทางตะวันออก และไอย์ชวลทางตะวันตก พวกเราก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำและถูกครอบงำอีกครั้งหนึ่ง และไม่นานพวกอัสคาห์ก็จะกลับมาที่แผ่นดินตะวันตกเป็นแน่"

ลีอาห์นิ่งสงบฟังคำพูดของทูตจากอาเดรีย ขณะที่ในใจของนางเริ่มลังเล

พวกเอลฟ์อัสคาห์ในความทรงจำของเซนทอร์นั้นยังเด่นชัด พวกเขาเคยเดินทางมายังมหาทวีปครั้งหนึ่ง และปอกลอกเอาทรัพยากรจำนวนมาไปจากแอสทารอธ ดังนั้นเมื่อได้ยินชื่อเมืองที่มิอาจเป็นพันธมิตรด้วยได้ ราชเลขาก็เริ่มหวั่นใจ นางรู้เรื่องความสัมพันธ์ของธีสธรัลกับอัสคาห์ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าพวกอัสคาห์จะเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องวุ่นวายครั้งนี้ แต่หากพูดถึงอุปนิสัยเอาแต่ได้ของพวกเขาแล้ว ลีอาห์ไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิดหากชาวเอลฟ์เหล่านั้นจะเข้ามาหาผลประโยชน์

ในครั้งนั้น... กว่าแอสทารอธจะขับไล่พวกอัสคาห์ออกไปจากน่านน้ำได้ก็ใช้เวลาร่วมสิบปี

อีกทั้งยังต้องใช้ความร่วมมือจากเธสซาลีย์อีกด้วย

"ธีสธรัลไม่ใช่เมืองที่มีทรัพยากรมากมายนัก แต่มีท่าเรือขนาดใหญ่มาก ดังนั้นจึงเป็นเมืองท่าที่ดีเมืองหนึ่ง พวกอัสคาห์จึงได้สอนวิชาความรู้แก่พวกเขาเพื่อสร้างความสัมพันธ์บังหน้า แท้จริงแล้วก็แค่หยุดพักที่ธีสธรัลเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของพวกนั้นคือการเข้ามาที่มหาทวีปตะวันตกนี้ ท่านราชเลขาเองก็ทราบไม่ใช่หรือว่าพวกมันเคยทำอะไรเอาไว้บ้าง"

"อย่ามายอกย้อนข้า ท่านทูตอาเดรีย"

ลีอาห์ตัดบทเสียงแข็ง "เรื่องที่ข้ารู้อะไรหรือไม่รู้อะไรนั่นเป็นเรื่องของข้า อย่าใช้มันมาเปลี่ยนประเด็นเพื่อโน้มน้าวจะดีกว่า" หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวต่อไป "สิ่งที่เจ้าพูดมานั่นคือเจ้าไม่อยากเป็นฝ่ายถูกขยี้จากสองเมืองพร้อมกัน จึงได้หุนหันปิดท่าเรือและสร้างความตึงเครียดให้กับทุกฝ่าย เท่านี้ก็เป็นที่ประจักษ์ว่าเจ้าเดินพลาดตั้งแต่ต้นแล้ว อาเดรีย มาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะคิดได้หรืออย่างไรว่าไม่น่าทำแบบนั้นแต่แรก" ท่านหญิงว่า "แล้วจะให้ข้าตอบอย่างไร มนุษย์มาขอความช่วยเหลือจากเซนทอร์ เพื่อให้ร่วมมือต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน แล้วยังจะสู้กับพวกภูตอีกด้วย เพื่อฝากความหวังไว้กับความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ลมๆแล้งๆ พวกอัสคาห์แข็งแกร่งมากแค่ไหนเจ้าเมืองอาเดรียน่าจะรู้ดี และหากพวกเขาต้องการจะรุกรานมหาทวีปจริงๆ เราก็ไม่อาจทัดทานได้ด้วยกำลังของสองเมืองอยู่แล้ว"

"แอสทารอธมีกองเรือเซเลสต์!"

เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากท่านทูต ลีอาห์ก็เข้าใจเจตนารมณ์ของอาเดรีย "กองเรือรบเซเลสต์ที่ได้ชื่อว่าเป็นกองเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมหาทวีป ทั้งยังธนูแอควาเรียร์อีกด้วย มันจะเป็นไปไม่ได้หรือที่พวกเราจะชนะ มีสิ่งใดที่แอสทารอธจะร้องขอจากอาเดรียเล่า ท่านหญิงเชิญเสนอได้เลย" เลสธีราห์ชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อกองเรือใต้บัญชาของตนถูกพูดถึง อีกทั้งยังเรื่องของธนูในตำนานชาวเอลฟ์อีกด้วย เขาพอจะรู้ว่าชาวประมงอาเดรียนำเรื่องของเขาไปเล่าต่อกันหนาหู แต่ก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะสามารถสืบสาวราวเรื่องจนกระทั้งรู้จักชื่อของแอควาเรียร์ได้

"นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะส่งเซเลสต์ออกไปต้านทานกองเรือของธีสธรัล..." ลีอาห์ตอบเรียบ

เลสธีราห์หันไปมองเอเดรียนที่อยู่ข้างตนซึ่งกำลังมุ่นคิ้วด้วยความกดดัน "หากเราไม่เปิดไพ่ก่อน แอสทารอธก็ไม่ยอมเราง่ายหรอก" ร่างสูงกว่า แม้ว่าเขาจะอยากเป็นผู้สังเกตการณ์เพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนว่าเอเดรียนจะหมดความอดทนกับบรรยากาศกดดันนี้เสียแล้ว

ธรรมเนียมการยืนประชุมของเซนทอร์ทำให้อาคันตุกะหลายคนขาแข็ง แต่เอเดรียนก็เลือกที่จะก้าวออกไปเบื้องหน้าเป็นเชิงขออนุญาตพูดเจรจาบ้าง "ถ้าท่านยังไม่มีเหตุผลจะต้องประจันหน้ากับธีสธรัล... ข้าจะเสนอเรื่องของ 'เรือจักรไอน้ำ' ได้หรือไม่"

ทั้งที่ประชุมเงียบลงหลังประโยคนั้น ด้วยทูตจากมหาคฤหาสน์รู้ดีว่านั่นเป็นรางวัลที่หาค่าไม่ได้ และฝ่ายเซนทอร์เองก็รู้ดีว่านั่นคือสิ่งที่พวกเขากำลังสนใจในตอนนี้ "ธีสธรัลเคยพยายามจะติดต่อขอซื้อแร่เหล็กจำนวนมากจากฟาวสต์เพื่อใช้ทดสอบเทคโนโลยีนี้ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีสักเท่าไหร่ ซึ่งหากเทียบความสัมพันธ์แล้ว แอสทารอธดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฟาวสต์มากกว่า ขอเพียงแค่มีศาสตร์ความรู้ที่ว่านี้ แอสทารอธก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน" นัยน์ตาสีดำของเอเดรียนสบประสานกับสายตาของราชเลขา และนางก็ตีค่าบุคคลตรงหน้าว่าเป็นผู้มีวาจาคมคายผู้หนึ่ง

เรื่องของเรือจักรไอน้ำที่ซาฮาลกล่าวถึงเมื่อวันก่อนกลายมาเป็นประเด็นสนทนาทันที

"แล้วอาเดรีย... มีศาสตร์ความรู้ที่ว่านั่นเก็บเอาไว้ในตัวเมืองหรืออย่างไร"

เอเดรียนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มตอบราชเลขาที่หยั่งเชิงถาม "ข้าคงไม่อาจกล่าวได้ว่ามันเก็บเอาไว้ที่ใด ท่านหญิง... ข้าต้องขออภัยด้วย" ร่างสูงค้มหัวลงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม โดยที่สามารถปกปิดความลับของอาณาจักรเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน "อาเดรียเป็นเพียงเมืองท่า แต่เราก็ไม่ได้ต้องการตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใด สิบปีที่ผ่านมาใต้เงาของธีสธรัล ประชาชนเรายากจนข้นแค้นมามากพอแล้ว หากธีสธรัลครอบงำเราอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้อาจพ่วงด้วยการกลับมาของพวกอัสคาห์ อาเดรียก็คงจะไม่เหลืออะไรอีก ท่านราชเลขา... ได้โปรดรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาด้วย"

ลีอาห์ถอนใจกับคำโน้มน้าวของอีกฝ่ายแล้วจึงหลับตาลงอย่างอ่อนใจ

"ข้าจะเรียนเหนือหัวดาเรียสให้ทราบ การเจรจาคงไม่อาจตัดสินได้ในเร็ววัน"

จริงอยู่ว่าแอสทารอธเองก็ไม่อยากเจ็บตัวมากจากการเข้าร่วมสงครามเย็นนี้ แต่อย่างไรพวกเขาก็ต้องการความก้าวหน้า ซึ่งชายตรงหน้าเธอเองก็กล่าวได้ดี ศาสตร์การต่อเรืออย่างหนึ่งที่แอสทารอธให้ความสนใจในตอนนี้คือศาสตร์ของเรือจักรไอน้ำ ที่ผ่านมาพวกเขาเดินเรืออยู่กับธรรมชาติ หากมีพายุหรือฝนฟ้าคะนองขึ้นมา การเดินเรือก็จะล้มเหลวโดยง่าย ดังนั้นจึงไม่แปลกพวกเขาจะต้องสนใจศาสตร์ที่ว่านี้

"ข้ามีความรู้ในเรื่องนี้อยู่บ้าง ระหว่างพำนักที่นี่ข้ายินดีสนทนากับท่านราชเลขาทุกเมื่อ"

"เจ้าคงไม่ต้องเสียเวลาที่นี่นานหรอก มนุษย์..."

ลีอาห์หัวเราะร่วนในความหลักแหลมของอีกฝ่าย อันที่จริงนางคิดจะส่งคณะทูตกลับเสียตั้งแต่วันนี้ด้วยซ้ำ แต่วาจาของคนตรงหน้ากลายเป็นคำพูดกึ่งบังคับให้แอสทารอธต้องจัดการรับรองหาที่พักให้ และแน่นอนว่าเป็นคำท้าทายต่อ 'การเจรจาไร้เสียง' ของแอสทารอธด้วย "ให้ข้าทราบชื่อของเจ้าซิ ท่านทูตจากอาเดรีย"

"ข้ามีนามว่า... เอเดรียน"

ดวงตาเรียวของท่านหญิงหรี่ลงเล็กน้อยแล้วริมฝีปากบางจึงทอดยิ้ม "ข้าจะจำไว้ เอเดรียน"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 29-10-2016 08:10:25
ตอนที่ 7.2

ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธมีหอคอยคู่ซึ่งเปรียบได้ดั่งประภาคารเฝ้าระวัง นั่นคือหอคอยเหนือของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ และหอคอยใต้ของผู้บัญชาการกองเรือกราเทียร์ แม้จะถูกเรียกว่าหอคอย แต่สิ่งก่อสร้างทั้งสองก็ใหญ่โตแข็งแรงเหมือนเป็นบ้านอาคารหลังหนึ่งที่มีความสูงมากกว่าปกติเท่านั้น และมันถูกออกแบบมาให้สามารถต้านทานคลื่นลมและน้ำทะเลกัดเซาะได้อย่างดี

ห้องทำงานของเซนทอร์ระดับขุนนางนั้นกว้างขวาง โดยตรงกลางของห้องเป็นแท่นหินที่ถูกยกขึ้นสูงจากพื้น และมีโต๊ะทำงานที่เตี้ยกว่าปกติวางอยู่ด้านบน เคียงด้วยเบาะนุ่มกว้างซึ่งมีเอาไว้สำหรับรองรับร่างกายท่อนม้าที่ใหญ่โตให้เอนลงนั่งได้สบายๆ แต่ก็ไม่เตี้ยจนทำให้ถูกก้มมอง

แม้ซาฮาลจะอยู่ในท่าเอนกึ่งนอนขณะทำงาน แต่ก็ใช่ว่ารีดาห์จะก้มมองเขาเมื่อเข้ามาถึงห้อง

"เลสธีราห์น่ะหรือ..."

เซนทอร์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้นหลังฟังความจากผู้มาเยือนที่บังเอิญอยู่ร่วมฟังการเจรจาที่เลาน์เรนพอดี "ถ้าแฝงตัวมากับคณะทูตได้ แปลว่าเขาเข้าใกล้พวกชนชั้นสูงของอาเดรียได้แล้ว" เซนทอร์หนุ่มยังตรวจสอบการเบิกค่าใช้จ่ายของกองเรืออยู่ที่ห้องพัก แม้ว่านี่จะเป็นเวลาดึกมากแล้วก็ตาม "เจ้าจึงได้วิ่งรี่จากเลาน์เรนกลับมาที่มารินาเพื่อบอกข้าเรื่องนี้เชียว อยากจะอวดความสามารถของเจ้านายตัวเองหรือไร"

รีดาห์มุ่นคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจที่อีกฝ่ายรู้ทัน เพราะเจตนาของเขาจริงๆก็คือการโอ้อวดว่าเลสธีราห์สามารถบรรลุภารกิจไปครึ่งหนึ่งแล้วนั่นเอง แต่ปฏิกิริยาของซาฮาลกลับไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ "เจ้านี่มันหัวรั้นชะมัด ไม่คิดจะชื่นชมเลสธีราห์เลยใช่ไหม"

"ข้ายังไม่เห็นผลงาน... การเข้าร่วมคณะทูตได้ก็เท่านั้น เขาไม่ได้มีบทบาทในการเจรจา"

"เฮอะ ข้ากำลังบอกให้เจ้าเลิกเสนอตัวเองไปขัดคอต่างหาก"

ซาฮาลจรดปลายปากกากับน้ำหมึกแล้วจึงเขียนสรุปตัวเลขค่าใช้จ่ายคร่าวๆ "หวงเจ้านายเหลือเกินนะ" นัยน์ตาสีเข้มมองคู่สนทนา "ข้าก็ภาวนาให้เจ้านั่นทำงานสำเร็จหรอก เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักรด้วย แต่ในเมื่ออาเดรียกล่าวออกมาตรงๆแล้วว่าต้องการยืมกำลังพลของเซเลสต์ ถ้าฝ่ายนั้นรู้ขึ้นมาว่าแม่ทัพของเซเลสต์ตัวจริงอยู่ในคณะของตนตั้งนานแล้วจะไม่เป็นการทำลายความเชื่อถือหรือไง"

"ขวางโลกชะมัด" รีดาห์สวนกลับไม่ยอมแพ้ "แล้วเจ้าทำได้รึไง ทำให้พวกอาเดรียมันเปิดปากได้ตั้งแต่วันแรกแบบนี้"

"ข้าคิดว่านั่นเป็นความสมัครใจของทูตอาเดรียเสียมากกว่า ไม่ใช่ผลงานของเลสธีราห์... เจ้านั่นแค่เลือกประกบถูกคนก็เลยเหมือนกับว่าสามารถโน้มน้าวให้อาเดรียคายความลับได้ เรื่องเรือจักรไอน้ำนั่นก็น่าสนใจมาก และเป็นเรื่องที่ทุกอาณาจักรจับตามองอยู่แล้ว ดังนั้นการที่พวกมันเสนอขึ้นมาจึงไม่ได้น่าแปลกใจ แต่งานต่อไปของเลสธีราห์คือการทำให้แน่ใจว่าเราจะได้มาซึ่งสิ่งนั้นจริงๆ"

รีดาห์กอดอกมองคนพูดแล้วจึงกลอกตาล้อเลียน "หึ ขวางโลก..."

"ข้าได้ยินนะ รีดาห์"

"อยู่กันแค่สองคน ถ้าไม่ได้ยินก็หูตึงแล้วน่า!" เซนทอร์หนุ่มคำรามตอบพร้อมกับเคาะกีบเท้าลงพื้นแรงๆทีหนึ่ง "ข้ามาบอกแค่นี้ล่ะ... เจ้าก็ทำผลงานของตัวเองไปเถอะ ฤดูค้าขายแบบนี้ อย่าให้เรือมันพังมากนัก ถ้าข้าไม่อนุมัติซ่อมล่ะเจ้าจะมีปัญหา" เรื่องเดียวที่รีดาห์พอจะขู่ซาฮาลให้ได้... นั่นคือการขู่ไม่ซ่อมเรือให้ เพราะเรื่องโครงสร้างเรือทุกลำในสังกัดกองทัพเรือของแอสทารอธ รีดาห์คือผู้รู้ดีที่สุด

นอกเหนือจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์แล้ว รีดาห์ยังเป็นหัวหน้าหน่วยซ่อมบำรุงอีกด้วย "ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาซ่อม ข้าจะรายงานเหนือหัวให้ปลดเจ้าจากหน่วยซ่อมบำรุงดีหรือไม่ ยังมีเซนทอร์ตนอื่นอีกมากที่มีความสามารถด้านนี้และพร้อมจะทำงานนะ"

แต่ต่อให้รีดาห์คิดว่าตัวเองได้เปรียบแค่ไหน ซาฮาลก็เป็นจอมข่มขู่อยู่ดี

"ข... ข้าไม่ได้ไม่มีปัญญาทำงาน!"

"เช่นนั้นก็ซ่อมไปสิ เมื่อวานเรือเราเพิ่งเสียหายจากพายุทะเลกลับมาสี่ลำ ข้าส่งใบแจ้งให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว ได้กลับไปตรวจที่โต๊ะทำงานบ้างหรือยัง หืม หรือว่ามัวแต่วิ่งเล่นไปมาระหว่างเลาน์เรนกับมารินาเอาเยี่ยงอย่างเจ้านายของเจ้าล่ะ" เมื่อถูกค่อนแคะเอามาก คนที่ไม่ค่อยรู้จักการระงับความโกรธก็ก้าวเข้าไปหาคนพูดก่อนจะยกขาหน้าทั้งสองขึ้นวางบนแท่นหิน และเท้ามือลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายพอดิบพอดี

"อย่าปัดงานให้พ้นตัวแล้วกล่าวหาว่าคนอื่นไม่ทำงานหน่อยเลย ซาฮาล!"

ดวงตาสีเข้มของซาฮาลมองประสานกับนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงของคนพูด และเมื่อเห็นลางการทะเลาะวิวาท ซาฮาลที่ค่อนข้างจะเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงได้บอกปัดบทสนทนาเพื่อให้เวลาอีกฝ่ายระงับโทสะ "เลสธีราห์มอบหมายงานให้เจ้ารักษาการผู้บัญชาการ ดังนั้นเจ้าก็ควรจะแบ่งเบาภาระของตัวเองไปให้มาร์เรียสบ้าง"

ซาฮาลพูดถึงมาร์เรียส... รองผู้บัญชาการกองเรือกราเทียร์ หรือว่ามือขวาของตนเอง

แม้ว่าเซนทอร์หนุ่มจะมีรองผู้บัญชาการกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่หากพูดถึงหน่วยซ่อมบำรุงแล้ว รีดาห์กลับมีความสามารถ และความเชี่ยวชาญเหนือกว่ามาร์เรียสอย่างไม่น่าเชื่อ "แล้วก็อย่ายกเท้าขึ้นพาดแท่นหิน มันลื่น... หากตกลงมาแล้วขาแพลงใครจะแบกเจ้าไปเรือนพยาบาล" ร่างโปร่งเบ้หน้าล้อเลียนคำพูดราบเรียบของซาฮาล ก่อนจะยกขาลงตามที่อีกฝ่ายแนะนำ แต่แล้วเกือกเหล็กมันวาวนั่นก็สะดุดกับขาโต๊ะทำงานเข้า และร่างโปร่งก็เสียหลักเอียงล้มลงไปกับพื้นก่อนจะใช้ศอกยันตัวเอาไว้เพื่อลดแรงกระแทก

โครม!

"โอ๊ย..."

ซาฮาลไม่มีท่าทีตกใจกับอุบัตินั่น แต่เขาก็ไม่ได้ใจจืดใจดำขนาดไม่ชะโงกหน้าไปดูความเสียหาย เซนทอร์ถือว่าตนเองเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะพวกเขาเป็นทั้งอาชาและมนุษย์ แต่ข้อเสียใหญ่ๆของอัศวินนักสู้เหล่านั้นก็คือพวกเขาไม่เคยใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติได้ กระทั่งเวลาล้ม เซนทอร์เชื่อว่าพวกตนล้มได้เจ็บกว่ามนุษย์สักสองหรือสามเท่า

ร่างโปร่งยันตัวขึ้นจากพื้น และใช้ขาทั้งสี่ประคองตัวยืดขึ้นมายืนได้ดังเดิม แม้จะเป็นการล้มบนพื้นไม้ แต่ด้วยความที่เท้าของม้าไม่มีกีบ หรือนิ้ว ทำให้พวกเขาเกาะยึดอะไรไม่ได้ จึงต้องเผชิญกับแรงกระแทกจากน้ำหนักตนเองโดยตรง "ขาไม่แพลง!" รีดาห์พูดใส่หน้าคู่สนทนาที่ยื่นหน้ามามอง "ผิดหวังล่ะสิ!"

ซาฮาลถอนใจเบาๆกับตัวเอง "ไม่หรอก... ข้าก็เคยล้มแบบนั้นมาแล้ว"

ประโยคนั้นเรียกความสนใจจากรีดาห์ได้บ้าง แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บที่อุ้งมือ และข้อศอกเหมือนจะมีรอยถลอก แต่ร่างโปร่งกลับยังไม่รีบออกไปทำแผลอย่างที่ควรจะทำ "เจ้าเคยยกเท้าขึ้นพาดแท่นหินรึ... ซาฮาลผู้เคร่งขรึมและมีมาดคนนี้น่ะนะ!"

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไปหายาใส่แผลถลอกได้แล้ว"

ร่างสูงวางปากกาของตนลงบนแท่น และขยับร่างกายท่อนม้าที่ใหญ่โตของตนเพื่อก้าวลงมายืนบนพื้น และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวดูสูงขึ้นจนรีดาห์มองเห็นแค่คางของอีกฝ่ายเท่านั้น "อันที่จริงเจ้าควรจะกลับไปเลาน์เรน แล้วดูว่าเลสธีราห์แฝงตัวได้แนบเนียนอย่างที่เจ้าชื่นชมหรือไม่ แล้วไม่คิดจะอยู่ดูการเจรจาไร้เสียงหน่อยหรือ ท่านหญิงเลือกอาหารแบบไหนไปต้อนรับพวกอาเดรียล่ะ"

"ข้าดูมาหมดแล้วน่า" รีดาห์เริ่มถูกศอกของตนเบาๆด้วยความรู้สึกกึ่งคันกึ่งแสบ "เนื้อกวางหางขาว"

ผู้บัญชาการกราเทียร์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะผิวปากออกมาด้วยประหลาดใจ "ต้อนรับดีผิดคาดสำหรับเมืองที่มีชายแดนติดกัน แต่เพิ่งคิดจะโผล่มาคุยกัน" ร่างสูงเดินไปที่ชั้นวางของในห้องของตนแล้วหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมา มันคือกล่องเก็บอุปกรณ์พยาบาล

"ทำเองก็แล้วกัน ดวงจันทร์ลอยข้ามฟ้ามาแบบนี้ข้าคิดว่าพวกนางพยาบาลคงนอนไปหมดแล้ว"

รีดาห์มุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่พอใจเสียทีเดียว เขารู้ว่าคนอย่างซาฮาลไม่ได้ใจร้าย แต่ก็ไม่ได้ใจดี "ถ้าเป็นเลสธีราห์... เจ้าจะทำแผลให้ไหม" แม้ในสายตาคนนอก ซาฮาลดูจะไม่ชอบหน้าเลสธีราห์เอามากๆ แต่รีดาห์กลับรู้ว่าแท้จริงแล้วซาฮาลไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย "ข้าหมายถึงว่า ถ้าเจ้านั่นยอม"

ซาฮาลแค่นหัวเราะเบาๆเมื่อพูดถึงอีกคน "เจ้านั่นไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนี้หรอก"

"นี่เจ้าว่าข้ารึ!!"

"รู้ตัวก็ดีนี่..."

"ซาฮาล!"

"หุบปากแล้วรีบทำแผลซะ จะได้กลับไปพักผ่อน ถ้าพรุ่งนี้เช้าตื่นไม่ทันไปฟังการเจรจาของอาเดรียจะมาโทษข้าไม่ได้หรอกนะ" ร่างสูงเดินกลับไปเอนกายลงนั่งที่ตำแหน่งเดิมหน้าโต๊ะทำงาน และปล่อยให้ทั้งห้องอยู่ในความเงียบระหว่างที่รีดาห์ทำแผลให้ตัวเองโดยไม่อิดออด "อย่าเพิ่งวาดฝันว่าเราจะได้ผลประโยชน์ที่เท่าเทียม พวกเผ่าพันธุ์อื่นมันไว้ใจไม่ได้หรอก โดยเฉพาะมนุษย์น่ะ"

"อาเดรียร้องขอกองกำลังทางทะเลเพื่อจะไปสู้กับเรือที่มีความทันสมัยมากกว่าเรา ข้าก็ไม่คิดว่าเหนือหัวดาเรียสจะยอมยกให้ง่ายหรอกน่า" รีดาห์โต้ "แต่อย่างน้อยก็วางใจได้ว่ามีเลสธีราห์คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของอาเดรียอยู่... เราอาจจะได้เปรียบ"

"เลสธีราห์เป็นนักเดินเรือ ไม่ใช่สายลับ เขาจะทำอะไรได้สักแค่ไหนเชียว"

ผู้บัญชาการกราเทียร์วางปากกาและปิดฝากขวดน้ำหมึก " เรื่องนี้เราควรรอฟังความจากเหนือหัวดาเรียสหรือท่านหญิงลีอาห์จะดีกว่า เจ้าก็อย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องเรือจักรไอน้ำมากนัก ประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องครึกโครม"

"นี่เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กหรืออย่างไร ซาฮาล!!"

"เด็กทั้งคู่นั่นล่ะ ทั้งเจ้า ทั้งเลสธีราห์..."

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7.3
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 29-10-2016 08:12:47
ตอนที่ 7.3

หลังจากการเสร็จสิ้นการเจรจาวันแรกแล้ว เฟลิเซียก็นำผู้มาเยือนไปยังที่พักที่อยู่ห่างจากพระราชวังอัสเธียร์ไปไม่ไกล ม้าของพวกถูกปล่อยให้เดินอย่างอิสระโดยรอบที่พัก และอุปกรณ์ต่างๆเกี่ยวกับม้าก็ถูกถอดออกวางอยู่รวมกันอย่างเป็นระเบียบ เตียงนอนของพวกเซนทอร์ไม่มีหัวเตียงเพราะพวกเขาเป็นม้าที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดา ดังนั้นเตียงที่พักจึงเป็นฟูกทรงวงกลมที่มีหมอนอิงสองสามใบเท่านั้น และห้องพักห้องหนึ่งก็มีขนาดใหญ่พอจะรวมคนสี่คนเข้ามาอยู่ด้วยกันได้ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเซนทอร์ก็มีห้องพักเพียงพอสำหรับอาคันตุกะผู้มาเยือน

"สงครามที่ผ่านมาเป็นสงครามของไอย์ชวลกับธีสธรัล โดยคัสนาห์กับอาเดรียซึ่งเป็นหนึ่งในอาณานิคมของธีสธรัลมีหน้าที่สนับสนุนธีสธรัลด้วยกำลังพลและเสบียง แต่ก็ถูกพวกภูตปล้นชิงเสบียงไปทั้งหมดระหว่างการทาง การถูกโจมตีอย่างง่ายดายทำให้กษัตริย์ธีสธรัลไม่พอใจเป็นอย่างมาก ท่านหญิงซินญอร่าผู้เป็นเจ้าเมืองคัสนาห์ เมืองพี่ของอาเดรียจึงต้องออกหน้าแสดงความบริสุทธิ์ใจและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเดินทางข้ามทะเลไปเจริญความสัมพันธ์ที่เกาะธีสธรัลอันเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง"

จาเร็ตต์พยายามอธิบายให้เลสธีราห์ฟังตั้งแต่ต้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางงุนงนกับการเจรจา

"แต่จู่ๆพวกภูตก็บุกโจมตีเมืองหลวงของธีสธรัลอีก และครั้งนี้ก็ได้รับชัยชนะ ผลัดบัลลังก์ได้สำเร็จ ทั้งคัสนาห์และอาเดรียจึงได้รับอิสรภาพ ท่านหญิงซินญอร่าจึงรีบเดินทางกลับมายังอาเดรียและสั่งปิดท่าเรือเพื่อกีดกันการขนส่งของพวกบนเกาะนั่นเพื่อสร้างวความได้เปรียบให้กับเราในการเจรจา"

"ข้า... ข้ารู้เรื่องสงคราม" เลสธีราห์ตัดประโยค "แต่ข้าไม่เข้าใจเรื่อง... ทำไมต้องใช้กองเรือเซเลสต์"

เลสธีราห์พอจะรู้ว่าเหตุใดมารดาของเขาจึงบอกปัดการเจรจาไปก่อน เพราะนางจะต้องหารือกับเหนือหัวดาเรียสให้ถี่ถ้วน อีกทั้งการเจรจานี้คือการขอกำลังจากกองเรือเซเลสต์ซึ่งมีเขาเป็นผู้บัญชาการอีกด้วย ถ้าท่านหญิงลีอาห์อนุญาตโดยง่ายก็เป็นการส่งลูกชายออกไปรบ และแน่นอนว่าจะเกิดช่องว่างที่ทำให้คลางแคลงใจอย่างแน่นอน เพราะเลสธีราห์คือผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ซึ่งแฝงตัวเข้ามาในคณะทูตนี้

"สิ่งที่เราต้องการจากแอสทารอธไม่ใช่ให้พวกเขาปิดท่าเรือ... แต่คือการยืมกำลังพลของเซเลสต์"

เลสธีราห์เลิกคิ้วข้างหนึ่ง "ทูตจากมหาคฤหาสน์ไม่เห็นจะว่าอย่างนั้นเลย"

"ถ้าเจ้าเป็นเจ้าเมืองแล้วใครส่งคนส่งทูตมายืมกองทัพเจ้า เจ้าจะยอมหรือไร" เอเดรียนถามกลับ "เราไม่ได้มาเพื่อหาพวกไปเจรจา เลสธีราห์ เรามาเพื่อหากำลังพลสนับสนุน... ในเมื่อท่านหญิงซินญอร่าทำให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว จะไปก้มหัวให้ใครง่ายๆก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ"

คนฟังมุ่นคิ้วและหันไปมองจาเร็ตต์ราวกับต้องการยืนยันคำตอบ

ในหัวของเขาตอนนี้สับสนอย่างบอกไม่ถูก... ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของเหล่าเซนทอร์จะคลาดเคลื่อนเจตนารมณ์ของอาเดรียไปมาก พวกเขาเพียงแค่ลังเลว่าควรจะให้การสนับสนุนหรือเอนเอียงเข้าฝ่ายใด แต่ก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าการตัดสินใจเจรจาในครั้งนี้คือการเลือกว่าจะเข้าร่วมสงครามที่ใช้ความรุนแรงหรือไม่

หากพวกเขาปฏิเสธ ไอย์ชวล อาเดรีย และธีสธรัลอาจรบรากันจนต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสีย

...และพวกเขาก็ทำได้แค่เฝ้ามอง

แต่หากพวกเขาตอบตกลง แอสทารอธอาจต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย เพราะกำลังพลที่อาเดรียร้อนขอก็คือกำลังทหารแนวหน้าในท้องทะเลอันได้แก่กองเรือเซเลสต์ โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าผลตอบแทนที่ควรจะได้รับนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไปหรือไม่

 "แต่ดูเหมือนว่าการพูดอ้อมๆจะไม่ทำให้เซนทอร์คล้อยตามสักเท่าไหร่ ข้าคุยกับพวกทูตเอาไว้ว่าหากเซนทอร์สนใจจะร่วมมือค่อยพูดเรื่องกองเรือจะดีกว่า ท่านราชเลขาก็ดูเป็นคนเถรตรงเสียจนใช้วาจาด้วยไม่สำเร็จ มีแต่จะต้องพูดกันตรงๆแบบนี้ นางคงจะพอใจกว่า"

...นี่เจ้าว่าแม่ข้ารึ เอเดรียน

จาเร็ตต์เอนหลังพิงหมอนใบหนึ่งบนแท่นนอนใหญ่ ที่นอนของพวกเซนทอร์ใหญ่พอที่คนสองคนจะลงไปนอนด้วยกันได้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่ทำเช่นนั้น แอสทารอธจัดที่พักเอาไว้อาคันตุกะคนละห้องนอน ดังนั้นพวกเขาจึงยืดเส้นยืดสายกันเต็มที่ "เห็นได้ชัดว่าเซนทอร์ดูสนใจเรือจักรไอน้ำมาก แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าเรื่องนี้สำเร็จ เราจะได้ศาสตร์การต่อเรือไอน้ำมาให้พวกเขาจริงๆ"

เอเดรียนอ่านแผนที่ไปพลางขณะตอบคำถาม "หากแอสทารอธยอมร่วมมือ เราก็คงต้องหามาให้"

เลสธีราห์ถามกลับบ้างเมื่อสบโอกาส "หมายความว่าอย่างไร... ศาสตร์ของ... เรือจักรไอน้ำอะไรนั่นไม่ได้อยู่ที่อาเดรียหรอกรึ" เซนทอร์หนุ่มรู้สึกยินดีอยู่ในใจลึกๆว่าในที่สุดพวกเขาก็พูดคุยถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์ของแอสทารอธเสียที หลังจากพูดเรื่องประโยชน์ของอาเดรียมาเนิ่นนาน

"เปล่าหรอก... เท่าที่ข้ารู้ในตอนนี้ มีเพียงธีสธรัลเท่านั้นที่มีความรู้"

"แล้วเจ้าจะไปหามาอย่างไรเล่า อาเดรียก็เพิ่งปิดประตูใส่หน้าธีสธรัลไปนี่" การปิดท่าเรือของอาเดรียไม่ต่างอะไรจากการปิดประตูใส่หน้าแขกผู้มาเยือน ดังนั้นจึงตัดหนทางเจรจาออกไปได้เลย "ถ้าหาไม่ได้ขึ้นมา... แอสทารอธเอาเรื่องเจ้าแน่ๆ"

แม่ทัพใหญ่หัวเราะร่วนกับคำขู่ "เจ้านี่รู้จักเซนทอร์ดีนัก... แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาตอนนี้หรอก"

"แล้วปัญหาคืออะไร"

โจฮาลล์หันมาตอบคำถามของเลสธีราห์บ้างหลังจากเงียบไปพักใหญ่ "ปัญหาก็คือ... เราจะได้กองเรือทั้งหมดของพวกเขามาได้ยังไง" ชายหนุ่มลูบเคราดกหนาของตน "กองเรือเซเลสต์ จำนวนเรือสามร้อยลำ กับมหาปืนใหญ่ ทั้งยังแม่ทัพเรือที่ว่ากันว่า... ถือธนูแอควาเรียร์ของชาวเอลฟ์ด้วย"

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองธนูคู่ใจของตนที่วางห่างออกไปด้วยความระแวง

เลสธีราห์พยายามตีซื่อ "อะไรคือแอควาเรียร์" ในตอนนี้เขาควรจะแกล้งไม่รู้ให้สมเป็นชาวบ้านจะดีกว่า อีกประการหนึ่งก็คือชายหนุ่มอยากจะรู้ด้วยว่าพวกมนุษย์รู้จักธนูของเขาดีแค่ไหน และรู้ได้อย่างไร มีมนุษย์คนไหนรู้จักหน้าค่าตาของเขาด้วยหรือเปล่า "ธนูของเอลฟ์รึ"

"ก็เอลฟ์น่ะซี" โจฮาลล์หัวเราะตอบ "เอเดรียนบอกว่าเจ้าเป็นครึ่งเอลฟ์ เหตุใดจึงไม่รู้จักเสียได้"

"ข... ข้าไม่ใช่พวกชนชั้นสูงของชาวเอลฟ์ จะรู้อะไรมากมาย!"

เอเดรียนยกมือขึ้นปรามบทสนทนานั้น ก่อนจะวางมือลงบนบ่าของเลสธีราห์

"โจฮาลล์ ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร... เรื่องอดีตของเลสธีราห์ ถ้าเขาไม่ต้องการจดจำ เจ้าก็อย่าเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเสียเองแบบนี้" เซนทอร์หนุ่มกลั้นใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ทั้งโจฮาลล์และจาเร็ตต์ดูจะหมดปัญหากับเขาเสียดื้อๆอย่างนั้นหรือ เพราะอีกฝ่ายไปห้ามเอาไว้ว่าเลสธีราห์มีอดีตที่ไม่อยากพูดถึงอยู่

...ทำไมถึงไม่มีเซนทอร์คนไหนเห็นใจเขาแบบนี้บ้างหนอ

"ว่ากันถึงธนูแหวกสมุทร..." เอเดรียนกล่าวต่อ "เป็นธนูธาตุน้ำที่อยู่ในตระกูลเดียวกับธนูสี่ธาตุของชาวเอลฟ์ ข้าเคยเห็นอำนาจของมันเพียงหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นธนูอัลซาโตเกียร์ที่สามารถจับลมมาขึ้นสายเป็นลูกดอกได้" แม่ทัพหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น "ในขณะที่ธนูน้ำ ซึ่งข้าก็ฟังพวกชาวบ้านเล่าต่อกันมา พวกเขาบอกว่า เพียงแค่ขึ้นสายก็ดึงคลื่นลมในทะเลมาอยู่ในมือได้แล้ว"

โจฮาลล์ทำท่าง้างคันธนูตามคำบรรยายในท่าทางกึ่งล้อเลียน

"ข้อด้อยแอควาเรียร์ที่ทำให้มันต่างจากอัลซาโตเกียร์ก็คือมันไม่สามารถแสดงอำนาจใดๆได้ หากในบริเวณนั้นไม่น้ำสักหยด" เอเดรียนมุ่นคิ้วใส่สหายร่างยักษ์ของตนอย่างอ่อนใจ ทำให้โจฮาลล์หันไปหัวเราะกับจาเร็ตต์อีกครั้ง และหันกลับมาเสริมความรู้ต่อ

"แอควาเรียร์จึงเป็นอาวุธที่น่ากลัวที่สุดของแม่ทัพเรือ... ลูกดอกเพียงดอกเดียวไม่สามารถล้มเรือได้ทั้งลำ แต่สำหรับแอควาเรียร์แล้ว ความน่ากลัวของมันอยู่ที่คลื่นที่ตามมา" เลสธีราห์คิดว่าใจของเขาหยุดเต้นไปสักพักหนึ่งเมื่อฟังเรื่องทั้งหมดจบ... เพราะสิ่งที่คนตรงหน้าพูดมานั้นถูกต้องทุกประการ

"น่าแปลกนะ คนที่ชอบแอสทารอธมากมายนักหนาเช่นเจ้า กลับไม่รู้จักแอควาเรียร์" เอเดรียนตั้งข้อสังเกต เมื่อถูกจับพิรุธ เซนทอร์หนุ่มก็หันไปมุ่นคิ้วใส่คนพูดเป็นการกลบเกลื่อน ...ไม่รู้ว่าทำไมเอเดรียนจึงได้ทำเหมือนรู้นักว่าเขาคือเซนทอร์ และเหมือนจะรู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์

"ข้าชอบพวกเซนทอร์! แต่ไม่ได้ชอบพวกเอลฟ์สักหน่อย ยิ่งพวกอัสคาห์นี่นะ..."

"แต่ธนูเอลฟ์นี่มาจากพวกเธสซาลีย์ไม่ใช่รึ พวกเอลฟ์ที่มีเวทมนตร์ทั้งหลายน่ะ" ความเกลียดชังต่ออัสคาห์มีอยู่ในสายเลือดของเซนทอร์ทำให้เลสธีราห์หลุดปากผิดเรื่อง แทนที่เขาจะพูดว่าตนเกลียดเธสซาลีย์จึงได้ไม่รู้เรื่องธนูเอลฟ์ แต่กลับพูดตามนิสัยเซนทอร์ว่าเกลียดอัสคาห์แทน

"จริงสิ... เจ้าพอจะรู้จักหน้าค่าตาผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ไหมเหล่า"

...เมื่อไหร่จะเลิกสนทนาเรื่องที่เกี่ยวกับข้าสักที

ร่างโปร่งลอบถอนใจเร็วๆเฮือกหนึ่ง "ข้าเป็นพรานป่านะ ถ้าพูดถึงเรื่องบนดินก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่หากลงน้ำแบบนี้ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว" เขาตัดบทและทิ้งวงสนทนาให้อยู่ในความเงียบอีกพักใหญ่ "แล้วตกลงเจ้าจะไปหาศาสตร์เรือไอน้ำมาจากไหนกันน่ะ!" อย่างไรเซนทอร์หนุ่มก็คงจะไม่เลิกถามเรื่องนี้ เพราะมันเป็นผลประโยชน์ของแอสทารอธ หากเขารู้แต่เนิ่นว่าเอเดรียนไม่สามารถหาศาสตร์เรือไอน้ำมาให้ได้ เขาก็จะสามารถเตือนพรรคพวกตนเองได้ว่าไม่ควรไปร่วมมือ

แม่ทัพหนุ่มยิ้มใจเย็น "เจ้าก็ช่วยข้าเจรจาสิ หากทำให้แอสทารอธร่วมมือได้ ข้าจึงจะบอก..."

"เฮอะ นี่ข้าช่วยเจ้าคิดอยู่นะ เกิดพรุ่งนี้ท่านหญิงลีอาห์ถามเจ้าขึ้นมาจะไปตอบเช่นนี้ได้เสียที่ไหน"

สามคนที่เหลือหันมามองคนพูดเป็นตาเดียวด้วยความทึ่งเล็กๆที่อีกฝ่ายกล้าเรียกชื่อราชเลขาของแอสทารอธแบบนั้น "เลสธีราห์ อย่าให้พวกเซนทอร์ได้ยินเชียวนะ" โจฮาลล์ปราม "พวกนั้นไม่ชอบให้เรียกชื่อ"

...หนอย ทีกับข้าล่ะเรียกห้วนๆนัก ทีกับแม่ข้าล่ะทำเป็นเกรงใจรึ

"เอาเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบพักผ่อนเสีย พรุ่งนี้เราอาจจะเจอคำถามหนักกว่าวันนี้ ราชเลขาตอนนี้ก็คงจะไปพูดคุยกันเหนือหัวอยู่แน่" ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย และจาเร็ตต์ก็ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกพร้อมกับสะกิดพี่ชายให้กลับห้องพร้อมตน แต่เลสธีราห์ยังข้องใจกับคำถามก่อนหน้าจึงได้รั้งรออยู่ก่อน

"มีอะไรรึเปล่า... เลสธีราห์"

"เจ้าจะไม่ตอบคำถามข้าจริงๆรึ เรื่องเรือจักรไอน้ำนั่น" ร่างโปร่งเซ้าซี้ "ที่ข้าถามเพราะถ้าเจ้าไม่มีปัญญาหามันมาให้พวกเซนทอร์ได้ พวกนั้นเอาเจ้าถึงตายแน่ๆ" แม่ทัพใหญ่จรดยิ้มบางที่มุมปากแล้วจึงพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเศร้าๆ

"ใช่ ข้ายังไม่มีแผนว่าจะเอามันมาได้อย่างไร"

"แล้วเจ้าไปเสนอเขาแบบนั้นได้ยังไงกัน!" ร่างโปร่งว่า ในขณะที่ในหัวของเขาเริ่มคิดหาวิธีปลีกตัวออกจากที่พักและไปเตือนเรื่องนี้กับมารดาของตนแล้ว "เซนทอร์ขึ้นชื่อว่าเถรตรงและรักษาคำพูดอย่างที่สุด เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับประกาศสงครามกับแอสทารอธชัดๆ"

"ข้าจะไปหามาเองน่า" เอเดรียนตอบ "ต่อให้มันต้องแลกด้วยชีวิตข้า ข้าก็จะไปหามา"

"พูดไม่คิดนัก"

ร่างโปร่งกอดอกและตั้งท่าจะลุกออกไปจากห้องด้วยความหงุดหงิด "มีใครรักอาเดรียเท่าข้าบ้าง เจ้าเห็นหรือไม่ เลสธีราห์..." นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบคนมองคนพูดพร้อมกับมุมคิ้วไม่เข้าใจ แม่ทัพใหญ่ถอนใจและเอนลงพิงหมอนใหญ่ข้างๆตัว "อ้อมค้อมเจรจาไปแบบนี้มีแต่จะสร้างความรำคาญให้ราชเลขา นางต้องการความตรงไปตรงมา แต่ทูตจากมหาคฤหาสน์ก็สนใจแต่จะยื้อผลประโยชน์ไว้ไม่ยอมเสียสักอย่าง แล้วคิดว่าแอสทารอธจะยื่นมือเข้าช่วยหรือไง"

"แต่เจ้าก็เสนอความเท็จให้แอสทารอธนี่..."

"ข้ารู้ว่ามันมีอยู่จริง เรือจักรไอน้ำนั่น... และถ้าแอสทารอธตกลงจะช่วย ข้าจะเดินทางไปธีสธรัลเพื่อไปเอามันมาให้ได้" เอเดรียนว่า "หากไม่เสนอสิ่งนี้ คิดว่าแอสทารอธจะยอมช่วยหรือ แล้วถ้าอาเดรียตกเป็นอาณานิคมอีกครั้ง เจ้าไม่คิดว่ามันเจ็บปวดหรือ ที่ข้าต้องทำแบบนี้ เพราะข้ารักอาเดรีย"

เซนทอร์หนุ่มพ่นลมอย่างอ่อนใจและนั่งบนฟูกข้างๆแม่ทัพใหญ่ที่ดูอ่อนเพลียจากการเจรจา

"พูดอย่างกับว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ถ้าเจ้าเอามันมาไม่ได้หรือตายไประหว่างทาง คนที่รับศึกหนักย่อมเป็นอาเดรีย ชักศึกเข้าบ้านตนแบบนี้ไม่รู้สึกผิดหรือไร" เลสธีราห์กอดอก แม้เขาจะไม่พอใจการกระทำของเอเดรียน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเดียวที่แอสทารอธสนใจในตอนนี้คือเรือจักรไอน้ำอย่างที่อีกฝ่ายคาดเดา

มันสมเหตุสมผลหรือไม่... ที่แอสทารอธจะยอมส่งกองเรือเซเลสต์ออกรบ

...และอาเดรียจะเสี่ยงชีวิตแม่ทัพคนหนึ่งเข้าไปขโมยศาสตร์เรือจักรไอน้ำออกมา

แอสทารอธอาจเสี่ยงชีวิตคนทั้งกองทัพ แต่อาเดรียกลับเสี่ยงชีวิตแม่ทัพเพียงคนเดียว "แม่ทัพเพียงคนเดียวที่รักอาณาจักรอย่างนั้นรึ" นัยน์ตาสีฟ้าปรายมองคนที่ลงไปนอนบนฟูกแล้ว "ไม่แบ่งเบาภาระบนบ่าเจ้าไปให้คนนสนิทบ้าง เอเดรียน ...ใครก็ได้ที่เจ้าไว้ใจ แม่ทัพไม่ควรคิดจะเสี่ยงเข้าไปตายในเมืองศัตรูแบบนั้น"

หากแอสทารอธตกลง... ชะตาของแม่ทัพอาเดรียคงไม่พ้นเป็นขโมยและอาจต้องตายในเมืองศัตรู

"ข้าไม่มีคนที่ไว้ใจ... เลสธีราห์"

ร่างสูงตอบเสียงเรียบ "จะมีก็แต่โจฮาลล์กับจาเร็ตต์ แต่พวกเขาก็สำคัญเกินกว่าที่ข้าจะยอมให้ไปตายบนเกาะนั่น" นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ "อาจจะมีเจ้าอีกคนที่เป็นกำลังให้ข้าได้" อีกฝ่ายหลับตาลงหลังพูดจบ "ถ้าข้าไว้ใจเจ้าได้จริงๆ..." จู่ๆเลสธีราห์ก็รู้สึกถึงความอ้างว้างแปลกๆของคู่สนทนา เขาคิดมาตลอดว่าการเป็นใหญ่เป็นโตถึงระดับแม่ทัพจะต้องมีมิตรสหายมากมายและมีคนรอรับใช้หลายคน แต่เอเดรียนกลับไม่มีใครสักคนข้างกาย เขามีเพียงเพื่อนไม่กี่คน และเป็นเพื่อนที่เขาจะไม่ส่งไปตายที่ไหนอีกด้วย ...ช่างเป็นแม่ทัพที่โดดเดี่ยว

"ข้าเป็นพรานชาวบ้านธรรมดา" เซนทอร์หนุ่มสวมบทบาทต่อไป "จะช่วยอะไรเจ้าได้"

"เป็นแค่คนที่ข้าไว้ใจได้ก็พอแล้ว"

แม่ทัพใหญ่ยิ้มจาง "ข้าไม่กลัว... หากจะต้องตายที่ธีสธรัล ข้าไม่กลัวหากจะต้องตายเพราะทำภารกิจให้อาณาจักร ขอแค่ความตายนั้นไม่ได้มาจากคนที่ข้าไว้ใจก็พอ" ความเหงาหงอยที่เขาสัมผัสได้ในน้ำเสียงทำให้เลสธีราห์ถอนใจและกำหมัดหลวมๆทุบไหล่คนพูดเบาๆเป็นเชิงปลอบ

"ข้าจะไปกับเจ้าก็ได้..." ร่างโปร่งรีบกอดอกและเบือนหน้าหนี "จะไปสู้หลังชนกับเจ้าก็ได้"

"แน่ใจรึ" เอเดรียนถามย้ำ "อันตรายนะ"

"เออ... ก็แค่อันตรายน่า" เลสธีราห์หันกลับมาจ้องคู่สนทนา "หายเหงารึยังล่ะ เจ้าแม่ทัพ!"

เอเดรียนหัวเราะเสียงต่ำในลำคอและเอื้อมมือมาลูบหัวคู่สนทนาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ข้าไม่ควรจะไว้ใจคนที่เพิ่งเจอกันไม่นานด้วยซ้ำ" คนที่ถูกขยี้ผมปัดมือใหญ่ออกและพยายามจะจัดทรงให้เรียบร้อยตามเดิมพร้อมเสียงประท้วง

"อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็กนะ!"

แม่ทัพอาเดรียทอดยิ้มจาง "เจ้าเป็นเด็ก... เด็กหนีออกจากบ้าน"

"ข้าไม่ได้หนีออกจากบ้าน!!" เมื่อเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง เลสธีราห์ก็ลุกขึ้นยืนและเดินจ้ำไปที่ประตูเพื่อตัดบท แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาชี้นิ้วใส่มนุษย์โอหังที่กล้าลูบหัวเขา "ข้าอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อนเจ้าแท้ๆ นอกจากไม่สำนึกบุญคุณแล้วยังมากวนประสาทข้าอีก"

"อืม ขอบคุณสำหรับเรื่องนั้นก็แล้วกัน... เลสธีราห์"

ร่างโปร่งชะงักไปก่อนจะกลับห้องตัวเองโดยไม่ต่อปากต่อคำ

...

ทำไมเขาจะต้องรู้สึกร้อนหน้ากับเสียงนุ่มๆของเอเดรียนด้วย

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 7 [29-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 29-10-2016 16:34:33
เขียนดีจังค่ะ ชอบสำนวน  :katai2-1:
รอติดตามนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 8.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 30-10-2016 08:24:21
ตอนที่ 8.1

"ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยนำเขี้ยวของเสือมาขายให้กับพ่อค้าที่ตลาดกลาง" เอเดรียนเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม "เขี้ยวพวกนี้มีมูลค่ามากเมื่อนำไปทำเป็นเครื่องประดับ พวกนักเดินทางที่กระเป๋าหนักชื่นชอบมันมาก" นี่ก็เป็นอีกวันที่ทั้งคู่จำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไหร่ที่พวกเขาออกมาพบกันที่ริมธารใต้ต้นพลับแห่งนี้ แต่มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่จะต้องมาทุกวัน

"ได้ยินแบบนี้ ข้านึกอยากจะไปขายด้วยตัวเองท่าจะได้เงินหนักกว่าไปส่งให้พ่อค้าคนกลาง"

เอเดรียนหัวเราะเบาๆ "อิทธิพลในเมืองท่ามันเยอะ เจ้าไม่ควรเสี่ยง เลสธีราห์"

"อะไรกัน เจ้าเองเป็นคนพูดขึ้นมายั่วข้าตั้งแต่แรกไม่ใช่รึ" ร่างโปร่งหัวเราะบ้าง "ข้าเองก็คิดว่ากว่าจะหาเขี้ยวสัตว์ได้สักคู่มันช่างเปลืองพลังงานเหลือเกิน ควรจะได้ค่าตอบแทนมากกว่านี้ด้วยซ้ำ" ในความเป็นจริงแล้ว เลสธีราห์พบซากเสือตัวนั้นในป่า และเขาคิดว่าเขี้ยวของมันอาจจะมีมูลค่า ดังนั้นจึงลองนำไปขายในตลาดกลางดูก็เท่านั้น "มีอะไรอีกบ้างที่ขายได้ราคาล่ะ"

"เจ้าเป็นพราน เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้าไม่ใช่รึ" เอเดรียนเลิกคิ้ว "ข้าเห็นพวกเอลฟ์ชอบเครื่องเทศนะ"

"อ้อ..." เลสธีราห์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เนื่องจากเซนทอร์ไม่ปรุงอาหาร ดังนั้นการคุยเรื่องเครื่องเทศอาจไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัดสักเท่าไหร่ "ข้าทำอาหารไม่เป็นหรอก" ชายหนุ่มไหวไหล่ "ปกติก็หากินในตัวเมือง หรือไม่ก็... พวกเนื้อเค็มที่พกพาง่ายสักหน่อย ไม่มีเวลาทำอาหารในป่าหรอก"

"จริงสิ ข้าได้ยินว่ามีร้านหนึ่งที่ท่าเรือทำเนื้อเค็มรสชาติดีมาก เอาไว้จะนำมาฝากเจ้าก็แล้วกัน"

เลสธีราห์อ้าปากค้างราวกับต้องการตอบโต้อะไรบางอย่างแต่ก็เงียบลงตามเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกรีดร้องอยู่ในใจว่า เอเดรียนไม่ควรซื้อเนื้อเค็มมาฝากเซนทอร์ "เจ้ากินบ่อยรึ ของชาวบ้านแบบนั้น ข้าคิดว่าพวกขุนนางจะคุ้นเคยกับอาหารดีๆมากกว่า"

"บอกแล้วไง ข้าเองก็ต้องออกไปล่าสัตว์กับคณะพรานเหมือนกัน" เอเดรียนหัวเราะ

"เช่นนั้นเจ้าควรเก็บไว้กินเองจะดีกว่า ฟังดูราคาแพงน่าดู"

"ไม่แพงเท่าอาหารที่อ้างว่าใช้สูตรของชาวเอลฟ์หรอก" ชายหนุ่มว่า "ในเมืองมีตั้งมากมายที่อ้างว่า อาหารในร้านนั้นใช้สูตรการทำอาหารของชาวเอลฟ์ หากสูตรการทำอาหารของพวกเอลฟ์ดีจริง เหตุใดพวกเขาจึงต้องมาซื้อเครื่องเทศ เครื่องปรุงจากตะวันตกเล่า นั่นไม่ได้หมายความว่าของประเภทนี้ของอาณาจักรเราดีกว่าหรอกหรือ"

เลสธีราห์โคลงหัวเล็กน้อยและพยายามหาความเชื่องโยงในอาณาจักรตนเพื่อมาต่อบทสนทนา

"ข้าเองก็ได้ยินว่าพวกเอลฟ์สอนเซนทอร์ทำอาหารด้วย" เมื่อเอ่ยถึงเซนทอร์ ท่าทางของเอเดรียนที่ดูเรียบเฉยก็แปรเปลี่ยนเป็นความสนใจราวกับเด็กฟังนิทาน "พวกเซนทอร์เป็นมังสวิรัติ เจ้ารู้ไม่ใช่หรือ แต่พวกเขาก็ต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจากดินแดนตะวันออกเหมือนกัน หากเสิร์ฟแต่ผักอย่างที่พวกตัวเองก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทไปสักหน่อย ดังนั้นพวกเขาจงต้องเรียนรู้การปรุงรสชาติเนื้อด้วย แม้ว่าตัวเองจะไม่กินเนื้อก็ตาม"

"ข้ารู้ว่าพวกเขาเป็นมังสวิรัติ แต่เรื่องการปรุงอาหารนี่ข้าก็เพิ่งเคยได้ยิน"

เลสธีราห์เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปจึงพยายามเลี่ยงการให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ดูรู้ลึกมากจนเกินไป "ข้าได้ยินมาจากคนอื่นอีกที แต่ก็เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะยังไม่เคยไปแอสทารอธเพื่อพิสูจน์เองเลยก็ตาม


--------------------------------------------------

เลสธีราห์กลับมายังห้องพักของตนที่อยู่ด้านนอกสุดของเขตที่พักรับรอง องครักษ์ร่างสูงที่เฝ้าเวรยามอยู่ด้านหน้าหันกลับมามองร่างโปร่งเล็กน้อยและลอบส่งยิ้มให้เป็นการทักทาย ผู้บัญชาการเซเลสต์หัวเราะสั้นๆกับกิริยานั้นและรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องของตน

"ท่านแม่ ถ้าพวกนั้นมาประชุมที่ห้องข้าจะเป็นอย่างไรกัน"

หญิงเซนทอร์ในร่างมนุษย์ก้าวออกมาจากเงามืดพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงลมหายใจ "เจ้าคิดว่าข้าคาดการณ์ไม่ได้หรือไง เลสธีราห์..." ลีอาห์อยู่ในชุดผ้าโปร่งบางเบาสบายที่ดูคล้ายจะเป็นชุดนอนของมนุษย์ ราชเลขาแห่งแอสทารอธตรงไปนั่งที่เตียงกว้างทรงกลม ก่อนจะกวักมือเรียกบุตรชายให้เข้าไปหาตน "ระวังตัวให้มาก รู้หรือไม่"

"ข้ารู้แล้วน่า" เด็กดื้อหลบสายตามารดาแต่ก็ยอมเดินไปหาแต่โดยดี "ข้าสบายดี"

"เลส..." เมื่อชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ คนเป็นแม่ก็เอื้อมมือไปลูบผมยาวสีอ่อนของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู "เจ้าต้องหาทางออกให้ตัวเองด้วย ใช่ว่าข้าอยากจะส่งลูกตัวเองไปสงคราม แต่ถ้าการเจรจามันต้องลงเอยเช่นนั้น เจ้าก็ต้องไป..." ลีอาห์พูดเสียงเรียบ "เรื่องเรือจักรไอน้ำทำให้เหนือหัวดาเรียสสนใจได้จริง แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเราจะได้มาโดยง่ายนัก เจ้าจะต้องดูแลผลประโยชน์ของอาณาจักรเราในส่วนนี้ด้วย"

"ข้าทราบแล้ว"

เลสธีราห์คิดว่าเขาควรจะเก็บเรื่องนี้ไปใคร่ครวญคิดดูอีกครั้งหนึ่งก่อน จริงอยู่ว่าอาเดรียคิดไม่ซื่อด้วยการเสนอสิ่งที่ตนไม่มีให้กับแอสทารอธ แต่ในเมื่อเอเดรียนเป็นฝ่ายออกปากเองว่าอย่างไรก็ต้องหามาให้ได้ในภายหลัง ดังนั้นเขาจึงควรรอดูท่าทีไปก่อน

เพราะมองในมุมเอเดรียนแล้ว อาเดรียก็ช่างเป็นเมืองท่าที่มีชะตากรรมอันน่าสงสาร

"แล้วก็..." ท่านหญิงเว้นจังหวะหายใจ "ใครคือหัวหน้าของเจ้าในตอนนี้ ใช่เอเดรียนผู้นั้นรึเปล่า"

"...ใช่ครับ"

ลีอาห์ยกมือขึ้นกุมหน้าทันทีที่ได้ยิน "ช่างเป็นเรื่องยุ่งยากจริง" เธอหันกลับไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของบุตรชายและพยายามอธิบาย "ระวังเขาให้มาก... ต่อให้เขาดูเป็นคนนุ่มนวล ประนีประนอมแค่ไหน เขาอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าที่เรามองเห็น ในการเจรจาวันนี้ จากการที่เขาตอบโต้ฉะฉานและยื่นข้อเสนออย่างกล้าได้กล้าเสีย ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นขุนนางธรรมดาคนหนึ่ง"

"ท่านแม่ เขาเป็นแม่ทัพของอาเดรีย" เลสธีราห์เฉลยปริศนาในใจของมารดา และเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าตื่นตกใจของราชเลขาราวกับต้องการขอคำแนะนำ "ข้าพบเขาเมื่อเดือนที่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะมาดักรอที่แม่น้ำซึ่งข้าต้องไปดื่มน้ำทุกวัน แล้วเราก็พูดคุยกันบ้างจนค่อนข้างถูกคอ กระทั่งเขาชวนข้ามาร่วมกลุ่ม..."

ลีอาห์เป็นฝ่ายนิ่งฟังเพื่อรอให้บุตรชายเล่าให้จบ

"เขาชวนข้าไปพักที่คฤหาสน์ในเมืองอาเดรียเพราะกลัว่าข้าจะเป็นสายสืบของที่ไหนสักที่... มันเป็นอุบายที่จะไม่ให้ข้าไปไกลจากสายตาของเขา" เซนทอร์หนุ่มกลั้นใจก่อนจะพูดต่อแม้รู้ตัวว่าจะต้องถูกตำหนิ "และเขารู้ว่าข้าเป็นอมนุษย์ ...เพียงวันเดียวที่ข้าเข้าไปที่คฤหาสน์นั่น"

ราชาเลขาหญิงมุ่นคิ้วพร้อมกับพยักหน้า "สมกับเป็นผู้นำทัพที่สามารถประคองกองกำลังลับๆของอาเดรียให้อยู่รอดมาได้ตลอดสิบปีที่ผ่านมา" นางเปรย "แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าเจ้าเป็นเซนทอร์ เป็นคนของแอสทารอธ" ท่านหญิงคาดหวังคำตอบที่พอจะทำให้นางสบายใจได้บ้าง และนางก็โล่งอกเมื่อเห็นบุตรชายส่ายหัว

"ข้าบอกเขาว่าข้าเป็นครึ่งเอลฟ์... เพียงเท่านั้น และเขาก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ"

"เขาคงวางแผนแค่จะใช้ประโยชน์จากเจ้า" ท่านหญิงว่า "ระวังตัวให้มาก ยิ่งเมื่อรู้ว่าเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ยิ่งต้องระวังให้มาก" เมื่อมารดาหันมาสบตา เลสธีราห์ก็พยายามใจแข็งมองตอบ "อย่าให้เขาใช้ประโยชน์จากเจ้าในฐานะเซนทอร์"

เลสธีราห์พยักหน้ารับเซื่องๆ "แต่เขาเป็นแม่ทัพที่ดูโดดเดี่ยว..."

เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาอย่างนั้น ลีอาห์ก็พบว่านั่นคือความอ่อนแอของบุตรชาย "เลสธีราห์... เจ้าเข้าไปในอาเดรียในฐานะสายลับที่สักวันก็จะต้องปลีกตัวออกมาหลังเสร็จสิ้นภารกิจ อย่าให้ความรู้สึกมีอำนาจเหนือเหตุผลเหล่านี้" ท่านหญิงทอดถอนใจ "เจ้ารู้ว่าหากภารกิจนี้สำเร็จ เจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าตามหามาตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ"

"ข้ารู้" เลสธีราห์ตอบ "ท่านแม่ไม่ต้องห่วง... ข้ายังจำเป้าหมายได้ดี"

"หากมีสักวันที่เจ้าจะต้องประกาศตัวว่าเจ้าคือผู้นำของเซเลสต์ สายใยบางอย่างอาจจะขาดจากกันและนำพาสถานการณ์ไปสู่ความเลวร้ายได้" มือเรียวยกขึ้นประคองใบหน้าคมของบุตรชาย "ระวังตัวให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คนข้างกายของเจ้าคือแม่ทัพเอเดรียน"

แต่เอเดรียนดูไม่มีพิษภัยเลยสักนิด... กับคำพูดเหงาๆเมื่อสักครู่

เลสธีราห์เม้มปากแล้วจึงพยักหน้ารับขณะครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง... เขาไม่คิดว่าเอเดรียนจะเป็นอันตราย ตัวเขาเองต่างหากที่รู้สึกผิดด้วยซ้ำที่พยายามใช้คำพูดกับจุดอ่อนของฝ่ายนั้น "ท่านแม่คิดว่าแม่ทัพใหญ่จะยอมเชื่อใจคนที่เพิ่งเจอกันได้เดือนกว่าๆหรือไม่"

"เป็นแม่... ก็ไม่เชื่อหรอก"

...นั่นสินะ

นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เลสธีราห์เคยคิดว่าเขาเริ่มสนิทสนมกับเอเดรียนขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้ฟังลีอาห์พูดเช่นนี้ เซนทอร์หนุ่มก็ตระหนักว่าความคิดของเขามันช่างตื้นเขิน ในความเป็นจริงแล้ว... ไม่มีใครที่อาจเชื่อใจกันได้ในช่วงเวลาสั้นๆไม่ใช่หรือ ต่อให้เป็นเด็กก็ยังต้องพูดคุยกันเนิ่นนานกว่าจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่เอเดรียนเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพที่ต้องประคับประคองกองกำลังที่จัดตั้งขึ้นลับๆภายใต้คำสั่งห้ามของธีสธรัล และเขาก็สามารถดูแลมันได้อย่างดีมาตลอด คนที่มีชั้นเชิงและมีความสามารถขนาดนั้นจะเชื่อใจใครง่ายๆได้อย่างไร

...เอเดรียนอาจจะพยายามจะซื้อใจเขา เพื่อให้เขาทำประโยชน์ให้

แต่ก็คงไม่มีวันเชื่อใจเขาเป็นแน่

...

อย่างไรเขาก็ไม่ต้องการความเชื่อใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

--------------------------------------------------

แม่ทัพอาเดรียออกมาจากห้องพักก่อนเวลาพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลนักเนื่องจากเขาไม่ได้มีเจตนาจะแอบไปที่ใด เพียงแต่ชายหนุ่มนอนไม่หลับเท่านั้น เมืองที่พวกเขามาพักนี้คือเลาน์เรน เมืองหลวงแห่งแอสทารอธ แต่ก็เป็นเมืองหลวงที่ค่อนข้างจะเงียบเหงา นั่นก็เพราะเลาน์เรนได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่มีไว้ต้อนรับแขกและเป็นที่พักของกษัตริย์เท่านั้น

เมืองที่คึกคักที่สุดของแอสทารอธเห็นจะเป็นมารินา...

โดยระหว่างเลาน์เรนและมารินานั้นมีเทือกเขาหนึ่งกั้นอยู่ ทำให้ผู้มาเยือนไม่สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของท่าเรือมารินาได้เลยแม้ไม่ว่าจะมองจากส่วนไหนของเลาน์เรนก็ตาม เอเดรียนยังอยู่ในชุดนอน และเขาก็อยากออกไปเดินรับลมยามเช้ามากกว่าจะนั่งเฉยๆอยู่ในที่พัก แต่เขาคงต้องรออีกสักพักใหญ่กว่าผู้ร่วมคณะเดินทางจะตื่นเต็มตา

ทว่าท่ามกลางความสงบของยามเช้านั่นเอง ร่างเงาบางอย่างก็เคลื่อนไหวให้เห็นที่หางตา

"...อะ!"

และเมื่อหันไปพิจารณาให้ชัดเจน เอเดรียนก็ต้องสะดุ้งเมื่อเลสธีราห์ก้าวเข้ามาประชิดตัวเขา "ตื่นเช้านี่ ท่านแม่ทัพ" ร่างโปร่งทักทาย ก่อนจะยื่นมือส่งอะไรบางอย่างให้อีกฝ่าย "หิวแล้วหรือไง" เอเดรียนชะงักเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นผลไม้สุก เขาถอยเท้ามาก้าวหนึ่งเพื่อพิจารณาสิ่งที่เลสธีราห์ถือให้แน่ใจ และพบว่ามันคือผลไม้สีม่วงลูกกลมที่เขาไม่รู้จัก

"เจ้าเองก็ตื่นเช้า... อย่าดอดไปไหนไกลนัก ประเดี๋ยวพวกเซนทอร์จะไม่พอใจเอาได้"

แม่ทัพหนุ่มรับผลไม้นั้นมาถือไว้ เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักของมันที่บ่งบอกถึงลักษณะผลไม้ฉ่ำน้ำ "แล้วนี่ไปได้มาจากไหนกัน อย่าบอกเชียวว่าไปแอบเก็บมา" เลสธีราห์สวมชุดตัวเก่งของเขาเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะกลับมาจากการเดินสำรวจคร่าวๆรอบที่พัก "เจ้านี่ซุกซนกว่าที่ข้าคิดเอาไว้นะ"

"ข้าไม่ได้แอบเก็บมาสักหน่อย เดินไปขอเขาตรงๆเลยต่างหาก"

เอเดรียนยิ้มอ่อนใจ แล้วจึงหยิบเศษใบไม้ที่ติดผมคู่สนทนาออก "แน่ใจรึ ในเมื่อเจ้านี่มันฟ้องแบบนี้" เขาหมายถึงใบไม้แห้งนั่น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะเอาถือสาเอาความ เขารู้ว่าเลสธีราห์เป็นพรานที่มีความสามารถและเอาตัวรอดได้ แม้จะไม่เห็นด้วยที่อีกฝ่ายแอบออกไปสำรวจข้างนอกมาก็ตาม "เอาเถอะ จะทำอะไรก็ระวังตัวด้วย ข้าตามไปปกป้องเจ้าไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ"

เซนทอร์หนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "ทำไมเจ้าต้องปกป้องข้าด้วย"

"เพราะเจ้าเป็นคนของข้าไง ถ้าลูกน้องทำผิด คนเป็นหัวหน้าเช่นข้าก็ควรจะออกหน้ารับแทน"

"ข้าไม่เคยพูดสักคำว่าเป็นลูกน้องเจ้า" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว "แล้วข้าก็ไม่ต้องการให้ใครปกป้องด้วย" ร่างโปร่งหยิบมีดพกออกมา ก่อนจะคว้าเอาผลไม้ในมือเอเดรียนมาตัดแบ่งครึ่ง โดยตนเองคาบเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วส่งครึ่งที่เหลือใส่ปากเอเดรียนเป็นการบอกให้อีกฝ่ายเลิกพูดมาก

"ถึงจะว่าอย่างนั้น มันก็เป็นหน้าที่ข้าที่จะต้องปกป้องเจ้าอยู่ดีล่ะนะ"

เอเดรียนถือไม้ผลไม้ครึ่งที่เหลือเอาไว้ โดยที่รสชาติหวานอมเปรี้ยวยังติดที่ปลายลิ้น เขามองดูคนตรงหน้ากัดกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยด้วยท่าทางของคนที่โปรดปรานมันอย่างที่สุด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ และหยิบมีดของตนขึ้นมาบ้างเพื่อผ่าชิ้นที่เหลือในมือของเขาออกเป็นสองส่วน "กินอีกสักครึ่งของข้าก็ได้นะ ถ้าเจ้าชอบขนาดนั้น"

"มันเป็นของหายากในแดนตะวันออก... เจ้าควรจะรู้คุณค่าของมันบ้าง"

"แต่เจ้าดูจะเห็นค่ามันได้มากกว่า ข้าถึงให้เจ้าไง" เอเดรียนกินชิ้นที่เหลือในมือของตน และยื่นอีกชิ้นไปใกล้ปากคู่สนทนา "เวลาที่เจ้าดูมีความสุข มันทำให้ข้าลืมเรื่องอื่นๆไปเสียหมดเลยเชียว" ร่างโปร่งไม่กัดผลไม้ที่อยู่ในมือของแม่ทัพ เขารับมือมันถือไว้สักครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มกินด้วยตัวเอง

"เจ้าก็หัดมีความสุขเสียบ้างสิ"

"ในภาวะเช่นนี้รึ ยากจริง" ร่างสูงแค่นหัวเราะ "มีความสุขแทนข้าทีสิ เลสธีราห์"

"หืม..." คนถูกเรียกเลิกคิ้ว "จะไปแทนกันได้ยังไง เจ้าก็พิลึกคนนัก" เมื่อกินผลไม้จนหมดแล้ว เลสธีราห์ก็เลื่อนสายตาไปมองชุดคลุมตัวยาวที่เอเดรียนใส่นอน "เจ้าควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว ถ้าพวกเซนทอร์มาตามไปกินอาหารเช้าแล้วมัวแต่ยืดยาด เดี๋ยวก็โดนดัดหลังเข้าให้หรอก"

เซนทอร์ไม่ชอบนิสัยผิดเวลา... ไม่ว่าใครก็รู้ดี

"ข้าจะไปปลุกโจฮาลล์กับจาเร็ตต์" ร่างโปร่งผละตัวออกมาจากบทสนทนาที่ค้างคา และโดยไม่ต่อปากต่อคำ เซนทอร์หนุ่มก็ตรงไปที่ห้องพักของสองพี่น้องผมแดง เขาไม่ต้องการจะสนทนาเรื่องนี้ในเวลานี้ แม้ว่ามันจะเป็นการพูดคุยเล่นๆก็ตาม แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียง และมองเห็นสีหน้าของเอเดรียน เลสธีราห์ก็รู้สึกว่าเขากำลังหวั่นไหว

หวั่นไหวต่ออะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ในเวลานี้

แต่ก่อนที่เลสธีราห์จะเคาะประตูห้องพักของจาเร็ตต์ เจ้าตัวก็เปิดออกมาก่อนด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่บ่งบอกได้ว่าไม่ได้เพิ่งตื่น และอาจจะแอบฟังการสนทนาของพวกเขาอยู่สักพักหนึ่งแล้ว "ใครจะไปนอนหลับในสถานการณ์แบบนี้เล่า" ชายผมแดงว่า "ต่อให้ 'การเจรจาไร้เสียง' ของพวกเซนทอร์จะให้ผลดีต่อพวกเราก็เถอะ แต่การต้อนรับดีก็ไม่ได้บอกเป็นนัยว่าอีกฝ่ายจะตอบรับข้อเสนอนี่"

"เจ้าตื่นเช้ามาด้วยเรื่องเครียดเชียว จาเร็ตต์"

เอเดรียนพยายามหัวเราะ เพียงเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศยามเช้า แต่มีหรือที่คนสนิทจะไม่ทันสังเกต "เจ้าเองก็นอนไม่หลับเหมือนกันไม่ใช่รึไง" ร่างโปร่งเดินเลี่ยงไปห้องข้างๆตนก่อนจะเคาะประตู "โจฮาลล์ ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นแล้ว ออกมาได้แล้ว" มือขวาของแม่ทัพหันกลับมาและมองเลสธีราห์อยู่สักพักแล้วจึงพูดต่อ

"ชีวิตของเจ้าดูมีอิสระเสียจนน่าอิจฉา เลสธีราห์"

"..." คนฟังชะงักเล็กน้อยแล้วจึงถามกลับ "ข้าต้องตอบว่าอะไรรึเปล่า"

จาเร็ตต์หัวเราะร่วนกับประโยคนั้น "ไม่หรอก มันเป็นประโยคบอกเล่าน่ะ"

"ฟังอย่างไรก็ค่อนแคะกันชัดๆ" เอเดรียนแกล้งแหย่ "แต่ก็ถูกของจาเร็ตต์ ตอนนี้ข้าคิดว่าอยากเกิดเป็นพรานป่าเสียมากกว่าแม่ทัพอย่างไรอย่างนั้น" คนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรได้แต่มองคนพูด ก่อนจะก้มลงเก็บมีดพกเล่มยาวใส่ฝักตามเดิมแก้เก้อ "แต่ทุกคนก็ล้วนแล้วไม่พอใจในชีวิตของตัวเอง ดังนั้นก็เลยคิดว่าเป็นเช่นนี้คงจะดีแล้ว"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 8.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 30-10-2016 08:25:27
ตอนที่ 8.2

การเจรจาไร้เสียงของแอสทารอธในวันนี้เปิดฉากด้วยรายการอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบโดยส่วนใหญ่ ส่วนเนื้อสัตว์ที่ปรากฎอยู่บนโต๊ะดูจะมีเพียงแฮมเนื้อหมูเท่านั้น และนอกเหนือจากนั้นก็เป็นไข่ และขนมปัง ซึ่งมันสร้างความกดดันอย่างประหลาดให้กับผู้มาเยือน

"เมื่อคืนนี้มีใครไปเมาเละเทะหัวราน้ำอยู่แถวไหนหรือเปล่า"

โจฮาลล์เอียงไปถามเอเดรียนที่พยายามประกอบอาหารเป็นแซนวิซแฮม จาเร็ตต์ที่นั่งอยู่ข้างกันก็ตักแฮมมาไว้ที่จานตัวเองถึงสามชิ้นและขนมปังอีกสองแผ่น ประกอบกับไข่ทอดชิ้นหนึ่งตามประสาคนไม่กินผัก ต่างจากเลสธีราห์ที่นั่งอยู่อีกข้างของเอเดรียนที่ดูจะมีความสุขเหลือเกินกับผักมากมายหลายชนิดตรงหน้า

"นี่ไม่ใช่การประชดประชันของแอสทารอธใช่ไหม"

พวกเขารู้ดีว่าเซนทอร์เป็นมังสวิรัติ แต่ก็ได้ยินมาว่าพวกครึ่งม้าจะแบ่งชั้นอาคันตุกะด้วยชนิดของเนื้อสัตว์ที่ใช้เลี้ยงระหว่างที่พวกเขาพำนักอยู่ โดยพวกเอลฟ์จะได้รับประทานเนื้อวาฬอย่างดี พวกภูตมักจะได้เนื้อกวาง และมนุษย์พวกแรกในรอบยี่สิบปีที่เข้ามาเหยียบแอสทารอธก็ได้รับเนื้อกวางเช่นกัน

ทว่าเช้านี้กลับเป็นผักเสียส่วนใหญ่...

"การเจรจาไร้เสียงจะเกิดขึ้นกับมื้ออาหารเย็นของคืนวันแรกเท่านั้น แล้วมื้อเช้าพวกเจ้าก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์หนักๆอย่างเนื้อกวาง เนื้อกระทิงไม่ใช่รึ ที่คฤหาสน์ราห์โมนายังเลี้ยงด้วยขนมปังปิ้งกับน้ำซุปเลย" เลสธีราห์คว้าผักใบใหญ่มาใส่ปาก เสียงของความกรอบอร่อยดังไปทั่วโต๊ะอาหารที่ยังคงงุนงงและเงียบกริบ

โจฮาลล์ย่นจมูก "ข้าว่าซุปผักยังให้ความรู้สึกดีกว่าผักทั้งต้นแบบนี้..."

"กินไปเถอะน่า" เอเดรียนเอ็ดคนสนิท "เซนทอร์อาจจะต้มซุปข้นไม่เป็นก็ได้ พวกเขาเป็นมังสวิรัตินี่ เจ้านึกถึงม้าเข้าไว้สิ" เลสธีราห์เหลือบมองคนพูดเล็กน้อยและพยายามจะพยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงแล้วเหตุผลที่เซนทอร์ไม่ทำซุปผักนั่นก็เพราะพวกเขาจะไม่นำผักไปต้มน้ำให้เสียรสชาติ เลสธีราห์ที่เคยลิ้มรสซุปผักมาครั้งหนึ่งก็ยังคิดอยู่ว่าฝีมือการทำอาหารของพวกมนุษย์นั้นไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยด้วยซ้ำ

"ถ้าพูดถึงม้า... เซนทอร์จะกินฟางแห้งด้วยไหม"

"เจ้าอย่าได้ล้อเลียนในเขตแดนของพวกเขาเชียวนะ!" จาเร็ตต์เอ็ดพี่ชายบ้าง เขาประกบขนมปังสองแผ่นกับแฮมทั้งหมดและไข่ทอดเป็นแซนวิซที่ไม่มีผัก ก่อนจะกัดคำหนึ่งเพื่อพบว่าแฮมของพวกเซนทอร์มีรสชาติที่ดีผิดคาด "ขนาดคนทำเป็นมังสวิรัตินะนี่"

"หนอย จาเร็ตต์! เจ้าเอาแฮมไปมากเท่านั้นแล้วจะพูดอะไรก็ได้นี่"

"ก็เจ้าตักช้า จะมาว่าอะไรข้าล่ะ"

"เป็นสูตรของพวกเอลฟ์น่ะ อาหารที่ทำจากเนื้อพวกนี้" เอเดรียนว่า "พวกเอลฟ์เป็นคนสอน... และอาหารที่ทำจากเนื้อก็จะทำกันเฉพาะในครัวของพระราชวังอัสเธียร์เท่านั้น โดยพ่อครัวและแม่ครัวที่ชำนาญการพิเศษที่ร่ำเรียนวิชามาจากชาวเอลฟ์ซึ่งสืบทอดกันมาหลายรุ่น" ทั้งโต๊ะหันไปมองคนพูด ก่อนจะพยักน้ารับรู้เบาๆ

"เจ้าไปรู้มาจากไหนน่ะเอเดรียน" โจฮาลล์เลิกคิ้ว

เลสธีราห์หัวเราะแล้วจึงถองศอกใส่คนข้างตัวเบาๆ "จำได้ขนาดนี้แล้วจะชวนข้ามาทำไมกัน" แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ เอเดรียนจำมาจากเลสธีราห์ พวกเขาเคยพูดคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง และเอเดรียนก็ดูจะสนใจเรื่องของแอสทารอธเป็นพิเศษ และตั้งอกตั้งใจฟังราวกับเด็กรอฟังนิทานเลยทีเดียว

"หรือเจ้าไม่เชื่อสิ่งที่ข้าพูดก็เลยพาข้ามาเพื่อให้แน่ใจ"

"ข้าบอกเจ้าแล้ว เลสธีราห์... ข้าถูกชะตากับเจ้า"

การพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมากลางโต๊ะอาหารทำให้คนฟังรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาทันทีอย่างช่วยไม่ได้ และถองศอกใส่อีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง "จ... เจ้าไม่เคยบอกข้าแบบนั้น!" ว่าแล้วร่างโปร่งก็หยิบผักใส่ปากตัวเองและเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย "เจ้าบอกว่าข้าช่วยเหลือเจ้าได้"

"แล้วเจ้าช่วยได้จริงหรือไม่เล่า"

"เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว!"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่อาหารประเภทผัก ผลไม้ และแป้งก็ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของคนที่ไม่ชอบผักอย่างโจฮาลล์อยู่ดี "เอเดรียน... เจ้ามีเนื้อเค็มติดมาบ้างไหม" ชายผมแดงกระซิบถาม และคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหัวของแม่ทัพอาเดรีย

"ข้าจะไปพกของแบบนั้นติดตัวมาได้ยังไง"

เลสธีราห์เอื้อมมือไปเลื่อนกระปุกแยมไปหาเอเดรียน เพื่อให้อีกฝ่ายส่งต่อไปให้โจฮาลล์ที่พยายามจะมองข้ามผักชามโตตรงหน้า "ถ้าเจ้ากินขนมปังได้" คนพูดหยิบผักใบเขียวขึ้นมากัดอีกคำหนึ่งและเคี้ยวกินเป็นปกติต่างจากโจฮาลล์ที่พยายามไม่แสดงสีหน้าด้วยความเกรงใจ

"ถูกปากหรือไร ผักสดน่ะหืม..." เอเดรียนถาม "เห็นเจ้าหยิบเอาไม่ขาดมือ ต่างจากโจฮาลล์ที่ลังเลเสียเหลือเกินกว่าควรจะหยิบอะไร" เซนทอร์หนุ่มชะงักไปสักพักแล้วจึงจัดการก้านผักในมือจนหมด ผู้นำทางคณะเองก็พยายามจะเลียนแบบบ้างด้วยการหยิบผักชนิดเดียวกันมากัดคำหนึ่ง

"นั่นสิ ทำไมเจ้าถึงกินได้อร่อยแบบนั้น นี่มันขมจะตายไป"

"ข้าถึงได้บอกให้เจ้ากินแยมอย่างไรเล่า" เลสธีราห์ตัดบท และหันไปหาแม่ทัพที่ดูจ้องจับผิดเขาเหลือเกิน "เจ้าเองไม่กินหรือไร ผักสดไม่อยู่ท้อง ยิ่งไม่กินจะยิ่งหิว เจรจาไม่รู้เรื่องด้วยนะ" ว่าแล้วเขาก็ยัดตะกร้าผักเขียวใส่มือเอเดรียนที่เริ่มหัวเราะ "อย่าหัวเราะแบบนั้นได้ไหม ข้าไม่ชอบ"

"อืม...ถึงขั้นออกคำสั่งให้ข้าเปลี่ยนเสียงหัวเราะเชียวรึ"

ร่างโปร่งมุ่นคิ้วกับประโยคล้อเลียน "เจ้าทำเหมือนข้าเป็นเด็ก"

"ถ้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นเด็ก เจ้าก็ไม่เด็กหรอก" แม่ทัพหนุ่มพยายามจะปลอบ "ข้าไม่ชวนเด็กมาร่วมคณะด้วยหรอกน่า" เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพยายามปากหวาน เซนทอร์ก็ไหวไหล่เป็นเชิงให้อภัย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมพูดกับเอเดรียนอยู่ดี

"นี่ เจ้าเด็กผอม... ข้าว่าเจ้าจะเหมือนเด็กก็เพราะคุณพ่อยอมขอโทษแล้วยังหน้างอนี่ล่ะ"

คนถูกเรียกอ้าปากค้างและหันไปแย้งคนข้างตัวทันที "ข้าไม่ได้หน้างอสักหน่อย!"

ขุนนางคนอื่นที่ร่วมทางมาด้วยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเมื่อกลุ่มผู้ติดตามของแม่ทัพเอเดรียนดูจะหยอกล้อเล่นกันเป็นครั้งที่สองในโต๊ะอาหาร บรรยากาศยามเช้าของแอสทารอธนี้เงียบสงบ และผ่อนคลายกว่าที่อาเดรียมาก ทั้งเสียงนกที่เริ่มออกหากิน เสียงลมไหวหวิวเมื่อเสียดสีกับต้นไม้ จะมีแต่เสียงฝีเท้าของเจ้าบ้านเท่านั้นที่ดังกวนใจ

เพราะเซนทอร์ตนหนึ่งมีสี่เท้า และเป็นสี่เท้าที่ก้าวไม่พร้อมกันเสียด้วย

ในระหว่างที่พวกเขากำลังถกเถียงกันนั่นเอง เสียงกีบเท้าหนักๆก็ดังขึ้นมา ซึ่งเลสธีราห์จำจังหวะการเดินแบบนั้นได้ดี เซนทอร์หนุ่มจึงก้มหน้าลงและเงี่ยหูรอฟังการมาถึงของอีกฝ่าย และน้ำเสียงดุดันหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์ "ท่านราชเลขาส่งข้ามาต้อนรับเจ้าในวันนี้" เมื่อฝ่ายนั้นมาถึง คณะทูตก็รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับในทันทีด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาท แต่ด้วยส่วนสูงของมนุษย์แล้วก็ไม่อาจทำให้เซนทอร์ผู้มาเยือนรู้สึกว่ากำลังพูดคุยอยู่ในระดับเดียวกันสักเท่าไหร่

อย่าว่าแต่เพียงพวกมนุษย์ แต่ในแอสทารอธนี้ ซาฮาลอาจเป็นเซนทอร์ที่สูง และสง่าที่สุด

"ใครเป็นคนเสนอตัวจะร่วมงานกับข้า"

เลสธีราห์ชำเลืองมองต้นเสียง และพบว่าสายตาของซาฮาลมองมาที่แผ่นหลังของเขาอย่างเจาะจง "การพูดคุยกับคณะทูตที่ไม่เปิดปากย่อมไม่มีความหมาย สู้คุยกับคนที่รู้เรื่องดีที่สุดเพียงคนเดียวจะดีกว่า" สำเนียงการพูดของอีกฝ่ายเข้มงวดและเด็ดเดี่ยวจนคณะทูตจากมหาคฤหาสน์เองยังไม่กล้าอาสา ดังนั้นจึงเป็นแม่ทัพเอเดรียนที่ยืดอกเจรจาตอบโต้

"ข้าเอง..." เอเดรียนสูงแค่อกของซาฮาล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียความสุขุมไป

"เช่นนั้นเราต้องหารือกัน" ซาฮาลหมุนตัวเดินนำออกไปจากโต๊ะอาหารพร้อมกับแนะนำตัวโดยไม่หันกลับมามอง "ข้าคือ ซาฮาล... ผู้บัญชาการกองเรือแห่งแอสทารอธ" เอเดรียนได้รับสัญญาณจากอีกฝ่ายให้เขาตามไป ชายหนุ่มจับดาบที่เอวเพื่อความมั่นใจครั้งหนึ่งแล้วจึงเลี่ยงออกไปจากโต๊ะอาหาร

"ข้าจะไปด้วย!"

ด้วยความที่อยากรู้ว่าซาฮาลจะพูดอะไร และอยากรู้ว่าเอเดรียนจะตอบโต้อย่างไร เลสธีราห์จึงเสนอตัวขึ้นมาพร้อมกับคว้าธนูข้างกายก้าวออกไปกับเอเดรียนด้วย "นี่เป็นการหารือระดับสูง" น่าแปลกที่เซนทอร์ร่างสูงจะยอมเหลือบสายตากลับมามองตามเสียงของเลสธีราห์ และต่อให้เขาวางท่าดุดันแค่ไหน ผู้บัญชาการเซเลสต์ก็ลอบถลึงตากลับไม่ยอมแพ้เช่นกัน

"เลสธีราห์..." เอเดรียนกระซิบปราม

แต่ร่างโปร่งข้างกายก็แยกเขี้ยวใส่เซนทอร์อย่างไม่กลัวเกรงอยู่ดี "ข้ามีหน้าที่ต้องดูแลผู้นำของข้า"

ซาฮาลพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินนำไปโดยไม่สนใจจะพูดซ้ำ เซนทอร์หนุ่มเดินนำทั้งคู่ออกมาด้านนอกพระราชวังโดยไม่กล่าวอะไร และมุ่งตรงออกไปทางตะวันออกซึ่งเป็นถนนทางยาวที่มุ่งสู่เมืองท่ามารินาแห่งแอสทารอธ "เจ้าไม่ควรวู่วาม จะเสียเรื่องเปล่า" เอเดรียนเอ็ดเบา "การเจรจานี้ไม่ใช่เพียงข้าที่ต้องรับผิดชอบ และทุกคนในคณะล้วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน"

"เซนทอร์เคารพในคำว่าหน้าที่... ดังนั้นถ้าข้าพูดว่ามันเป็นหน้าที่ มันก็เป็นหน้าที่ของข้า"

เมื่อร่างโปร่งเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็น เอเดรียนก็เป็นฝ่ายเงียบเสียเอง นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เขาจะสั่งสอนลูกน้อง แต่แม่ทัพใหญ่ก็เริ่มคิดว่าวันนี้เขาคงมีเรื่องต้องพูดกับเลสธีราห์อีกมากเลยทีเดียว เพราะในยามเช้านี้ เจ้าตัวก็เกือบจะทำเสียเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ

--------------------------------------------------

ซาฮาลก้าวเดินในจังหวะเชื่องช้าสม่ำเสมอ แม้จะเดินมาในเส้นทางทิศตะวันออก แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีความคิดจะให้อาคันตุกะจากต่างแดนเข้าไปในเมืองท่า ซาฮาลไม่ได้ตั้งใจจะพาเอเดรียนมาดูเรือรบ เพียงแค่เดินนำพวกเขาออกมาห่างจากพระราชวังอัสเธียร์เท่านั้น "ราชเลขาให้ข้ามีส่วนในการตัดสินใจเรื่องนี้"

"ในฐานะของผู้บัญชาการ และในฐานะของเซนทอร์"

จริงอยู่ว่าฝ่ายนั้นเป็นแค่ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ซึ่งนั่นก็แปลว่าซาฮาลแทบจะไม่เคยต่อสู้ด้วยเรือรบเลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้คำว่าแม่ทัพกับตำแหน่งตนได้ เพราะเขาเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลความเรียบร้อยของเรือขนส่งขนส่ง ต่างจากเลสธีราห์ที่มีหน้าที่ป้องกันอาณาเขตทางทะเลที่ถูกรุกรานอยู่บ่อยๆ ดังนั้นคนที่เหมาะสมกับคำว่า 'แม่ทัพเรือ' น่าจะเป็นเลสธีราห์เสียมากกว่า

แต่เลสธีราห์ก็พอจะเข้าใจแม่ของตนที่ดันซาฮาลออกมารับหน้าแทนในวันนี้...

เพราะถ้าตัวตนของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ยังเป็นปริศนาจะสร้างความสงสัยขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้นซาฮาลซึ่งเป็นคนที่มีตำแหน่งเกือบจะเท่าเทียมกับเขาจึงต้องรับบทบาทนี้ไปก่อน แต่สิ่งที่เลสธีราห์กังวลจนต้องตามทั้งคู่ออกมาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องตัวตนของเขาที่แอสทารอธพยายามจะปกปิดเอาไว้ แต่เป็นเรื่องการเจรจาที่เขาอยากจะรู้ผลเหลือเกินว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

หากเขาจะต้องไปรบร่วมกับเอเดรียนจริงๆในฐานะของแม่ทัพเรือ เขาควรจะทำอะไรต่อไป...

เพราะเขาเพิ่งจะพยายามสร้างความเชื่อใจให้ฝ่ายนั้นในฐานะของพรานชาวบ้านธรรมดาๆ

"เจ้าคิดว่ากองเรือเซเลสต์ยิ่งใหญ่อย่างนั้นรึ"

เสียงต่ำๆของซาฮาลลอยมาเข้าหู เจ้าตัวเดินมาตามถนนที่เงียบสงบที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนินเขา และก้าวไปยืนบนจุดสูงสุดของเมืองหลวงเลาน์เรน เพื่อมองเมืองท่ามารินาซึ่งอยู่ไกลออกไป และเฝ้ามองสีหน้าประหลาดใจของเอเดรียนในยามที่เขาได้ทอดมองเมืองอันเจริญรุ่งเรืองและวุ่นวายของแอสทารอธเป็นครั้งแรก

อ่าวมารินาไม่โค้งเป็นวงกลมเหมือนอ่าวอาเดรีย แต่ตรงกันข้าม น้ำทะเลจากทะเลเดียวกันกัดเซาะแผ่นดินเข้ามาอย่างไร้รูปแบบจนเกิดแหลมมากมาย แบ่งท่าเรือออกเป็นหลายแห่ง เรือพาณิชย์ขนาดเล็กหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ไกลๆ โดยมีเซนทอร์ผู้ดูแลตรวจสภาพความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ "เคยเห็นมันสักกี่ครั้งเชียว มนุษย์..." นี่เป็นการเปิดสนทนาตามนิสัยของซาฮาล แต่เลสธีราห์ก็อดติติงในใจไม่ได้ว่านั่นเป็นลักษณะการพูดที่ไม่ได้ชวนฟังเลยสักนิด

"ข้าไม่สันทัดการสู้รบทางทะเล" เอเดรียนยืดอกยอมรับ "อีกทั้งอาเดรียก็ไม่มีกองทัพเรือ"

"อย่างนั้นเจ้าก็จะฝากความหวังเอาไว้กับความยิ่งใหญ่ที่มาจากลมปากของชาวประมงหรือยังไง"

"แล้วข้าจะต้องเคยประมือกับกองเรือเซเลสต์อย่างนั้นหรือ ถึงจะสามารถขอความช่วยเหลือได้"  เลสธีราห์คิดว่าซาฮาลจงใจยั่วโมโหเอเดรียนเพื่อหาเรื่องปฏิเสธความช่วยเหลือ และดูเหมือนว่าแม่ทัพอาเดรียก็ใช่ว่าจะเป็นทูตที่สุภาพนัก "ข้ามิได้ฝากความหวังเอาไว้กับลมปากของชาวประมง แต่ในสถานการณ์นี้ คงมีแต่แอสทารอธเท่านั้นที่อาเดรียจะหันไปพึ่งพาได้ ข้ากล่าวไม่ถูกหรืออย่างไรที่จุดเด่นของเผ่าเซนทอร์คือกองเรือรบที่น่าเกรงขามที่สุดในแผ่นดินใหญ่"

นับว่าเอเดรียนผู้นี้มีวาทศิลป์อยู่บ้าง แต่สำหรับซาฮาลผู้ไม่เคยโอนอ่อนแล้วมันไม่ได้ผลเท่าไหร่

"คำเยินยอเหล่านั้นไม่สามารถแลกชีวิตของทหารเรือได้หรอกนะ ท่านแม่ทัพ"

เอเดรียนยักมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างใจเย็น "ข้าก็ได้เสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำไปแล้ว เซนทอร์ไม่สนใจสิ่งนั้นจริงๆหรือ" ร่างสูงก้าวไปยืนข้างเซนทอร์ร่างสูง แม้จะเว้นระยะห่างสักหนึ่งช่วงตัวก็ตาม "ทั้งเรือพาณิชย์ที่ต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง ทั้งเรือรบที่ต้องการความแข็งแกร่งในการต่อสู้ มีเหตุผลใดที่แอสทารอธจะปฏิเสธกัน"

ซาฮาลพิจารณาคนพูดด้วยการเหลือบมองทางหางตา

...เอเดรียนผู้นี้อาจมีความสามารถในการเจรจาบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะเก่งกาจ

"ข้าไม่ได้ปฏิเสธเรือไอน้ำ... แต่ข้าปฏิเสธในความไม่แน่นอน" เซนทอร์หนุ่มยกแขนขึ้นกอดอก "จักต้องได้รับชัยชนะเท่านั้นจึงจะบรรลุสัญญา และถ้าหากไม่ชนะขึ้นมาเล่า เซนทอร์ก็จะไม่ได้สิ่งใดเลยอย่างนั้นรึ" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยขณะพูด "เหตุใดเผ่าของเราจะต้องกระโดดเข้าไปร่วมสงครามทั้งที่ไม่มีความแน่นอนในผลตอบแทนเล่า"

"ทุกอย่างย่อมมีการเสี่ยงไม่ใช่รึ" เลสธีราห์เอ่ยขึ้นอย่างอดทนต่อไปไม่ได้ "ที่พูดมานั่น อย่างกับทำนายว่า... กองเรือเซเลสต์จะไม่ชนะ เจ้าเป็นแม่ทัพประเภทใดจึงได้ดูแคลนกำลังพลของตนเองแบบนี้" เมื่อแม่ทัพตัวจริงออกมา ซาฮาลก็หันกลับไปมองและเบิกตาใส่คนพูดเป็นการปรามครั้งหนึ่ง แต่ร่างโปร่งกลับยิ่งก้าวเข้ามาหาอย่างไม่กลัวเกรง

"จะไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย แต่ก็อยากได้ผลประโยชน์... นี่เป็นวิธีการคิดของเซนทอร์หรืออย่างไร"

"เลสธีราห์!"

เอเดรียนตรงเข้ามาปราม แต่คนใต้บัญชากลับไม่ฟังเสียง "กองเรือเซเลสต์รับได้การขนานนามว่าเป็นจ้าวมหาสมุทรแห่งตะวันตก มีเรือรบอยู่ในสังกัดหลายร้อยลำ แต่สิ่งที่ข้าได้ยินจากแม่ทัพกองเรือที่ยิ่งใหญ่นั้นกลับเป็นความไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้ชัยชนะรึ"

ซาฮาลมุ่นคิ้วกดลงต่ำจนน่ากลัวและก้าวเท้ามาหาคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างเอาเรื่อง

"แล้วเจ้าจะส่งคนของตัวเองไปตายเพื่อความหวังล้มๆแล้งๆจากมนุษย์ที่แม้แต่จะหาความมั่นคงให้ตัวเองก็ทำไม่ได้อย่างนั้นรึ" สำหรับซาฮาลแล้ว อาเดรียเป็นเมืองที่ไม่มีจุดยืนและไม่มีความมั่นคง มันเป็นเมืองท่าที่เต็มไปด้วยพ่อค้าเห็นแก่ตน หากใครให้ประโยชน์มากกว่าก็จะเข้าข้างฝ่ายนั้น และในครั้งนี้ก็เช่นกัน หากแอสทารอธยื่นมือเข้าช่วย พวกพ่อค้าก็จะแสวงหากำไรและตักตวงผลประโยชน์จากพวกเขาให้ได้มากที่สุด หากเซเลสต์ชนะศึกก็คงเป็นผลดี แต่หากพ่ายแพ้ขึ้นมาก็คงไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่ไม่สามารถทำอะไรได้

เลสธีราห์เพียงแค่ไม่พอใจที่เขาดูแคลนกองทัพของตนเท่านั้น

...บุตรชายของท่านหญิงลีอาห์ไม่ได้คิดระวังนิสัยใจคอของมนุษย์เลยสักนิด

"เช่นนั้นแล้วแอสทารอธจะเปิดโอกาสเพื่ออะไร" ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนาไม่ยอมแพ้ "จะให้โอกาสทูตจากเมืองอื่นเข้ามาเพื่ออะไร หากพวกเจ้าไม่พร้อมที่จะเจรจาอะไรทั้งนั้นแบบนี้!" มือใหญ่วางกดลงบนบ่าของเลสธีราห์หลังจากเขาพูดจบ เอเดรียนดันร่างโปร่งออกไปให้พ้นทางและหันมองด้วยสีหน้าดุดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"เจ้ามีหน้าที่แค่มากับข้า... ไม่ใช่การเจรจา" นัยน์ตาสีเข้มเขม้นมองคนที่ตั้งท่าจะเถียง "เงียบซะ"

ร่างโปร่งพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมถอยไปแต่โดยดี แม่ทัพแห่งอาเดรียพยายามจะยิ้มให้เซนทอร์ร่างสูงอีกครั้ง แต่หลังจากถูกตอกจนหน้าชาไม่แพ้กัน ซาฮาลก็ไม่นึกอยากพูดคุยอะไรอีก "หน้าที่ของเจ้าในวันนี้คงจบแค่นี้ก่อน" เซนทอร์หนุ่มถอยเท้า "ถ้าราชเลขายังให้ที่พักต่อ พรุ่งนี้พวกเจ้าอาจจะหาคนที่ปากดีกว่านี้มาเจรจากับข้าได้กระมัง"

แล้วคนพูดก็กระแทกเท้าเดินผ่านเลสธีราห์ไปด้วยความหงุดหงิด

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานหลังจากนั้น

เอเดรียนไม่พูดอะไรเลยสักพักใหญ่ อีกทั้งยังกำหมัดทั้งสองมือราวกับกำลังควบคุมอารมณ์และครุ่นคิดหาทางออกที่เหมาะสม เขาเดาความคิดของแม่ทัพเซนทอร์ไม่ออกว่าเหตุใดจึงเปิดประเด็นสนทนาแบบนั้น ฝ่ายนั้นตั้งใจจะหารือเรื่องใดกับเขากันแน่ และแอสทารอธจะยอมร่วมมือกับอาเดรียหรือไม่

...คำถามเหล่านี้คงมีคำตอบหากเลสธีราห์ไม่ขัดจังหวะเสียก่อน

เอเดรียนยอมรับว่าอีกฝ่ายมีนิสัยปากไวมากจนเขาเองก็ห้ามปรามไม่ทัน และด้วยความปากไวนั้นเองที่ทำให้การเจรจาในวันนี้ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเอาเลยเสีย ร่างสูงเหลือบมองคู่สนทนาซึ่งยังแสดงสีหน้าไม่พอใจที่ถูกเขาขัดคอโดยไม่มีความรู้สึกผิดใดๆสักนิด "เซนทอร์แก้ปัญหากันแบบนี้หรือไง"

"จากนี้ไปไม่ต้องพูดอะไรอีก เข้าใจไหม"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วมองเอเดรียนก่อนอ้าปากประท้วง "เป็นความผิดของข้ารึไง..."

...เพี๊ยะ!!

หลังมือของคู่สนทนาเหวี่ยงฟาดใส่ซีกหน้าข้างหนึ่งของเขาหลังจบจากประโยคนั้น "อ่ะ..!" ความรู้สึกแล่นจนหูอื้อทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าหันไปสบตาแม่ทัพอาเดรีย เลสธีราห์ยกมือขึ้นแตะมุมปากของตนและมองหยดเลือดติดปลายนิ้วอย่างไม่เข้าใจ

"เราไม่จำเป็นต้องเอาชนะเขาในวันนี้... ถ้ามันทำให้เราต้องเดือดร้อนในวันพรุ่งนี้ เข้าใจไหม"

"..."

เลสธีราห์มองคู่สนทนาด้วยความตกตะลึง ด้วยความที่คิดไม่ถึงว่าจะถูกลงโทษด้วยวิธีแบบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่เคยถูกใครเหวี่ยงหลังมือฟาดเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้พวกเซนทอร์จะได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่ชอบใช้กำลังมากกว่าเผ่าอื่น แต่พวกเขาก็มักจะเอาชนะกันด้วยเกียรติมากกว่า และการต่อสู้อย่างสมเกียรติก็นับเป็นวิถีของอัศวินโดยแท้

"การเจรจานี้ไม่ได้มีผลแค่ตัวข้า หรือว่าเจ้า... แต่มันหมายถึงทั้งอาณาจักรอาเดรีย"

"แล้วสิ่งที่ข้าพูดมันไม่จริงหรืออย่างไร เจ้ายังยืนยันจะขอความเหลือจากแม่ทัพที่ไม่มั่นใจในกำลังพลของตนอย่างนั้นรึ... เจ้ายังยืนยันจะขอความช่วยเหลือจากข้า เพราะเจ้าคิดว่าข้าช่วยเจ้าได้ไม่ใช่รึไง" ไม่รู้ว่าบทสนทนาดำเนินมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เอเดรียนถอนใจด้วยความหนักอกและลดมือลงอย่างไม่อยากต่อกร

"ข้ากับเจ้ามันคือความเชื่อมั่น แต่การเจรจาระหว่างอาณาจักรมันไม่มีความเชื่อมั่นหรอก"

"ทำไมจะเชื่อมั่นไม่ได้เล่า..."

"มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เลสธีราห์" เอเดรียนตอบใจเย็น เขาเดินเข้าไปจับบ่าลูกน้องของตนที่เริ่มส่งเสียงดังจนเกินควร "เราควรกลับไปคุยในที่พัก ...พอเถอะ ขอบใจที่พยายามจะช่วยข้า" แม้อีกฝ่ายจะมีฝีมือการยิงธนูที่เหนือชั้น แต่นิสัยที่ยังคงความเป็นเด็กอยู่มากของเลสธีราห์ทำให้เอเดรียนรู้สึกเวียนหัว

แต่นั่นก็คือความพยายามของอีกฝ่ายที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่แล้ว

"พวกเซนทอร์ก็เรียกร้องประโยชน์จากเจ้าชัดเจนอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องเล่นแง่กันอีก"

แม่ทัพใหญ่โอบไหล่คู่สนทนาและพาเดินกลับที่พักพร้อมกับให้คำตอบ "เพราะต่อให้มีสัญญา ก็ไม่อาจเชื่อใจกันได้อยู่ดี"

--------------------------------------------------

หลังจากถูกเลสธีราห์ยอกย้อนเสียยกใหญ่ ซาฮาลก็กระฟัดกระเฟียดกลับมายังที่พักของตนซึ่งอยู่ที่ท่าเรือมารินา "เลสธีราห์ช่างทำเสียเรื่องนัก!" ร่างสูงจงใจพูดให้ท่านหญิงลีอาห์ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูทางเข้าของท่าเรือได้ยิน ราชเลขาหันกลับมามองคนอารมณ์เสียครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองเรือพาณิชย์สองลำที่กำลังจะเข้าเทียบท่า เซนทอร์ในร่างมนุษย์สองคนกระโดดลงมาจากเรือและแปลงกายกลับร่างเดิมแล้วจึงดึงเชือกยื้อเรือเอาไว้กับท่า

"ท่านหญิงรู้อยู่แล้วรึไง"

กิริยาที่ดูจะนิ่งเกินไปของราชเลขาทำให้ซาฮาลคิดอย่างนั้น และแทนที่เขาจะกลับห้องพักอย่างที่ตั้งใจไว้ ผู้บัญชาการกราเทียร์ก็เดินเข้ามาสนทนากับเซนทอร์หญิงแทน "ข้ารู้..." ลีอาห์ยอมรับ "มีหรือข้าจะไม่รู้ว่าเลสธีราห์จะทำเสียเรื่องถ้าเจอเจ้า"

"เช่นนั้นแล้ว เซนทอร์เราจะเปิดโอกาสให้เขามาเจรจาทำไม ในเมื่อไม่ตั้งใจจะยื่นมือเข้าช่วย"

ซาฮาลย้อนด้วยคำถามเดิมของเลสธีราห์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ท่านหญิงลีอาห์สะทกสะท้านสักเท่าไหร่ "ข้าส่งเจ้าไปพบหน้าเอเดรียนอย่างที่เจ้าอยากพบแล้วนี่" หญิงสาวว่า "เจ้ารู้ทันมนุษย์ยิ่งกว่าเลสธีราห์ และเจ้าก็รู้ว่าพวกอาเดรียไม่มีศาสตร์การสร้างเรือจักรไอน้ำอย่างที่พยายามจะแอบอ้าง ที่จงใจยื่นข้อเสนอนั้นมาก็เพื่อดึงความสนใจเท่านั้น เจ้าเองก็รู้... เซนทอร์เราจึงไม่อยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ใช่หรือไร"

"แล้วทำไมท่านหญิงจึงไม่ปฏิเสธไปเสียแต่เนิ่นเล่า"

"ข้าอยากจะรู้ว่าเลสธีราห์จะสามารถหาผลประโยชน์ประการอื่นให้เราได้หรือไม่ อาเดรียคงไม่ได้มีดีแค่นั้นหรอกไม่ใช่หรือ เพียงแค่เขาไม่ยอมเปิดเผยให้เรารู้เท่านั้น" อาเดรียคงไม่ได้มีดีแค่เป็นเมืองท่าหรือทางผ่าน พวกเขาอาจจะครอบครองอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมบอกใครเนื่องจาความหวาดกลัวจะถูกช่วงชิงไป และนั่นเป็นหน้าที่ของเลสธีราห์ที่จะต้องหาว่าความลับที่ว่านั้นคืออะไร

"เขาเป็นบุตรชายของท่าน เหตุใดจึงต้องใช้วิธีแบบนี้"

"เอเดรียนผู้นั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาเดรียที่หลบซ่อนตัวและคอยประคับประคองกองกำลังต้องห้ามของอาเดรียมาโดยตลอด และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาเรียกเลสธีราห์เข้าไปพักในคฤหาสน์ด้วย ทำทีราวกับจะชักจูงให้มาเป็นคนสนิท แต่แม้จริงแล้วก็คือการคอยสอดส่องดูพฤติกรรมของเลสธีราห์ และป้องกันไม่ให้เขาเดินทางกลับแอสทารอธ"

ท่านหญิงลีอาห์หรี่ตาลงเล็กน้อย "นี่เป็นหนทางที่แนบเนียนที่สุดที่จะพูดคุยกับเลสธีราห์"

"แต่ในเมื่อเขาทำเสียเรื่องแบบนี้ไม่คิดว่าแม่ทัพจะไล่เขาออกจากคณะรึ"

ลีอาห์กลับตาลงครุ่นคิดสักพักก่อนให้คำตอบ "คนที่จะตัดสินว่าเสียเรื่องหรือไม่... คือข้าไม่ใช่หรืออย่างไร" มุมปากบางของคนพูดเหยียดยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีเลศนัยอย่างที่สุด "อย่างน้อยนี่ก็เป็นการยืดเวลาตัดสินใจของเราออกไปได้มากแล้ว อาเดรียเพิ่งปิดท่ามาได้เจ็ดวัน เรายังอ่านความเคลื่อนไหวของเมืองอื่นไม่ได้หรอก แอสทารอธจะตัดสินใจได้ก็ต่อเมื่อเห็นท่าทีของไอย์ชวลกับธีสธรัลนั่นแหละ"

นอกจากจะต้องมองผลประโยชน์ของอาณาจักรแล้ว เหนือหัวดาเรียสก็กำชับมานักหนาว่าควรมองการตอบโต้ของอาณาจักรอื่นด้วย เพราะต่อให้ไม่มีใครคิดจะยุ่งกับพวกเซนทอร์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ากำลังพลของเซนทอร์จะเอาสามารถเอาชนะข้าศึกจากเมืองอื่นได้ หากเขาต้องรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเมืองใดสักเมือง เมืองนั้นควรจะเป็นเมืองใด

แอสทารอธเรียกตัวเองว่าเผ่านักรบโดยกำเนิด แต่ก็ยังมีฟาวสต์ที่เรียกตัวเองจักรวรรดิแห่งขุนศึก

และฟาวสต์กับแอสทารอธก็ไม่เคยประมือกันสักครั้ง

"ท่านหญิงส่งข้าไปให้แม่ทัพเอเดรียนจดจำใบหน้า... เพื่อไม่ให้ข้าเข้าไปยุ่งกับภารกิจของเลสธีราห์ในคราบมนุษย์ใช่หรือไม่" ในเมื่อลีอาห์ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าควรจะตอบโต้อะไร อีกทั้งยังมีแนวทางในการแก้ปัญหาอีกด้วย เหตุใดนางจึงหันมาไหว้วานให้เขาไป 'สนทนากับผู้นำคณะทูต' อีกครั้งกันเล่า หากไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้ "ท่านเองก็หาเหตุผลมาห้ามข้าไม่ได้เหมือนกัน"

"อืม... คงเป็นเช่นนั้น" คนเป็นแม่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม "เจ้าไปเถอะ ซาฮาล ข้าจะรับมือต่อเอง"

"แล้วท่านหญิงจะตอบโต้อย่างไร"

ลีอาห์ที่ตั้งใจจะเลี่ยงออกมาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบคำถาม "ถ้าเขาหาศาสตร์เรือจักรไอน้ำหรือสิ่งที่มีมูลค่าเพียงมายื่นให้เราได้เห็นเมื่อไหร่ เหนือหัวก็พร้อมจะส่งกองเรือเซเลสต์ออกศึก"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 8 [30-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-10-2016 16:05:11
แอบไปอ่านที่อีกเว็ปมา...
เลยว่ารอถึงตอนหลังจากนั้นจะเข้ามาอ่านนะคะ (ระหว่างนี้จะเข้ามาบวกเป็ดให้ค่ะ)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 9.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 31-10-2016 08:49:29
ตอนที่ 9.1

"ป่าเวทมนตร์หรือ"

เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อนั้นจากปากของพรานแปลกหน้า "จริงอยู่ว่าป่าเวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรคัสนาห์..." ร่างสูงว่า แต่ก็หยุดชะงักไปก่อนจะเปลี่ยนวิธีการใช้คำใหม่ "อาณาจักรคัสนาห์ตั้งอยู่ใกล้กับป่าเวทมนตร์มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็นิยมล่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ามากกว่าป่าทึบที่เต็มไปด้วยเรื่องลึกลับ"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วงุนงงเมื่อสิ่งที่เอเดรียนพูดนั้นผิดจากที่ตนรู้มา "เหตุใดจึงมีคำกล่าวว่าชาวคัสนาห์สามารถใช้ประโยชน์จากป่าเวทมนตร์ได้เล่า ยารักษาโรคเอย ยาบำรุงอะไรพวกนั้นน่ะ พวกพ่อค้าต่างลือกันหนาหูว่าพวกคัสนาห์มีความรู้และตำราที่สืบทอดกันมา"

"คงเป็นเรื่องในอดีตเสียมากกว่า" เอเดรียนตอบ "ก่อนที่ธีสธรัลจะยึดอำนาจกษัตริย์ของเรา"

"แล้วพ่อค้านั่นก็ให้ข้าไปหารากไม้ในป่าเวทมนตร์" ร่างโปร่งกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์ "บรรยากาศลึกลับน่ากลัวแบบนั้น เพียงแค่เดินไปที่ชายป่าก็รู้สึกขนลุกแล้ว" คู่สนทนาหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นท่าทางนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงวาดแผนที่คร่าวๆของคัสนาห์และเส้นทางหลักที่ทั้งสองเมืองใช้เดินทางไปมาหาสู่กัน

"ข้าได้ยินว่าในอดีตมีตระกูลปราชญ์อยู่หลายตระกูล พวกเขามีความรู้ ความชำนาญเกี่ยวกับยารักษาโรคที่หาจากที่อื่นใดไม่ได้นอกจากคัสนาห์ และยังมีตำราลับๆที่บันทึกเรื่องราวพวกนี้ส่งต่อถึงกันจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย" เอเดรียนเล่า เขาหันไปมองอัลธอร์ที่ในวันนี้สามารถเดินลงไปเล่นน้ำในลำธารได้ และมันก็เดินไปเดินมาอย่างมีความสุขเหลือเกิน "แต่เมื่อธีสธรัลเข้ายึดอำนาจ พวกเขาก็เผาทำลายบ้านเมืองจนวอดวายไปหมด และความรู้เหล่านี้ก็หายไปด้วย จนในปัจจุบัน ข้าคิดว่าคงเป็นการยากที่จะหาตัวผู้ที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรและยารักษาโรคที่เจ้าว่า"

"แล้วเรื่อง... ยูนิคอร์นล่ะ"

แม้วาภายนอก เลสธีราห์ดูจะสนใจสิ่งที่สามารถนำมาขายหารายได้ แต่จุดประสงค์ในการพูดคุยเรื่องนี้ของเซนทอร์หนุ่มคือการรับรู้ถึงความสนใจของพวกมนุษย์ที่มีต่อป่าเวทมนตร์ จริงอยู่ว่าในอดีต พวกมนุษย์ในอาณาจักรคัสนาห์นั้นหวงแหนป่าเวทมนตร์ยิ่งกว่าอะไร อันเนื่องจากต้นไม้และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่านั้นสามารถนำรายได้มหาศาลมาสู่อาณาจักร แต่หลังจากที่ธีสธรัลเข้ายึครองอำนาจ การค้าขายสมุนไพร และยารักษาโรคของคัสนาห์ก็มีอันต้องหยุดชะงัก อันเนื่องมาจากการบุกทำลายของธีสธรัล

แม้จะมีป่าเวทมนตร์อยู่ใกล้ แต่ในเมื่อไม่มีความรู้เกี่ยวกับมัน พวกมนุษย์จึงหาประโยชน์จากมันไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่แอสทารอธให้ความสนใจ เพราะป่าเวทมนตร์แห่งนี้เป็นแหล่งอาศัยของยูนิคอร์น อันเป็นสัตว์วิเศษที่มีบรรดาศักดิ์สูงที่สุดสำหรับพวกเขา

แม้ว่าเซนทอร์จะยกตนว่าอยู่เหนือมนุษย์ แต่พวกเขายอมรับว่าตนนั้นอยู่ต่ำกว่ายูนิคอร์น

ดังนั้นพวกเขาจึงเชิดชูบูชายูนิคอร์น และต้องการจะพบพวกมันสักครั้งหนึ่งในชีวิต

เอเดรียนไหวไหล่น้อยๆก่อนให้คำตอบ "จากที่ข้าจำความได้ ไม่เคยได้ยินว่ามีใครพบยูนิคอร์นในป่าเวทมนตร์เลย" เขายิ้มน้อยๆเมื่อพูดจบ "แต่หากยูนิคอร์นมีอยู่จริง ข้าก็ไม่อยากให้ใครได้พบพวกมันเหมือนกัน เกรงว่าจิตใจของพวกมนุษย์จะทำให้มันแปดเปื้อน" น้ำเสียงของร่างสูงอ่อนโยนกว่าปกติเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา "ข้าได้ยินว่าแม่ทัพหญิงของพวกภูต... ฟาวสต์น่ะนะ นางขี่ม้าตัวหนึ่งที่เคยเป็นยูนิคอร์น ทว่าถูกตัดเขาไป"

หากพูดถึงแม่ทัพหญิงของฟาวสต์ แน่นอนว่าทุกคนย่อมรู้จัก... ท่านหญิงฟอลลีน

"อ้อ ข้าเองก็เคยได้ยิน นางภูตที่มีผมสีขาวเงิน...ที่ช่วยยูนิคอร์นเขาหักจากความตาย จนมันยอมรับใช้นางเพียงคนเดียว" ร่างโปร่งเท้าคาง "คงเป็นเรื่องเดียวที่ข้าจะอิจฉาสตรี เพราะยูนิคอร์นไม่ชอบบุรุษ" เลสธีราห์ถอนใจ "แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็อยากพบยูนิคอร์นสักครั้งเหมือนกัน"

เอเดรียนหัวเราะร่วนก่อนส่ายหัว "ข้าคิดว่าให้พวกมันไม่ปรากฎตัวแบบนี้ต่อไปก็ดีเหมือนกัน"


--------------------------------------------------

"เจ้ายื่นข้อเสนอเรื่องป่าเวทมนตร์ไปอย่างนั้นรึ!!"

เสียงแหลมของท่านหญิงซินญอร่าแห่งคัสนาห์ดังขึ้นลั่นห้องนั่งเล่นในมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรีย จนท่านชายซินญอร์ผู้เป็นน้องต้องยกมือขึ้นปรามและถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายอย่างรู้ชะตากรรมว่าจะต้องถูกตำหนิ "ข้าแค่ขอให้มันเป็นตัวเลือกสุดท้าย หากจะต้องทำ"

"จริงอยู่ว่าพวกเซนทอร์ไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอเรื่องป่าเวทมนตร์ พวกเขาอยากเข้าไปในนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้ายอมให้พวกมันได้ก้าวเข้าไป มันก็ไม่ต่างจากการยกคัสนาห์ให้แอสทารอธ เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพของอาเดรีย เจ้าคิดเรื่องนี้บ้างหรือไม่ ซินญอร์!"

"แล้วท่านพี่ได้คิดบ้างแล้วหรือ ก่อนที่จะปิดท่าเรืออาเดรีย จนวุ่นวายถึงเพียงนี้..."

เมื่อถูกผู้เป็นน้องชายยอกย้อน พี่สาวก็สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามจะควบคุมโทสะ "เพราะมันเป็นโอกาสที่เราจะต้องรีบคว้า เจ้าจะรอให้ไวลด์ขึ้นเป็นราชินีอย่างถูกต้องสมบูรณ์และยกกำลังพลสักพันคนบุกมายึดท่าเรือของเราก่อนหรือไรถึงจะประกาศตัวว่าเราไม่ต้องการเป็นอาณานิคมของมันอีกต่อไป"

"แต่การทำแบบนี้ก็อาจทำให้นางยกทัพสักสามพันมาบุกอ่าวอาเดรีย และดีไม่ดี พวกภูตอาจส่งทัพมาช่วยอีกห้าพัน จนรวมเป็นแปดพันก็ย่อมได้" ซินญอร์กลอกตาใส่พี่สาว "ข้าไม่ได้รอให้ศัตรูแข็งแกร่ง ท่านพี่... แต่ข้ารอให้พันธมิตรของเราแข็งแกร่ง ซึ่งท่านพี่รอไม่ได้ มันจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่เราประกาศสงครามทั้งที่เราไม่มีอะไรอยู่ในมือเลย"

"ซินญอร์!!"

"ข้าส่งเอเดรียนไปกับพวกทูตเพื่อเจรจากับแอสทารอธ ท่านพี่น่าจะรู้ว่าพวกขุนนางระดับสูงเอาใจออกห่างเราไปนานแล้ว และพวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองอยู่รอด หากฝากฝังเรื่องป่าเวทมนตร์ไปกับพวกเขา แน่นอนว่าเราต้องเสียดินแดนให้แอสทารอธอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเอเดรียนนั้นไม่ใช่... เขาจะไม่พูดเรื่องนี้จนกว่าเราจะจนตรอก"

"แต่เจ้าก็ไม่ควร..." ผู้เป็นพี่สาวกัดฟัน แต่นางก็เห็นด้วยว่าขุนนางและข้าราชบริพารที่รายล้อมพวกเขาอยู่ไหนไม่มีใครเชื่อใจได้ พวกเขาทั้งคู่ถูกใช้เป็นหุ่นเชิดมาตั้งแต่ยังเล็ก แต่คนที่ควบคุมการปกครองของคัสนาห์ และอาเดรียแท้จริงแล้วคือธีสธรัล และพวกเขาก็เป็นตุ๊กตาหินที่วางไว้เพื่อไม่ให้ประชาชนบูชาสักการะเท่านั้น

"ข้าเป็นเจ้าเมืองอาเดรีย ข้าจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้อาเดรียอยู่รอด..."

"ด้วยการยกคัสนาห์ให้เซนทอร์น่ะรึ!"

"อย่างน้อยอาเดรียก็เป็นเมืองที่ร่ำรวยและเจริญรุ่งเรือง เราอพยพประชาชนมาที่นี่ก็ย่อมได้ไม่ใช่รึ"

พวกเขากำลังพูดถึงป่าเวทมนตร์ซึ่งเป็นป่าที่อยู่ในอาณาเขตของคัสนาห์ และมันเป็นป่าที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งอาศัยของพวกยูนิคอร์น ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับสัตว์ตระกูลม้าแล้ว ยูนิคอร์นนับเป็นอาชาที่สง่างามและสูงส่งที่สุด แต่เนื่องจากป่าเวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมนุษย์ เหล่าเซนทอร์ผู้เป็นเผ่าอาชาชั้นสูงจึงไม่ได้พบยูนิคอร์นซึ่งเป็นเชื้อสายห่างๆของตนเลย และแน่นอนว่าเซนทอร์ไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ได้อย่างแน่นอน

ข้อเสนอที่จะยกป่าเวทมนตร์ให้กับพวกเขา หากยอมร่วมมือช่วยเหลือ...

แต่นั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านชายอยากจะเสนอ มันเปรียบเสมือนเป็นการยกคัสนาห์ให้กับแอสทารอธเพื่อแลกกับอิสรภาพของอาเดรีย แต่ในมุมมองของผู้นำหนุ่มแล้ว เมืองคัสนาห์นั้นเป็นเพียงเมืองเก่าแก่ที่คงไว้เพื่อให้ลูกหลานได้ดูต่างหน้าว่ามนุษย์ในอดีตเคยยิ่งใหญ่เพียงใด ทว่าในตอนนี้คัสนาห์กลับเป็นเมืองที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ไม่มีความเจริญ และแทบจะไม่มีอะไรก้าวหน้า ทั้งการเกษตรและค้าขายก็เงียบเหงาซบเซา เพราะคนจำนวนมากต่างพากันย้ายเข้ามาพำนักที่อาเดรีย

แต่ถึงอย่างนั้นท่ายชายซินญอร์ก็ยังไม่อยากแลกอาณาเขตของตนตั้งแต่เนิ่น

ดังนั้นเขาจึงส่งเอเดรียนไปเพื่อเจรจาจนถึงที่สุด

เขารู้ดีว่าเอเดรียนจะรักษาผลประโยชน์ของอาเดรีย และจะรักษาคัสนาห์เอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย "เอเดรียนไม่ยอมแลกเมืองเก่าโดยง่ายหรอก หากเขาไม่อันจนซึ่งหนทาง" ท่ายชายยืดอกว่า "ท่านพี่อย่าเพิ่งออกคำสั่งอะไรจะดีกว่า ท่านถามว่าข้าได้ไตรตรองอะไรบ้างในการทำแบบนี้ แล้วตัวท่านพี่เองได้คิดบ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่ทำลงไปทำให้ผู้คนเดือดร้อนเพียงใด และมันอาจทำให้ศัตรูของเราเพิ่มจำนวนมากขึ้นก็เป็นได้ หากพวกพ่อค้าที่เดือดร้อนถูกซื้อด้วยเงินธีสธรัลขึ้นมา ท่านคิดเหรือว่าแค่คำว่า 'สายเลือดบรรพกษัตริย์' จะทำให้เรามีชีวิตรอดอย่างครั้งที่แล้ว"

เมื่อครั้งที่คัสนาห์และอาเดรียถูกรุกรานโดยธีสธรัล กษัตริย์แอชรอนได้ไว้ชีวิตสองพี่น้องที่ยังเล็กเอาไว้ ด้วยเหตุผลว่าทั้งคู่เป็นสายเลือดบรรพกษัตริย์ ที่ซึ่งประชาชนเชื่อถือว่าเป็นสิ่งที่ค้ำจุนอาณาจักรของพวกเขา หากสองพี่น้องถูกสังหาร บ้านเมืองจะเกิดความโกลาหล

เพื่อเคารพในความเชื่อนั้น ทั้งสองจึงมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้

...แต่ซินญอร์ไม่คิดว่าเหตุผลเดิมจะสามารถใช้ได้อีกครั้ง

"ตอนนี้เราต้องเดิมพันทุกสิ่งที่เรามี ท่านพี่... แม้ว่ามันจะเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของเราก็ตาม!"

--------------------------------------------------

ราชเลขาแห่งแอสทารอธไม่เรียกอาคันตุกะเข้าพบอีกเลยตลอดวัน และนั่นก็ยิ่งสร้างความตึงเครียดให้กับคณะเดินทางที่ไม่รู้อนาคตของตนเองว่าควรจะวางตัวอย่างไร เซนทอร์หญิงผู้นั้นก็คงจะอยู่ในพระราชวังอัสเธียร์ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นก็ไม่มีใครในคณะเดินทางกล้าบากหน้าไปขอเข้าพบอยู่ดี และคนที่ดูเคร่งเครียดที่สุดก็เห็นจะเป็นแม่ทัพแห่งอาเดรีย ผู้รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

...แต่เขาก็ไม่อยากจะนำความผิดพลาดไประบายลงที่เลสธีราห์

เขาเป็นเจ้านาย อีกฝ่ายเป็นลูกน้อง เจ้านายที่ดีจะต้องปกป้องลูกน้อง ดังนั้นเอเดรียนจึงไม่เอ่ยออกมาสักคำว่าใครเป็นคนที่ทำให้การสนทนาล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่เช้า และเมื่อเห็นว่าการพูดคุยของซาฮาลกับเอเดรียนไม่เกิดผลเป็นที่น่าพอใจ คณะทูตจากมหาคฤหาสน์จึงได้เรียกประชุมคณะเดินทางทั้งขณะเป็นการด่วนและเริ่มถกเถียงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยจุดยืนเดิมๆของตนที่เอเดรียนไม่ชอบใจ

พวกขุนนางเห็นแก่ตัวจากมหาคฤหาสน์นี้สนใจแต่เรื่องส่วนตนมากกว่าส่วนรวม

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอาเดรียเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการเจรจาครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีใครยอมลดราวาศอก

...ด้วยเกรงว่าการยอมอ่อนข้อนั้นจะทำให้พวกตนต้องเสียประโยชน์

"เจ้ากล่าวว่ากระไร เหตุใดทูตแอสทารอธจึงได้บอกปัดการเจรจาเสียดื้อๆแบบนั้น นี่ไม่ใช่นิสัยของเซนทอร์ไม่ใช่รึ!" เอเดรียนเพียงแค่แจ้งผลการเจรจา แต่เจ้าตัวก็ไม่ปริปากถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ทูตแอสทารอธเดินหนีเอาดื้อๆ ว่ามาจากความปากไวของเลสธีราห์ "เอเดรียน การที่เจ้าเสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำเป็นการเสี่ยงมากพอสมควรแล้ว หากแอสทารอธเรียกร้องมากกว่านั้นแล้วเราจะไปหามาหยิบยื่นให้พวกเขาได้หรืออย่างไร"

"แล้วศาสตร์เรือไอน้ำนั่นก็มีมูลค่ามากเกินไปที่จะเสนอด้วยซ้ำ เจ้าคิดจะเข้าไปช่วงชิงของพรรค์นั้นจากธีสธรัลหรือ ถ้าได้มันมาจริงๆเราควรจะเก็บไว้เองมากกว่า จะนำมาให้พวกเซนทอร์ทำไมกัน ของมีค่าขนาดนั้นจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองเรามหาศาลเลยเชียว"

"แต่ตอนนี้เรากำลังตกที่นั่งลำบาก เราต้องขอความช่วยเหลือจากแอสทารอธ หากไม่ยื่นข้อเสนอที่พวกเขาสนใจ คิดหรือว่าเซนทอร์จะยอมร่วมมือ เผ่าพันธุ์นี้ก็ไม่ใคร่จะเป็นมิตรกับผู้ใดมาแสนนานแล้ว นี่ดีเท่าไหร่ที่พวกเขายอมให้พวกเราเข้ามา" เอเดรียนสวนกลับด้วยความโมโห "ไม่ใช่แค่ศึกจากธีสธรัลที่เราต้องระวัง แต่พันธมิตรของธีสธรัลอย่างไอย์ชวลก็คงจะร่วมบีบคั้นเราด้วย  เราต้องการกำลังพล และถ้าเราได้กำลังพลของแอสทารอธมาจริงๆ ทั้งสองเมืองนั่นก็คงจะมีความเกรงอกเกรงใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย"

"แต่ถ้าอย่างนั้นก็เสนอเรื่องอื่นไปก็ได้ เงินทอง... อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ศาสตร์ความรู้เรื่องเรือไอน้ำ ใช่ว่าบ้านเราไม่ต้องการนะ หากเราสามารถต่อเรือไอน้ำได้ เราก็จะมีความเจริญมากกว่านี้หลายเท่าตัวนัก" ขุนนางอีกคนว่า และเมื่อเอเดรียนหันไปสบตาคนพูด เขาก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายเองมีความเกี่ยวข้องกับการค้าทางเรือ ซึ่งเรื่องของเรือจักรไอน้ำนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างที่สุด

แม่ทัพหนุ่มยืดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะกล่าวโต้อย่างดุดัน

"แล้วพวกท่านซึ่งมีตำแหน่งเป็นทูตแท้ๆทำอะไรบ้างในการเจรจาครั้งนี้ เขาก็เห็นก้มเงียบไม่หือไม่อือราวกับว่าปัญหาของอาเดรียไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โต หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากแอสทารอธเราก็จะยังสามารถอยู่รอดได้สบายๆอย่างนั้น" เมื่อแม่ทัพหนุ่มพูดเต็มเสียง ทุกคนในที่ประชุมก็ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกหวั่นเกรง เอเดรียนเป็นคนสนิทของท่านชายซินญอร์ และเป็นขุนนางฝ่ายความมั่นคงที่พวกเขาควรยำเกรง

"เราไม่มีอะไรที่จะมอบให้แอสทารอธเป็นการตอบแทนการยืมกองทัพของพวกเขา!"

"แล้วท่านได้ลองยื่นข้อเสนอไปแล้วหรือยังเล่า!" แม่ทัพหนุ่มตะคอกกลับ "เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เห็นและไม่คิดจะทำอะไรสักเพียงอย่าง!" ร่างสูงเริ่มออกเดิน และก้าวผ่านขุนนางทูตหลายคนที่นั่งอยู่ในห้อง "ประชากรของอาเดรียเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน แต่เราก็ยังมุ่งไปที่การค้าขายเหมือนเดิม ทำให้ผู้ค้าขายมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทว่ากลับยิ่งทำให้สินค้าราคาตกต่ำลง เพราะทุกคนคิดจะแย่งกันขาย ในขณะที่แอสทารอธมีโอกาสในการผลิตสินค้าได้หลากหลายอาเดรียหลายเท่าตัว ทว่าขาดแคลนแรงงาน พวกเขาเป็นครึ่งม้า ท่านทูต... ม้าทำทุกอย่างไม่ได้เหมือนมนุษย์ ทำไมเราจึงไม่ลองเสนอเรื่องฝีมือแรงงานบ้าง"

เลสธีราห์ที่ยืนอยู่ข้างเอเดรียนโดยตลอดเหลือบมองผู้พูดเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ หลังจากพบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นความจริงทุกประการ แม้เซนทอร์รุ่นหลังๆจะเริ่มเรียนรู้ที่จะแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ต้องพึ่งเมืองอื่นในเรื่องของแรงงาน อัตราการเกิดของเซนทอร์มีน้อยมากเมื่อเทียบกับอมนุษย์ด้วยกัน อันเนื่องมาจากลักษณะนิสัยของพวกเขาที่ค่อนข้างจะ 'บ้างาน' กระทั่งเหนือหัวดาเรียสเองยังไม่แต่งงานมีชายาเลยด้วยซ้ำ

และเลสธีราห์ห์ก็เข้าใจดีว่าการใช้กีบเท้าม้าเดินบนแผ่นไม้กระดานนั้นเป็นเรื่องน่าขันมากแค่ไหน

อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในเมืองท่ามารินาอันน่าภาคภูมิใจคืออาการ 'ล้มหัวฟาดพื้น'

"แต่เรื่องแรงงานก็ไม่จูงใจแอสทารอธได้มากพอหรอก" เอเดรียนถอนใจ "ข้าไม่ได้มีความชำนาญเรื่องจำนวนประชากรที่แน่นอนของอาเดรีย จึงไม่สามารถเจรจาฉะฉานกับท่านราชเลขาได้ ไม่วายจะต้องอ้ำอึ้งจนนางเกิดความรู้สึกรำคาญ พวกท่านเองก็น่าจะรู้ว่านางไม่ใช่คนอ้อมค้อมและกระมิดกระเมี้ยนในการเจรจาอย่างที่พวกท่านทำกับเมื่อวานนี้ หากไม่พูดตรงๆกับนาง มีแต่จะสร้างความหงุดหงิดเปล่าๆ อย่างไรพวกเขาก็เป็นอมนุษย์ที่ขี้โมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว"

...แล้วเหตุใดเอเดรียนจะต้องกล่าวว่าเซนทอร์ขี้โมโหด้วยเล่า!!

"เรื่องของเรือจักรไอน้ำเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง เพราะแม้ว่าพวกเราจะรู้จักสิ่งนี้แต่ก็ไม่เคยสร้างมันขึ้นมาได้อย่างพวกเอลฟ์ แต่นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แอสทารอธไม่มี และหากเราทำให้มันแน่นอนขึ้นมาได้ ข้าเชื่อแอสทารอธจะต้องสนใจข้อเสนอนี้" เอเดรียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ "การเจรจานี้มีผลถึงอาเดรียทั้งอาณาจักร แต่พวกท่านกลับมากล่าวว่ามันเป็นความรับผิดชอบของข้า แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่พวกเราจะรอดพ้นวิกฤติ... สู้เอาเวลามาคิดหาสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ดีกว่ารึไง"

...

เมื่อชายหนุ่มพูดอย่างนั้น เหล่าขุนนางทูตก็ไม่มีความเห็นหรือคำตำหนิใดๆเพิ่มเติม มีเพียงเลสธีราห์เท่านั้นที่อยากจะถามออกมาเหลือเกินว่าเหตุใดเอเดรียนจึงไม่กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้การเจรจาล้มเหลว ทั้งที่มันเป็นความผิดของเขาทั้งหมดแท้ๆ "ข้าไม่คิดว่าแอสทารอธจะให้ที่พักเราต่อ... ท่านราชเลขาต้องการความแน่นอน ดังนั้นเมื่อกลับไปถึงอาเดรียเราจะต้องหาความแน่นอนให้นาง"

"เอเดรียน..." เซนทอร์หนุ่มเรียกเสียงเบา

"เลสธีราห์ กลับมากับข้า เรามีเรื่องต้องหารือกัน"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 9.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 31-10-2016 08:50:29
ตอนที่ 9.2

การปิดท่าเรือของอาเดรียไม่กี่วันกระทบการใช้ชีวิตของคนจำนวนมากในทุกสาขาอาชีพของธีสธรัล ท่าเรือเงียบเหงา ไม่มีเรือลำใดแล่นออกจากแผ่นดิน คนค้าขายไม่มีของไปวางแผง เสบียงอาหารที่มีอยู่จำกัดของทุกครอบครัวก็หดหายไปทุกวันเช่นกัน การล้มราชบัลลังก์เมื่อเดือนที่ผ่านมาส่งผลให้การบริหารงานทุกอย่างติดขัดไม่ลงตัว และไวลด์ ราชินีองค์ใหม่ของธีสธรัลเองก็ไม่มีความชำนาญพอที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียวในระยะเวลาอันสั้นเท่านี้

...นี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผู้นำใหม่

ไอย์ชวลผู้เป็นเมืองพันธมิตรส่งกองกำลังพิเศษส่วนพระองค์ของราชามาช่วยดูแลความเรียบร้อยเพื่อป้องกันการเปลี่ยนขั้วทางการปกครอง แต่สิ่งที่ราชินีแห่งธีสธรัลต้องการมากที่สุดในตอนนี้กลับเป็นที่ปรึกษาที่สามารถช่วยนางหาทางออกให้ปัญหานี้ได้

ซึ่งเพื่อนในวัยเด็กคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาร่วมทางเดินกับนาง

"เรือพาณิชย์ที่ออกไปเมื่อสองวันก่อนยังไม่เดินทางกลับมาจากตะวันออก การเจรจากับชาวเอลฟ์คงไม่ราบรื่นนัก แม้ว่าเราจะติดต่อขอซื้อเพียงแค่เนื้อสัตว์ไม่กี่ชนิดก็ตาม... พวกแอสทารอธก็ไม่ตกลงกับราคาค่าผ่านทางในระบบเหมาจ่ายที่เราเสนอไป ตอนนี้ประชาชนเริ่มร้องเรียนเรื่องปัญหาการขนส่งแล้ว การซื้อขายเนื้อสัตว์และพืชผักจากอาเดรียหยุดชะงัก หากไม่เร่งแก้ปัญหาในเร็ววัน ผู้คนจะเดือดร้อนและอาจลุกฮือขึ้นต่อต้านเราก็เป็นได้" ราชินีแห่งธีสธรัลเอ่ยกับคนสนิท พระนางกำลังมุ่งหน้าจากหอหนังสือกลางไปยังท้องพระโรงหลวงว่าการเพื่อร่วมประชุมกับเหล่าขุนนาง

"ข้าส่งข่าวให้ท่านพี่ฟลอฮาวนท์ช่วยเหลือกดดันอาเดรียอีกแรง เพราะฝ่ายนั้นเองก็ต้องติดต่อซื้อขายกับเมืองอื่นๆหลายเมืองเหมือนกันรวมทั้งไอย์ชวลด้วย แต่ฝ่ายทหารของไอย์ชวลก็ยืนยันว่าจะไม่ทำอะไรเกินตัว พวกเขาคงแค่เข้มงวดด้านชายแดนมากขึ้น เพราะการตัดความสัมพันธ์ทางการค้าดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากเกินไป"

คนสนิทของราชินีนิ่งฟังเงียบๆขณะคิดตามสิ่งที่นางพูด ก่อนจะเสนอความเห็นบ้าง

"การปิดท่าเรือแบบนี้คือการประกาศศึกกับเราซึ่งหน้า หากไม่เกิดสงครามแตกหักก็คงจะต้องมีการเจรจาบีบคั้นเกิดขึ้น ธีสธรัลเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่มาก แต่ในเรื่องกำลังพลและความก้าวหน้าทางการทหารแล้วก็พอจะได้เปรียบอยู่บ้าง พระนาง... ข้าได้ยินว่าพวกนั้นส่งทูตไปติดต่อกับแอสทารอธด้วย เมืองเซนทอร์ไม่เคยแสดงจุดยืนว่าจะเข้าข้างใครมาก่อน แต่ถ้าพวกเขาเอียงเข้าอาเดรียขึ้นมา... เราก็คงจะลำบากไม่น้อย"

ไวลด์หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น "กองเรือเซเลสต์... มหาอำนาจของทะเลเทเทส"

ไม่มีใครรู้เรื่องราวภายในของแอสทารอธมากนัก แต่สำหรับคนที่รู้จักทะเลเทเทสแล้ว ไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของกองเรือเซเลสต์แน่นอน "อาเดรียจะต้องมีข้อเสนอที่ดีพอ... แอสทารอธจึงจะยอมตกลง" องค์ราชินีว่า "ครึ่งม้าพวกนั้นไม่สุงสิงกับผู้ใดด้วยความฝังใจในอดีต หากครั้งนี้พวกเขาจะเลือกข้าง ข้าคิดว่าอาเดรียจะต้องมีสิ่งตอบแทนที่ดีงามมากพอ" ดวงตาเรียวหรี่ลงอย่างครุ่นคิด

"แต่อาเดรียน่ะหรือ... จะมีสิ่งใดมีค่าพอจะเสนอ"

"ตอนนี้ไอย์ชวลก็คงจะตรึงกำลังที่ชายแดนรัดกุมขึ้น คงทำให้พวกอาเดรียเข้าไปล่าสัตว์ในป่าของไอย์ชวลยากขึ้น ประชาชนของพวกเขาก็คงจะเดือดร้อนไม่แพ้กัน ถ้าสามารถตรึงสถานการณ์นี้ไปได้สักพัก อาเดรียก็คงจะลดเงื่อนไขเจรจาลงมา... ในตอนนี้เราคงต้องพึ่งการซื้อของจากตะวันออกไปก่อน ทรัพย์สินในพระคลังหลวงก็ยังมีอยู่มากพอจะซื้อเวลาได้"

หญิงสาวหลับตาลงเมื่อพูดจบ "บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องหลัก ผลประโยชน์ของเมืองเป็นเรื่องรอง การเป็นผู้นำนี่ไม่ง่ายเอาเสียเลยหนา"

คนสนิทในวัยเยาว์ทอดยิ้มออกมาเล็กน้อยและก้มสายตาลงมองพื้นดังเดิมอย่างที่ผู้ใต้บัญชาควรทำ "ไม่รู้ว่าการเสนอตัวเข้าช่วยนายหญิงในครั้งนี้จะเพียงพอหรือไม่ ข้าจะได้รับความวางใจหรือเปล่า แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ขุนนางที่ดีควรกระทำ คือการได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองอันเป็นที่รักของตน ...ข้าอยากเป็นเท่านั้นก็เพียงพอน่ะขอรับ"

"ถ้าข้าใช้งานเจ้าได้จริงๆ มันก็คงจะดีมากเลย ฟลินกอร์น" ไวลด์ยิ้มบาง

เจ้าของชื่อฟลินกอร์นค้อมหัวรับ "ข้าจะช่วยเหลือนายหญิงอย่างสุดความสามารถขอรับ"

ไวลด์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม "ข้ามีงานอย่างหนึ่งให้เจ้าทำ" หญิงสาวหยุดที่หน้าต่างบานหนึ่งของปราสาท และทอดมองออกไปยังท่าเรือที่มีเรือหลายสิบลำจอดเรียงราย "ให้เจ้าไปติดต่อแอสทารอธ... หากอาเดรียคิดจะรวบแอสทารอธไปเป็นพวกตน เราก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้" นางมองไกลออกไปยังอู่ต่อเรือที่เห็นเป็นเพียงภาพเลือนราง

เจ้าของชื่อฟลินกอร์นพยักหน้ารับคำ "ให้แน่ใจว่าอาเดรียจะไม่ได้กองเรือเซเลสต์ไปสินะขอรับ"

"แน่นอน... และเราต้องมีสิ่งตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อพอ"

"นายหญิง..."

ไวลด์สูดลมหายใจเข้าราวกับรวบรวมความกล้า และหันไปสั่งเสียงเรียบกับคนสนิท "เรือจักรไอน้ำ"

--------------------------------------------------

เซนทอร์หนุ่มจำได้ว่าเขาไม่เคยโดนใครตบจนปากแตกแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเจ้าตัวจึงค่อนข้างตกใจและไม่พูดไม่จาไปสักพักใหญ่ แต่เลสธีราห์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ที่ทำให้เจรจาล้มเหลว ...เขาแค่ไม่คุ้นเคยกับการถูกลงโทษแบบนี้

หรือว่านี่คือสิ่งที่ทำให้ซาฮาลดูแคลนเขามาตลอด เลสธีราห์ถูกเลี้ยงดูมาอย่างถะนุถนอมเหลือเกิน

หลังจากเหวี่ยงหลังมือฟาดจนปากแตกแล้ว นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เอเดรียนแตะตัวเลสธีราห์ ทว่าเป็นการลูบหัวปลอบโยน "เจ้าฟังความผิดไปบ้าง คิดว่าแอสทารอธไม่มั่นใจในกำลังของตัวเองอย่างที่เคยเป็น จึงได้สวนกลับไปแบบนั้น... แต่เปล่าเลย เขาถามเราต่างหากว่าเรารู้จักพวกเขาดีแค่ไหนจึงได้กล้าเสนอหน้ามาขอความช่วยเหลือแบบนี้"

เมื่อได้ฟังเอเดรียนพูดแล้ว เลสธีราห์ก็คิดว่าตนคิดเร็วเกินไปจริงๆ

...หรือเพราะเขารู้จักกำลังพลของเซเลสต์ดีอยู่แล้ว จึงได้หงุดหงิดที่เหมือนถูกดูแคลนแบบนั้น

"เขาไม่ได้หยั่งเชิงเรา แต่เขาถามหาความมั่นใจจากเรา ว่าเราพร้อมจะเสี่ยงไปกับพวกเขาจริงหรือไม่ ทั้งที่ไม่เคยรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเซเลสต์ด้วยตาตัวเองเลย แล้วถ้าเซเลสต์พ่ายแพ้ขึ้นมา อาเดรียจะยังยืนอยู่ข้างแอสทารอทอีกหรือไม่" อาเดรียนลูบผมสีอ่อน "โชคยังเข้าข้างที่แอสทารอธไม่ถีบเราส่งหลังจากนั้น ท่านราชเลขาเพิ่งส่งเฟลิเซียกลับมาแจ้งข่าวว่านางมีเรื่องจะพูดด้วย และมันเป็นเรื่องที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธได้ตัดสินใจแล้ว"

เซนทอร์หนุ่มลอบยิ้มมุมปากเล็กน้อย... แม่ข้าจะปล่อยให้ข้าทำเสียเรื่องทั้งหมดอย่างไรเล่า

"อุ...!"

เนื่องจากการยกมุมปากขึ้นยิ้มนั้นทำให้แผลปากแตกตึงขึ้นมา ร่างโปร่งยกมือขึ้นแตะเบาๆเพื่อบรรเทาความเจ็บ แต่ก่อนที่เขาจะได้สำรวจว่าเจ็บตรงไหนบ้าง นิ้วของเอเดรียนก็สัมผัสกับริมฝีปากของชายหนุ่มเสียก่อน "ข้าขอโทษด้วยที่ตบเจ้าแบบนั้น" สัมผัสของเจ้าตัวแผ่วเบาและอ่อนโยน แตกต่างจากตอนที่ออกแรงลงไม้ลงมืออย่างสิ้นเชิง "ช้ำเลยเชียว"

ร่างสูงหันไปหากล่องพยาบาลที่เขาพกติดมาด้วย และรื้อหาตัวยาบางอย่างที่พอจะใช้ได้

"...แก้ปวดน่ะ" ร่างสูงหยิบตลับยาเล็กๆขึ้นมา ภายในบรรจุครีมสีขุ่นที่มีกลิ่นจางๆของสมุนไพร "ประเดี๋ยวจะมีปัญหาตอนกินอาหาร" เซนทอร์หนุ่มเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมให้เอเดรียนทายาให้แต่โดยดี

"ความจริงก็ไม่จำเป็นหรอกน่า" ร่างโปร่งว่า "แค่เจ้าไม่เอาความกับข้า... ก็ดีมากแล้ว"

"ตอนพูดไม่คิดเสียบ้างเล่า" เอเดรียนหัวเราะ "เอาเถิด ข้ายอมรับในความบกพร่องของข้อเสนอ แม้จะมีข้อเสนอที่ดีกว่านี้ก็ตาม แต่ข้ายังบอกพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้" แม่ทัพใหญ่ว่า "เรื่องที่ข้าพูดกับพวกขุนนางวันนี้เป็นเรื่องที่ข้าอยากจะพูดมานานแล้ว"

"พวกนั้นจะยิ่งไม่ชอบเจ้าไม่ใช่รึไง"

"พวกเขาไม่ชอบที่ข้าเป็นคนสนิทของท่านชายซินญอร์มาแต่ไหนแต่ไร เหตุใดจะต้องไปสนใจด้วย ข้าแค่ไม่อยากให้เขาพุ่งเป้ามาเล่นงานเจ้าที่ไม่รู้เรื่องเพื่อปัดความรับผิดชอบของตัวเอง" เอเดรียนปาดยาลงบนรอยช้ำเบาๆ และเพิ่งรู้สึกตัวว่าก้มเข้ามาใกล้อีกฝ่ายมากกว่าปกติ จนลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายเป่ารดผิวแก้มของเขาจนรู้สึกได้ กลิ่นไอจางๆจากตัวอีกคนที่ดูต่างจากคนอื่นทำให้แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้ว

เลสธีราห์ไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะแตกต่าง

"ใกล้ไปรึเปล่า" คู่สนทนาถามด้วยน้ำเสียงติดขัด แผ่นหลังโปร่งเอนหนีเล็กน้อยเมื่อคนตรงหน้าก้มลงมาใกล้ลำคอของเขาจนมากเกินควร แต่ก็ช่างน่าแปลกที่เลสธีราห์ไม่รู้สึกขยะแขยงอย่างที่เขาเคยรู้สึกยามถูกมองด้วยสายตาแปลกๆจากคนอื่น แม้ในยามที่สัมผัสได้ถึงปลายจมูกที่จรดลงบนผิวเนื้อเย็นเปล่าเปลือย

กลิ่นกายของอมนุษย์... แตกต่างมากขนาดนี้เชียวหรือ

เขารู้สึกได้ถึงชีพจรของอีกฝ่าย เส้นเลือดจำนวนมากที่สูดฉีดอยู่ใต้ผิวหนังขาวเนียน และจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นโดยไร้สาเหตุ อีกฝ่ายดูตื่นเต้นและประหม่า ดังนั้นเขาจึงแนบริมฝีปากจูบไปบนผิวเนื้อเพื่อปลอบโยนอย่างนุ่มนวล แต่ไหล่กว้างก็ห่อเข้าด้วยความไม่คุ้นเคย และสองมือของอีกฝ่ายก็ยกขึ้นวางบนไหล่หนา ก่อนจะออกแรงผลักเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายได้สติ

"เอเดรียน...!"

"...!" ความรู้สึกแรกนั้นราวกับถูกน้ำเย็นจัดสาดให้ตื่นจากภวังค์ แม่ทัพหนุ่มสะดุ้งและถอยตัวกลับ พร้อมกับกลั้นหายใจ และหันไปเก็บกระปุกยาไว้ในกล่องพยาบาลตามเดิม "ข้าขอโทษ..." ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกและค่อยๆผ่อนออกมาในความพยายามจะควบคุมสติ "เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ"

คนที่ดูตกใจไม่แพ้กันก็คือเลสธีราห์ซึ่งยกมือขึ้นจับลำคอของตนอย่างไม่เข้าใจ

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานหลังจากนั้น เอเดรียนพยายามเลี่ยงตัวเองออกไปทำอย่างอื่นเช่นการจัดข้าวของที่ไม่ได้รกมากมายขนาดนั้น หรือการพยายามทำให้เตียงที่พักเรียบตึงทั้งๆที่มันไม่ได้ยับย่นแต่ประการใด เพียงเพื่อให้เลสธีราห์ออกไปจากห้อง แต่ดูเหมือนว่าเซนทอร์หนุ่มจะไม่ทำตาม

"นี่เจ้ายังไม่ตอบเลย... ทำไมจะต้องออกหน้าแทนข้าด้วย"

ร่างโปร่งว่า "ทำไมเจ้าจึงไม่พูดไปตรงๆว่าข้าทำให้... เซนทอร์ตนนั้นไม่พอใจจนกระแทกเท้าหนีไป" เขาก้มลงมองผ้าปูเตียงสีอ่อนที่ตนนั่งทับอยู่และไล่นิ้วไปบนลายปักของมันเสมือนไม่เคยพบเห็นมาก่อน "เจ้าไม่ควรทะเลาะกับขุนนางอื่นแบบนั้นไม่ใช่รึไง"

แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม... ว่าพวกขุนนางจากมหาคฤหาสน์นี้ไว้ใจได้สักกี่คน เพียงแค่เรื่องผลประโยชน์ก็ยังคิดจะเอาเปรียบกันได้" ร่างสูงหันมามองเลสธีราห์ "เจ้ารู้ไหมว่าข้าเกลียดการแลกเปลี่ยนบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยการใช้เงินอย่างที่สุด มันไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิดเดียว"

คนฟังชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น และเริ่มคิดต่อว่า... เช่นนั้นแล้วควรใช้อะไร

"นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าเอานั่นเอานี่มาให้ข้าแทนค่าตอบแทนหรือเปล่า ทั้งอาวุธ ที่พัก เสื้อผ้า และการเอาใจใส่แบบนี้" ร่างโปร่งถามกลับในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน "เจ้าไม่เคยพูดเรื่องเงินค่าจ้างกับข้าเลยนะ" เลสธีราห์สงสัยว่าการที่เขาพูดแบบนี้เท่ากับเป็นการทวงหรือไม่ เพราะเอเดรียนเองก็ไม่เคยพูดถึงค่าจ้างตอบแทนเลย ทว่าคำถามนี้ก็ผุดขึ้นมาในใจเสียดื้อๆ

"ของบางอย่างมันซื้อไม่ได้ด้วยเงินน่ะ เลสธีราห์"

"แล้วถ้าข้าอยากได้เงินล่ะ..." ร่างโปร่งโคลงหัวถาม "มันเป็นความไม่ภักดีในสายตาเจ้าหรือเปล่า"

เอเดรียนยิ้มบางตอบ "ถ้าหากเจ้าต้องการเงิน ข้าก็มีให้" ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวคู่สนทนาด้วยความเอ็นดู "ถ้าเงินมันซื้อใจเจ้าได้ ข้าก็ยินดีจ่าย" เลสธีราห์เสตาหลบเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆหลับลงเมื่อรู้สึกว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายกำลังไล้ลงมาตามเสี้ยวหน้าตนเอง

"เจ้าเป็นอมนุษย์ที่สง่างามนัก..."

เอเดรียนเพิ่งสังเกตว่าใบหูของอีกฝ่ายค่อนข้างแหลมเหมือนชาวเอลฟ์ และโครงหน้าก็เรียวกว่าผู้ชายโดยทั่วไป แม้จมูกของอีกฝ่ายจะโด่งเป็นสันมากกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เครื่องหน้าที่สวยงามดูหม่นหมอง และเมื่ออยู่ใกล้อีกครั้ง เอเดรียนก็พบว่าตนเองต้องคอยสะกดลมหายใจอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เหมือนความรู้สึกที่เขาเคยละทิ้งและคิดว่าลืมมันไปจนหมดสิ้นค่อยๆหวนกลับมาอีกครั้ง

อีกฝ่ายสง่างาม... จนเขาต้องการจะครอบครองเอาไว้เป็นของตนเพียงคนเดียว

ร่างสูงถอนหายใจยาวกับความคิดนั้น และดึงมือของตนกลับแล้วจึงลุกไปที่ประตูห้องพลางสูดลมหายใจช้าๆราวกับตั้งสติ "เลสธีราห์ กลับห้องไปก่อนเถอะ..." เจ้าตัวเปิดประตูและผายมือให้อีกฝ่าย "ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ประเดี๋ยวเจ้าจะติดหวัด"

แต่เลสธีราห์กลับลุกขึ้นมาและผลักประตูปิดลงตามเดิม "อมนุษย์ไม่เป็นไข้ของมนุษย์หรอก"

ร่างโปร่งแตะหลังมือกับหน้าผากอีกคนและพบว่ามันปกติเสียจนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก "เจ้าไม่ได้ป่วย" มือเรียวค่อยๆแตะอังไปตามโครงหน้า ทั้งพวงแก้ม ลำคอ และจบลงที่จุดชีพจร แต่ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติ จะมีก็เพียงเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเท่านั้นที่ระรัวอย่างประหลาด "ทำไม..."

"เลสธีราห์" เอเดรียนจับมือเรียวของอีกฝ่ายและกอบกุมมันเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างโปร่งสัมผัสตนอีก

"กลับห้องตัวเองไป..."

แม้ว่าคนพูดจะกล่าวเช่นนั้น แต่มันกลับเป็นตัวเขาเองที่ยกมือเรียวขึ้นแนบริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะบรรจงจูบลงบนฝ่ามือหยาบของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เจ้าของฝ่ามือสะดุ้งเบาแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องหรือถอยหนี ยิ่งทำให้ฝ่ายรุกรานได้ใจและดันร่างโปร่งถอยไปชิดกับประตูห้อง

เอเดรียนเท้าแขนข้างหนึ่งเหนือหัวเลสธีราห์ ขณะขบริมฝีปากตัวเองห้ามใจ

"ทำไมถึงไม่ผลักหรือต่อต้านเสียบ้างเล่า" เขาเชยคางขึ้นอีกฝ่ายขึ้นมองสบตาอย่างไม่เข้าใจ

เลสธีราห์สูดลมหายใจเข้าลึก โดยไม่ผลักอีกฝ่ายออกอย่างที่ควรจะเป็น "ถ้ามันรู้สึกดี ข้าจะปฏิเสธทำไม" เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเอเดรียนจึงทำเช่นนั้น แต่ไม่มีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกรังเกียจ ดังนั้นร่างโปร่งจึงไม่มีเหตุให้ต่อต้านการกระทำของอีกฝ่าย เอเดรียนประคองใบหน้าของคู่สนทนาเอาไว้ และก้มลงแนบหน้าผากของตนเข้าหา ราวกับกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างในจิตใจของตัวเอง

...

ก๊อก! ก๊อก!

ใครสักคนเคาะประตูห้องพักซึ่งเป็นแผ่นไม้ที่เลสธีราห์เอนหลังพิงอยู่ ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวและก้าวถอยออกจากกันตามสัญชาติญาณ "ค... ใคร มีอะไรรึเปล่า" เอเดรียนผู้เป็นเจ้าของห้องเอ่ยถาม ขณะที่เลสธีราห์ขยับห่างออกไปเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ประตูไม้เปิดออก และปรากฎร่างเซนทอร์หญิงผู้ดูแลต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

"ท่านราชเลขามีความประสงค์จะพบท่านทูตเอเดรียน"

ครึ่งม้าค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพตามธรรมเนียม และก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเลสธีราห์อยู่ในห้องพักด้วย "หากคนสนิทต้องการจะติดตามไปก็ย่อมได้..." เอเดรียนหันไปพยักหน้าให้เลสธีราห์ครั้งหนึ่ง แล้วจึงคว้าผ้าคลุมไหล่ของตนขึ้นสวมเพื่อเตรียมพร้อม

"เชิญนำทางได้เลย"

เฟลิเซียพยายามไม่แสดงอาการพิรุธ แต่หญิงสาวก็ไม่อยากเชื่อว่าเลสธีราห์จะสามารถสนิทกับใครได้จนถึงขนาดไปนั่งเล่นในห้องพักของอีกฝ่ายได้ เซนทอร์หญิงหัวเราะคิกคักกับตนเองด้วยความสาแก่ใจลึกๆ เพราะหากซาฮาลรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าตัวจะต้องกระฟัดกระเฟียดเป็นม้าพยศไปอีกหลายวันอย่างแน่นอน

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 9 [31-10-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-10-2016 14:45:55
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 10.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 01-11-2016 07:29:56
ตอนที่ 10.1

การล่าวาฬเรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตอย่างหนึ่งของเมืองที่มีเขตติดทะเล อันเนื่องมาจากความต้องการน้ำมันวาฬเพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง การล่าวาฬครั้งหนึ่งอาจได้น้ำมันวาฬในปริมาณมากพอที่จะนำมาใช้ได้นานแรมปี และเนื้อจำนวนมากที่สามารถเลี้ยงผู้คนได้ทั้งเมือง

แต่สำหรับแอสทารอธ เมืองแห่งเซนทอร์ผู้เป็นมังสวิรัติแล้ว... การล่าวาฬเป็นเรื่องของความท้าทาย

ในการคัดเลือกครั้งสุดท้ายเพื่อค้นหาผู้ที่เหมาะสมจะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ การล่าวาฬถูกเลือกให้เป็นภารกิจสำคัญที่จะตัดสินผล เรือรบทั้งสี่ลำอันหมายถึงผู้ที่มีสิทธิ์สี่คนจะต้องออกเรือไปในทะเลพร้อมกับลูกเรือลำละยี่สิบคน เพื่อล่าวาฬให้ได้น้ำมันในปริมาณที่กำหนดในเวลารวดเร็วที่สุด บุคคลแรกที่กลับมาจะเป็นฝ่ายชนะ และได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือรบเซเลสต์ กองเรือในตำนานแห่งแอสทารอธ

ตัวเต็งของการแข่งขันไม่ใช่เลสธีราห์ แต่เป็นซาฮาล เซนทอร์หนุ่มผู้มาจากตระกูลอัศวินชั้นสูงที่เก่าแก่ ซาฮาลมีขนาดและพละกำลังที่ได้เปรียบผู้ร่วมแข่งขันทุกคน และเขาสามารถทำคะแนนได้ดีมาตลอดในภารกิจที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การแก้ปัญหา และนี่คือภารกิจสุดท้ายที่เป็นด่านสำคัญที่สุด และมีน้ำหนักคะแนนมากที่สุด นั่นคือความสามารถเชิงปฏิบัติในการควบคุมเรือ และอ่านทิศทางในทะเล

ผู้นำที่มีความรู้ทว่าไม่มีความสามารถนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับกองทัพเรือ

ดังนั้นภารกิจล่าวาฬจึงท้าทายความสามารถที่สุด...

ซาฮาลมั่นใจว่าตนอ่านทิศทางจากดวงดาวได้จึงไม่รู้สึกหวั่นเกรงที่จะหลงทาง แต่แท้จริงแล้วความน่ากลัวของการเดินเรือไม่ใช่การคลาดจากชายฝั่งแต่เป็นความอ้างว้างของท้องทะเล เซนทอร์หนุ่มออกเรือไปจากแอสทารอธเป็นแรมเดือน ไกลเสียจนมองไม่เห็นคู่แข่งของตนอยู่บนเส้นขอบฟ้าอีกต่อไป และเช่นเดียวกันที่มองไม่เห็นหรือได้ยินเสียง 'ลมหายใจ' ของวาฬสักตัว แม้ซาลฮาลพูดคุยกับชาวประมงมามาก และรวบรวมความรู้เกี่ยวกับพวกมัน ทั้งอุปนิสัย พฤติกรรมที่แสดงออก และสถานที่ที่เคยพบมาอย่างดีแล้วก็ตาม

แต่สิ่งที่เลสธีราห์มีเหนือซาฮาลคือประสบการณ์

เขามีความทรงจำเกี่ยวกับบิดาไม่มาก แต่สิ่งที่ท่านทูตธีโอแดร์ทิ้งเอาไว้ให้คือความรู้ที่นำเขาไปสู่ความจริง เลสธีราห์อ่านหนังสือที่เขียนขึ้นโดยชาวเอลฟ์ผู้ได้รับสมญาว่าเป็นนักเดินเรือที่มีความสามารถมากที่สุดคนหนึ่งแห่งเธซาลีย์ และก่อนที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกผู้บัญชาการนี้ เลสธีราห์ก็เป็นกัปตันเรือของหน่วยลาดตระเวนที่มีอายุน้อยที่สุด ในขณะที่ซาฮาลเป็นขุนนางที่อายุน้อยที่สุดที่มีสิทธิ์เข้าประชุมในสภาสูง

เซนทอร์ให้ความเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ผู้มีอายุน้อยจะเป็นใหญ่ได้

"แต่เดิมการสังเกตวาฬคือการมองหา 'ลมหายใจ' ของมัน" เลสธีราห์ในวัยสิบหกกล่าวกับลูกเรือที่ล้วนแล้วมีอายุมากกว่า และมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเขา "ซึ่งในบางครั้งทัศนวิสัยก็ทำให้เราไ่ม่สามารถมองเห็น" จริงอยู่ว่าเลสธีราห์เป็นกัปตันเรือลาดตระเวน แต่วาฬเป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาและไม่อาศัยอยู่ที่ใดเป็นหลักแหล่งทำให้ยากแก่การตามหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพึ่งพาโชคชะตาเพียงอย่างเดียว "ดังนั้นข้าจึงไม่เคยมองหาวาฬ..."

เลสธีราห์ก้าวลงไปในทะเล และ 'ฟัง' เสียงปลา...

ในความสงบและความเงียบของผืนน้ำ เสียงของวาฬดังก้องกังวานเสมอ บทเพลงของพวกมันเนิบช้าและชวนหลงใหล วาฬหลังค่อมร้องเรียกหาคู่ในระยะทางไกล ขานตอบซึ่งกันและกันอยู่เป็นระยะ แต่เสียงที่เลสธีราห์รอคอยนั้นเป็นเพียงเสียง 'คลิก' ที่ระรัว ส่งข่าวเรื่องอาหารและร้องเตือนให้ทั้งฝูงเกาะกลุ่มกันเอาไว้ เซนทอร์หนุ่มสั่งออกเรือในทันทีที่ได้ยินสัญญาณนั้น และเร่งตามฝูงวาฬหัวทุยจนกระทั่งเจอพวกมันทั้งหมดในที่สุด

เลสธีราห์กลับมายังแอสทารอธพร้อมกับน้ำมันวาฬตามที่กำหนดภายในหนึ่งเดือน


--------------------------------------------------

ราชเลขาแห่งแอสทารอธเลือกจะพบอาคันตุกะของนางอีกครั้งในช่วงบ่าย ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่การสนทนาเป็นทางการ ทำให้สถานที่นัดพบเป็นด้านหลังพระราชวังอัสเธียร์แทนที่จะเป็นโถงประชุมกลาง โดยเฟลิเซียเป็นฝ่ายเดินนำไปบนทางเดินภายในพระราชวังอัสเธียร์ที่ทอดยาวไปสู่ด้านหลังซึ่งติดกับแม่น้ำสายหลักของแอสทารอธ และในไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ไปถึงส่วนของคลังหลวงที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวังซึ่งเป็นที่เก็บเรือรบในตำนานของแอสทารอธ

เรือเซเลสต์...

เลสธีราห์จำได้ว่าเขาเคยบังคับเรือลำนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นในสงครามย่อยที่เขาไม่ได้จดจำ เซเลสต์เป็นเรือรบขนาดใหญ่ที่มีดาดฟ้าเรือสองชั้น และเสาเรือใหญ่สามต้น ซึ่งต้องใช้ลูกเรือนับร้อยคนในการทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อน ทั้งปืนใหญ่ร่วมเจ็ดสิบกระบอกที่รายเรียงตลอดความยาวเรือ ทำให้มันเป็นเรือที่บังคับยากเป็นลำดับต้นๆของกองทัพ

ความสามารถของผู้บัญชาการกองทัพเรือควรเป็นความสามารถในการอ่านทิศทางลมและดวงดาว เพื่อการบังคับเรือขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยพลังของธรรมชาติช่วย แต่เลสธีราห์เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฟังเสียงปลาซึ่งเป็นความสามารถที่หาได้ยากยิ่งกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของเขาและซาฮาลเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเมื่อสองปีที่แล้วจึงมีผลแพ้ชนะเป็นเอกฉันท์

แม้ว่าซาฮาลจะเป็นเซนทอร์ที่เพียบพร้อมทั้งความสามารถและชาติตระกูล อีกทั้งยังมีนิสัยเข้มงวดและมีระเบียบที่น่ายกย่องเป็นเซนทอร์ตัวอย่าง แต่ความสามารถของเขาก็ไม่อาจเทียบได้กับพรสวรรค์ของเลสธีราห์ คนที่มีระเบียบวินัยที่สุดจึงต้องประจำการอยู่ในฐานะผู้นำกองเรือพาณิชย์ที่ต้องการระเบียบ และผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าจึงได้รับตำแหน่งผู้นำเซเลสต์ในที่สุด แม้ว่าในสายตาของซาฮาลแล้วนี่ไม่ใช่การตัดสินที่ยุติธรรมเลยก็ตาม

เพราะเขาคิดว่าเลสธีราห์ยังมีความเป็นเด็กมากเกินไปที่จะเป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือรบ

เอเดรียนหยุดก้าวกะทันหันทำให้เลสธีราห์ต้องพลอยหยุดไปด้วย เช่นเดียวกับเฟลิเซียที่หันมามองด้วยความสงสัยหลังจากพาพวกเขามาถึงที่หมาย แม่ทัพอาเดรียกลั้นใจเมื่อเขาได้เห็นเรือรบของแอสทารอธเป็นครั้งแรก และเผลอเคลื่อนมือเย็นเฉียบของตนมาคว้าแขนของเลสธีราห์เอาไว้ด้วยความตื่นเต้น เฟลิเซียที่เห็นการกระทำนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปหาท่านหญิงลีอาห์ซึ่งยืนอยู่ที่ทางเดินหินอ่อน

"ท่านราชเลขา..."

เสียงฝีเท้าของเฟลิเซียเป็นสัญญาณการมาถึง และคำเรียกนั้นก็เทียบได้กับการรายงานตัว ราชเลขาแห่งแอสทารอธค่อยๆหันมาหาอาคันตุกะของนางด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เซนทอร์หญิงถอยออกไป เช่นเดียวกับเอเดรียนที่ค่อยๆปล่อยมือจากคนข้างกาย เซนทอร์หญิงก้าวตรงเข้ามาหาคู่สนทนาที่นางเรียกมาพบ "ข้าจำได้ว่าขอพบเพียงท่านทูตเอเดรียน... เหตุใดจึงมีผู้ติดตามมาด้วย" นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตของนางคาดคั้น

"หากข้าเดาไม่ผิดแล้ว... นั่นคือผู้ติดตามคนเดียวกันกับที่ทำให้ซาฮาลหัวเสียกลับมาไม่ใช่หรือ"

เอเดรียนเหลือบมองคนข้างตัวก่อนจะยกมือขึ้นบังร่างโปร่งเอาไว้ และค้อมหัวลงด้วยท่าทางนอบน้อม "ข้าต้องขออภัยแทนคนของข้าด้วย ท่านหญิงได้โปรดเมตตา" แม่ทัพใหญ่ไม่แก้ต่าง แต่ก็พยายามก้าวเข้ามาขวางระหว่างเซนทอร์หญิงกับเลสธีราห์ให้มากที่สุด

"เจ้าไม่ควรเลี้ยงคนเช่นนี้ไว้... อาเดรียจะเสียประโยชน์เพราะเขา"

"..." เลสธีราห์เบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น การเจรจาเมื่อเช้าที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะพวกเขาพูดคุยกับซาฮาล ซึ่งเป็นคนที่เลสธีราห์ไม่ชอบหน้าเป็นทุนเดิม ดังนั้นเจ้าตัวจึงพลั้งเผลอต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายและทำให้เอเดรียนเสียโอกาสในการเจรจา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เลสธีราห์คิดว่าเอเดรียนควรจะลงโทษเขาให้หนักกว่าการตบปากเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ำ

แต่จู่ๆคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมากลับเป็นมารดาของตนเอง ทำให้เซนทอร์หนุ่มอดกลั้นใจไม่ได้

"ได้โปรด... ท่านหญิง" เอเดรียนค้อมหัวอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาหาผู้ติดตาม "เลสธีราห์ เจ้าถอยไปก่อน" แม้ว่าอยากจะแย้งสักแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องปฏิบัติตนเป็น 'ลูกน้อง' ที่ดีบ้าง ดังนั้นเลสธีราห์จึงยอมก้มหัว และถอยเท้าออกไปจากบริเวณนั้นในที่สุด

"ข้าขออภัยอีกครั้ง ท่านราชเลขา" เอเดรียนว่า "ข้าขอน้อมรับคำตำหนิเอาไว้เพียงผู้เดียว"

"เอาเถิด อย่างไรนั่นก็เป็นการบริหารของเจ้า" ราชเลขากล่าว แล้วจึงหันไปมองเรือรบขนาดใหญ่ที่จอดลอยลำอยู่ "ข้าเรียกให้เจ้ามาพบที่คลังหลวงเก็บเรือเซเลสต์... เรือรบในตำนานของแอสทารอธ"

"เป็นเกียรติสำหรับข้าอย่างยิ่งแล้วที่มีโอกาสได้เห็น"

"ท่านทูต... เหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาพบตามลำพังเพราะเจ้าไม่ใช่คนที่มีคารมเยินยอน่ารำคาญอย่างทูตคนอื่น" ท่านหญิงว่า "ได้โปรดอย่าทำให้ข้าผิดหวังในความประทับใจนั่น" เซนทอร์ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเผ่าที่เถรตรงมากที่สุด ไม่เว้นกระทั่งฝ่ายทูตที่ควรจะประนีประนอม แต่นี่ก็อาจจะเถรตรงมากไปสักหน่อยจนเอเดรียนเริ่มสงสัยว่าครึ่งม้าเหล่านี้สามารถผูกมิตรกับชาวเอลฟ์ที่เอาใจยากได้อย่างไร

สำหรับเขาแล้ว พวกเซนทอร์เอาใจยากกว่าพวกเอลฟ์ด้วยซ้ำ

"เมื่อวานนี้ข้าได้รับสารจากธีสธรัล ราชินีของพวกเขาจะขอส่งคนเข้ามาพบข้าเพื่อเจรจาชักชวนให้แอสทารอธร่วมมือในการไล่ต้อนอาเดรีย" นัยน์ตาสีน้ำตาลของนางมองสบกับชายหนุ่มที่เบิกตาขึ้นด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้จะสงสัยใคร่รู้ แต่เอเดรียนมีมารยาทพอจะไม่ถามถึงคำตอบ

"ข้ายังมิได้ตอบรับว่าจะยินยอมให้พวกเขาเข้ามาหรือไม่ จักต้องหารือกับเหนือหัวเสียก่อน"

เอเดรียนพอจะคาดเดาได้ว่าแอสทารอธอาจไม่ต้องลงทุนลงแรงอะเลยด้วยซ้ำในการเข้าร่วมกับธีสธรัล อาณาจักรมนุษย์แห่งนั้นมีกองเรือรบที่สามารถถล่มอ่าวอาเดรียให้ราบเป็นหน้ากลองได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่ราชินีไวลด์ต้องการให้แอสทารอธร่วมมือ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เมืองเซนทอร์ไปเข้าร่วมกับอาเดรียเท่านั้น "ธีสธรัลเองก็มีข้อเสนอในเรื่องของเรือจักรไอน้ำเช่นกัน" นัยน์ตาสีน้ำตาลของนางหรี่ลงอย่างมีเลศนัยเพื่อสังเกตอาการของคู่สนทนาว่าจะมีท่าทางอย่างไร แน่นอนว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักและกระอักกระอ่วน ราชเลขาแอสทารอธก็ยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มอย่างพึงใจ

"ข้ามีคำถามหนึ่งแทน... ท่านทูตเอเดรียน"

"ท่านหญิงประสงค์จะถามสิ่งใด"

ลีอาห์ก็ไม่คิดว่าพวกเขาควรจะยืนพูดคุยอยู่ทื่อๆที่เดิม ดังนั้นหญิงสาวจึงเริ่มออกเดิน โดยยั้งฝีเท้าไม่ให้เร็วจนเกินไปจนมนุษย์ธรรมดาอย่างเอเดรียนก้าวตามไม่ทัน "ในฐานะนักปกครอง พวกเรารู้ดีว่าสงครามควรเป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่อาเดรียกลับหยิบมันขึ้นมาเป็นตัวเลือกแรกทั้งที่ตนเองไม่มีความพร้อมในการทำศึก เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นได้"

เอเดรียนรู้ว่าเหตุใดผู้นำทั้งสองของคัสนาห์และอาเดรียจึงไม่ใช่วิธีทางการทูตแต่แรก

...ทว่านั่นก็เป็นปัญหาภายในของเขา

"จากสงครามที่ผ่านมาของมนุษย์และภูตทำให้ธีสธรัลบอบช้ำไปมาก ทั้งกำลังพลและกองทัพ สินค้าราคาแพงขึ้นและหาได้ยากยิ่งขึ้น ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูบ้านเมืองและเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงกษัตริย์ที่นำพาความไม่แน่นอนและความไม่มั่นใจมาให้ประชาชน หากต้องการเป็นผู้ได้เปรียบทางการต่อรองอาเดรียจะต้องใช้วิธีที่แข็งกร้าวที่สุด เพื่อทำให้ประชาชนของธีสธรัลเกิดความเดือดร้อนโดยทั่วถึงกัน และหากราชินีแห่งธีสธรัลไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ประชาชนก็จะตัดสินว่านางเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถ ดังนั้นนี่จึงเป็นการบีบให้ธีสธรัลตกเป็นเบี้ยรองในการเจรจากับอาเดรีย"

เซนทอร์หญิงทอดยิ้มเย็นโดยไม่กล่าวอะไรตอบ และดูเหมือนว่านางจะพอใจกับคำตอบที่ได้

"แล้วประชาชนอาเดรียไม่เดือดร้อนหรืออย่างไรในการตัดสินใจเช่นนี้ ได้ยินมาว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่ประกอบการค้า นี่ไม่ใช่การบีบคั้นเพียงแค่คนอื่นแต่ก็เป็นการฆ่าตัวเองไปด้วยช้าๆหรอกหรือ" ลีอาห์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "แล้วหากอาเดรียมีความคิดที่จะบีบคั้นธีสธรัลจริงๆ เหตุใดจึงต้องขอยืมคำกำลังพลจากแอสทารอธเล่า ในเมื่อท่านทูตมั่นใจนักหนาว่าธีสธรัลจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มสงคราม"

เอเดรียนหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะค้อมหัวลงเป็นเชิงขออนุญาตให้คำตอบ

"เพราะสิ่งที่ข้าเสนอต่อท่านหญิงนั้นมีค่ามากเทียบเท่ากับกองทัพเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ" แม่ทัพหนุ่มยังคงค้อมหัวอยู่เช่นนั้นด้วยความนอบน้อม และด้วยความไม่มั่นใจว่าคำตอบของตนจะทำให้ราชเลขาเกิดความไม่พอใจหรือไม่ "หากจะเรียกร้องสิ่งอื่นใดก็เกรงว่าจะไม่สมน้ำสมเนื้อกัน" แต่แน่นอนว่าผู้เป็นถึงทูตใหญ่ของอาณาจักรย่อมสามารถควบคุมอารมณ์และสีหน้าได้ดีกว่าผู้อื่น เอเดรียนค่อยๆยืดตัวขึ้นอีกครั้ง แต่เขากลับไม่สามารถอ่านอารมณ์ของคู่สนทนาได้เลย

"ช่างเป็นข้อเสนอที่สูงค่า" ราชเลขากล่าวเสียงเรียบ "เรือย่อมแลกด้วยเรือ จึงมีค่าเท่าเทียมกัน"

เอเดรียนลอบกลั้นหายใจเมื่อพบว่าเซนทอร์หญิงยื่นข้อแลกเปลี่ยน

"ในเมื่อท่านทูตเสนอศาสตร์ของเรือจักรไอน้ำให้แอสทารอธ แอสทารอธก็จะเสนอเรือรบในกองเรือเซเลสต์ให้เป็นข้อแลกเปลี่ยน" นางหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อสังเกตสีหน้าของคู่สนทนา และพบว่าอีกฝ่ายเพียงนิ่งฟังอย่างสงบ "แต่อาเดรียจักต้องใช้กำลังทหารของตนเองในการต่อสู้ ไม่ใช่ของแอสทารอธ"

ท่านหญิงลีอาห์เหยียดมุมปากขึ้นยิ้มอย่างรู้ทัน "หากท่านทูตต้องการกำลังคนก็จักต้องแลกด้วยกำลังคน"

แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยต่อเป็นเชิงถามเจตนารมณ์ของนาง "แรงงานคน..."

เซนทอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นเผ่าที่มีประชากรน้อยมากเมื่อเทียบกับเผ่าอื่น อันเนื่องจากอุปนิสัยที่รักอิสระ ดุดันแข็งกร้าว และ 'บ้างาน' ทำให้เซนทอร์ไม่ใคร่จะมีคู่ แต่งงานมีลูกกันมากนัก แม้กระทั่งเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธก็ยังไม่มีเวลาว่างมากพอจะเลือกชายา ทำให้เมืองเซนทอร์แห่งนี้ขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน เมื่อคนครึ่งม้าล้วนแล้วแต่มีความต้องการเป็นนักรบ ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาการจ้างแรงงานจากเผ่าพันธุ์อื่น

แต่ก็ด้วยกฎระเบียบที่เคร่งครัด แม้จะจ่ายค่าจ้างได้สูงเพียงใดก็ไม่ใคร่จะมีใครอยากทำงานด้วยนัก

"เช่นนั้นข้าจะขอเวลาหนึ่งเดือน เพื่อนำศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำของชาวเอลฟ์มาให้แอสทารอธดังที่เสนอ" คู่สนทนาค้อมหัวลงอย่างนอบน้อมต่ออีกฝ่าย "ส่วนในเรื่องของแรงงานคน อาเดรียจะต้องหารือกับขุนนางหลายฝ่าย ภายในเวลาหนึ่งเดือน เราจะกลับมาพร้อมกับคำตอบ"

"ได้... เราจะให้เวลาพวกเจ้าเดือนหนึ่ง หากอาเดรียสามารถอดทนต่อวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการสร้างกำแพงขึ้นด้วยตนเองได้ เราก็ยินดีจะรอ" ราชเลขาเคาะกีบเท้ากับพื้นสามครั้งเป็นการให้สัญญาณเรียกรีดาห์ที่รออยู่ด้านนอกห้องให้เข้ามา "ในระหว่างนี้ แอสทารอธไม่เลือกข้าง ไม่เข้าร่วมกับอาณาจักรใดสักระยะหนึ่งเพื่อรอคำตอบนั้น"

"เป็นความเมตตาของท่านหญิงแล้ว"

"นำศาสตร์การต่อเรือมา" ลีอาห์ยิ้ม "แล้วเหนือหัวแห่งแอสทารอธจะยินดีส่งเรือรบออกศึก!"

--------------------------------------------------

คณะทูตจากอาเดรียตัดสินใจเดินทางกลับหลังจากการพบปะเสร็จสิ้น

อัลธอร์ดูลิงโลดเมื่อได้กลับมารับใช้เจ้านาย แม้ว่ามันจะทำปากขมุบขมิบเสมือนไม่เคยชินกับการใส่เหล็กปากก็ตาม พวกเซนทอร์ไม่ใส่เครื่องพันธนาการให้ม้า อีกทั้งยังเลี้ยงดูด้วยหญ้าอ่อนอย่างดีและให้ที่พักจนม้าบางตัวลืมความลำบากไปชั่วขณะ ซึ่งอัลธอร์อาจเป็นหนึ่งในนั้น แต่มันก็ยังดูอุ่นใจกว่าเมื่อเอเดรียนอยู่บนหลังของมัน สังเกตได้จากแววตาเป็นประกายยามที่ได้อยู่ใกล้ชิดเจ้านาย

...ลูเซียของเลสธีราห์ที่มีอายุมากกว่าดูจะมีความสุขุมกว่า

อีกทั้งคนที่อยู่บนหลังของมันก็หาใช่เจ้านายธรรมดา แต่เป็นเผ่าอาชาชั้นสูง ม้าที่สงบเสงี่ยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงได้เรียบร้อยมากขึ้นจนสังเกตได้ "คิ้วเจ้าจะชนกันอยู่แล้ว..." เลสธีราห์พยายามจะชวนแม่ทัพคุย "อะไรกัน แอสทารอธก็ไม่ได้ปฏิเสธเจ้าสักหน่อย" นัยน์ตาสีเข้มของเอเดรียนเหลือบมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะเบือนกลับไปมองเส้นทางตรงหน้าตามเดิม

"ปล่อยให้ข้าเครียดเถอะ เลส..." อีกฝ่ายว่า "แม้ว่าผลการเจรจาจะน่าพอใจ แต่ก็ใช่ว่ามันสำเร็จลุล่วง"

เมื่อได้ยินอย่างนั้น เลสธีราห์ก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรต่อ จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับผลการเจรจา เนื่องด้วยเขาไม่ใช่ชาวอาเดรีย และไม่เคยรับรู้ความลำบากของผู้คนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เขาพยายามจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ทัพใหญ่ในวันนี้ อีกฝ่ายจำเป็นต้องช่วยคลายความเดือดร้อนให้ผู้คนเหล่านั้น จึงต้องยื่นข้อเสนอที่มีราคาแพงให้กับแอสทารอธ

แม้ว่าเลสธีราห์อยากจะเปิดโปงทุกอย่างใจแทบขาด แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของเอเดรียนแล้ว

...เซนทอร์หนุ่มก็คิดว่าเขาควรให้เวลาอีกฝ่าย

เอเดรียนมีความจำเป็นจะต้องทำแบบนี้ และเขาก็มีความมุ่งมั่นที่จะหาสิ่งตอบแทนมาให้แอสทารอธตามที่ลั่นวาจา และเหตุผลที่อีกฝ่ายมีสีหน้าบึ้งตึงตลอดเวลาเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะกำลังคิดหาวิธีที่จะเดินทางไปยังธีสธรัลเพื่อนำศาสตร์แห่งเรือจักรไอน้ำกลับมาให้แอสทารอธนั่นเอง "ก็ใช่ว่าเจ้าคิดออกตอนนี้ แล้วจะไปเสียตอนนี้ได้" ร่างโปร่งพยายามพูด "ไหนจะต้องกลับไปรายงานผลการเจรจาอีก"

เอเดรียนพยักหน้าเบาเป็นเชิงเห็นด้วยกับสิ่งที่เลสธีราห์พูด แต่เขาก็ยังไม่สามารถยิ้มออกได้ทันทีอยู่ดี "หลายครั้งที่เจ้าพูดจาตรงไปตรงมาไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่มันก็คือความจริงที่เจ้ามอง" เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจว่าประโยคของเอเดรียนนั้นเป็นคำติหรือว่าคำชม

"ข้าชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้" เขาจรดยิ้มที่มุมปากด้วยความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าเป็นความเอ็นดูหรืออื่นใด

"อย่างกับว่าเจ้าพูดความจริงกับข้า" ร่างโปร่งอดไม่ได้ที่จะสวนกลับบ้าน "เจ้าเองก็หลอกข้าว่าเป็นขุนนางธรรมดา แต่จู่ๆก็มาบอกว่าเป็นแบบนี้" เขาหันไปมองคนแม่ทัพใหญ่ที่ถอยม้าออกห่างไป และพยายามจะรั้งเขาเอาไว้ที่ท้ายขบวน และลดเสียงลงเล็กน้อยเพื่อให้การพูดคุยมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

"ข้าไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นขุนนางฝ่ายใด หากเจ้าทบทวนดีๆแล้ว"

"อย่ามาเล่นคำกับข้านะ" แม้ว่าจะอยากตะโกนใส่อีกฝ่ายสักแค่ไหน แต่ด้วยความที่รอบตัวพวกเขามีเพียงป่าที่อาจมีเสือหรือผู้สอดแนมอื่นใดแอบเฝ้ามองอยู่ และทั้งคู่ก็อยู่ในคณะเดินทางซึ่งไม่มีความเป็นส่วนตัวมากพอที่จะมาหยอกล้อกันตอนนี้ ทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องยอมเงียบไปเองด้วยรู้ดีว่าหากตนเสียงดังไปจะมีแต่ผลเสียตามมา

เอเดรียยิ้มจางกับกิริยานั้น "ข้าจะไม่โกหกเจ้า... หากเจ้าสัญญาว่าจะทำแบบนั้นเช่นกัน"

"นี่ใช่เวลามาถามหาเรื่องนั้นจากข้าที่ไหน" เซนทอร์บ่นอุบ "หากเลิกคิดเรื่องธีสธรัลได้ เจ้าควรจะคิดหาคำพูดดีๆไปอธิบายให้เจ้าเมืองอาเดรียฟังมากกว่า" เอเดรียนกลับไปมุ่นคิ้วดังเดิมเมื่อได้ยินดังนั้น จึงทำให้เลสธีราห์กระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันทีด้วยคิดว่าเป็นเพราะตนที่ทำให้แม่ทัพใหญ่ลำบาก "ข้าหมายถึง... เหตุใดเจ้าเมืองจึงส่งเจ้าไปเจรจาทั้งที่อาเดรียไม่มีสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนเลย จนเจ้าต้องหา... เรือจักรไอน้ำอะไรนั่นไปเสนอแทน ซึ่งมันเป็นข้อเสนอที่รัดคอตัวเองชัดๆ"

"เลสธีราห์..." เอเดรียนปรามให้อีกฝ่ายลดเสียงลง

"แล้วพวกเจ้าไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะเอาไปต่อรองได้เลยหรือไง" ร่างโปร่งเบาเสียงลงตามที่อีกฝ่ายเอ็ด แต่ก็ยังไม่เลิกราการตั้งคำถาม เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาต้องการรู้มากที่สุดก็เป็นได้ ว่านอกจากเรือจักรไอน้ำซึ่งเป็นของธีสธรัลแล้ว ตัวเมืองอาเดรียเองไม่มีสิ่งใดที่เป็นของตัวเอง และเป็นประโยชน์กับแอสทารอธเลยจริงๆหรือ

เอเดรียนถอนใจเบาแล้วจึงดึงบังเหียนรั้งให้อัลธอร์ชะลอฝีเท้าลง เช่นเดียวกับลูเซียที่หันหัวกลับมา "พวกเจ้าล่วงหน้าไปก่อน" ร่างสูงพยักหน้าบอกคนของตน แล้วจึงหันกลับมาหาคู่สนทนา "เลสธีราห์... ข้าบอกเจ้าตอนนี้ไม่ได้"

เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ "เหตุใดจึงบอกไม่ได้ เพราะข้าเป็นคนนอกที่เพิ่งเข้ามาร่วมกลุ่มกับเจ้าหรือ เจ้าบอกว่าข้ามีประโยชน์กับเจ้าจึงได้ชวนมา แต่ข้าก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลยสักนิด" นัยน์ตาสีฟ้าทะเลของเจ้าตัวช้อนมองแม่ทัพใหญ่ "ท่านหญิงเองยังแนะนำให้เจ้าขับไล่ข้าออกไป"

"นี่เป็นวิธีการบริหารของข้า เจ้าอย่าได้ใส่ใจคำแนะนำของท่านหญิงเลย"

"แต่นางก็เป็นถึงราชเลขาแห่งแอสทารอธ..." ร่างโปร่งมุ่นคิ้ว "เจ้าปกป้องข้าไว้ทำไม เอเดรียน เจ้าให้ข้าอยู่ที่นี่ทำไม ในเมื่อเจ้าไม่คิดจะบอกอะไรหรือใช้ประโยชน์อะไรจากข้าเลย" เลสธีราห์กำมือแน่นพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น "ทำไมเจ้าถึงบอกข้าว่าเจ้าเป็นใคร แต่กลับไม่บอกว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร"

เอเดรียนถอนใจเมื่อเห็นดังนั้น เขาค่อยๆดึงม้าเข้าไปใกล้ลูเซียแล้วจึงยกมือขึ้นลูบหัวคู่สนทนาเบาๆอย่างอ่อนโยน "เหตุผลที่ข้าอยากให้เจ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่ใช่เพราะเจ้ามีประโยชน์กับข้าในเรื่องการเมืองพวกนี้" ร่างโปร่งค่อยๆเหลือบขึ้นมองคนพูดด้วยความไม่แน่ใจ และกลั้นใจโดยไม่รู้ตัว "แต่เจ้าทำให้ข้าสบายใจ และอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก นั่นคือเหตุผลที่ข้าปกป้องเจ้า และยังรั้งเจ้าเอาไว้ เลสธีราห์..."

เอเดรียนค่อยๆลดมือลง และกอบกุมบังเหียนของตนดังเดิม

"กลับอาเดรียกันเถอะ..."

เซนทอร์หนุ่มที่รู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมาดื้อๆค่อยๆดึงม้าเดินตามไป และพยายามจะรวบรวมสมาธิที่ค่อนข้างจะกระจัดกระจายไปแล้วกลับมา "ประหลาดคน... อยากให้อยู่ข้างๆแต่ก็ไม่เคยไว้ใจ" เขาบ่นอุบ "ถ้าข้าเป็นศัตรูขึ้นมา ป่านนี้เจ้าคงตายไปแล้ว!"

เอเดรียนหัวเราะร่วน และดึงม้าเดินนำหน้าตามขบวนไป "ข้าถึงเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนร้าย..."

"อย่าทำเป็นรู้ทันข้าหน่อยเลย เอเดรียน" ร่างโปร่งเอ็ด

"ข้ารู้ทันเจ้า... จริงๆ" แม่ทัพยิ้มอ่อนใจกับนิสัยเอาชนะของอีกฝ่าย "แต่คงต้องขอเวลาสักพักกว่าจะเชื่อเจ้าได้สนิทใจ" เอเดรียนหันกลับมาพูดอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนทั้งที่มันไม่ได้เข้ากับรูปแบบคำตอบเชิงปฏิเสธของเขาเลย "เจ้ารอได้ไหม อมนุษย์..."

"...แต่ข้าให้เวลาหนึ่งเดือนเท่ากับท่านราชเลขานะ!"

"แล้วถ้าเกินหนึ่งเดือนเล่า"

"ข้าจะลาออกแล้วกลับไปล่ากวางขายเหมือนเดิมน่ะสิ"

แม่ทัพใหญ่หัวเราะเบาอย่างเอ็นดู "เช่นนั้น... ข้าจะไปรอเจ้าที่เดิมทุกวันก็แล้วกัน"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 10.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 01-11-2016 07:30:48
ตอนที่ 10.2

ท่านหญิงลีอาห์ค้อมหัวลงนิ่งหลังจากรายงานผลการเจรจาให้เหนือหัวแห่งแอสทารอธรับรู้

"เพราะสิ่งที่เสนอมามันมีค่าเทียบเท่ากองเรือเซเลสต์รึ" ดาเรียสหัวเราะร่วนในลำคอ "ช่างเข้าใจพูดนัก ทูตอาเดรียผู้นี้" แม้ว่าอาเดรียจะร้องขอสิ่งที่มีมูลค่ามากอยู่สักหน่อย แต่ในเมื่อผู้เจรจาด้วยคือท่านหญิงลีอาห์ แน่นอนว่าแอสทารอธจะไม่ต้องสูญเสียอะไรไปมากมายเลย "ท่านเองก็มีความหลักแหลมที่ต่อรองกลับไปเช่นนั้น อย่างไรทั้งอาเดรียทั้งธีสธรัลก็ต้องหันหน้ามาหาเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกฝ่ายใดก็เท่านั้น"

"เช่นนั้นแล้ว เหนือหัว... จะอนุญาตให้ทูตจากธีสธรัลเข้าพบหรือไม่"

ดาเรียสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "ข้าคิดว่าท่านหญิงให้คำสัตย์กับอาเดรียไปแล้วว่าจะไม่เอนเอียงเข้าข้างผู้ใดเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน" ผู้นำอาณาจักรเอนกายพิงหมอนอิงข้างตัวเล็กน้อย "หรือท่านหญิงจะกล่าวว่า การไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายจะ ก็ใช่ว่าจะรับฟังข้อเสนอจากเมืองอื่นไม่ได้"

ลีอาห์ยิ้มรับเมื่ออีกฝ่ายอ่านใจเธอได้ "ใครว่าเหนือหัวดาเรียสไม่มีความสามารถในการเจรจาหนอ"

"ทั้งหมดนี้ ข้าก็เรียนรู้มาจากท่านนี่ล่ะ ท่านหญิงลีอาห์"

"เช่นนั้นข้าจะตอบรับการมาเยือนของทูตแห่งธีสธรัล แต่จะปฏิเสธของกำนัลและบรรณาการทั้งปวงเพื่อยืนยันคำสัตย์ที่เรามีต่ออาเดรีย" แม้ว่าธีสธรัลจะมีอำนาจการต่อรองมากกว่า และครอบครองสิ่งที่แอสทารอธต้องการนั่นคือเรื่องจักรไอน้ำ แต่ราชเลขาแห่งแอสทารอธกลับมั่นใจว่าบุตรชายของนางที่แฝงตัวอยู่ในอาเดรียจะสามารถทำให้แอสทารอธได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

"แม้ว่าข้าจะอยากเอนเอียงเข้าธีสธรัลมากกว่า แต่ในเมื่อเขาเป็นพันธมิตรที่ดีของพวกอัสคาห์..."

"จริงอยู่ว่าธีสธรัลพยายามส่งทูตมาเจรจา แต่หากเปรียบกันแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากแอสทารอธเลย อาจจะต้องการเพียงแค่ไม่ให้เราไปเข้ากับอาเดรียก็เท่านั้น หากเลือกธีสธรัลไป ข้าเองไม่เห็นผลประโยชน์ระยะยาว" ท่านหญิงว่า "ในขณะที่อาเดรียต้องพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อไม่ให้เราไปเข้ากับธีสธรัล พวกเขาจึงยอมทุ่มเทแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่มีค่า นั่นก็คือศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำที่ยังไม่มีเมืองใดในแผ่นดินตะวันตกนี้มีโอกาสเรียนรู้อาเดรียครอบครองศาสตร์นั้นอยู่ก็จริง แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจของบ้านเมืองแล้วไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะต่อเรือจักรไอน้ำ โดยเฉพาะภาวะหลังสงครามที่ทุกอาณาจักรที่ต้องการเวลาเพื่อฟื้นฟูตัวเอง"

โดยไม่นำเรื่องบาดหมางในอดีตมาพูดต่อ ท่านหญิงลีอาห์อธิบายที่มาของผลการเจรจาให้เหนือหัวฟังโดยละเอียด "แต่ถึงอย่างนั้น ข้าเองก็ยังอยากได้ยินข้อเสนอของธีสธรัลว่าพวกเขาต้องการอะไร และแลกเปลี่ยนกับอะไร" แม้ว่าในตอนนี้แอสทารอธจะเป็นอาณาจักรที่ 'เนื้อหอม' ที่ทั้งอาเดรียและธีสธรัลต้องการจะเข้าหา และดึงเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร แต่แอสทารอธเองก็ต้องตัดสินใจให้ดีว่าต้องการจะร่วมมือกับฝ่ายใดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุดในระยะยาว แม้ว่าการเข้าร่วมกับธีสธรัลจะเป็นตัวเลือกที่ฟังดูดีกว่า เนื่องจากสถานภาพบ้านเมืองที่มั่นคงและแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับไอย์ชวลซึ่งเป็นเมืองภูตขนาดใหญ่ทางเหนือของแอสทารอธอีกด้วย แต่ด้วยความที่มั่นคงมากเกินไปนั้นเองที่ทำให้ราชเลขาแห่งแอสทารอธไม่มั่นใจว่าเซนทอร์จะได้รับผลตอบแทนที่แท้จริงในระยะยาวหรือไม่

แต่หากเข้าร่วมกับอาเดรียที่เป็นเมืองเล็กๆ เซนทอร์อาจมีอำนาจต่อรองในเรื่องอื่นๆเพิ่มเติมได้บ้าง

"เหนือหัวยังสนใจ... ป่าเวทมนตร์อยู่หรือไม่คะ"

เมื่อคนสนิทถาม ผู้นำแห่งแอสทารอธก็สูดหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่งระหว่างใคร่ครวญคำตอบ "เราอาจต้องการความก้าวหน้ามากกว่าถอยหลังกลับไปหาป่าเวทมนตร์อันเป็นอดีตที่พึงระลึกถึง แต่ว่า... การที่จะให้เซนทอร์ลืมเผ่าอาชาชั้นสูงอย่างยูนิคอร์นนั้นเป็นเรื่องยากเหลือเกิน"

ป่าเวทมนตร์เป็นดินแดนที่อยู่ในเขตของอาณาจักรคัสนาห์ และถูกโอบล้อมด้วยหมู่บ้านและเมืองเล็กเมืองน้อยของพวกมนุษย์ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสมบัติของมนุษย์ไปโดยปริยาย ป่าเวทมนตร์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีความพิเศษ เช่นต้นไม้ที่มีเปลือกซึ่งสามารถนำไปทำยารักษาโรคได้อย่างดี หรือยางไม้ที่สามารถสมานบาดแผลได้ มนุษย์ในอดีตนั้นเรียนรู้ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ แต่หลังจากที่คัสนาห์ถูกยึดอำนาจ มนุษย์ผู้มีความสามารถเหล่านั้นก็ถูกกำจัดไป และทิ้งให้ป่าเวทมนตร์เป็นเพียงป่ารกที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปเท่านั้น

แต่เซนทอร์ยังมีความต้องการจะเดินทางเข้าไปสักครั้ง โดยหวังว่าจะได้พบกับเผ่าอาชาชั้นสูงอย่างยูนิคอร์น

พวกเขาอาจไม่มีความคิดที่จะฆ่ายูนิคอร์นเพื่อเขาวิเศษ หรือเลือดเนื้อที่เต็มไปด้วยพลัง แต่การได้พบยูนิคอร์นสักครั้งก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่ได้เกิดมาเป็นเซนทอร์ "อีกทั้งสิ่งที่อยู่ในป่าเวทมนตร์นั้นก็มีมูลค่ามหาศาล หากต้องการจะเข้าไปในป่าเวทมนตร์ เราคงต้องได้ครอบครองคัสนาห์" เหนือหัวถอนใจ "ซึ่งนั่นเป็นเรื่องยาก และสูญเปล่า ท่านหญิง... ข้าอยากให้ท่านสนใจวิทยาการใหม่ๆเสียมากกว่า"

"เช่นนั้นข้าจะไม่พูดถึงมันอีก" ราชเลขาค้อมหัวลง "ข้าเข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของเหนือหัวมากแล้ว ต้องขอตัว"

--------------------------------------------------

เอเดรียนเฝ้ามองมหาคฤหาสน์จากต่างห้องพักของตนในคฤหาสน์ราห์โมนา และพยายามบอกตัวเองให้รักษาความสุขุมเอาไว้ให้สมกับที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นผู้นำสูงสุดของกองทัพอาเดรียก็เกิดความรู้สึกหวั่นเกรงได้เหมือนกันเมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น ท่านชายซินญอร์คงจะโมโหมาก หากรู้ว่าเขายื่นข้อเสนอแบบนี้ให้แอสทารอธ แม้ว่าอีกฝ่ายจะตัดใจยกป่าเวทมนตร์ให้เซนทอร์แล้วก็ตาม แต่เอเดรียนคิดว่ามันอาจไม่มีค่ามากพอที่จะทำให้คนครึ่งม้าสนใจ

"ป่านนี้แล้วยังไม่พักผ่อนอีก..."

แม่ทัพหนุ่มสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนั้น เรียกเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของผู้มาเยือนได้ เลสธีราห์ปิดประตูช้าๆแล้วเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆอีกฝ่าย "คิดเรื่องของพรุ่งนี้อยู่หรือไร" ร่างโปร่งเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเครื่องแบบทหารที่เอเดรียนมอบให้เป็นชุดที่เขาชอบใส่เป็นประจำ นั่นก็คือกระโปรงหนังวาฬตัวยาว

"ข้าเชื่อว่าเจ้ามีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เหตุใดจะต้องใคร่ครวญให้มากความ"

เอเดรียนถอนใจยาวแล้วจึงหันไปหยิบขวดแก้วข้างตัวเพื่อรินเครื่องดื่มที่มีกลิ่นแรงใส่แก้วของตนและเลสธีราห์

"ข้าไม่ดื่มเหล้า" เซนทอร์หนุ่มรีบปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายส่งแก้วให้ แต่ก็ยอมรับมาถือไว้และมองคู่สนทนาที่ดื่มหมดทั้งแก้ว "มันอร่อยหรืออย่างไร เหตุใดจึงชอบดื่มกันนัก" เซนทอร์หนุ่มย่นจมูกครั้งหนึ่งแล้วจึงวางแก้วไว้บนโต๊ะเล็กตรงหน้าตามเดิม เขาพอจะรู้ฤทธิ์และรสชาติของมัน เซนทอร์หนุ่มจึงตัดสินว่ามันเป็นเครื่องดื่มรสชาติแย่ และไม่ให้ประโยชน์ใดๆ

"เอเดรียน..."

คนถูกเรียกวางแก้วเปล่าลงก่อนจะหลับตาด้วยความรู้สึกมึนงงจากฤทธิ์สุรา "ถึงเจ้าจะพูดอย่างนั้น แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน แม้ว่าแอสทารอธจะตอบรับข้อเสนอของเรา แต่ผลตอบแทนที่ข้าเสนอไปคือสิ่งที่อาเดรียไม่มี แต่ข้าจะต้องเป็นคนไปหามันมา" อีกฝ่ายลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะมองกลับมาที่คนฟังที่นั่งอยู่ข้างตัว "มันคือการแบกอาณาจักรเอาไว้บนบ่า เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจหรือ"

เลสธีราห์ถอนใจเบา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดตาอีกฝ่าย "อย่างไรเจ้าก็ต้องไปธีสธรัล นั่นคือความจริง"

เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เจือกลิ่นเหล้า และความว้าวุ่นในจิตใจของคู่สนทนา เลสธีราห์เชื่อว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลว่าทำไมจึงหยิบยื่นข้อเสนอแบบนั้น แต่เอเดรียนก็เป็นคนพูดเองว่าเขายังเป็นนอกมากเกินไปที่จะบอกความลับภายในของอาเดรีย ดังนั้นเซนทอร์หนุ่มจึงยอมเลิกราไม่รบเร้าคำตอบ "เจ้าสนใจเพียงความจริงข้อนั้นก็เพียงพอ แล้วจงรอดกลับมาเพื่ออาณาจักรของเจ้าให้ได้ คิดแบบนี้ไม่สบายใจกว่าหรือไร"

เอเดรียนดึงมือเรียวออกจากตนแล้วถอนใจยาวอีกครั้ง "แต่ว่า..."

"หากคิดวนเวียนไปมาเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการพายเรือวนอยู่ในสระแคบๆแทนที่จะล่องไปตามแม่น้ำแล้วพบทะเลที่แท้จริง" คนพูดกลืนน้ำลายเล็กน้อยแล้วสูดหายใจเข้าลึก "ในเมื่อเจ้าต้องไปธีสธรัล ข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย" เพื่อศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำให้แอสทารอธ เลสธีราห์คิดว่าการที่เขาเดินทางไปด้วยคงไม่เป็นการเสียแรงเปล่า "เจ้าเสียดายชีวิตคนของเจ้า ทั้งโจฮาลล์ ทั้งจาเร็ตต์ แต่อย่าเสียดายชีวิตข้า..."

"เจ้าไม่รู้ว่าธีสธรัลเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ" อีกฝ่ายคงเริ่มมึนพอสมควร สังเกตได้จากน้ำเสียงต่ำกว่าทุกที

"แต่ถ้าเจ้าไปเพียงลำพัง เจ้าจะไม่มีทางได้กลับมา" ดวงตาสีฟ้าจ้องมองคู่สนทนาเป็นเชิงบังคับขู่เข็ญ "เจ้าแบกอาเดรียทั้งอาณาจักรเอาไว้ไม่ได้หรอก" ในฐานะแม่ทัพที่ต้องรับผิดชอบหลายเรื่องวุ่นวายภายในอาณาจักร เลสธีราห์คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกประหลาดอยู่บ้างที่คนนอกเช่นเขานึกอยากเสี่ยงชีวิตเข้าไปในธีสธรัล ทั้งที่อุปนิสัยที่แสดงออกดูเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายของเบื้องบน "เจ้าชวนข้ามาร่วมคณะเพราะคิดว่าข้าช่วยเจ้าได้ แต่จนตอนนี้ข้ายังไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าด้วยซ้ำ..."

"ให้ข้าทำประโยชน์บ้างเถอะ... เจ้าเป็นคนเดียวที่เห็นคุณค่าของมัน"

แม้มันจะเป็นคำพูดที่จงใจโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเชื่อ แต่เลสธีราห์กลับจุกในอกที่พูดแบบนั้น ราวกับว่าเขากำลังหลอกให้อีกฝ่ายเชื่อ เพื่อตักตวงผลประโยชน์ และสุดท้ายก็จะตีห่างจากไปเมื่อได้รับผลตอบแทน แม้ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำ ควรจะตายจากเอเดรียนไปเมื่อตนได้รับประโยชน์ แต่นั่นก็เป็นการกระทำที่แสนโหดร้าย และหากวันใดที่เขาต้องพบกับเอเดรียนอีกครั้ง เลสธีราห์คิดว่าความรู้สึกดีๆในตอนนี้มันอาจไม่เหมือนเดิม

เขาใจอ่อนอย่างนั้นหรือ... เขาไม่ควรรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่รึไร

"เลสธีราห์" เอเดรียนเอ่ยเรียกเสียงแหบ "ข้า... เชื่อเจ้าได้ใช่ไหม เลสธีราห์"

ร่างโปร่งจนด้วยคำพูดไปชั่วขณะ ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งได้กลิ่นสุราจากลมหายใจของีกฝ่ายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ เอเดรียนอิงแนบหน้าผากของตนกับร่างโปร่งก่อนจะหลับตาลงคล้ายกับกำลังพยายามปลอบตัวเองให้รู้สึกสงบ เซนทอร์หนุ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้กับคนสนิททุกคนหรือไม่ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นเอเดรียนอยู่ใกล้ใครมากเกินควรกระทั่งกับจาเร็ตต์ที่เป็นถึงเลขาส่วนตัว นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าเขาสามารถเข้าใกล้และสนิทสนมกับเอเดรียนได้มากกว่าเดิม

แต่ว่า...

"ไม่... เจ้าเชื่อไม่ได้หรอก"

เลสธีราห์เม้มปากอย่างอับจนและยอมรับว่าเขากำลังใจอ่อน "แต่เจ้าไม่สามารถไปธีสธรัลเพียงลำพังได้" อย่างไรเขาก็ต้องไปกับอีกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร แต่จะให้เขาหลอกเอเดรียนไปมากกว่านี้นั้นช่างเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า "คิดเสียว่าข้าเป็นทหารเลวคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร อย่าเสียดายชีวิตข้า..."

"รับปากได้รึเปล่า..." จู่ๆคนเมาก็พูดขึ้น เซนทอร์หนุ่มจึงหยุดฟัง "ว่าจะไม่ทรยศข้า"

"ไม่... ข้ารับปากไม่ได้" คิ้วเรียวขมวดมุ่น เปลือกตาบางปิดลง และพึมพำเบาๆเหมือนพูดกับตัวเอง "แต่ข้าก็ไม่อยากจะทำร้ายเจ้า... " เขาอยากได้แค่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร ไม่ได้มีเจตนาจะหักหาญจิตใจใคร แม้ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำในอนาคตก็ตาม "เจ้าคิดอย่างไรจึงอนุญาตให้ข้าเข้าหาแบบนี้" แต่แค่คิดว่าจะต้องไปจากอีกฝ่ายเมื่อตนได้รับประโยชน์ เลสธีราห์ก็ไม่ต้องการให้เอเดรียนมีเยื่อใยต่อตนมากไปกว่านี้

"ทำไมถึงสะเพร่าแบบนี้"

ร่างโปร่งรู้สึกได้ว่าปลายจมูกของอีกฝ่ายแตะสัมผัสกับตนลมหายใจอุ่นร้อนเจือไปด้วยกลิ่นของสุราเป่ารดรวยรินเนิบช้า ก่อนที่ริมฝีปากจะเคลื่อนเข้ามาแนบจูบ "...!..." นัยน์ตาสีฟ้าเบิกโพลง และทั้งร่างเกร็งเขม็งขึ้นมาอย่างไม่คุ้นเคย เซนทอร์ส่งเสียงท้วงในลำคอ จุมพิตของร่างสูงไม่อาจเรียกได้ว่าไร้สติ เพราะมันอ่อนโยนนุ่มนวลเสมอเหมือนทุกสัมผัสของเจ้าตัวที่มีต่อเขา มือหยาบกร้านค่อยๆขยับรั้งท้ายทอย และเคลื่อนไปบนแผ่นหลังเปลือย ก่อนจะโอบเอวคอดและกอดเข้ามาแนบกาย "อ... เอเดรียน...!" กลิ่นสุราจากลมหายใจของอีกฝ่ายทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกเวียนหัว เขาผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อสูดอากาศ แต่กลับถูกแขนแกร่งกอดรั้งเอาไว้

"เจ้าเอง... ก็ไม่ได้ระวังตัวเลย" น้ำเสียงของเอเดรียนต่ำกว่าปกติมาก บ่งบอกได้ถึงสติสัมปชัญญะที่ใกล้จะเลือนหาย

...แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เลสธีราห์ต้องขนลุกไปทั้งร่าง

นัยน์ตาสีครามสบกับดวงตาคมเข้ม ในขณะที่ในหัวคิดหาคำพูดเพื่อปฏิเสธอีกฝ่าย แม้ว่ามันจะน่าแปลกที่เขาไม่นึกรังเกียจสัมผัสนั้น อีกฝ่ายแนบจูบอีกครั้ง และผลักร่างโปร่งให้นอนลงกับโซฟา ก่อนจะขยับตัวขึ้นมาอยู่เหนือร่างตนได้โดยสมบูรณ์

ใบหน้าของเอเดรียนถูกปิดบังด้วยผมสีเข้ม ขณะที่ก้มลงแนบจูบซ้ำ น้ำหนักของอีกฝ่ายกดแนบลงมาบนร่าง มือหยาบกร้านค่อยๆเคลื่อนเข้ามากอบกุมมือของร่างเบื้องใต้ แล้วจึงกดวางลงบนเบาะเหนือร่าง พันธนาการเอาไว้ด้วยสัมผัสอุ่นร้อนที่แนบจรดริมฝีปาก

"อะ...!!"

ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขา... เลสธีราห์หลับตาแน่นด้วยความสับสน แม้จะล่วงรู้ถึงความคิดของคนตรงหน้า แต่กลับแปลกใจตัวเองมากกว่าที่ไม่คิดจะผลักไส สัมผัสของเนื้อผ้าที่เสียดสีกับผิวเปล่านำความรู้สึกประหลาดที่ทำให้ร่างโปร่งขยับตอบสนอง มือใหญ่ค่อยๆคลายแรงและปล่อยร่างเบื้องใต้ให้เป็นอิสระ แล้วจึงเคลื่อนลงมาตามสรีระร่างช่วงบนอันไร้สิ่งปกปิดใดๆ โอบรอบเอวคอดและดันร่างของตนแนบชิดจนไม่มีที่ว่างห่างจากกัน

สันจมูกโด่งกดแนบกับลำคอ สัมผัสกลิ่นอายที่ไม่ใช่ของมนุษย์ ฟันคมขับเม้มเนินเนื้อขาวหมั่นเขี้ยวเรียกเสียงอุทานจากเจ้าของร่าง "อื้อ...!" เลสธีราห์รู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนแดงซ่านไปถึงใบหู ในใจยังเต็มไปด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

...เขาไม่ใช่สตรี และเขาก็เชื่อว่าเอเดรียนไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนั้น

"...อือ!!" ฝ่ามืออุ่นเคลื่อนไปสัมผัสอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาทว่ารุกล้ำ นำความรู้สึกแปลกที่ไม่เคยได้รับรู้ไปยังร่างเบื้องใต้ ดวงตาสีน้ำเบิกขึ้นพร้อมกับใบหน้าเรียวหงายแหงนอย่างตระหนก เลสธีราห์คว้ามือของคนตรงหน้าเอาไว้ด้วยความไม่แน่ใจ และพยายามปฏิเสธร่างที่กดกอดเขาอยู่เบื้องบน "อ... เอเดรียน..."

มันไม่มากไปหรือ...

ชายหนุ่มไม่ได้ถามมันออกไป แต่คำตอบที่ได้รับคือริมฝีปากที่แนบจูบอย่างมัวเมา และกำลังแรงที่ดันขาของเขายกขึ้นช้าๆ "ถึงเจ้า... จะพูดอย่างนั้น..." ลมหายใจหอบถี่กระซิบตอบขาดห้วงแนบริมฝีปาก "แต่ข้า... ก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียว... อยู่ดี"

"เป็นของข้าไม่ได้เหรอ เลสธีราห์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 11.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 02-11-2016 10:00:35
ตอนที่ 11.1

งานหลักของผู้บัญชาการกองเรือรบคือการดูแลความเรียบร้อยของน่านน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเรือของอาณาจักรอื่นใดลักลอบเข้ามาทำการประมงในเขตของพวกเขา โดยอาณาเขตของแอสทารอธคือบริเวณอ่าวมารินาทั้งหมดไปจนถึงทางใต้และสิ้นสุดที่เขตแดนที่หมู่เกาะร้างซึ่งเต็มไปด้วยหินโสโครก

แต่ในบริเวณเกาะร้างนี่เองที่มักถูกล่วงล้ำอาณาเขต

เนื่องจากเซนทอร์ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่กินเนื้อปลาด้วยเช่นกัน อีกทั้งเนื้อปลานั้นยังเก็บรักษายาก เน่าเสียได้ง่าย ดังนั้นจึงไม่ใช่สินค้าส่งออกที่ดีนัก นั่นทำให้ทะเลของแอสทารอธเต็มไปด้วยปลามากมาย เนื่องจากพวกมันแทบไม่เคยถูกจับเลย

นี่จึงเป็นสิ่งที่ชาวประมงจากอาเดรียสนใจนักหนา และมันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง

"ท่านเลสธีราห์ หากเรามุ่งลงใต้ต่อไป อาจล่วงล้ำเข้าไปในเขตของอาณาจักรอาเดรียได้ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดีนัก" แม้ว่าเลสธีราห์จะกลายเป็นกัปตันเรือเซเลสต์ทันทีที่เขาได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถนำเรือรบในตำนานออกมาใช้งานได้ตามอำเภอใจ ดังนั้น ผู้บัญชาการใหญ่จึงต้องอาศัยลงเรือลาดตระเวนขนาดเล็กมาแทน

"เจ้านำเรือไปทอดสมออยู่ด้านหลังแหลมราห์ซิน ข้าจะนำเรือบดลงไปยังหมู่เกาะนั่น"

"ท่านเลสธีราห์..." ผู้บัญชาการหนุ่มไม่ทวนคำสั่ง เขาหยิบคันธนูคู่กายที่ขึ้นพาดบ่า แล้วจึงเดินไปที่กราบเรือเพื่อจัดการนำเรือบดลงน้ำ เหล่าลูกเรือเห็นดังนั้นจึงรีบกุลีกุจอมาช่วยเหลือ แม้จะยังไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรก็ตาม

เรือลาดตระเวนตัดสินหันหลังกลับ และอ้อมไปหลบอยู่ด้านหลังแหลมราห์ซินที่เป็นบริเวณน้ำตื้น และทิ้งสมอลงตามคำสั่งผู้บัยชาการ โดยที่ผู้คนบนเรือเฝ้ามองผู้นำของตนพายเรือบดไปยังหมู่เกาะเล็กๆที่อยู่ไม่ไกล โดยทะเลเบื้องหน้าของพวกเขาปรากฎเรือประมงของอาเดรียสามลำที่ลำลอบเข้ามาจับสัตว์น้ำ

ต่อให้เรือลาดตระเวนจะมีปืนใหญ่ แต่มันก็ดูจะสิ้นเปลืองเกินไปที่จะใช้ขับไล่เรือสามลำ

เลสธีราห์ลากเรือบดขึ้นฝั่งอันเป็นหาดทรายขาวของเกาะด้านหน้าสุดและมองเรือประมงของอาเดรียอย่างครุ่นคิด "หากจะฆ่าให้ตายเสียหมดก็คงต้องฆ่าไปเรื่อยๆอีกมากมาย" มือเรียวคว้าคันธนูของตนขึ้นมาถือเอาไว้ก่อนจะยกขึ้นเล็งไปที่เรือที่ลำใหญ่ที่สุดจากทั้งหมด "เพียงแค่ลำเดียวก็คงพอกระมัง"

นิ้วยาวจับสายที่ขึงตึงก่อนจะง้างออกช้าๆ ทันใดนั้นนำทะเลเบื้องหน้าก็สั่นคลอน ค่อยๆแยกตัวแหวกทะเลออกเป็นสองฝั่งฟาก นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองไปที่เรือลำนั้นแล้วจึงออกแรงง้างจนสุดแขน แหวกน้ำออกเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็วไปจนถึงเป้าหมาย พวกเซนทอร์ได้ยินเสียงร้องระงมของพวกมนุษย์บนเรือที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ขณะที่เรือใหญ่หล่นร่วงลงเมื่อไม่มีน้ำทะเลรองรับและตกลงสู่พื้นทรายด้านล่างที่เคยเป็นก้นทะเล

ตูม!!

เลสธีราห์ปล่อยสายธนู และทันใดนั้น น้ำทะเลทั้งหมดก็ถ่าโถมกลับคืนและทับกลบเรือประมงจมหายไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

และนั่นคือวันแรกที่มนุษย์ได้รู้จักอำนาจของแอควาเรียร์... ธนูแหวกสมุทร


--------------------------------------------------

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เลสธีราห์คิดว่าแสงอาทิตย์ในยามเช้าดูเหมือนจะสว่างเกินไป แต่ร่างโปร่งก็ฝืนใจลุกขึ้นมาในทันทีที่รู้สึกตัว และกลับมายังห้องพักของตนด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างเผือดซีด และทิ้งให้แม่ทัพอาเดรียนอนหลับอยู่ในห้องพักของตนตามลำพังอย่างที่ควรจะเป็น

เซนทอร์หนุ่มตรงไปยังเตียงของตนในทันทีที่ปิดประตูห้องและทรุดตัวลงนอนคว่ำหน้านิ่งๆสักพักเพื่อให้ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ยังหลงเหลืออยู่หายไป คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันในขณะที่ยังก้มหน้าอยู่กับฟูกเตียง

"อูย..."

เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและพยายามจะพลิกตัวนอนตะแคงเพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นบ้าง เลสธีราห์ยังจำเสียงลมหายใจกระชั้นของอีกฝ่ายได้ติดหู และสัมผัสจากฝ่ามือแข็งด้านที่กดเฟ้นหยาบโลนไปทั่วร่าง ทั้งจังหวะเคลื่อนไหวดุดันไม่ออมแรง และเสียงของตัวเองที่ยังติดหูจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มหลับตาลงและพยายามส่ายหัวไล่ความทรงจำเหล่านั้นออกไป เขากลัวที่จะนึกถึงมัน... สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมากกว่าที่คาดเอาไว้เกินไป

แต่ก็เป็นตัวเขาเองก็เลือกจะไม่ต่อต้าน ...เพราะเหตุใดกัน

เหตุใดเขาจึงไม่นึกอยากต่อต้านเอเดรียนตั้งแต่เริ่มสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกับตน ทำไมเขาจึงยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสและรุกล้ำเข้ามา เขาควรจะถามเอเดรียนหรือถามตัวเองมากกว่ากันหนอควรถามตัวเองว่าเหตุใดจึงไม่ต่อต้าน หรือถามเอเดรียนว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น

'แต่ข้า... ก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียว... อยู่ดี'

แม้ไม่ต้องการคิดเข้าข้างตนเองสักเท่าไหร่ แต่คำพูดที่บ่งบอกเจตนาเด่นชัดนั้นทำให้เลสธีราห์ว่าคิดว่าได้เข้ามาพัวพันกันเรื่องที่หนักหนากว่าความสนิมสนมฉันมิตรสหายเสียแล้ว แต่เพียงเพราะคำนั้นหรือที่ทำให้เขาใจอ่อน และยอมอยู่ใต้ร่างผู้ชายอีกคนหนึ่งโดยไม่ขัดขืนหรือต่อต้าน เพียงเพราะคำพูดที่ดูหว่านล้อมคำนั้นจริงๆหรือ

เอเดรียนอาจมัวเมาด้วยฤทธิ์สุรา แต่เลสธีราห์ก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวไม่ได้ขาดสติถึงเพียงนั้น

ถ้าหากว่าอีกฝ่ายจดจำไม่ได้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง เขาควรจะทำอย่างไรต่อไป ควรจะทำเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ เพื่อให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนรวมงานดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่ถ้าหากเอเดรียนเกิดจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้ขึ้นมา เขาจะทำอย่างไรต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาควรจะเป็นอย่างไรในอนาคต มันจะมิเป็นการยากขึ้นหรอกหรือ หากเขาต้องการยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เอเดรียนควรจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย และตัวเขาเองก็เช่นกัน...

...เพราะความรักไม่มีทางเกิดขึ้นได้ระหว่างผู้ชายสองคน

--------------------------------------------------

ดาวแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เลือนหายไปจากท้องฟ้าแล้ว...

แม้ว่าเซนทอร์ทุกตนจะมีความสามารถในการอ่านอนาคตจากดวงดาว แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตีความเป็นการส่วนตัว บ้างอาจคิดว่าความพยายามในการเจรจาของท่านหญิงจะไม่สำเร็จ บ้างก็คิดว่าแอสทารอธจะไม่ได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมสงครามเย็นนี้ แต่สำหรับราชเลขาลีอาห์แล้ว นางเป็นห่วงชีวิตของบุตรชายเสียยิ่งกว่าอะไร

"มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาเดรียเสนอสิ่งที่ใหญ่เกินตัวจนเกินไป จึงยอมล้มการเจรจา"

เหนือหัวดาเรียสเองก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว และด้วยความเป็นห่วงต่อความรู้สึกของราชเลขา เขาจึงเรียกนางเข้าพบในตอนเช้า "แต่ในเมื่อเลสธีราห์ไม่พูดอะไรออกมา เช่นนั้นก็แปลว่าไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต" จริงอยู่ว่าศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำจะเป็นความรู้สูงค่าหายาก และเป็นสิ่งที่เซนทอร์ต้องการ แต่เหนือหัวดาเรียสก็ไม่คิดว่าพวกมนุษย์จะหาญกล้าหลอกลวงเพื่อให้เซนทอร์ยอมร่วมมือ ในเมื่อท่านหญิงลีอาห์เองก็ได้กล่าวดักทางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแอสทารอธจะได้ต้องได้รับสิ่งตอบแทนก่อนเท่านั้น กองเรือเซเลสต์จึงจะยอมออกรบ

...และจะออกรบด้วยกำลังพลของกองทัพอาเดรียเท่านั้น

"หากเป็นเช่นนั้น เลสธีราห์ก็คงจะเตือนพวกเราตั้งแต่แรกว่าอาเดรียหลอกลวง" ท่านหญิงเองก็มุ่นคิ้วครุ่นคิด สิ่งที่บุตรชายของนางพูด กับสิ่งที่ดวงดาวบอกนั้นช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน "และถ้าหากว่าอาเดรียมีการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตและกระทบถึงแอสทารอธจริง เลสธีราห์คงไม่รอช้า และรีบเดินทงกลับมายังเลาน์เรนแล้ว" ท่านหญิงพึมพำ แต่เมื่อนางได้พูดออกมาแล้ว เซนทอร์หญิงก็นึกถึงคำหนึ่งที่บุตรชายเคยบอกในยามที่พบกันครั้งสุดท้าย

'เขาชวนข้าไปพักที่คฤหาสน์... มันเป็นอุบายที่จะไม่ให้ข้าไปไกลจากสายตาของเขา'

ลีอาห์กลั้นใจก่อนจะเหลือบตาสายขึ้นมององค์เหนือหัวของนางที่กำลังมองอากัปกิริยาของราชเลขาอยู่เช่นกัน "เอเดรียนผู้นั้นมีไหวพริบ และฉลาดหลักแหลม ลางของดวงดาวในครั้งนี้อาจไม่ได้หมายถึงการเจรจาเพียงอย่างเดียว แต่อาจหมายถึงความปลอดภัยของผู้เจรจาด้วย" คนพูดเม้มปากครู่หนึ่งด้วยความลังเลก่อนจะพูดออกมา "ข้าเกรงว่าเลสธีราห์อาจมีภัย จึงอยากขออนุญาตเหนือหัว..."

ผู้นำแห่งแอสทารอธยกมือขึ้นปรามคนสนิทเมื่อเห็นว่านางเริ่มตระหนก "ข้าส่งเฟรดาไปอาเดรียแล้ว อาจจะช่วยได้บ้าง"

การกระทำอย่างลับๆของเหนือหัวทำให้ราชเลขาอ้าปากทักท้วงว่าเหตุใดจึงไม่บอกเรื่องนี้กับนางแต่เนิ่น แต่ก็พลันได้ว่าตนเป็นเพียงราชเลขาคนสนิทนั้น หากเหนือหัวต้องการจะทำอะไร อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องบอกนางเลยสักคำก็ย่อมได้ "ท่านหญิง... เลสธีราห์มีความสามารถในการเดินเรือและการอ่านทางทะเลก็จริง แต่นี่เป็นเรื่องของไหวพริบและการเอาตัวรอด ข้าเกรงว่าการส่งเขาไปเพียงลำพังจะนำพาอันตรายมาสู่เขา จึงได้ให้เฟรดาคอยสอดส่องดูแลอีกทางหนึ่ง"

เหนือหัวดาเรียสทอดยิ้มละมุน "แต่ข้าก็ไม่ได้สั่งให้เฟรดายุ่งย่ามกับภารกิจของเลสธีราห์หรอก"

"การตีความจากดวงดาวนั้นช่างหลากหลาย ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าควรปักใจเขื่อกับสิ่งใด ควรจะพะวงกับเรื่องผลประโยชน์ของแอสทารอธ และหันหน้าไปตกลงยอมรับข้อเสนอของธีสธรัลดีหรือไม่ หรือว่าควรเชื่อลมปากของพวกมนุษย์อาเดรีย ทว่าเป็นห่วงชีวิตของบุตรชายแทนดี" ราชเลขาถอนใจ "ข้าเองไม่น่าอนุญาตให้เลสธีราห์มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ อันเป็นเรื่องที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย"

"เลสธีราห์ต้องการจุดยืนในเผ่าพันธุ์เซนทอร์ ท่านหญิงเองก็ห้ามไม่ได้หรอก"

เหนือหัวดาเรียสถอนใจ "ทั้งวิชาฟังเสียงปลาและธนูแอควาเรียร์ก็ล้วนแล้วแต่มรดกจากบิดาของท่าน ท่านทูตธีโอแดร์ ทำให้เลสธีราห์คิดว่าตนเองไม่มีความสามารถใดโดดเด่นเป็นพิเศษ อีกทั้งแรงกดดันจากสภาขุนนางชั้นสูงซึ่งเขาเปรียบเทียบระหว่างเขากับซาฮาลที่มีอายุไล่เลี่ยกันยิ่งทำให้เขาหมดความศรัทธาในตนเอง และจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นเพื่อจะพิสูจน์คุณค่าในตนเอง" ผู้นำเซนทอร์กล่าว "ไม่แปลกใจที่เขาซึ่งเกิดมาในร่างที่แตกต่างจากเซนทอร์จะรู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากพวกพ้องไปด้วย แม้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะยังเป็นบุตรของเจ้าอยู่ดีก็ตาม"

ราชเลขาไม่ได้รู้สึกเบาใจขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่อย่างน้อยนางก็ยินดีที่เหนือหัวเขาอกเข้าใจบุตรของนาง

"ข้าเกรงว่า... หากเอเดรียนผู้นั้นสืบรู้ว่าเลสธีราห์เป็นเซนทอร์ เขาอาจจะหาประโยชน์จากลูกข้า"

"เจ้าก็รู้ว่าเลสธีราห์มีความเด็ดเดี่ยวจึงได้เลือกวิธีการพิสูจน์ตนเองแบบนี้" ดาเรียสตอบ "แม้ว่าเหตุการณ์นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ข้าเชื่อว่าเลสธีราห์ไม่ยอมให้ใครหาประโยชน์จากตน หากเขาไม่เต็มใจ" เหนือหัวหยุดไปเล็กน้อยด้วยไม่แน่ใจว่าเขาควรจะพูดต่อไปหรือไม่... เพราะสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากดวงดาวในครั้งนี้ คือความอ่อนไหว

หากเลสธีราห์อ่อนไหว... นั่นหมายถึงความเพลี่ยงพล้ำของแอสทารอธ

"แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ข้าจะไม่ยอมให้อาณาจักรเราเสียประโยชน์เป็นอันขาด"

ราชเลขาค้อมหัวลงยอมรับการตัดสินใจผู้นำ และได้แต่ภาวนาอยู่ในใจไม่ให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง เพราท่านหญิงลีอาห์ก็คิดว่านั่นเป็นทางออกที่ถูกต้องเหมาะสม ในฐานะของเซนทอร์ตนหนึ่ง ในฐานะของอัศวิน... การเสียสละตนเพื่อส่วนรวมคือกฎขั้นพื้นฐาน และถ้าหากเลสธีราห์เป็นคนที่นำพาความเดือดร้อนมาให้แอสทารอธ...

ทางออกของนักรบนั้นย่อมหมายถึงความตาย...

--------------------------------------------------

แม่ทัพแห่งอาเดรียลืมตาขึ้นมาเพราะแสงแดดส่องหน้าจนรู้สึกร้อน และความรู้สึกปวดหัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "...อูย" ร่างสูงยันกายขึ้นนั่งแต่ก็พบว่ามีน้ำหนักตัวของใครบางคนเกยทับอยู่บนร่างจนแขนข้างหนึ่งด้านชาไร้ความรู้สึก "เจ้า...!!" เอเดรียนอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่ามีสตรีผมยาวผิวเข้มนางหนึ่งอิงแอบอยู่ข้างกาย

"อา ตื่นแล้วหรือคะ นายท่าน!"

หญิงสาวยิ้มตอบก่อนยืดตัวขึ้นอย่างรู้งาน แสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบเสื้อผ้าทำให้เอเดรียนเริ่มรู้สึกคุ้นตาว่านางสวมใส่เครื่องแบบของหญิงรับใช้ประจำคฤหาสน์ "เจ้าเป็นใคร..." แต่ถึงกระนั้นเขาก็จดจำใบหน้าของคนรับใช้ทุกคนไม่ได้อยู่ดี และที่น่าแปลกใจกว่าการมีตัวตนของนางในห้องนอนของเขา นั่นคือการมีตัวตนของนางบนเตียงของเขา และบนตัวของเขา

เอเดรียนเป็นคนที่เมาแล้วไม่ค่อยได้สตินัก แต่เขาก็จำได้ไม่เคยทำรุ่มร่ามกับหญิงรับใช้มาก่อน

เหตุการณ์แรกในเช้าวันนี้จึงทำให้แม่ทัพอาเดรียกระอักกระอ่วนพูดไม่ออก

"ท่านจำไม่ได้หรอกหรือคะนี่ แต่ไม่เป็นไรหรอก ขุนนางระดับสูงไม่จำเป็นต้องจดจำหญิงรับใช้ระดับล่างหรอก แต่หากพอใจล่ะก็สามารถเรียกหาเฟรดาได้เสมอนะคะ" รอยยิ้มสดใสของนางนึกทำให้เอเดรียนสงสัยนักว่าเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เอเดรียนควรสนใจสักเท่าไหร่ เขาเพียงแค่สงสัยว่าบุคคลอีกคนที่เข้ามาในห้องของเขาหายไปไหนเสียแล้ว และเหตุใดจึงไม่ห้ามที่เขาในการทำอะไรสักอย่างที่ทำให้หญิงผู้นี้ปรากฎตัวอยู่ในห้อง

...ทั้งชีวิตของเอเดรียนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เลยจริงๆ

"เจ้าเห็น... เลสธีราห์หรือไม่ เฟรดา"

"พ่อหนุ่มสูงโปร่ง ผมทองแต่งตัวประหลาดผู้นั้นน่ะหรือคะ" เลสธีราห์เพิ่งเข้ามาพักในคฤหาสน์ไม่นาน ไม่แปลกใจที่เขาจะยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่เหล่าข้ารับใช้ก็พอจะคาดเดาได้กลายๆว่าบุคคลผู้นี้ค่อนข้างจะเป็น 'คนโปรด' ของแม่ทัพเอเดรียนเลยทีเดียว ทีแรกหญิงรับใช้ตั้งใจจะพองแก้มด้วยความไม่พอใจอยู่บ้างที่เอเดรียนถามหาคนอื่น แต่เมื่อขุนนางระดับสูงยอมเรียกชื่อนาง หญิงสาวก็ยิ้มร่าตอบคำถามอารมณ์ดี "ก็ท่านกอดเอวข้าเสียแน่น แล้วยังไล่เขากลับไปอีก เขาก็เลยกลับไปแล้วน่ะค่ะ" เฟรดาแลบลิ้นเล็กน้อยแทนการบอกว่านี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เลสธีราห์เป็นคนขอให้นางมาช่วยเล่นละครบทนี้

ด้วยสีหน้าของชายสูงโปร่งผู้นั้น... เฟรดาพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งท่าทางเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรง และการพยุงตนเองเดินไปตามทาง บ่งบอกได้ดีว่าเลสธีราห์กำลังอ่อนล้า และบาดเจ็บ หญิงสาวไม่ได้ไถ่ถามให้มากความเนื่องจากอีกฝ่ายดูจะรีบร้อน เขายื่นเหรียญเงินให้นางพร้อมกับรายละเอียดงาน และรีบปลีกตัวออกไป "ท่านเอเดรียนดูสนิทสนมกับเขาจังนะคะ" ด้วยความอยากรู้ เฟรดาจึงเอ่ยเป็นเชิงถาม

"อืม... ก็อยากสนิทอยู่หรอก" เอเดรียนตอบเบา ก่อนจะส่ายหัวยิ้มๆ "เอาเถอะนะ"

หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ "หิวหรือไม่คะ ข้าจะไปยกอาหารเช้ามาให้ ได้ยินว่าวันนี้มีซุปมะเขือเทศสูตรพิเศษนะคะ!"

"ไม่เป็นไร" แม่ทัพหนุ่มตัดบท "เจ้าไปเถอะ ข้าควรจะลงไปที่โถงด้านล่างเอง"

เมื่อออกปากไล่นางแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็นึกขึ้นได้ "ถุงเงินอยู่บนโต๊ะนั่น เจ้าเอาไปก็แล้วกัน" ต่อให้ไม่เคยพาใครขึ้นห้องมาก่อน อีกทั้งยังจำไม่ได้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เอเดรียนก็รู้ว่านี่เป็นมารยาทที่เขาจะต้องจ่ายค่าตัวนางบ้าง แม้ว่านางจะแค่เป็นหญิงรับใช้ก็ตาม เฟรดาห่อปากคล้ายจะไม่พอใจครั้งหนึ่งแต่ก็ตัดสินใจกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงง้องอน "หากข้าต้องการแค่เงิน ข้าก็คงฉกฉวยเอาไปตอนที่ท่านไม่ได้สติแล้ว นี่ข้าพยายามสร้างความประทับใจอยู่นะคะ!"

"ข้าก็ประทับใจแล้วนี่ไง คนสวย..."

เพียงคำนั้น หญิงรับใช้ธรรมดาก็ร้อนหน้าขึ้นมาในชั่วอึดใจ เธอรีบถอยออกห่างแม่ทัพใหญ่ก่อนจะค้อมหัวแล้วเดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าร้อนผ่าวโดยไม่แตะต้องถุงเงินสักปลายนิ้ว "ยังไงก็เรียกหาเฟรดาได้เสมอนะคะ!"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 11.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 02-11-2016 10:01:47
ตอนที่ 11.2

โดยทั่วไปแล้ว สามัญชนของอาเดรียจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านด้านนอกปราการหลวงซึ่งไม่เสียภาษี โดยแต่ละหมู่บ้านจะมีกำแพงเป็นเขตรั้วของตัวเองหรือไม่ก็ได้ และพวกเขาจะเดินทางเข้ามาในเขตปราการชั้นที่สามซึ่งเป็นปราการหลวงชั้นนอกสุดก็ต่อเมื่อต้องการซื้อขายสินค้าเท่านั้น และสามัญชนมักจะไม่มีสิทธิ์ผ่านเข้าไปในปราการชั้นที่สองซึ่งเป็นย่านพักอาศัยของขุนนาง และพ่อค้าอีกระดับที่ติดต่อซื้อขายกับต่างเมืองซึ่งจะเสียภาษีมากกว่า

ดังนั้น สามัญชนหญิงคนหนึ่งจึงได้แต่ยืนมองคฤหาสน์ราห์โมนาจากด้านนอกปราการหลวงที่นางไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จนกระทั่งคนที่นางต้องการพบเดินออกมาจากด้านใน และหลบซ่อนใบหน้าอยู่ใต้คลุมผ้าใหญ่ "ลางบอกเหตุที่ผ่านมาทำให้ข้ากังวลใจ และเชื่อว่าเจ้าเองก็คงรู้สึกเช่นนั้นไม่ต่างจากข้า เฟรดา..." น้ำเสียงของผู้รอคอยทุ่มต่ำและเรียบเฉย นางพิจารณาคู่สนทนาที่ค่อยๆเลิกผ้าคลุมขึ้นช้าๆ เผยใบหน้าอ่อนเยาว์สดใส

"เจ้าผิดเวลานัดไปมาก..." ผู้รอคอยคาดคั้น "ติดนิสัยพวกมนุษย์แล้วหรืออย่างไร"

"ท่านพี่..." คู่สนทนาลากเสียงประท้วง "ข้าใช้เวลาเพียงเท่านี้ในการเข้าไปเป็นหญิงรับใช้ในคฤหาสน์นั่นได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ต่อให้พวกมนุษย์จะสะเพร่ากว่าพวกเรามากแต่พวกเขาก็คัดคนอย่างเข้มงวดในระดับหนึ่งเลยทีเดียว" คนเป็นน้องกอดอก และพองแก้มเล็กน้อยบ่งบอกถึงอาการ 'งอน' พี่สาว

"หึ เข้มงวดรึ... เจ้าอย่าพูดคำนั้นกับข้าเสียจะดีกว่า กับมาตรการรักษาความปลอดภัยหละหลวมเช่นนี้" ผู้เป็นพี่ตอบเสียงแข็ง นางกวาดสายตามองรอบตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดติดตามน้องสาวของนางมา "ช่างหละหลวม..." นางวิพากย์ไปถึงกระบวนการรับคนเข้าทำงานด้วย ในฐานะที่อาเดรียมีศัตรูรอบด้านเช่นนี้ กระรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แม้กระทั่งหญิงรับใช้ชั้นต่ำก็ยังต้องระวังระแวง แต่ก็ยังปลดปล่อยให้เซนทอร์ปลอมตัวเข้าไปทำงานได้ อีกทั้งยังเป็นคฤหาสน์ราห์โมนา... สถานที่พักของทูตระดับสูงของอาเดรียอีกด้วย

"ข้าได้รับหน้าที่เป็นคนล้างจานเท่านั้นแหละ ท่านพี่... ปวดแขนจะแย่อยู่แล้ว"

คนเป็นน้องบ่นอุบและยกแขนขึ้นเล็กน้อยเพื่อบิดไล่ความเมื่อยขบ "ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปถึงชั้นบนหรอก เพียงแต่..." หญิงสาวลดเสียงลงเล็กน้อยและค่อยๆขยับเข้าไปใกล้พี่สาวเพราะกระซิบต่อ "ข้าบังเอิญพบเลสธีราห์เมื่อเช้านี้ ระหว่างลำเลียงจานไปยังห้องโถง" นางหยุดครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์และเล่าให้พี่สาวฟัง "เขา... จ้างข้าให้ไปนอนกับมนุษย์หัวดำนั่น"

"...ว่าอย่างไรนะ!!"

ผู้เป็นพี่เสียงแข็งขึ้นมาทันทีและคำกร้าวของนางก็ทำให้คนบริเวณนั้นหันมาสนใจทั้งคู่ เฟรดาจึงคว้าข้อมือพี่สาวและดึงออกไปให้พ้นจากการเป็นจุดสนใจ "อย่าเพิ่งโวยวายจนกว่าข้าจะเล่าให้จบไม่ได้หรือ โมนา!!" เมื่อถูกน้องสาวเอ็ดบ้าง โมนาก็ชะงักและยอมเงียบเสียงลง แม้ว่านางจะรู้สึกขุ่นเคืองจนอารมณ์เสียแล้วก็ตาม เฟรดามีผิวสีเข้มต่างจากพี่สาวที่ดูขาวจนเกือบสว่าง นั่นเพราะพวกนางเป็นพี่น้องต่างมารดากัน แต่ถึงอย่างนั้นเซนทอร์ก็ไม่เคยแบ่งแยก และอีกเหตุผลก็คือทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกัน และพึ่งพาอาศัยกันมาตลอด สำหรับกองทัพและโลกใบนี้แล้ว โมนาอาจเป็นแม่ทัพหญิงที่โหดเหี้ยมและดุดัน แต่สำหรับเฟรดาแล้ว นางเห็นคนตรงหน้าเป็นเพียงพี่สาวใจร้อน

"มันไม่ใช่การ 'นอน' อย่างที่ท่านคิด หยุดจิตไม่บริสุทธิ์ของพี่ได้แล้ว!"

"นี่เจ้าว่าข้าหมกมุ่นรึ!!" โมนาอ้าปากค้าง "เช่นนั้นก็รีบๆเล่ามา แล้วอย่าใช้คำว่า 'นอน' พร่ำเพรื่อแบบนั้นอีก!"

เฟรดาสูดหายใจลึกๆอีกครั้งแล้วจึงเล่าตามความรู้สึกของตนโดยไม่ลำดับเหตุการณ์ "ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เลสธีราห์กล่าวว่า 'แม่ทัพเอเดรียน' ต้องการให้ใครสักคนอยู่เคียงข้าง ซึ่งเขาคงทำหน้าที่นั้นไม่ได้ รบกวนข้าไปอยู่ข้างๆชายคนนั้นสักพักจนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมา" ท่านหญิงโมหามุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับคำว่า 'แม่ทัพเอเดรียน' และยิ่งมุ่นคิ้วไม่เข้าใจยิ่งกว่าเมื่อได้ยินคำว่า 'คงทำหน้าที่นั้นไม่ได้'

"ชายคนนั้นไม่ใช่ทูตของอาเดรียหรอกหรือ"

"ข้าเองก็ได้ยินว่าคฤหาสน์ราห์โมนาเป็นที่พักของขุนนางที่จัดการดูแลความเรียบร้อยภายในอาณาจักร ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง่าเขาจะเป็นแม่ทัพนะ" เฟรดาพยักหน้าเบา "ท่านพี่บอกว่าเขาเป็นขุนนางฝ่ายทูต เพราะเขาเป็นผู้นำคณะทูตไปเจรจาที่แอสทารอธ แต่ข้ากลับคิดว่า... เพราะเขาเป็นแม่ทัพของอาเดรียมากกว่า ผู้นำของเมืองนี้จึงได้ส่งเขาไปเจรจาแทน อีกทั้งยังเป็นการเจรจาที่ขอยืมกำลังพลจากแอสทารอธด้วย จึงใช้ทูตธรรมดาไม่ได้"

โมนากัดริมฝีปากของตนเองเบาๆด้วยความกังวล "แล้วเหตุใดเลสธีราห์จึงกล่าวเช่นนั้น..."

"ข้าคิดว่าเลสธีราห์คงเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างเสียแล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะได้อ่านลางจากดวงดาวเมื่อคืนนี้หรือไม่ก็ตาม แต่เพียงครู่เดียวที่ข้าพบเขา ข้าสัมผัสได้" เฟรดาพึมพำ "พวกมนุษย์อาจไม่รู้ว่าเขาคือเซนทอร์ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการถูกเปิดโปงความลับนั่น นั่นคือการที่เลสธีราห์เลือกจะเผยความลับนั่นด้วยตนเอง"

"เซนทอร์มีใจเด็ดเดี่ยว แม้ว่าเลสธีราห์จะเป็นเซนทอร์เพียงครึ่งเดียวก็ตาม..."

"ท่านพี่..." เฟรดาเอ่ยเรียก "คนที่มีใจเด็ดเดี่ยว... จะไม่อ่อนข้อให้กับใครง่ายๆหรอกนะ โดยเฉพาะเมื่อคนผู้นั้นอาจต้องกลายเป็นศัตรูในอนาคต" น้องสาวจับมือพี่ของตนแน่น "ลางบอกเหตุเมื่อคืนนี้... กำลังเตือนว่าเราอาจสูญเสียเลสธีราห์ให้แม่ทัพเอเดรียนผู้นั้น ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของแอสทารอธต่ออาเดรีย"

โมนามุ่นคิ้ว "เจ้าหมายความว่าอะไร"

"ข้าคิดว่าพวกเขามีใจให้กัน เพียงแต่พยายามปกปิดเอาไว้..."

--------------------------------------------------

เลสธีราห์ไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปนานเต็มวันหลังจากกลับถึงห้องพักของตน

เมื่อสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่ามีทั้งหมอและผู้ช่วยอยู่ในห้องของเขา รวมทั้งเอเดรียนด้วย แม่ทัพใหญ่กำลังหารือกับหมอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยฟื้นแล้ว ร่างสูงก็ทอดยิ้มจางอย่างอ่อนโยนและตรงเข้ามาหา "อะไรกัน... เมาค้างได้ขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าน่ะ" เอเดรียนยกมือขึ้นปัดไล่คนอื่นออกไปจากห้องก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง "นึกว่าเป็นอะไรไปเสียอีก"

น้ำเสียงของเอเดรียนฟังดูโล่งใจ เขาหยิบเหยือกน้ำมารินใส่แก้วให้คนป่วย "ดื่มเสีย เจ้าคงคอแห้ง"

เลสธีราห์ยันแขนขึ้นลุก และกล้ามเนื้อที่ผ่านการใช้งานมากอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมาก็อ่อนแรงจนไม่สามารถขยับได้รวดเร็วดังใจ "ข้าจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ" ด้วยความปากไว้ ร่างโปร่งจึงตอบไปอย่างนั้น ก่อนจะรับแก้วน้ำมาจากเอเดรียนแล้วจึงยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

"คนปกติที่ไหนเขาจะนอนหลับสลบไสลทั้งวันแบบนี้เล่า เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นซะด้วย"

เลสธีราห์เหลือบมองคนพูดเล็กน้อยและคิดว่าอีกฝ่ายคงจำอะไรไม่ได้จริงๆ เมื่อนึกขึ้นได้ดังนั้น มือเรียวก็ยกขึ้นปิดคอของตนที่เคยปรากฎรอยฟันของอีกฝ่ายเป็นจ้ำ เลสธีราห์มองหากระจกเงาเพื่อจะส่องดูให้แน่ว่ารอยนั้นยังอยู่หรือไม่ ในระหว่างที่เขาหลับไปมีใครเห็นมันหรือเปล่า และร่องรอยที่หลงเหลือตามเนื้อตัวของเขามีใครสังเกตเห็นหรือไม่

เซนทอร์หนุ่มเพิ่งสังเกตว่าตนสวมเสื้อนอนสีอ่อนอยู่ คาดว่านี่คงเป็นชุดที่หญิงรับใช้จัดหามาให้

"ข้าไม่เป็นไร" เลสธีราห์ยืนยัน "อาจจะเพลียมากไป..."

"ไม่เป็นไรได้อย่างไร ไข้ก็ไม่มี ตัวก็ไม่ร้อน แต่หลับสนิทอย่างกับไปอดหลับอดนอนมาจากไหน ข้าป้อนยาขนานแรงแค่ไหนให้ก็ไม่รู้สึกตัว ต้องเรียกหมอหลวงมาจากมหาคฤหาสน์เพื่อจะยืนยันว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่" ใจความยืดยาวเหล่านั้นทำให้เลสธีราห์ประหลาดใจอยู่หลายอย่าง แม้เอเดรียนอาจจะบ่นเหมือนตนเองเป็นบิดาก็ไม่ปาน

"ให้คนอื่นทำก็ได้นี่..."

ร่างโปร่งพึมพำพลางยกมือขึ้นแตะปากตัวเอง รสชาติขมเฝื่อนของยายังติดลิ้นของเขาอยู่ นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าเอเดรียนไม่ได้พูดเกินเลยความจริง แต่จู่ๆฝ่ายนั้นจะมานั่งป้อนยาให้เขาทำไม ทั้งที่เขาเป็นแค่ลูกน้องแท้ๆ คนเป็นแม่ทัพมีเวลาว่างมากพอจะมานั่งดูแลลูกน้องปลายแถวด้วยหรือไร หรือเอเดรียนจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงได้พยายามไถ่โทษ "แล้วเจ้า... สร่างเมาแล้วหรือ" ร่างโปร่งถามอ้อมค้อม เขาไม่แน่ใจว่าเอเดรียนจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้รึเปล่า หากจำได้อีกฝ่ายก็คงจะพูดออกมา แต่หากจำไม่ได้เขาก็ไม่ควรบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองทำอะไรลงไป

...มันเป็นแค่ความพึงพอใจที่เขาเลือกเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดของเอเดรียนแม้แต่น้อย

"แค่ตอนเช้าก็หายแล้ว..." แม่ทัพใหญ่ตอบ "ข้าไล่เจ้ากลับหรือ เห็นเฟรดาว่าอย่างนั้น"

ผู้หญิงคนนั้นชื่อ เฟรดา หรอกหรือ... เลสธีราห์ไม่ทันได้ไถ่ถามกระทั่งชื่อของผู้หญิงที่เขาว่าจ้างให้ขึ้นไปดูแลเอเดรียน เขาเพียงแค่ชอบความมีน้ำใจของนางที่พยายามจะช่วยดูแลเขา จึงได้ออกปากว่าจ้างให้นางขึ้นไปช่วยเฝ้าแม่ทัพใหญ่สักพัก และเล่นละครสักเล็กน้อยเพื่อกลบเกลื่อนความจริงอันไม่น่าจดจำ

กายแกร่งที่ล่วงล้ำเข้ามาภายในไม่ยั้งแรงทิ้งความเจ็บปวดเอาไว้ในความทรงจำจนถึงตอนนี้

เลสธีราห์ผละตนเองออกมาทันทีหลังจากได้รับอิสระ ...นี่เป็นสิ่งที่เอเดรียนไม่สมควรจะรับรู้อย่างที่สุด นี่เป็นทางเลือกของเขา และเป็นการตัดสินใจของเขาทั้งหมด เอเดรียนไม่มีความผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สติ และจมอยู่กับความผิดหวังที่อ้างว้างโดดเดี่ยวที่น่าเวทนา

"อืม ก็ไล่..." เซนทอร์หนุ่มตอบ "ข้าไม่อยากขัดคอ ก็เลยปล่อยให้นางรับช่วงต่อไปแทน" เขาพูดต่อราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ก็ตามที "นางดูแลเจ้าดีไหม" ร่างโปร่งถามต่อ แต่คู่สนทนาก็ไม่ตอบคำ เขากลับเอื้อมมือมาลูบเส้นผมสีอ่อนที่แผ่กระจายอยู่บนหมอนแทน

"ข้าไม่ควรดื่มเหล้าอีกกระมัง" เอเดรียนโคลงหัวน้อยๆ "ข้ามักจำอะไรไม่ได้ตอนเมา"

เลสธีราห์ไม่ปัดมือออกอย่างเคย แต่กลับหลับตาลงแทน "ถ้ามันช่วยให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นก็ดื่มไปเถอะ"

"ไม่หรอก ที่ทำให้ข้ารู้สึกดีในตอนนี้คงเป็นเจ้ามากกว่า..."

นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบขึ้นมองคนพูดทันทีแต่เซนทอร์หนุ่มก็ยังไม่พูดอะไร เขาอาจจะต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม แต่อีกใจหนึ่งแล้วเลสธีราห์ก็ยังไม่พร้อมจะฟังความสับสนในจิตใจของใคร เพราะตัวเขาเองในตอนนี้ก็จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกมากพออยู่แล้ว "พูดจาแปลกๆ"

เอเดรียนกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตอบ "ถ้าเป็นไปได้... ข้าอยากให้เจ้าเป็นสหายจริงๆ"

"ระดับแม่ทัพแล้วยังจะมาตัดพ้อเรื่องนี้อีก" คนฟังทอดยิ้มตอบจางๆ

เซนทอร์หนุ่มรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เขาไม่ครั่นเนื้อครั่นตัวและไม่รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงอย่างเมื่อเช้า แต่หากลุกขึ้นยืนในตอนนี้ก็อาจจะโซเซเสียศูนย์อยู่บ้าง "ค่ำแล้ว เจ้าควรจะพักผ่อนต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเจ้าเองไม่เป็นอะไรจริงๆ" แม่ทัพหนุ่มดันบ่าคู่สนทนาให้นอนลงเมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่จะขยับตัว "ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง"

"เห็นข้าเปราะบางขนาดนั้นเชียว..."

ร่างโปร่งยอกย้อน แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมาจรดริมฝีปากจูบที่กลางหน้าผาก "เด็กดื้อ ฟังเสียบ้าง ที่เจ้าสลบไปนานขนาดนี้เพราะเจ้าฝืนกำลังตัวเองมากเกินไป ข้าควจะเข้มงวดเรื่องเวลาพักผ่อนของเจ้ามากขึ้น... ลูกน้องแบบนี้ข้าคงหาที่ไหนไม่ได้แล้วกระมัง"

"พูดเหมือนข้าเคยร่วมรบแล้วช่วยชีวิตเจ้าไว้อย่างนั้น"

"เลสธีราห์..." เอเดรียนเรียกชื่อคนตรงหน้าเป็นการปราม "จะไม่เถียงสักคำไม่ได้เชียวหรือ"

คนที่นอนอยู่หัวเราะในลำคอเบาๆและเป็นฝ่ายยอมแพ้ในที่สุด แต่ด้วยความที่ไม่รู้สึกง่วง เซนทอร์หนุ่มจึงมองคนตรงหน้าที่เคลื่อนมือขึ้นมาลูบผมของเขาแทนราวกับกล่อมให้นอน เอเดรียนเองก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหลับ เขาจึงก้มลงมองคนบนเตียงก่อนจะยิ้มด้วยความขบขัน "เจ้านี่ดื้อเหมือนเด็กไม่มีผิด"

"ข้านอนมาทั้งวันแล้วต่างหาก..." อีกทั้งยังเถียงคำไม่ตกฟากเหมือนเด็กจริงๆ

"เช่นนั้น... ลุกขึ้นมานั่งเฝ้าข้าแทนดีหรือไม่ เพราะข้าเหนื่อยมากแล้วในวันนี้" ร่างสูงแหย่ขณะที่ยังลูบผมยาวสีอ่อนเพลินมือ "ถ้าเจ้าอยู่เพื่อนสักพัก ก็คงจะไม่รู้สึกเหงาก็เป็นได้" เอเดรียนมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างที่ไม่ค่อยทำเวลาสนทนากับผู้อื่น ทว่าเลสธีราห์นั้นนอนค่อนขอดอยู่ในใจว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เพราะเขาอยู่เป็นเพื่อนอีกฝ่ายนี่เองจึงได้เจอเรื่องอย่างไรเล่า

"ไม่กลัวจะถูกข้าทำร้ายในภายหลังจริงๆเหรอ"

เอเดรียนทอดยิ้มจางแทนคำตอบ เขาเองก็กำลังทบทวนกับตัวเองอยู่ว่าคำตอบที่เขาควรจะให้คืออะไร เลสธีราห์ต้องการฟังคำพูดแบบใดจากเขา ฝ่ายนั้นอยากได้คำตอบที่น่าเลื่อมใสของแม่ทัพ หรือคำตอบธรรมดาของมนุษย์คนหนึ่ง

"กลัวสิ..." เอเดรียนตอบในที่สุด แต่ก็ยังลูบผมคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน "กลัวจะซ้ำรอยแทบตาย"

เซนทอร์เอียงหน้าซุกกับหมอนนุ่ม ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอย่างผิดจังหวะของตน เขาพอจะรู้ว่าเอเดรียนมีอดีตที่ไม่ดีกับอดีตคนรักที่สุดท้ายแล้วก็เป็นสายสืบจากธีสธรัล ผู้หญิงคนนั้นหักหลังเอเดรียน และนำพาเขาไปสู่ความตายแต่ทว่าหนีรอดมาได้

"แต่สิ่งที่ข้ากลัวยิ่งกว่าความจริงที่ว่าเจ้าอาจเป็นศัตรู... คือการต้องลงมือกับเจ้า"

ร่างโปร่งมุ่นคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ได้กล่าวอะไรตอบ เพราะตอนนี้ในใจของเลสธีราห์เองก็กำลังสั่นคลอนกับคำพูดของคู่สนทนา ไม่มีเหตุผลอะไรที่เอเดรียนจะต้องเชื่อเขา เลสธีราห์ไม่ได้สร้างผลงานใหญ่หลวงอะไร อีกทั้งยังเป็นคนโผงผางและทำเสียเรื่องอีกด้วย แต่อีกฝ่ายกลับเอ็นดูและให้อภัยเสมอ

เอเดรียนไม่ควรจะไว้ใจเขาเลย

และถ้าวันหนึ่ง แม่ทัพอาเดรียจะต้องรู้ความจริงว่าเลสธีราห์เป็นใคร รอยยิ้มที่อบอุ่นของผู้ชายคนนี้จะหายไปด้วยหรือไม่ ที่ผ่านมาเลสธีราห์พยายามทำให้เอเดรียนเชื่อใจเขา แต่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มเชื่อขึ้นมาจริงๆ เซนทอร์หนุ่มก็เป็นฝ่ายอยากถอยห่างออกมาเสียเอง เพระความความรู้สึกที่เขามีต่อเอเดรียนมันมีค่าเกินว่าที่เขาจะทำลายได้

"เจ้าอาจจะหวังร้ายต่อข้าจึงได้พยายามเข้าหา... แต่ข้าก็จะเปลี่ยนให้เจ้ามายืนข้างข้า เขาให้เจ้าเท่าไหร่ ข้าจะให้มากกว่า... เขาจะตอบแทนเจ้าเท่าไหร่ ข้าจะตอบแทนให้มากกว่า... จะทำให้เจ้ารู้สึกว่าการอยู่กับข้าดีกว่าอยู่กับใคร..."

เลสธีราห์หลับตาลงพร้อมกับมุ่นคิ้วแน่น เอนเอียงหน้าไปอิงฝ่ามือที่เล่นผมของตนอยู่ช้าๆ

...สิ่งที่ซื้อข้าอยู่ หาใช่เงินทองหรือยศศักดิ์ แต่คือจุดยืนในสังคมที่ข้าควรจะอยู่

เอเดรียนเกลี่ยนิ้วกับเสี้ยวหน้าเนียนที่อิงแอบฝ่ามือ เขารู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้เข้ามาด้วยบริสุทธิ์ใจ แต่แทนที่จะขับไล่ไสส่ง แม่ทัพอาเดรียกลับต้องการจะดึงอีกฝ่ายมายืนอยู่เคียงข้างตนแทน "แต่จนตอนนี้... ข้าก็ยังซื้อใจเจ้าไม่ได้ใช่ไหม อมนุษย์"

ใจของคนฟังเจ็บแปลบราวกับถูกแทงด้วยมีดที่มองไม่เห็น "ยังมีอะไรที่ข้าให้เจ้าไม่ได้อีกหรือ"

...พอเถอะ เอเดรียน

เลสธีราห์พลิกตัวและพยายามจะซุกหน้ากับหมอนเพื่อหลบซ่อนความรู้สึกที่แสดงอยู่บนใบหน้าร้อนผ่าว ความอึดอัดนี้คืออะไรกันแน่ ความสับสน และไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่างประดังประเดเข้ามาพร้อมกันจนเซนทอร์หนุ่มเริ่มปวดหัว เขาไม่รู้ว่าควรจะคิดเรื่องใดก่อน และควรจะตัดสินใจเรื่องใดต่อ ไม่แน่ใจกระทั่งว่าตอนนี้ตนเองควรจะทำอะไร ควรจะนอนพักผ่อนเป็นคนป่วยที่ดีหรือว่าหนีกลับแอสทารอธไปให้รู้แล้วรู้รอด

เขาแทบจะทนความรู้สึกผิดต่อเอเดรียนไม่ได้แล้ว

"ไม่เป็นไร" เอเดรียนไม่รู้เลยว่าในใจของร่างโปร่งกำลังคิดอะไร แต่เขารู้สึกถึงความอึดอัดในลมหายใจของอีกฝ่าย และเขาก็คงทำได้เพียงแค่ปลอบอยู่ห่างๆเท่านั้น "ไม่เป็นไร... ข้าจะอยู่ข้างๆ จนกว่าเจ้าจะให้คำตอบ"

เลสธีราห์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดบังใบหน้าของตน...

อย่าทำให้ข้าหวั่นไหวมากไปกว่านี้ได้ไหม มนุษย์!

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 11 [2-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 02-11-2016 21:33:53
รู้สึกหวานอมขมกลืนไปด้วย จะรักกันช่างยากเย็น  :mew2:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 12.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 03-11-2016 15:40:40
ตอนที่ 12.1

เอเดรียนจำไม่ได้ว่าเขาถูกขังอยู่ในเรือนจำหลวงของธีสธรัลในข้อหากบฎนานเท่าไหร่ เพราะเกือบจะลืมเลือนความมีชีวิตไปแล้ว หลังจากถูกจับได้ว่าเป็นผู้นำที่สั่งสมกำลังพลจำนวนมากเพื่อการกบฎแย่งชิงอิสรภาพของอาเดรีย

และผู้เปิดเผยความลับที่เขารักษาเอาไว้เหล่านั้นคือ เวห์เซีย... คนรักของเขาเอง

หลังจากถูกลงแส้ไปร่วมยี่สิบครั้งจนสลบ ผู้คุมคุกก็ยังใช้น้ำเกลือสาดที่บาดแผลเหล่านั้นเพื่อให้เขาตื่นขึ้นมารับรู้ถึงความเจ็บปวดอีกยี่สิบครั้ง สุดท้าย ขุนนางระดับสูงของอาเดรียก็ถูกทิ้งเอาไว้ให้ห้องขังเล็กแคบที่เหม็นอับของธีสธรัล แผ่นหลังที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดไม่ได้รับการเยียวยารักษาจนอักเสบปวดแสบปวดร้อนไปหมด และในอีกไม่อีกวัน เขาก็จะถูกลากตัวไปประหารด้วยการสู้กับกิ้งก่ายักษ์ที่ดุร้ายของธีสธรัลด้วยมือเปล่า... เพื่อเป็นความบันเทิงครั้งสุดท้ายให้กับเหล่าทหารบ้าเลือด

ในตอนนั้นเอเดรียนไม่นึกถึงอิสรภาพของอาเดรียอีกแล้ว แต่เขาคิดถึงอิสรภาพของตนเอง

ไม่มีใครจากบ้านเกิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพราะแม้แต่ตระกูลของเขาที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในตลาดการค้าก็ยังไม่สูงส่งและมีอำนาจพอจะอ้อนวอนธีสธรัลผู้เป็นมหาอำนาจได้

ชะตากรรมของชายหนุ่มจึงมีแต่ความตายรออยู่

...แต่กลางลานประหารที่แสนกดดันนั้นเอง เรื่องวุ่นก็เกิดขึ้นในธีสธรัล ท่านหญิงโซเฟียแห่งทัพเวหาไอย์ชวลนำกำลังบุกโจมตีปราสาทฝั่งตะวันออกเนื่องจากความบาดหมางของธีสธรัลกับไอย์ชวลก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้คนแตกตื่นและไม่สนใจการต่อสู้อีก เอเดรียนจึงได้จังหวะนั้นหลบหนีออกมา และได้รับการช่วยเหลือให้กลับบ้านเกิดอีกครั้งด้วยมือของท่านชายซินญอร์ผู้เป็นเจ้าเมืองอาเดรีย

แต่ก่อนที่จะหนีหัวซุกหัวซุนกลับบ้านเกิด... เอเดรียนก็ได้ฝากคมดาบเอาไว้กับเวห์เซีย

...ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงกลายเป็นคนที่เลือดเย็นที่สุดที่สังหารคนรักของตัวเอง

...

แต่จนถึงตอนนี้ เอเดรียนก็ยังคิดถึงนาง...

และใคร่ครวญกับตนเองอยู่วันว่าเหตุใดผู้หญิงคนนั้นจึงหันหลังให้ตนได้ลงคอ


--------------------------------------------------

การปกครองของแอสทารอธคล้ายจะเป็นระบอบกษัตริย์ แต่แท้จริงแล้วก็แทบไม่มีความเกี่ยวข้อง

ผู้นำสูงสุดของพวกเขาคือองค์เหนือหัวที่คัดเลือกด้วยวิธีประลองพละกำลัง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เซนทอร์เท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่งผู้นำคนต่อไป โดยปกติแล้วเหนือหัวองค์ปัจจุบันจะต้องจัดการประลอง 'วาร์ดา' ขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงในปีที่เขามีอายุครบสี่สิบห้าปี และหากไม่มีใครสามารถเอาชนะการประลองได้ ในอีกปีต่อไปก็จะต้องมีการประลองขึ้นอีกจนกว่าจะมีผู้ชนะ และเหนือองค์ปัจจุบันก็จะนั่งในตำแหน่งไปจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม จึงจะส่งมอบมงกฏผู้นำแห่งเซนทอร์ต่อไป

และในปีนี้เองที่เหนือหัวดาเรียสมีอายุครบสี่สิบห้าปี...

เขาไม่ได้เสกสมรสกับหญิงใดเนื่องด้วยทั้งชีวิตอุทิศให้กับการพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนใต้ปกครอง หากเปรียบเทียบวิถีชีวิตของเซนทอร์ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ ในยุคที่เหนือหัวดาเรียสเป็นผู้นำสูงสุดนับว่าแอสทารอธมีความเจริญก้าวหน้ามากที่สุด

...ชื่อเสียงของกองเรือรบเซเลสต์ก็ถูกสร้างขึ้นในยุคของดาเรียสนี้เอง

และด้วยความที่ไม่มีทายาทโดยสายเลือดนี้เองที่ทำให้ตัวเต็งของการต่อสู้ครั้งนี้กลับกลายเป็นปุถุชนธรรมดาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แต่คนผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นซาฮาลผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ทายาทตระกูลอัศวินชั้นสูงของแอสทารอธนั่นเอง

การประลองวาร์ดาจึงมีกำหนดจัดขึ้นในวันแรกของฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งก็นั่นคือในอีกสิบวันนับจากนี้ ในตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาของการลงชื่อเข้าร่วมประเพณีที่สำคัญที่สุดของอาณาจักร ไม่ว่าใครก็สามารถท้าชิงกับเหนือหัวดาเรียสได้ หากมีความมั่นใจในกำลังของตนมากพอ แต่เมื่อได้เห็นชื่อว่าซาฮาลได้เข้าร่วมการประลองด้วย ก็ทำให้ผู้ตั้งใจร่วมการต่อสู้หลายคนรู้สึกใจฝ่อไปบ้างตามๆกัน

ซาฮาลขึ้นชื่อว่าเป็นเซนทอร์รูปร่างดีโดยสายเลือด ร่างกายของเขามีลักษณะเด่นของอัศวินทุกประการอีกทั้งยังสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ทั้งร่างกายส่วนมนุษย์ที่ดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ท่อนขาของม้ากำยำแน่นไปด้วยมัดกล้าม กีบเท้าใหญ่แข็งแรง กระดูกหนาอันเป็นรากฐานที่มั่นคง อีกทั้งหางยาวพวงหนาที่ดูสง่างาม ...ผู้นำกองเรือกราเทียร์นับว่าเป็นคู่แข่งที่น่าจะสูสีกับเหนือหัวดาเรียสที่สุด

และเซนทอร์ทุกคนก็ล้วนยินดีที่จะก้มหัวให้กับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

...แต่อาจยกเว้นท่านหญิงลีอาห์ที่ใจคอไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

"ซาฮาลเอาชนะท่านได้ ด้วยกำลังของเขา ทักษะของเขา ข้าเห็นได้จากความมุ่งมั่นของเขาว่าเขาจะเป็นเหนือหัวแห่งแอสทารอธต่อไป" ราชเลขากล่าวกับเหนือหัวดาเรียส "ข้ายินดีที่จะก้มหัวให้ผู้แข็งแกร่ง แต่ก็มีบางสิ่งที่รบกวนจิตใจข้าเกี่ยวกับเรื่องของซาฮาล" ลีอาห์พูดตรงไม่อ้อมค้อม และนั่นก็ทำให้คนฟังทอดยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

"เรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ใคร่จะลงรอยกันนักของเลสธีราห์กับซาฮาลรึ"

"ลูกข้าเป็นผู้นำแห่งเซเลสต์ และแน่นอนว่าเขาจะอายุยืนกว่าข้าหรือท่าน การที่ทั้งสองคนนี้ไม่กินเส้นกันสักเท่าไหร่ทำให้ข้ารู้สึกเป็นห่วงนัก ซาฮาลเองก็ใช่คนยอมใคร เลสธีราห์เองก็ดื้อแพ่งไม่ต่าง แล้วมันสมควรหรือที่ผู้นำแห่งเซเลสต์จะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเหนือหัวเสียเอง"

"ท่านกำลังแช่งให้ข้าแพ้ตั้งแต่วันแรกหรือเปล่า ท่านหญิงลีอาห์" ดาเรียสหัวเราะ "ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะไม่ว่าข้าจะพ่ายแพ้แก่ผู้ใด... ก็คงยังไม่สละบัลลังก์ในตอนนี้หรอก" นัยน์ตาสีเข้มของผู้นำแห่งแอสทารอธมองออกไปด้านนอกพระราชวังและได้เห็นอาณาจักรทั้งหมดของอยู่ในสายตา "และเมื่อถึงเวลาที่ข้าจะต้องสละ เลสธีราห์ก็คงแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดด้วยตนเองได้แล้ว"

ราชเลขาหญิงพยักหน้ายอมรับแม้จะยังมีความกังวลอยู่

บุตรชายของนางเป็นเด็กดื้อ แต่ในความหัวรั้นของเขาก็มีความปรารถนาแรงกล้าอยู่ และอีกฝ่ายคงไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆจนกว่าจะทำให้ความต้องการนั้นเป็นจริง ลีอาห์จึงได้แต่หวังให้เลสธีราห์บรรลุจุดประสงค์ เพราะนั่นอาจหมายถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็เป็นได้

"ท่านหญิง... แล้วราชทูตจากธีสธรัลว่าอย่างไรเล่า"

เซนทอร์หญิงสะดุ้งเล็กน้อย เพราะคำถามที่ดาเรียสโพล่งขึ้นมาคือสิ่งที่ลีอาห์ไม่ต้องการจะตอบมากที่สุดในตอนนี้ "พวกเขามายื่นข้อเสนอให้เรา..." นางกล่าว "เป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธเหลือเกิน" ราชเลขามองตามสายตาของเหนือหัวแห่งตนไปและหยุดที่แม่น้ำธีนาที่ไม่ห่างจากพระราชวังอัสเธียร์นัก

"ธีสธรัลเสนอยกเรือจักรไอน้ำให้เราสิบลำ แลกกับการที่เราไม่ตกลงเข้าเป็นพันธมิตรกับอาเดรีย"

ข้อเสนอของธีสธรัลแตกต่างจากอาเดรีย แม้ว่าจะมุ่งเป้าไปที่เรือจักรไอน้ำเหมือนกัน แต่สิ่งที่อาเดรียเสนอมาคือการยกศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำให้แอสทารอธ ในขณะที่ธีสธรัลยกเรือให้ทั้งลำ "จริงอยู่ว่าธีสธรัลเป็นเจ้าของศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำ แต่การยกเรือให้เปล่าๆนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่า ช่างต่อเรือจะสามารถทำความเข้าใจโครงสร้างของมันได้ละเอียดถี่ถ้วนพอจนสามารถสร้างเรือจักรไอน้ำของเราเองได้หรือไม่ แต่ในขณะที่อาเดรียเสนอยกบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้กับเราซึ่งนั่นแปลว่าเราสามารถต่อเรือได้เองโดยไม่ต้องทดลองทำความเข้าใจ" ดาเรียสวิเคราะห์

"เรือแค่สิบลำ... จะสมราคากับที่เรียกร้องให้เราวางตัวเฉยรึ ท่านหญิง"

หากเปรียบเทียบกันแล้ว แอสทารอธควรจะยอมเหนื่อยศึกษาโครงสร้างของเรือเองมากกว่าส่งเรือรบออกไปทำสงครามเพื่อแลกบันทึกเล่มเดียว "แต่เราก็ควรจะปรึกษารีดาห์ การถอดโครงสร้างเรือลำหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และเรือที่ธีสธรัลเสนอให้เราก็ไม่ใช่เรือพายธรรมดาเสียด้วย" ลีอาห์ว่า

"แต่การรอต่อไปเรื่อยแบบนี้ไม่ก่อให้เกิดผลดีต่แอสทารอธไม่ใช่หรือ"

ราชเลขาเงยหน้าขึ้นมองเหนือหัวของตนเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ายอมรับว่าตัวนางเองก็คิดเช่นนั้น "ข้าคิดจะตอบรับข้อเสนอของธีสธรัล ในเมื่ออาเดรียขอเวลาพวกเราเดือนหนึ่ง ก็จักกลายเป็นว่าเราไม่เข้าร่วมกับอาเดรียเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งคุ้มค่ากับเรือจักรไอน้ำสิบลำของธีสธรัล" ผู้นำเซนทอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยรู้สึกแปลกใจในสีหน้าอึดอัดของราชเลขา

"แต่นั่นไม่ใช่วิสัยของเซนทอร์..." คนสนิทถอนใจ "ข้าไม่สามารถตลบแตลงเช่นนั้นได้"

เซนทอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความซื่อตรงและซื่อสัตย์ แม้ว่าจะเห็นประโยชน์ของอาณาจักรอยู่ตรงหน้า และตนเองก็สามารถหาหนทางเพื่อให้ได้ประโยชน์นั้นมาได้ แต่มันกลับไม่ใช่หนทางของอัศวิน "ขออภัยด้วย องค์เหนือหัว... ข้าไม่อาจยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกไปได้จริงๆ แม้ว่าจะอยากตอบตกลงมากสักเท่าไหร่ก็ตาม"

"เช่นนั้นก็แปลกที่ท่านหญิงกระวนกระวายถึงเพียงนี้แต่กลับไม่รีบรายงานข้าสักคำ"

ราชเลขาเงียบไปกับคำตำหนิของเหนือหัว และโดยไม่ต้องสบตา ผู้นำแห่งแอสทารอธก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ "แต่ท่านไม่อยากให้ข้าเอนเอียงเข้าธีสธรัลมากเจอเกินไป เพราะยังอยากให้โอกาสเลสธีราห์อยู่ใช่หรือไม่" หากเทียบความน่าเชื่อถือแล้ว แน่นอนว่าธีสธรัลมีความน่าเชื่อถือมากกว่าอาเดรีย และไม่แน่ว่าทั้งอาณาจักรอาจเห็นดีเห็นงามกับเมืองมนุษย์บนเกาะนั่นจนลืมไปว่าขุนนางระดับสูงอีกคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่เพื่อให้ได้มากซึ่งสิ่งที่สูงค่ากว่า

นางยังอยากให้บุตรชายได้ทำภารกิจต่อ...

หากแอสทารอธตกลงร่วมกับธีสธรัล แน่นอนว่าพวกเขาต้องตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับอาเดรีย รวมทั้งเรียกให้เลสธีราห์กลับมานั่งตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ด้วย และความต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองของชายหนุ่มก็คงยังเป็นความฝันต่อไป "จริงอยู่ว่าการเข้าร่วมกับอาเดรียซึ่งเป็น 'เพื่อนบ้าน' จะเข้าท่ากว่าการไปร่วมมือกับอาณาจักรอยู่บนเกาะโพ้นทะเล แต่ถ้าอาเดรียจะไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราเลย เรายังต้องยืนยันในอุดมการณ์ของเซนทอร์ต่อไปหรือ ท่านหญิง"

"ข้าเข้าข้างลูกมากไปหรือเปล่า ...เหนือหัว"

คำตอบของดาเรียสคือการพยักหน้าเบาๆ "ท่านหญิงมองการณ์ไกล... ทั้งเรื่องแรงงานที่เซนทอร์ขาดแคลน จำเป็นต้องพึ่งพาต่างเมือง และศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำที่เป็นนวัตกรรมใหม่ แต่ท่านอย่าลืมว่า อาเดรียเพียงแค่ใช้ลมปากเท่านั้น เขาไม่ได้นำสิ่งใดมาเป็นหลักค้ำประกันแม้แต่น้อย หากฝ่ายนั้นโป้ปด เรามิต้องสูญเสียโอกาสมากมายหรือ"

ราชเลขาก้มหน้านิ่งยอมรับคำตำหนิ และเริ่มคิดว่าเธอคงจะต้องเรียกตัวบุตรชายกลับมาเสียแล้ว

"แม้มันจะกลับกลอกตลบแตลง" ดาเรียสสูดลมหายใจเข้า "แต่ท่านจงบอกทูตแห่งธีสธรัลแบบนั้น หากเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาเดรียเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ก็ขอให้ธีสธรัลส่งมอบเรือจักรไอน้ำมาสิบลำได้เลย... เพราะมูลค่าของมันซื้อเวลาพวกเราได้เท่านี้"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์ไม่รู้สึกปวดเมื่อยส่วนใดของร่างกายแล้วหลังจากได้นอนพักผ่อนอีกคืนหนึ่ง และเมื่อลุกขึ้นยืนได้ สิ่งแรกที่ชายหนุ่มทำก็คือการถอดเสื้อผ้าของมนุษย์ออกและเริ่มสำรวจตัวเองว่ามีร่องรอยผิดปกติหลงเหลืออยู่เหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีที่รอยฟันและรอยช้ำที่เคยปรากฎได้จางหายไปจนเกือบหมดแล้ว

แต่คำถามต่อมาก็คือ เอเดรียนได้เห็นสิ่งเหล่านั้นหรือไม่

...นานแค่ไหนกว่าอีกฝ่ายเข้ามาพบเขานอนหลับเป็นตายอยู่ในห้องพักของตัวเอง

ต่อให้ขาดสติเพราะสุรา แต่คนที่ไม่ได้คิดอะไรจริงๆจะหันมาสนอกสนใจคนข้างกายที่เป็นเพศเดียวกันได้หรือไร แต่แม้ในหัวของเขาจะเต็มไปด้วยคำถาม เซนทอร์หนุ่มก็ไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวเหล่านั้นขึ้นมาด้วยตนเองอยู่ดี เพราะเกรงว่าคำตอบของคำถามจะนำพาเขาไปสู่เรื่องที่ยุ่งยากมากขึ้น

"เลสธีราห์..."

เสียงของจาเร็ตต์ดังขึ้นที่หน้าประตู และสักครู่เดียว ชายผมแดงก็เปิดเข้ามาในห้องโดยไม่รอคำตอบ จาเร็ตต์ถือตะกร้าผลไม้เข้ามาด้วย มีทั้งองุ่นเขียว เบอร์รี่ และลูกพลับ "เอเดรียนขอให้ข้าเอามาเยี่ยมเจ้า เห็นว่าเจ้าชอบกินพวกผัก ก็น่าจะชอบผลไม้..." ฝ่ายนั้นหยุดชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในห้องไม่ได้สวมเสื้อ

"ข... ขออภัยด้วย..."

เลสธีราห์โคลงหัวไม่ทุกข์ร้อน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้สำรวจแผ่นหลังของตัวเอง ชายหนุ่มก็รีบสวมเสื้อคลุมทับ "จู่ๆก็ป่วยทรุดไม่มีสาเหตุแบบนั้น คนอื่นเขาก็เป็นห่วงแทบแย่" จาเร็ตวางตะกร้าใหญ่ลงบนโต๊ะ เลสธีราห์มองตามลูกพลับสีสดในตะกร้า... ด้วยความที่มันเป็นผลไม้ที่เขาชอบที่สุด

"ขนาดเอเดรียนมานั่งเฝ้าเจ้าด้วยตัวเองเลยเชียว"

คนฟังหน้าถอดสีเล็กน้อย ด้วยความกลัวว่าเอเดรียนจะจดจำอะไรได้ขึ้นมา

"แล้วเอเดรียนไปไหนเสีย..."

จาเร็ตต์พ่นลมหายใจเบาๆก่อนตอบ "ท่านชายซินญอร์เรียกพบ แม้ว่าการเจรจากับแอสทารอธจะเรียกได้ว่าประสบผลสำเร็จ แต่เราก็เหลือเวลาหนึ่งเดือนในการนำสิ่งตอบแทนไปมอบให้เซนทอร์ ดังนั้นจึงต้องรีบวางแผน และระดมความคิดจากขุนนางทุกฝ่าย เพื่อกำหนดแผนการโดยเร็วที่สุด" เลสธีราห์ประชดประชันอยู่ในใจหลังได้ยินคำตอบจากจาเร็ตต์ เพราะพวกขุนนางอาเดรียน่ะหรือกล้าใช้คำว่าระดมความคิด ในตอนที่ลีอาห์เปิดช่องให้พูดก็เห็นแต่ละคนอึกอักไม่มีใครเสนออะไรทั้งนั้น มีแต่เอเดรียนที่กล้าต่อรอง ในเวลาหารือเช่นนี้ก็เช่นกัน คงไม่พ้นแม่ทัพใหญ่ที่ต้องออกความเห็นเพื่อให้คนอื่นนำไปปฏิบัติ

...นี่ใช่หน้าที่ของแม่ทัพอย่างนั้นหรือ

"แล้วเจ้าไม่ไปเฝ้าท่านชายบ้างเหรอ" เลสธีราห์ถาม "หรือปกติแล้วเขาเรียกหาแต่เอเดรียน"

จาเร็ตต์พยักหน้าช้าๆแล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะขยายความคำตอบ "เอเดรียนมีความชำนาญพิเศษในการคาดเดาและอ่านใจคน ในภาวะที่อาณาจักรจะต้องใช้ไหวพริบและใช้ความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวเพื่อเอาตัวรอดในฐานะเมืองใต้อาณานิคม ความชำนาญในด้านนี้ของเอเดรียนจึงมีความจำเป็น ไม่แปลกที่เขาจะเป็นคนโปรดของท่านชายซินญอร์ อาเดรียอยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ส่วนหนึ่งเพราะความสามารถของเอเดรียน"

ตั้งแต่พูดคุยกับอีกฝ่ายมา เลสธีราห์ไม่เคยคิดว่าเอเดรียนมีความสามารถมากขนาดนั้นเลย

แต่เมื่อนึกถึงครั้งที่เขาเจรจากับราชเลขาแห่งแอสทารอธ และใช้คำพูดเฉียบคมในการเอาชนะนาง เซนทอร์หนุ่มก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างว่าเอเดรียนเป็นคนที่มีความสามารถในด้านการอ่านใจคนจริงๆ "กระทั่งรู้วิธีการชนะใจราชเลขาแห่งแอสทารอธ ก็ไม่น่าใช่คนธรรมดาหรอก" ร่างโปร่งพึมพำ ก่อนจะเด็ดองุ่นเม็ดหนุ่มแล้วโยนใส่ปากตัวเอง

"แต่ถึงจะสามารถอ่านใจคนได้มากมาย แต่เอเดรียนก็เคยอ่านพลาดมาแล้ว"

เลสธีราห์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแต่ด้วยความที่คำพูดนั้นค่อนข้างจะแทงใจเขาอยู่บ้าง ร่างโปร่งจึงไม่ถามต่อ และรอให้จาเร็ตต์เป็นฝ่ายเล่าเอง "เวห์เซีย... หญิงงามแดนใต้" คนสนิทแม่ทัพแค่นหัวเราะ "นางมาจากคัสนาห์ พวกเราจึงไม่คิดเอะใจ"

จาเร็ตต์หยุดพักครู่หนึ่งราวกับชั่งใจว่าเขาควรจะเล่าต่อไปหรือไม่ "เอเดรียนรักความสดใสของนาง"

ด้วยตำแหน่งของแม่ทัพใหญ่ที่ต้องหลบซ่อนและมีศัตรูรอบตัว ทำให้ชีวิตของเอเดรียนไม่ได้สัมผัสกับความสุขสบายอย่างคนธรรมดาทั่วไปสักเท่าไหร่ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่เขาหลงรักบุคคลที่มีอิสระแทนเขา และเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไป "แต่กลับกลายเป็นว่า นางคือผู้ที่ถูกส่งมามาสอดแนมอาณาจักรของเรา เปิดโปงการมีตัวตนของเอเดรียน และจับเขากลับไปยังธีสธรัลเพื่อสำเร็จโทษคือการประหารชีวิต"

คนฟังกลั้นใจตามก่อนจะช้อนขึ้นมองคู่สนทนาเล็กน้อย "แล้วเกิดอะไรขึ้น"

"ท่านชายซินญอร์ตามไปช่วยเอเดรียน... ประจวบเหมาะกับเกิดความวุ่นวายในธีสธรัล ทำให้เอเดรียนสามารถหลบหนีออกมาได้ แต่ก่อนที่จะจากมา เอเดรียนก็เป็นคนสังหารเวห์เซียด้วยตัวเอง" แม่ทัพแห่งอาเดรียไม่เคยได้รับอิสระ อีกทั้งยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนความกดดันและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จึงจำต้องสังหารใจของตนเองเพื่อความอยู่รอด

...ใจของเอเดรียนอ่อนแอเพลี่ยงพล้ำ แต่กายของเขายังต้องลุกขึ้นสู้เพื่อบ้านเมือง

ไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มต้องการใครสักคนมาเยียวยาบาดแผลบอบช้ำเหล่านั้น

"ข้าไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก" จาเร็ตต์มุ่นคิ้วใส่คนตรงหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นจับคือตัวเองราวกับส่งสัญญาณเตือนบุคคลตรงหน้า "ถ้าเจ้าสามารถทำให้เอเดรียนมีความสุขได้ก็คงดี แต่หากเจ้านำความทุกข์มาให้เขาภายหลัง..." เลสธีราห์ยกมือขึ้นจับลำคอของตัวเองบ้างและตระหนักได้ว่ายังหลงเหลือความรู้สึกเจ็บอยู่บนผิวเนื้อ มันอาจเป็นรอยฟันที่ยังหลงเหลืออยู่

"...ข้าจะลงมือด้วยตัวเอง"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 12.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 03-11-2016 15:42:54
ตอนที่ 12.2

เหนือหัวดาเรียสเดินทางมายังเมืองท่าเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยด้วยตนเอง อันเนื่องจากการเริ่มต้นของฤดูค้าขายที่ชาวเอลฟ์จากแผ่นดินตะวันออกจะเดินทางเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้กับเสบียงอาหารซึ่งเป็นสินค้าหลักในการส่งออกของแอสทารอธ ดังนั้นในช่วงนี้อ่าวมารินาจึงคึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้นำอาณาจักรสนใจและต้องเดินทางออกจากพระราชวังมาด้วยตนเองนั้นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนสินค้าธรรมดา แต่เป็นเพราะคำเชิญจากซาฮาล ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์กราเทียร์ ผู้ควบคุมดูแลการแลกเปลี่ยนให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

"นี่คือ... เกือกร้อนรูปไข่ขอรับ"

ซาฮาลส่งเกือกม้ารูปวงรีเต็มรอบให้กับผู้นำอาณาจักร ก่อนจะค้อมหัวช้าๆเพื่อเป็นคำขออนุญาตในการพูดต่อ "ที่ผ่านมาเราสวมใส่สิ่งที่เรียกว่าเกือกเย็นมาโดยตลอด ซึ่งมีความทนทานมากกว่า อีกทั้งยังง่ายต่อการขึ้นรูป แต่ปัญหาของเกือกเย็นก็คือขนาดของเกือกที่ไม่สามารถปรับให้รับกับกีบเท้าของแต่ละตนได้ ดังนั้นจึงต้องยอมสวมเกือกที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนจะนำเชือกมัดรอบอุ้งเท้าซึ่งยิ่งทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก"

"เช่นนั้นแล้ว เกือกร้อนนี่สามารถปรับขนาดให้พอดีกับกีบเท้าของเราได้อย่างนั้นรึ" เหนือหัวเลิกคิ้ว

"การใช้เกือกร้อนนั้นต้องนำไปเผาไฟให้เหล็กอ่อนตัวลงเสียก่อนแล้วจึงนับไปทาบกับกีบเท้าของเราแล้วจึงใช้หมุดตอกเข้าไปยึด และลักษณะรูปไข่นี้จะช่วยกระจายน้ำหนักที่เรากดลงไปบนกีบให้สม่ำเสมอมากกว่าเกือกแบบเดิมจึงทำให้รู้สึกสบายกว่า อีกทั้งยังปกป้อง 'กีบบัว' ได้อีกด้วย" แม้ว่าสิ่งที่ซาฮาลนำเสนอนั้นจะเป็นความก้าวหน้าของเกือกม้า แต่เมื่อเขาพูดถึงการ 'ตอกหมุด' ผู้ที่รับฟังอยู่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเหนือหัวซาฮาล ท่านหญิงลีอาห์ หรือท่านหญิงโมนาก็ล้วนแล้วแต่กลั้นหายใจและเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกหวาดเสียว

"แม้ว่าการใช้เชือกหนังผูกจะทำให้เราเคลื่อนไหวไม่สะดวกก็เถอะนะ แต่หากจะต้องเปลี่ยนเป็นใช้หมุดตอกแล้วล่ะก็..."

ซาฮาลค้อมหัวให้คนพูดก่อนจะผายมือไปยังแท่นวางเท้าที่มีช่างเกือกยืนอยู่ใกล้ๆ "ท่านหญิงโมนาสามารถทดสอบได้ด้วยตนเอง เกือกร้อนนี้พวกภูตไอย์ชวลนำมาเสนอแลกเปลี่ยน อีกทั้งยังสาธิตการใช้งานให้ดู และทดลองกับช่างเกือกที่ดีที่สุดของแอสทารอธแล้ว ข้ารับรองว่าการตอกหมุดนั้นไม่สร้างความเจ็บปวดใดๆตามที่เราเข้าใจเลย" ในยามปกติแล้ว ท่านหญิงโมนาเป็นสตรีที่พูดจาฉะฉานและตรงไปตรงมาอย่างที่สุด แต่เมื่อได้ยินดังนั้น เซนทอร์สีขาวได้แต่ส่ายหัวระรัว

"ไม่จะดีกว่า... ข้าเองเพิ่งเปลี่ยนเกือกเมื่อไม่กี่วันมานี้ การใช้เชือกผูกนั้นไม่ได้สร้างความลำบากมากมายสักเท่าไหร่"

เหนือหัวดาเรียสหันไปมองเลขาคนสนิทของตนก่อนจะโคลงหัว "ท่านหญิงลีอาห์..."

"ไม่จะดีกว่าค่ะ" ราชเลขาตอบสั้นและค้อมหัวลงอย่างนอบน้อม "ข้ามีความเห็นว่าซาฮาลเองควรจะเป็นผู้สาธิตให้พวกเราดูจึงจะเหมาะสม เพราะข้าได้ยินว่าตัวผู้บัญชาการเองมีปัญหาในเรื่องเกือกบ่อยครั้ง อันเนื่องมาจากขนาดกีบเท้าที่ใหญ่กว่าผู้อื่น หากเกือกร้อนนี้สามารถปรับขนาดได้จริง น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเขามากที่สุด" เซนทอร์หญิงโยนภาระกลับมาให้ซาฮาลอย่างแนบเนียน และลอบส่งยิ้มหยอกเย้าให้เขาเล็กน้อย

ซาฮาลกลั้นใจเมื่อพบว่าตนอาจไม่สามารถโยนภาระต่อไปให้ใครได้อีกนอกเหนือจากเหนือหัวดาเรียส

แต่แล้วเสียงวิ่งเหยาะๆของใครบางคนก็เข้ามาใกล้โรงเกือกม้า พร้อมกับเสียงหอบเบาๆ "นายช่าง... พวกเอลฟ์ส่งทั่งตีเกือกแบบใหม่มาให้แล้วพร้อมกับอุปกรณ์เกือกม้าชุดใหม่ทั้งหมด แต่เรือพาณิชย์อื่นจอดเทียบเต็มไปหมดจึงต้องเข้าเทียบท่าฝั่งเรือรบ ข้าอยากให้ท่านส่งลูกน้องไปสักสามสี่คน..." รีดาห์หยุดชะงักเมื่อพบว่าขุนนางระดับสูงและผู้นำอาณาจักรอยู่กันพร้อมหน้าในโรงเกือกม้า

"ข... ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ"

ร่างโปร่งค้อมหัวลงแสดงความเคารพ แต่อึดใจต่อมาเขาก็พบว่าถูกซาฮาลคว้าแขนเอาไว้ "รีดาห์ เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าต้องการให้เจ้าทดสอบเกือกม้าชนิดใหม่ที่ไอย์ชวลส่งมาเสียหน่อย" ราวกับได้ยินเสียงถอนใจด้วยความโล่งอกของขุนนางระดับสูง ในขณะที่รองผู้บัญชาการเซเลสต์ถูกพาไปยังแท่นรองเกือก และยกขาหลังข้างหนึ่งขึ้นวางบนเบาะนุ่ม "อย่าดีดนายช่างเสียล่ะ"

"ห....หา...!"

โดยที่ยังไม่ได้ไถ่ถามอะไรเพิ่ม นายช่างก็หัวเราะเบาๆในคอแล้วจึงจับอุ้งเท้าข้างนั้นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดเสียก่อน "ท่านรีดาห์วิ่งบนพื้นไม้ของท่าเรือบ่อยกว่าพื้นดิน ดังนั้นจึงอาจเป็นผู้ที่เหมาะสมจะสวมใส่เกือกแบบใหม่นี้" ซาฮาลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกทั้งยังลอบหัวเราะอยู่ในใจว่ารีดาห์ชอบลื่นเกือกตัวเองล้มเสียด้วย "เกือกแบบใหม่มีน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย และคล่องตัวกว่าแบบเดิมมาก แต่อาจต้องหักล้างกับความเชื่อเดิมๆของพวกเราว่าการ 'ตอกหมุด' คือความเจ็บปวด แท้จริงแล้วไม่ใช่เลยขอรับ"

"ต...ตอกหมุดเหรอ...!" รีดาห์อ้าปากค้าง และเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความเย็นของ 'เหล็กแคะกีบ' เซนทอร์หนุ่มก็เริ่มหลับตาแน่นด้วยความหวาดเสียว แม้ว่านายช่างของโรงเกือกแห่งนี้จะได้ชื่อว่าเป็นช่างเกือกที่มือเบาที่สุด และดีที่สุดในอาณาจักรแล้วก็ตาม "ไหนว่ามันเป็นวิธีการทรมานม้าอย่างไรเล่า..."

"เราเข้าใจมาเช่นนั้นขอรับ แต่ความจริงแล้วกระตอกหมุดไม่ได้เจ็บอย่างที่เข้าใจเลย"

ร่างโปร่งพยายามกลั้นใจ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นในขณะที่นายช่างตะไบขอบกีบให้เสมอเท่ากันก่อนจะทดลองวางเกือกลงไปเพื่อตรวจสอบว่ามันพอดีหรือไม่ ก่อนจะนำเกือกชิ้นนั้นไปเผาไฟในเตาะที่อยู่ไม่ไกลกัน "รีดาห์ เจ้าเจ็บหรือ" เหนือหัวดาเรียสสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่ตลอด ด้วยความี่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่านวัตกรรมที่ซาฮาลกล่าวมานั้นจะได้ผลดีจริงหรือไม่ เพราะอย่างไรการนำหมุดซึ่งเป็นเหล็กไปตอกเข้ากับส่วนหนึ่งของร่างกายดูจะไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ว่ามันไม่เจ็บ

"ป... เปล่าขอรับ... ยัง... ข้าแค่หวาดเสียว"

ความรู้สึกต่อมาคือความอุ่นร้อนที่ไม่ได้มากมายเกินทน วางแนบกับกีบเท้า ควันและกลิ่นของเหล็กเผาไฟอบอวนไปทั่วโรงเกือก และนายช่างก็เริ่มวางหมุดตัวแรกลงบนช่องสำหรับตอก ใจของรีดาห์สั่นจนรู้สึกได้ กระทั่งมือที่เคยอุ่นก็เย็นขึ้นมาจนแทบจะไร้ความรู้สึก ร่างโปร่งกุมมือเข้าหากันแน่นและกลั้นใจเมื่อเสียงตอกหมุดแว่วมาเข้าหูของตน พร้อมกับการเบือนหน้าหนีด้วยความหวาดเสียวของขุนนางระดับสูงแะผู้นำอาณาจักร

"...ไม่เจ็บใช่ไหม" แต่จู่ๆเสียงทุ้มต่ำของซาฮาลก็ดังขึ้นใกล้ๆตัว รีดาห์ลืมตาขึ้นเล็กน้อยหมายจะมองหาที่มาของต้นเสียงและตวาดสักเบาๆสักครั้งที่อีกฝ่ายโยนเรื่องนี้มาให้เขา แต่จู่ๆมือใหญ่ของอีกฝ่ายก็วางลงบนมือที่กุมกันเองของรีดาห์ ความอบอุ่นจากมันทำให้เขาเบาใจขึ้นแทบจะในทันที และเมื่อเงยหน้าขึ้น ร่างโปร่งก็พบว่าคู่สนทนายืนอยู่ใกล้จนแทบจะชิดกัน "มือเย็นเชียว"

"ก็เพราะเจ้าคนเดียวนั่นแหละ!" เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้ว "เหตุใดจึงไม่ลองเองเล่า ตอกหมุดเนี่ย!"

ซาฮาลบีบมือคู่นั้นเบาๆแล้วหัวเราะกับตัวเอง "เพราะถ้าข้าอาจอยู่ในสภาพเดียวกับเจ้า และมันคงจะน่าขันไม่น้อยเลย"

"เรียบร้อยแล้วขอรับ!" นายช่างร้องบอก และนั่นก็ทำให้ทุกคนหันมาสนใจเกือกแบบใหม่อีกครั้ง ผู้บัญชาการกองเรือกถอยออกไปเล็กน้อยและเดินกลับไปชื่นชมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของพวกภูต "การตอกหมุดจะต้องตอกให้ทะลุออกมาจากกีบแล้วจึงตัดปลายออก เพื่อป้องกันไม่ให้ปลายแหลมเหล่านั้นแทงเข้าไปในในส่วนเนื้อ ดังนั้นจึงปลอดภัย อีกทั้งยังแน่นหนากว่าเกือกแบบผูกเชือกแบบเดิมด้วยขอรับ" ทุกคนชะโงกหน้ามาดูเกือกรูปไข่แบบใหม่ที่เป็นสีเงินประกายวิบวับ

"ไม่เจ็บจริงหรือไม่ รีดาห์..." เหนือหัวเอ่ยถาม "ข้าเห็นเจ้าหลับตาเสียแน่น"

"ม... ไม่เจ็บขอรับ เพียงแค่หวาดเสียวกับเสียงหมุด" รีดาห์มองไม่เห็นเท้าหลังของตน ดังนั้นเขาจึงตอบไม่ได้ว่ามันสวยงามหรือไม่ แต่สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือความเบาของเกือก และความคล่องตัวหลังจากยกขาข้างนั้นวางบนพื้น "แต่เบาและกระชับกว่าแบบเดิมจริงๆ" เมื่อเหนือหัวได้ยินดังนั้น เขาจึงหันไปพนักหน้าให้กับซาฮาลและช่างเกือก

"อีกข้างด้วยสิ นายช่าง... ทั้งสี่เท้าเลยนะ"

"เอ่อ... เดี๋ยวก่อน นายช่าง" ร่างโปร่งร้อง "ข้าขอเวลาสักครู่" ร่างโปร่งเอี้ยวหลังกลับเล็กน้อยและพบว่าเหนือหัวแห่งแอสทารอธถอยกลับไปยืนที่เดิมแล้ว เหลือแต่นายช่างและซาฮาลที่ยังอยู่ใกล้ เมื่อได้ยินดังนั้น นายช่างจึงถอยออกไปเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิดเส้นยืดสาย แต่แล้วรีดาห์ก็ยกขาข้างที่เพิ่งเปลี่ยนเกือก ดีดใส่ซาฮาลเต็มแรง

"โอ้ย!!"

"ข้อหาที่ลากข้ามาตอกหมุด!!"

--------------------------------------------------

ดวงจันทร์กลมโตคล้อยฟ้าไปแล้วในตอนที่แม่ทัพอาเดรียกลับมายังราห์โมนา เจ้าตัวจูงอัลธอร์กลับไปที่โรงม้า และปลดผ้าคลุมบ่าออกพาดแขนด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน แต่แทนที่จะรีบกลับไปยังห้องพักของตน ชายหนุ่มกลับสะดุดกับบุคคลที่นั่งอยู่ด้านหน้าประตูราวกับกำลังรอการกลับมาของเขา

ฝ่ายนั้นถือไปป์ยาวในมือและพ่นควันเอื่อยๆออกมาอย่างใจเย็น "นึกว่าจะกลับเสียพรุ่งนี้เลย"

เอเดรียนไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการประชดหรือไม่ แต่ตอนนี้แม่ทัพหนุ่มเหนื่อยเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับใคร โดยเฉพาะกับคนปากจัดอย่างเลสธีราห์ "ข้าเหนื่อยแล้ว อย่าเพิ่งสนทนาตอนนี้เลย เจ้าเองก็เพิ่งฟื้นจากอาการป่วย ยังจะมาอดหลับอดนอนอีก"

...ข้าป่วยเพราะเจ้าไม่ใช่หรือไร

เลสธีราห์กลอกตาทีหนึ่งแล้วจึงตรงเข้าไปคว้าเสื้อคลุมของอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เอง "ถ้าจะมาไล่ข้าไปนอนทั้งที่ข้านั่งรอมาค่อนคืนล่ะก็ คงต้องแสดงความเสียใจด้วย" เซนทอร์หนุ่มเดินนำขึ้นบันไดและมุ่งหน้าไปที่ห้องของเอเดรียนโดยไม่หันมามองว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธหรือไม่

"แล้วผลไม้ที่ข้าให้จาเร็ตต์เอาไปให้เป็นอย่างไรบ้าง สู้ไปหามาจากตลาดทางเหนือเชียว"

"หมดแล้ว" ร่างโปร่งพึมพำ "ลูกพลับอร่อย" เขาก้าวเข้าไปในห้องพักของเอเดรียน ซึ่งเต็มไปด้วยชั้นหนังสือจนเหมือนหอหนังสือมากกว่าจะเป็นห้องนอน โต๊ะไม้เรียบๆตั้งอยู่ในมุมที่แสงอาทิตย์ส่องถึง เอกสารจำนวนมากกองอยู่บนนั้นจนแทบมองไม่เห็นขวดหมึก และใกล้ๆกันเป็นมุมพักผ่อนซึ่งก็คือโซฟาและโต๊ะเล็กที่สามารถมองออกไปนอกหน้าต่างจนเห็นมหาคฤหาสน์ได้นั่นเอง

"ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบลูกพลับมาก แต่ต้นโปรดของเจ้าก็ดูจะไกลเกินไป ข้าคงไปเก็บไม่ทัน"

เซนทอร์หนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความทึ่ง "ไม่เห็นจะต้องลำบากขนาดนั้น..."

"ถ้ารู้ว่าคนป่วยเข็งแรงจนลุกขึ้นมานั่งสูบยาได้แล้วก็คงไม่ต้องลำบากกระมัง" เมื่อถูกแดกดัน เลสธีราห์ก็มุ่ยหน้าตอบ "แล้วไปทำอะไรมา... ทำไมจู่ๆถึงนอนไม่ได้สติขนาดนั้น" คำถามนั้นทำให้คนฟังต้องกลืนน้ำลายกระอักกระอ่วน เพราะเขาไม่แน่ใจว่าตนรู้สึกดีใจหรือเสียใจที่เอเดรียนลืมหรือเรื่องที่เกิดขึ้น และลังเลว่าเขาควรจะบอกอีกฝ่ายตามความจริงหรือไม่

เขาไม่ควรรื้อฟื้นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แบบนั้น

แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าถ้าเอเดรียนจดจำเหตุการณ์ทั้งหมดได้ อีกฝ่ายจะแก้ตัวว่าอย่างไร

แขนแกร่งทั้งสองเท้ายันกับเบาะโซฟา ในขณะที่ร่างรองรับพยายามขยับแอ่นขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น เสียงหอบสะท้อนก้องไปทั่วห้องปะปนไปกับเสียงขยับกายเสียดสีกระแทกกระทั้น

"อึก...!"

มือเรียวสั่นระริกพยายามเหนี่ยวรั้งท่อนแขนของอีกฝ่าย จับยึดเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่เหือดหาย "อ... เอเดรียน..." น้ำเสียงสั่นเครือพยายามร้องเรียกหมายจะอ้อนวอนให้อีกฝ่ายอ่อนโยนขึ้นบ้าง "อา..." เลสธีราห์ไม่มีสติพอที่จะพูดต่อ เขาได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่าย ความรู้สึกอึดอัดทางกายปะปนไปกับแรงอารมณ์ที่ไม่ได้ระบายออก ได้แต่ผ่อนลมหายใจถี่รัวด้วยความทรมาน

แต่ดูเหมือนว่าผู้รุกล้ำจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย

พละกำลังของอีกฝ่ายบดขยี้ความรู้สึกนึกคิดให้แตกสลายจนภายในหัวมีแต่ความว่างเปล่า นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้าง ทั้งร่างขยับเกร็งในจังหวะที่เบื้องบนล่วงลึกเข้ามา "อื้อ...!" แม้สิ่งที่ได้รับจะเรียกว่าเป็นความเจ็บปวด แต่ในความเป็นนักรบ เลสธีราห์ก็ไม่เคยถูกสอนให้โอดครวญ ดังนั้นจึงมีเพียงลมหายใจหอบสะท้านและเสียงอุทานครางเครือเท่านั้นที่หลุดรอดออกมา

คนปกติที่ไหนจึงมีอารมณ์กับคนเพศเดียวกันได้ หากอยู่ในอาการมึนเมา อีกฝ่ายก็ลงไม้ลงมือกับคนข้างกายได้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงอย่างนั้นหรือ แล้วคำพูดของเอเดรียนนั้นหมายความว่าอะไร คำพูดที่ตัดพ้อเหนี่ยวรั้งเลสธีราห์เอาไว้... แม้ว่าจะไม่สามารถเชื่อใจได้ แต่ก็ยังอยากครอบครองเอาไว้อยู่ดี

มันหมายความว่าอย่างไรกัน เอเดรียน

"ข้าอาจจะแค่กินอะไรผิดสำแดง" ร่างโปร่งตัดสินใจโกหก เพราะเขารู้ดีว่าหากพูดความจริงออกไปจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดตามมา อีกทั้งอาจจะเป็นเรื่องราววุ่นวายใจต่อไปอีกก็เป็นได้ "ว่าแต่เจ้าเถอะ วันนี้ไปพบท่านชายมา เป็นอย่างไรบ้าง" เลสธีราห์พาดเสื้อคลุมของอีกฝ่ายไว้บนเสาใกล้โต๊ะทำงาน และพยายามมองหาที่นั่งที่อื่นซึ่งไม่ใช่โซฟาใหญ่ที่ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนก่อนขึ้นมา

"นั่งลงก่อนเถอะ ข้าอยากจะอาบน้ำสักหน่อย ประเดี๋ยวค่อยพูดธุระกัน"

ร่างสูงเริ่มถอดเสื้อตัวนอกออกขณะเดินตรงไปที่ห้องอาบน้ำซึ่งมีถังน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แผ่นหลังกว้างชื้นเหงื่อเต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็นมากมายกระจายทั่ว แต่มีอยู่รอยหนึ่งที่ปรากฎเด่นชัดเป็นรอยใหม่

...มันคือรอยเล็บของเขาเอง

"...!.."

เซนทอร์สะดุ้งเมื่อเห็นดังนั้น เขาเบือนหน้าหนีกลับมาก่อนจะนั่งลงช้าๆ และรอคอยจนกว่าอีกฝ่ายจะเสร็จกิจ เขาเพียงแค่อยากรู้ผลการหารือ อาเดรียคิดจะทำอย่างไรต่อไป และแอสทารอธจะได้รับประโยชน์จริงหรือไม่ หากรู้แนวทางการเคลื่อนไหวของอาเดรียมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเป็นผลดีต่อแอสทารอธมากขึ้นเท่านั้น

เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร...

เลสธีราห์หลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆครึ่งหนึ่ง แต่ความรู้สึกต่อมาก็คือน้ำหนักของเอเดรียนที่นั่งลงบนโซฟาข้างกายในตำแหน่งเดียวกับเมื่อคืนก่อน "...!..." ร่างโปร่งสะดุ้งและขยับหนีตามสัญชาติญาณ ทำให้ความรู้สึกเจ็บแปลบที่สะโพกแล่นปราดขึ้นมาอีกครั้ง "อืม...!"

"เป็นอะไรรึเปล่า..."

แม่ทัพอาเดรียโคลงหัวด้วยความแปลกใจ "สีหน้าเจ้าไม่ค่อยสู้ดี ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรจริงๆรึ"

ร่างโปร่งส่ายหัวเบาๆแทนคำตอบ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมสมาธิ "ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าได้ความอะไรบ้างจากการหารือ จาเร็ตต์บอกว่าท่านชายเรียกเจ้าไปพบเพื่อวางแผนการ" นั่นอาจเป็นสิ่งที่เลสธีราห์อยากรู้ที่สุด แต่เมื่อไตร่ตรองดูอีกครั้งแล้ว คำพูดของเอเดรียนก็ผุดขึ้นมาในหัว และตอกย้ำสถานะ 'คนนอก' ของเขาจนทำให้ชายหนุ่มคิดว่าตนคงไม่ได้รับคำตอบ

"แต่ข้า... ไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องพวกนี้ใช่ไหม"

เอเดรียนลูบหัวคนพูดเบาๆเป็นเชิงปลอบก่อนจะพยักหน้าน้อยๆครั้งหนึ่ง "ต่อให้ข้าไม่อยากทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองด้อยค่า แต่ข้าจะไม่โกหกเจ้าหรอกนะ เลสธีราห์" ใบหน้าคมทอดยิ้ม "เจ้าอาจไม่มีสิทธิ์รู้ แต่ข้าจะพาเจ้าไปด้วยแน่นอน" แม่ทัพใหญ่ลดมือลง และพิจารณาสีหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาสักพักก่อนจะทอดยิ้ม

"หากเจ้ายังต้องการจะไปกับข้า... ข้าก็จะอยู่ข้างๆเจ้า ตกลงไหม"

เลสธีราห์มุ่นคิ้วด้วยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบแบบใดจากเขา "ข้าอยากเป็นกำลังให้เจ้า แต่หาก... เจ้าไม่บอกอะไรข้าเลยแบบนี้ จะให้ข้าวางใจติดตามเจ้าไปได้อย่างไร" แม้จะหวั่นไหวกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่อย่างไรเขาก็จะไม่ลืมจุดประสงค์ที่ตนมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ "ต่อให้ข้าสามารถสละชีวิตให้เจ้าได้จริง ข้าจะ... วางใจได้อย่างไรว่าข้าค้นพบ... บุคคลที่มีค่าพอที่จะตายแทนได้"

แต่ยิ่งพูด... เซนทอร์หนุ่มก็ยิ่งจุกขึ้นมาในอก

เขาอาจจะพร้อมตายเพื่อแอสทารอธ แต่คำพูดของเขาในตอนนี้... มันคือการถามใจของเอเดรียน

แม่ทัพใหญ่ระบายลมหายใจช้าๆ และเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนาด้วยแววตาสงบนิ่ง "ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย" เสียงของอีกฝ่ายนุ่มนวลทว่ามั่นคงหนักแน่นเสมอ "หากต้องตาย ข้าจะล่วงไปก่อน... หรือตายตกไปพร้อมกัน" มือของคนพูดกำหมัดแน่นและยกขึ้นช้าๆราวกับให้สัญญา

"ข้าไม่มีเกียรติของอัศวินแบบเจ้า แต่ข้าสัญญาในฐานะ... คนธรรมดาคนหนึ่ง"

จู่ๆหัวใจของคนฟังก็อุ่นวาบอย่างที่ไม่ควรรู้สึกในยามนี้ เขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรเลย แต่แค่ได้ยินคำสัญญาในฐานะคนธรรมดา เลสธีราห์กลับรู้สึกเหมือนได้รับคำตอบบางอย่าง แม้ว่ามันจะเป็นคำตอบของคำถามในจินตนาการของเขาก็ตาม

.

...แต่เจ้ารักเขาไม่ได้ เลสธีราห์

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 12 [3-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 03-11-2016 17:46:24
ยิ่งอ่านยิ่งเจ็บ  :o12:
จำไว้นะเลสความลับไม่มีในโลก คิดว่าเดี๋ยวเอเดรียนก็รู้ แต่จะรู้ด้วยวิธีไหนน่ะสิ
แอสธารอทเนื้อหอมมาก ต้องเลือกข้างแล้วแหละ ขอให้การพิสูจน์ตัวเองของเลสสำเร็จนะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 13.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 04-11-2016 19:13:39
ตอนที่ 13.1

เรือใหญ่แห่งเธสซาลีย์นำพาทูตชาวเอลฟ์เดินทางกลับมายังแผ่นดินตะวันตกอีกครั้ง ความใหญ่โตโอ่อ่าของมันยังคงทำให้เซนทอร์แห่งแอสทารอธตกตะลึงได้แม้ว่าจะเป็นเรือลำเดียวกันกับเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เลสธีราห์ในวัยเก้าขวบรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าขนาดของลำเรือ นั่นคือบุคคลซึ่งเป็นผู้นำของคณะเดินทางนี้

ธีโอเดร บลังค์... เอกอัครราชทูตแห่งเธสซาลีย์ บิดาของเขานั่นเอง

เด็กชายเกิดมาในร่างที่แตกต่างจากเซนทอร์ อีกทั้งสีผิว ผมและดวงตาก็แตกต่างจากมารดาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นนี่จึงอาจเป็นวันที่เลสธราห์รอคอย เพื่อจะได้พบกับบุคคลที่มีความคล้ายคลึงเขาบ้าง และอย่างน้อยท่านทูตธีโอเดรก็คงจะไม่มีสี่ขาหรือมีเท้าเป็นกีบ

แต่ความคิดแรกเมื่อได้เห็นหน้าบิดา เลสธีราห์ก็เกิดความรู้สึกกลัว

ด้วยร่างกายสูงใหญ่และใบหน้าที่ดุดัน อีกทั้งยังไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆปรากฎแม้ว่าฝ่ายนั้นจะย่อตัวลงนั่งบนเข่าตรงหน้าเขาเพื่อมองหน้าลูกให้ชัดๆเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตาม "ดวงตาของเขาเหมือนเจ้า... ลีอาห์" น้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าทุ้มต่ำยิ่งทำให้เด็กชายรู้สึกเกร็ง และมือที่ใหญ่จนสามารถยกตัวเขาขึ้นได้ด้วยแขนข้างเดียวก็วางลงลูบบนผมสีอ่อนช้าๆด้วยความเอ็นดู "แม้ว่านัยน์ตาจะเหมือนข้า..." ทูตแห่งใหญ่แอสทารอธยืนอยู่เคียงข้างบุตรชาย นางทอดยิ้มละมุนและพยายามขยับออกห่างคนทั้งคู่เพื่อให้พวกเขาสามารถใกล้ชิดกันได้มากขึ้น

แต่เลสธีราห์ก็ขยับตัวไปกอดมารดาเอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว

เมื่ออยู่ต่อหน้าสามี ท่านหญิงลีอาห์จะละทิ้งร่างของเซนทอร์ ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงดูไม่ต่างจากครอบครัวธรรมดา เว้นเสียแต่ว่าผู้เป็นชาวเอลฟ์จะดูสูงมากไปเสียหน่อย "ระวังชนขอบประตูนะ" ท่านหญิงกล่าวเตือนเสียงเรียบ เมื่อเห็นว่าสามีของตนกำลังจะผละออกไปเพื่อหยิบของขวัญที่เตรียมมาจากแดนไกลให้บุตรชาย

"โอ้ย...!"

เซนทอร์ขำพรืดออกมาแล้วจึงยิ้ม "ท่านก็ไม่ได้สูงไปกว่าข้าในร่างเซนทอร์มากมาย เหตุใดจึงมีปัญหากับขอบประตูนักหนอ" หากเทียบในหมู่เซนทอร์แล้ว ท่านหญิงลีอาห์นับได้ว่าเป็นสตรีร่างเล็ก ดังนั้นท่านทูตธีโอเดรที่สูงกว่านางไม่มากจึงไม่น่ามีปัญหากับการเดินชนประตูเลย

"เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเหนือหัวดาเรียสที่สูงกว่าข้าจึงไม่มีปัญหาเล่า"

ลีอาห์นิ่งไปครู่หนึ่ง และธีโอเดรก็ให้เวลานางคิดคำตอบในขณะที่ตนออกไปหยิบกล่องไม้สีเข้มขนาดใหญ่กลับมา "คงเป็นเพราะที่พักของเหนือหัวดาเรียสไม่ใช่ห้องหับแบบนี้กระมัง แต่เป็นห้องกว้างที่มีเพดานสูง อีกทั้งยังไม่มีประตูอีกด้วย" ทูตเอลฟ์หัวเราะร่วนก่อนจะนั่งลงข้างบุตรชายที่ยังเกาะอยู่ข้างมารดา

"อย่างนั้นคงเป็นปัญหาที่ห้องเจ้า หาใช่ความสูงของข้า..."

"เช่นนั้นท่านก็ทุบสร้างให้ข้าใหม่เสียสิ" เซนทอร์หญิงยิ้มเย้า

บิดาที่ดูจะเห่อลูกชายดูจะไม่มีเวลาคุยเล่นกับภรรยาสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มเปิดกล่องไม้ และผายมือให้เด็กน้อยชื่นชมสิ่งที่เขานำมามอบให้ "แอควาเรียร์... ธนูแหวกสมุทร" คนที่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงไม่ใช่เด็กน้อย แต่กลับเป็นท่านหญิงลีอาห์ ด้วยรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายนำมามอบให้นั้นมีมูลค่าสูงเกินกว่าจะเป็นของขวัญให้เด็กที่ตัวเล็กเพียงเท่านี้ "ข้าคงไม่ได้กลับมาหาเจ้าที่มหาทวีปบ่อยนัก... ดังนั้น มูลค่าของสิ่งนี้อาจชดเชยให้เจ้าได้บ้าง เลสธีราห์" เด็กชายลูบมือไปบนคันธนูไม้ที่แกะสลักอย่างปราณีตงดงาม แล้วจึงแหงนหน้าขึ้นมองมารดาราวกับกำลังถามว่า เขาสามารถรับของชิ้นนี้เอาไว้ได้หรือไม่

เซนทอร์หญิงสังเกตเห็นคำว่า 'เลสธีราห์ บลังค์' อยู่บนคันศร...

อังนั้นมันคงเปล่าประโยชน์ที่จะเอ่ยห้าม ในเมื่อของชิ้นนี้ตกเป็นของบุตรชายแล้ว

"แต่ตอนนี้เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะใช้พลังของแอควาเรียร์ แต่หากเจ้ามีความหมั่นเพียร ฝึกฝนตนเองทั้งร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ พลังของแอควาเรียร์จะทำให้เจ้าเติบโตเป็นนักรบที่มีความสามารถเหนือผู้ใด" ธีโอเดรยิ้ม "และจงใช้ความสามารถนั้นเพื่อทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิดของเจ้า อาณาจักรแอสทารอธแห่งนี้" เมื่อมารดาพยักหน้า เด็กชายก็หันกลับไปมองบิดาด้วยดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่สดใสก่อนจะยิ้มด้วยความยินดี

"ขอบคุณครับ"


--------------------------------------------------

ความสามารถที่เกิดจากการฝึกฝนพลังเพื่อให้สามารถควบคุมธนูแอควาเรียร์ได้ คือศาสตร์ของการฟังเสียง ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เลสธีราห์มีความสามารถในการใต้ยินเสียงต่างๆใต้ทะเลเพียงอย่างเดียว แต่มันส่งผลถึงชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนหูไว และนอนหลับไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากเสียงรบกวนของสิ่งแวดล้อมรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ...เสียงหัวใจของคนข้างๆ

"...!.." เซนทอร์หนุ่มสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัว และได้ยินเสียงเต้นอย่างเป็นจังหวะของหัวใจใครบางคนที่ไม่ใช่ตัวเอง และเมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าทั้งตนและแม่ทัพแห่งอาเดรียผล็อยหลับไปในท่าเดิมหลังจากนั่งสนทนากันจนดึกดื่นเมื่อคืนที่ผ่านมา

ไม่รู้จักเข็ดหนอ... เลสธีราห์

เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้วใส่ตัวเองแล้วค่อยๆลุกขึ้นจากเบาะนุ่มเพื่อไม่ให้คนข้างตัวสะดุ้งตกใจ เพราะในตอนนี้ยังเช้าเกินกว่าจะตื่น และเอเดรียนเองก็คงเหนื่อยจากภารกิจที่ผ่านมามากพอตัว เลสธีราห์จึงคิดว่าเขาควรจะลงไปร่วมโต๊ะอาหารเช้าอย่างเงียบๆและทำเสมือนตนไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์นี้จะดีกว่า

เว้นเสียแต่...

"เอเดรียน! เช้าแล้ว!!" นั่นเป็นเสียงของโจฮาล ที่ดังขึ้นพร้อมกับกำปั้นหนักๆทุบลงบนบานประตูไม้ และเดาได้ว่าเป็นมือข้างซ้ายของชายร่างยักษ์เนื่องจากมีเสียงแหวนกระแทกปะปนอยู่ด้วย "อูย..." และมันคงจะทำให้เจ้าตัวเจ็บอยู่ไม่น้อย จึงได้สบถออกมาเบาๆราวพูดกับหนวดเคราของตัวเอง

และแน่นอนว่าเสียงเอ็ดตะโรนั้นดังพอจะทำให้เอเดรียนสะดุ้งตื่น "อืม ข้าตื่นแล้ว..."

เลสธีราห์มองออกไปนอกหน้าต่างเล็กน้อย และพบว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแสงสลัวยามเช้าทำส่องเข้ามาในห้อง "มีอะไร... เหตุใจต้องรีบตื่น" เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้ว และด้วยความที่กลัวโจฮาลจะทุบประตูอีกครั้งซึ่งอาจปลุกคนทั้งคฤหาสน์ได้ เขาจึงเดินไปเปิดห้องต้อนรับอีกฝ่ายด้วยตนเอง

"อ้าว เจ้าเองก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ" ร่างสูงเลิกคิ้วดกหนาขึ้น "ดีแล้ว เจ้าควรรีบไปเตรียมตัว..."

"เตรียมตัวอะไรรึ"

"อา... ข้าลืมบอกเจ้าไป" เอเดรียนเดินมาที่ประตูขณะที่กำลังปลดกระดุมเสื้อของตน "มีคำสั่งให้คณะพรานออกล่าสัตว์เพื่อนำกลับมาแจกจ่ายให้ประชาชนที่เริ่มขาดแคลนเสบียงอาหารจากคำสั่งปิดท่าเรือ ดังนั้นเมื่อพวกเราไม่ค้าขายกับธีสธรัล ไอย์ชวลที่เป็นพันธมิตรของธีสธรัลซึ่งเคยขายเนื้อให้เราก็พลอยไม่ส่งของไปด้วย" แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "กระทบกันไปหมด"

นี่ล่ะผลของการทำอะไรไม่คิดนัก...

เลสธีราห์บ่นด่าอยู่ในใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการกระทำนี้เป็นผลดีต่อแอสทารอธไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงควรเดินตามเกมการเมืองนี้ต่อไป "ยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีกล่ะ! เราต้องไปถึงชายแดนในตอนสายนะ นี่พระอาทิตย์จะขึ้นแล้วยังไม่ออกเดินทางอีก!"

"เราจะไปที่ไหนนะ!" เซนทอรืหนุ่มอ้าปากค้าง

"ทุ่งอีแลนด์... ดินแดนรอยต่อของเมืองเลาน์เรนกับเมืองมารินาของแอสทารอธ"

--------------------------------------------------

ท่านชายซินญอร์เดินทางมายังท่าเรือทิศใต้ที่ค่อนข้างเงียบเหงา เพียงเพื่อมาตามหาบุคคลหนึ่งที่ได้ชื่อว่าไม่ค่อยปรากฎตัวให้ใครได้พบเจอโดยง่าย ผู้นำอาณาจักรปิดบังใบหน้าด้วยผ้าปิดปาก และผ้าคลุมหลัง เขาเดินผ่านตลาดค้าอาวุธที่เงียบสงัด และมุ่งตรงไปยังเขตที่พักอาศัยซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นคฤหาสน์หลังมหึมา

"พี่ชาย... ที่ทางแถวนี้ไม่เหมาะให้ใครมาเดินเล่น" ชายฉกรรจ์ร่างสูงตวัดคมดาบของตนแตะที่คอของผู้มาเยือนซึ่งทำให้เขาหยุดชะงักและถอยเท้าออกมาด้วยความระมัดระวัง "ข้ามีหน้าที่ต้องเฝ้าระวังคนแปลกหน้าแถวนี้ เห็นว่าหมู่นี้มีขโมยชุกชุมเหลือเกิน" คนตรงหน้ามีผมสีดำยาวประบ่า ดวงตาข้างหนึ่งถูกปิดเอาไว้ผ้าดำชิ้นเล็ก และโพกศรีษะด้วยผ้าสีแดงที่มีลวดลาย แม้ว่าจะมองผ่านผิวเผิน ท่านชายกรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นโจรสลัด

"ข้ามาเพื่อพบผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์"

ท่านชายซินญอร์ดึงเหรียญทองอันมีตราสัญลักษณ์ของอาเดรียออกมาและชูขึ้นให้คู่สนทนาเห็นชัดถนัดตาอีกฝ่ายหรี่ตาเล็กพิจารณาเหรียญตรงหน้าแล้วจึงลดดาบลง "ผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์ไม่เคยพบใคร" เขาเก็บดาบลงฝักแล้วจึงถอยห่างออกจากผู้มาเยือน "พี่ชายควรกลับไปเสียจะดีกว่า"

"ข้ามีข้อเสนอที่เขาจะต้องสนใจ..."

อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กย้อยก่อนจะเหยียดยิ้ม "หากไม่ใช่เงินทอง เขาก็คงจะไม่สน"

"ข้าไม่ได้เสนอเงินทอง" เจ้าเมืองไม่ย้อท้อ และพยายามข่มตัวเองไม่ให้ใจฝ่อเมื่อเห็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเย้ยหยันของอีกฝ่าย "ข้าจะให้เขาได้พบบุคคลที่เขาต้องการตัวที่สุดในมหาทวีปกอนด์วานาแห่งนี้ แลกกับกองเรือโจรสลัด" เขาเหลือบตาขึ้นมองสบกับอีกฝ่าย "พาข้าไปพบเขาเดี๋ยวนี้"

"พี่ชายคิดว่าวางอำนาจกับโจรสลัดได้หรือ" อีกฝ่ายยังคงยิ้มหยัน "...ใครกันที่มีค่าเท่านั้น"

"เอเดรียน..."

คู่สนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยอมถอยเท้า และเดินนำอีกฝ่ายไปยังเขตแดนของคฤหาสน์ฟลินทรัสต์ ตระกูลค้าอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดแห่งอาเดรีย "ขุนนางระดับไหนกันที่โง่จะแลกชีวิตแม่ทัพกับกองเรือโจรสลัด" อีกฝ่ายหัวเราะร่วนในลำคอ "เกือบสามสิบปี... เอเดรียน"

เมื่อเข้ามาในเขตคฤหาสน์คนตรงหน้าก็ดึงผ้าโพกหัวออกก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ผู้มาเยือน

"เอเรส ฟลินทรัสต์ ผู้นำโจรสลัดแห่งทะเลเทเทส... ยินดีต้อนรับท่านชายซินญอร์"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 13.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 04-11-2016 19:14:34
ตอนที่ 13.2

โจฮาลยังคงเป็นผู้นำทางของคณะ แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้พวกเขาจะมากับกลุ่มพรานที่มีความชำนาญพิเศษในการเดินป่าก็ตาม ทั้งคณะเดินทางขึ้นเหนืออีกครั้ง ข้ามแม่น้ำไอเรนาและล่วงเข้าไปในชายแดนของอาณาจักรแอสทารอธ เพื่อจะเดินทางไปยังทุ่งอีแลนด์ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และเต็มไปด้วยฝูงสัตว์

"ทุ่งอีแลนด์เรียกได้ว่าอยู่ระหว่างเส้นทางที่เซนทอร์ใช้ข้ามจากเมืองเลาน์เรนไปยังเมืองมารินา จึงนับได้ว่ามันเป็นอาณาเขตของแอสทารอธ ทางที่ดีก็ควรจะยุติการล่าสัตว์ก่อนพระอาทิตย์ตกดินดีกว่า"

เอเดรียนวางแผน เขาถือแผนที่แสดงอาณาเขตคร่าวๆไว้ในมือ และแนะนำให้พวกพรานดูด้วยเพื่อทำความเข้าใจ "ข้าไม่รู้ว่าฝูงสัตว์ใด อาศัยอยู่ที่ใดบ้าง นั่นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเจ้า เราอาจจะต้องออกล่าสัตว์อย่างนี้ไปอีกหลายวัน ถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ดีขึ้น ไอย์ชวลก็คงจะไม่ขายเนื้อสัตว์ให้เราอยู่ดี"

เหล่านายพรานพยักหน้ารับรู้และเริ่มคิดว่าควรจะวางแผนการล่าสัตว์อย่างไร เพราะทุ่งอีแลนด์ที่กว้างใหญ่นี้มีสัตว์อยู่มากมายหลายชนิดเหลือเกิน แต่ละพวกก็ออกหากินไม่พร้อมกันเสียด้วย "ตอนเช้าพวกกวางเอลก์จะมาดื่มน้ำที่แม่น้ำธีนา เราสามารถข้ามแม่น้ำไปล่าสักหกเจ็ดตัว" พรานหนึ่งเสนอ "ส่วนพวกอีแลนด์จะเลาะเล็มหญ้าที่ชายป่า หากต้องการจะจับพวกมัน เราจะต้องต้อนพวกมันให้ห่างป่า สัตว์พวกนี้หากกระโจนเข้าพงไม้แล้วก็คงจะหากันไม่เจอ"

เอเเรียนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปหาจาเร็ตต์ "เจ้าว่าอย่างไร"

"ข้าได้สังเกตพฤติกรรมของพวกครึ่งม้าแล้ว พวกเขานิยมล่าสัตว์ในตอนบ่ายที่พวกสัตว์เริ่มพักผ่อนตามชายป่า และออกล่าอย่างเป็นทางการเดือนละสองครั้ง ซึ่งเมื่อวานนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายของเดือนนี้ ดังนั้นจึงมีความเป็นได้สูงว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาในทุ่งอีแลนด์วันนี้"

คนสนิทมุ่นคิ้วเล็กน้อย "แต่การไปต้อนพวกอีแลนด์ถึงชายป่าเกรงว่าใกล้เมืองมารินามากไปหน่อย"

"เช่นนั้นเราก็ควรจะล่าอีแลนด์ในตอนที่พวกมันมาดื่มน้ำ น่าจะปลอดภัยกว่า"

เมื่อพวกพรานป่าตกลงกันได้แล้ว พวกเขาจึงเริ่มแบ่งกลุ่มกันตามอาวุธที่ถนัด และแลกเปลี่ยนพูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์แต่ละชนิดซึ่งจะทำให้การล่าง่ายขึ้น โจฮาลดึงม้าเข้ามาใกล้เอเดรียนในจังหวะที่เลสธีราห์ชะโงกหน้าไปฟังการสนทนาของกลุ่มพรานด้วยความอยากรู้ "ทำไมเลสธีราห์ถึงไปอยู่ในห้องเจ้าได้" เอเดรียนที่โจฮาลรู้จักไม่ค่อยให้ความสนิทสนมกับใครมากนัก เขาดูจะปิดตัวเอง และเข้าหายากแม้ว่าจะมีท่าทางอ่อนโยนยิ้มง่ายใจดีกับทุกคนก็ตาม จริงแล้วเลสธีราห์อาจเป็นคนแรกที่ได้เข้ามานอนในห้องของแม่ทัพใหญ่

"ก็คุยเพลินน่ะ ทีแรกเจ้านั่นมีเรื่องจะปรึกษาข้า"

โจฮาลไหวไหล่ทีหนึ่ง "น่าแปลกที่เจ้ายอมให้เข้าห้องด้วย ปกติเห็นระวังระแวงจะเป็นจะตาย" ถึงลักษณะการแสดงออกของเลสธีราห์จะไม่น่าสงสัยเลยก็ตาม แต่ประวัติและภูมิหลังของอีกฝ่ายก็ยังดูไม่น่าไว้ใจสำหรับคนระดับเอเดรียนอยู่ดี "เจ้าไม่ระแวงเด็กนี่จริงรึ" ชายหนุ่มกระซิบถามแม่ทัพ

"จะมีสักกี่คนกัน... ที่ข้าสบายใจจะอยู่ด้วยแบบนี้" เอเดรียนยิ้มตอบ

โจฮาลถอนใจยาวแล้วจึงตบบ่าสหายสองสามครั้ง "เจ้าขี้ระแวงอย่างเดิมก็ดีแล้ว เอเดรียน ระวังตัวให้มาก อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมเรื่องของเวห์เซียไปแล้วน่ะ" คำเตือนของคนสนิททำให้แม่ทัพใหญ่ขมวดคิ้วเข้าหากันและมองคนพูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

"เลสธีราห์เป็นผู้ชาย..."

"จะผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเจ้ายังใจดีให้เข้าหาง่ายๆอยู่อย่างนี้มันน่ากลัวเหมือนกันนั่นล่ะ"

เอเดรียนพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ "เจ้าก็น่าจะรู้จากบุคลิกของเขา เลสไม่มีอะไรเหมือนเวห์เซีย"

"เอเดรียน..." โจฮาลเรียกเหนื่อยใจ "ข้าไม่ได้ห้ามปรามอะไรเจ้า แต่ข้าแค่อยากจะเตือน เวห์เซียก็เข้าหาเจ้าในเวลาอันรวดเร็วไม่ใช่หรือ แล้วก็ได้รับความไว้ใจจากเจ้าในเวลาสั้นๆไม่ใช่หรือ เพราะเจ้าเป็นคนอ่อนโยนอย่างนี้ถึงได้ถูกหักหลังเอาไม่ใช่หรือไง"

เอเดรียนยอมรับว่าสิ่งที่โจฮาลพูดนั้นเป็นความจริง "หากข้าไม่ใช่แม่ทัพ... คงจะดีกว่านี้"

ก่อนที่โจฮาลจะพูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าของฝูงสัตว์ก็ทำให้ทั้งหมดเงียบฟังด้วยความตื่นเต้นระคนระวังตัว ดูเหมือนว่าฝูงกวางเอลก์ขนาดใหญ่จะมาถึงแม่น้ำธีนาแล้ว พวกมันกรูกันเข้ามาแย่งที่ดื่มน้ำ บ้างก็ลงไปแหวกว่ายในกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรง "เราเล็งตัวที่ลงเล่นน้ำดีกว่า ขว้างหอกจากฝั่งนี้อย่างไรก็ไปถึงตัวพวกที่อยู่ริมน้ำยาก ขอแค่ทำให้พวกมันเสียการทรงตัวได้ เอลก์ก็จะไหลไปตามกระแสน้ำ ขอแค่ดักร่างของมันให้ทัน" หัวหน้าพรานให้คำแนะนำ "ไปตามกระแสน้ำนี้มีต้นไม้ล้มขวางอยู่ เราควรไปดักที่ตรงนั้น"

"เลสธีราห์... เจ้าเป็นคนเลือกเหยื่อ" เอเดรียนออกคำสั่ง "ข้าจะให้โจฮาลล์กับจาเร็ตต์แล้วก็พรานอีกสี่คนไปดักเหยื่อที่ไม้ล้มขวางแม่น้ำนั่น เจ้ายิงตัวที่ล้มยากที่สุดสามตัวให้มันไหลไปตามน้ำ แล้วที่เหลือก็แค่ให้มันบาดเจ็บ ข้ากับพรานที่เหลือจะข้ามไปจัดการพวกมัน"

"เจ้าเห็นข้าขึ้นสายเร็วกว่ากวางวิ่งหรือไร!"

ถึงจะประท้วง แต่เอเดรียนก็ตบบ่าร่างโปร่งและดึงให้อัลธอร์วิ่งไปที่ไม้ล้มขนาดยักษ์ที่กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ แม้ว่าสุดทางจะมีช่องว่างอยู่บ้างก็ตามที เลสธีราห์ส่ายหัวกับตัวเองและลงจากอานเพื่อขยับเข้าไปใกล้ฝูงสัตว์มากยิ่งขึ้น ลูเซียที่รู้งานยืนอยู่เฉยๆเพื้อไม่ให้เกิดเสียงเคลื่อนไหว

นัยน์ตาสีฟ้าครามเเหลือบมองเอเดรียนที่ปีนขึ้นไปบนซากไม้อย่างทุลักทุเลและไม่แน่ใจว่าอัลธอร์จะสามารถกระโดดข้ามช่องว่างระหว่างยอดไม้กับอีกฝั่งแม่น้ำได้หรือไม่ ร่างโปร่งจับสายธนูของตนดึงเล็กน้อยขณะมอง และทันใดนั้นน้ำที่อยู่เบื้องใต้ก็เคลื่อนไหลลดอย่างรวดเร็วจนซากไม้เอนลงใกล้ฝั่ง เอเดรียนรีบพาอัลธอร์กระโจนลงไปอย่างคล่องแคล่ว แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

"หึ... มนุษย์เอย" เลสธีราห์ลอบยิ้ม แล้วลูบคันธนูแอควาเรียร์ของตนเบาๆ

เมื่อพวกบนหลังม้าทยอยข้ามฝั่งไปแล้ว เซนทอร์ก็เริ่มมองหาเหยื่อขนาดพอเหมาะที่ไม่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไป พวกเอลก์ยังลงเล่นน้ำสนุกสนานขณะที่เอเดรียนเริ่มสั่งกระจายกำลังล้อมรอบฝูงสัตว์ ขนาดตัวของพวกมันเทียบเท่าหรือใหญ่กว่าม้าศึกขอพวกเขาด้วยซ้ำ และเขายาวใหญ่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นการออกล่าครั้งนี้จึงต้องอาศัยความแม่นยำและความชำนาญอย่างยิ่งทีเดียว

เลสธีราห์ได้สัญญาณจากแม่ทัพใหญ่ เขาหยิบลูกดอกมาขึ้นสายและค่อยๆง้างมันออก

นัยน์ตาสีฟ้าครามเพ่งไปที่ตัวผู้หนึ่งที่เดินลงมาถึงกลางแม่น้ำโดยไม่กลัวเกรง

การจะยิงสัตว์พวกนี้ให้ถึงตายในครั้งเดียว เลสธีราห์จะต้องเล็งที่ลำคอหนาที่เต็มไปดัวยเส้นเลือด เส้นประสาท และมัดกล้าม เซนทอร์หนุ่มง้างธนูขึ้นสุดแขนและเพ่งที่จุดหมายอย่างแน่วแน่

...ผึง!!

อาวุธพุ่งออกจากสายอย่างรวดเร็วและแหวกอากาศไปถึงตัวเหยื่อในอึดใจ และเสียงร้องสั้นๆด้วยความเจ็บปวดก็ทำให้ฝูงสัตว์ตื่นตระหนก กวางที่เหลือวิ่งขึ้นจากน้ำ จังหวะเดียวกันที่เลสธีราห์ขึ้นสายเพื่อยิงให้ได้อีกสักตัว

"ไป!" แม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งกับกลุ่มพราน พวกเขากระจายกำลังออก และเริ่มพุ่งคมอาวุธใส่เป้าหมาย เอเดรียนชักดาบคู่ใจของตนออกมาบ้าง เขามุ่งฟันท่อนขาที่วิ่งห้อสุดแรงเพื่อเอาชีวิตรอด เสียงร้องของฝูงสัตว์ดังระงมไปทั่วบริเวณ

"อ้าก!!!"

ฝูงสัตว์ตื่นตกใจวิ่งชนทุกสิ่งที่กีดขวางและเหยียบกระทืบซ้ำไม่สนใจ พรานหนุ่มเคราะห์ร้ายล้มลงพร้อมกับม้าของตนและหายไปใต้ฝีเท้าระรัว อัลธอร์วิ่งตีคู่ไปกับเอลก์เพศเมียขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ม้าศึกเร่งฝีเท้าเพื่อให้เจ้านายของตนฟาดฟันดาบไปที่ช่วงขาทรงพลังนั้น แต่จังหวะที่เอเดรียนเงื้อดาบขึ้นสุดแขนนั่นเอง... ลมกราดเกรี้ยวก็พุ่งเข้าปะทะร่างจนอัลธอร์ยังเซถลา

"เอเดรียน!!" จาเร็ตต์ตะโกนเรียก "พวกไอย์ชวล!"

...

สิ่งที่พัดผ่านแม่ทัพใหญ่ไปคือปีกมหึมาของม้าศึกขนาดยักษ์ที่มาพร้อมกับคนขี่บนหลังของมัน

"ถอย! ถอยออกมา!!!"

อัลธอร์เบี่ยงวิ่งออกจากฝูงสัตว์และกลับไปที่แม่น้ำใหญ่ แต่แล้วอาชาร่างยักษ์ก็ร่อนลงตัดหน้าพร้อมกับสะบัดปีกใส่จนขนนกร่วงหล่นออกมาหลายเส้น "ขยันกันแต่เข้าเลยเชียว พวกมนุษย์นี่" นัยน์ตาสีดำของผู้ควบขี่หันมองแม่ทัพใหญ่ ร่างกายกำยำแน่นไปด้วยมัดกล้ามหันมาเผชิญหน้าพร้อมกับธนูคันโตในมือ

"วันนี้ก็เป็นวันที่ข้าขยันผิดปกติเหมือนกัน"

พวกภูตบนหลังม้าพุ่งออกมาจากชายป่าและเผชิญหน้ากับคณะพรานจากอาเดรีย เอเดรียนรู้จักผู้นำทัพปราการของไอย์ชวลดี เขาเป็นหัวหน้าคณะนักล่าที่มีชื่อเสียงที่สุดของภูต และขึ้นชื่อว่ามีความชำนาญการในการล่าสัตว์มากที่สุด "...คูแรนน์"

การที่เอเดรียนมีชีวิตรอดอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะคูแรนน์ไว้ชีวิตเขา

"เอเดรียน... แม่ทัพแห่งอาเดรีย" คูแรนน์ดึงม้าของตนมาประจันหน้าตรงๆ อัลธอร์เหยาะย่างเท้าอยู่กับที่ขณะประสานสายตากับม้าศึกร่างยักษ์ตรงหน้า การเคลื่อนไหวของทุกคนหยุดชะงักทั้งภูตจากไอย์ชวลและมนุษย์จากอาเดรีย พวกเขามองผู้นำของตนด้วยหัวใจที่แทบจะหยุดเต้น "เจ้าล่วงเข้ามาในเขตแดนของแอสทารอธ นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่..."

"เจ้าเองก็ล่วงเข้ามาในเขตแดนของแอสทารอธ" เอเดรียนยอกย้อน

คูแรนน์แค่นหัวเราะสั้นกับประโยคนั้น และตบคอม้าคู่ใจของตนทีหนึ่ง "ฟังซิ ไคลเดสเดล พวกมนุษย์ที่ทำผิดแต่กลับไม่ยอมรับ ซ้ำยังพยายามหาคนร่วมกระทำผิดอีกด้วย" นัยน์ตาสีดำมองคู่สนทนานิ่ง "ข้าเป็นตัวแทนจากไอย์ชวล มุ่งหน้าไปยังมารินาหลังจากได้รับคำอนุญาตจากเหนือหัวให้สามารถติดต่อค้าขายกับพวกเอลฟ์ได้"

เอเดรียนพยายามจะดึงให้อัลธอร์ก้าวถอย แต่ไคลเดสเดลก็รุกเข้าหาอย่างรู้ทัน แม่ทัพใหญ่รู้ดีกว่าเพียงแค่พละกำลังของม้าสองตัว เขาก็ไม่อาจเอาชนะได้แล้ว และเขาก็ไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตของม้าคู่ใจด้วย ไคลเดสเดลของคูแรนน์มีขนาดใหญ่เกินไป ทั้งโครงสร้าง และพละกำลัง เพียงกระแทกแค่ครั้วเดียว อัลธอร์อาจจะซี่โครงหักและถึงชีวิตได้

ผู้นำกลุ่มพรานของไอย์ชวลมองความสงบนิ่งของคนตรงหน้าดัวยความสนุกลึกๆ

"สุขุมอย่างที่เขาว่า... แต่โทษทีที่ข้าไม่ชอบความเงียบนานๆ"

อึดใจที่ไคลเดสเดลขยับปีกใหญ่ เอเดรียนก็ชิงชักม้าวิ่งเบี่ยงออกมาให้พ้นช่วงแขนของคูแรนน์ "ถอย!!!" พวกเขาไม่มีสิทธิ์จะต่อสู้กับเจ้าของอาณาเขตหรือผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอย่างถูกต้อง ดังนั้นการถอยกลับจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด คณะพรานของอาเดรียรับคำสั่งนั้นด้วยการบังคับม้าให้หันกลับไปยังแม่น้ำ แต่ในระยะทางที่ต้องล่าถอยนั้นก็จำต้องมีการปะทะอย่างช่วยไม่ได้

...เคร้ง!

เสียงดาบสองเล่มประสานกันรุนแรงจนฝูงนกแตกฮือจากพุ่มไม้ อัลธอร์พยายามก้มตัวลงขณะผู้ควบขี่บ่ายเบี่ยงวิถีดาบของศัตรูออกสุดแรง "นี่รึ แม่ทัพแห่งอาเดรีย!!" ไคลเดสเดลยกสองขาหน้าขึ้นตะกายอากาศและกระทืบลงดินด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะออกวิ่งไล่ผู้รุกรานที่พยายามจะถอยหนีกลับไปในเขตตน

เอเดรียนไม่ตอบคำปรามาส เพราะเขารู้ดีว่าตนอยู่ในสถานะอะไร

ในวันนี้เขารุกรานแอสทารอธ และไม่มีเหตุผลใดจะกล่าวอ้างให้เห็นใจ อีกทั้งการปะทะกับคนอย่างคูแรนน์ก็ไม่ใช่หนทางที่ฉลาด พวกเขาอาจต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด แต่เอเดรียนก็พยายามภาวนาไม่ให้มีภูตถูกฆ่า เพราะไม่อย่างนั้นอาเดรียอาจจะต้องรับศึกหนักจากไอย์ชวลด้วย

ด้วยความที่มีขนาดใหญ่กว่าและน้ำหนักมากกว่า ฝีเท้าของไคลเดสเดลจึงเทียบอัลธอร์ไม่ได้ แต่นายของมันก็เปลี่ยนมือจากดาบเป็นหอกเล่มยาวแทน

...ฉึก!

ภูตหนุ่มไม่เจตนาจะเอาชีวิต ดังนั้นหอกเล่มยาวจึงพุ่งลงปักพื้นข้างตัวอัลธอร์แทน และนั่นก็ทำให้ม้าศึกตื่นตระหนกและเสียความเร็วในการวิ่ง

...พลั่ก!!

จังหวะนั้นเองที่ไคลเดสเดลไล่ถึง มันทุ่มน้ำหนักกระแทกม้าศึกข้างเคียง และนั่นก็ทำให้ม้าตัวเล็กกว่าเสียหลักล้มพร้อมกับเหวี่ยงคนขี่ตกจากหลังด้วย "เอเเรียน!!" เลสธีราห์ตะโดนเรียก ร่างของแม่ทัพหนุ่มร่วงลงกระแทกพื้นและไถลออกไปอีกตามแรง ชายหนุ่มรีบวิ่งขึ้นไปที่ซากไม้เพื่อไปช่วยสหายของตน ขณะที่ม้าตัวอื่นของอาเดรียกำลังกรูกันกลับมา

โจฮาลหันกลับเมื่อได้ยินเสียงอัลธอร์ร้อง เขาพุ่งเข้าไปขวางระหว่างคูแรนน์กับเอเดรีย และยกขวานในมือขึ้นข่มขู่ ผู้นำทางของอาเดรียอาจมีขนาดตัวไม่ต่างจากผู้นำคณะพรานของไอย์ชวลมากนัก แต่ด้วยขนาดของม้า ทำให้โจฮาลคิดว่าตนดูตัวเล็กไปถนัดตา ไคลเดสเดลยังคงกางปีกออกกว้าและย่างเดินเข้าหาศัตรูเชื่องช้าเอาเรื่อง

"ถอยรึ... ช่างเป็นแม่ทัพที่ไม่มีศักดิ์ศรี"

โจฮาลตั้งท่าพร้อม และภาวนาให้เอเดรียนลุกขึ้น "ศักดิ์ศรีของแม่ทัพข้า ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งสิ้น"

...โครม!!

ไคลเดสเดลกระะทืบเท้าอีกครั้งและพุ่งเข้าโถมใส่คู่ต่อสู้ คูแรนน์เหวี่ยงดาบลงฟาดประสานกับขวานใหญ่และกันศัตรูออกไปด้วยพละกำลังทั้งหมด จังหวะเดียวกับที่ภูตอีกตนพุ่งเข้ามาใช้ดาบจ่อโจฮาลเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหนอีก

เอเดรียนยังเจ็บจนลุกไม่ขึ้นถึงตอนนี้... ขณะที่คูแรนน์ก้าวเข้าไปใกล้ทุกที

"เอเดรียน ลุกสิ..." เลสธีราห์อยู่อีกฝั่งฟากแม่น้ำ และกำหมัดโดยไม่สนใจสายตาของภูตตนอื่นที่มองตนอยู่ด้วยความสนใจ เพราะทั้งรูปร่างและการแต่งตัวของเลสธีราห์นั้นดูไม่เหมือนมนุษย์เอาเสียเลย

คูแรนน์ไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเอเดรียน... แต่เขาก็คงปล่อยฝ่ายนั้นกลับไปไม่ได้เช่นกัน

แต่ภูตหนุ่มแค่ไม่พอใจการกระทำที่ไม่มีศักดิ์ศรีของมนุษย์ตรงหน้า

"ความเป็นผู้นำของเจ้าไปไหนเสียหมด แม่ทัพใหญ่" เสียงทุ้มถามเรียบ "แม่ทัพไม่ใช่สักแต่รับคำสั่งผู้นำที่ไม่ได้เรื่อง แต่แม่ทัพมีหน้าที่ต้องประคองบ้านเมืองให้อยู่รอด" แต่ก่อนที่ปลายดาบยาวจะแตะกับคอของคู่สนทนา เอเดรียนก็หยัดตัวขึ้นยืนและเงื้อดาบขึ้นพร้อม "แม่ทัพไม่จำเป็นต้องกู้หน้าให้ผู้นำที่นำพาความเดือดร้อนมาให้ประชาชนของตัวเอง"

"เจ้าจะไปเข้าใจอะไร คูแรนน์"

นัยน์ตาสีเข้มมองประสานกันดุดัน คูแรนน์กระชับดาบในมือมั่น และตั้งใจว่าจะลองประมือด้วยสักครั้ง "ความสุขุมของเจ้ามันน่าโมโหชะมัด" เอเดรียนกลั้นใจเล็กน้อย หัวใจของเขาบีบเกร็งด้วยความรู้สึกกลัวขึ้นมาชั่วขณะ คูแรนน์เป็นนักรบแถวหน้าของไอย์ชวล และขึ้นชื่อว่าเลือดเย็นที่สุดในบรรดาผู้นำสี่เหล่าทัพ... และการกระทำของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

การถูกเหวี่ยงตกจากหลังม้าครั้งนี้ทำให้เอเดรียนรู้สึกมึนชาไปครึ่งซีก และเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถสู้กับคนที่อยู่บนม้าตัวโตขนาดนั้นได้หรือไม่ "เจ้าไม่ใช่ชาวอาเดรีย... เจ้าไม่มีวันเข้าใจ" คูแรนน์กระตุกบังเหียน และพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ เออเดรียนได้ยินเสียงหวีดลม เขายกอาวุธในมือตนขึ้นรับแม้จะรู้ว่าอาจไม่สามารถทัดทานได้

...เคร้ง!!!

เสียงปะทะนั้นดังใกล้หู แต่กลับไม่มีแรงกระแทกใดๆส่งผ่านมาถึงตัวเขา กลับเป็นคูแรนน์เองที่เสียหลัก "เลสธีราห์!!" ทั้งที่เตรียมใจไว้อย่างนั้น แต่เมื่อเอเดรียนดึงตัวเองกลับมาเขาก็พบว่าร่างโปร่งของตนใช้คันธนูรับคมดาบเอาไว้ และเหวี่ยงกลับอย่างกราดเกรี้ยว

"ย้าก!!"

ฝ่ายนั้นผงาดร่างขึ้นเหนือไคลเดสเดลและฟาดคันธนูเข้าใส่ม้าศึกจนอาชาร่างยักษ์ต้องวิ่งถอย... ชายชุดหนังสีดำพลิ้วไหวสะบัดตามแรงปะทะ และร่างกายช่วงล่างที่กลับคืนเป็นอาชาก็ยกขาสองข้างขึ้นตะกุยอากาศอย่างดุร้าย

ไคลเดสเดลยขาขึ้นสู้... แต่กลับไม่อาจทานแรงของเซนทอร์ได้

เช่นเดียวกับคูแรนน์ที่เหวี่ยงดาบเข้าใส่ แต่ก็ถูกกันออกไป

เซนทอร์สีขาวทองปราดร่างผ่านผู้นำพรานไอย์ชวลไป และยกขาหลังขึ้นกระแทกกีบเท้าใส่สีข้างม้าศึกจนเสียหลัก ไคลเดสเดลกางปีกพยุงตัว แต่ก็ล้มคว่ำลงกับพื้นไม่เป็นท่า คูแรนน์ถูกเหวี่ยงตกจากหลังม้าตาม แต่เขาก็แข็งแรงพอที่จะหยัดตัวขึ้นทันทีเพื่อตั้งรับการโจมตีของเซนทอร์

มือใหญ่คว้าคันธนูคู่ใจมาขึ้นสายโดยปราศจากลูกดอก ทันใดนั้นสายลมรอบตัวก็แปรเปลี่ยนทิศทางมารวมกันเป็นอาวุธในมือของผู้นำพรานแห่งไอย์ชวล เช่นเดียวกับเลสธีราห์ที่ง้างธนูของตนด้วยความเร็วไม่แพ้กัน และนั่นก็ทำให้น้ำในแม่น้ำต้องกลับทิศ ผงาดขึ้นสูงในอากาศและพร้อมที่จะโถมเข้าใส่คู่ต่อสู้

"ธนูลมอัลซาโตเกียร์..." เซนทอร์หนุ่มมุ่นคิ้ว "คูแรนน์!"

คนที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกันดีจรดยิ้มเหยียดที่มุมปากตอบ "ไง... เลสธีราห์ ผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ..."

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


---------- WRITER's TALK ----------

สวัสดีค่ะ ดราม่า(...)
ฮาาา... มีเรื่องดราม่าหลายเรื่องในตอนนี้(?) ทั้งเอเรส แอสทารอธ เลสธีราห์

ขอแจ้งความดราม่าที่สำคัญที่สุดก่อนนะคะ
...ตอนนี้อัพทันที่ลงในอีกเว็บแล้ว ความเร็วในการอัพตอนต่อไปจะช้าลง(พอสมควร) จากที่อัพทุกวัน วันละ 1 ตอน จากนี้จะเป็นอาทิตย์ละ 1 ตอน (หรือ 2 ตอนถ้ามีแรงเขียน) แฮ่ะๆ (แล้วจะต้องมา down speed ช่วงที่เรื่องกำลังดราม่าด้วยนะ << มันใช้แรงเยอะมากอะ ในการเขียนแต่ละฉาก ซับซ้อนเหลือเกิน OTL)

ไม่รู้จะคุยอะไร ฮา... กรี้ดตัวละครได้ไหม 555
อาจจะมีงงบ้าง... ขออธิบายเกี่ยวกับตัวละคร "คูแรนน์" (ที่เรียกอย่างสนิทสนมซะเหลือเกินทั้งเพิ่งมีบทแค่ 2 ฉาก) เน้อะ

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/1382956_568047939917626_938975575_n.jpg?oh=34f43ad4ac66fc7e16dfc269f5db17e4&oe=5897EAC8)

ชื่อเต็มๆของนางคือ คูแรนน์ บลังค์ ค่ะ (เป็นตัวละครจากเรื่อง "REVERSED ปลายศรธนูเพลิง" และมีเมียชื่อเรียฟ)
...เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของเลสธีราห์ แต่ตัวคูแรนน์เป็นครึ่งภูตนะคะ เป็นเผ่านกที่สามารถกางปีกออกมาจากหลังได้ (ตระกูลบลังค์นี่เป็นอะไรกัน ชอบแต่งข้ามพันธุ์ 555) คูแรนน์ใช้ธนูลม ในขณะที่เลสธีราห์ใช้ธนูน้ำ... คุณสมบัติของธนูลม (อัลซาโตเกียร์) คือสามารถดึงลมมาขึ้นสายได้ ถือเป็นธนูระดับเมพที่สุดในตระกูลธนูสี่ธาตุ (แต่เลสธีราห์ก็กลัวที่ไหนล่ะ)
ส่วนไคลเดสเดลเป็นชื่อม้าของคูแรนน์... เป็นม้าพันธุ์ Clydesdale (มีปีก) ตัวสูงใหญ่มาก (คูแรนน์เองก็สูงประมาณ 196 เซน)

พูดถึงม้าก็ต้องบอกหน่อยว่าม้าอัลธอร์ของเอเดรียนเป็นพันธุ์ Alter-Real ค่ะ ตัวเล็กกว่า Clydesdale มากกกกก (รู้สึกเหมือนเป็นสารคดีม้า 555 นี่ถึงขนาดมีสอนเรื่องเกือกร้อนเกือกเย็นด้วย << แค่จะให้ซาฮาลกับรีดาห์ได้จับมือกันเมื่อตอนที่แล้ว...)
.
.
เห็นที่นี่ไม่ค่อยมีแนวแฟนตาซี(อันนี้ดูเป็นทั้งสารคดีม้า สารคดีปลาวาฬ สารพัด...)
แอบแป้วๆใจนิดหน่อย OTL แต่เห็นมีกดเป็ดให้ทุกตอนเลยก็... เอาน่ะ!! มีคนอ่าน!!! สู้ค่าา...

ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ ,;, 3 ,;, ยาวมากเลย
เพิ่งได้กันไปครั้งเดียวแบบเมาๆด้วย //หึ่ยยย

ปล. เพจ >> https://www.facebook.com/khaosapNOVEL/ || ทวิตเตอร์ >> https://twitter.com/KhaosapWriting
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 13 [4-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 04-11-2016 22:41:53
ตามอ่านอยู่ค่ะ ขอบคุณมากที่เอามาลงเล้าเป็ดเพราะแฟนตาซีที่เขียนได้สนุกค่อนข้างหายากสำหรับเรา
ตอนนี้เปิดเผยเรื่องหลายๆอย่าง เลสกลายร่างสู้กับคนในตระกูล ทำไมรู้สึกว่าเท่กว่าพระเอกจมเลย ฮ่าาา
จะอัพแบบอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเราไม่มีปัญหานะคะ(นอกจากจะแอบงอแงคิดถึงบ้างเพราะชอบเรื่องนี้มาก)แต่ว่าถ้าจะหายไปนานๆมาแจ้งข่าวบ้างนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 13 [4-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 05-11-2016 16:45:09
สนุกดีค่ะ แฟนตาซีมาก
ลุ้นบทสรุปหลังเอเดรียนรู้ความจริง ที่เลสยอมคืนร่างม้าเพื่อสู้ในตอนนี้ค่ะ
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
เนื้อหาค่อนข้างเยอะ เดี๋ยวเราคงต้องวนอ่านอีกสัก1-2รอบ 555
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 13 [4-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-11-2016 16:47:29
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 14.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-11-2016 20:36:58
ตอนที่ 14.1

สายน้ำเอื่อยรินในแม่น้ำปั่นป่วนและเปลี่ยนวิถี มันบิดมวนเป็นเกลียวขึ้นเหนือฟ้า ยิ่งมือเรียวตึงสายธนูมากยิ่งเท่าไหร่ มวลน้ำก็ยิ่งผงาดง้ำขึ้นจนบังเกือบแสงอาทิตย์ เอเดรียนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหัวใจที่แทบจะหยุดเต้น เขามองเห็นฝูงปลาที่หมุนวนเวียนว่ายอยู่ในคลื่นน้ำตรงหน้า และมองกลับไปยังร่างโปร่งสูงตระหง่านที่ยืนขวางอยู่ระหว่างเขากับภูตจากไอย์ชวล คูแรนน์เองก็มีสายลมอยู่เบื้องหลัง แต่ไหนเลยจะน่าเกรงขามเท่ากับผู้ที่สามารถยกแม่น้ำขึ้นได้

...นี่คือพลังของแอควาเรียร์ ธนูแหวกสมุทรในตำนาน

และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือ... ผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ

แม่ทัพหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกตนฟ้าผ่า ความรู้สึกมึนงงตื้อชาแล่นไปทั่วร่าง ความสับสน และความตกตะลึงทำให้ร่างสูงขยับตัวไม่ได้ ยิ่งมองเห็นร่างปราดเปรียวของเซนทอร์หนุ่มตรงหน้า เอเดรียนก็ยิ่งคิดอะไรไม่ออก เลสธีราห์ที่เขาชักชวนมาเป็นคนสนิท... คือเซนทอร์ที่แฝงตัวเข้ามาอย่างนั้นหรือ เจ้าเด็กหนีออกจากบ้านที่เขาเรียกนี้ คือผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์เสียเองด้วย

ที่ผ่านมา คนที่อยู่ข้างกายเขาคือคนที่อาจจะเป็นศัตรูของเขาหรือไร...

"เลส..." ไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของแม่ทัพหนุ่ม สิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดในตอนนี้คือการตื่นจากความฝันนี่เสียที เขาจะต้องมองภาพนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ กว่าใครสักคนจะเข้ามาเขย่าตัวเขาและปลุกให้ตื่นนอน

บอกเขาทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง...

...

ดวงตาสีฟ้ายังคงมองสบกับนัยน์ตาสีเข้มของลูกพี่ลูกน้องตัวเอง โดยปราศจากความคิดที่จะลดมือลง เลสธีราห์ยิ่งง้างสายธนูจนตึงทำให้เหล่าภูตบนหลังม้าเริ่มล่าถอยอย่างไม่แน่ใจ และท่ามกลางความเงียบงันสักครู่ใหญ่นั่นเองคูแรนน์ก็เป็นฝ่ายออกปากก่อน

"คิดว่าน้ำจะไวกว่าลมหรือ เลสธีราห์"

ดวงตาสีฟ้าสดฉายแววดุดันตอบ "เราไม่ยิงกันเองหรอก คูแรนน์" โดยไม่ลดมือลง เลสธีราห์กล่าวออกมาเช่นนั้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่คูแรนน์ยอมรับ พวกเขามีสายเลือดตระกูลบลังค์ อันเป็นตระกูลนักเวทศักดิ์สิทธิ์ของชาวเอลฟ์ โลหิตทุกหยดล้วนแล้วแต่มีเวทมนตร์ ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีวันเข่นฆ่ากันเอง ไม่ว่าจะเกลียดชังกันมากแค่ไหนก็ตาม

...คนตระกูลบลังค์จะไม่มีวันลบหลู่คนสายเลือดเดียวกัน

"เด็กเมื่อวานซืน" ภูตหนุ่มสบถสั้น และเป็นฝ่ายลดคันศรในมือลงก่อน ปล่อยให้สายลมที่วนเวียนอยู่รอบตัวค่อยๆจางหายไป คืนสภาพอากาศยามเช้าให้ทุ่งหญ้ากว้างดังเดิม ไคลเดสเดลที่ลุกขึ้นตั้งหลักได้รีบเดินเข้ามาหาเจ้านายพร้อมกับค้อมหัวลงต่ำ ดวงตากลมโตของมันช้อนมองเซนทอร์หนุ่มที่ยังไม่วางมือเป็นเชิงอ้อนวอน

หากม้ามีปีกเป็นม้าชั้นสูงแล้ว... เซนทอร์ก็คือผู้ที่อยู่ในฐานันดรเกือบสูงสุดของเผ่าอาชา

ดังนั้นจึงไม่มีม้าตัวหน้าหาญกล้าต่อกรกับอมนุษย์เผ่านี้

เลสธีราห์รู้สึกตนใจเย็นลงบ้างแล้วหลังจากเห็นญาติผู้พี่เป็นฝ่ายเลิกราก่อน ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยปกติของคูแรนน์ บลังค์... "เพิ่งกลับเข้าตระกูลได้อย่างนั้นรึ จึงได้ลบล้างเวทมนตร์ของอัลซาโตเกียร์ได้" ร่างโปร่งคลายมือออกช้าๆ ปล่อยให้คลื่นน้ำที่ม้วนเกลียวอยู่ด้านหลังไหลกลับลงไปตามทิศทางที่มันเป็นอยู่ "อัลซาโตเกียร์ที่เคยเป็นของท่านหญิงโซเฟียแห่งทัพเวหาไอย์ชวล"

"ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า..."

"เจ้าแอบอ้างสิทธิ์อีกทั้งรุกล้ำเข้ามาในเขตของแอสทารอธ!" เซนทอร์หนุ่มแยกเขี้ยว "แอสทารอธไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเดินทางมาเจรจาค้าขายกับชาวเอลฟ์โดยตรง หากได้รับอนุญาต... เจ้าควรจะมากับพวกขุนนางจากเลาน์เรนไม่ใช่ผู้ติดตามของตนเองแบบนี้!!" เมื่อม่านน้ำตรงหน้าหายไป พรานอาเดรียที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำจึงได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และแน่นอนว่าทุกคนย่อมตกใจกับร่างกายสูงโปร่งของเซนทอร์สีขาวทอง

ดวงตาเรียวยาวของคูแรนน์หรี่ลงมองคู่สนทนา "แล้วคนที่อยู่ข้างหลังเจ้านี่ มันมีค่าพอที่เจ้าจะต้องกระโดดออกมาปกป้องมันหรือไร" หากเป็นเรื่องแทงใจดำใครแล้ว เลสธีราห์เชื่อว่าคูแรนน์คงไม่เป็นรอง เพราะเมื่อได้ยินคำนั้น มือเรียวก็กำคันธนูแน่นอย่างหาคำตอบไม่ได้ "มันมีค่าพอที่เจ้าจะขึ้นศรแอควาเรียร์ใส่ข้ารึ เลสธีราห์!"

คูแรนน์เป็นญาติฝ่ายพี่... และมีอายุมากกว่าเลสธีราห์นับร้อยปี การทำเช่นนี้นับว่าเหิมเกริมนัก

แต่คำว่า 'ใช่' ก็ไม่อาจหลุดออกมาจากปากของเซนทอร์หนุ่มได้อยู่ดี

เขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าใช่เอเดรียนหรือเปล่าที่ทำให้เขายอมสละความลับที่สำคัญที่สุดของตนและพุ่งออกมาเอาตัวขวางไว้เช่นนี้ แต่ก็เพราะเขารู้ว่าคูแรนน์จะไม่ทำอะไรตนแน่จึงได้ออกมาต่อกรด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้น ความชำนาญของอีกฝ่ายก็อาจฆ่าเอเดรียนได้ในการลงดาบเพียงครั้งเดียว

เพียงแค่คิดว่าเอเดรียนอาจจะตาย...

เลสธีราห์ก็อยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เขาแทบไม่หยุดคิดเลยว่าความลับที่ตนรักษาอยู่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเซนทอร์มากแค่ไหน ไม่มีมนุษย์คนใดรู้ว่าพวกครึ่งม้าสามารถแปลงเป็นคนได้ และนั่นก็อำนวยความสะดวกให้สายลับของแอสทารอธหลายคนแฝงตัวเข้าไปอยู่ในอาณาจักรอื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น

เลสธีราห์ไม่ได้หยุดคิดเลยว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำคือการสร้างกำแพงอุปสรรคให้กับแอสทารอธ

เพราะในใจของเขา มีเพียงความคิดที่จะปกป้องเอเดรียน... เท่านั้น

คูแรนน์ยอมล่าถอดด้วยเห็นว่าเซนทอร์ตรงหน้าก็คงไม่ลดราวาศอก ร่างสูงปีนขึ้นหลังของไคลเดสเดล และดึงม้าถอยห่างออกไปด้วยอับจนคำพูด พวกไอย์ชวลบุกรุกทุ่งหญ้าแห่งนี้จริง แต่ก็ไม่นึกฝันเลยว่าเจ้าถิ่นตัวจริงจะมาพบเข้าแบบนี้ "ถ้าเจ้าเลือกข้างแล้ว ก็ยืนหยัดให้มั่นเสียล่ะ" เสียงทุ้มบอก ก่อนที่ผู้ควบขี่จะดึงม้าหันกลับ

"เพราะพวกมนุษย์... มันเปลี่ยนข้างได้ตลอดเวลา"

พวกภูตล่าถอยออกไป... แต่ยังไม่ทันที่เลสธีราห์จะถอนใจให้โล่งอก เขาก็ได้ยินเสียงเอเดรียนขยับตัว ร่างโปร่งหันกลับไปมองฝ่ายนั้น และพบว่าแม่ทัพใหญ่พยายามจะถอยห่างจากตนด้วยแววตาที่อ่านความรู้สึกไม่ได้

...อย่ามองข้าแบบนั้นได้ไหม เอเดรียน

เซนทอร์หนุ่มรีบคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ดังเดิม เพื่อที่จะได้เงยมองคู่สนทนาอย่างที่ตนเคยทำ ไม่ใช่ก้มลงพิจารณาด้วยส่วนสูงของเซนทอร์ แต่เอเดรียนกลับยิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ และโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ "เอเดรียน..." เสียงที่เปล่งออกมานั้นแผ่วเบาจนแทบจะมีเพียงลมหายใจ ความหวั่นเกรงที่ปรากฎอยู่ในแววตาสีเข้มตรงหน้าเขาคืออะไรอย่างนั้นหรือ "ข้า..." เลสธีราห์ไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขาควรจะแก้ตัว ควรจะอธิบาย หรือควรจะถามถึงอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย

เขายังมีสิทธิ์เป็นห่วงเอเดรียนอยู่อีกไหม...ในเมื่อทั้งหมดที่ผ่านมาก็คือการหลอกลวงอีกฝ่ายทั้งนั้น

...เขามีสิทธิ์ไถ่ถามอยู่หรือเปล่าว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง

"เจ้าเป็นเซนทอร์จริงหรือ" แม่ทัพใหญ่เป็นฝ่ายพูดก่อนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และเมื่อคู่สนทนาพยักหน้ารับ แม่ทัพหนุ่มก็กลั้นใจถามต่อ "และเป็นผู้บัญชาการเซเลสต์จริงใช่ไหม" เลสธีราห์หลับตาลงและพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบที่แล่นเข้ามาในอก

เอเดรียนมีท่าทางผิดหวัง... ผิดหวังที่มอบหมายความไว้ใจให้เขา และเชื่อในสิ่งที่เขาพูด

เจ้าบอกข้าได้ทุกเรื่องจริงๆนะ... เลสธีราห์

คำพูดของแม่ทัพใหญ่ยังดังก้องอยู่ในหัว เช่นเดียวกับความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนหลังจากอีกฝ่ายแนบริมฝีปากจูบหน้าผากมน ความหวังดีของอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมายังตัวเขายิ่งทำให้รู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก ราวกับว่าตนเป็นผู้บดขยี้ความรู้สึกดีๆเหล่านั้นให้แหลกคามือตัวเอง

ยังมีอะไรที่ข้าให้เจ้าไม่ได้อีกหรือ...

"เอเดรียน..." นัยน์ตาสีฟ้าช้อนขึ้นมองคนตรงหน้า เขาพยายามจะจับท่อนแขนกำยำของอีกฝ่ายเป็นการเหนี่ยวรั้ง แต่เอเดรียนก็เบี่ยงตัวหลบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "ข้า..." เขาแก้ตัวไม่ออก เขาพูดไม่ได้ เลสธีราห์ทำได้เพียงอ้าปากอยู่อย่างนั้นแต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมา เขาอยากให้เอเดรียนเข้าใจ และไม่ต้องการให้อีกฝ่ายออกปากไล่ให้เขาไปไหน แม้ว่าจะไม่สามารถทำภารกิจนี้ได้อีกแล้ว แต่เลสธีราห์ก็ยังอยากอธิบายเพื่อไม่ให้คู่สนทนาผลักไสไล่ส่งเขากลับไปแอสทารอธ

แต่คงไม่มีคำใดที่น่าฟังหลุดออกจากปากของเขาเลย

...จุดประสงค์ของเลสธีราห์คือการสืบหาความลับของอาเดรีย โดยใช้ความเชื่อใจที่เอเดรียนมีให้

ที่เขาเฝ้าถามหาความไว้ใจจากฝ่ายนั้น ก็เพื่อจะได้ถามความลับของอาเดรีย

นี่คือสิ่งที่เขาควรจะพูดอย่างนั้นหรือ เขาควรจะขอให้เอเดรียนอภัยให้กับเหตุผลที่แสนจะเห็นแก่ตัวนั่นหรือไร ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เข้าหาอีกฝ่ายเพื่อหาประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นการอธิบายสิ่งใดก็ไม่อาจช่วยทำให้ความรู้สึกของอีกฝ่ายดีขึ้นได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็หลอกลวงเอเดรียนอยู่ดี

หัวใจของเลสธีราห์บัดนี้รู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น สายตาของเอเดรียนที่เคยมองเขาด้วยความเอ็นดู และอ่อนโยน บัดนี้มันกลับกลายเป็นความคลางแคลง พรั่งพรึง และไม่ไว้วางใจ ระยะห่างระหว่างกายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยเมื่อแม่ทัพใหญ่เลือกจะถอยเท้าหนีจากคนตรงหน้า ...มันกลับไม่กว้างเท่าระยะห่างทางใจที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรกันได้อีก

"เอเดรียน..."

ร่างโปร่งเรียกซ้ำ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้พูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างแน่วแน่ ในใจของเขาตอนนี้สับสน ระส่ำระส่าย ไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้อีก ทั้งที่อยากจะถามเหลือเกินว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บบ้างหรือไม่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไหร่เทียบกับเรื่องที่เขาจะต้องอธิบายว่าเหตุใดจึงปกปิดตัวตนเอาไว้ "ข้า..." คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดลงอย่างอับจน

"ข้าขอโทษ..."

...การหันหลังให้กับใครสักคนมันเจ็บปวดขนาดนี้เชียวหรือ

...ควับ!

ความรู้สึกอึดอัดมลายหายไปในทันทีเมื่อตาข่ายเชือกขนาดใหญ่ถูกโยนมาครอบร่างที่ยืนนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว เลสธีราห์ยกมือขึ้นจับสิ่งแปลกปลอมตรงหน้าเพื่อสลัดมันออก กลุ่มพรานที่เมื่อครู่ยังอยู่อีกฟากแม่น้ำบัดนี้ข้ามกลับมาเกือบทั้งหมด และโยนตาข่ายดักสัตว์ใส่เซนทอร์ในร่างมนุษย์หมายจะจับครึ่งม้าที่ยังมีชีวิตอยู่นี้กลับไป

"ดึงตาข่ายไว้! หยิบเชือกมา! อ้อมไปอีกข้าง!!"

ร่างโปร่งเบิกตาความตระหนก เมื่อสถานการ์ดูจะเลวร้าย เขาจึงคืนร่างกลับเป็นครึ่งอาชา เรี่ยวแรงมหาศาลสะบัดตาข่ายหลุดออก และเริ่มออกวิ่งตรงไปยังป่า แต่ไหนเลยจะทันบ่วงเชือกที่ถูกโยนเข้ามาคล้องร่างของไว้ "อั่ก!" เอวคอดถูกพันธนาการไว้ด้วยเรี่ยวแรงของคนสองคนและเชือกสองเส้น จนร่างโปร่งเสียหลักเซลงล้มไม่เป็นท่า

พลั่ก...!

ในความคิดของเลสธีราห์แล้ว... ร่างเซนทอร์ล้มเจ็บยิ่งกว่าการตกม้า และนอกจากสีข้างจะกระแทกกับพื้นอย่างแรงแล้ว ข้อเท้าทั้งสี่ข้างก็ถูกพันธนาการด้วยเชือกอย่างรวดเร็ว "โอ้ย!" ท่อนขากำยำขยับดิ้นอยู่สักพักอย่างหมดหนทาง แต่ก็ถูกเชือกตรึงเอาไว้จนแทบขยับไม่ได้ การจับม้าป่าต้องทำให้ม้ายอมสยบอย่างไร พวกพรานก็ทำเช่นนั้นกับเซนทอร์ด้วย และการดึงให้ขาพันกันจนลุกไม่ขึ้นก็ทำให้เลสธีราห์รู้สึกเจ็บจนไม่อาจลุกขึ้นสู้

...และนั่นก็ทำให้คำพูดของคูแรนน์เมื่อครู่กลับเข้ามาในหัว

ถ้าเจ้าเลือกข้างแล้ว ก็ยืนหยัดให้มั่นเสียล่ะ เพราะพวกมนุษย์... มันเปลี่ยนข้างได้ตลอดเวลา

--------------------------------------------------

ผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์นิ่งไปพักใหญ่หลังจากฟังข้อเสนอของผู้นำแห่งอาเดรีย เพราะข้อเสนอนั้นดูจะเป็นภาระที่ต้องรับผิดชอบเสียมากกว่า แม้ว่าสิ่งตอบแทนมันจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอดก็ตาม "ในที่สุด... แม้แต่ผู้นำสูงสุดของอาณาจักรก็ต้องมาพึ่งโจรสลัดชั้นต่ำ" เอเรสแค่นหัวเราะ "แต่แม้ว่าสิ่งตอบแทนจะน่าสนใจสักเพียงใด แต่ท่านไม่คิดว่านั่นเป็นการโยนภาระให้ผู้อื่นหรือ"

"ท่านเป็นบุตรของผู้นำคนก่อนก็จริงแต่ท่านก็ไม่ได้มีความเป็นผู้นำเอาเสียเลยนะ"

เมื่อถูกแทงใจดำ ท่านชายซินญอร์ก็ได้แต่มุ่นคิ้ว แต่เพราะรู้ตัวว่าเป็นรองอีกฝ่ายจึงได้ยอมสงบนิ่ง "แม้ว่าจะเป็นการผลักภาระอย่างขลาดเขลาเบาปัญญา แต่อย่างน้อยก็ยังฉลาดพอที่จะรู้ว่าอำนาจการปกครองควรตกอยู่ในมือใครสินะ" ผู้นำโจรสลัดยิ้มเยาะอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งในห้องรับแขกของในคฤหาสน์ฟลินทรัสต์ และเดินไปยังหน้าต่างที่สามารถมองเห็นท่าเรือทิศใต้ได้ทั้งหมด และมันคือย่านที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของตระกูลฟลินทรัสต์ซึ่งในตอนนี้ปกครองโดยชายที่ชื่อเอเรส

"แม่ทัพของท่านปกป้องความผิดพลาดของท่านด้วยการเสี่ยงต่อรองในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุด แล้วก็มีชัยเสียด้วย" เอเรสหันกลับมามองผู้นำอาณาจักรอีกครั้งก่อนจะถามซ้ำ "แล้วท่านแน่ใจหรือว่าต้องการทำร้ายเขาแบบนี้น่ะ"

"จิตใจของเอเดรียนเป็นอย่างไร เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี แม้ว่าเขาจะมีความภักดีและเสียสละแค่ไหน แต่ความอ่อนแอนั้นก็เป็นอุปสรรค" ซินญอร์เหลือบตาขึ้นมองคู่สนทนา "และเจ้าเป็นคนเดียวที่ช่วยเหลือข้าได้ ทั้งความสามารถของเจ้า ฐานะของเจ้า และความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขา"

"จึงเสนอให้ข้าเป็นแม่ทัพแทนเขา..." เอเรสกลอกตา "ถ้าเอเดรียนโมโหฆ่าข้าทิ้งขึ้นมาล่ะก็นะ"

"เอเดรียนไม่ฆ่าเจ้าหรอก"

เอเรสหันมามองคู่สนทนาและยกมือที่สั่นเทาด้วยโทสะขึ้นชี้หน้าอย่างไม่รักษากิริยา "อย่า... ทำเป็นรู้ดีเรื่องของข้า... เกือบสามสิบปีมานี้... ข้ารู้ดีว่าจิตใจของเอเดรียนทำด้วยอะไร..." ร่างสูงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเอง "จะว่าท่านขลาดเขลาก็คงจะไม่เหมาะ เช่นนั้นข้าขอถอนคำพูดนั้น... ท่านมันช่างแยบยลและร้ายกาจ"

"เอเรส ฟลินทรัสต์... นี่เป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะขอจากเจ้า"

"..."

ผู้นำอาณาจักรลุกขึ้นยื่น แล้วจึงก้มหัวให้กับคนตรงหน้าอย่างที่ผู้นำอาณาจักรไม่เคยปฏิบัติกับใครมาก่อน "รับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรอาเดรีย" ซินญอร์หลับตาลง "แลกกับการลบล้างความผิดและโทษทัณฑ์ทั้งหมดของกองเรือโจรสลัดแห่งทะเลเทเทส"

--------------------------------------------------

ความกดดันทั้งหมดของธีสธรัลพุ่งเป้าไปที่ราชินีองค์ใหม่

เนื่องจากพวกเขาค้าขายกับอาเดรียมาเป็นเวลานาน และอาจเรียกได้ว่าอาเดรียเป็นประตูเพียงบานเดียวที่เคยเปิดรับพวกเขาให้เดินทางกลับแผ่นดินใหญ่ การปิดท่าเรือจึงส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนทั้งหมดในระยะยาว และต่อให้ทางการจะหันไปพึ่งพาแผ่นดินตะวันออกด้วยการส่งเรือออกไปยังติดต่อค้าขายกับชาวเอลฟ์เป็นการชั่วคราว แต่นั่นก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

แผ่นดินตะวันออกของชาวเอลฟ์ถูกเรียกว่าเป็นดินแดนที่มีแต่ความเจริญ แต่ชาวเอลฟ์ส่วนใหญ่ก็ยังประสบปัญหาเกี่ยวกับเสบียงอาหาร แผ่นดินตะวันออกมีความอุดมสมบูรณ์ไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของมหาทวีปตะวันตก ดังนั้นชาวเอลฟ์ต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องเดินทางกลับมาพึ่งพายังแผ่นดินใหญ่

อาเดรียยังผูกมิตรอยู่กับชาวเอลฟ์ แต่กับมนุษย์จากธีสธรัล ขอเพียงมีเรือสักลำแล่นเข้าใกล้ ปืนใหญ่ที่อยู่บนปราการทั้งสามชั้นก็เตรียมพร้อมที่จะจมเรือลำนั้นลงทะเล ไม่ว่านั่นจะเป็นเรือพาณิชย์หรือเรือรบก็ตาม แต่อย่างน้อยก็มีเรือของธีสธรัลลำหนึ่งที่อาเดรียยอมให้แล่นผ่านเข้ามาในน่านน้ำของตนได้

...เรือรบหลวงคาร์เธียร์

เพราะนั่นหมายความว่าราชินีแห่งธีสธรัลเดินทางมายังอาเดรียเพื่อขอเจรจาด้วยตนเองแล้ว

"พวกเอลฟ์อัสคาห์เองก็ไม่ได้มีเสบียงอาหารเหลือมากมายพอที่จะขายให้เรา" ราชินีสาวถอนใจเมื่อมองสารตอบกลับจากแผ่นดินตะวันออกในมือของตน "ก็คงจะเหลือทางเดียวที่พอจะเยียวยาความเดือดร้อนให้กับชาวเมืองได้" เลขาคนสนิทของพระนางยืนอยู่ใกล้ๆ ราชินีแห่งธีสธรัลกำลังหารืออยู่กับกัปตันเรือรบหลวงคาร์เธียร์ และแม่ทัพเรือแห่งธีสธรัล

"อาเดรียปิดการเจรจาทุกช่องทาง และไม่ตอบสารยอมความใดๆทั้งสิ้นของธีสธรัล อย่างกับว่าต้องการให้พระนางเดินทางไปเจรจาด้วยตนเอง นี่เป็นการดูหมิ่นเกียรติของราชินีแห่งธีสธรัลอย่างที่สุด" บาร์เวน แม่ทัพใหญ่ของกองเรือรบเวเรนเซียสบถบ่นและพยายามไม่แสดงความหงุดหงิดของตนออกมาต่อหน้าผู้นำอาณาจักร "พระนางเองก็ไม่น่ายอมพวกมันโดยเร็วเพียงนี้"

"เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บาร์เวน... ยิ่งรั้งรอ ประชาชนของเราเองที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน"

ราชินีไวลด์ตอบอย่างใจเย็นและมองออกไปทางหน้าต่างนอกลำเรือซึ่งเห็นเงารางๆของแผ่นดินมหาทวีป "และการรักษาเกียรติแห่งตนเอาไว้จะเป็นการดีได้อย่างไร หากชาวเมืองยังเดือดร้อนอยู่เช่นนี้" ธีสธรัลเป็นเมืองบนเกาะ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์และทำการปศุสัตว์ได้บ้าง แต่นั่นก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่มากขึ้นทุกวัน อีกทั้งพวกเขายังต้องคอยหวาดระแวงสัตว์ป่าโบราณหลายชนิดที่ชอบแวะเวียนเข้ามาในตัวเมืองอีกด้วย การเลี้ยงสัตว์ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ดึงดูดนักล่าเข้ามา และแม้แต่การเพาะปลูกก็ไม่ปลอดภัยเนื่องจากฝูงสัตว์จะเข้ามาย่ำยี ดังนั้นธีสธรัลจึงมีผลผลิตทางการเกษตรต่อปีน้อยมาก พวกเขาจำต้องพึ่งพาเมืองอื่น และเมืองอื่นที่ว่านั่นก็คืออาเดรีย

น่าแปลกใจที่อาเดรียคิดทำการใหญ่เช่นนี้โดยไม่มีแผนการที่รัดกุมพอ จริงอยู่ว่าเมื่อปิดท่าเรือแล้ว ธีสธรัลจะตกเป็นรองโดยสมบูรณ์ แต่แทนที่อาเดรียจะเตรียมข้อเสนอมาใช้เจรจาเพื่อหาประโยชน์ให้ตนเองอย่างที่ควรจะทำ พวกเขากลับระแวงว่าธีสธรัลจะไปติดต่อกับแอสทารอธแทนและพุ่งเป้าไปที่การผูกสัมพันธ์กับเมืองเซนทอร์

...ไม่รู้ว่าท่านชายซินญอร์คิดการใดอยู่

จริงอยู่ว่าแอสทารอธมีกองเรือรบที่ถูกขนานนามว่าเป็นจ้าวมหาสมุทร แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้มีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเปิดศึกสงครามกัน ที่ผ่านมาพวกเขายังรบกันไม่พออีกหรือ "บาร์เวน... ท่านมีความเห็นอย่างไรเรื่องที่สองพี่น้องผู้นำคัสนาห์-อาเดรียไม่ยอมติดต่อเราก่อน" ด้วยความที่เป็นราชินีที่ยังด้อยประสบการณ์ ผู้นำแห่งธีสธรัลจึงเห็นควรว่าจะต้องขอคำแนะนำผู้มีความเชี่ยวชาญมากกว่า

"โดยมากผู้คนในเมืองท่านั่นก็เป็นพ่อค้ากันทั้งนั้น ข้าได้ยินมาว่าพวกเอลฟ์อัสคาห์ยังติดต่อกับอาเดรียอยู่ การตัดการซื้อขายจากเราก็เสมือนหักเสาเรือออกไปสักต้นจากสามต้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรืออาเดรียต้องจมเสียทีเดียว"

การเปรียบเทียบในแบบนักเดินเรือทำให้คนฟังต้องมุ่นคิ้วเล็กน้อยหลังจากพยายามนึกภาพตาม

เรือเดินสมุทรลำหนึ่งมักมีเสาเรือใหญ่สักสามหรือสี่ต้น ซึ่งหากล้มไปสักต้นก็ไม่ได้ทำให้เรือลำนั้นต้องจมทะเล เพียงแต่ชะลอความเร็วเท่านั้น "พวกเขาอาจต้องการแสดงอำนาจให้เราได้รู้ว่า... การตัดขาดจากเราไม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อน แต่พวกเราต่างหากที่ตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ไม่ได้เลย"

"นี่เป็นความคิดที่จะเอาชนะของเด็กนัก" ผู้นำหญิงมุ่นคิ้วบ่น "และซินญอร่าคิดจะเอาชนะธีสธรัลด้วยการปิดท่าเรือน่ะรึ พวกเขาดูถูกกองทัพของเรามากไปหรือเปล่า"

เลขาคนสนิทค้อมหัวลงน้อยๆเพื่อขออนุญาตออกความเห็น "ข้าได้ยินมาว่าอาเดรียมีกองทัพ"

"ใต้คำสั่งห้ามจัดตั้งกองทัพของธีสธรัลน่ะหรือ อาเดรียจะมีกองทัพได้!"

"แม่ทัพเอเดรียน... หากข้าจำไม่ผิด" บาร์เวนนึกขึ้นได้บ้าง "เขาเคยถูกจับได้ในข้อหาซ่องสุมกำลังพลเพื่อคิดการกบฎต่อธีสธรัล ถูกนำมาถึงลานประหารของเราเพื่อให้สู้กับพวกสัตว์ป่า แต่วันนั้นกลับมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นจนเขาหายตัวไป บ้างก็ว่าตายในลานประหารนั่นไปแล้ว บ้างก็ว่าหนีกลับอาเดรียไปแล้ว"

เลขาคนสนิทพยักหน้าเห็นด้วยกับแม่ทัพเรือ "แต่ตอนนี้เขาว่าผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ขอรับ และยังคงเป็นผู้นำทางการทหารของอาเดรียอยู่ เรียกได้ว่าเป็นคนสนิทของผู้นำอาณาจักรอาเดรียเลยก็ว่าได้" ฟลินกอร์นกล่าวเสริม "เอเดรียนมีชื่อเสียงในเรื่องของความซื่อสัตย์และรักบ้านเมือง เขาจึงอาจเป็น... เขี้ยวเล็บที่มีพลังมากของอาเดรีย"

ผู้นำหญิงมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น "เช่นนั้นก็ซื้อตัวเขามาให้ได้!"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 14.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 05-11-2016 20:57:49
แม่ทัพใหญ่ยังเหม่อมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้นแม้ว่าเหตุการณ์รอบตัวจะสงบลงแล้ว นักล่าจากไอย์ชวลล่าถอยกลับไปเช่นเดียวกับกลุ่มพรานจากอาเดรียที่ถอยร่นกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับเซนทอร์ที่จับได้ แต่เอเดรียนดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลย

สายตาของเขาว่างเปล่า และจ้องมองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกเคว้างคว้าง

"...เอเดรียน" จาเร็ตต์ร้องเรียก ค่อยๆแตะมือที่ต้นแขนของผู้นำทัพ "พวกพรานจับเลสธีราห์ไป" แม้จาเร็ตต์เองจะตกใจและตกตะลึงไม่แพ้กัน แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลยว่าตอนนี้แม่ทัพใหญ่คิดอะไรอยู่ หรือเจ็บปวดแค่ไหนกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ สำหรับจาเร็ตต์แล้ว... เลสธีราห์เป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ที่ดูจะมีความลับไปเสียทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้น ฝ่ายนั้นก็ดูจะเป็นห่วงเป็นใยและถูกคอกับเอเดรียน ดังนั้นเขาจึงพอจะวางใจไปได้บ้าง

แต่สำหรับเอเดรียนแล้ว... เลสธีราห์เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน

"..." ร่างสูงถอนใจออกมาในที่สุดหลังจากเงียบไปพักใหญ่ "ข้ารู้ จาเร็ตต์"

โจฮาลล์เดินมาหยุดข้างน้องชายและมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ทัพใหญ่จึงยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ต่อหน้าต่อตา "เช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ห้ามปราม" เอเดรียนหลับตาลงกับคำถามพร้อมกับมุ่นคิ้วเหมือนกำลังต่อสู้กับตัวเองอยู่ในใจ "เลสธีราห์... ช่วยเจ้าจากพวกไอย์ชวล"

เอเดรียนเม้มปากครู่หนึ่งของก่อนให้คำตอบ "หากข้าปล่อยเขาไป เขาก็จะไม่กลับมาอีก"

สิ้นคำตอบนั้นเองที่จาเร็ตต์เข้าใจทุกอย่าง "นี่เจ้า..." ร่างโปร่งบีบแขนพี่ชายของตัวเองเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เขาถามอะไรให้มากความ และขยิบตาให้ครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังในภายหลัง แต่แล้ว แม่ทัพใหญ่ก็ทรุดเข่าลงกับพื้นและกำมือแน่นราวกับก่นด่าตัวเอง

"แต่ข้ายอม.... ให้พรานพวกนั้นทำกับเลสเหมือนสัตว์ได้ยังไง"

"เอเดรียน" จาเร็ตต์ย่อตัวลงพร้อมกับวางมือลงบนบ่า "มันไม่ใช่ความผิดเจ้าที่เกิดเรื่องแบบนี้"

มือของเอเดรียนกำแน่นสั่นเทิ้ม เช่นเดียวกับฟันที่ขบกันแน่นด้วยความรู้สึกอัดอั้นที่ไม่มีทางอธิบายได้ ความคิดหลากหลายแล่นประดังประเดอยู่ในหัวจนเจ้าตัวไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันมากมายเกินกว่าเขาจะรับมือได้ และเขาต้องการหยุดพักเหลือเกิน "เอเดรียน" เลขาคนสนิทลูบบ่ากว้างเบาๆเป็นเชิงปลอบ "ข้าเองก็ตกใจเหมือนเจ้า แต่เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะ..."

"เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!" แม่ทัพใหญ่ตวาดออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "...เจ้าจะรู้อะไร"

ใช่... เขาจะไปเข้าใจอะไร

จาเร็ตต์รู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง แม้มันจะยังไม่เด่นชัดแต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายว่ามันจะเจ็บปวดทรมานสักแค่ไหน เลสธีราห์จะรู้สึกอย่างไรที่สุดท้ายแล้วคนที่เขาเอาตัวเข้าปกป้องกลับไม่ลงมือทำอะไรเพื่อช่วยเหลือตนเลย และความรู้สึกของเอเดรียนจะพังทลายสักแค่ไหนที่ได้รับรู้ว่าคนที่เคยคิดจะเชื่อใจกลับกลายเป็นคนนอกเช่นนี้

จู่ๆคนที่รักกลับกลายเป็นคนที่ไม่สามารถรักได้... ความทรมานนี้ใครจะเข้าใจ

แม้เอเดรียนจะเคยถูกคนรักหักหลัง แต่มันไม่เหมือนกันกับกรณีของเลสธีราห์ ฝ่ายนั้นปกป้องเขา... ต่อสู้แทนเขา... และกล่าวขอโทษที่ทำลายเยื่อใยและความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อกันมา เพียงเพราะต้องการจะรักษาชีวิตของเอเดรียนเอาไว้

"ข้า... จะต้องทำยังไง..." แม่ทัพใหญ่โอดครวญ "จะต้องทำยังไงเพื่อรักษาไว้ทั้งเลสทั้งอาเดรีย!"

--------------------------------------------------

ท่านชายซินญอร์กลับมาที่คฤหาสน์และพบว่าหัวหน้าพรานป่ากลับมารายงานเรื่องสำคัญ “อย่างไรก็น่าแปลกที่พวกเจ้าไปล่าสัตว์ ทว่าจับเซนทอร์กลับมาได้ ซ้ำยังเป็นเซนทอร์ที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย” ที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าครึ่งม้าเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ และท่านชายซินญอร์ก็คิดว่าเซนทอร์ที่พวกเขาจับได้ในวันนี้ก็มีความสำคัญต่อแอสทารอธเช่นกัน

“ไปตามเอเดรียนมาพบข้า...”

“ท่านแม่ทัพยังไม่กลับมาจากการล่าสัตว์ขอรับ" หัวหน้าพรานกล่าวตามตรง เขาเองก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงพอจะรู้สึกเอเดรียนอยู่ในอาการตกตะลึงอย่างไร แต่หากเขารอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ อาเดรียอาจต้องเสียโอกาสนี้ไป ...โอกาสในการถือไพ่เหนือกว่าแอสทารอธ

 “ส่งคนไปตามเขามา" ซินญอร์หันไปสั่งผู้ติดตามอีกคนหนึ่ง "ส่วนเซนทอร์ตนนั้น นำไปขังไว้ที่ข้างพักด้านบนก่อน แต่อย่างไรก็ต้องใส่โซ่ตรวนเอาไว้ พละกำลังของเซนทอร์มีมากกว่าม้าและคนรวมกัน พวกเจ้าต้องระวังเขาให้ดี”

ข่าวการจับเซนทอร์ได้แพร่สะพัดไปทั่วอาณาจักรอาเดรียในเวลาอันรวดเร็ว และไม่นานหลังจากที่คณะพรานเดินทางไปถึงมหาคฤหาสน์ ผู้คนจำนวนมาก็เดินทางเข้ามาในปราการชั้นในและพยายามจะมองผ่านประตูรั้วเหล็กแหลมเข้าไปเพื่อให้เห็นอมนุษย์ครึ่งม้าอันเป็นตำนานซึ่งยังนั่งอยู่บนเกวียนลากและถูกพันธนาการด้วยเชือกหลายเส้น

เสียงพูดคุยระงมของฝูงชนทำให้เลสธีราห์ที่เอียงหัวพิงขอบไม้ของรถเกวียนอยู่ด้วยความอ่อนล้าต้องลืมตาขึ้นมองผู้คนจำนวนมากที่เข้ามามองดูเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเพียงแค่นัยน์ตาสีฟ้าครามลืมขึ้นเท่านั้น เสียงพูดคุยเซ็งเซ่ก็แปรเปลี่ยนเป็นคำอุทานด้วยความตื่นตะลึง

“นั่นเซนทอร์จริงๆหรือ”

“เซนทอร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย...”

“สวยจัง ข้าไม่เคยเห็นใกล้ขนาดนี้มาก่อนเลย”


ร่างโปร่งถอนใจและข่มตาลงขับไล่ความรู้สึกอับอายออกไป แต่ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกขึ้นมาต่อกรกับใคร เพราะจิตใจของเซนทอร์หนุ่มกำลังบอบช้ำเหลือเกิน ร่างกายท่อนล่างตอนนี้ไม่สามารถแปลงกลับเป็นมนุษย์ได้เนื่องจากเชือกหลายเส้นที่พันธนาการข้อเท้าไว้แน่นหนาเกินกว่าจะดิ้นให้หลุด

การถูกมนุษย์จับได้ไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับเลสธีราห์ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บใจที่สุดในตอนนี้กลับเป็นมนุษย์ที่เขาเคยคิดว่าไว้ใจได้กลับไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาเลยสักนิดเดียว เอเดรียนไม่สบตาร่างโปร่งอีกเลยหลังจากนั้น และตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่ปรากฎตัว อีกทั้งปล่อยให้หัวหน้าพรานยื่นอกรับความดีความชอบที่จับเซนทอร์ได้

“มนุษย์ช่างแปรเปลี่ยนง่ายเหลือเกิน”

ร่างโปร่งรำพึงกับตัวเอง เขาอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวด้านมืดของเผ่าพันธุ์นี้อยู่บ้าง มนุษย์เป็นเผ่าที่ไม่มีสัจจะ ไม่มีความน่าไว้ใจ ไม่มีความน่าเชื่อถือ ทุกคนล้วนแล้วแต่กลับกลอก ปลิ้นปล้อนและล้วนแล้วแต่หาประโยชน์เข้าตัว แต่ไม่คิดเลยว่าคำเตือนของคูแรนน์จะเป็นความจริงขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้

แต่เลสธีราห์ก็โกรธเอเดรียนไม่ลงเลย...

เพราะฝ่ายนั้นถูกเขาหลอกก่อนไม่ใช่หรือไร จึงได้ทอดทิ้งเขาในตอนนี้

แต่ที่เรื่องทุกอย่างกลายเป็นอย่างนี้ ก็เพราะต้องการจะช่วยชีวิตอีกฝ่ายไม่ใช่หรือไร หากเลสธีราห์ไม่กระโดดออกไปตอนนั้น เอเดรียนอาจถูกคูแรนน์ทำร้ายจนปางตายไปแล้ว และร่างโปร่งก็รู้ดีว่าลูกพี่ลูกน้องของตนมีพละกำลังมากแค่ไหน อีกทั้งม้าที่อีกฝ่ายควบขี่ก็ได้ชื่อว่าเป็นม้าที่มีแรงมากกว่าปกติ หากไม่ใช่ร่างเซนทอร์แล้วเขาจะทัดทานกำลังของผู้นำคณะพรานแห่งไอย์ชวลได้อย่างไร

...ถ้าไม่ใช่ธนูแอควาเรียร์ จะสามารถข่มขู่อัลซาโตเกียร์ได้อย่างไร

มือสองข้างที่ถูกรวบมัดเอาไว้ด้วยกันยกขึ้นปาดหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามกรอบหน้า ความหยาบกร้านของเส้นเชือกเริ่มบาดข้อมือเรียวจนเป็นรอยแดง แสงแดดเจิดจ้ายามกลางวันอาบทับผิวเนื้อเปลือยอยู่เนิ่นนานทำให้รู้สึกแสบจนแทบไหม้ และท่อนขาของอาชาที่งอขดอยู่นานเกินไปก็เริ่มร้องอุทรณ์

หากคาดเดาในเบื้องต้นแล้ว อาเดรียอาจจะใช้เขาเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับแอสทารอธ ฝ่ายนั้นต้องการความร่วมมือจากเมืองเซนทอร์ ทว่าตัวเองกลับไม่มีสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนตอบแทน อีกทั้งเอเดรียนยังเสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำซึ่งเป็นงานที่ท้าทายเกินตัวอีกด้วย ดังนั้นการจับเซนทอร์ได้สักตัวหนึ่งก็นับเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พอจะมีมูลค่าอยู่บ้าง

เลสธีราห์นับถือหัวหน้าพรานที่คิดการณ์ไกลถึงเพียงนี้

...แล้วเอเดรียนเองก็คิดเช่นนี้หรือเปล่า จึงได้ไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

หัวใจของร่างโปร่งเกร็งรัดจนเจ็บในอก เพราะเมื่อคิดว่าหากเอเดรียนสนับสนุนการกระทำครั้งนี้ของอาเดรีย นั่นก็หมายความว่าความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของพวกเขาไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ

เขาไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเอเดรียนเลยจริงหรือเปล่า...

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝ่ายนั้นจะเห็นบ้านเมืองของตนมาก่อนเรื่องอื่น แต่เลสธีราห์ก็ยังแอบหวังว่าเขาจะมีคุณค่าอะไรในสายตาของอีกฝ่ายบ้าง แม่ทัพแห่งอาเดรียตีค่าความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเป็นศูนย์จริงๆหรือ แม้ว่ามันจะผ่านมาไม่นานก็ตาม แต่พวกเขาทั้งสองก็สนิทสนมกันมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว... เอเดรียนไม่คิดอย่างนั้นบ้างหรือไร

และคำพูดในคืนนั้นหมายความว่าอย่างไร หากอีกฝ่ายเป็นคนเลือดเย็นเช่นนี้

แต่ข้า... ก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียว... อยู่ดี

เป็นของข้าไม่ได้เหรอ เลสธีราห์...


...

ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายละทิ้งข้าไปก่อน เอเดรียน !

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


---------- WRITER's TALK ----------

...อัพทันอีกเว็บจริงๆแล้วค่ะ 555

พอดีเมื่อคืนเขียนจบตอน 5 ทุ่ม เลยเพิ่งอัพ... โอเค๊... เตรียมตัว(เอเดรียน)โดนด่า... ตอนลงเด็กดีคือโดนเละมาก (โถ่ พระเอก) แต่เราคิดว่า... เราควรให้เวลาเขาหน่อย แฮะๆ ความรู้สึกของทั้งคู่ตอนนี้จริงๆคือพังไม่แพ้กันเลย ถึงเลสจะดูเจ็บกว่า แต่เอเดรียนออกแนวช็อค (เพราะเลสเป็นฝ่ายหลอกมาแต่แรกอ่ะเน้อะ)
แต่ในขณะเดียวกันที่ดราม่า อาณาจักรอื่น คนอื่นเขาก็ไม่มีเวลามานั่งรอเน่อะ... เพื่อไม่เป็นการเสียเวลายืดยาว ฮาา

มีคอมเม้นท์จากอีกเว็บบอกว่าอ่านชื่อเมืองไม่ออก เลยไม่จำเลย... (แงง ขอโทษ ตอนตั้งคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้...)
มันจะมีเมืองหลัก 3-4-5 เมือง (เยอะเน้อะ) แบ่งฝ่ายได้ 2 ฝ่ายดังนี้
- กลุ่มพระเอก(?) >>> คัสนาห์(Castnah) อาเดรีย(Adria)
- กลุ่มไม่ใช่พระเอก >>> ไอย์ชวล(Aysual) ธีสธรัล(Thestral)
- กลุ่ม(ยัง)ไม่เลือกข้าง >>> แอสทารอธ(Astaroth)

ตามแผนที่ดังแนบ (ถ้าดูตามแผนที่จะเข้าใจกลยุทธ์ง่ายขึ้นมากกก)
(https://image.dek-d.com/27/0060/1224/122454349)

คือคัสนาห์-อาเดรียเขาเป็นเมืองเดียวกัน แต่อาเดรียพี่ท่านคุมอ่าวออโรราอยู่... ซึ่งมันเป็นทางใกล้ที่สุดที่ธีสธรัลจะเข้ามาแผ่นดินใหญ่ได้ ส่วนแอสทารอธเป็นเมืองติดกันทางเหนือของอาเดรีย คุมอ่าวมารินาอยู่ แอสทารอธไม่เน้นขายกับธีสธรัล แต่เน้นออกทะเลไปอีกทวีปเลยยย

แต่เดิมนี่ธีสธรัล(ซึ่งเก่งกว่า)ล่าอาณานิคมเอาไว้เยอะ รวมถึงอาเดรียด้วย แต่พอดีว่าไอย์ชวล(ซ้ายของแผนที่)ไปตีแตก เอาพวกตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทน(ราชินีไวลด์) พวกเมืองที่เคยอยู่ใต้อำนาจเลยดิ้นกันหมดประมาณว่าจะพลิกเป็นโอกาสในการแยกตัวออกมา ซึ่งก็คือคัสนาห์กับอาเดรีย... อาเดรียก็ปิดอ่าวออโรราซะเลย แต่มันก็เหลืออ่าวมารินาอีกที่ เลยพยายามจะไปชวนพวกแอสทารอธมาเป็นพวกอย่างที่เห็น...

เป็น BL ที่แฟนตาซีและการเมืองมากเลยค่ะ OTL
จริงๆอยากเขียนฉากละมุนๆมากกว่านี้นะ ชอบเวลาเอเดรียนอยู่กับเลสธีราห์ ...แต่จัดดราม่ามาขนาดนี้แล้วคงละมุนกันยากล่ะนะ - -" ช่วงนี้เอเดรียนอาจจะโดนด่าตามระเบียบพระเอกที่ไม่ค่อยจะเท่เอาซะเลย แต่ถ้าเขาคิดได้เมื่อไหร่ ก็คงจะกลับมาเป็นพระเอกเอง ฮาาา

ขอบคุณที่ติดตามค่า *0*
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 14 [5-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: punnicha ที่ 05-11-2016 21:01:33
สนุกมากค่ะะะ :impress2:  สารคดีม้าจริงๆ555555  รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 15.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 07-11-2016 08:31:07
ตอนที่ 15.1

"ท่านเอเดรียน ท่านชายซินญอร์เรียกพบขอรับ..."

เอเดรียนยังอยู่ในดรงเก็บม้าของคฤหาสน์ราห์โมนา เมื่อม้าเร็วจากมหาคฤหาสน์เดินทางมาพบ ร่างสูงยังคงแปรงขนให้อัลธอร์อย่างช้าๆ และรู้สึกมึนตึงอ่อนล้าจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก และกระทั่งม้าเองก็สลดใจไม่แพ้คน อาชาก้มหน้าคอตกด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจอย่างประหลาดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

"ท่านเอเดรียน..."

"ข้ารู้แล้ว" แม่ทัพใหญ่ตอบเสียงเรียบ และโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย พรานป่าคงนำเลสธีราห์ไปพบท่านชายซินญอร์แล้ว และอีกฝ่ายก็คงจะเรียกหาเขาเพื่อดำเนินการต่อไป "นี่... อัลธอร์" เอเดรียนจับกรามของม้าคู่ใจแล้วดันให้มันเงยหน้าขึ้นมองตน "เจ้ารู้มาตลอดใช่ไหม... ว่าเลสธีราห์เป็นแบบนั้น" เขาไม่ถือโทษโกรธม้า และรู้เหตุผลดีว่าทำไมมันจึงรู้สึกสลดที่เห็นเซนทอร์ถูกจับแบบนั้น

"เจ้าคุยกับเลสธีราห์ได้ใช่ไหม"

เมื่อคิดถึงครั้งแรกที่พบกัน เลสธีราห์ก็ช่างเอาอกเอาใจอัลธอร์เหลือเกิน และเจ้าม้าจอมดื้อนี่ก็ยอมให้จับแต่โดยดีไม่มีงอแงเหมือนที่เป็นกับคนอื่น อีกทั้งยังยอมให้แปรงขน ลูบหลัง กระทั่งขึ้นขี่ได้ง่ายๆอีกด้วย "ลูเซียเองก็รู้ใช่ไหม" ไม่แปลกเลยที่เซนทอร์จะสื่อสารกับม้าได้ แต่อย่างไรเอเดรียนก็รู้สึกว่าตนเองโง่เง่าอยู่ดี ทั้งที่สัตว์เลี้ยงของเขารู้เกือบทุกตัวว่าเลสธีราห์เป็นใคร แต่ตัวเขาที่เป็นเจ้านายกลับไม่เคยรู้เลย

เขาไม่เคยเอะใจเลยว่าทำไมเลสธีราห์ถึงชอบกินแต่ผักและไม่แตะเนื้อ

ไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงดูขัดใจนักหนาเมื่อเห็นม้าถูกพันธนาการ

...

...เขาไม่เคยสงสัยอะไรเลยทั้งเลสธีราห์เองก็ปกปิดไม่เก่ง

อัลธอร์เหลือบมองเจ้านายที่แนบหน้าผากกับสันหน้าของมัน "จะให้ข้าทำยังไง..." อุ้งมือใหญ่ออกแรงดึงขนคอของม้าศึกด้วยควมรู้สึกอดกลั้น เอเดรียนไม่รู้ว่าตนควรจะทำอะไร หรือทำอย่างไร การจับเซนทอร์ได้จะทำให้อาเดรียได้เปรียบในการเจรจาก็จริงอยู่ แต่เซนทอร์ที่ว่านั่นก็คือเลสธีราห์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของเขา ...ต่อให้แท้จริงแล้วอีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์เองก็ตาม

"ทำไม... จะต้องให้ข้าเสียสละ... สิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากเก็บเอาไว้เป็นของตัวเองด้วย"

บุคคลเดียวที่ทำให้เขาสบายใจทุกครั้งที่อยู่ใกล้ บุคคลที่แทบจะรู้ใจเขาและรู้ทันเขาทุกอย่าง บุคคลที่แตกต่างจากใครอื่นที่เอเดรียนเคยพบเจอมา เหตุใดเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นกับตัวเขาอีกเป็นครั้งที่สอง และเป็นเรื่องที่เจ็บปวดหนักหนามากกว่าครั้งแรกอีกด้วย แม่ทัพอาเดรียสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเอง ตามปกติแล้วชายหนุ่มไม่ใช่คนหวั่นไหวอะไรง่ายนักเนื่องจากอายุอานามและประสบการณ์ทำให้เขาเป็นคนแบบนี้ แต่ตอนนี้เอเดรียนรู้สึกได้ว่ามือของเขาทั้งสองข้างกำลังสั่น และความรู้สึกที่ถ่าโถมก็ทำให้ชายหนุ่มเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้

เขาอธิบายไม่ได้ความสั่นคลอนนี้คืออะไร... มันไม่ใช่ทั้งความกลัวและความตื่นเต้น

อัลธอร์เองก็รู้ดีจากความร้อนที่ส่งผ่านมาจากมือของผู้เป็นนาย มันจึงได้ยืนนิ่งเป็นหลักพยุงอยู่อย่างนั้นโดยไม่หันหนีทั้งที่ในใจของม้าศึกนึกขุ่นเคืองที่เจ้านายไม่ช่วยเหลือเซนทอร์... พวกม้าอ่านใจกันเองได้ และมันรู้ว่าสิ่งที่เลสธีราห์ทำไปคือความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าเจตนาแต่แรกเริ่มของเซนทอร์หนุ่มคืออะไร แต่อึดใจที่เขากระโจนออกไปโรมรันกับศัตรู สิ่งเดียวที่เลสธีราห์คิดในตอนนั้นก็คือการปกป้องชีวิตของเอเดรียน

เอเดรียนเองก็รู้ถึงความจริงนั้น แต่ด้วยสถานะและภาระที่เขาต้องแบกรับทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถตัดสินใจทำอะไรได้ในช่วงเวลาคับขัน หากเขาปกป้องเลสธีราห์ ชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าเลสธีราห์จะยันยืนหยัดอยู่เคียงข้างเขาหรือไม่ จะยังคงยืนยันทำตามคำสัญญาที่เคยให้กับเขาไว้หรือเปล่า หากเซนทอร์หนุ่มตัดสินใจหนีกลับไปยังแอสทารอธและไม่หันกลับมาอีก เอเดรียนก็ไม่สามารถตอบได้ว่าตัวเขาเองจะรู้สึกอย่างไร แต่หากเขาไม่ช่วยเหลือเลสธีราห์ ท่านชายซินญอร์จะต้องใช้เซนทอร์หนุ่มเป็นตัวประกันในการต่อรองกับแอสทารอธ ซึ่งเป็นสิ่งที่เอเดรียนยอมไม่ได้อยู่ดี

เขาจะไม่ยอมให้เลสธีราห์เป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น

...แต่ในความสับสนลังเลนั้นเองที่ทำให้เอเดรียนเลือกหนทางที่เขาไม่เคยคิดจะเลือก

.

นั่นคือการทอดทิ้งเลสธีราห์

เขาปล่อยให้พวกพรานปฏิบัติกับเซนทอร์ตนนั้นประหนึ่งสัตว์ได้อย่างไรกัน เขาได้แต่ยืนเฉยๆและปล่อยให้พวกมันพาร่างโปร่งไปจากสายตาของเขาได้ลงคอเชียวหรือ และมาจนถึงตอนนี้ เอเดรียนก็ยังไม่มีความกล้าพอที่จะไปยังมหาคฤหาสน์เพื่อยืนคำขาดในการนำตัว 'คนของเขา' กลับมา

...แม่ทัพแห่งอาณาจักรใดจะขลาดเขลาได้เท่านี้อีก

ทั้งที่รักมากขนาดนี้ แต่เขากลับไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ

"เอเดรียน" เสียงของจาเร็ตต์เรียกผู้นำของตน "ท่านชายซินญอร์ส่งคนมารายงานข้าว่าเขาไม่อนุญาตให้เจ้านำเรือออกเพื่อลอบเดินทางไปธีสธรัล" ตามกำหนดการณ์เดิม เอเดรียนร้องขอเรือเร็วเพื่อเดินทางไปยังธีสธรัลและขโมยศสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำกลับมาให้แอสทารอธ และการขออนุญาตินำเรืออกในช่วงเวลานี้จะต้องปรึกษากับผู้นำอาณาจักร นั่นคือท่านชายซินญอร์เท่านั้น

"นั่นก็แปลว่าอาเดรียจะผิดคำพูด" แม่ทัพใหญ่ว่า "และหันไปใช้ตัวประกันในการต่อรองแทน"

เลขาของเขาพยักหน้าครั้งหนึ่ง และไม่พูดอะไรต่อ ด้วยตัวจาเร็ตต์เองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าเอเดรียนเห็นตรงกับผู้นำอาณาจักรหรือไม่ และหากไม่เห็นตรงกันแล้วพวกเขาจะต้องทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้อาณาจักรมีหนทางรอดจากความขัดแย้งนี้ "หากเราขัดกับแอสทารอธ ...อาเดรียจะไม่เหลือใครนอกจากคัสนาห์" เอเดรียนสูดลมหายใจเขา และค่อยๆปล่อยมือจากอัลธอร์ "และข้าจะไม่ยอมให้ใครก็ตามใช้เลสธีราห์เป็นเครื่องมือในการหาประโยชน์" แววตาของผู้นำทัพมุ่งมั่นไม่สั่นคลอน

"แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นราชาของข้าก็ตาม"

--------------------------------------------------

“ข้าแปลกใจว่าทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยเขา”

คูแรนน์ที่กลับมายังเมืองหลวงแล้วเหลือบมองคนพูดที่นั่งอยู่ข้างกันก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่สนใจในคำถากถางที่กำลังจะออกจากปากอีกฝ่าย "เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้า... เซนทอร์ผู้นั้น" หัวหน้าพรานแห่งไอย์ชวลเอนเหยียดกายสบายๆกึ่งนั่งกึ่งนอนและพูดคุยกับคนที่เขายอมพูดคุยด้วยทุกเรื่อง... เรียฟ หนึ่งในผู้นำสี่เหล่าทัพของไอย์ชวล

“…ช่างมันเถอะ”

เรียฟถอนใจ เขารู้ดีว่าตนคงพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะดุด่าอย่างไร คนอย่างคูแรนน์คิดจะทำอะไรแล้วก็คงไม่มีทางเปลี่ยนใจ อีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว …ตัวเขาเองรู้ดีที่สุด

“น่าแปลกที่เจ้าด่าข้าน้อยกว่าปกตินะ” ร่างสูงว่า “เอือมระอาแล้วหรือไง”

“อย่างกับว่าข้าพูดมากแล้วเจ้าจะฟังอย่างนั้น” คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางจรดที่มุมปาก “พูดไม่เข้าหูขึ้นมาเจ้าจะหันมาบีบคอข้าเสียอีก” เรียฟว่าอย่างนั้นก่อนจะหัวเราะแห้งๆ “แล้วข้าก็เอือมเจ้ามานานแล้ว... เป็นร้อยปีแล้วด้วย”

หัวหน้าพรานยันกายลุกขึ้นนั่งดีๆและหันไปหาคู่สนทนาที่ดูเกร็งขึ้นมาทันทีที่เขาขยับกาย

“เช่นนั้นข้าก็คงมีเสน่ห์พอตัวที่ทำให้เจ้าซึ่งเบื่อข้ามานับร้อยปีหันกลับมารักข้าได้”

“…”

เมื่อถูกพูดด้วยเช่นนั้น เรียฟก็ถึงกับเงียบอย่างอับจนด้วยคำพูด และเขาก็ค่อนข้างตกใจกับความหน้าด้านของคู่สนทนามากกว่า “ไอย์ชวลไม่ควรยื่นมือเข้ายุ่งในตอนนี้” คูแรนน์พูดต่ออย่างเป็นการเป็นงานเพื่อไม่ให้เรียฟรู้สึกตื้อตันในหัวมากเกินไปจนทำอะไรไม่ถูก “เราไม่ได้ติดต่อกับตะวันออกมานานแล้ว ดังนั้นการปิดท่าเรือจึงกระทบกับเราน้อยมาก อีกทั้งเราก็แค่เสียการค้ากับคัสนาห์และอาเดรีย แต่เมืองอื่นๆก็ยังเป็นพันธมิตรอยู่นี่จึงเป็นสงครามประสาทของคัสนาห์-อาเดรียและธีสธรัล”

ร่างสูงจรดยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก “และการที่อาเดรียเล่นไม้นั้นกับแอสทารอธ... ข้าไม่คิดว่าท่านหญิงลีอาห์จะยอมอยู่เฉย ไอย์ชวลควรอยู่เฉยๆ ดูพวกเขากัดกันจะดีกว่า” เรียฟเหลือบมองคู่สนทนาเล็กน้อยด้วยความเลื่อมใสในการอ่านสถานการณ์ของอีกฝ่าย เพราะตามปกติแล้วคูแรนน์ไม่มีความสนใจในด้านนี้ ฝ่ายนั้นนิยมแค่การฆ่าเพื่อความอยู่รอด แต่ไม่ค่อยจะสนใจการวางแผนสักเท่าไหร่ นี่จึงอาจเรียกว่าเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งที่น่าชื่นชม

“เจ้ารอบคอบมากขึ้นแล้ว...”

“ข้าจำมาจากวิกเตอร์น่ะ”



คนฟังชะงักไปพักใหญ่ก่อนจะกลอกตาขึ้นอย่างเอือมระอา และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากหัวหน้าพรานได้ “ข้าคิดได้น่ะ เรียฟ… แค่ไม่พูดออกมาดังๆแบบวิกเตอร์เท่านั้นล่ะ” และด้วยความขี้เกียจผสมกับความงัวเงียง่วงงุนที่ต้องออกไปล่าแต่เช้า และกลับมาพร้อมกับเรื่องราวน่าปวดหัว คูแรนน์จึงล้มตัวลงนอนบนตักของคนข้างๆดื้อๆ

“คูแรนน์...!” เรียฟพยายามจะยันอีกฝ่ายออก แต่ก็ไม่กล้าใช้กำลังมากเพราะเกรงจะถูกโกรธเข้าจริงๆ “นี่มันไม่ใช่ที่นอน หรือเวลานอน และข้าไม่ใช่หมอนของเจ้านะ!” นัยน์ตาสีดำดุดันของฝ่ายนั้นเหลือบขึ้นมองคนพูดนิ่งๆทำให้เรียฟต้องชะงักไป และหลังจากนั้นคูแรนน์ก็ยิ้มเล่นหัวออกมา

“แต่เจ้าก็ชอบนอนหนุนแขนข้านักไม่ใช่รึ หนุนคืนบ้างไม่ได้รึไง”

“…”

ลมหายใจแรงๆของม้าศึกพ่นใส่คนทั้งคู่ที่กำลังพูดคุยกับราวกับพวกเขากำลังพักผ่อนอยู่ในสวนสีเขียวที่มีแต่ความสงบและมีน้ำพุสวยอยู่ใกล้ๆช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้ แต่เปล่าเลย... แม่ทัพใหญ่ของไอย์ชวลจูงม้าร่างยักษ์ของตนมายืนตรงหน้าพร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอกราวกับบิดาที่เจอบุตรชายหนีเรียน “ห้องพวกเจ้าก็มี …นี่มันลานฝึกนะ”

เสียงดาบไม้และโล่ห์ปะทะกันดังเอ็ดตะโรไปทั่ว และเสียงพูดคุยเซ็งเซ่รอบตัวดังระงมจนหนวกหู เรียฟเองก็แปลกใจที่เขากับคูแรนน์หาที่นั่งคุยที่ดีกว่าข้างลานฝึกไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าทหารใต้บัญชาของตนต้องมองเป็นตาเดียวด้วยความรู้สึกประหลาดใจแต่ไม่กล้าออกปากพูดถึง

แต่คูแรนน์กลับตอบสบายๆโดยไม่ยอมลุกขึ้น “ถ้าสนใจการฝึกกันจริงๆ ใครจะมาทันเห็นเล่า”

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 15.1 [7-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-11-2016 09:35:07
ตอนท้ายบทนี่ตัดอารมณ์กันชัด ๆ เลยอ่ะ
ช่วยเลสธีราห์เถอะนะเอเดรียน (แต่จะช่วยได้แค่ไหนนี่สิ เพราะดูท่าพี่น้องเจ้าปัญหานี่ไม่น่าไว้ใจพอกัน)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 15.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 07-11-2016 13:00:41
ตอนที่ 15.2

ห้องพักที่กว้างขวางไม่ใช่สิ่งที่เลสธีราห์ต้องการ... ต่อให้เตียงกว้างใหญ่จะนุ่มและน่านอนสักแค่ไหนก็ไม่ได้ดึงดูดให้เลสธีราห์ล้มตัวลงนอนเลยสักนิด ตรงกันข้ามเสียอีก ร่างโปร่งกลับยืนนิ่งๆอยู่กลางห้องพักใหญ่โดยไม่รู้สึกเมื่อยเลยแม้แต่น้อยและมองทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ไม่ใช่ความสะดวกสบาย ไม่ใช่การต้อนรับอย่างเป็นมิตร

...อาจจะไม่ใช่อิสรภาพด้วยซ้ำ

ข้อมือทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนเส้นหนัก ผู้นำของอาเดรียไม่ลงมาพบเขาด้วยซ้ำ ฝ่ายนั้นเพียงแค่ออกคำสั่งให้ใส่ตรวนพวกนี้ไว้ และให้เขาพักในห้องพักรับรองขนาดใหญ่ที่มีไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง

อาเดรียก็ยังพอไว้หน้าเขาบ้างด้วยการทำแบบนี้ แต่ก็ไม่ไว้ใจที่จะปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวอิสระอยู่ดี เลสธีราห์เองก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป หากเขาเป็นอิสระได้ เขาจะกลับบ้านเมืองของตนและไม่หันกลับมาที่นี่อีกเลยด้วยซ้ำ

มนุษย์... น่ารังเกียจเกินไปสำหรับเขา

โจฮาลล์กับจาเร็ตต์ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกขยาด สองพี่น้องคู่นั้นติดจะดีกับเขาด้วยซ้ำไป เลสธีราห์ถอนใจยาวและหลับตาลงด้วยหัวใจหดหู่ ที่เขาพูดอย่างนั้นได้เพราะยังไม่รู้จักสองพี่น้องดีพอกระมัง เพราะคนที่ดีที่สุดกับเขาอย่างเอเดรียนก็ยังกลายเป็นคนเช่นนั้นได้

นัยน์ตาสีฟ้าเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าผลัดเปลี่ยนเวลาจากกลางวันเป็นกลางคืนแล้ว และเลสธีราห์ก็จำไม่ได้ว่าเขาได้กินอะไรรองท้องไปบ้างหรือยัง ตอนนี้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกด้านชาไปทุกส่วน และไม่รู้ว่าเขาจะยืนอยู่ที่เดิมไปอีกนานแค่ไหน ภายนอกห้องพักนี้เต็มไปด้วยเวรยามแน่หนา อีกทั้งเบื้องล่างของมหาคฤหาสน์ก็เพิ่มกำลังพลเป็นสองเท่า และคงเป็นเช่นนี้อีกต่อไปสักพักจนกว่าอาเดรียจะได้เจรจากับแอสทารอธอีกครั้ง และครั้งนี้คงจะเป็นการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวเขากับสิ่งที่มีมูลค่าสมกัน

พวกมนุษย์ไม่รู้เลยว่าโทษทัณฑ์ของอัศวินที่นำความเดือดร้อนมาให้เผ่าพันธุ์ของตัวเองคือความตาย

ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีค่าใดกับแอสทารอธอีกแล้ว...

หากอาเดรียยื่นข้อเสนอ ก็เท่ากับเป็นการยื่นคำตัดสินประหารชีวิตให้กับเลสธีราห์ แต่ถ้าเขาสามารถหนีออกไปได้ก่อนถึงเวลานั้น เขาก็จะเป็นอิสระ และจะไม่ขอเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อีก แม้ว่านั่นจะเปรียบได้กับการคว้านมีดลงไปในหัวใจของตัวเองก็ตามที เลสธีราห์ไม่รู้ว่าเขาเสียใจหรือรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขารู้ดีถึงเหตุผลในการกระทำของทุกคน แต่มันก็ยากที่จะยอมรับเหตุผลเหล่านั้น

"เลสธีราห์"

เสียงที่คุ้นหูจนเกินไปดึงให้ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าที่อิดโรยอยู่แล้วยิ่งเผือดซีดไร้สีเลือดยิ่งกว่าเดิม ร่างโปร่งหันกลับไปมองประตูบานใหญ่ที่ปิดกั้นระหว่างเขาและเจ้าของน้ำเสียงด้วยความไม่แน่ใจว่าตนควรจะกล่าวอะไรตอบไปหรือวางตัวอย่างไร แม้ว่าเมื่อครู่นี้จะคิดได้ว่าตนอยากทำอะไรก็ตาม

แต่เพียงแค่ได้ยินเสียง หัวใจของเขาก็อุ่นวาบขึ้นมา...

เอเดรียนไม่มีความกล้าพอจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น แม้ว่าเขาจะมีอำนาจมากพอที่จะไล่เวรยามด้านหน้าออกไปก็ตาม แต่ชายหนุ่มไม่สามารถสู้หน้าคู่สนทนาได้ แม้จะอยากเอ่ยปากถามสักเท่าไหร่ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ทว่าเอเดรียนกลับพูดไม่ออก ด้วยรู้ดีว่าตัวเขาเองเป็นคนปล่อยให้อีกฝ่ายได้รับอันตรายนี้

...สาเหตุของเรื่องทั้งหมดในวันนี้มันมาจากตัวเขาทั้งนั้น

เลสธีราห์ไม่มีสิทธิ์ลงกลอนประตู แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่เข้ามาเผชิญหน้ากับเขาสักที เซนทอร์หนุ่มจึงค่อยๆก้าวออกไปและหยุดอยู่ตรงหน้าประตูราวกับต้องการฟังว่าเอเดรียนยังยืนอยู่ที่เดิมหรือไม่ และอีกฝ่ายมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด

ร่างโปร่งวางมือลงบนบานประตูไม้ก่อนจะหลับตา เขารู้สึกได้ว่าเอเดรียนหยุดมือไว้ที่บานจับประตู

และเสียงหัวใจของอีกฝ่ายก็ระสับระส่ายไม่สุขเอาเสียเลย "เลสธีราห์" ร่างสูงเอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ก่อนจะเอนตัวอิงหน้าผากเข้ากับประตูอย่างหมดหนทางจะเอ่ยคำพูด "ข้าขอโทษ..." เพียงแค่คำนั้น เซนทอร์หนุ่มก็ดึงมือออกจากบานประตูราวกับไม่ต้องการได้ยิน แต่มันก็ยากเกินกว่าจะถอยเท้าหนีและเดินจากไปอย่างที่ตั้งใจจะทำ

เขาได้ยินเอเดรียนสูดหายใจเข้าอีกครั้งและพยายามเปล่งเสียงให้ดังกว่าเดิม "ข้าขอโทษ เลสธีราห์"

"พอแล้ว..." เซนทอร์หนุ่มเบือนหน้าหนี เขาไม่อยากจะอยู่ใกล้อีกฝ่ายอีกต่อไป แม้ว่าเอเดรียนจะเป็นคนที่อ่อนโยนสักเพียงใด และบรรยากาศรอบตัวฝ่ายนั้นจะอบอุ่นสักแค่ไหน ตอนนี้เลสธีราห์ไม่ต้องการสัมผัสมันเลยสักอย่างเดียว ร่างโปร่งกำหมัดแน่นและตวาดออกมาอย่างอดกลั้น "กลับไปซะ!"

ความอบอุ่นนั้นไม่ได้มีไว้ให้เขา... ความอ่อนโยนเองก็มีไว้สำหรับผู้อื่น

มันไม่ใช่สิ่งที่มีไว้สำหรับเซนทอร์!

เอเดรียนรับรู้ในอึดใจนั้นว่าคู่สนทนาได้ยินสิ่งที่เขาพูด ร่างสูงจับบานประตูแน่นและรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่จะเปิดเข้าไปในห้องนั้น แต่มันก็ช่างยากราวกับประตูบานเดียวมีน้ำหนักมากยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก "เลสธีราห์" ร่างสูงเรียกชื่อนั้นอย่างอับจน แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถพูดออกมาได้ในตอนนี้ เป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถสื่อออกมาได้ว่าเขายังมีเยื่อใยต่ออีกฝ่าย

"กลับไป..." เซนทอร์หนุ่มดันตัวเองพิงกับประตูไม้ แม้ว่าเขาจะอยากไปให้พ้นจากตรงนี้ อยากจะลงกลอนเอาไว้และไม่พบใครอีกเลยจนกว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลง แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงของเอเดรียน ใจที่เคยเด็ดขาดก็หวั่นไหว ความคิดที่เคยแน่วแน่ก็สั่นคลอน

"เป็นคนเลวอีกสักครั้งได้ไหม ข้าจะได้ตัดใจจากเจ้าได้ง่ายขึ้น"

น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ และน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาจนภาพตรงหน้าพร่าเบลอ "ปล่อยข้าไปจากเจ้าได้ไหม เอเดรียน" เขารู้สึกถึงแรงที่พยายามจะดันประตูเข้ามา แต่เลสธีราห์ก็ใช้กำลังของตนปิดกั้นเอาไว้แบบนั้น "บอกว่าไปให้พ้นยังไงเล่า!!" สุดท้ายแล้ว ร่างโปร่งก็อดทนต่อไม่ได้ เขายืนพิงประตูอยู่อย่างนั้นและปล่อยให้น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง

เจ้าคนโง่เลสธีราห์...

เอเดรียนไม่ดื้อดึงที่จะเข้ามา แต่ก็ไม่ถอดใจกลับไปอยู่ดี เขาได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่าย และมันบาดลึกเข้าไปจนทั้งอกเจ็บแปลบ เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างเลสธีราห์จะร้องไห้ และไม่เคยคิดเลยว่าสาเหตุความเสียใจเจ็บปวดที่ทำให้ร่างโปร่งอดกลั้นต่อไปไม่ได้นั้นมันคือการกระทำของตัวเขาเอง

...ทั้งที่อยากจะปกป้องเอาไว้แท้ๆ

"อย่างน้อยให้ข้า..." แม่ทัพใหญ่พยายามอีกครั้ง "เป็นที่พักพิงของเจ้าอีกสักครั้ง"

เลสธีราห์ไม่ตอบคำ อีกทั้งยังไม่ละไปจากจุดที่ยืน ซึ่งนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปพบหน้า ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เขาทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงลมหายใจขาดห้วง และฟังความพยายามในการกลั้นเสียงสะอื้นของอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่หนักอึ้งและบอบช้ำไม่แพ้กัน

"ข้าไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้" เอเดรียนพยายามพูด "ข้าขอโทษ..."

"ข้าบอกให้หุบปาก!"

เซนทอร์หนุ่มไม่ต้องการฟัง แม้น้ำเสียงของเอเดรียนจะเป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยิน เขาไม่ต้องการพบหน้า แม้ว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็น แต่สิ่งที่เขาพบเจอมันทำให้เขาหลาบจำและหวาดกลัวที่จะลุ่มหลงไปกับมัน "ข้า..." ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึก "ข้าไม่อภัยให้"

พอกันที...

เขาจะไม่ใจอ่อนกับพวกมนุษย์อีกแล้ว และไม่ว่าเขาจะมีชีวิตรอดออกไปหรือไม่ เลสธีราห์ก็ไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือมนุษย์อีก "พอที... ไม่ว่าเจ้าจะเอาข้ออ้างอะไรมาพูด ข้าก็ไม่ให้อภัย" ร่างโปร่งพยายามเสียงแข็ง เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วในตอนนี้ แต่นี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุด

...ไม่ว่าเขาจะรักอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ตาม

เอเดรียนเองก็ใช่จะแข็งแกร่งอย่างที่ตนเองเข้าใจ เพราะเพียงแค่ได้ยินคำนั้น แม่ทัพหนุ่มก็หลับตาลงอย่างสิ้นหวัง และได้ก่นด่าตนเองในอดีตที่ไม่กล้าตัดสินใจหรือลงมือทำสิ่งที่ตนควรจะทำ ซึ่งมันเป็นการปิดประตูโอกาสที่เหลืออยู่น้อยนิดของตนเอง ...เพียงแค่อึดใจเดียว เอเดรียนก็สูญเสียสิ่งที่เขาต้องการจะปกป้องไปตลอดกาล

แต่ในเมื่อนี่คือวิธีที่ดีที่สุด... เขาก็ควรจะตัดใจ

เมื่อรู้ตัวอีกที เอเดรียนก็รู้สึกได้ว่าน้ำตาอุ่นร้อนไหลผ่านแก้มของตน แม่ทัพหนุ่มไม่พูดต่อ ด้วยไม่รู้ว่าจะหาคำพูดใดมาเอ่ยอ้าง เลสธีราห์ไม่ให้อภัยเขา และเอเดรียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายเด็ดขาดที่จะทำ สิ่งที่เขาควรจะทำตอนนี้คือการหันหลังกลับไปที่พักของตนเงียบๆเท่านั้น แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่เอเดรียนต้องการเลยแม้แต่น้อย

"หากข้ากลับไป..." แม่ทัพใหญ่พยายามอีกครั้ง "เจ้าจะตัดใจจากข้าได้ใช่ไหม"

"ใช่..."

คำตอบที่สวนกลับมารวบเร็วและแน่วแน่ทำให้เขาต้องชะงักไปพักหนึ่ง "เช่นนั้นแล้ว... ข้าจะต้องทำอย่างไร เพื่อจะตัดใจจากเจ้าบ้าง เลสธีราห์" เซนทอร์หนุ่มหักห้ามใจไม่ให้ตนเองกระชากบานประตูเปิดออก แต่เพียงแค่คำนั้น ความคิดที่เคยเด็ดขาด และใจที่เข้มแข็งกลับแปรเปลี่ยนในอึดใจ เลสธีราห์หันกลับไปหาประตูไม้อีกครั้ง และค่อยๆเอียงหน้าผากแตะกับแผ่นไม้ ฟังเสียงลมหายใจของคู่สนทนาที่อยู่อีกฝั่งฟาก แม้ว่าอีกใจหนึ่งจะอยากให้เอเดรียนเข้ามาและกอดเขาเอาไว้ให้แน่นก็ตามที

"ถ้าความรู้สึกของข้ามันหักหาญได้อย่างเจ้าก็คงดี"

ในตอนนี้เลสธีราห์เกลียดวิธีการพูดแบบนี้ของเอเดรียนเหลือเกิน เพราะมันยิ่งทำให้เขาใจอ่อน และลืมไปว่าเมื่อครู่นี้โกรธเคืองอีกฝ่ายมากแค่ไหน "แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้น... ให้ข้าพบเจ้าอีกสักครั้งได้ไหม เลสธีราห์" อีกฝ่ายอ้อนวอน และกระซิบผ่านประตูไม้ราวกับรู้ว่าเซนทอร์หนุ่มยังอยู่ตรงนั้นและรับฟังทุกคำพูดอย่างใจจดใจจ่อ

มือเรียวที่กอบกำบานจับประตูจนขาวซีดค่อยๆคลายออก และร่างโปร่งก็ถอยเท้าออกห่างช้าๆ เสียงก้าวเท้าถอยหลังของเลสธีราห์เป็นสัญญาณแทนคำอนุญาตให้เอเดรียนเข้ามาในห้องได้ ดังนั้นแม่ทัพใหญ่จึงค่อยๆดันประตูเข้าไป และกลั้นใจนิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าของคู่สนทาอีกครั้งหนึ่ง

ดวงตาสีฟ้าครามสดสวยแดงก่ำเช่นเดียวกับจมูกรื้นน้ำ ทว่ากลับไม่มีน้ำตาสักหยดปรากฎให้เห็น

เอเดรียนปิดประตูห้องลงไร้เสียง ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้กับเซนทอร์ แม้จะรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์ไถ่ถาม แต่มือใหญ่ก็ค่อยๆยกขึ้นแตะรอยช้ำบนโหนกแก้มของคนตรงหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเคลื่อนลงมองข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนหนักอึ้งและผิวกายที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน

ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเขาคนเดียวแท้ๆ

"ข้าขอโทษ..." คนฟังหลับตาลงราวกับปฏิเสธ แต่ก็ยินยอมให้เอเดรียนประคองใบหน้าเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ความอบอุ่นและอ่อนโยนที่เขาคุ้นเคยทำให้เซนทอร์ต้องใจอ่อน แม้ว่าใจหนึ่งจะยังคงย้ำเตือนว่าอีกฝ่ายทำอะไรเอาไว้บ้าง "ข้าขอโทษ" เอเดรียนอิงหน้าผากของตนกับอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำมาตลอด สัมผัสอบอุ่นจนแทบละลายทำให้เลสธีราห์ขมเม้มริมฝีปากของตนอย่างอดกลั้น อีกฝ่ายยังคงกล่าวเช่นเดิมซ้ำๆด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดต่อไป

"พอใจหรือยัง" ร่างโปร่งใจแข็งเอ่ยถาม "ออกไปจากห้องข้าได้หรือยัง"

เซนทอร์หนุ่มออกปากไล่ แต่ตัวเขาเองต่างหากที่ทนอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไป เลสธีราห์อยากนั่งพัก อยากทรุดตัวลงกับพื้นและนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเพื่อให้จิตใจสงบกว่านี้ และเขาคงจะทำไม่ได้หากเอเดรียนยังอยู่

"...เลสธีราห์"

"ออกไป..." เจ้าของชื่อย้ำอีกครั้งพร้อมกับหลับตาลง อุ้งมือเรียวขยับกำหมัดแน่นเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ แต่ไม่นาน มือที่ใหญ่กว่าของเอเดรียนก็แตะสัมผัสมือของเขาแผ่วเบา จนเลสธีราห์ยอมคลายหมัดออกในที่สุด และมือของเอเดรียนก็กอบกุมมือของเขาข้างนั้นไว้ ส่งผ่านความอ่อนโยนทั้งหมดไปช่วยปลอบโยนจิตใจที่บอบช้ำ เลสธีราห์หลับตาลงแน่น แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจ เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผ่อนคลายรอบตัว ความรู้สึกดีๆที่อีกฝ่ายเคยมองให้กลับมาในความทรงจำ ความรู้สึกที่แสนมีค่าที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนไหลเวียนกลับมาเด่นชัดในความทรงจำราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ความกลัว ความกังวล และความสิ้นหวังทั้งหมดทั้งปวงถูกขับไล่ออกไป และแทนที่ด้วยความอบอุ่นของเอเดรียน

"หันหลังไปจากข้าสักที"

เซนทอร์หนุ่มพยายามจะหนักแน่น แต่ปลายจมูกโด่งก็เอียงแนบสันจมูกของเขาช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะค่อยๆแตะสัมผัสกันเป็นครั้งแรก "..." เลสธีราห์เผลอกลั้นหายใจและเผยอกลีบปากออกรับจุมพิตจากอีกฝ่ายอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ ปลายลิ้นของเอเดรียนอุ่นร้อนยิ่งกว่าอุณหภูมิจากฝ่ามือใหญ่ ทว่าแผ่วเบานุ่มนวลยิ่งกว่าลมหายใจที่รดรินอยู่

คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันขณะที่เปลือกตาบางปิดแน่นเพื่อกดกลั้นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เอเดรียนรุกริมฝีปากจูบเนิบช้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกจนเกินไป เขาไม่เอื้อมแขนออกไปพันธนาการฝ่ายนั้น แต่รอให้เลสธีราห์วางมือลงบนบ่ากว้างด้วยตนเอง เสียงโซ่ตรวนแว่วมาเข้าหู และร่างสูงก็รับรู้ถึงน้ำหนักของมันเมื่อมือทั้งสองเหนี่ยวรั้งเขาไว้พร้อมกับตอบรับอย่างไม่แน่ใจ

เพียงเท่านี้ก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้วกระมัง...

 “อือ…!” แขนแกร่งรวบเอวคอดเข้ามากอดแนบกาย ทั้งคู่ถอยออกจากกันเล็กน้อยเพื่อสูดอากาศเข้าปอด ลมหายใจของเลสธีราห์สั่นพร่าบ่งบอกถึงความสับสน  ร่างโปร่งขบริมฝีปากตัวเองและก้มลงมองต่ำอย่างขัดใจ “…” แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวคำใดออกมา เขาไม่สามารถยืนกรานเสียงแข็งได้ดังเดิม ไม่ว่าจะอยากสบถออกมาให้ดังสักแค่ไหน หรืออยากตวาดคนตรงหน้าให้สาแก่ใจอย่างไรก็พูดไม่ออก …นี่ช่างเป็นความอ่อนแอที่น่าอัปยศเหลือเกิน

…มนุษย์ช่างโลเล เขารู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือไร

โดยเฉพาะเอเดรียนผู้นี้



แต่แค่อีกฝ่ายสัมผัสเขาแบบนี้ เลสธีราห์ก็ไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป “ปล่อย…” จิตใจของชายหนุ่มก็ยังต่อต้านความรู้สึก เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลรวมตัวกันอยู่ในหัวและพยายามออกคำสั่งให้ร่างกายขืนออกจากวงแขนคนตรงหน้า เพราะเอเดรียนไม่ใช่หรือไรที่ทำให้เขาต้องอยู่ในสภาพนี้ เพราะเอเดรียนไม่ใช่หรือไรที่ทำให้เซนทอร์ที่ควรจะแข็งแกร่งถูกกำหราบพยศได้ง่ายดายเช่นนี้

แต่ก็เพราะเอเดรียนไม่ใช่หรือไรที่ทำให้เขาสละทุกอย่างเพียงเพื่อปกป้องชีวิตฝ่ายนั้นเอาไว้

คู่สนทนาไม่ตอบคำ เขาเพียงแค่ชะโงกมาอิงหน้าผากด้วยอีกครั้ง และสักพักหนึ่งกว่าเอเดรียนจะพูดอะไรออกมาด้วยเสียงต่ำเบาจนแทบไม่ได้ยิน “คิดว่าข้าจำไม่ได้หรือ... ว่าเคยทำอะไรเอาไว้” คำนั้นทำให้เลสธีราห์ต้องมุ่นคิ้ว การเคลื่อนไหวดิ้นรนทั้งหมดชะงักงันรอฟังคำต่อไป

“เป็นของข้าไม่ได้เหรอ เลสธีราห์”

“…”

เอเดรียนจำได้หรือ... แม้จะมึนเมาในรสสุรามากขนาดนั้น อีกฝ่ายก็พูดย้ำคำเดิมได้ไม่ผิดเพี้ยน อีกฝ่ายจำได้มาตลอดอย่างนั้นหรือว่าเขาทำอะไรบ้าง “แต่ข้า…” ร่างโปร่งอึกอัก “ข้าคือ เลสธีราห์ …ผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์แห่งแอสทารอธ”

“ข้ารู้...” ร่างสูงซบหน้ากับลาดไหล่อีกฝ่าย จากอ้อมกอดที่แสดงความเป็นเจ้าของในตอนแรก บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นการอ้อนวอนเหนี่ยวรั้ง และยิ่งออกแรงกอดรัดมากขึ้นเมื่อมือเรียวแตะเส้นผมสีเข้มแทนการปลอบโยน “ถึงตอนนี้ ข้าจะรู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของร่างสูงอ้อนวอน ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดลำคอขาว "แต่ข้าก็ยังอยากครอบครองเจ้าไว้เพียงคนเดียวอยู่ดี"

เล็บคมจิกบ่ากว้างต่อต้าน แต่ก็ยอมผ่อนแรงลงในที่สุด

…เขาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 15.2 [7-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-11-2016 13:20:18
ถึงเลสธีราห์จะใจอ่อนให้ง่าย ๆ แต่เรื่องอื่นคงไม่ง่ายนะเอเดรียน
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 15.2 [7-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 07-11-2016 15:12:09
โอ้โหเจ็บปวด ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจ้าคิดเจ้าแค้นสักนิดเรื่องจะไม่มีทางลงเอยแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 08-11-2016 20:20:19
ตอนที่ 16.1

หญิงรับใช้ผู้มีหน้าที่ล้างจานทราบเรื่องทั้งหมดจากคนงานเลี้ยงม้า แต่เธอยังต้องล้างจานกองโตตรงหน้าให้เสร็จเสียก่อนจึงจะสามารถปลีกตัวออกไปจากคฤหาสน์ราห์โมนาได้ แต่แน่นอนว่าจิตใจของเฟรดาในตอนนี้ไม่ได้อยู่กับจานตรงหน้าเลย

เพล้ง...!

"ว้าย!" แต่แทนที่คนทำจานแตกจะตกใจ กลับเป็นหญิงรับใช้คนอื่นที่เสียขวัญและหันมาตำหนิเพื่อนร่วมงานคนใหม่ "ใบที่สามของสัปดาห์นี้แล้วนะเฟรดา!!" เซนทอร์หญิงในร่างมนุษย์ก้มหน้ารับคำตำหนิและเริ่มเก็บเศษจานกระเบื้องที่กระจัดกระจาย "เป็นอะไรของหล่อน เหม่อมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว"

"ข้าเหม่อหรือ" เฟรดาทวนคำเบาๆ "ขอโทษด้วย"

"นางอาจจะมีความรักอยู่ก็ได้ เจ้าก็อย่าไปถือสาเลย นี่ดีนะยังเป็นแค่จานเปล่า วันก่อนโน้นจินนาทำโถเครื่องปรุงแตก ถูกเอ็ดเอายกใหญ่แล้วก็ถูกตัดเบี้ยด้วยนะ" พวกหญิงรับใช้หันไปซุบซิบพูดคุยกันต่อโดยไม่ได้สนใจเฟรดา เซนทอร์สาวเองก็รู้สึกดีที่ไม่ถูกเซ้าซี้ให้มากความ เธอรีบนำเศษจานไปทิ้งและเดินกลับมายังกะละมังตรงหน้าต่อ

"นี่... พวกเจ้าเห็นท่านเอเดรียนกลับมาหรือยัง"

"เห็นว่าไปพบท่านชายซินญอร์ ตั้งแต่มีเรื่องเมื่อวานมานี้ มหาคฤหาสน์ก็คงจะวุ่นวายน่าดู"

เฟรดาเหลือบตาขึ้นมองและแอบฟังบทสนทนาเล็กน้อยเพื่อเป็นการเก็บข้อมูล ถึงแม้ว่าหัวข้อพูดคุยของหญิงรัลใช้เหล่านี้ส่วนมากจะไร้สาระและจินตนาการเป็นตุเป็นตะก็ตาม "ก็จับเซนทอร์ได้ทั้งทีนี่นะ แถมเป็นคนที่ปลอมตัวเข้ามาตีสนิทท่านเอเดรียนอีกต่างหาก"

"อย่างนั้นก็คงดีแล้วที่จับได้ ไม่อยากนั้นท่าเอเดรียนก็ต้องมีอันตรายอีก แบบคราวที่แล้วน่ะ"

"ก็ท่านเอเดรียนชอบพอใครง่ายจะตายไป ไม่กี่เดือน ไม่กี่วันก็หลงหัวปักหัวปำ"

"เฮอะ! ข้าทำงานที่นี่มาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เห็นท่านเอเดรียนจะชายตามองเลย!"

เฟรดากระพริบตาถี่ๆกับบทสนทนานั้น ด้วยประหลาดว่าไม่ใช่นางคนเดียวที่มีความเห็นว่าแม่ทัพเอเดรียนกับเลสธีราห์มีความสัมพันธ์แปลกประหลาดต่อกัน "เจ้าหมายความว่า..." เซนทอร์หญิงพูดบ้าง "ท่านเอเดรียนกับ... กับ... เซนทอร์ตนนั้น" เฟรดารู้ดีว่านางควรจะทำเป็นไม่รู้จักเลสธีราห์ ดีกว่าเรียกชื่ออย่างสนิทสนม

"ท่านเอเดรียนเห่อเขาจะตายไป..." หญิงรับใช้ว่า "นี่ขนาดเป็นเซนทอร์ และเป็นผู้ชายด้วยเนี่ยนะ!"

"เจ้าไม่รู้สึกประหลาดหรือไง" เฟรดาสงสัย "ข้าหมายถึง..."

หญิงรับใช้ทั้งสี่คนที่นั่งล้างจานอยู่หันมามองเฟรดาเป็นตาเดียวกันจะตอบพร้อมกัน "ประหลาด!" และแน่นอนกว่ากระพูดพร้อมกันทำให้เสียงของพวกดังไปทั่วบริเวณราวกับตะโกน ดังนั้นพวกนางจึงพยายามลดเสียงลงและแย่งกันพูดความคิดเห็นของตัวเอง "จริงอยู่ว่าคนผมทองแบบนั้นหายากมากในอาเดรีย และผู้ชายคนนั้นก็สง่างามราวกับรูปปั้น แต่..."

"ท่านเอเดรียนอาจจะเห่อคนสวย แต่ข้าก็คิดว่าอย่างไรก็หลงแค่รูป ผู้ชายกับผู้ชายมันจะทำอะไรได้!"

"ยิ่งมารู้เอาตอนนี้ว่าเขาคนนั้นเป็นเซนทอร์ ข้าคิดว่าท่านเอเดรียนคงเลิกชอบได้ไม่ยากนักหรอก" เฟรดามุ่นคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน นางพอจะรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และนางก็พอจะรับรู้ถึงความรู้สึกของเลสธีราห์ ดังนั้นการคาดเดาของเหล่าหญิงรับใช้จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะพวกนางรับใช้แม่ทัพเอเดรียนมาเป็นเวลนาน มีหรือจะไม่เข้าใจนิสัยใจคอของอีกฝ่าย

และหากเลสธีราห์เป็นฝ่ายเปิดเผยตัวตนก่อนเช่นนี้ ข้อสันนิฐานของเฟรดาจึงไม่น่าคลาดเคลื่อน

แต่การกระทำของแม่ทัพเอเดรียนต่างหากที่น่าห่วง เพราะหากฝ่ายนั้นเพียงแค่ 'หลงใหล' เลสธีราห์เพียงชั่วครู่ แน่นอนว่าจะสามารถหักหาญความรู้สึกนั้นได้ในเวลาไม่นาน และจะใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเลสธีราห์ในภายหลังเป็นแน่ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงพลังของธนูแอควาเรียร์

"ข้าทำในส่วนของข้าเสร็จแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน" เฟรดาล้างมือก่อนจะลุกขึ้น "นึกได้ว่าพี่สาวข้าจะมาเยี่ยมจากคัสนาห์ในวันนี้และข้ายังไม่ได้เตรียมอาหารไว้ให้นางเลย พรุ่งนี้เช้าข้าจะมาทำชดเชยให้ก็แล้วกันนะ!" และโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากเพื่อนร่วมงาน เฟรดาก็หันหลังกลับและรีบเดินออกไปจากเขตแดนของคฤหาสน์ราห์โมนา มุ่งหน้าออกไปจากปราการชั้นสอง สู่เขตตลาดกลางและย่านที่พักอาศัยของประชาชนธรรมดา

เซนทอร์มีเรี่ยวแรงมากกว่ามนุษย์ ดังนั้นหญิงสาวจึงสามารถวิ่งเหยาะๆมาได้ตลอดทางโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะตรงไปที่ชายป่าทางเหนือและคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์เพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองเลาน์เรนแห่งแอสทารอธ

...นางจะต้องแจ้งเรื่องนี้แก่พี่สาว แม่ทัพหญิงโมนา!

--------------------------------------------------

เมื่อเลสธีราห์ลืมตาขึ้นมา แสงอาทิตย์ก็ส่องจ้าเข้ามาถึงเตียงที่พักในห้องแล้ว

ความรู้สึกหนักที่ข้อมือเตือนให้เซนทอร์หนุ่มจำได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ร่างโปร่งขยับมือขึ้นมาขยี้ตาอย่างที่เคยทำทุกครั้งหลังตื่นนอน ก่อนจะถอนใจและหลับตาลงอีกครั้งเนื่องจากเขาไม่เห็นแม่ทัพอาเดรียอยู่ในสายตา

...ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะตัดสินอีกฝ่ายว่าอย่างไรกันแน่

แล้วตัวเขาเองเล่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะเข้าใจโลกความเป็นจริงนี้นานแล้ว เลสธีราห์นึกโทษตัวเองอยู่ลึกๆที่ยอมให้ความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผลจนการกระทำทุกอย่างแสดงออกมาผิดเพี้ยนไปหมด ต่อให้เขาตัดสินเอเดรียนไม่ได้ เขาก็ควรจะตัดสินใจของตัวเองได้ ตัวเขาที่เป็นแม่ทัพเรือของแอสทารอธกับเอเดรียนที่เป็นแม่ทัพใหญ่ของอาเดรียอยู่ห่างกันเกินไป

ห่างกันเกินกว่าทุกอย่างที่เขาคาดหวังจะเป็นไปได้...

แต่เขาก็ยังปรารถนาความอบอุ่นเหล่านั้น ความอ่อนโยนพวกนั้น และความรู้สึกแสนหวานที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ทุกสิ่งนี้... เลสธีราห์รู้ดีว่าเขาครอบครองมันไม่ได้ หากเขายังได้ชื่อว่าเป็นเซนทอร์อยู่ และเอเดรียนก็คงไม่สามารถเลือกเขาได้เช่นกัน เพราะคำว่าหน้าที่ที่ค้ำคออยู่แบบนี้

นิ้วมือหยาบของเอเดรียนค่อยๆปัดปอยผมที่ปรกหน้าออกช้าๆ ทำให้คนที่นอนอยู่สะดุ้งสุดตัวและหันไปมองด้วยความตกใจ "...!" แม่ทัพหนุ่มแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า ในขณะที่เลสธีราห์ยันตัวลุกขึ้นนั่งและพยายามขยับหนีด้วยความที่ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร

"ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นนี่" เอเดรียนเอ่ยเสียงเรียบ "หรือไม่อยากให้ข้าเข้าใกล้แล้ว"

เลสธีราห์ถอนใจยาวแล้วส่ายหัว "ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะยังอยู่" ร่างโปร่งชอบนอนตะแคง และไม่ทันคิดว่าการที่เอเดรียนไม่อยู่ในสายตาไม่ได้จะแปลว่าเขาไม่อยู่ แม่ทัพหนุ่มหัวเราะสั้นๆกับตัวเองแล้วลูบผมยาวสีอ่อนของคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

"คิดว่าข้าจะไปจากเจ้าได้ลงคอเชียว"

"ใครจะรู้ใจเจ้า..." เซนทอร์หนุ่มสวน และความเงียบก็ปกคลุมห้องด้วยความที่ทั้งคู่ไม่รู้จะพูดอะไร เอเดรียนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางสงบนิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดหาวิธีสื่อสารสิ่งที่อยู่ในจิตใจ เมื่อเลสธีราห์เห็นดังนั้นจึงรีบพูดขึ้นมาก่อน

"เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอก..." เขาว่า "ข้าอาจจะถูกเนรเทศจากแอสทารอธแล้วก็ได้"

"..." เอเดรียนมุ่นคิ้วตอบประโยคนั้น "ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น" แม่ทัพใหญ่ว่า "ข้ารู้ว่าท่านชายคิดอะไร และทุกคนคิดอะไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทำกับเจ้า" เอเดรียนได้ชื่อว่ามีความสามารถในการวางแผน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้ว่าแต่ละคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง ผู้นำอาณาจักรต้องการใช้เลสธีราห์เป็นเครื่องมือต่อรองกับแอสทารอธแทนเรือจักรไอน้ำ เนื่องจากเลสธีราห์เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของแอสทารอธ และมีความเป็นไปได้สูงว่าเซนทอร์เองก็อาจต้องยอมตาม แต่นี่ก็เป็นวิธีที่สร้างศัตรูที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง อาเดรียต้องการแอสทารอธมาเป็นพันธมิตร หาใช่ศัตรู ดังนั้นเอเดรียนจึงต้องคิดหาวิธีไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

"ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าอับอายขายหน้า"

เลสธีราห์ไม่ออกความเห็นในทันทีแต่กลับมองถาดอาหารเช้าที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงสักพัก

"แล้วทำไม... เจ้าถึงไม่ช่วยข้าในตอนนั้น"

คนถูกถามเผลอกลั้นใจเมื่อได้ยินประโยคแทงใจนั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจในเหตุผล เขาคิดได้แต่แรกแล้วว่าสิ่งที่หัวหน้าพรานทำเป็นเรื่องผิด คิดได้แต่แรกว่าตนควรยื่นมือเข้าปกป้องเลสธีราห์ที่เป็นคนของตน แต่เขากลับนิ่งเฉย ตกตะลึง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์เก่าๆในอดีต ความรู้สึกเจ็บเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างรุนแรงเหมือนกันกับตอนที่เขารู้ว่าตนถูกคนรักหักหลัง

...ตอนที่เขารู้ว่าถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกมาตลอด เอเดรียนก็ยอมถูกจับโดยดีเพราะไม่อาจขยับตัวได้

"ข้าโลเล เลสธีราห์..." แม่ทัพหนุ่มตอบ

"นั่นไม่ใช่คำตอบที่หนักแน่นพอจะพูดกับเซนทอร์ เอเดรียน"

นัยน์ตาสีเข้มหลือบขึ้นมองประสานกับคนพูด เลสธีราห์ไม่ได้โกรธ ไม่มีโทสะอยู่ในสายตาและน้ำเสียงของฝ่ายนั้น แต่สิ่งที่คนครึ่งม้าต้องการที่สุดในตอนนี้คือความชัดเจน เซนทอร์ชอบความตรงไปตรงมา พวกเขาซื่อสัตย์และยึดมั่นในคำพูดเสมอ ดังนั้นการสนทนากับเผ่าพันธุ์นี้จะมีความโลเลไม่ได้

"เจ้าทำให้ข้านึกถึงอดีต..." เอเดรียนตอบอีกครั้ง "นึกถึงหญิงที่ข้าเคยรัก และสัญญาจะปกป้องนาง แต่ท้ายที่สุดแล้ว นางก็เป็นเพียงนกต่อจากธีสธรัลที่เขามาสืบเรื่องกองกำลังลับของอาเดรีย" คิ้วของคนพูดขมวดมุ่น "ข้าเกือบตายเพราะเหตุการณ์นั้น เลสธีราห์... และข้าไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับข้าอีกหลังจากผ่านเหตุการณ์นั่นมาไม่ถึงปี"

"..." ถึงคราที่เลสธีราห์เป็นฝ่ายเงียบบ้าง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบอะไร เขาควรจะขอโทษอีกฝ่ายหรือไม่ที่ทำให้นึกถึงอดีตที่ไม่ดีขึ้นมา เพราะการกระทำของเขาเองก็แทบไม่ได้ต่างจากผู้หญิงคนนั้นเลย แต่อาจจะดีกว่าอยู่บ้างที่เขามีเจตนาปกป้อง หาใช่เข่นฆ่า

แต่ทำให้เอเดรียนเสียความรู้สึกแบบนี้จะเรียกว่าดีกว่าได้อย่างไร

"และถ้าข้าปล่อยเจ้าไป... เจ้าจะกลับมาหาข้าอีกไหม เลสธีราห์" มือใหญ่เอื้อมไปลูบผมยาวสีอ่อน และร่างสูงก็ก้มลงอิงหน้าผากแนบอีกครา "ข้าต้องทำอย่างไร เพื่อให้เจ้ายังอยู่ตรงนี้" อีกฝ่ายพึมพำซ้ำไปมาอย่างไม่เข้าใจ และคนถูกถามได้แต่หลับตารับฟังเพราะเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้

เอเดรียนผละตัวออกเล็กน้อย และแนบริมฝีปากอุ่นจูบที่ผากหน้ามน ถ่ายทอดความรู้สึกที่ไม่อาจพูดออกมาได้ให้เซนทอร์หนุ่มรับรู้ ก่อนจะกอดเอาไว้อย่างนั้น อิงแอบไออุ่นของอีกฝ่าย และปรารถนาให้ช่วงเวลานี้คงอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร์ แม้จะรู้ว่าไม่อาจทำได้ก็ตาม

แต่หากหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้มันจะดีแค่ไหน...

หากพวกเขามีเพียงกันและกันมันจะดีแค่ไหน...

เอเดรียนขบริมฝีปากของตนและกลืนคำว่า 'หนี' ลงคอไปด้วยรู้ว่าตนอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถทำได้ เขามีภาระหน้าที่สำคัญจะต้องรับผิดชอบ หากหนีไปก็คงเป็นได้แค่คนเห็นแก่ตัว และคงไม่มีศักดิ์ศรีอะไรที่น่าภูมิใจ มีแต่สร้างความอับอายไปทั่วเท่านั้น สำหรับเซนทอร์แล้ว พวกเขายึดถือในความเป็นอัศวิน และเกียรติอันสูงสุดของอัศวินคือการได้ปกป้องบ้านเมือง

หากเขาปรารถนาเซนทอร์... เอเดรียนจะต้องมีเกียรติมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายภูมิใจ

แม้ว่าการได้มาซึ่งเกียรตินั้นอาจจะทำให้เขาไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบนี้กับเลสธีราห์ได้

ร่างสูงประคองมือเรียวของคนที่นอนอยู่ขึ้นจรดริมฝีปากลงไปบนฝ่ามือช้าๆ ...มันช่างเป็นความมุ่งมั่นที่เจ็บปวดเหลือเกิน การที่รู้ว่าตนเองต้องต่อสู้อย่างไร และต่อสู้ไปเพื่ออะไร แต่สุดท้ายก็อาจไม่ได้ครอบครองสิ่งที่ปรารถนา เอเดรียนหลับตาลงช้าๆ ในขณะที่เลสธีราห์ค่อยๆเคลื่อนมือขึ้นไปแตะสัมผัสเสี้ยวหน้าเย็นเฉียบ และประคองตัวเองลุกขึ้นนั่งช้าๆเพื่อจะมองคู่สนทนาให้ชัดขึ้น

"เราไม่ควรทำแบบนี้เลยจริงๆ" เซนทอร์หนุ่มว่า แล้วแนบหน้าผากตัวเองกับอีกฝ่ายอย่างที่ชอบทำ

...เราไม่คู่ควรกันเลยจริงๆ

--------------------------------------------------



ปล. กระดึ้บๆมาทีละครึ่งตอน OTL
ปล.2 จริมๆตอนที่แล้วเขามีซัมติงกันนะ แต่หาแทรกไม่ได้เลย ดูอารมณ์มันดราม๊าาาาไปหมดดดดด O]---[
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.1 [8-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-11-2016 21:18:57
อ่านตอนเริ่ม ๆ บทก็คิดอยู่ค่ะ ก็ดันเริ่มบทบนเตียงเสียอย่างนั้น
แต่ว่าทหารที่เฝ้าหน้าห้องจะไม่ได้ยินเสียงเหรอ
แล้วเลสธีราห์แปลงเป็นคนได้แล้วเหรอ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 09-11-2016 19:45:27
ตอนที่ 16.2

ผู้นำอาณาจักรทอดมองคู่สนทนานิ่งๆเมื่อพบว่าแม่ทัพคนสนิทของตนปฏิเสธจะเข้าพบและส่งเลขาส่วนตัวมาแทนซึ่งนั่นก็คือจาเร็ตต์ "เมื่อไหร่กันที่แม่ทัพสามารถปฏิเสธคำสั่งของข้าได้" ซินญอร์เสียงแข็งอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็รู้ดีว่าจาเร็ตต์เป็นคนสนิทของเอเดรียนและมีความจงรักภักดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นจึงนับว่าเป็นผู้ที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง

"ทั้งที่รู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ..."

จาเร็ตต์ค้อมหัวลงรับคำตำหนิของผู้นำอาณาจักร "ท่านแม่ทัพเองก็กำลังสะสางเรื่องสำคัญอยู่ ดังนั้นจึงส่งข้ามาพบท่านชายแทนขอรับ" คำตอบที่ติดจะตรงไปตรงมาอยู่สักหน่อยทำให้ซินญอร์หัวเราะลงคอแม้ว่าจะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่ก็คิดได้ว่ามีเรื่องที่สำคัญกว่าการต่อล้อต่อเถียงกับคนใต้บัญชาจึงหันมาสนใจสิ่งที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าแทน ...ซึ่งนั่นก็คือธนูแอควาเรียร์

"ได้ยินว่าเซนทอร์ที่ถูกจับได้เป็นคนสนิทของเอเดรียน" ผู้นำอาณาจักรมองคู่สนทนา "เหตุใดข้าจึงไม่รู้จัก"

"เลสธีราห์เพิ่งเข้ามาร่วมกับคณะของเราได้ไม่นาน แต่ข้าได้ยินว่าท่านแม่ทัพรู้จักสนิทสนมกับชายผู้นั้นมาสักพักใหญ่แล้ว" จาเร็ตต์ตอบตรง "พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซนทอร์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้เอะใจว่าเขาจะเป็นชาวแอสทารอธ แต่ข้าเป็นผู้ที่จับตาดูพฤติกรรมของเขาอยู่โดยตลอด พบว่าชายผู้นั้นไม่มีเจตนาร้ายใดๆ" ท่านชายซินญอร์ไม่ตอบคำ เพียงแต่พิจารณาคันธนูตรงหน้าอันเป็นศิลปะการแกะสลักของชาวเอลฟ์ที่หาดูได้ยาก

"แม้จะบอกว่าเขาไม่มีพิษภัย... แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ชาวเมืองเรา"

"แต่หากมองหาสหายที่เติบโตมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันจนไว้เนื้อเชื่อใจ... เราล้มตายกันไปมากเท่าไหร่แล้ว ท่านชาย" จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว "เหลือเพียงข้า ท่านพี่โจฮาล และท่านแม่ทัพเท่านั้น ที่เรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกันจนไม่มีความลับต่อกัน เราจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆเข้ามา" แต่เดิมพวกเขาคือกลุ่มองครักษ์คนสนิทของท่านชายซินญอร์ แม้จะอายุอานามห่างกันไปบ้าง แต่ก็เข้ามาทำหน้าที่ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน และใช้เวลานับสิบปีในการหล่อหลอมความสัมพันธ์ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการสูญเสียไปกับสงครามและความไม่สงบ ดังนั้นกลุ่มองครักษ์คนสนิทในปัจจุบันจึงเหลือเพียงเท่านี้ โดยไม่มีผู้ร่วมงานใหม่ๆเข้ามา

"แล้วเอเดรียนไม่เข็ดหลาบหรืออย่างไร ด้วยการเอาคนนอกมาอยู่ใกล้ชิดแบบนี้!"

"เพราะเลสธีราห์ไม่เหมือนเวห์เซีย!" จาเร็ตต์ขึ้นเสียงตอบแทนผู้เป็นนาย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกและอธิบายต่อ "เลสธีราห์มีความลับอยู่มาก ข้าเองก็ระวังระแวงไม่ต่าง... ในฐานะเพื่อนร่วมงาน แต่ในเมื่อเขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้อาเดรีย ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องหักหาญ" เลขาหนุ่มกำหมัดแน่น "และเหตุผลที่เขาถูกจับได้ในร่างเซนทอร์ ...ก็เพราะเขาพยายามจะช่วยเอเดรียนจากพวกไอย์ชวล" พรานป่าไม่ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการ 'จับ' เซนทอร์ให้ผู้นำอาณาจักรฟัง ฝ่ายนั้นมองเพียงแค่ผลประโยชน์ของอาณาจักร เพราะพวกเขาจับ 'คนสำคัญของแอสทรอธ' มาได้

นี่ไม่ใช่วิธีการที่ซินญอร์ชอบใจนัก แต่เขาก็พอจะเห็นประโยชน์จากมันบ้างเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากจาเร็ตต์

"ท่านชาย... ปล่อยเซนทอร์ตนนั้นเถอะ แล้วดำเนินแผนการตามเดิม"

"ส่งพวกเจ้าไปขโมยศาสตร์การต่อเรือมาจากธีสธรัลน่ะหรือ" ผู้นำอาณาจักรว่า "นั่นเป็นการฆ่าตัวตาย แม้แต่เด็กเล็กฟังเรื่องนี้ก็ยังรู้" เขามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งสามารถเห็นท่าเรือออโรราที่เงียบเหงาได้จากห้องทำงานในมหาคฤหาสน์นี้ "เสี่ยงตายถึงเพียงนั้น เพื่อจะนำสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลมามอบให้คนอื่น" ซินญอร์มุ่นคิ้ว "ข้ามองคนผิดไปหรืออย่างไร จาเร็ตต์ เหตุใดแม่ทัพของเจ้าจึงได้ยื่นข้อเสนอที่โง่เง่าเช่นนั้นไปได้"

"แต่หากเราไม่ยื่นสิ่งที่มีมูลค่า แอสทารอธอาจจะเข้าข้างธีสธรัล และนั่นคงจะทำให้เราตกที่นั่งลำบากกว่า"

ซินญอร์หลับตาลง "อาเดรียเราอาจจะไม่มีสิ่งที่มีมูลค่านั่นจริงๆก็ได้" เขาหันกลับมาหาคู่สนทนาอีกครั้ง "แต่ในเมื่อตอนนี้เราได้ตัวบุคคลสำคัญของแอสทารอธมาแล้ว ข้าคิดว่าเราคงไม่ต้องลงแรงมากขนาดนั้น ต่อให้แอสทารอธจะเคร่งครัดในกฎระเบียบมากแค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยความหยิ่งทระนงในเผ่าพันธุ์ของตนเอง ข้าคิดว่าพวกเซนทอร์คงไม่ยอมอยู่เฉยและปล่อยให้.... เลสธีราห์... คนนั้นถูกจับอยู่ในอาเดรียหรอก"

"ท่านชาย...!" จาเร็ตต์เสียงแข็ง

"ถ้าไม่เห็นแก่ท่านแม่ทัพ ก็ขอให้เห็นแก่ความปลอดภัยของอาเดรียที่อาจจะมีศัตรูเพิ่มเป็นแอสทารอธ"

"ตอนนี้เจ้าแค่ทำตามวิธีการของข้า เราไม่ได้มีเวลามากนัก" ซินญอร์หรี่ตาลง "และหากจะพูดเรื่องของความสัมพันธ์ของแม่ทัพใหญ่กับเซนทอร์ตนนั้น เจ้าเองก็น่าจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงแม่ทัพกองเรือเซเลสต์ ซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะกลับมามีความสัมพันธ์แบบเดิมต่อกันอย่างที่วาดฝัน การดิ้นรนดื้อรั้นไปก็เป็นได้เพียงแค่การถ่วงเวลา" คำพูดของเขาทำให้จาเร็ตต์หมดหนทางจะตอบโต้ เพราะสิ่งที่ซินญอร์กล่าวนั้นคือความจริง เพียงแต่เป็นความจริงที่พอจะมีข้อดีอยู่บ้าง ต่างจากความจริงในปัจจุบันที่ดูจะเลวร้ายไปเสียหมด

"มันไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้ จาเร็ตต์... ทำได้เพียงแค่ตัดใจ"

"เช่นนั้น..." คนสนิทกัดฟันและค้อมหัวลงน้อยๆเป็นการรับคำสั่ง "ท่านชายมีสิ่งใดจะบัญชา"

"เรือรบหลวงคาร์เธียร์จะเทียบท่าในช่วงบ่ายนี้ ข้าต้องการให้เอเดรียนออกไปรับหน้า" หากพูดถึงชื่อเรือรบหลวงคาร์เธียร์ ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่านั่นหมายถึงการมาเยือนของผู้นำแห่งอาณาจักรธีสธรัล และนั่นก็ทำให้จาเร็ตต์เงยหน้าขึ้นมองผู้นำของตนอย่างไม่เชื่อหู "เราอาจจะไม่ต้องยื้อเซนทอร์ตนนั้นไว้นาน เพียงแต่ให้นานพอก็เท่านั้น"

"เช่นนั้น ข้าจะรีบแจ้งท่านแม่ทัพ" จาเร็ตต์ลุกขึ้นยืนและค้อมหัวให้กับผู้นำก่อนออกไปจากห้อง

ซินญอร์ยังคงมองตามอีกฝ่ายแม้ว่าจาเร็ตต์จะออกไปจากห้องสักพักแล้วก่อนจะถอนใจออกน้อยๆ ในขณะที่บุคคลอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเดียวกันก้าวออกมาจากอีกมุมห้องและนั่งลงบนโต๊ะทำงานอย่างไม่ค่อยจะรักษามารยาทเท่าไหร่ "นั่นจะเป็นเลขาของข้าด้วยหรือเปล่า หากข้าตอบรับคำเชิญให้นั่งตำแหน่งแม่ทัพแทนเอเดรียน" เจ้าของห้องลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่หน้าต่างเนื่องจากไม่ต้องการให้คู่สนทนานั่งค้ำหัวตน

"อย่าทำเป็นเล่นไป เอเรส..."

"เมื่อวานนี้ยังแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนข้าอยู่เลย ตอนนี้ออกคำสั่งเสียแล้วรึ ท่านชาย" เอเรสแค่นหัวเราะ "หรือมั่นใจแล้วว่าข้าจะเข้าร่วมแน่ถึงได้กล้าเสียงแข็งแบบนั้น" นัยน์ตาสีเข้มมองจ้องแผ่นหลังคู่สนทนา ก่อนจะยกเท้าขึ้นวางบนเก้าอี้ที่ว่าง "ข้ามาที่นี่ด้วยผลประโยชน์ อย่าเพิ่งได้ใจไปเสียล่ะ"

"เจ้าเห็นหรือยังว่าเอเดรียนอ่อนแอขนาดไหน" ซินญอร์เบื่อหน่ายจะฟังคำขู่ของโจรสลัด จึงได้พูดแทรกขึ้นมา เขารู้ว่าเอเรสไม่เคยปฏิเสธการสนทนาเรื่องเกี่ยวกับเอเดรียน "จะให้ข้าวางใจได้อย่างไรว่าเขาจะสามารถประคับประคองอาณาจักรต่อไปได้ในสถานการณ์เช่นนี้ กับแค่เรื่องเล็กๆแค่นี้ยังหวั่นไหว"

"ถ้าท่านชายยังยืนยันข้อเสนอเดิม ข้าก็คงจะรับ..." เอเรสเหยียดยิ้ม "แต่ข้าต้องการเขาตอนมีชีวิตเท่านั้นนะ ตายแล้วไม่เอา"

--------------------------------------------------

เฟรดาหาพี่สาวของนางไม่พบเมื่อกลับมาถึงแอสทารอธ และได้คำตอบว่าแม่ทัพหญิงเดินทางกลับไปยังบ้านที่เมืองมารินาเพื่อดูแลอาการป่วยของบุตรชายซึ่งยังอยู่ในวัยทารก แม้ว่าโมนาจะเป็นบุคคลขี้โมโห อารมณ์เสียได้ง่ายกว่าใคร อีกทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเลือดเย็นที่สุด แต่ใครจะรู้ว่านางมีครอบครัวแบบคนทั่วไปเหมือนกัน แต่เหตุผลที่นางต้องกลับไปยังมารินาในตอนนี้นั่นก็น่าจะเป้นเพราะสามีของนางนั้นดูแลเด็กเล็กไม่ถูกวิธีนั่นเอง

"เมื่อเช้ารึ!!" เฟรดาทอดถอนใจอย่างหมดเรี่ยวแรงเมื่อเห็นตัวเองคลาดกับแม่ทัพหญิงไปนิดเดียว

"อะไรกัน เฟรดา..." รีดาห์ตรงเข้ามาหาเซนทอร์หญิงที่หยุดพูดคุยกับทหารยาม ก่อนจะมองชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ซึ่งเป็นชุดของหญิงรับใช้ในคฤหาสน์ราห์โมนา "เหตุใดจึงแต่งตัวประหลาดเช่นนี้" ตามปกติแล้วเซนทอร์จะสวมกระโปรงเพื่อใช้ปิดบังร่างกายท่อนล่าง ในส่วนของสตรีอาจมีเสื้อหนังบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ชุดของมนุษย์เต็มยศแบบนี้

"ข้าเพิ่งกลับมาจากอาเดรีย..."

เฟรดาเริ่มเล่า แต่เมื่อเห็นบุคคลที่เดินเข้ามาด้านหลังรีดาห์ หญิงสาวก็ชะงักไป

"ได้ยินว่าเหนือหัวส่งเจ้าไปอาเดรีย..." เสียงเข้มของคนคุ้นเคยดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าอันคุ้นหูของซาฮาลที่ตรงเข้ามาร่วมบทสนทนา "ได้ความว่าอย่างไรล่ะ" ซาฮาลเดินเข้ามาหาคนที่ยืนนิ่งๆอย่างผิดปกติและกอดอกมองคาดคั้น “หน้าเจ้าบอกอย่างนั้น เฟรดา”

“อา…” เซนทอร์หญิงลังเล จริงอยู่ว่าซาฮาลเองก็เป็นคนที่พึ่งพาได้ และเป็นคนที่เก็บความลับเก่ง แต่สำหรับเลสธีราห์แล้ว เซนทอร์ร่างสูงผู้นี้เป็นคนน่ารำคาญมากคนหนึ่ง และหากเป็นไปได้ เฟรดาเชื่อว่าเลสธีราห์ไม่อยากบอกเรื่องอะไรกับซาฮาลเลยสักเรื่องเดียว

“เจอเลสธีราห์หรือไม่” อีกฝ่ายถามย้ำ และยิ่งเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของคนตรงหน้า ซาฮาลก็ยิ่งมั่นใจว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว “หรือจะให้ข้าไปอาเดรียด้วยตัวเอง”

“เลสธีราห์ถูกพวกอาเดรียจับได้...”

เมื่อถูกไล่ต้อนอย่างนั้นแล้ว เฟรดาจะมีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้อนยอมบอก เพราะหากปล่อยให้ซาฮาลไปถึงอาเดรียด้วยตัวเอง เรื่องคงจะบานปลายกว่านี้เป็นแน่ นางรู้ดีว่าซาฮาลเป็นคนอย่างไร ฝ่ายนั้นเด็ดขาดและดุดันแค่ไหน ความเป็นเซนทอร์ของอีกฝ่ายอาจจะทำให้ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนมีผลกระทบต่อการประลองวาร์ดาได้

…การประลองวาร์ดาคือการคัดเลือกเหนือหัวคนใหม่เข้ามาปกครองแอสทารอธ

ดังนั้นมันจึงสำคัญกว่าเรื่องของเลสธีราห์

“เลสธีราห์ทำงานพลาด” ซาฮาลเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าน่าจะรู้ตั้งแต่กลุ่มดาวแห่งความเปลี่ยนแปลงดับแสง” ร่างสูงว่า “และโดยนิสัยของเจ้านั่นแล้วก็ไม่หนักแน่นพอที่จะทำภารกิจนี้ได้ตั้งแต่แรก” รองผู้บัญชาการเซเลสต์เหลือบตามองคนพูดด้วยความไม่พอใจ

เพราะซาฮาลชอบพูดแบบนี้ ถึงถูกเลสธีราห์เกลียดเอาไม่ใช่หรือ

“ถ้าเจ้าพูดอะไรออกมาแล้วไม่มันไม่ช่วยให้เรื่องดีขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดกระมัง ซาฮาล”

คนถูกตำหนิจ้องมองคนพูดกลับด้วยดวงตาสีดำดุดัน แม้คำพูดนั้นจะแทงใจจนทำให้ซาฮาลมีโทสะขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ตอบโต้เนื่องด้วยในความคิดของเขาแล้ว รีดาห์ก็มีนิสัยคล้ายเลสธีราห์ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ทั้งสองคนจะเข้าข้างกันเองบ่อยครั้งให้สมเป็นผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการ

…แต่เซเลสต์จะมีผู้นำที่ไม่หนักแน่นแบบนี้จริงหรือ

กองเรือรบเซเลสต์ที่มีชื่อเสียงของแอสทารอธ

“โทษทัณฑ์สำหรับความผิดพลาดครั้งนี้อาจเป็นความตายก็ได้” ร่างสูงพูดต่อ “อาเดรียก็จ้องจะบีบบังคับให้เราเป็นพันธมิตรอยู่แล้ว หากรู้ว่าเลสธีราห์คือลูกของราชเลขา พวกมันจะต้องใช้ข้อนี้มาเล่นงานท่านหญิง และต่อให้นางเป็นคนหนักแน่นเท่าไร หากนำเรื่องบุตรชายขึ้นมาพูดแล้ว คนเป็นแม่ก็คือคนเป็นแม่อยู่ดี” นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงอย่างครุ่นคิด “หากแอสทารอธยอมตามอาเดรียเพียงเพื่อช่วยชีวิตเซนทอร์ตนเดียว... เราอาจจะต้องสูญเสียมากกว่าได้ประโยชน์”

“เลสธีราห์เป็นผู้บัญชาการเซเลสต์ เขามีความสามารถในการคาดเดาท้องทะเลที่แม่นยำที่สุดในหมู่เซนทอร์ เราจะไม่เสียดายคนเช่นนี้หน่อยเลยหรือไร หรือเจ้าต้องการตำแหน่งเสียเองลาะ ซาฮาล!” รีดาห์ตวาดถามอกมาอย่างทนฟังไม่ได้อีกต่อไป แต่นั่นก็ทำให้ผู้บัญชาการแห่งกราเทียร์มองกลับด้วยสายตาสงบนิ่งเท่านั้น

ซาฮาลเป็นคนเช่นนี้... เงียบขรึมทว่าเด็ดขาด

“ข้าต้องการยิ่งกว่าตำแหน่งผู้บัญชาการเซเลสต์”

“…”

“ข้าจะต้องชนะประลองวาร์ดา...” ร่างสูงกล่าวเสียงเรียบ ทว่าเป็นคำประกาศหนักแน่น “และคำพูดของข้าก็จะมีน้ำหนักมากกว่าเซนทอร์ตนใดในแอสทารอธ” กีบเท้าใหญ่ออกก้าวเดินผ่านร่างของรีดาห์ไป และมุ่งกลับไปที่คลังอาวุธของอาณาจักร “ทางเดียวเท่านั้นที่จะปรามไม่ให้เหนือหัวดาเรียสตัดสินประหารใคร”

เหนือหัวดาเรียสเด็ดขาดที่สุดในตอนนี้... และเห็นผลประโยชน์ของแอสทารอธเป็นที่ตั้งเสมอ

“ตามมา... เลือกเอาว่าจะช่วยผู้บัญชาการของเจ้าด้วยการยอมให้ข้าเป็นเหนือหัวคนต่อไปรึเปล่า”

รีดาห์หันมองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเลือกไม่ได้ แม้ซาฮาลจะไม่ใช่คนเลวร้าย และอาจจะเหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งกว่าใครในตอนนี้ แต่เลสธีราห์อาจจะตกที่นั่งลำบากได้หากอีกฝ่ายได้เป็นเหนือหัวแห่งแอสทารอธขึ้นมาจริงๆ “จะให้ข้าช่วยอะไร”

แต่เขามีทางเลือกอื่นที่จะช่วยเพื่อนหรือไร...

“เป็นลูกมือข้า” ร่าสูงเดินห่างออกไปแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงของรีดาห์ชัดเจน และได้ยินเสียงกีบเท้าที่บางกว่าของอีกฝ่ายวิ่งเหยาะๆตามมาอีกด้วย “แล้วก็เป็นคู่ซ้อมให้ข้าด้วย” รีดาห์มุ่นคิ้วไม่พอใจเล็กๆที่คำขอของอีกฝ่ายมีมากเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ อีกทั้งยังประท้วงอยู่ในใจลึกๆด้วยว่า จะให้เขาเป็นคู่ซ้อมของอีกฝ่ายได้อย่างไร ในเมื่อขนาดตัวก็ต่างกันเพียงนี้แล้ว รีดาห์สูงเกินไหล่ซาฮาลมาเพียงเล็กน้อยด้วยซ้ำ

“จะขออะไรก็ให้มันน้อยๆหน่อย...”

ซาฮาลหันมองคนข้างกายนิ่งๆก่อนจะกล่าวตอบ “นั่นเป็นคำสั่ง”

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.2 [9-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-11-2016 19:58:42
ไม่ชอบท่านชายซินญอร์และท่านหญิงซินญอร่าเลย (ตอนที่อ่านจากมุมนี้น่ะนะ)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 16.2 [9-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 09-11-2016 22:14:20
เราว่ามันเป็นสีเทาๆนะสำหรับความคิดของตัวละคนที่อยากจะได้สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแบบสาหัส
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 17.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 10-11-2016 08:48:47
ตอนที่ 17.1

'เจ้าไม่ต้องทำอะไรหรอก'

เหตุผลที่เลสธีราห์พูดแบบนั้นออกไป ด้วยรู้อยู่แล้วว่าหากเรื่องนี้ดังไปถึงหูแอสทารอธเมื่อไหร่ บทลงโทษที่แสนจะชัดเจนของพวกเขาก็มีผลทันที มันจึงเปล่าประโยชน์ที่จะดิ้นรนต่อสู้ เว้นเสียแต่อาเดรียจะปล่อยตัวเขากลับไปและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่มีหรือทางอาเดรียจะยอม...

เอเดรียนอาจจะเห็นด้วยกับเขาด้วยความสิเน่หา แต่หากกระทั่งหัวพรานยังคิดใช้ประโยชน์จากเขาได้ มีหรือระดับผู้นำอาณาจักรจะคิดไม่ออก แม้ว่าพวกเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองโดยไม่รู้ถึงกฎระเบียบของเซนทอร์เลยก็ตาม แต่หากไปพูดเอาตอนนี้ พวกมนุษย์ก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี มีทางเดียวก็คือการรอให้เอเดรียนจัดการเรื่องราวทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายสัญญาไว้

แต่อย่างไรเอเดรียนก็เป็นมนุษย์ เผ่าที่ขึ้นชื่อได้ว่าผิดสัญญาบ่อยที่สุด

...จะเชื่อถือได้แค่ไหนเชียว

"เช่นนั้นเจ้าคงรู้แล้วว่าอาเดรียไม่มีสิ่งมีค่าอื่นใดที่สมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่เราร้องขอ" เอเดรียนยังอยู่ในห้องพักรับรองซึ่งมีไว้เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง อันเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะต้อนรับผู้มาเยือนจากแอสทารอธ แม้ว่าผู้มาเยือนผู้นั้นจะถูกใส่โซ่ตรวนเอาไว้ที่มือก็ตาม "ข้าจึงต้องไปธีสธรัลให้ได้เพื่อหาสิ่งนั้นมาให้เจ้า"

"แล้วสิ่งที่เจ้าเคยพูดถึงก่อนหน้านี้เล่า... ทั้งเรื่องแรงงานฝีมือ เรื่องที่เราอยู่แผ่นดินเดียวกัน..."

"การส่งคนไปทำงานที่ต่างเมืองจะต้องถามความเห็นชอบจากขุนนางอีกฝ่าย และข้าไม่มีอำนาจที่จะถาม มันคงเป็นแค่การก้าวก่ายหน้าที่ของผู้อื่น ข้ามีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น" เอเดรียนกลืนน้ำลายเมื่อคิดถึงอะไรบางอย่าง "ผู้ที่สามารถออกคำสั่งได้คือท่านชายซินญอร์ ต่อให้ข้าเป็นคนสนิทของเขา แต่ก็ใช่ว่าจะโน้มน้าวได้ทุกเรื่องเสมอไป อีกทั้งยังมีท่านหญิงซินญอร่าอีกคนที่คอยควบคุมท่านชายอยู่ หากต้องการทำเช่นนั้นจริงๆ อาเดรียต้องเป็นอิสระจากการควบคุมของคัสนาห์ก่อน" เมื่อคิดต่อไปถึงจุดนั้น แม่ทัพหนุ่มก็เบือนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการจินตนาการต่อ

"นั่นคือการทำลายความสัมพันธ์ของผู้นำแฝด" แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "ซึ่งข้าทำไม่ได้ เลสธีราห์"

ในสายตาของเซนทอร์หนุ่มแล้ว เขาคิดว่าเอเดรียนมีความคิดแปลกใหม่ก้าวหน้าพอที่จะเป็นผู้นำ เพียงแต่ติดขัดในบางเรื่องเท่านั้น ซึ่งบางเรื่องที่ว่านั่นก็คือความรักเคารพและความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณอย่างท่านชายซินญอร์ "เมื่อครั้งที่เขาส่งข้าไปเจรจากับแอสทารอธ ท่านชายบอกให้ข้าเสนอเรื่องป่าเวทมนตร์ให้เซนทอร์ แต่ในความคิดของข้า มันคือการยกส่วนหนึ่งของคัสนาห์ให้แอสทารอธซึ่งเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าเรื่องของเรือจักรไอน้ำ"

เลสธีราห์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องของป่าเวทมนตร์ ด้วยเซนทอร์ทุกตนรู้ดีว่ามีสิ่งใดอยู่ในป่านั้น และเป็นสิ่งที่เผ่าอาชาปรารถนามาโดยตลอด "ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่เห็นเหนือหัวกล่าวถึงเรื่องป่าเวทมนตร์สักเท่าไหร่" ร่างโปร่งพึมพำ "อาจเป็นเพราะว่า... พวกเรา 'พลัดหลง' กับพวกยูนิคอร์นมานานแล้วจนแทบจะจดจำกันไม่ได้อีกต่อไป หากได้กลับมาพบกันอีกมันคงเป็นเพียงความยินดีทว่าหาประโยชน์อันใดไม่ได้" ที่ผ่านมาเอเดรียนขบคิดเรื่องนี้เพียงคนเดียวมาตลอด และคาดเดาไปต่างๆนานาด้วยไม่รู้ว่าควรจะปรึกษาใคร และที่ผ่านมา เลสธีราห์เป็นเพียงที่พักใจสำหรับเขาทว่าไม่ได้ช่วยเหลือเรื่องงานการสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างปละหลาดที่ในที่สุดเขาก็สามารถปรึกษาเรื่องเหล่านี้กับเซนทอร์จริงๆได้สักที

...แม้ว่าจะไม่ได้ยินดีกับสถานะปัจจุบันของเลสธีราห์ก็ตาม

"เอเดรียน!!" เสียงของจาเร็ตต์ที่ดังขึ้นหน้าประตูทำให้คนในห้องสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจพร้อมกับขยับออกห่างกันตามสัญชาติญาณ เอเดรียนลุกขึ้นไปที่ประตูก่อนจะเปิดออกเพื่อจะพบว่าจาเร็ตต์มีสีหน้าตื่นตกใจราวกับเห็นผีอยู่ก็ไม่ปาน "เจ้า..." อีกฝ่ายหอบฮัก และยังไม่สามารถพูดเรื่องที่ทำให้เขาต้องวิ่งมาถึงที่นี่ออกมาได้

"มีอะไรกัน เหตุใดจึงต้องรีบร้อนขนาดนี้"

เอเดรียนเหลือบตามมองออกไปด้านนอกมหาคฤหาสน์ทางหน้าต่าง ซึ่งเบื้องล่างนั้นดูเหมือนจะมีความวุ่นวายมากกว่าปกติ พวกทหารยามเดินกันขวักไขว่ และเสียงเซ็งเซ่ของผู้คนที่ดังขึ้นมาจากท่าเรือที่อยู่ในส่วนของปราการชั้นนอกทำให้แม่ทัพหนุ่มเริ่มคาดเดาว่าจะต้องมีเรือมาเทียบท่าอย่างแน่นอน จะเป็นเรือของพ่อค้าชาวเอลฟ์หรืออย่างไร เพราะเขาออกคำสั่งให้ยิงเรือของธีสธรัลหากก้าวล่วงเข้ามาในน่านน้ำของอาเดรีย

"ท่านชายซินญอร์ว่าอย่างไรบ้าง เรื่องเรือเร็วที่ข้าขอ..."

"นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราต้องตกใจในตอนนี้" จาเร็ตต์สูดหายใจลึกๆครั้งหนึ่งแล้วถือวิสาสะเข้ามาในห้องเพื่อจะลากแม่ทัพหนุ่มไปที่หน้าต่างทิศตะวันออก "ท่านชายปฏิเสธการนำเรือเร็วออกจากท่า เพราะมีภารกิจที่สำคัญกว่ารอเจ้าอยู่" เมื่อเอเดรียนไปถึงหน้าต่างและมองออกไปยังอ่าวออโรราแห่งอาเดรีย แม่ทัพหนุ่มก็ทำได้เพียงเบิกตาขึ้น

"ราชินีไวลด์... จากธีสธรัล มาถึงอาเดรียด้วยตัวเองแล้ว!"

--------------------------------------------------

อาวุธที่ซาฮาลถนัดที่สุดคือหอกสองคม แต่อาวุธที่รีดาห์ถนัดที่สุดกลับเป็นดาบอัศวิน ดังนั้นการฝึกซ้อมของพวกเขาจึงค่อนข้างลำบาก เนื่องจากรีดาห์ไม่คุ้นเคยกับหอกที่ทำจากไม้เลย “สนับเหล็กจะทำให้เจ้าย่อเข่าได้ยาก การต่อสู้ด้วยหอกจะต้องอาศัยความเร็วและความยืดหยุ่นในการขยับร่างกาย” ผู้นำกราเทียร์เปรยสอนเมื่อเห็นคู่ซ้อมของตนใส่สนับเหล็กไว้ที่ขาซึ่งต่างจากเขาที่ใช้สนับที่ทำจากหนัง

“อย่างกับว่าในสนามรบเจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะประมือกับหอกหรือดาบ”

รีดาห์ที่ไม่เคยย้อมแพ้ในการถกเถียงสวนกลับเป็นการยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนเครื่องป้องกันที่ตนสวนใส่อยู่ แต่ซาฮาลก็มุ่นคิ้วดุกลับทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องเงียบปากและจำใจฟังต่อไป “เพราะนี่เป็นการประลองตัวต่อตัว เจ้ามีสิทธิ์เลือกเครื่องป้องกันและอาวุธที่จะส่งเสริมความสามารถของเจ้าได้ดีที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องคำนึงถึงสนามรบ ในตอนนี้คู่ต่อสู้ของเจ้ามีคนเดียว”

“อย่างกับว่าเจ้าให้โอกาสข้าเลือก ข้าถนัดดาบ เจ้าก็ยัดหอกใส่มือข้าแบบนี้”

ซาฮาลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วถ่นลมหายใยาวๆเหนื่อยหน่าย “เพราะข้าถนัดหอก และคนที่จะลงประลองวาร์ดาคือข้า ไม่ใช่เจ้า” ร่างสูงหมุนตัวเดินกลับไปยังที่ของตนเพื่อตั้งต้นการประลอง โดยมีรีดาห์แอบแยกเขี้ยวตามหลังไปและเบ้หน้าล้อเลียน “อย่าดื้อนัก รีดาห์... นับวันเจ้าจะยิ่งเหมือนเลสธีราห์มากขึ้น กองเรือเซเลสต์มีเจ้านั่นคนเดียวก็เกินพอแล้ว”

“ทำไมเจ้าจะต้องคอยเหน็บแนม... เขาก็เป็นผู้นำทัพคนหนึ่ง เจ้าจะให้เกียรติเขาบ้างไม่ได้รึไง”

ซาฮาลหันกลับมาเผชิญหน้ากับรีดาห์และยกหอกไม้ขึ้นเตรียมพร้อม “เขาให้เกียรติคนที่มีเกียรติทัดเทียมกับข้า” เสียงเข้มบอกแน่วแน่ “ถ้าเลสธีราห์ยังดันตัวเองขึ้นมาเทียบเคียงข้าไม่ได้ เขาก็ไม่สมควรได้รับความเกรงใจจากข้า”

“เจ้านี่มัน...!”

ดวงตาสีดำดุดันของซาฮาลเพ่งมองคู่สนทนาเป็นเชิงปรามให้เงียบ “เจ้าก็เช่นกัน รีดาห์”

…เซนทอร์สองนกระโจนเข้าโรมรันกันหลังจากนั้น เสียงอาวุธไม้กระทบกันดังไปทั่วบริเวณ และด้วยพละกำลังที่มากกว่า อีกทั้งความชำนาญที่เหนือกว่า ซาฮาลจึงสามารถทำให้คู่ซ้อมของตนเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆ “อ่อนซ้อมหรือไร รองผู้บัญชาการ!”

พลั่ก…!

ร่างโปร่งยกอาวุธขึ้นตั้งรับ แต่แรงกระแทกที่เหวี่ยงเข้าใส่ก็มากเกินกว่าเขาจะต้านไหว ขาทั้งสี่ของเซนทอร์จึงเอนย่อลงเพื่อถ่ายเทน้ำหนัก และจังหวะนั้นเองที่สนับขากดลงกับข้อเท้าอย่างผิดรูป “อั่ก!” รีดาห์กัดฟันด้วยความเจ็บปวด ขาข้างที่บาดเจ็บยกขึ้นพัก และมือที่ถือหอกก็เหวี่ยงอาวุธเข้าใส่คู่ต่อสู้เพื่อกันซาฮาลออกไปให้พ้นทาง

โครม…!

โล่หนักยกขึ้นรับการจู่โจม ก่อนจะเหวี่ยงกลับกระแทกกับร่างโปร่งจนเสียหลักล้มลงกับพื้นที่สุด “โอ้ย! เบาหน่อยไม่ได้รึไง...” เซนทอร์ล้มมักเจ็บกว่าร่างมนุษย์ รีดาห์ที่ลงไปนอนกับพื้นยันตัวขึ้นและแยกเขี้ยวใส่ซาฮาลที่ยังถืออาวุธวนเวียนอยู่ใกล้ๆ “นี่เจ้าจะผึกซ้อม รึแค่อยากอัดข้ากันแน่!”

ซาฮาลเหวี่ยงหอกของตนลงปักกับพื้นทราย และเดินตรงเข้ามาหาร่างโปร่งที่ยังลุกไม่ขึ้น “เหนือหัวดาเรียสก็ถนัดดาบอัศวินเหมือนเจ้า แต่เขาคงจะมีทักษะมากกว่า” คนพูดโน้มตัวลงมาส่งมือให้คนเจ็บโดยไม่ย่อเข่าลงมา ทำให้รีดาห์ต้องเอื้อมสุดแขนเพื่อจับมือนั้น

“อุก…!!”

แต่ข้อเท้าข้างที่เจ็บก็ทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องเสียลักล้มไม่เป็นท่าลงไปอีก “ข้าบอกเจ้าว่าอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องสนับเหล็ก” น้ำเสียงของซาฮาลเย็นชา และสายตาที่มองมายังคนเจ็บก็ดูสมเพชมากกว่าจะสงสาร แต่แล้วเซนทอร์ที่ไม่ใคร่จะแปลงกายก็กลับร่างเป็นมนุษย์ และทิ้งโล่ของตนลงวางกับพื้นสนาม “เปลี่ยนร่างซะ จะได้เห็นชัดๆว่าบาดเจ็บตรงไหน”

ซาฮาลเดินอ้อมไปและก้มตัวลงถอดเครื่องป้องกันออกให้รีดาห์อย่างช่วยไม่ได้ “สนับขาหลังทำให้เจ้าเคลื่อนไหวไม่สะดวก ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ในตอนนี้” ร่างสูงโยนสิ่งที่อยู่ในมือไปกองรวมกับโล่ของตน และหันกลับมาหารีดาห์ที่คืนร่างเป็นมนุษย์แล้ว เจ้าตัวค่อยๆถอดเกราะออกเพื่อตรวจดูอาการช้ำที่เกิดขึ้น

“ข้อเท้าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับม้า... บวมขนาดนี้แล้วเจ้าจะวิ่งได้อย่างไร”

“เพราะใครเล่าที่ฝึกซ้อมแบบไม่ประเมินกำลังข้าแบบนี้” คนเจ็บโวยกลับ แต่แม้จะอยากปาเกราะใส่หน้าซาฮาลอย่างไรก็ต้องข่มใจไว้ เพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคงมีวิธีเอาคืนอย่างแน่นอน “ไม่ต้องอ้างเลยว่าเหนือหัวดาเรียสจะพละกำลังมากกว่าข้าแน่นอน ข้าก็บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าข้าไม่มีปัญญาไปต่อสู้กับเจ้าหรอก”

คนถูกตำหนิทำหน้านิ่งไม่รู้สึกรู้สา และโดยไม่ย่อเข่าลงกับพื้น เขาคว้าแขนของรีดาห์แล้วดึงให้เจ้าตัวลงลุกขึ้นยืนบนขาข้างที่ไม่บาดเจ็บ “กลับไปพัก...”

“เหวอ!!”

แขนเรียวคล้องกับบ่ากว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม และน้ำหนักตัวของรีดาห์ก็ถ่ายเทไปยังร่างกายสูงใหญ่ ซาฮาลพาอีกฝ่ายเดินกะเพลกมุ่งกลับไปยังที่พักโดยไม่สนใจเสียงโวยวาย “แค่ย่อเข่าลงมามันเสียเกียรติเจ้ามากเลยหรือไง กระชากแบบนี้แขนข้าหักขึ้นมาอีกข้างจะเป็นอย่างไรกัน”

“ถ้าหักก็ให้มันรู้ไป...” เซนทอร์หนุ่มตอบย็นชา “ข้าไม่ย่อเข่าให้ใครนอกจากเหนือหัวดาเรียส”

รีดาห์กลอกตากับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเซนทอร์ส่วนมากเป็นเช่นนี้ พวกเขามักไม่ย่อเข่าให้ใครนอกจากผู้นำ เพราะการกระทำเช่นนั้นหมายถึงการให้เกียรติอย่างนอบน้อมที่สุด “เดินช้าๆหน่อยได้ไหม”

“ถ้าปัญหามากนัก ข้าควรปล่อยให้เจ้ากลับเองจะดีกว่า”

ซาฮาลหันมองร่างโปร่งที่ยังบ่นกระปอดกระแปดตลอดการเดินกลับที่พักซึ่งก็คือที่พักของผู้นำกองเรือของแอสทารอธ “ขอโทษนะ ที่ข้าไม่เอาอ่าว วันๆข้าก็เอาแต่ซ่อมเรือ เบิกจ่ายเบี้ยซื้อไม้ ซื้ออุปกรณ์ ตรวจสภาพเรือ ไม่ได้ถือหอกถือดาบฝึกซ้อมแบบเจ้า” ร่างโปร่งอดประชดไม่ได้ “เจ้าเลือกคู่ซ้อมผิดเองต่างหาก”

“จะมีใครอีกที่ยอมเป็นคู่ซ้อมให้คนที่ลงประลองวาร์ดา” ซาฮาลตอบกลับเสียงเรียบ “ผู้ร่วมการประลองไม่มีทางฝึกซ้อมด้วยกันอยู่แล้ว เพราะเกรงว่าคู่ต่อสู้จะทำให้สภาพร่างกายของพวกเขาไม่พร้อมในการประลองจริง และนักรบแนวหน้าส่วนใหญ่ก็ร่วมการประลองวาร์ดาทั้งนั้น”

“ข้าจึงบอกว่าเจ้าเลือกคู่ซ้อมผิดไปไงเล่า”

“เจ้าก็เองก็เป็นนักรบ รีดาห์” ซาฮาลว่า “เพียงแค่อ่อนซ้อม และไม่ได้ให้ความสำคัญกับสภาพร่างกาย แต่ก็ยังหยิบจับอาวุธได้ดีกว่าเซนทอร์ทั่วไป” นั่นจะเรียกว่าคำชมก็ไม่เชิง เพราะการพูดของซาฮาลนับเป็นการวิเคราะห์เสียมากกว่าจะชื่นชม

“พูดอะไรดีๆก็เป็นนี่ เจ้าน่ะ...”

นัยน์ตาสีเข้มหรี่มองร่างโปร่งก่อนจะสนใจเส้นทางตรงหน้าตามเดิม “คำเยินยอทำให้คนลืมตัว”

“แต่คำปรามาสของเจ้าทำให้คนเกลียดชัง ซาฮาล”



“เจ้าเกลียดชัง หรือแค่หมั่นไส้ข้ารีดาห์”

“เออ หมั่นไส้”

--------------------------------------------------


รู้สึกเหมือนจะราบรื่น แต่ความรักของเอเดรียนกับเลสนี่มันหน่วงๆเน้อ OTL
แต่ซาฮาลกับรีดาห์คือไปตรงๆ ทื่อๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่โมเม้นท์พวกนางดูจะเยอะนะ 555

ปล. ท่านชายแกซับซ้อนนะ... จริงๆแกเป็นตัวละครที่กดดันแบบไม่แสดงออกยิ่งกว่าเอเดรียนอีก
ท่านชายอายุ 42 ค่า โจฮาลล์ 38 เอเดรียน 34 จาเร็ตต์ 28 เลสธีราห์ 23 ซาฮาล 23 รีดาห์ 20 (อ้าว เด็กสุด)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 17.1 [10-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 10-11-2016 11:46:51
ท่านชายซินญอเหมือนวัยรุ่นเลยค่ะ ไม่รู้อายุนี่คิดว่ายี่สิบกลางๆ ฮ่าาาา
เราอ่านข้ามไปหรือเปล่าฉาก  :oo1: กัน หรือว่าคนเขียนไม่ได้ใส่ เพราะอ่านไปก็เจอแต่ความหวานอมขมกลืนของทั้งคู่
รีดาห์กับซาฮาลนี่ทื่อมาก ตรงไป แต่แอบจิ้นอยู่นะ 555555555555
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 17.1 [10-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 10-11-2016 11:48:27
ท่านชายซินญอเหมือนวัยรุ่นเลยค่ะ ไม่รู้อายุนี่คิดว่ายี่สิบกลางๆ ฮ่าาาา
เราอ่านข้ามไปหรือเปล่าฉาก  :oo1: กัน หรือว่าคนเขียนไม่ได้ใส่ เพราะอ่านไปก็เจอแต่ความหวานอมขมกลืนของทั้งคู่
รีดาห์กับซาฮาลนี่ทื่อมาก ตรงไป แต่แอบจิ้นอยู่นะ 555555555555

ม... ไม่ได้ใส่ค่า OTL มันหน่วงจนไม่รู้จะใส่ตรงไหนดีถึงจะไม่ดึงอารมณ์... แต่เขามีซัมติงกันนะคะ 5555555
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 17.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 10-11-2016 20:53:43
ตอนที่ 17.2

ราชินีแห่งธีสธรัลไม่เคยเดินทางเข้ามาในอาเดรียอย่างเป็นทางการมาก่อน เพราะนางเองก็เพิ่งแย่งชิงราชบัลลังก์มาจากพี่ชาย และก่อนหน้านี้ก็เคยลักลอบเข้ามาเท่านั้น แต่จะเรียกครั้งนี้ว่าเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการก็คงจะไม่ถูกนัก เนื่องจากว่าในตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาเดรียกับธีสธรัลก็ไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีสักเท่าไหร่ การเดินทางมาเยือนของพระนางก็มาโดยมิได้รับเชิญ แต่อย่างน้อยพวกอาเดรียก็ยังแสดงความเคารพธงประจำราชวงศ์แห่งธีสธรัลบนเสาเรือหลวงบ้างด้วยการยินยอมให้พระนางเทียบท่า

โจฮาลพยายามต้อนรับผู้มาเยือนเพื่อสร้างความผ่อนคลาย แต่ราชินีก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสเลย "ข้าต้องการพบทั้งซินญอร์ และซินญอร่า" แม้น้ำเสียงแท้จริงของพระนางจะหวานใส แต่ด้วยความที่เปล่งออกมาราบเรียบไร้อารมณ์ทำให้มันกลายเป็นประโยคที่เย็นชาที่สุดประโยคหนึ่ง แต่คนสนิทแม่ทัพก็ยิ้มประนีประนอมตอบ

"พระนางเดินทางมาไกลนัก ข้าให้คนจัดห้องรับรองเตรียมไว้แล้ว"

เหตุผลหนึ่งที่โจฮาลไม่รีบรุดไปตามผู้นำของอาเดรีย เนื่องจากท่านชายซินญอร์กล่าวชัดว่าไม่ประสงค์พบราชินีแห่งธีสธรัล แต่กลับให้แม่ทัพของตนออกหน้าแทน และเจรจาแทนทุกอย่าง ซึ่งแน่นนอนว่าทั้งเขาและจาเร็ตต์ต่างรู้ดีว่าเอเดรียนผู้เป็นตัวแทนของท่านชายเองก็สะสางปัญหาส่วนตัวอยู่กับเซนทอร์ที่ถูกกักบริเวณอยู่ภายในห้องพัก

“ข้านามว่าโจฮาล... อยู่ฝ่ายผังเมืองขอรับ” ชายผมแดงยิ้มการค้าและแนะนำตำแหน่งที่ถูกต้องของตนเองให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เขาเริ่มก้าวนำพาอาคันตุกะจากต่างแดนเดินตรงไปยังเส้นทางที่จะพาพวกเขาไปถึงมหาคฤหาสน์อันถือเป็นพระราชวังแห่งอาเดรีย

แต่ด้วยความที่พวกเขาไม่มีราชวงศ์ และไม่มีกษัตริย์ ทำให้ที่พักของผู้นำถูกเรียกได้แค่มหาคฤหาสน์

“น่าแปลกที่ขุนนางฝ่ายบริหารต้องออกมาต้องรับข้าแบบนี้” ราชินีกล่าวเสียงเรียบทว่าประชดประชัน “น่าแปลกที่ไม่ใช่ผู้นำอาณาจักรเอง” นัยน์ตาสีฟ้าครามสดใสของนางช้อนขึ้นมองคู่สนทนา “น่าแปลก... ที่อาเดรียต้องการแยกตัวออกจากธีสธรัลทั้งที่ยังไม่มีความพร้อมใดๆ”

“…” โจฮาลไม่ถนัดการพูดคุยแบบนี้ แต่เขาก็ต้องถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อรอให้เอเดรียนมาถึง

“ข้าเองก็อยากจะให้อิสระกับเมืองในอาณานิคมอยู่แล้ว แต่ในเมื่ออาเดรียคิดตีตนออกห่างก่อนก็คงต้องว่ากันตามความสัมพันธ์ เพราะนี่นับเป็น 'วีรกรรม' อย่างหนึ่งที่จะต้องมีการพูดคุยกันให้ดี” โจฮาลพยายามคิดหาคำตอบ เสียงม้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ทุกคนหันไปสนใจ อัลธอร์วิ่งเหยาะๆออกมาจากเขตปราการชั้นสอง และมุ่งตรงมาหากลุ่มอาคันตุกะ ก่อนที่คนขี่จะกระโดดลงจากหลังม้าและยืนตรงหน้าราชินีแห่งธีสธรัลพอดิบพอดี

พระนางไม่ขยับหลบอย่างผู้ติดตามของตน และมันก็ไม่ได้เข้าไปใกล้หญิงสาว

"ราชินีแห่งธีสธรัล.." นัยน์ตาสีดำขลับที่สุขุมเยือกเย็นรับกับผมสีเข้มที่ยาวประบ่าบ่งบอกราชินีได้ว่าบุคคลตรงหน้านี้คือคนใหญ่คนโตคนหนึ่งของอาเดรีย "เอเดรียน ผู้นำฝ่ายผังเมือง... ขออภัยแทนท่านผู้นำที่เสียมารยาทโดยการไม่ลงมาต้อนรับด้วยตนเองแต่แรก แต่ท่านชายซินญอร์ติดภารกิจ..."

ราชินีมองคู่สนทนาเยือกเย็น "หากจะพูดถึงเรื่องเสียมารยาท... ก็คงจะเสียมาตั้งนานแล้วกระมัง"

"ท่านชายซินญอร์ออกไปยังคัสนาห์ ต้องขออภัยอีกครั้งเนื่องด้วยทางเราไม่ทราบมาก่อนว่าพระนางจะเดินทางมา" เอเดรียนปล่อยให้อัลธอร์เป็นอิสระ และม้าศึกก็รู้งานดีจึงได้ถอยออกจากกลุ่มคน ราชินีธีสธรัลเห็นดังนั้นจึงจรดยิ้มจางที่มุมปากด้วยความเอ็นดู "นี่คงเป็นม้าศึกชั้นเลิศ... ของแม่ทัพเอเดรียนใช่หรือไม่" เพียงแค่เห็นบุคลิกที่น่าเกรงขาม อีกทั้งการแต่งกายกึ่งลำลองกึ่งทางการ หญิงสาวก็พอจะคาดเดาได้ว่าบุคคลตรงหน้าเป็นขุนนางที่มีความเกี่ยวข้องกับงานภาคสนาม

และขุนนางที่ต้องทำงานภาคสนามจะเป็นฝ่ายใดได้อีกหากไม่ใช่ฝ่ายทหาร

"ไม่ต้องปิดบังข้าหรอก ธีสธรัลผลัดบัลลังก์แล้ว ข้าเองไม่ได้ติดใจเรื่องที่อาเดรียจะจัดตั้งกองทัพของตนเองบ้าง" หญิงสาวกล่าวเสียงเรียบ "แต่หากมันเป็นกองทัพที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสั่นคลอนบัลลังก์ของข้า เห็นทีว่าจะยอมไม่ได้เช่นกัน"

เอเดรียนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปิดบังอีกเช่นกัน เพราะตอนนี้อาเดรียก็ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการเป็นอิสระจากมหาอำนาจ "เราไม่มีความต้องการจะทำศึกสงครามกับผู้ใดหากไม่มีความจำเป็น ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการส่งผู้คนของตนเองออกไปตายกลางสนามรบทั้งนั้น"

"ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดต่างจากผู้นำของเจ้านะ"

ราชินีตอบพร้อมเหยียดยิ้ม นางเป็นฝ่ายก้าวเดินก่อนและมุ่งไปยังเส้นทางที่น่าจะพาพวกเขาไปถึงมหาคฤหาสน์ เอเดรียนตัดสินใจเดินอยู่เคียงข้างผู้นำแห่งธีสธรัลโดยเว้นระยะตามหลังสักสองก้าวเพื่อแสดงความเคารพและให้เกียรติ "ตอบข้าสิเอเดรียน... ท่านแม่ทัพใหญ่ คิดว่าการปิดท่าเรือแบบนี้มันต่างอะไรจากการปิดประตูใส่ข้า แต่ก็ยังพูดออกมาได้ว่าไม่ต้องการจะเปิดศึก"

เอเดรียนไม่มีวันกล่าวโทษผู้นำของตนเอง แต่เขาก็ยอมรับว่านี่เป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามจนเกินไปของท่านหญิงซินญอร่า

"เราเพียงต้องการจะแสดงเจตจำนง เราต้องการการเจรจา... เหตุผลที่อาเดรียเดือดร้อนจากการเป็นเมืองขึ้นของธีสธรัลไม่ใช่เพราะธีสธรัลกดขี่เราเรื่องเบี้ยเงินค่าผ่านทางหรอกหรือ เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในมหาทวีปตะวันตกกลับไร้ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองเพราะต้องงดเว้นค่าผ่านทางให้กับเรือทุกลำของธีสธรัลที่เข้าออกวันละหลายร้อยครั้ง"

"ข้าเห็นด้วยเรื่องนั้น ท่านแม่ทัพ... แต่ท่านไม่คิดว่ามันตลกหรอกหรือ ที่แทนที่ท่านจะส่งคนมาเจรจากับข้า ท่านกลับส่งคนไปผูกมิตรกับแอสทารอธ" ผู้นำแห่งธีสธรัลหยุดเดินอีกครั้งและหันมาเผชิญหน้ากับแม่ทัพหนุ่ม "ผู้นำของท่านเอง... ที่นำพาความเดือดร้อนมาให้ท่าน ตัวข้านับว่ามีเมตตามากแล้วที่ยังใจเย็นพูดกับท่านได้แบบนี้"

จริงของพระนาง... พวกเขาเดินทางไปเจรจากับแอสทารอธ ก่อนจะคิดยื่นข้อเสนอให้ธีสธรัล

นั่นก็เพราะพวกเขาไม่คิดว่าธีสธรัลจะใจเย็นถึงเพียงนี้ และคาดเอาไว้ว่าอาจจะมีสงครามเกิดขึ้น อาเดรียจึงต้องการกองเรือรบของแอสทารอธมาสนับสนุนก่อน "อย่ามัวแต่ขอโทษขอโพยเลย อย่างไรก็คงช่วยปากท้องที่เดือดร้อนของประชาชนไม่ได้" ผู้นำหญิงตัดบท "ถ้าอาเดรียมีข้อเสนออะไรจะยื่นแก่ข้า... นี่คือโอกาสที่ข้าให้พวกเจ้า"

พวกเขาเดินไปถึงห้องพักรับรอง และเชิญให้ผู้นำแห่งธีสธรัลนั่งลงก่อนที่หญิงรับใช้จะนำน้ำชาและอาหารว่างมาเสิร์ฟ

เอเดรียนไม่รีรอที่จะตอบโต้เมื่อได้ยินเช่นนั้น "เราต้องการอิสรภาพ... การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เราต้องการจะ 'เลิก' การยกเว้นค่าธรรมเนียมท่าเรือให้กับธีสธรัล ไม่ว่าจะเป็นเรือลำไหน มีจุดประสงค์ใด แต่หากเทียบท่าแล้วจะต้องถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเหมือนกัน"

ที่ผ่านมาอาเดรียถูกบังคับให้ยกเว้นค่าจอดเรือให้กับธีสธรัล และเรือของอาณาจักรบนเกาะนี้ก็มีมากมายและใช้บริการท่าเรือของอาเดรียไม่ต่ำกว่าวันละร้อยลำ ซึ่งทำให้ท่าเรือที่ทรุดโทรมลงทุกวันไม่สามารถบูรณะซ่อมแซมได้เนื่องจากขาดเม็ดเงินหมุนเวียน ในขณะเดียวกันที่ธีสธรัลก็มีนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมท่าเรือให้กับชาวเอลฟ์ ส่งผลให้พวกเอลฟ์ที่ไม่ได้ต้องการความรวดเร็วสนใจเทียบเรือที่ท่าของธีสธรัลมากกว่า และเงินสะพัดจากกิจการท่าเรือที่ควรจะเป็นของอาเดรียก็ตกเป็นของธีสธรัลแทน

ชาวเอลฟ์ที่เป็นนักเดินเรือได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง และมีรายจ่ายสูง พวกเขาเที่ยวเต็มที่และจ่ายไม่อั้นให้กับทั้งสินค้า สุรา และสตรี เมื่อชาวเอลฟ์เทียบท่าที่ธีสธรัลมากกว่า ค่าผ่านทางที่อาเดรียควรจะหาได้ก็หายไปด้วย อีกทั้งสินค้าบางอย่างเช่นวัสดุ ผลิตภัณฑ์ และสิ่งของที่ไม่เน่าเสียก็จะถูกเพิ่มราคาขึ้นเนื่องจากชาวเอลฟ์จะขายให้ธีสธรัล และธีสธรัลก็จะมาขายต่อให้อาเดรียในราคาที่มากกว่าเดิม

ราชินีแห่งธีสรัลถอนใจเบาและชั่งใจเรื่องค่าธรรมเนียมท่าเรือของอาเดรียที่ได้ชื่อว่ามีมูลค่าสามในห้าของค่าผ่านทางที่แอสทารอธเก็บจากผู้มาเยือน ...ท่าเรือของแอสทารอธแข็งแรงกว่า และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่า ทว่าพวกคนครึ่งม้าจะไม่จำหน่ายสุรา และไม่มีสถานเริงรมย์ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเดินเรือชื่นชอบ

"ข้าคงจะใจดีมากไปหากตอบตกลงในอึดใจ" หญิงสาวเริ่ม

"ค่าธรรมเนียมท่าเรืออาเดรียคิดเป็นสามในห้าของค่าธรรมเนียมท่าเรือแอสทารอธ ซึ่งนับว่าสูงไม่เบา... และมันคงจะโหดร้ายกับคนซึ่งแต่เดิมมีรายได้ไม่มาก แล้วยังจะเก็บค่าธรรมเนียมพวกเขาอีก ธีสธรัลอาจจะต้องเลิกการยกเว้นค่าธรรมเนียมท่าเรือให้ชาวเอลฟ์เพื่อหารายได้คืนมา และค่าธรรมเนียมท่าเรือของเราก็คิดเป็นสามในหกของค่าธรรมเนียมแอสทารอธ" เมื่อเริ่มพูดถึงการคำนวน โจฮาลก็พบว่านี่เป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเอเดรียนที่ขุนนางฝ่ายทหารคนอื่นไม่มี "แปลว่าหากแอสทารอธเก็บสิบเหรียญต่อเรือหนึ่งลำ... อาเดรียก็จะเก็บหกเหรียญ ธีสธรัลก็จะเก็บห้าเหรียญ ตัวเลขส่วนต่างเท่านี้ไม่อาจจูงใจให้ชาวเอลฟ์เทียบท่าเรือเราได้ ดังนั้นรายได้ของเราคงไม่มากนัก"

เอเดรียนรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะปฏิเสธของเสนอของเขา เพราะจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ผู้นำอาณาจักรจะรับข้อเสนอที่ทำให้ประชาชนของตนเดือดร้อนทำไม "เช่นนั้นอาเดรียควรจะเก็บสักเจ็ดเหรียญหรือไม่ เพื่อจูงใจให้ชาวเอลฟ์ลงเรือที่ท่าเรือของธีสธรัลมากขึ้นบ้าง" มุมปากของผู้นำหญิงเหยียดยิ้มด้วยความสนุก

"...อาเดรียเรามีอัตราค่าธรรมเนียมเรือที่แตกต่างกัน นับตามจำนวนดาดฟ้าของเรือลำนั้นๆ หากเป็นเรือหนึ่งดาดฟ้าก็หกเหรียญ สองดาดฟ้าก็สิบสองเหรียญ แต่หากเป็นสามดาดฟ้าจะเก็บเพียงสิบห้าเหรียญ" การเจรจาอย่างพ่อค้าของเอเดรียนทำให้คู่สนทนาเกิดความสับสนเล็กน้อย ผู้นำแห่งธีสธรัลจึงเงียบไปสักพักเพื่อชั่งใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอขึ้นมาเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักรของนางมากน้อยแค่ไหน

เรือพาณิชย์ของธีสธรัลมักเป็นเรือสองดาดฟ้า ดังนั้นหากนางยอมรับข้อเสนอนี้ พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสองเท่าเป็นปกติอยู่ดี และการจะนำเรือใหญ่ออกมานั้น พวกพ่อค้าจะต้องแน่ใจว่าสินค้าที่บรรทุกมาต้องเต็มลำเรือ ... นี่เป็นการเชื้อเชิญให้การค้ารุ่งเรืองขึ้นนี่เอง

และเรือของชาวเอลฟ์ก็มักเป็นเรือสามดาดฟ้า เนื่องจากพวกเขาเดินทางมาไกล และต้องใช้เรือที่แข็งแรงใหญ่โตมากกว่าปกติ นี่จึงเอื้อผลประโยชน์ให้ชาวเอลฟ์อีกด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย การเจรจานี้แม้ว่าธีสธรัลจะดูเหนือกว่าอยู่บ้างในเรื่องความเป็นมหาอำนาจ แต่เอเดรียนก็สามารถกดให้เมืองคู่ค้าถือไพ่ต่ำกว่าได้ด้วยความสามารถในการเจรจาทางการค้าของตน

...เพราะมีคนแบบนี้อยู่ข้างกายผู้นำแห่งอาเดรีย เมืองนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

และความเกลียดชังในจิตใจของผู้นำก็ยิ่งทำให้แม่ทัพหนุ่มเป็นปรปักษ์กับธีสธรัลมากยิ่งขึ้น

...

ผู้นำหญิงมุ่นคิ้วแน่นขึ้นขณะครุ่นคิด... ภารกิจอีกประการของนางคือการทำให้เอเดรียนเอียงเอนมาเป็นพันธมิตรให้ได้ เพราะต่อให้เป็นพันธมิตรไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางก็ไม่คิดว่าการเป็นศัตรูทางการค้ากับคนแบบนี้จะเป็นเรื่องดีนัก

...แม้ว่าตอนนี้เอเดรียนจะดูกระด้างกระเดื่องกับนางเสียเหลือเกินก็ตาม

"ข้าอยากเสนอให้เจ้าร่วมมือ... เราอาจจะต้องร่วมกันการเจรจาการค้ากับพวกเอลฟ์จากตะวันออก หากต้องการผลประโยชน์ที่เท่าเทียม" หญิงสาวกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้น "อย่างไรอาเดรียก็อยากจะขายของให้ธีสธรัล ธีสธรัลเองก็อยากซื้อของจากอาเดรีย ข้าไม่เห็นเหตุผลที่เจ้าจะไม่ตกลงร่วมมือกับข้า"

"อาเดรียตกเป็นเมืองขึ้นมายี่สิบแปดปี ยี่สิบแปดปีที่เราต้องสูญเสียเงินที่ควรจะได้รับจากธีสธรัล และมาถึงตอนนี้ที่เรามีความต้องการจะลืมตาอ้าปากบ้าง ท่านกลับพูดเช่นนี้หรือไร พระนางไวลด์..." อันที่จริงผู้นำหญิงกำลังคิดเรื่องการละเว้นภาษีสำหรับพ่อค้าที่เดินเรือ เพื่อไม่ให้พวกเขาโอดครวญและส่งนางกลับมาเจรจาเพื่อเรียกข้อตกลงเดิมกลับมา หญิงสาวเพิ่งจะขึ้นนั่งบัลลังก์ นางมีความเห็นใจ และเข้าใจอาเดรีย แต่อย่างไรก็คงไม่อาจละทิ้งประชาชนของตนเองได้

การยอมตามข้อตกลงทั้งหมดอาจทำให้ผู้คนในธีสธรัลลุกฮือขึ้นต่อต้านนาง

"เช่นนั้นแล้วอาเดรียจะค้าขายกับผู้ใด... อัสเซเดธอย่างนั้นหรือ อย่าลืมล่ะว่าเมืองนั้นค้าขายอยู่กับไอย์ชวล ซึ่งไอย์ชวลเป็นพันธมิตรกับข้า หากเจ้าแข็งข้อต่อข้า เจ้าก็คงจะเปิดสงครามเย็นกับไอย์ชวลเช่นกัน" นัยน์ตาเรียวหรี่ลงอย่างข่มขู่ "การที่ข้ายอมเดินทางมาเจรจากับพวกเจ้านับว่ามีเมตตามากพอแล้ว เอเดรียน... อย่าเรียกร้องความเมตตาจากข้าด้วยการให้ข้าหักหลังประชาชนของตนเอง"

เอเดรียนเองก็ไม่ยอมแพ้เพียงคำพูดนั้น...

เพราะสิ่งที่อาเดรียตัดสินใจทำลงไปมันไกลเกินกว่าจะยอมความโดยง่ายแล้ว

"ข้าให้สิ่งนี้เป็นสัญญายี่สิบแปดปี... เท่ากับจำนวนปีที่อาเดรียตกเป็นเมืองขึ้นของธีสธรัล และหลังจากนั้น ข้าจะยอมหารืออีกครั้งเพื่อให้ 'พวกเรา' มีผลประโยชน์ร่วมกัน" เอเดรียนยืนยันที่จะเก็บค่าธรรมเนียมหกเหรียญสำหรับเรือหนึ่งดาดฟ้า สิบสองเหรียญสำหรับเรือสองดาดฟ้า และสิบห้าเหรียญสำหรับเรือสามดาดฟ้าเป็นเวลายี่สิบแปดปี ซึ่งนั่นมากพอที่จะทำให้ชาวเมืองอาเดรียตั้งตัวได้

แต่แน่นอนว่าข้อตกลงนี้จะทำให้ผู้คนของธีสธรัลไม่พอใจมากแน่นอน

"เจ้าอาจเหนือกว่าในการเจรจา แต่ความเป็นมหาอำนาจของเจ้ามันเทียบเคียงข้าได้หรือ ท่านแม่ทัพ..." คิ้วเรียวเลิกขึ้นข้างหนึ่ง ในใจที่สงบนิ่งมานานของพระนางเริ่มเกิดโทสะขึ้นมา "พวกเจ้าต้องซื้อเนื้อสัตว์จากไอย์ชวล ข้าจะขอให้พวกเขาขึ้นราคากับอาเดรียเป็นพิเศษก็ย่อมได้... นี่จะเป็นการเพิ่มค่าครองชีพให้ชาวเมืองของเจ้าอย่างแน่นอน และข้าจะสั่งกองเรือลาดตระเวนของข้าให้เข้มงวดบนน่านน้ำมากขึ้นก็ย่อมได้ และอาณาเขตหาปลาของพวกเจ้าก็จะไม่เสรีอีกต่อไป ...เพียงเพราะเจ้าไม่ยอมเจรจาอย่างเท่าเทียมกับข้าน่ะหรือ เอเดรียน"

ราชินีแห่งธีสธรัลจรดยิ้มเจ้าเล่ห์จางๆ "จะให้ข้ายกกองเรือเวเรนเซียมาโจมตีพวกเจ้าเพื่อให้กลับไปเป็นเมืองขึ้นอีกครั้งก็ย่อมได้" ผู้นำแห่งธีสธรัลมีอำนาจมาก และยิ่งพวกเขาเป็นพันธมิตรของพวกภูตด้วยแล้ว อาเดรียก็ดูจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากพอตัว ดังนั้นเอเดรียนจึงต้องหยุดคิดอีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปที่ลงตัวว่าเขาควรจะเรียกร้องจากธีสธรัลเท่าไหร่กันแน่

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนนั่นก็คือ... ธีสธรัลยอมรับข้อเสนอเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือของพวกเขาแล้ว

ทว่าหากพวกเขาตกลงกับธีสธรัลแล้ว เขาจะต้องหันหลังให้แอสทารอธอย่างนั้นหรือ

.

.

พวกเซนทอร์จะไม่ยอมเป็นแน่

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


อาจจะงงนิดนึงเรื่องค่าผ่านทางนะคะ ฮาา... เอเดรียนเขามาจากตระกูลพ่อค้าอ่ะ ดูจะถนัด(??)
(ใบ้ว่ามาจากท่าเรือใต้นั่นแหละ ย่านอิทธิพล)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 18.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 12-11-2016 21:46:11
ตอนที่ 18.1

ราชินีแห่งธีสธรัลเดินทางมาอาเดรียด้วยตนเองหรือ

เลสธีราห์มองดูความเคลื่อนไหวที่ท่าเรือออโรราด้วยความกังวล ชายหนุ่มรู้จักเรือรบหลวงคาร์เธียร์ดี เพราะมันเป็นเรือที่จะออกทะเลต่อเมื่อกษัตริย์แห่งธีสธรัลต้องการเดินทางเท่านั้น และแน่นอนว่าการมาเยือนอาเดรียครั้งนี้หมายถึงความพยายามในการเจรจาของราชินีองค์ใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับอาเดรียที่พระนางไม่สั่งเคลื่อนกำลังพลกองเรือเวเรนเซียมาโจมตีให้รู้แล้วรู้รอด แต่สำหรับเซนทอร์อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะพวกเขาต้องการมีส่วนร่วมอยู่บ้าง หากอาเดรียสามารถตกลงเจรจากับธีสธรัลได้ แอสทารอธอาจไม่ได้อะไรตอบแทนดังที่หวังเอาไว้เลย

อีกทั้งตัวเขาที่ควรจะเป็นสายสืบให้อาณาจักรก็กลับถูกขังอยู่แบบนี้อีก

...ช่างน่าสมเพช

แต่ถ้าอาเดรียไม่สามารถตกลงกับธีสธรัลได้ อีกฝ่ายอาจใช้ความแข็งแกร่งของกองเรือเวเรนเซียบุกโจมตีอาเดรียและทำให้เป็นเมืองขึ้นอีกคราก็ได้ เลสธีราห์เคยได้ยินชื่อของกองเรือรบเวเรนเซียมาบ้าง และเขาไม่คิดว่าอาเดรียจะได้ชัยชนะจากการโจมตีของกองเรือนี้ ต่อให้ตนเองมีกำแพงปราการปกป้องอยู่ถึงสามชั้นก็ตาม ซึ่งหากอาเดรียถูกโจมตีจริงๆ ทั้งสองพี่น้องผู้นำอาจถูกกำจัดทิ้งเลยก็เป็นได้

แล้วเอเดรียนเล่า... ฝ่ายนั้นเป็นแม่ทัพซึ่งเป็นตำแหน่งที่ธีสธรัลไม่อนุญาตให้มี

เอเดรียนจะเป็นอย่างไรต่อไป

เมื่อคิดแบบนี้ ใจของเลสธีราห์ก็บีบรัดขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บ เอเดรียนอาจไม่ใช่คนประเภทวิ่งหนีปัญหา เพียงแต่ไม่รู้วิธีเผชิญหน้ากับมัน แต่เซนทอร์หนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ขัดขืนหากธีสธรัลจะสำเร็จโทษตัวเขาไปด้วย ไม่ว่าเมืองใดก็คิดทำเช่นนั้น หากต้องการให้เมืองใต้ปกครองไม่เหิมเกริมลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน

แล้วเขาควรจะปล่อยให้เอเดรียนเผชิญหน้ากับชะตากรรมแบบนั้นหรือ

...ใจอีกฝ่ายเพียงแค่รักบ้านเมืองของตัวเอง หาใช่ช่วงชิงบัลลังก์ใคร

เขาควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไอย่างที่มันควรเป็นจริงหรือ แล้วภารกิจที่เหนือหัวดาเรียสมอบให้เขาเล่า เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง เลสธีราห์คิดว่าเขาก้าวเข้ามาพบกับความว่างเปล่ามากกว่า เขาเข้ามาค้นพบว่าแท้จริงแล้วอาเดรียไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเลย และหากอาเดรียไม่มีสิ่งใดที่แอสทารอธต้องการ เลสธีราห์ก็คิดว่าเขาควรจะถอยหลังกลับไปยังแอสทารอธ เขาควรจะอยู่กับเซนทอร์ เพราะธุระของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสนใจ แต่เมื่อคิดเช่นนี้ ความทรงจำที่มีภาพของเอเดรียนก็ลอยวนซ้ำไปมาอยู่ในหัว ทั้งความเอ็นดูและอ่อนโยนที่เอเดรียนมอบให้ที่เขาไม่เคยได้รับจากใครอื่น

...รวมทั้งช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย

เสียงลมหายใจของฝ่ายนั้นยังดังสะท้อนอยู่ในหู และสัมผัสที่อ่อนโยนทว่าร้อนรุ่มดั่งไฟก็ยังสัมผัสได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เลสธีราห์ไม่อาจปล่อยมือจากเอเดรียนได้ ยังมีสายใยบางๆทว่าเหนียวแน่นที่ยังพันธนาการเขาเอาไว้ และเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะตัดมันให้ขาดเช่นกัน

เซนทอร์หนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนและถอนใจยาวขณะเหม่อมองโซ่ตรวนที่พันธนาการมือของตนเอาไว้ และคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างครุ่นคิด เลสธีราห์กำลังถกเถียงในใจอย่างดุเดือดถึงวิธีการที่เขาจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างโปร่งยอมรับว่าเขาพอใจกับสัมผัสของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นทุกสิ่งที่เขาปรารถนา ทว่าในตอนนี้มันกำลังทำให้เขาเกือบต้องสละทุกอย่าง

ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อเรียกคนข้างใน ทำให้เซนทอร์หนุ่มเดาว่าเป็นหญิงรับใช้นำอาหารเข้ามาให้ เขาจึงไม่เดินไปเปิดประตู แต่เมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาในห้อง ร่างโปร่งก็พบว่าผู้มาเยือนเป็นชายวัยกลางคนที่น่าจะมีอายุพอๆกับเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธ พร้อมกับผู้ติดตามหนุ่มร่างสูงที่คุ้นหน้า ทว่าไม่เคยรู้จักกัน

"..." ความเงียบแผ่ปกคลุมทั้งห้องเนื่องจากเลสธีราห์เองก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพูดกับใคร

แทนที่ผู้มาเยือนจะเป็นฝ่ายเดินไปนั่ง แต่กลับเป็นผู้ติดตามเสียเองที่วิสาสะเดินไปยังหน้าต่างห้อง เลสธีราห์มองตามบุคคลผู้นั้นไปอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก แม้ว่านี่จะไม่ใช่ห้องของเขาก็ตาม "ข้าคือซินญอร์... ผู้นำแห่งอาณาจักรอาเดรีย" แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องหันกลับมาหาคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม และพิจารณาอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

ท่านชายซินญอร์เดินไปนั่งที่โซฟารับรอง "ข้าขอให้เจ้าช่วยปลดโซ่ตรวนก่อนไม่ใช่หรือ เอเรส"

ชายหนุ่มเดาะลิ้นเบาๆราวกับถูกขัดใจ แม้ว่าจะพอใจที่ผู้นำอาณาจักรใช้คำพูดเชิงขอร้องกับตนก็ตาม ร่างสูงเดินไปหาเลสธีราห์ที่ขยับตัวถอยด้วยความระแวงก่อนจะไขกุญแจปลดตรวนเส้นหนักออกจากข้อมือ "ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซนทอร์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้" ผู้นำอาณาจักรเริ่มบทสนทนาโดยไม่สนใจว่าผู้ติดตามร่างสูงจะละออกไปและเริ่มเดินสำรวจห้องอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ข้าคงไม่ต้องถามกระมังว่า เจ้ามีเหตุผลอะไรในการเข้าใกล้แม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรีย"

เลสธีราห์กลั้นหายใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น และเขารู้สึกได้ถึงสถานะของตนเองต่อหน้าผู้นำอาเดรีย แม้ว่าเอเดรียจะมองเขาอย่างไร มันก็ไม่อาจลบล้างภาพในหัวของผู้นำอาณาจักรได้ สำหรับซินญอร์แล้ว เลสธีราห์เป็นเพียงสายสืบของแอสทารอธ และมีฐานะเป็นนักโทษเท่านั้น "แต่ข้าจะถามว่าเหตุใด... เจ้าจึงเปิดเผยตนเองง่ายดายเพียงนั้น"

จาเร็ตต์บอกเขาว่าเซนทอร์ตนนี้ยอมเปิดเผยตัวเองเพื่อปกป้องเอเดรียน

...ดังนั้นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน และมันอาจเป็นประโยชน์ต่ออาเดรีย

"ในเมื่อเจ้ามั่นใจว่าเจ้ารู้จุดประสงค์ของข้า... ทำไมจึงมาถามหาเหตุผลในเรื่องนี้ได้" แม้ว่าเขาอยู่ที่นี่ในฐานะนักโทษ แต่แน่นอนว่าความดื้อรั้นของเลสธีราห์ก็ยังเหมือนเดิม ต่อให้อยู่ตรงหน้าผู้นำอาณาจักรที่มีสิทธิ์สั่งประหารเขาเมื่อไหร่ก็ได้ "ทำไมจึงต้องมาพูดคุยในเมื่อมั่นใจว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว"

"เพราะเหตุผลของเจ้าอาจเป็นประโยชน์ต่ออาเดรีย" ซินญอร์ตอบเรียบ

"ไม่สิ... เป็นประโยชน์ต่อเอเดรียนต่างหาก"

 

"เช่นนั้นข้าคงไม่มีอะไรจะตอบเจ้า เพราะข้าจะไม่ให้อาเดรียได้ประโยชน์ใดๆจากข้า" นัยน์ตาสีฟ้ามองคู่สนทนาอย่างเดือดดาล "และหากเจ้าไม่รู้กฎของเซนทอร์ ก็ขอให้รู้เอาไว้... ความผิดพลาดของข้าเป็นสิ่งที่ข้าจะต้องรับผิดชอบเพียงผู้เดียว เจ้าไม่สามารถใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการต่อรองใดๆกับแอสทารอธได้ เพราะความรับผิดชอบของอัศวินที่ทำให้อาณาจักรได้รับความเดือดร้อน... มันคือความตายเท่านั้น"

ซินญอร์เหยียดยิ้มเล็กน้อย "ได้ยินเพียงเท่านั้นก็เป็นประโยชน์สำหรับอาเดรียมากแล้ว เลสธีราห์"

"ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อข้า มนุษย์..."

"จริงอยู่ว่าพวกเซนทอร์เคร่งครัดในเรื่องของกฎระเบียบ แต่เจ้าเป็นถึงผู้นำกองเรือเซเลสต์ ผู้ครอบครองธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ เจ้าแน่ใจหรือว่ามูลค่าชีวิตของตัวเองมันต่ำต้อยเพียงนั้น" ผู้นำอาณาจักรว่า "เจ้ายอมเปิดเผยความลับของตัวเองเพื่อปกป้องเอเดรียน เพียงแค่นั้นก็มีประโยชน์ต่ออาเดรียมากแล้ว" เซนทอร์หนุ่มเบิกตาขึ้นก่อนจะลุกยืนด้วยโทสะ แต่แล้วมือใหญ่ของผู้ติดตามก็กดบ่าของเขาลงเพื่อให้นั่งตามเดิม

"ชู่ว... คนสวย ไม่เอาน่า" อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆในคอ และเสียงนั่นก็ทำให้เลสธีราห์มุ่นคิ้วอย่างสับสน

"ข้ามีเรื่องจะให้เจ้าช่วยเหลือ..."

"ท่านชายก็แหย่เขาอยู่นั่น เล่นกับหัวใจคนอื่นมันไม่สนุกนะ" อีกฝ่ายยืนอยู่ด้านหลังโซฟาที่ร่างโปร่งนั่งอยู่ และยังกดน้ำหนักไว้บนบ่าผอมเพื่อไม่ให้เลสธีราห์ลุกขึ้น "แค่พูดไปตรงๆแบบที่บอกข้า มันจะเป็นอะไรนักเชียว" อีกฝ่ายว่าก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูเบาๆสองสามประโยค ซึ่งทำให้เลสธีราห์เบิกตาขึ้นอีกครั้งและหันกลับไปมองผู้พูดพร้อมกับอ้าปากค้าง แต่คนพูดก็เพียงส่งยิ้มเล่นหัวกลับมาให้ก่อนจะยกนิ้วขึ้นแตะปากตัวเองอย่างยียวน

"ข้าจะรอคำตอบนะ"

ท่านชายซินญอร์ถอนใจเบาแล้วจึงลุกขึ้น "ไปเถอะ เอเรส" เขาหมุนตัวเดินกลับไปยังประตูบานใหญ่ แต่ก่อนที่จะออกไป ผู้นำอาณาจักรก็หันมาหาเลสธีราห์อีกครั้ง "ขออภัยที่เสียมารยาท ไม่ได้แนะนำ... นี่คือเอเรส ฟลินทรัสต์ ว่าที่แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรอาเดรีย"

--------------------------------------------------

ราชินีแห่งธีสธรัลต้องการเห็นความหวั่นไหวเมื่อนางเอ่ยถึงกองเรือเวเรนเซียอันแข็งแกร่ง

แต่เอเดรียนกลับไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ซ้ำแล้วยังมองพระนางด้วยสายตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกอีกด้วย "ข้าต้องการเพียงความยุติธรรม พระนาง... ประชาชนของเราเดือดร้อนมากเนิ่นนานเหลือเกิน" แม่ทัพหนุ่มพยายามโน้มน้าว "จริงอยู่ว่าธีสธรัลมีอำนาจพอที่จะบีบอาเดรียได้ด้วยวิธีการต่างๆนานา แต่ท่านอย่าลืมว่าทั้งคัสนาห์และอาเดรียมีขนาดใหญ่ และช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด คัสนาห์มีผลผลิตทางการเกษตร ส่วนอาเดรียมีความสามารถในการค้าขายและส่งออก แม้ไม่ต้องติดต่อกับใคร เราก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง"

ราชินีมุ่นคิ้วเล็กน้อยในขณะที่คิดตาม และพระนางคิดว่าสิ่งที่เอเดรียนพูดเป็นความจริง

"ท่านจะให้ไอย์ชวลมาโจมตีเราหรือ เมืองนั้นสูญเสียกำลังพลไปมากเท่าไหร่ในสงครามที่ผ่านมา ต่อให้สามารถจัดทัพและยกพลมาบุกอาเดรียได้ก็ต้องรออย่างน้อยสองหรือสามเดือน" ไวลด์เม้มปากสนิทเพื่อคิดหาคำตอบโต้... นางไม่อาจเถียงสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวถึง ทั้งกองทัพธีสธรัลและไอย์ชวลต่างบอบช้ำอยู่แล้วจากสงครามก่อนหน้า และเหล่าทหารก็คงจะไม่ยินยอมให้เปิดสงครามอีกครั้งเช่นกัน "และประชาชนของท่าน..." เอเดรียนทอดยิ้มบาง "กำลังเดือดร้อนจากการกีดกันการค้านี้ การรอคอยอย่างไร้จุดหมายเพียงหนึ่งวันก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อนได้ทุกหัวระแหง"

"อย่าดูถูกกองกำลังของข้าให้มากนัก ท่านแม่ทัพ..."

"จริงอยู่ว่าอาเดรียไม่มีกำลังพลหรือกองทัพที่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับกองเรือเวเรนเซียของธีสธรัล แต่ท่านอย่าลืมว่า ในครั้งที่ธีสธรัลตีปราการของเราจนแตกได้ไม่ใช่เพราะอาเดรียไร้สามารถ แต่เพราะมีคนทรยศอยู่ข้างกายกษัตริย์คนก่อน... คอยชี้ทางและให้คำแนะนำผิดๆ มันไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของอาเดรีย แต่มันคือคนทรยศที่ยอมขายวิญญาณให้เงินทองของศัตรู"

ผู้นำอาณาจักรชะงักนิ่งไปอีกสักพัก ด้วยใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่ไม่อยู่ในความทรงจำ

พระนางไวลด์แห่งธีสธรัลมีอายุเพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่เคยได้เห็นสงครามของอาเดรีย "หรือหากสัญญายี่สิบแปดปีนั้นเป็นคำขอร้องที่มากเกินไป" เอเดรียนพูดช้าๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายคล้อยตามสิ่งที่เขากำลังจะขอ ซึ่งมันอาจมีมูลค่ามากกว่าเดิม "ข้าจะยอมลดค่าธรรมเนียมจอดเรือให้ตามที่ท่านขอได้ แต่ต้องแลกกับ... ศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำของชาวเอลฟ์"

ทั้งผู้ติดตาม และผู้นำแห่งธีสธรัลแต่งเบิกตาขึ้นและอ้าปากค้างด้วยความตกใจในสิ่งที่เอเดรียนพูด ด้วยต่างรู้ดีว่าศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำของชาวเอลฟ์นั้นมีมูลค่าสูงกว่าเม็ดเงินในสัญญายี่สิบแปดปีเสียอีก หากพระนางไวลด์ตอบตกลง ประชาชนของธีสธรัลก็แค่ไม่เดือดร้อนในทันทีและไม่ด่าทอถึงตัวพระนาง แต่อนาคตต่างหากที่ธีสธรัลจะต้องสูญเสียอีกไม่รู้เท่าไหร่

ช่างร้ายกาจนัก แม่ทัพใหญ่...

"ศาสตร์การต่อเรือจักรน้ำไอน้ำมีค่าแลกเปลี่ยน... กับอิสรภาพของอาณาจักรอาเดรียเท่านั้น!"

--------------------------------------------------

"เจ้าไม่ควรพูดอะไรให้มากเกินควร" ท่านชายซินญอร์กลับมายังห้องทำงานของตนโดยมีเอเรสเดินตามกลับมาด้วย แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์ผู้มีอิทธิพลในแถบท่าเรือทางใต้ และผู้นำกลุ่มโจรสลัดแห่งเทเทส แต่นับจากวันแรกที่เขาก้มหัวขอร้องให้เอเรสร่วมมือ เขาก็ไม่รู้สึกถึงความน่าเกรงขามเหล่านั้นอีกเลย ภายนอกของเอเรสดูเหมือนจะเป็นเพียงคนธรรมดาที่พูดมากคนหนึ่งเท่านั้น

"ท่านชายเองก็เอาแต่แหย่เขา ข้าเตือนว่าอย่าทำให้เซนทอร์โกรธจะดีกว่า ข้าเชื่อว่าเองก็ยังไม่อยากถูกคนสวยกระโดดเตะด้วยร่างของเซนทอร์ จริงไหม... พละกำลังของพวกเขนามากกว่าเราตั้งเท่าไหร่ ท่านก็น่าจะรู้" แม้เอเรสจะเป็นเหมือนคนพูดมากธรรมดา แต่แน่นอนว่าการมาถึงตำแหน่งผู้นำตระกูล และผู้นำโจรสลัดได้ด้วยวัยเพียงสามสิบ ย่อมหมายความว่าชายหนุ่มมีความคิด ความอ่าน และประสบการณ์มากกว่าที่เห็นแน่นอน

"ข้าไม่เห็นว่าเซนทอร์ตนนั้นจะเยื่อใยอะไรกับเอเดรียน" ซินญอร์ว่า

"เป็นครั้งแรกที่เอเดรียนกล้าขัดคำสั่งไม่มาพบท่านตามที่เรียกหาไม่ใช่หรือ" เอเรสเลิกคิ้ว "นั่นก็เป็นการประท้วงกลายๆของเขาแล้ว อีกอย่าง... สำหรับเรื่องนี้ ไม่ต้องรอฟังความจากเซนทอร์หรอก เพียงแค่เอเดรียนคนเดียวก็พอแล้ว" ดวงตาสีดำขลับของคนพูดหรี่ลงเล็กน้อย

"เห็นได้ชัดว่าเขามีใจให้คนสวยมากแค่ไหน..."

"เจ้าเรียกผู้ชายด้วยคำนั้นได้ลงรึ เอเรส" ท่านชายเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถอนใจออกมา "จริงอยู่ว่าบุคคลที่มีผมสีทองและผิวพรรณที่สวยขนาดนั้นจะหาได้ยากมากที่นี่ แต่... ก็เห็นมาตั้งแต่ต้นว่าเจ้านั่นเป็นผู้ชาย" คนพูดเม้มปากตนในขณะที่หาคำจำกัดความมาอธิบายสิ่งที่ทำให้เขากระอักกระอ่วน "ผู้ชาย..."

"คนสวย ยังไงก็เป็นคนสวยน่า..." เอเรสยักไหล่

"เจ้านั่นพูดเองว่าไม่อนุญาตให้เรียกชื่อ ข้าจะไปกล้าหือเรียกชื่อเขาได้อย่างไร แม้ว่าจะชื่อเพราะอีกก็เถอะนะ" คนหนุ่มหัวเราะลงคอ "เอาเถอะ... การชอบพอกันของผู้ชายไม่ทำให้ข้าแปลกใจสักเท่าไหร่ บางทีพวกโจรสลัดมองหน้ากันทั้งวันจนคิดแบบนั้นมันก็มีอยู่หรอก ดีเสียอีกที่ลดคู่แข่งลงด้วยเวลาไปจอดเทียบท่าที่ไหนแล้วเจอสาวสวยในร้านเหล้าเข้า"

"เจ้ามันพูดมาก..."

ซินญอร์ส่ายหัวน้อยๆแล้วหันกลับไปมองท่าเรือออโรราอีกครั้ง และหยุดพิจารณาเรือรบหลวงคาร์เธียร์ที่ทอดสมออยู่เพียงลำพัง "ต่อให้ธีสธรัลจะยอมอ่อนข้อเจรจากับเรา แต่ข้าก็รู้ว่ามันไม่ง่าย..." ราวรำพันกับตัวเอง ซินญอร์กำหมัดแน่นครั้งหนึ่งเสมือนตัดสินใจบางอย่าง

"จะไปย้ำคิดย้ำทำอีกทำไมกัน การที่ข้าอยู่ที่นี่แล้วมันไม่มีทางให้ท่านถอยกลับแล้ว ท่านชาย"

เอเรสนั่งลงกับโซฟาแล้วยกขาขึ้นวางบนโต๊ะอย่างไม่รู้สึกรู้สา "ท่านมาก้มหัวให้ข้าผู้เป็นโจรต่ำต้อย เสนอข้อเสนอที่ข้าไม่อาจปฏิเสธได้สามประการ การล้างความผิดให้คนของข้า ตำแหน่งแม่ทัพแห่งอาเดรีย และตัวแม่ทัพคนปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่" ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม "ถึงอยากยกเลิกข้อตกลงตอนนี้ ข้าก็ไม่อนุญาตหรอก"

"ข้าไม่คิดจะล้มเลิกแผนอยู่แล้ว..."

เอเรสหัวเราะร่วน "หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาของคนสวย ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านต้องการน่าจะง่ายขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว" เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์กับเอเดรียน เซนทอร์หนุ่มถึงกับบัลดาลโทสะ และนั่นก็เป็นประโยชน์มากพอสำหรับเอเรส ความรักที่มั่นคงเช่นนี้เท่านั้นที่มีพลังมากพอในการบีบคั้นให้ใครทำอะไรก็ได้เพื่อมัน "ถ้าท่านคิดว่าความสัมพันธ์ของชายกับชายมันแปลกประหลาด แต่ในกรณีนี้ต่อให้มันประหลาด แต่มันก็มีประโยชน์... จริงไหม"

--------------------------------------------------

เจอฉากเจรจา 2 ฉากติด แถมไปกันคนละทางด้วย จะงงไหมน้า ^^'
ฝั่งเอเดรียนไม่น่างง... นางดูหยอดตรงๆ

แต่ฝั่งเอเรสนี่ความลับเยอะ ฮาา... เดี๋ยวเฉลยๆ ไม่นานนน นางคนนี้สำคัญ...

ปล. แต่เอเรส... แกไปเรียกเลสแบบนั้นคืออยากโดนดีดเร่อะ...
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 18.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 13-11-2016 20:10:31
ตอนที่ 18.2

เสียงกลองเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในงานที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ อาจเป็นเพราะมันสร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่านักรบ และแน่นอนว่างานประลองที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธก็จะขาดเสียงกลองไปไม่ได้เช่นกัน ทว่าแทนที่มันจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอัศวินตั้งแต่กำเนิด แต่เซนทอร์ร่างโปร่งอย่างรีดาห์กลับตื่นเต้นจนยืนอยู่กับที่ไม่ได้

"คนที่จะลงประลองคือข้า ไม่ใช่เจ้าสักหน่อย เลิกเดินไปมาให้ข้าตาลายได้แล้ว"

การบาดเจ็บที่ข้อเท้าของรีดาห์หายแล้ว และตอนนี้เขาก็มาช่วยเตรียมความพร้อมให้ซาฮาลในการลงสนาม ฝ่ายนั้นฝากเขาถือโล่ห์อันใหญ่และหอกเล่มยาวเอาไว้ ในขณะที่ตัวเองใส่เกราะหนังอย่างใจเย็น "การประลองวาร์ดาเรียงลำดับตามคะแนนสอบจากสูงสุดไปจนถึงต่ำที่สุด เซนทอร์ที่ได้คะแนนสอบมากกว่าเจ้ามีสี่คน..." รีดาห์ละล่ำละลัก "และสามคนก็พ่ายแพ้ให้แก่เหนือหัวง่ายๆเลยนะ!"

ในตอนนี้เหนือหัวของพวกเขากำลังประมือกับผู้ท้าชิงคนที่สี่ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายๆเสียด้วย อีกทั้งผู้ท้าชิงก่อนหน้านี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ระดับสูงซึ่งอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมจะเป็นผู้นำเผ่าอาชา แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพละกำลังของเหนือหัวปัจจุบันอยู่ดี

"ในวันหนึ่ง เหนือหัวจะประมือกับบุคคลเพียงห้าคนเท่านั้น..."

ซาฮาลยืดตัวขึ้นหลังจากสวมสนับขาเสร็จ "เจ้าคิดว่าข้าจะต้องพ่ายแพ้เหมือนสี่คนที่ผ่านมาหรือ" เสียงเฮจากสนามแข่งดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าผู้เข้าร่วมการประลองคนที่สี่พ่ายแพ้แก่ผู้นำคนปัจจุบันแล้ว และต่อไปก็เป็นโอกาสของผู้ท้าชิงคนที่ห้า ซึ่งก็คือซาฮาล ผู้บัญชากรกองเรือพาณิชย์กราเทียร์แห่งแอสทารอธ

"ถ้าแพ้ขึ้นมาล่ะข้าจะหัวเราะให้"

ซาฮาลเหลือบมองคนที่ค่อนขอดเพราะไม่พอใจคำตอบของเขา และพบว่าคู่สนทนากำลังปั้นหน้าหมั่นไส้ใส่อย่างอดไม่ได้ "เจ้าไม่อยากให้ข้าแพ้หรอก รีดาห์" เมื่อใส่สนับมือเสร็จ ซาฮาลก็เดินตรงไปหารีดาห์เพื่อรับอาวุธมาถือไว้ "เพราะอนาคตของสหายเจ้า... อาจอยู่ในมือข้า!" หากซาฮาลชนะการประลอง แน่นอนว่าเขาจะกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากเหนือหัวดาเรียส และแน่นอนว่าย่อมมีสิทธิ์ในการตัดสินเรื่องของเลสธีราห์ด้วย

แต่รีดาห์ก็อดประหลาดใจไม่ได้อยู่ดี "เจ้าไม่ได้ชิงชังเลสธีราห์หรือไร"

"ข้าสนใจ..." อีกฝ่ายว่าและเหลือบมองคู่สนทนาที่สูงแค่ไหล่ของตน "เลสธีราห์ถูกเลี้ยงอย่างตามใจเพราะเป็นลูกของราชเลขา อีกทั้งยังมีบิดาเป็นเอลฟ์ เจ้านั่นอาจจะไม่มีความแข็งแกร่งหรือความสามารถที่จะนั่งตำแหน่งผู้นำของเซเลสต์" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงมองรีดาห์ที่เตรียมอ้าปากแย้ง "แต่พรสวรรค์ด้านการคาดเดาท้องทะเลของเจ้านั่นก็ไม่มีใครเทียบได้เช่นกัน ข้าจึงได้สนใจ"

"แค่นั้นเหรอ" รีดาห์โคลงหัว "เจ้าไล่กัดกับเขาจนโดนเกลียดขี้หน้าน่ะ"

"ความทะเยอทะยานดื้อด้านหัวชนชนฝา..." ซาฮาลยอมรับว่าเขาหลงใหลมัน จะมีเซนทอร์สักกี่ตนในอาณาจักรนี้ที่เผชิญหน้ากับเขา ปะทะคารมกับเขา แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้เขาเลยสักครั้งแม้ว่าตนเองจะด้อยกว่าอย่างไร เลสธีราห์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต่อสู้ไม่เคยท้อถอย และสิ่งที่ซาฮาลอยากเห็นนั่นก็คือ เลสธีราห์จะสามารถทะเยอทะยานได้อีกเท่าไหร่เพื่อจะเอาชนะเขา เขาจึงเฝ้ามองมาตลอด ไม่ว่าจะอ่านดาวประจำตัวหรือรับรู้ความเคลื่อนไหวผ่านคนอื่น เขาก็เฝ้ามองมาตลอด...

แต่ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับความอยากรู้อยากเห็นก็คือความอยากเอาชนะกลับคืน

ถ้าได้สยบความถือดีนั่นเอาไว้ใต้อำนาจของตน ...ซาฮาลอยากรู้นักว่าเขาจะยินดีมากเท่าใด

รีดาห์ไม่มีคำตอบโต้ให้กับคำพูดของซาฮาล เขาไม่มีเหตุผลที่จะห้ามปรามความคิดของฝ่ายนั้น แม้จะไม่เห็นด้วยที่ร่างสูงชอบแหย่เลสธีราห์เพื่อความสะใจส่วนตัว เขาเองก็ต้องการช่วยผู้นำของตนจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ และเขาก็เห็นด้วยว่าการช่วยให้ซาฮาลชนะการประลองนั้นเป็นหนทางที่ดีที่สุด

เพราะซาฮาลคือเซนทอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาของเขา

แม้ว่าเหตุผลที่ซาฮาลต้องการช่วยเลสธีราห์จะเป็นเหตุผลคนละแบบกับเขาก็ตามที "เจ้าไม่บอกเขาบ้างว่าเจ้าสนใจ... เลสธีราห์เกลียดเจ้าจะตายไป" ร่างโปร่งพยายามให้คำแนะนำ เพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น "คนที่เจ้าสนใจเกลียดแบบนี้ ไม่รู้สึกน้อยใจบ้างหรือไร"

"ให้เขารู้ด้วยตัวเองในสักวันว่าข้าสนใจเขามากกว่าใครจะดีกว่า..." ร่างสูงตอบ

"..."

"วิถีของนักรบเซนทอร์คือการเอาชนะ ถ้าข้าบอกด้วยตัวเอง ข้าก็แพ้ไม่ใช่หรือไร"

รีดาห์เดินนำคู่สนทนาออกไปตามทางเดินเพื่อมุ่งสู่สนามประลองที่อยู่ใจกลางที่พักของเหนือหัวแห่งแอสทารอธ เสียงกลองเป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ และเมื่อถึงประตูบานหนึ่งที่มีผ้าเนื้อบางขวางปิดอยู่ ซาฮาลก็หันมาหาคนข้างๆอีกครั้ง "น่าแปลกที่เจ้าไม่ห้ามปรามข้าอย่างที่เคยทำ"

รีดาห์เงยมองคนที่กำลังจะลงสนามรอมร่อแล้วหัวเราะเบาพร้อมกับตบแขนอีกฝ่าย

"เพราะข้าเชื่อว่าเจ้าปรารถนาดีกับเลสธีราห์"

"...เชื่อคนง่ายนะ"

"หุบปาก แล้วรีบลงสนามไปซะ!"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์นั่งนิ่งๆอยู่พักใหญ่เพื่อพิจารณาข้อเสนอที่เอเรส ฟลินทรัสต์มอบให้


แล้วเขาควรจะทำอย่างไร...

เป็นที่แน่นอนว่าแอสทารอธจะไม่ได้ศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำจากอาเดรียอย่างที่คาดหวัง แต่หากเขานั่งรอให้เอเดรียนจัดการเรื่องราวทุกอย่างแบบนี้ ชายหนุ่มก็คิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรเช่นกัน แล้วถ้าเขาตอบรับข้อเสนอของเอเรสเล่า... เลสธีราห์คิดว่าแอสทารอธจะได้รับอะไรตอบแทนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่เรื่องการตกลงแลกเปลี่ยนนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากเหนือหัวดาเรียสด้วย เลสธีราห์ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจผลประโยชน์ของอาณาจักร แต่ในตอนนี้เขามีอำนาจที่จะเลือกได้ว่าตนจะยอมร่วมมือกับว่าที่แม่ทัพคนใหม่หรือเปล่า

'เจ้ารู้จัก... ปืนคาบศิลาไหม คนสวย'

จริงอยู่ว่าแอสทารอธต้องการเรือจักรไอน้ำเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการค้าขายกับแผ่นดินตะวันออกไกล แต่หากมองในเรื่องของความมั่นคงทางการทหารแล้ว สิ่งที่เอเรสเสนอมานั้นก็ไม่ได้ด้อยค่าหรือไร้ความสำคัญ แต่เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายนั้นครอบครอง 'ปืนคาบศิลา' จริงๆ ไม่ใช่การโน้มน้าวด้วยลมปากอย่างที่เอเดรียนเคยทำเมื่อครั้งเจรจากับท่านหญิงลีอาห์

นี่เขาจะต้องเดินทางไปขโมยปืนคาบศิลามาจากไหนด้วยหรือเปล่าหนอ

เลสธีราห์คิดว่าเขาต้องการคำอธิบายเพิ่มจากเอเรส แต่อีกฝ่ายก็ไม่ใยดีจะสนทนากับเขาสักเท่าไหร่ รวมทั้งกิริยามารยาทและการเรียกเขาว่า 'คนสวย' ก็ทำให้เซนทอร์หนุ่มหงุดหงิดมากพอจนไม่อยากสนทนาต่อเช่นกัน "มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเงียบดสียงไปเป็นเวลานานจนเกินควร เอเดรียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะใช้มือสางผมให้กับเลสธีราห์ซึ่งนั่งแช่อยู่ในอ่างน้ำกว้าง ผมยาวสีอ่อนเปียกลู่แนบไปกับผิวเนื้อที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน แม่ทัพอาเดรียนั่งอยู่บนขอบอ่าง เขาลากมือผ่านขมับซ้ายที่สากเพราะไรผมเล็กๆ เลยไปยังกระหม่อมที่กลางหัว และสอดนิ้วสางเส้นไหมนุ่มเบาๆ

เซนทอร์หนุ่มโกนผมออกครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ปล่อยยาว "เลสธีราห์..."

"อืม" ร่างโปร่งตอบรับในลำคอแทนการบอกว่าตนยังรู้สึกตัวดี "วันนี้ไปพูดคุยกับราชินีแห่งธีสธรัลมาเป็นอย่างไรบ้าง" แม่ทัพหนุ่มหัวเราะลงคอเบาๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลี่ยงตอบคำถามของเขาด้วยการถามย้อนในหัวข้อที่เคร่งเครียดยิ่งกว่าที่เอเดรียนไม่สามารถปฏิเสธการใช้คำตอบได้ "ตกลงกันได้ดีหรืออย่างไร เจ้าถึงมีอารมณ์มานั่งสระผมให้ข้าแบบนี้"

"ไม่..." ร่างสูงถอนใจ "แต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสอยู่"

เลสธีราห์อยากรู้รายละเอียดการเจรจาทั้งหมดเหลือเกิน ทั้งด้วยความเป็นห่วงในตัวเอเดรียน และผลประโยชน์ของแอสทารอธ ฝ่ายนั้นคำนึงถึงเขาและพวกพ้องเซนทอร์บ้างหรือไม่หรือสนใจแค่เอาเพียงแค่ตัวเองให้รอดก่อน "ข้ามีสิทธิ์รู้ไหม" อันที่จริงเขาควรจะถามออกไปตรงๆตามนิสัยของเซนทอร์มากกว่าอ้อมค้อมตัดพ้อแบบนี้ แต่ช่างน่าแปลกที่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจก็ผุดขึ้นมาดื้อๆทั้งที่เขาก็รู้ถึงสถานะของตัวเองดี

"ข้าเสนอให้ธีสธรัลจ่ายค่าผ่านทางในอัตราปกติที่พวกเราเรียกเก็บจากชาวเอลฟ์" เอเดรียนตอบ "หลังจากที่อาเดรียต้องงดเว้นค่าธรรมเนียมจอดเรือให้กีบธีสธรัลมาถึงยี่สิบแปดปี ข้าแค่ขอความยุติธรรมกลับคือมาให้พวกเราบ้าง แต่เหมือนพระนางเองก็ไม่ต้องการถูกประชาชนด่าทอเหมือนกันจึงได้ขอเวลาพิจารณาข้อเสนอก่อน"

"ถ้านางยอมรับข้อเสนอ จะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น อาจมีการลุกขึ้นต่อต้าน" เลสธีราห์วิเคราะห์

"ใช่ สำหรับกษัตริย์ที่เพิ่งครองราชย์ด้วยวิธีการล้มราชบัลลังก์เก่า การขัดใจประชาชนเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ" เอเดรียนว่า "แต่ข้าก็ไม่อยากอ่อนข้อให้กับธีสธรัลที่เอาเปรียบเรามาเนิ่นนาน" ชายหนุ่มเห็นคู่สนทนามุ่นคิ้ว และสีหน้าของเลสธีราห์ก็บอกได้ว่ากำลังคิดหาวิธีถามเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของแอสทารอธ "ตอนนี้การเจรจายังไม่ลงตัว ข้าจึงไม่สามารถรับรองผลประโยชน์ที่แอสทารอธจะได้รับ" ว่าแล้วเขาก็เชยคางเรียวให้แหงนขึ้นสบตากับตนซึ่งนั่งอยู่บนขอบอ่างด้านหลัง ก่อนจะก้มลงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนแทนคำปลอบโยน

"เจ้ามีสิทธิ์ที่จะถามถึงผลประโยชน์" เอเดรียนยิ้มบาง "เพราะข้าจะไม่ทอดทิ้งแอสทารอธ"

มันควรเป็นคำตอบที่น่าพอใจ แต่เลสธีราห์ลอบกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยราวกับว่าอยากได้ยินอะไรที่น่าพอใจยิ่งกว่านั้น เซนทอร์หนุ่มหลับตาลงและผ่อนลมหายใจช้าๆเพื่อขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระของตนออกไปจากหัว เขารู้ดีว่าตอนนี้ตนกำลังสนทนาในฐานะของขุนนางระดับสูง และกำลังหารือกลายๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอาณาจักรอันเป็นสิ่งสำคัญ

แต่ลึกๆแล้ว เขาก็อยากได้ยิน... ว่าตนเป็นคนพิเศษของอีกฝ่ายบ้าง

การเป็นคนพิเศษของเอเดรียนจะเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายหรือไม่หนอ ในเมื่อคำพูดของท่านชายซินญอร์เมื่อกลางวันกล่าวเอาไว้ ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเอเดรียนในตอนนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่ออาเดรีย แปลว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้ความรู้สึกของเอเดรียนเป็นเครื่องมือหรืออย่างไร

"เจ้า... ชอบข้าบ้างไหม"

คำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาก่อนหน้าทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เซนทอร์หนุ่มสูดหายใจเข้าและเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเกินกว่าจะบอกความรู้สึกได้ ต่อให้ใจของคนพูดจะเริ่มเบาโหวง และเงียบงันประหนึ่งหัวใจหยุดเต้นไปแล้วก็ตาม "ข้าอยู่ในฐานะใดสำหรับเจ้า แม่ทัพจากเมืองอื่น หรือว่าอะไร"

"มาถามอะไรเอาป่านนี้"

เอเดรียนล้างยาสระผมออกจนหมดและเริ่มใช้สบู่ถูฟอกไปบนผิวเนื้อที่ยังปรากฎรอยแผลและรอยช้ำอยู่บ้าง "เจ้าเป็นเพียงเลสธีราห์สำหรับข้า..." มือสากลากเฟ้นไปตามท่อนแขนแข็งแรงช้าๆ ราวกับต้องการสัมผัสผิวขาวของคนตรงหน้าให้นานขึ้นอีกนิด "รักมากเสียจนอยากจะพาเจ้าหนีไปไกลๆด้วยซ้ำ" แม่ทัพใหญ่อิงหน้าผากของตนกับท้ายทอยที่เปียกชื้น ขณะมุ่นคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกอึดอัด

"แต่หากข้าปรารถนาเซนทอร์... ข้าควรจะมีเกียรติให้เขาภูมิใจไม่ใช่หรือ"

ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารอดอยู่บนผิวเนื้อทำให้ร่างโปร่งต้องห่อไหล่ขึ้นเล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แทนที่คำบอกรักจะเป็นคำพูดแสนหวาน แต่เขากลับสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดของคนพูด แทนที่มันจะเป็นพลังอันอบอุ่นดังในจินตนาการ แต่สำหรับทั้งคู่แล้วมันกลับเป็นความทรมานที่ไม่สามารถละทิ้งได้ "แม้จะรู้ว่าดิ้นรนอย่างไรก็ไม่มีทางสมหวัง แต่ข้าก็ไม่อาจปล่อยมือจากเจ้าได้อยู่ดี"

เลสธีราห์ยกมือขึ้นลูบผมสีเข้มช้าๆ ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับแม่ทัพแห่งอาเดรีย

"..."

แต่เขาบอกอีกฝ่ายไม่ได้... ว่าตนรู้สึกอย่างไร ด้วยเกรงว่าจะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือ

มือใหญ่เชยคางเรียวขึ้นสบตา ก่อนจะประคองใบหน้าเอาไว้และก้มลงแนบริมฝีปากอีกครั้งแทนคำอธิบายทั้งหมดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ และแม้จะดูเจ็บปวด แต่เอเดรียนก็กล่าวต่อหนักแน่น "ต่อให้ไม่มีสิทธิ์จะครอบครอง แต่ข้าจะไม่ยอมทำให้เจ้าขายหน้าในเรื่องใดๆ"

ฝ่ามือของเอเดรียนอบอุ่นเสมอมา และจุมพิตของฝ่ายนั้นก็อ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เลสธีราห์หลับตาลงหลังจากตัดสินใจได้ เขายกมือขึ้นโอบกอดคนตรงหน้า เผยอริมฝีปากเพื่อตอบรับจูบที่เนิบช้าอ้อยอิ่ง สัมผัสถึงความอุ่นร้อนผ่านปลายลิ้นเกี่ยวพัน ทั้งรสชาติของมันเต็มไปด้วยความโหยหา หยาดน้ำจากผิวกายเปียกชิ้นหยดซึมผ่านผ้าเนื้อดี แต่แทนที่เอเดรียนจะพยุงให้อีกฝ่ายขึ้นจากน้ำ เซนทอร์หนุ่มกลับเหนี่ยวร่างเบื้องบนให้ลงมาอยู่ในอ่างเดียวกับตนแทน

"...!..."

"เช่นนั้น..." เลสธีราห์เลื่อนมือขึ้นวางบนเสื้อที่เปียกชุ่ม ทาบลงที่อกซึ่งเขาสามารถได้ยินเสียงหัวใจแทนคำสัญญาของอัศวิน "ก็ทำให้ข้าภูมิใจ" เขาจูบเอเดรียนอีกครั้ง และจูบซ้ำไปมาไม่รู้เบื่อ ปล่อยให้แขนแกร่งกอดรัดร่างจนแนบชิดไม่มีช่องห่างจากกัน "ข้าจะรอ"

...และเขาจะตกลงร่วมมือกับเอเรส ฟลินทรัสต์

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


คราวนี้มี new item แพลมๆ... ที่มาเหนือ steam ship (เรือจักรไอน้ำ) นั่นคือ flintlock guns (ปืนคาบศิลา)
พอจะเดาได้ไหมว่ายุคสมัยของนิยายเรื่องนี้อ้างอิงประมาณศตวรรษที่เท่าไหร่.............
.
.
.
โอเค เฉลย
...ปลายศตวรรษที่ 18 ค่ะ 555555555

//นับวันยิ่งไม่เหมือนนิยายวาย << คืออยากให้เขาจูบกัน ยังลากเข้ามายากเลย << อยากเขียนฉากเรทแต่ปลง OTL
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 18.2 [13-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 13-11-2016 23:36:14
เพิ่งเรียนประวัติศาสตร์โลกไปเองค่ะ ธีสธรัลนี่อาณาจักรอังกฤษแน่ๆ เป็นเกาะ ศาสตร์เครื่องจักรไอน้ำ มีอาณานิคม เป๊ะเฟร่อออ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 18.2 [13-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 14-11-2016 06:00:58
เพิ่งเรียนประวัติศาสตร์โลกไปเองค่ะ ธีสธรัลนี่อาณาจักรอังกฤษแน่ๆ เป็นเกาะ ศาสตร์เครื่องจักรไอน้ำ มีอาณานิคม เป๊ะเฟร่อออ

///__\\\ อุ๊ย... จริงๆแค่เอามาอ้างอิงเป็นฐานข้อมูลเฉยๆนะ (ไม่งั้นคุมธีมไม่ถูก มันแฟนตาซี้แฟนตาซี)
ยังไม่แม่นประวัติศาสตร์ขนาดเอาสงครามในไหนสักอันหนึ่งมาแปลงเป็นนิยาย ฮาา (แต่อยากทำ...)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 18-11-2016 10:12:56
ตอนที่ 19.1

ตึง!

ด้ามหอกแข็งกระแทกลงกับพื้นทราย เช่นเดียวกับกีบเท้าขนาดใหญ่ที่ไถลไปบนพื้นจนฝุ่นตลบ ผู้ท้าชิงเป็นฝ่ายเสียหลัก และเขาใช้อาวุธค้ำยันกายเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้ม แผงอกกำยำที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อหอบสะท้าน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้คู่ต่อสู้ที่เป็นถึงผู้นำแห่งแอสทารอธ

กฎการประลองวาร์ดาไม่มีอะไรซับซ้อน... ฝ่ายใดล้มลงกับพื้นจะเป็นผู้แพ้

เพื่อไม่ให้ผู้ท้าชิงพลั้งมือสังหารองค์เหนือหัว พวกเขาจึงตั้งกฎนี้ขึ้นมา และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเซนทอร์เป็นอมนุษย์ครึ่งม้าที่มีถึงสี่ขา ดังนั้นผู้ชนะจึงสมควรที่จะยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งโดยไม่พลาดพลั้งสักเพียงครั้ง พวกเขาลุกขึ้นยืนได้ช้ากว่าเผ่าอื่น ดังนั้นการล้มของเซนทอร์อันตรายมากพอที่จะเปิดทางให้ศัตรูลงมือ

...และเหนือหัวแห่งแอสทารอธจะต้องไม่ล้มในสมรภูมิ

ซาฮาลยันขาแข็งแรงขึ้นตนเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง และยกโล่ขึ้นในระดับที่สามารถป้องกันตัวได้ มัดกล้ามแข็งตึงเกร็งขึ้นรูปเมื่อเขาออกแรงยกหอกเล่มยาวในมือขึ้นและเล็งไปทางเหนือหัวดาเรียส แรงกระแทกจากโล่ของอีกฝ่ายทำให้เซนทอร์หนุ่มมึนงงไปชั่วครู่ ผู้นำกราเทียร์มั่นใจว่าหากคนตั้งรับไม่ใช่เขา แรงปะทะเมื่อครู่ก็คงจะทำให้ล้มกระเด็นไปได้แล้ว

เหนือหัวดาเรียสสามารถเอาชนะการประลองวาร์ดาได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี นับประสาอะไรกับอีกฝ่ายในวัยสี่สิบห้า กับเขาที่มีอายุถึงยี่สิบสาม ซึ่งนับว่าแก่มากไปเสียด้วยซ้ำ "เจ้าเป็นตัวเต็งของการประลองนี้ อย่าทำให้ข้าผิดหวังกับการปะทะเพียงเล็กน้อยถึงกับทำให้เจ้าเซได้สิ ซาฮาล..."

ผู้ท้าชิงสูงกว่าผู้นำของตน เนื่องด้วยชายหนุ่มได้รับลักษณะดีมาจากทั้งบิดาและมารดา แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอก ร่างกายกำยำสมส่วนไม่ได้บ่งบอกถึงความชำนาญในการใช้อาวุธและการต่อสู้ ต่างจากเหนือหัวดาเรียสที่มีทั้งทักษะและพละกำลังอย่างนักรบที่หมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ

เซนทอร์หนุ่มสะบัดพวงหางยาวปัดไล่ฝุ่นทรายที่กระจายอยู่โดยรอบ กีบเท้าที่สวมเกือกแบบใหม่เคาะกับพื้นช้าๆเมื่อเจ้าของร่างเริ่มใช้ความคิดว่าต้นต้องโจมตีที่ใด "หากข้าเอาชนะเหนือหัวดาเรียสได้โดยง่าย คงจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับยอดนักรบน่าดูขอรับ"

"เหนือหัวคนต่อไปของแอสทารอธ... จะต้องล้มข้าได้อย่างไม่ยากเย็นต่างหาก"

โครม!

ซาฮาลเหวี่ยงหอกเข้าใส่คู่ต่อสู้ จังหวะเดียวกันกับที่เขายกโล่ขึ้นป้องกันอย่างอ่านทางได้ มืออีกข้างเหวี่ยงอาวุธกลับบ้าง พร้อมทั้งก้าวเข้าหาเพื่อเพิ่มความรุนแรงในการโจมตี และเมื่อซาฮาลก้าวถอย ดาเรียสก็ยกขาหน้าทั้งสองขึ้นในกาอาศ พร้อมกับกดปลายหอกปะทะกับโล่อย่างดุดัน

เหนือหัวดาเรียสเด่นในเรื่องของพละกำลัง ดังนั้นการจะปราบเขาด้วยกำลังจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

และทุกครั้งที่ผู้นำแห่งแอสทารอธยกขาขึ้น แรงปะทะจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า ทว่านั้นก็เป็นท่าทางที่เผยจุดอ่อนที่สุดของเซนทอร์ ซาฮาลถอยกลับไปตั้งหลักก่อนที่จะถูกดาเรียสกระแทกจนเข่าทรุด เขามุ่นคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพักว่าจะต้องทำอย่างให้คู่ต่อสู้ล้มลงได้ สนับเข่าและเกราะทุกชิ้นของเหนือหัวถูกออกแบบมาอย่างดีทำให้เขากันกับรูปร่างของเขาจนแทบไม่รู้สึกอึดอัดเวลาสวมใส่ และข้อเท้าของดาเรียสก็ใหญ่กว่าเซนทอร์ทั่วไปเช่นกันเดียวกับซาฮาล

ไม่ง่ายเอาเสียเลย...

เซนทอร์ทั้งสองพุ่งเข้าโรมรันกันอีกครั้งโดยที่ซาฮาลไม่สามารถทำให้เหนือหัวดาเรียสเสียหลักได้เลยสักนิด เสียงอาวุธปะทะกันถูกกลบด้วยเสียงเชียร์ของผู้ร่วมชมการต่อสู้ ซาฮาลเป็นร่วมประลองคนที่ห้าของวัน และนับเป็นคนสุดท้าย หลังจากสี่คนแรกถูกโค่นล้มลงง่ายๆโดยแทบจะไม่ทำให้ผู้นำอาณาจักรรู้สึกเหนื่อยด้วยซ้ำ

ซาฮาบนับว่ามีฝีมือพอตัวที่ทำให้เหนือหัวดาเรียสเหงื่อออกได้

รีดาห์มองการประลองอยู่เงียบๆและมุ่นคิ้วอย่างครุ่นคิด จริงอยู่ว่าซาฮาลตัวใหญ่กว่า และลักษณะดีกว่าเหนือหัวแห่งแอสทารอธ แต่ด้วยความที่มีประสบการณ์น้อยกว่าทำให้อ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ไม่ออก ขณะที่ผู้นำสามารถตอบโต้ได้ทุกการโจมตีอย่างรู้เท่าทัน ต่อให้ซาฮาลจะเป็นตัวเต็งของการประลองนี้ แต่หากอีกฝ่ายพลาดล้มขึ้นมา ก็เท่ากับแพ้การประลองอยู่ดี

"รีดาห์..."

น้ำเสียงเรียบเย็นเป็นเอกลักษณ์ของราชเลขาแห่งแอสทารอธดังขึ้นทำให้คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว รองผู้บัญชาการแห่งเซเลสต์รีบค้อมหัวแสดงความเคารพต่อท่านหญิงลีอาห์ "ท่านราชเลขา... มาไม่ให้สุ้มเสียง" เมื่อได้เห็นราชเลขา ความลับที่รีดาห์พยายามปกปิดเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาในหัว และทำให้เขาแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน

"การสนทนากับข้าทำให้เจ้ารู้สึกเกร็งขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่" เซนทอร์หญิงกล่าวอย่างรู้ทัน

ใบหน้าของท่านหญิงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ แต่รีดาห์ก็สังเกตได้ว่านางพยายามรักษาความสุขุมเอาไว้ในน้ำเสียงที่ค่อนข้างสั่น "ข้ารู้เรื่องลูกชายแล้ว" คนฟังกลั้นใจเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ เซนทอร์หนุ่มเหลือบมองรอบตัวที่คนรอบข้างดูจะสนใจการประลองมากกว่าพวกเขา ก่อนจะถามกลับ

"ท่านทราบได้อย่างไร"

"ข้าถามมาจากเฟรดา" หญิงสาวมองคู่สนทนา "พวกเจ้าควรจะบอกข้าแต่แรก เหตุใดจึงพยายามหลบหน้าและเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ ไม่คิดหรือว่ามันจะเป็นผลเสียต่อเลสธีราห์" ลีอาห์กล่าวตำหนิ "จริงอยู่ว่าเขามีความผิดที่ถูกจับได้ แต่เราจำเป็นจะต้องหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดให้เขา"

"แต่โทษทัณฑ์ของเลสธ๊ราห์อาจหมายถึงความตาย..."

"เจ้าควรจะบอกข้าที่เป็นแม่ของเขาตั้งแต่แรก!"

"ท่านหญิง เราอยู่ในช่วงของการประลองวาร์ดา และมันคงจะเลื่อนไปไม่ได้ หากแจ้งเรื่องนี้แก่ท่าน ไม่ช้าเหนือหัวดาเรียสก็ต้องรู้ และมันอาจกระทบกับอาณาจักรเรา..." ดวงตาเรียวเขม่นมองเป็นเชิงปรามให้ร่างโปร่งหยุดพูด ลีอาห์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเบือนหน้าหนี

"ข้ารู้ว่าอะไรควรพูด รึไม่ควรพูด รีดาห์ เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดแทนข้า"

"ท่านหญิง..."

"อาเดรียกระทำการเสียมารยาทกับเราที่สุด ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาหลุดมือไปเป็นแน่"

จริงอยู่ว่าเลสธีราห์แฝงตัวเข้าไปในอาเดรียเพื่อสืบข่าวคราวและความลับของเมืองมนุษย์ แต่ในเมื่ออาเดรียต้องการความช่วยเหลือจากแอสทารอธ พวกเขาก็ไม่ควรทำกับเซนทอร์เช่นนี้ ไม่ว่าเซนทอร์ตนนั้นจะเป็นแม่ทัพเรือ หรือว่าชาวบ้านธรรมดาก็ตาม "พวกมันจะส่งคนมาหลังจบการประลองวาร์ดาแน่นอน"

"ท่านหญิง เรื่องนี้ซาฮาลบอกว่าจะเป็นคนจัดการเอง"

"ไม่ว่าจะเป็นซาฮาล หรือเหนือหัวดาเรียสออกปากเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่เฉยได้อย่างนั้นรึ" ต่อให้กฎของเซนทอร์จะเข้มงวดอย่างไร ลีอาห์ก็ไม่อาจหักใจใช้กฎระบียบนั้นกับลูกชายของตัวเองได้อยู่ดี "ข้าจะหาทางออกให้กับลูกเอง และเพื่อผลประโยชน์ของแอสทารอธ"

เสียงเฮที่ดังมากกว่าปกติทำให้คู่สนทนาทั้งคู่หันกลับไปมองสนามประลอง เหนือหัวดาเรียสยกสองขาขึ้นในอากาศ พร้อมกับทุ่มกำลังกดปลายหอกลงหาซาฮาลซึ่งยกขาขึ้นสองข้างเช่นกัน อาวุธของพวกเขาขัดกันกลางอากาศ และอึดใจต่อมา เซนทอร์หนุ่มก็ใช้ร่างกระโจนเข้าชนคู่ต่อสู้ และด้วยความยาวช่วงขาที่มีมากกว่า เหนือหัวดาเรียสก็ถูกกระแทกจนร่างลอย

พลั่ก...!

"ย้าก!"

--------------------------------------------------

ราชินีองค์ใหม่นอนไม่หลับทั้งคืนอันเนื่องมาจากความกังวลในการเจรจากับอาเดรีย ซึ่งนอกจากจะพักผ่อนไม่เต็มตาแล้ว พระนางยังเก็บข้อเสนอของแม่ทัพใหญ่ไปนอนฝันอีกด้วย "แย่จริงเลย..." แม้ว่าอาเดรียจะจัดที่พักรับรองเอาไว้ให้อาคันตุกะชั้นสูง แต่ราชินีแห่งธีสธรัลก็เลือกจะเดินทางกลับมานอนบนเรือรบหลวงคาร์เธียร์เพื่อความปลอดภัย ดังนั้นนอกจากอาการนอนไม่หลับแล้ว พระนางยังมีอาการเมาคลื่นอยู่บ้างอีกด้วย

"ไม่ว่าข้อเสนอใดของแม่ทัพผู้นั้นก็ล้วนแล้วแต่ตกลงไม่ได้" ฟลินกอร์น คนสนิทของพระนางกล่าว

"แต่อย่างน้อยแอสทารอธก็ให้คำมั่นกับเราว่าในหนึ่งเดือนนี้จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออาเดรีย ข้าคิดว่านี่เป็นสัญญาที่ทำให้เบาใจไปเปราะหนึ่ง ระยะเวลาหนึ่งเดือนไม่ได้มากมายนัก แต่สำหรับเรื่องปกท้องแล้วมันก็เป็นเวลาที่มากพอที่จะบีบให้อาเดรียยอมตกลงเรื่องใดกับเราสักเรื่องหนึ่ง" ราชินีตอบ "แต่จะเลือกสัญญายี่สิบแปดปีนั่น หรือการมอบเรือจักรไอน้ำให้อาเดรียก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ธีสธรัลเสียผลประโยนช์ทั้งนั้น"

"นายหญิง เราจะไม่มอบศาสตร์การต่อเรือให้อาเดรียเป็นอันขาด นั่นเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล และมีน้ำหนักเทียบเท่ากับอิสรภาพของอาณาจักรอาเดรียเท่านั้นตามที่พระนางได้ยื่นคำขาดไปก่อนหน้านี้"

หญิงสาวมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ในเวลานั้น "เอเดรียนผู้นั้น... มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของผู้นำอาณาจักร"

"นายหญิง..."

"ไม่ใช่ท่านชายซินญอร์ หรือท่านหญิงซินญอร่าที่ทำให้เราตกที่นั่งลำบากแบบนี้ แต่เป็นแม่ทัพเอเดรียนที่มีความสามารถทั้งในด้านเจรจาและด้านการทำศึก" หากพระนางได้สนทนากับท่านชายซินญอร์ก็คงจะตกลงกันได้ไม่ยากเย็นนัก หรืออาจจะตัดสินใจได้ในทันทีว่าควรยกกองทัพเรือมาบุกอ่าวออโรราหรือไม่ แต่เมื่อได้พูดคุยกับแม่ทัพเอเดรียน ราชินีก็คิดว่าความหลักแหลมของอีกฝ่ายยังเป็นสิ่งที่ควรรักษาเอาไว้ หรือดึงเขามาเป็นพวกพ้องน่าจะมีประโยชน์กว่า

ฟลินกอร์นพยักหน้ารับ "เขาเป็นคนที่มีความสามารถพอจะเป็นผู้นำของอาเดรียได้"

พระนางไวลด์เห็นด้วย "และถ้าข้าได้ใจเขา... อาเดรียจะตกเป็นของเรา" วิธีการเช่นนี้อาจง่ายที่จะพูด แต่เมื่อคิดถึงการทำให้สิ่งที่พูดกลายเป็นความจริงแล้ว ราชินีก็คิดว่าพระนางคงไม่สามารถทำได้ การทำให้ใครสักคนตัดสินใจหันหลังให้สิ่งที่เขายึดเหนี่ยวมาตลอดชีวิตนั้นเป็นเรื่องยากกว่าการทำศึกสงครามเสียอีก "ระหว่างท่านชายซินญอร์กับอาณาจักรอาเดรีย... เจ้าคิดว่าเขารักอะไรมากกว่ากัน"

"ย่อมเป็นอาณาจักรอาเดรียขอรับ"

ผู้นำหญิงจรดยิ้มที่มุมปากของนางช้าๆ พระนางตัดสินใจได้แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เสี่ยงแต่ในเมื่อผู้นำอาณาจักรเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง อย่างน้อยก็ต้องทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือประชาชน "ในเมื่อเราจะไม่มอบศาสตร์การต่อเรือให้อาเดรีย ก็จำต้องกลับไปพิจารณาสัญญายี่สิบแปดปีซึ่งมีมูลค่ามหาศาลและแน่นอนว่าจะทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ แต่แน่นอนว่าธีสธรัลจะไม่เป็นฝ่ายอ่อนข้อให้แต่เพียงฝ่ายเดียวแน่นอน"

ฟลินกอร์นค้อมหัวลงช้าๆ ยอมรับในการตัดสินใจของผู้นำอาณาจักร "ข้าจะตามผู้แทนขุนนางฝ่ายคลังมาพบท่าน"

"...รวมทั้งแม่ทัพเรือด้วย" ราชินีว่า "ในครามที่ผ่านมาเราสูญเสียกำลังพลทหารบกไปมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีทหารเรือไม่ใช่หรือ" แม้ว่าการทำสงครามจะเป็นหนทางสุดท้ายที่เลวร้าย แต่การแสดงแสงยานุภาพของกองเรือรบเวเรนเซียก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะเน้นย้ำทำให้ทุกอาณาจักรจดจำได้ว่าผู้ใดคือมหาอำนาจทั้งทางบกและทางทะเล "เพราะไม่มีกองเรือใดจะยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเทียบเท่ากองเรือเวเรนเซียแห่งธีสธรัล"

...เว้นเสียแต่กองเรือรบเซเลสต์แห่งแอสทารอธ

--------------------------------------------------

เอเรสลังเลที่จะเคาะประตูห้องพักของเลสธีราห์ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายก่อนหรือว่าเปิดประตูเข้าไปเลยซึ่งมีความเป็นไปได้สูง่าเขาอาจจะพบบุคคลมากกว่าหนึ่งคนในห้องนั้น "..." ชายหนุ่มตัดสินใจว่าควรจะเรียกก่อนสักครั้งเพื่อความมีมารยาท แต่ก็เลือกไม่ได้ว่าควรเรียกอย่างไรระหว่างคำสามคำนั่นคือ 'เลสธีราห์' 'เซนทอร์' และ 'คนสวย'

มีความเป็นไปได้สูงว่าคำแรกและคำสุดท้ายอาจทำให้เขาถูกเซนทอร์ดีด

ก๊อก... ก๊อก...

ในเมื่อเลือกไม่ได้ว่าควรจะเรียกอย่างไร เอเรส ฟลินทรัสต์จึงตัดสินใจเคาะประตูและเปิดเข้าไปในห้องเลย ซึ่งในครั้งนี้นับว่าเป็นความโชคดีที่เซนทอร์ร่างโปร่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง "หึ..." ร่างสูงจรดยิ้มที่มุมปากเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่น่าจะวนเวียนมาที่ห้องนี้บ่อยพอสมควรจนถึงขั้นลืมเสื้อนอกเอาไว้บนโซฟา "อรุณสวัสดิ์ คนสวย..." แม้ว่าจะเป็นคำที่เขาไม่ควรเลือกใช้ แต่อย่างไรมันก็ติดปากไปเสียแล้ว และนั่นทำให้เลสธีราห์ชำเลืองมองผู้มาเยือนด้วยหางตาโดยไม่หันมาต้อนรับผู้มาเยือน

"ข้ามาฟังผลการตัดสินใจของแอสทารอธ"

เอเรสไม่คาดหวังให้เซนทอร์หนุ่มพูดคุยเป็นกันเอง เพราะสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่มิตรภาพระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่คือผลประโยชน์ที่เขาเสนอไปเมื่อวานนี้ "ให้เวลาเจ้าคิดมากพอสมควรเลยนะ" และโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ ชายหนุ่มก็เดินไปนั่งที่โซฟาและยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยความคุ้นชิน โดยที่สายตาคมกริบตวัดมองไปยังเสื้อนอกสีเขียวน้ำทะเลที่พาดอยู่ใกล้กัน

เลสธีราห์เองก็เพิ่งสังเกตได้ว่าเอเดรียนลืมเสื้อเอาไว้จึงรีบเดินมาคว้าผ้าชิ้นนั้นออกไปจากสายตา

"เจ้าควรจะบอกรายละเอียดของตัวเองก่อนที่จะถามหาคำตอบจากข้า" เซนทอร์หนุ่มว่า "ข้าพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า 'ลมปาก' มามากพอแล้วเอเรส ฟลินทรัสต์" วิธีการตอบที่แสนจะเย่อหยิ่งทำให้เอเรสหัวเราะออกมาและลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเซนทอร์ตรงหน้า เลสธีราห์พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายร่างสูงที่อาจจะสูงพอๆกับซาฮาลในร่างมนุษย์

...สูงกว่าเอเดรียนเสียอีก

"ข้าเดาว่าเจ้าคงถามหาปืนคาบศิลาอยู่" เอเรสก้าวไปหาคู่สนทนาและขยับถอยเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนจะหยิบเอาปืนพกที่เหน็บอยู่กับบั้นเอวออกมาส่งให้ผู้ตั้งคำถาม "เจ้าคิดว่าข้านิสัยเหมือนท่านแม่ทัพเอเดรียนหรือ เซนทอร์... ที่ใช้เพียงคารมในการเจรจาระดับอาณาจักร" เมื่อเปลี่ยนวิธีการเรียกเอาดื้อๆ เลสธีราห์ก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของคนตรงหน้า มือเรียวทั้งสองเอื้อมไปประคองสิ่งที่เรีนกว่า 'ปืน' เอาไว้และรับรู้ถึงน้ำหนักของมันเป็นครั้งแรก

สิ่งนี้หรือ... คือปืนคาบศิลา

"ข้าไม่ได้ใส่ลูกปืนเอาไว้หรอกนะ ดังนั้น... อย่าคิดจะยิงล่ะ มันไม่มีประโยชน์หรอก" มองจากภายนอกแล้ว เลสธีราห์คิดว่ามันทำมาจากไม้ แต่เมื่อพิจารณาจากน้ำหนักแล้ว เขาก็คิดว่ามันทำมาจากเหล็กเสียมากกว่า ขนาดของปืนยาวประมาณท่อนแขน ซึ่งถ้าเทียบกับหน้าไม้แล้ว ปืนนี้อาจมีพลานุภาพมากกว่า และยากที่จะควบคุมมากกว่าอีกด้วย "ร่วมรบกับข้า... แล้วข้าจะมอบปืนคาบศิลาให้แอสทารอธ" วิธีการเจรจาของเอเรสแตกต่างจากเอเดรียน แทนที่จะเรียกร้องข้อเสนอจากเซนทอร์เป็นมูลค่าตามที่กำหนด แต่เอเรสกลับเป็นฝ่ายรอข้อเสนอจากแอสทารอธว่ามีสิ่งใดจะแลกเปลี่ยนบ้าง

นี่อาจเป็นบททดสอบความซื่อสัตย์ของเซนทอร์ ...แต่มนุษย์มีสิทธิ์อะไรมาคลางแคลงสงสัยเรื่องนี้หนอ

"หากข้าต้องการจะเป็นแม่ทัพแห่งอาเดรีย ด้วยกำลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ" เอเรสลดเสียงลงต่ำ จนดูคล้ายกับวิธีการพูดของแม่ทัพใหญ่ "อย่างไรข้าก็เป็นแค่โจรกระจอกที่มีกองทัพเรือเป็นของตนเอง" เอเรส ฟลินทรัสต์แนะนำตัวว่าเป็นราชาโจรสลัดแห่งเทเทส เขามีอำนาจและความสามารถในการควบคุมและดูแลโจรสลัดในน่านน้ำนี้ ซึ่งนี่อาจเป็นประโยชน์ต่อแอสทารอธในเรื่องการลดการถูกปล้นสะดมระหว่างการขนส่งสินค้า

แต่หากจะพลิกโจรสลัดขึ้นมาเป็นวีรบุรุษ... เอเรสยังมีอุปสรรคขวางหน้าอีกมาก

หนึ่งในนั้นคือเอเดรียน แม่ทัพใหญ่คนปัจจุบันของอาเดรีย "คิดอะไรมากมายขนาดนั้น ท่านแม่ทัพเรือ" คู่เจรจาเหยียดยิ้ม "ในเมื่อเราอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน เหตุใดจะเจรจากันบ่อยๆไม่ได้ เจ้าไม่ใช่นักเจรจาเหมือนมารดาของเจ้าสักหน่อย" เอเรสรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และเป็นลูกหลานของใคร เขารู้พื้นเพทุกอย่างของเลสธีราห์ และรู้กระทั่งว่าน้ำเสียงแบบไหนจะทำให้เซนทอร์หนุ่มใจอ่อน "ข้าขอเพียงคำตอบว่าเจ้าจะตกลงหรือไม่ เพียงแค่ตัวเจ้าเท่านั้น เลสธีราห์"

กระทั่งวิธีการเรียกชื่อก็ยังเหมือนกันจนเกือบจะแยกไม่ออก...

เซนทอร์หนุ่มเบือนหน้าหนีและสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติ "อย่างไรก็เป็นเพียงลมปาก"

"ข้าจะยกกระบอกนั้นให้เจ้าเลยก็ได้" เอเรสหัวเราะร่วน "แต่ข้าจะไม่ให้ลูกปืนหรอกนะ จนกว่าเจ้าจะยอมตกลง และถ้าปราศจากลูกปืน สิ่งนี้ก็เป็นเพียงแค่ท่อนเหล็กเอาไว้ทุบหัวคนเท่านั้น" คู่สนทนาก้าวเข้าไปใกล้เซนทอร์อีกก้าว "ข้าจะส่งเจ้ากลับแอสทารอธ เจ้ามีหน้าที่พูดกับเหนือหัวดาเรียส และส่งคนมาช่วยข้า จะเรียกร้องปืนคาบศิลาจากข้าสักเท่าไหร่ข้าก็หามาให้ได้ทั้งนั้น แบบนี้เจ้าไม่สนใจเลยหรือ" แม้จะมีน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกัน ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยผมสีดำขลับเหมือนกัน และดวงตาสีน้ำตาลที่แทบไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ความรู้สึกเมื่อได้อยู่ใกล้นั้นกลับเปรียบกันไม่ได้ บรรยายกาศของเอเรสไม่อบอุ่นและอ่อนโยนแบบเอเดรียน แต่มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเจ้าเล่ห์ ที่ทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่

"หรือเจ้าจะอยากนั่งๆนอนๆต่อไปเช่นนั้นโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะ"

เมื่อใช้วิธีหว่านล้อมไม่ได้ผล เอเรสก็เริ่มเปลี่ยนวิธีพูดมาเป็นการถามแทน "เพียงแค่คำเดียวเอง เลสธีราห์" อีกฝ่ายคะยั้นคะยอ "ข้าไม่ต้องการกองเรือของเจ้า แต่ข้าต้องการแค่... ความร่วมมือของเจ้าเท่านั้น มันยากกว่าการรอคอยเรือจักรไอน้ำหรือไร" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองประสานเข้าไปในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลราวกับต้องการอ่านความคิดและเก็บความรู้สึกของคู่สนทนาที่แสดงออกในแววตา

"เจ้าไว้ใจแม่ทัพเอเดรียนขนาดนั้นจริงหรือ เซนทอร์"

"หากข้าจะทำ... ข้าก็ไม่ได้ทำเพราะไม่ไว้เขา" เลสธีราห์กล่าวตอบเป็นครั้งแรกหลังจากนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน "และข้าไม่ได้ตัดสินใจจะทำ เพราะต้องการจะทำร้ายเขา" ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าและมองจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าจะทำเพราะข้ารักเขา..." เขาสามารถยืดอกพูดมันออกมาต่อหน้าเอเรสได้ แต่กลับไม่สามารถพูดมันออกมาในยามที่เผชิญหน้ากับเอเดรียน ฟังดูแล้วช่างเป็นความกล้าที่น่าสมเพช บุคคลที่ต้องการได้ยินกลับไม่ได้ฟัง แต่บุคคลที่อาจเห็นมันเป็นแค่เครื่องมือกลับรับรู้ชัดเจน

"ดังนั้น... ใช้ความสัมพันธ์ของเจ้าให้เป็นประโยชน์" เอเรสพูดเสียงต่ำลง "เพื่อแม่ทัพเอเดรียนของเจ้า"

เมื่อพิจารณาใกล้เพียงนี้แล้ว เอเรสก็คิดว่าเขาเข้าใจความหลงใหลของเอเดรียนที่มีต่อคนตรงหน้า เดิมทีเผ่าพันธุ์เซนทอร์นั้นเป็นอัศวินนักรบที่มีแต่ชื่อเสียงในด้านความโหดเหี้ยมทารุณ แต่เซนทอร์ตรงหน้าเขานี้กลับมีใบหน้าเรียวสวย แพขนตาสีทองอ่อนที่รับกับดวงตากลมสีฟ้าน้ำทะเลอันเป็นลักษณะที่หาได้ยากทั้งในเผ่าเซนทอร์และมนุษย์ จมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากบางที่น่าสัมผัส

"เจ้าช่างเป็นเซนทอร์ที่สง่างาม"

เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยท่าทางตกใจมากกว่าจะขุ่นเคือง เนื่องด้วยวิธีการพูดและน้ำเสียงของเอเรสช่างละม้ายคล้ายคลึง และทำให้เขานึกถึงเอเดรียนเหลือเกิน "เจ้าทำหน้าแบบนั้นทำคนอื่นเห็นไปทั่วเลยหรือ" และโดยไม่คาดคิด เอเรสก็ค่อยๆเอื้อมมือไปจับปอยผมสีอ่อนที่ตกลงมาปรกใบหน้าขึ้นทัดหูเรียวแหลมของคู่สนทนา "หรือเจ้านึกถึงเขาขึ้นมา แต่อย่าลืมล่ะว่าข้าไม่ใช่แม่ทัพเอเดรียน"

เลสธีราห์ยกมือขึ้นปัดมือคนตรงหน้าออกพร้อมกับสูดหายใจลึกๆเพื่อดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์

"อย่าแตะต้องข้า"

นัยน์ตาสีฟ้าตวัดขึ้นมองนิ่ง ทำให้คนพูดต้องถอยมือกลับไป "นี่สิ ค่อยสมเป็นคนสวย..." เอเรสยิ้มเล่นหัว "ถือว่าเรามีข้อตกลงกันแล้วนะ" มือใหญ่ดึงถุงหนังที่ผูกเอาไว้กับเข็มขัดออกมาและยื่นให้เลสธีราห์ "นี่เป็นลูกปืน และดินปืน... และถ้าเจ้าใช้ปืนใหญ่เป็น ข้าคิดว่าคงไม่ต้องสอนเจ้าใช้สิ่งนี้กระมัง" เซนทอร์หนุ่มเปิดถุงหนังดูและพบลูกปืนหลายลูกกับขวดดินปืนในลักษณะพร้อมใช้งาน เขาปิดถุงนั้นและเงยหน้าขึ้นมองเอเรสอีกครั้งและดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

"เจ้านี่ไม่ค่อยพูดเอาเสียเลยนะ"

เลสธีราห์หลับตา และถอยเท้าออกมาห่างจากอีกฝ่าย "เมื่อหมดธุระแล้วเจ้าก็ควรออกไป"

"อะไรกัน ไล่ข้าเสียแล้ว" เอเรสหัวเราะ "นี่เจ้าทำแบบนี้กับเอเดรียนด้วยหรือเปล่า 'คนรัก' ของเจ้าน่ะ" เลสธีราห์รู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะกลั่นแกล้งเขา หลังคลายบรรยากาศการสนทนาจากความตึงเครียด และเขาพอจะรู้ว่าเอเรส ฟลินทรัสต์มีนิสัยชอบกลั่นแกล้งและยั่วเย้าผู้อื่นเพื่อความสนุกของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นการหยอกล้อที่แทงใจเขาอยู่มากก็ตามที

"ถ้าเขามาเห็นเจ้า... เขาจะโกรธเคืองข้า" เลสธีราห์ยังคงกำเสื้อนอกของอีกฝ่ายเอาไว้ "ออกไป"

"เขาจะฆ่าข้าแทนต่างหาก" เอเรสหัวเราะ "เขาหลงเจ้าขนาดนี้ จะไปโกรธเคืองอะไรเจ้าได้ เลสธีราห์ บลังค์..." ชายหนุ่มยักไหล่ครั้งหนึ่งและตัดสินใจออกไปจากห้องตามที่คู่สนทนาแนะนำ "และเพราะความหลงใหล หลงรักนี่น่ะ... ที่จะทำให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่เคยมีพลังในการทำมาก่อน"

"ข้ารู้ว่าพี่ชายข้าเป็นคนยังไงน่า... หมายถึงเอเดรียน ฟลินทรัสต์น่ะนะ"

--------------------------------------------------


แหน่ะ... ,,- -,, เขียนคาร์แรคเตอร์เอเรสนี่สนุกมากกกกกกกกกกก คือนางมีความเกรียน มีความฉลาด และมีความหล่อกว่าพี่---
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.1 [18-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-11-2016 18:58:26
เป็นพี่น้องกันหรอกเหรอ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.1 [18-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 18-11-2016 22:31:53
เราว่ามันคล้ายกับประวัติศาสตร์ที่เราเรียนมามากเลยค่ะ
เคยอ่านงานเขียนของอาจารย์ในมหาลัยวิเคราะห์เรื่องพวกนนี้เหมือนกัน อ่านแล้วสนุกดีเลยชอบอ่านเรื่องนี้ด้วย
เอเรส เอดรียน พี่น้องแท้ๆกันหรอเนี่ยยย ถึงว่าชื่อคล้ายๆกัน แล้วจะเชื่อใจได้ขนาดไหนกันดูแล้วเอเรสเจ้าเล่ห์มาก
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.1 [18-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-11-2016 19:33:12
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!! ไรรรรรรรท์ได้โปรดดดดดดดดมาต่ออีกยาวๆเถอะค่ะ พลีสส อูยยยยย 19 ตอนรวด เชรดดดดดดดโคตรสนุกกกกก เป็นอะไรที่แว่บไปอ่านอย่างอื่นไม่ได้วางไม่ลงเลย เหมือนดูซีรีส์หยุดดูไม่ได้ยันเช้า 55555 มโนเป็นฉากๆลุ้นสุดๆ มโนล้ำจริงๆ ช่วงแรกๆไม่เจอความวาย งงว่ามันจะวายยังไงว่ะ เลยลองอ่านๆต่อ พอรู้ละ อ้าวเหี้ยยยย สนุกว่ะเฮ้ยยย ชอบบบบเอเดรียนนนนเลสก็น่ารักกก รั้นน่าตี 555555 ชอบทุกคนเลย ไม่รู้จะเม้นท์อะไร ตอนนี้ติดงอมแงม อยากอ่านต่อ เข้าไปในเด็กดีไม่อัพต่อ ก็เลยเจอเรื่องอื่นจะเข้าไปอ่านดูค่ะ ตามผลงานค่ะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-11-2016 20:13:39
ตอนที่ 19.2

แม่ทัพเอเดรียนเดินทางมาพบอาคันตุกะถึงลำเรือที่พักในยามสาย โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเดินทางเข้าไปที่มหาคฤหาสน์อีก ซึ่งนั่นก็ทำให้ราชินีธีสธรัลรู้สึกพอใจขึ้นมาบ้าง "อย่างน้อยอาเดรียก็ยังมีมารยาทต่อข้าที่เป็นถึงราชินีอยู่บ้าง"

ผู้นำอาณาจักรเหน็บแนมด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะที่แม่ทัพใหญ่เดินขึ้นมาบนลำเรือคาร์เธียร์ นางเองนั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชาบนดาดฟ้าเรือ และส่งยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นให้ผู้มาเยือนอย่างเย็นชา แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายช้อนมือเรียวขึ้นมาจรดที่มุมปากเป็นการทักทายตามมารยาท "การที่พระนางปฏิเสธที่พักในมหาคฤหาสน์ก็บ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่แล้ว เหตุใดข้าจะต้องยั่วโทสะให้ธีสธรัลโกรธเคืองมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ในตอนนี้ความประนีประนอมอาจเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการมากที่สุด"

"มารยาทก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างเรียบร้อยหรอก ท่านแม่ทัพ" หญิงสาวตอบเสียงเรียบ

"พระนาง..." เอเดรียนค้อมหัวลง "ข้าคงย้อนอดีตไปแก้ไขมารยาทให้ท่านไม่ได้ ได้แต่หวังว่าในปัจจุบันจะน่าประทับใจพอ" คู่สนทนาผายมือให้เขานั่งตรงข้ามกับนาง ขณะที่หญิงรับใช้รีบเข้ามาจัดแจงเสิร์ฟน้ำชาและของว่างต้อนรับผู้มาเยือน

"ความประทับใจของข้าอาจหมายถึงความสำเร็จในการเจรจาก็เป็นได้"

"เช่นนั้นเรายิ่งต้องเร่งหารือกัน" เอเดรียนยิ้มรับ

ราชินีวางถ้วยชาลงแล้วจึงยกมือขึ้นกอดอก "ข้าจำเป็นต้องดูแลผลประโยชน์ของอาณาจักรข้า"

"ข้าเองก็ต้องดูแลประโยชน์ของอาเดรีย พระนางไวลด์... หากเรามัวแต่ไว้เชิงใส่กันแบบนี้ การเจรจานี้อย่างไรก็ไม่ได้ความ และประชาชนของเราทั้งสองอาณาจักรต่างก็เดือดร้อน อาเดรียไม่สามารถค้าขายได้ตามปกติ กระทั่งธีสธรัลก็เริ่มขาดแคลนเสบียงอาหาร ต่อให้ท่านเป็นพันธมิตรกับพวกภูต แต่พวกท่านจะขนส่งกันได้อย่างไร หากอาเดรียที่เป็นเมืองท่ายังปิดอยู่เช่นนี้" ไวลด์ไม่เถียงว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง แต่สิ่งที่นางไม่แน่ใจก็คือหากนางยอมเสียผลประโยชน์ในเรื่องนี้ มันจะสามารถสั่นคลอนอำนาจของธีสธรัลในอนาคตได้หรือไม่ พวกเขาจะยังเป็นมหาอำนาจ และมหานครที่เจริญที่สุดในหมู่มวลมนุษย์หรือไม่ หากยอมตกลงข้อเสนอนี้

พวกเขาเป็นเมืองเกาะที่เคยยากจนข้นแค้น กว่าจะยิ่งใหญ่ได้อย่างปัจจุบันนี้ก็ใช้เวลานานหลายสิบปี

และไวลด์เองก็ไม่ต้องการให้ยุคทองของอาณาจักรมาจบลงในยุคของนาง

"เกรงว่าสิ่งที่เจ้าขอดูจะมากเกินไป แม่ทัพอาเดรีย" แต่คนที่พูดขึ้นกลับเป็นกัปตันเรือรบคาร์เธียร์ที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังผู้นำอาณาจักร เขาพยักหน้าให้ราชินีของตนครั้งหนึ่งแทนคำขออนุญาตออกความเห็น "ในความเป็นจริง เราควรจะยกกองเรือมาบุกโจมตีที่นี่ด้วยซ้ำไป อาเดรียเป็นเมืองขึ้นของเรา รวมทั้งคัสนาห์... เจ้าอย่าได้ไถ่ถามความเมตตาจากพระนางด้วยความที่นางเป็นสตรี เราคงไม่อาจใจดีปล่อยให้เมืองใดเมืองหนึ่งเป็นอิสระจากเราได้โดยง่าย ซ้ำยังมาหาผลประโยชน์กับเราอีกด้วย หากทำเช่นนั้นแล้ว... อัสเซเดธที่เป็นเมืองขึ้นของเราอีกเมืองหนึ่งก็จะเอาใจออกห่างเช่นกัน"

ธีสธรัลเป็นเมืองแม่ โดยมีเมืองขึ้นทั้งหมดสามเมือง นั่นคือ คัสนาห์ อาเดรีย และอัสเซเดธ

"พระนางมีเมตตามากแล้วที่เดินทางมาเจรจาถึงที่นี่โดยไม่นำกำลังรือรบมาด้วย เจ้าอย่าได้ทวงถามความเมตตาจากพระนาง สิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี้คือการรีบขอขมาในความโอหังที่เจ้าสำแดงเอาไว้ก่อนหน้า แล้ว..." เอเดรียนลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับกัปตันเรือคาร์เธียร์ และด้วยความสูงที่มากกว่าทำให้อีกฝ่ายเอื้อมมือไปจับด้ามดาบของตนเป็นเชิงเตือน

"พอแล้ว ทั้งคู่..." ราชินีสั่งเสียงเย็น "จริงอยู่ว่าพวกเราเอาเปรียบเขามากในเรื่องของค่าธรรมเนียมท่าเรือ แต่ข้าก็ปฏิเสธที่จะจ่ายเต็มจำนวนดังที่เจ้าว่า ข้าก็ต้องดูแลคนของตัวเองด้วย ดังนั้นจำนวนตัวเลขที่เราพุดคุยกันไปเมื่อวานมานี้จึงถือเป็นโมฆะ"

นัยน์ตาสีฟ้าของผู้นำอาณาจักรเหลือบขึ้นมองประสานกับแม่ทัพใหญ่

"ข้าเสนอ... ให้คลังหลวงธีสธรัลเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมแบบเหมาทั้งปี เพื่อแบกรับภาระแทนประชาชน" หญิงสาวพูดเสียงเรียบก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย "แลกกับ... การที่เจ้าขึ้นเป็นผู้นำของอาเดรีย" ประโยคแรกของราชินีทำให้เอเดรียนคิดว่านางมีเมตตา แต่ประโยคต่อมากลับทำให้เขาคิดว่านางกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

"สองพี่น้องนั่นเลี้ยงไม่เชื่องอีกต่อไปแล้ว ในอนาคตก็คงจะหาเรื่องปวดหัวมาให้ข้า และประชาชนของข้าอีก ดังนั้น... ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้ข้ายกกองเรือเวเรนเซียมาประจันหน้ากับปราการที่แสนมีค่าของเจ้า ก็จงยกตัวเองขึ้นเป็นผู้นำเสีย" ริมฝีปากบางจรดยิ้มร้ายลึก "ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น... ที่เอาหัวมันมาให้ข้า"

"พระนาง..."

"ข้ายินดีร่างสัญญา หากลมปากข้ามันไม่น่าเชื่อถือ" พระนางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ตัวหรูอย่างสบายใจ "ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ากล้าจะลงนามหรือไม่ เอเดรียน" ไวลด์เหลือบมองคนสนิทของนางแล้วพยักหน้าให้นำแผ่นหนังกับแท่นหมึกมาให้ "ถ้าไม่อยากทำสงครามกับธีสธรัล ซ้ำยังได้ค่าตอบแทนเรื่องค่าธรรมเนียมท่าเรืออีกด้วย... เจ้าก็เพียงแค่ลงนาม"

มือของหญิงสาวจับปากกาตวัดเขียนข้อความลงบนแผ่นหนังด้วยลายมือบรรจงสวยงามที่ดูอ่อนหวานสมกุลสตรี ทว่าเนื้อความที่พระนางร่างออกมากลับกล่าวถึงข้อแลกเปลี่ยนที่นางต้องการอย่างโหดเหี้ยม แลกกับความสงบสุขของอาเดรีย และค่าธรรมเนียมท่าเรือแบบรายปี ธีสธรัลร้องขอให้แม่ทัพเอเดรียนลุกขึ้นยึดอำนาจจากผู้นำคนปัจจุบัน ธีสธรัลให้โอกาสเอเดรียนมาก... แต่ใจของชายหนุ่มกลับเจ็บร้าวเสมือนถูกกรีดแทง ผู้นำหญิงคนนี้ต้องการให้เขากลายเป็นคนอกัตญญูหรืออย่างไร

หรือเพราะนางรู้ว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ จึงได้ใช้สัญญาแบบนี้

"เจ้ามีความกล้าพอไหม เอเดรียน"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


แบ่งอัพผิดอ่ะ 555
มันต้องเป็น 2 ย่อหน้าโพสต์นึง อีกโพสต์นึง 2 ย่อหน้า อันนี้เลยกลายเป็นสั้นไปเลอออ...

ปล. กรี้ดเป็นเพื่อนกัน OTL จริงๆคือแอสทารอธมีโครงการร่วมเล่มนะคะ (แต่ลงจบแน่นอน ไม่ต้องห่วง ไม่เคยกั๊ก 555)
แล้วนักวาดปก คุณ SweetCrescent (ที่หนีข้าพเจ้าไปเรียนปริญญาตรีใบที่ 2 และอ่านหนังสือสอบกฎหมายอีกครึ่งปี) เพิ่งส่งดราฟต์เอเดรียนมาให้...

นี่ขนาดยังไม่ได้เก็ลดีเทลนะเนี่ยยยยยยยยยยยยย
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

(https://scontent.fbkk2-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/15109628_10209919833407541_9125958379346414406_n.jpg?oh=46cd8dff36a1cd5d602842280136346a&oe=58BE1225)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.2 [19-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 19-11-2016 22:17:45
กรี๊ดดดดดด ทำไมเอเดรียนหล่อแซ่บขนาดนี้  :hao7:
รบๆกันเถอะ เจรจากันวกไปวนมา โอ้ยยย  :z3:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 20-11-2016 17:05:40
ตอนที่ 20.1

ซินญอร์มองเรือรบคาร์เธียร์จากห้องพักในมหาคฤหาสน์ขณะที่สนทนากับเลขาของแม่ทัพใหญ่

"แต่ตามกฎของเซนทอร์ การทำแบบนี้เท่ากับเป็นการฆ่าเลสธีราห์ชัดๆ"

จาร์เร็ตต์มุ่นคิ้วมองผู้นำของตนที่วางท่าเมินเฉยต่อคำทักท้วง "เราแทบจะไม่เข้าใจพวกเขาเลยเสียด้วยซ้ำ เหตุใดท่านชายจึงกล้าคาดเดาท่าทีของแอสทารอธ ท่านว่าเพียงแค่รั้งเลสธีราห์เอาไว้ในนานพอเท่านั้น แต่ตอนนี้ท่านกลับจะแจ้งเรื่องให้แอสทารอธทราบ" ผู้นำอาณาจักรที่ลุกเดินไปมาด้วยความกระวนกระวายเกี่ยวกับการเจรจาเดินกลับมานั่งที่โซฟาและเอนหลังพิงเบาะนุ่มช้าๆ

"ต่อให้ข้าจะเป็นผู้นำอาณาจักร แต่ข้าช่วยเหลือทุกคนไม่ได้หรอกนะ จาเร็ตต์" ซินญอร์กล่าว "และการคาดเดาท่านราชเลาแห่งแอสทารอธก็ไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้นในเมื่อผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์เป็นถึงบุตรชายแท้ๆของนางเอง" ชายหนุ่มว่า เขาเองก็พยายามเลี่ยงจะไม่เรียกชื่ออีกฝ่ายหลังจากได้รับคำเตือนมาว่าเซนทอร์ไม่พอใจกับการถูกเรียกจากคนที่ไม่มีความสนิทสนมกัน "จิตใจของคนเป็นแม่มันไม่ได้ซับซ้อนเพียงนั้น"

"แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น... ท่านก็ไม่น่า..."

"การจะผลักดันให้เอเดรียนประกาศศึกมันใช้คำสั่งของข้าไม่ได้ เจ้าก็รู้ดี" ซินญอร์เสียงแข็ง "แต่ต้องใช้วิธีกดดันทั้งจากแอสทารอธและธีสธรัล นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าส่งเขาไปเจรจากับพระนางไวลด์" ผู้นำอาณาจักรมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งด้วยความกังวล "แม้นางจะยอมเดินทางมาถึงที่นี่ แต่นางไม่มีวันยอมเสียเปรียบแน่นอน และคำพูดของนางมีอำนาจพอที่จะทำให้เอเดรียนลุกขึ้นต่อสู้ได้เพื่อบ้านเมือง"

"ท่านชาย..." จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว "ทำไมต้องทำร้ายเขาถึงเพียงนี้"

คนถูกถามเบือนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการให้คำตอบ จังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับการกลับมาเยือนของเอเรส ว่าที่แม่ทัพคนใหม่ของอาณาจักรอาเดรีย "ท่านควรจะบอกข้าสักคำว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย" ร่างสูงเดินตรงนั่งที่โซฟาอย่างเป็นกันเองจนเกินควรจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีมารยาท แล้วรินน้ำชาในกาใส่ถ้วยเล็กๆของตนก่อนจะยกขึ้นจิบ

ซินญอร์ถอนใจเหนื่อยหน่ายแล้วจึงหันไปหาจาเร็ตต์ "นี่คือเอเรส ฟลินทรัสต์"

"ฟลินทรัสต์..." คนฟังเบิกตาขึ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งอ้าปากค้าง และมองไปที่ผู้มาใหม่ซึ่งปฏิบัติตนเป็นปกติ ในขณะที่จาเร็ตต์ยังคงอ้าปากค้างอยู่นั้นด้วยเพิ่งสังเกตว่าทั้งสีผม สีตา และรูปหน้าของอีกฝ่ายล้วนแล้วแต่ถอดแบบมาจากเอเดรียน เว้นเสียแต่บุคคลิกที่ดูจะต่างกันโดยสิ้นเชิง "น้องชายของแม่ทัพใหญ่..."

ซินญอร์พยักหน้า "และว่าที่แม่ทัพใหญ่คนต่อไปแห่งอาเดรีย"

"เจ้าคงเป็นจาเร็ตต์" เอเรสจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย และวางถ้วยชาลง "ข้าเห็นเจ้าอยู่กับเอเดรียนบ่อยๆ" แต่ก่อนที่เอเรสจะได้เปิดบทสนทนากับจาเร็ตต์ด้วยความอยากรู้จักและอยากรู้อยากเห็น ซินญอร์ก็กระแอมขัดบทสนทนาขึ้นมาก่อนเพื่อเตือนให้เอเรสรู้ว่าอีกฝ่ายต้องพูดเรื่องอะไรหลังจากไปพบเซนทอร์มา

"อา... รายงานผลสินะ" ร่างสูงเอนตัวพิงโซฟาเมื่อถูกขัดใจ "มีหรือ ที่เอเรส ฟลินทรัสต์จะล้มเหลว"

"ต่อให้มันสำเร็จ ข้าก็อยากรู้ว่ามันจะสำเร็จอย่างไร เอเรส" ซินญอร์ว่า "ได้ยินว่าแอสทารอธในตอนนี้มีการประลองวาร์ดาเพื่อคัดเลือกผู้นำอาณาจักนคนต่อไป จึงน่าจะถ่วงเวลาได้อีกบ้าง และตอนนี้เอเดรียนก็กำลังเจรจากับธีสธรัลที่ไม่มีทางอ่อนข้อให้เราเป็นแน่"

"ข้าซื้อคนสวยได้... เท่านี้ก็คงจะเพียงพอแล้ว"

จาเร็ตต์อ้าปากค้างอีกครั้งกับวิธีการเรียก 'คนสวย' ของเอเรส และแน่นอนว่าเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร "แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง หากการประลองวาร์ดาเริ่มขึ้นในวันแรกของฤดูใบไม้ร่วงตามปฏิทินเซนทอร์ ข้าก็เกรงว่ามันคงจะจบลงเมื่อวานนี้แล้ว" ราชาโจรสลัดยิ้ม "คิดว่าข้าไม่เคย... ประมือกับเซนทอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแอสทารอธหรือ"

"เจ้าหมายถึงอะไร เอเรส..."

"ซาฮาล ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์กราเทียร์ ผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดลำดับที่ห้าของแอสทารอธ" เอเรสมีหูตามากพอที่จะรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องเกือบทั่วแผ่นดิน ด้วยความที่เขามีเส้นสายและอิทธิพลกว้างขวาง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้เรื่องของแอสทารอธดี และอาจจะรู้ความเคลื่อนไหวดีเสียยิ่งกว่าหน่วยข่าวที่ไหน "ผู้เข้าประลองวาร์ดาจะต้องมีความรอบรู้ จึงมีการสอบเก็บคะแนนเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เหนือหัวแห่งเซนทอร์เป็นพวกที่มีดีแต่พละกำลังทว่าปราศจากสมอง และการประลองจะเรียงลำดับตามคะแนนสอบนั้น ผู้ใดที่สามารถทำให้เหนือหัวดาเรียสล้มลงกับพื้นได้เป็นคนแรกจะเป็นผู้ชนะ"

นัยน์ตาสีเข้มของคนพูดหรี่ลงเล็กน้อย "และซาฮาลคือตัวเต็งสำคัญของการประลองนี้"

"ข้าส่งคนไปสืบข่าวนี้ที่แอสทารอธแล้ว หากการประลองสิ้นสุดลงจริง เราจะได้รู้เรื่องกันในวันนี้" ซินญอร์ตอบเสียงเรียบ "แต่หากผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ได้เป็นผู้แอสทารอธจริงๆ เราอาจต้องกลับไปพิจารณาเรื่องเรือจักรไอน้ำ หากต้องการจะจับแอสทารอธเอาไว้ให้อยู่หมัด" เมื่อพูดถึงซาฮาล จาเร็ตต์ผู้เคยเดินทางไปแอสทารอธมาแล้วก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเซนทอร์ที่น่าเกรงขาม ทั้งยังดุดัน ขึงขันอันเป็นคุณสมบัติที่เซนทอร์ทุกตนพึงมี อันแตกต่างจากเลสธีราห์โดยสินเชิง

เอเรสหัวเราเบาๆ "ซาฮาลผู้นั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนสวยเลยล่ะ"

แม้จะเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่จาเร็ตต์ก็รู้สึกแปลกประหลาดที่จะได้ยินเอเรสเรียกเลสธีราห์ว่า 'คนสวย' เลขาหนุ่มถอนใจเบาก่อนจะออกความเห็นบ้าง "ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีหากเซนทอร์ตนนั้นเป็นผู้นำคนต่อไปของแอสทารอธ เพราะดูเขาจะไม่ค่อยพอใจพวกเราตั้งแต่ครั้งที่เราเดินทางไปเจรจาครั้งที่แล้ว"

"ข้าบอกแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการแอสทารอธ" ซินญอร์กล่าวเสียงเรียบ "ข้าต้องการเลสธีราห์"

--------------------------------------------------

ชัยชนะของซาฮาลอาจไม่ใช่เรื่องที่โจษจันในประวัติศาสตร์ เพราะเหนือหัวดาเรียสเองก็สามารถเอาชนะการประลองได้ในวันแรกเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถทำคะแนนทดสอบความรู้ได้เป็นอันดับสองของอาณาจักรอีกด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ชัยชนะของซาฮาลแตกต่างนั่นคือการที่เขาเป็นผู้ท้าประลองที่สามารถเอาชนะเหนือหัวองค์ก่อนได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

เหล่าขุนนางยืนเรียงแถวโดยพร้อมเพรียงเพื่อแสดงถึงความเคารพในงานพิธีระดับสูง เบื้องขวาที่เคยเป็นที่ของราชเลขาลีอาห์ บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยเซนทอร์สีดำลายขาว และตัวท่านหญิงนั้นไปยืนฝั่งซ้ายแทน หลังจากกล่าวต้อนรับแล้ว เหนือหัวดาเรียสก็หันไปหาซาฮาลซึ่งบัดนี้ไม่ใช่ผู้นำของกองเรือพาณิชย์อีกต่อไป แต่เป็นว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ

"ในอีกยี่สิบสองปีต่อจากนี้เจ้าจะต้องร่วมลงการประลองวาร์ดาเพื่อเลือกเหนือหัวองค์ต่อไป... นับเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากสำหรับการนั่งตำแหน่งผู้นำแห่งแอสทารอธ" ดาเรียสกล่าวอย่างเห็นใจ "แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ทรงเกียรติสำหรับเซนทอร์ตนหนึ่ง"

"และเป็นผู้ที่ต้องปกป้องทั้งผลประโยชน์ เกียรติ และศักดิ์ศรีของเซนทอร์ทั้งหมด"

 ซาฮาลที่นิ่งฟังโดยสงบมาตลอด เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยืดอกเป็นคำขออนุญาตออกความเห็น "เหนือหัวดาเรียส... ข้าอาสาที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของแอสทารอธในเหตุการณ์ครั้งนี้" ร่างสูงสูดลมหายใจเข้า และการเริ่มบทสนทนานี้ก็ทำให้ท่านหญิงลีอาห์ต้องหันมองด้วยหวั่นใจว่าสิ่งที่ซาฮาลกำลังจะพูดนี้จะเป็นรื่องเดียวกับที่นางคิดอยู่หรือไม่

"ข้าทราบมาว่า... อาเดรียจับผู้นำกองเรือเซเลสต์ไปกักขังไว้"

โถงกว้างเกิดเสียงพึมพำขึ้นในทันที แม้ว่าราชเลขาผู้เป็นมารดาของผู้นำกองเรือเซเลสต์จะกวาดสายตาดุดันมองปรามแล้วก็ตาม เหนือหัวดาเรียสอ้าปากค้างน้อยๆก่อนจะหันไปหาท่านหญิงคนสนิท "เป็นความจริงหรือ ลีอาห์..."

"ท่านหญิงคงยังไม่ทราบข่าว เนื่องจากเราสนใจการประลองวาร์ดา แต่ข้าทราบเรื่องนี้จากเฟรดา ผู้นำหน่วยลาดตระเวนในสังกัดของท่านหญิงโมนา" เฟรดามีศักดิ์เป็นผู้นำใต้สังกัด ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมในสภาขุนนางระดับสูง แต่เมื่อเอ่ยชื่อของแม่ทัพหญิงออกมา ทุกคนก็พยายามหันไปหาเจ้าของชื่อเป็นการตั้งคำถามต่อ

ทว่านางเองก็ไม่อยู่ในที่ประชุมเช่นกัน

"ท่านหญิงโมนาขอลากลับไปรักษาตัวที่มารินา" ราชเลขากล่าวตอบแทนเพื่อไขข้อข้องใจ "หลังจากพ่ายแพ้ต่อเหนือหัวดาเรียสเมื่อวานนี้..." ท่านหญิงโมนา แม่ทัพใหญ่แห่งแอสทารอธเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมประลองวาร์ดา อีกทั้งนางยังทำคะแนนสอบความรู้ได้เป็นอันดันสองของอาณักรอีกด้วย ทว่าด้วยสภาพโครงสร้างร่างกายแล้ว สตรีย่อมมีความปราดเปรียวมากกว่าทว่าไม่มีพละกำลังพอที่จะต่อกร ดังนั้นหญิงสาวจึงพ่ายแพ้การต่อสู้ไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซึ่งนับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเซนทอร์

"ตอนนี้ข้าอาจจะไม่ใช่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ แต่ข้าอาสาจัดการเรื่องนี้..."

ผู้นำสูงสุดของอาณาจักรมุ่นคิ้วเชิงตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง นี่อาจเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่ละเอียดอ่อน และเกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายของเลสธีราห์ ดังนั้น ซาฮาลจึงไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือต่อหน้าเหล่าขุนนางโดยไม่ไถ่ถามหรือปรึกษาตัวเขาหรือว่าท่านหญิงลีอาห์เสียก่อน เพราะเลสธีราห์ใกล้ชิดเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่งของเขา ดาเรียสจึงยอมไม่ได้ หากสภาขุนนางจะลงความเห็นพร้อมกันว่าควรใช้โทษทัณฑ์สูงสุดสำหรับอัศวิน

...นั่นคือความตาย

"อาเดรียเคยเสนอมอบศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำในเราโดยขอเวลาหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมความเรียบร้อย แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราได้รู้ว่าพวกมนุษย์คิดไม่ซื่อกับเรา อีกทั้งยังดูหมิ่นเกียรติของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์อีกด้วย" ซาฮาลพูดต่อโดยไม่ปล่อยให้ขุนนางคนไหนได้มีโอกาสพูดแทรก ด้วยเกรงว่าจะถูกรบกวน "แต่ผู้บัญชาการเซเลสต์เองก็มีความผิดที่เปิดเผยความลับของอาณาจักร ทำให้สายลับของแอสทารอธจำต้องถอนตัวกลับมาเพื่อความปลอดภัย ดังนั้น..."

คนเป็นแม่กลั้นหายใจเล็กน้อยโดยไม่หันไปมองต้นเสียง

"ข้าจึงเสนอให้แอสทารอธตอบรับข้อเสนอของธีสธรัล และให้เลสธีราห์เปิดสงครามกับอาเดรีย!"

--------------------------------------------------


ทีละฝ่าย... เดี๋ยวทางซินญอร์ก็จะขยับเหมือนกัน ฮา ในตอนเดียว... กลัวจะงง
//ต้องขยับตัวละคร 3 ฝ่าย ที่คิดกันคนละแบบ แถม 1 ในนั้นดันแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งอีก อุ้ววววว << แต่เวลาคิดมันสนุกนะ

แต่แอสทารอธรบแน่นอน... อิอิ(?)

ปล. หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมงค่ะ << แปลว่าซาฮาลใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียว
ปล.2 ตอนที่แล้วลืมบอก... ปืนคาบศิลา (flintlock guns) เป็นปืนที่นิยมใช้ในศตวรรษที่ 18 (อ่า ถ้านึกไม่ออกก็ Pirates of the Caribbean เน้อะ) เป็นรุ่นที่ไฮเทคกว่าปืนไฟ (matchlock guns) นิดนึง
ปืนใหญ่ในเรือรบจัดเป็น matchlock ค่ะ >> ใส่ดินปืน+ลูกปืน >> กระทุ้งๆเข้าไป แล้วจุดชนวน
flintlock >> ใส่ดินปืน+ลูกปืน >> กระทุ้งๆเข้าไป แล้วลันไกให้หินเหล็กไฟ(flint) เสียดสีจนเกิดประกายไฟ

โอเค... หมดเลคเชอร์(?) ฮาาา
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.1 [20-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-11-2016 18:40:00
ไม่ไหวแล้ว... อ่านแล้วแอบกดดันอ่ะ (เราไม่ค่อยถูกกับอะไรที่เดาไม่ค่อยได้แบบนี้เท่าไหร่ แถมไม่รู้จะเชียร์ฝ่ายไหนด้วย เพราะเดาทางไม่ถูกเลย) เลยจะบอกคนเขียนว่าขอสังเกตการณ์แบบห่าง ๆ แล้วกันนะคะ (จะเข้ามาบวกเป็ดให้อยู่นะ แต่อาจจะไม่แสดงความคิดเห็นจนกว่าจะเลือกข้างได้ ฮา)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.1 [20-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 20-11-2016 18:43:09
ไม่ไหวแล้ว... อ่านแล้วแอบกดดันอ่ะ (เราไม่ค่อยถูกกับอะไรที่เดาไม่ค่อยได้แบบนี้เท่าไหร่ แถมไม่รู้จะเชียร์ฝ่ายไหนด้วย เพราะเดาทางไม่ถูกเลย) เลยจะบอกคนเขียนว่าขอสังเกตการณ์แบบห่าง ๆ แล้วกันนะคะ (จะเข้ามาบวกเป็ดให้อยู่นะ แต่อาจจะไม่แสดงความคิดเห็นจนกว่าจะเลือกข้างได้ ฮา)

ขอบคุณมากค่า *0* ใจเย็นๆเน้อ ฮา... อาจจะการเมืองหนักไปหน่อย OTL
//หนักกว่าที่คิดไว้มาก ตอนวางพลอตนี่อยากได้โรแมนติกนะ แต่ผูกเรื่องไปๆมาๆแล้วการเมื๊องการเมือง แฮะๆ

เราไม่ยื้อไว้นานหรอก... เราก็กดดันค่ะ 5555 ชอบเขียนฉากสวีทมากกว่า (ซึ่งเรื่องนี้หาจังหวะสวีทยากมาก!!! กรี้ดดดด)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.1 [20-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 20-11-2016 19:45:13
เอ้าาา ไปกันใหญ่เลยทีนี้ แอสธารอทจู่ๆก็จะลงมาเล่นเอง 55555
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 20-11-2016 20:20:34
ตอนที่ 20.2

เอเดรียนกลับมายังห้องของเลสธีราห์ที่มหาคฤหาสน์แทนที่จะกลับไปยังราห์โมนาอันเป็นที่ของตน แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวของพวกเขาทั้งคู่จะไม่ได้อบอุ่นเป็นกันเองเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว แต่แค่ได้เห็นหน้ากันอีกครั้งกลับทำให้คนทั้งคู่รู้สึกสบายใจขึ้นมาชั่วขณะ "เจ้าลืมเสื้อคลุมเอาไว้" เซนทอร์ยื่นผ้าสีเขียวน้ำทะเลที่อีกฝ่ายใช้คลุมบ่าคืนให้โดยไม่พูดอะไรต่อ

"เจ้าทานอาหารเช้าแล้วหรือ" เอเดรียนเริ่มคุย เพราะเขาไม่ได้มีเจตนาแค่กลับมาเอาเสื้อคลุม

"ผักกินง่ายกว่าเนื้อ" ร่างโปร่งยิ้มจาง "เจ้าเป็นคนบอกคนครัวเรื่องที่ข้าไม่กินเนื้อหรือเปล่า" เลสธีราห์ไม่แน่ใจสถานะตนเองสักเท่าไหร่ เขาถูกจับในฐานะสายลับจากอาณาจักรอื่น ทว่านับแต่นั้น เซนทอร์หนุ่มก็คิดว่าเขาพักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายพอสมควร และในช่วงแรกๆ อาหารที่ถูกนำมาให้ก็เป็นเนื้อเสียมาก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นผักทั้งหมด

"ถึงยังไง... เจ้าก็เป็นคนของข้า ข้ามีหน้าที่ดูแลเจ้าไม่ใช่หรือ"

เอเดรียนก้าวเข้ามาหาอีกฝ่าย และมองสำรวจร่างกายตรงหน้าที่เคยมีบาดแผลซึ่งในบัดนี้จางหายไปจนหมดแล้ว และด้วยระยะใกล้ชิดนั้นเองที่ทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายจนต้องเงยหน้าขึ้นสบตา

...ใช้ความสัมพันธ์ของเจ้าให้เป็นประโยชน์

เสียงของเอเรสดังขึ้นในหัว แม้ว่ามันจะทำให้เลสธีราห์เสียสมาธิไปบ้าง แต่เชายหนุ่มก็กลืนน้ำลายช้าๆก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว "ใช้คำว่า 'เป็นของข้า' ไม่ใช่ได้เหรอ" ตามปกติแล้วเซนทอรืหนุ่มไม่พูดจาแบบนี้ ดังนั้นเจ้าตัวเองจึงรู้สึกกระดากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน และตัดสินได้ในอึดใจว่านี่เป็นวิธีการที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

"เจ้าพูดเอง แล้วหน้าแดงเองแบบนี้ได้อย่างไร" เอเดรียนหัวเราะเบาเอ็นดู "ไปเรียนมาจากไหนกัน"

"ข้าจะไปเรียนมาจากไหนได้"

ร่างโปร่งพึมพำ และอึดใจต่อมาเขาก็ถูกรวบเข้าไปอยู่ในวงแขนแกร่งของคนตรงหน้า และสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่คลอเคลียข้างแก้ม เลสธีราห์กอดตอบและหลับตาลงเพื่ออิงแอบไออุ่นตรงหน้าอีกสักพักเพื่อหลบหนีความจริงที่คนทั้งสองไม่ต้องการเผชิญ "เจ้าเป็นของข้า... เลสธีราห์" แม้คำพูดของอีกฝ่ายจะเอาแต่ใจและแสดงความเป็นเจ้าของ แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งคู่แทบจะไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกัน

"เจรจาล้มเหลวอีกแล้วหรือ" เซนทอร์พึมพำถาม "ธีสธรัลไม่อ่อนข้อให้เจ้าหรือไร"

เอเดรียนหลับตาลงระหว่างชั่งใจว่าเขาควรจะให้คำตอบอีกฝ่ายหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นความลับของอาณาจักร แต่ตัวเขาเองก็เคยสัญญาว่าจะบอกอีกฝ่ายในทุกเรื่องไม่ใช่หรือ "ธีสธรัลไม่อ่อนข้อ อีกทังยังเรียกร้องสิ่งที่สูงค่า" แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "นางเรียกร้องให้ข้าฆ่าท่านชายซินญอร์... แลกกับความอยู่รอดของอาเดรีย"

เลสธีราห์กลั้นใจเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาสีฟ้าครามเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง

"แล้วเจ้าให้คำตอบว่าอะไร..."

เอเดรียนกัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกได้ถึงรสเลือดก่อนจะหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด "ข้าเคยรอดตายจากธีสธรัลมาครั้งหนึ่ง เลส... ท่านชายซินญอร์เป็นคนช่วยชีวิตข้า ทั้งชีวิตของข้า เขาเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่ข้าสาบานว่าจะภักดี" ร่างสูงอิงซบหน้าผากของตนกับบ่าเปลือย "เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถ... เนรคุณเขาได้ลงคอหรือ"

เลสธีราห์ครุ่นคิดกับคำพูดนั้นสักพัก และตัดสินได้ว่านี่คือคำปฏิเสธการเจรจาของธีสธรัล

...และเมืองเกาะแห่งนั้นจะใช้ไม้แข็งกับอาเดรียในไม่ช้านี้

อีกไม่นานธีสธรัลจะประกาศสงคราม แม้ว่าบ้านเมืองจะไม่พร้อมต่อสู้ แต่เขาจำได้ว่ากองเรือเวเรนเซียของธีสธรัลเองก็ไม่ได้น้อยหน้า พวกเขาเองก็ถูกขนานนามว่าจ้าวแห่งท้องทะเลเช่นกัน และหากเวเรนเซียทั้งหมดมารวมตัวกันที่อ่าวออโรรา มันก็สามารถถล่มทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองได้โดยแทบไม่ต้องก้าวเท้าขึ้นฝั่ง

"ความภักดีหมายรวมทั้งความคิดและการกระทำ ต่อให้ไม่ลงมือ ก็ห้ามแม้แต่จะคิด..."

เลสธีราห์ยกมือขึ้นลูบผมสีเข้มของอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาด้วยหัวใจที่หนึกอึ้ง "แล้วความภักดีที่เจ้ามี มันช่วยเหลืออาณาจักรได้จริงหรือ" ผู้นำที่ไร้สามารถมีแต่นำพาความหายนะมาสู่ผู้ตาม ในฐานะแม่ทัพ พวกเขารู้กฎนี้อยู่แกใจใช่หรือ เลสธีราห์เข้าใจเอเดรียน ทั้งเหตุผลและความรู้สึกที่ยากจะหักหาญ ทว่าตัวเขาเองก็เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของท่านชายซินญอร์เช่นกันที่ดึงเอาเอเรส น้องชายของแม่ทัพใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องราวครั้งนี้

.

.

...ใช้ความสัมพันธ์ของเจ้าให้เป็นประโยชน์ เลสธีราห์

"ทำให้เอเดรียนเป็นผู้นำอาณาจักรอาเดรีย..."


--------------------------------------------------

"นึกอย่างไรถึงได้เสนอออกไปแบบนั้น"

รีดาห์ถามซาฮาลที่ยืนอยู่ริมผาติดทะเล สายตาของเซนทอร์หนุ่มทอดมองไปยังทางใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรอาเดรีย "เจ้าอยากให้เลสธีราห์ออกรบหรือยังไง" ซาฮาลเสนอขึ้นกลางที่ประชุมเรื่องวิธีการแก้ปัญหาของเลสธีราห์ด้วยหนทางที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะตามปกติแล้ว เซนทอร์ค่อนข้างจะเคร่งครัดในเรื่องของเกียรติ และการที่แม่ทัพเรือถูกจับตัวไปเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องขายหน้าเรื่องหนึ่งของแอสทารอธ และวิธีการแก้ปัญหาโดยทั่วไป พวกเขาก็เลือกที่จะเนรเทศแม่ทัพคนนั้นโดยไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ว่าวิธีการใดๆ

"เกียรติของเซนทอร์คือการได้รบอย่างอัศวิน" ซาฮาลตอบ

"ข้าไม่เข้าใจเลย" รีดาห์บ่นอุบ "วิธีการแบบนี้เป็นวิธีการสกปรกยิ่งนัก มันสมกับเกียรติของอัศวินที่เจ้าพร่ำเพ้อมาอย่างนั้นหรือ การที่บอกอาเดรียว่าจะช่วยเหลือ แต่เมื่อได้ตัวเลสกลับมาแล้ว เราก็จะไปเข้าข้างธีสธรัล ทั้งยังแล่นเรือกลับไปโจมตีอาเดรียอีก"

"ข้าเลือกวิธีนี้เพื่อให้เลสธีราห์ได้พิสูจน์ตัวเอง" ซาฮาลว่า "และอาเดรียเล่นแง่กับเราก่อน"

"ข้าจะพูดอะไรได้ กับความคิดของว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ" รองผู้บัญชาการเซเลสต์ประชดประชัน "หรือข้าควรจะว่าเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม เผื่อว่าในภายภาคหน้าข้าจะมีที่ยืนในสภาขุนนางบ้าง" เซนทอร์ที่ตัวโตกว่าหัวเราะในลำคอก่อนจะขยี้หัวคนข้างตัวด้วยความขบขัน

"ประชดข้าอย่างนี้ข้าจะลดตำแหน่งให้เจ้าเป็นคนล้างราชรถแทนคนซ่อมเรือ"

รีดาห์ปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วมุ่นคิ้วประท้วง "พวกมนุษย์เขาเรียกตำแหน่งนี้ว่ากระไรนะ... ข้าเป็นถึงวิศกรรมประจำกองทัพเรือ เจ้าจะให้ข้าไปล้างราชรถเสียอย่างนั้น"

"วิศวกร..." ซาฮาลหัวเราะ "เรียกท่านรองผู้บัญชาการอย่างเดิมก็ดีแล้ว"

"นี่ข้าทำให้ว่าที่เหนือหัวหัวเราะออกมาได้ในรอบหลายปี เจ้าควรจะตบรางวัลให้ข้าด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมาคิดเรื่องลดตำแหน่งข้าอยู่ได้" เซนทอร์ร่างโปร่งทักท้วง "เฮอะ ข้าไม่ถามเรื่องเลสแล้วก็ได้ มัวแต่เก็กอยู่นั่น พูดไปก็คงไม่ได้ความ ซ้ำข้ายังหงุดหงิดอีกด้วย"

"ข้าหัวเราะ... เพราะมันเป็นเรื่องตลกไร้สาระ ไม่ใช่ความสามารถของเจ้าเสียหน่อย"

"นี่เจ้าว่าข้าไร้สาระรึ ว่าที่เหนือหัว ไปซ่อมเรือแทนข้าซิ คำนวนความยาวของเสาหน้าเรือเองเลยก็แล้วกัน!!" รีดาห์เริ่มโวยวาย และเขาคิดว่าตนควรจะกลับไปงานดีกว่ามาสนทนากับคนที่ดูไม่ค่อยอยากจะให้คำตอบในเรื่องที่เขาอยากรู้

"รีดาห์... ตอนนี้เลสธีราห์เหมือนถูกเนรเทศออกจากแอสทารอธ ข้าเลือกทางนี้เพื่อให้เขากลับมามีที่ยืนในหมู่เซนทอร์ต่างหาก ที่นี้ก็ขึ้นกับเขาว่าจะสามารถทำได้หรือไม่" ประโยคนั้นทำให้ร่างโปร่งที่ตั้งท่าจะเดินเลี่ยงออกไปหันกลับมามองเล็กน้อย "เจ้าควรจะขอบคุณข้าที่ช่วยเหลือนายเจ้า มากกว่าจะมาไล่ข้าไปซ่อมเรือนะ"

"ถือว่าหายกันที่เจ้าว่าข้าไร้สาระแล้วกัน"

--------------------------------------------------

แม่ทัพแห่งอาเดรียดึงเชือกมัดปลอกแขนของตนไปพลางขณะเดินลงบันได เขาตั้งใจจะกลับไปที่ราห์โมนา แต่ก็พบว่าผู้นำอาณาจักรที่ตนหลบตาหน้ามาตลอดก้าวเข้ามาดักทางเอาไว้ที่กลางบันได "ข้าไม่เคยเห็นเจ้าพอใจที่จะพักในมหาคฤหาสน์ จึงได้สร้างราห์โมนาให้ แต่ดูเหมือนพักนี้เจ้าจะติดใจที่นี่นะ เอเดรียน" ซินญอร์กล่าวทักทายด้วยถ้อยคำที่ไม่ใคร่จะสดใสนัก

"เห็นเจ้าเพลิดเพลินกับการผูกมิตรกับเซนทอร์ตนนั้นเหลือเกิน"

เอเดรียนไม่กล่าวโทษผู้นำของตน เขาได้แต่ค้อมหัวยอมรับไม่โต้แย้ง "เลสธีราห์เป็นคนของข้า ไม่แปลกที่ข้าจะสนิทสนมกับเขา" เอเดรียนว่า "และมันคงเป็นความรับผิดชอบของข้าที่เขาถูกคุมตัวอยู่ที่นี่ ท่านชายซินญอร์" นัยน์ตาของเอเดรียนเคยอบอุ่นอยู่เสมอ แต่ในยามที่เจ้าตัวมองนิ่งเช่นนี้ ซินญอร์ก็สัมผัสได้ถึงโทสะที่อยู่ลึกๆในใจของอีกฝ่าย

"เจ้าจะโทษว่าเป็นความผิดข้ารึอย่างไร" กลางบันไดโถงกลางไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการสนทนา ดังนั้นซินญอร์จึงเป็นฝ่ายเดินนำอีกฝ่ายลงไปด้านล่างและตรงไปยังห้องรับรองด้วยตนเอง "ข้าไม่คิดว่าจะต้องอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าหรอกนะ"

"ท่านไม่รู้กฎเกณฑ์ของเซนทอร์... ท่านไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหมายความว่าอย่างไร"

"บางครั้งกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดก็ผ่อนปรนได้ เอเดรียน เซนทอร์ตนนั้นเป็นบุตรชายแท้ๆของราชเลขาลีอาห์ อีกทั้งยังเป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์ เจ้าคิดว่าแอสทารอธจะยึดถือกฎเดิมๆและประหารผู้ครอบครองธนูแอควาเรียร์ทิ้งง่ายๆหรือ" ซินญอร์ย้อนถามบ้าง "แล้ววิธีการของเจ้ามันได้ผลมากมายสักแค่ไหน ข้าให้ป่าเวทมนตร์กับพวกเขา แต่เจ้ากลับเสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำอันเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลเกินกว่าอาเดรียจะสรรหามามอบให้ได้"

"เจ้าลองขอเรือจักรไอน้ำกับราชินีไวลด์ดูหรือยังเล่า หากมันง่ายดายปานนั้น"

เอเดรียนมุ่นคิ้วอย่างอับจนเมื่อถูกแทงใจ เพราะเขาก็ลองยื่นข้อเสนอนั้นมาแล้ว และคำตอบที่ได้รับก็คือความกราดเกรี้ยวของราชินี อีกทั้งยังประกาศกร้าวว่าหากต้องการของสิ่งนั้นก็จะต้องแลกด้วยอิสรภาพของอาณาจักรอาเดรีย ผู้นำอาณาจักรตรงไปนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวตัวใหญ่ โดยมีพวกแม่บ้านที่รู้งานจัดแจงยกชุดน้ำชาและอาหารว่างมาให้เดินตามหลัง

"ใช้สิ่งที่มีอยู่ เอเดรียน... หาใช่ลมปาก"

"แต่สิ่งที่ข้ามีอยู่... คือความภักดีต่อท่าน" แม่ทัพใหญ่สูดหายใจเข้า "ซึ่งข้าแลกมันไม่ได้"

ท่านชายซินญอร์กำหมัดแน่นขึ้นมาและเบือนหน้าหนีคำพูดนั้น นี่เองคือความอ่อนแอที่เขาเกลียดชัง ซินญอร์รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถมีอำนาจในอาณาจักรนี้ได้ด้วยความเกรงในคำพูดของพี่สาว ดังนั้นหากเขาต้องการให้อาเดรียก้าวต่อไป ชายหนุ่มคิดว่าคงมีหนทางเดียวนั่นคือการเปลี่ยนผู้นำซึ่งผู้นำที่มีความสามารถพอในสายตาของเขาตอนนั้นก็เห็นจะมีแต่แม่ทัพเอเดรียนเท่านั้น แต่มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หากอีกฝ่ายยังมีความจงรักภักดีต่อเขาแบบนี้

"ดังนั้นข้าจะใช้สิ่งที่ข้ามีในการเจรจากับแอสทารอธ..."

"ท่านชาย!" เอเดรียนกำหมัด "วิธีนี้มีแต่เพิ่มความโกรธแค้นให้เซนทอร์ หาใช่วิธีการสร้างพันธมิตรที่ดี" วิธีการสร้างพันธมิตรที่ดีสำหรับเอเดรียน คือการที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์จากการพึ่งพาอาศัยกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาพยายามเสนอผลประโยชน์ให้แอสทารอธ หาใช่การบีบให้จำนนอย่างที่ซินญอร์กำลังจะทำ

"เอเดรียน เจ้ายังอ่อนเกินไป และถ้าเจ้าไม่แข็งแกร่งขึ้น เจ้าจะถูกควบคุม"

ท่านชายวางถ้วยชาในมือลง "ตอนนี้ไวลด์คงหมายหัวข้ากับพี่สาว เพราะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่องอีกแล้ว และอาจจะพยายามผลักดันให้เจ้าเป็นผู้นำอาเดรียแทนข้าด้วย ใช่รึเปล่า..."

แม่ทัพหนุ่มกลั้นใจเมื่อผู้นำอาเดรียคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ "ข้า..."

"ขอให้จำไว้ว่าผลประโยชน์ของอาณาจักรคืออะไร" ผู้นำกดเสียงต่ำดุดัน "อาเดรียคือสิ่งที่เจ้าจะต้องรักษา คือแผ่นดินที่สมควรได้รับความจงรักภักดีจากเจ้า" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและเตรียมจะผละออกไปจากห้อง "เอเดรียน เจ้าเป็นคนที่ข้าให้ความหวังว่าหากข้าไม่สามารถเป็นผู้นำได้อีก เจ้าจะได้ปกครองอาเดรียแทนข้า แต่กับเรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่เด็ดขาด ข้าจะวางใจยกตำแหน่งผู้นำให้เจ้าได้อย่างไร"

ซินญอร์รู้ดีว่าอีกไม่นานเขาจะต้องลงจากตำแหน่ง เพราะราชินีแห่งธีสธรัลก็ไม่พอใจเขา ผู้นำไอย์ชวลก็ไม่ได้ญาติดีด้วย อีกทั้งเหนือหัวแห่งแอสทารอธที่จะเป็นปรปักษ์กับเขาในอนาคตอีก อาเดรียไม่สามารถมีผู้นำที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับอาณาจักรอื่นไปทั่วแบบนี้ แต่ซินญอร์ก็ยังลงจากอำนาจไม่ได้หากปัญหาทั้งหมดยังไม่ถูกแก้ไข

และเขาจะสร้างผู้นำคนใหม่ได้อย่างไร หากฝ่ายนั้นยังอ่อนแอแบบนี้

"ท่านชาย" เสียงของทหารยามหน้าประตูร้องเรียก "คณะทูตจากแอสทารอธเดินทางมาขอรับ"

ใบหน้าของเอเดรียนเผือดซีดไร้สีเลือดทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น เช่นเดียวกับซินญอร์ที่ตกตะลึงไปชั่วขณะ "ท่านส่งข่าวเรื่องเลสธีราห์ให้แอสทารอธอย่างนั้นหรือ!!" เอเดรียนตวาดถามผู้นำอาณาจักร มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยโทสะ และพยายามหักห้ามไม่ให้ตนชักดาบใส่ท่านชาย

...เปล่าเลย เขาไม่ได้คิดจะส่งข่าวให้แอสทารอธสักนิด

ซินญอร์กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะยืดตัวขึ้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา "ใช่..."

--------------------------------------------------

ราชินีแห่งธีสธรัลเงยหน้าขึ้นมองคนสนิทที่รีบรุดเข้ามาในห้องพักของเธอโดยไม่เคาะประตูล่วงหน้า "มีอะไรเร่งด่วนหนักหนา เจ้าถึงลืมมารยาทไปได้น่ะ หืม..." หญิงสาวถามเสียงเรียบและละสายตาจากหนังสือในมือขึ้นมามองคาดคั้นคนที่ดูเหนื่อยราวกับวิ่งมาในระยะทางไกลและเร่งร้อนเป็นเชิงตำหนิกึ่งคาดคั้น

"ขออภัยพระนาง... แต่เกิดเรื่องแล้วขอรับ"

"หากไม่เกิดเรื่องสิข้าจะลงโทษเจ้า..." ผู้นำหญิงตอบ "มันเรื่องอะไรกัน"

"ราชรถจากแอสทารอธเดินทางมาถึงมหาคฤหาสน์ และข้าเห็นด้วยตัวเองว่าผู้ที่มาคือท่านหญิงลีอาห์ ราชเลขาคนสนิทของเหนือหัวดาเรียส" คนฟังกลั้นหายใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางปิดหนังสือในมือพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยอารามตกใจ "พวกเขาพูดคุยกันอยู่ในมหาคฤหาสน์..."

"เรียกกัปตันและแม่ทัพเรือมาพบข้า"

ผู้นำหญิงคว้าเสื้อคลุมตัวยาว ก่อนจะเดินนำออกไปจากห้องพักเพื่อตรงไปยังห้องบัญชาการที่อยู่ท้ายเรือ พระนางหยุดที่กราบเรือครู่หนึ่งขณะเพ่งมองกลับไปยังมหาคฤหาสน์และปราการแห่งอาเดรีย "ถ้าแอสทารอธร่วมมือกับอาเดรีย... ข้าควรจะทำยังไง" ราชินีถามตัวเอง พระนางถอนใจด้วยความหนักอกอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องบัญชาการ กัปตันเรือคาร์เธียร์และแม่ทัพเรือเวเรนเซียตามมาสมทบหลังจากนั้นด้วยสีหน้างุนงงจนผู้นำอาณาจักรรู้สึกหงุดหงิด

"แอสทารอธมาถึงที่นี่แล้ว" เพียงประโยคเดียวของพระนาง ขุนนางระดับสูงทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้า

"แปลว่าพวกเขาจะร่วมมือกับอาเดรียจริงหรือ" ผู้นำอาณาจักรเบือนหน้าหนีคำถามนั้นด้วยความที่นางเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน "พระนาง... ถ้ากองเรือเซเลสต์มาร่วมสมทบกับอาเดรีย เวเรนเซียไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน"

"ท่านแม่ทัพ... ระยะทางจากอ่าวเทเทสของแอสทารอธมาจนถึงท่าเรืออาเดรียใช้เวลานานแค่ไหน"

แทนที่จะเสวนากับความตื่นตระหนกของกัปตันเรือ ผู้นำหญิงหันไปถามแม่ทัพเรือต่อ "เพียงครึ่งวันเท่านั้นขอรับ" แม่ทัพหนุ่มว่า "แต่... กองเรือของแอสทารอธไม่ได้ออกรบมานานแล้ว ส่วนมากพวกเขาจะส่งเรือลาดตระเวนออกไปมากกว่า และก็เป็นเรือลาดตระเวนเพียงไม่กี่ลำที่ใช้สลับกันไป"

ราชินีพยักหน้า "ถ้าแอสทารอธจะส่งกองเรือมาร่วมรบ พวกเขาจะต้องใช้เวลาเตรียมการอย่างเร็วที่สุดเท่าไหร่ กองเรือเซเลสต์มีเรือทั้งหมดกี่ลำ" นางถามหลายคำถาม และมองข้ามวิธีแก้ปัญหาอื่นไปจนหมด ด้วยรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถเจรจากับประชาชนได้อย่างแน่นอน ไวลด์เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของธีสธรัลได้ไม่นาน ดังนั้นการแจ้งข่าวร้ายครั้งนี้อาจหมายถึงความสั่นคลอนของบัลลังก์ และในเมื่อการเจรจากับอาเดรียไม่ได้ผล นางก็เหลือเหตุผลเดียวนั่นคือการยึดเอาเมืองท่านี้กลับมาเป็นอาณานิคมอีกครั้ง

"อย่างน้อยก็เดือนหนึ่งหากพวกเขาต้องการจะนำกองเรือเซเลสต์ทั้งหมดออกมา ทั้งห้าร้อยลำ..."

"ห้าร้อยหรือ" ราชินีกลั้นใจ "เวเรนเซียมีเพียงสามร้อย ซ้ำยังเป็นเรือน้ำหนักมากไม่ใช่เรือเร็วแบบของแอสทารอธ" เธอมองออกไปด้านนอกเรืออีกครั้งพร้อมกับใช้ความคิด "ท่านแม่ทัพ... เราจะต้องใช้เรือเท่าไหร่ถึงจะสามารถตีปราการอาเดรียแตกได้" แม่ทัพเรือค้อมหัวลงครั้งหนึ่งเป็นเชิงขออนุญาตตอบคำถาม

"หากเป็นกษัตริย์องค์เก่า... เขาใช้เรือเพียงห้าสิบลำเท่านั้น"

...การพูดถึงกษัตริย์องค์ก่อนอาจทำให้ราชินีกราดเกรี้ยวได้ ดังนั้นแม่ทัพเรือจึงเลือกที่จะก้มหัวลงเพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์ "ไม่มีทางที่เราจะเอาชนะกองเรือเซเลสต์" พระนางทวนคำไปมา "แต่ถ้าเราสามารถตีอาเดรียแตกได้อีกครั้ง และทำให้พวกมันกลับมาเป็นเมืองขึ้นอีกครา เราก็จะไม่ต้องสู้กับแอสทารอธ"

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้นำแห่งเวเรนเซีย "เจ้านำทัพเรือห้าสิบลำออกรบได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่"

...

คนถูกถามจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้น "เมื่อกลับไปถึงธีสธรัลขอรับ"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.2 [20-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-11-2016 23:38:24
ึอ๊ากกกกกกอยากอ่านต่ออออ ลุ้นนนน เอ้าาแล้วววววงานเข้าอาเดรีย เดาไม่ถูกเลยจริงๆว่าจะเลือกทางไหนออกมายังไง ไวลด์นางก็คิดว่าแอสทาอาเดรียอาจจะร่วมมือกัน แต่แอสฯคิดจะเข้าร่วมกับธีรัลซะงั้น ผลมาลงอาเดรีย แล้วเลสจะเลือกทางไหน เอเดรียนจะยังไง โว้ยยยยยยยกูเครียดดดดด มีความอิน 55555555 //ถึงจะอยู่ในช่วงยาก แต่เขาก็มาหากันตลอดทุกวันนะเออ "เป็นของข้า" อร๊ายยยย พูดเองเขินเอง น่าร๊ากกกกกก เอเดรียนมาพูดกระซิบริมหูแบบนี้ กูตาย เขินแทน >///< 5555555 ชอบอ่ะชอบบบบบ //รอๆรอตอนต่อไปค่ะ จะรอ F5รัวๆเลยค่ะ 55
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 22-11-2016 14:43:06
ตอนที่ 21.1

คณะทูตจากแอสทารอธเดินทางมาด้วยราชรถขนาดใหญ่ที่เทียมด้วยกระทิงป่าโตเต็มวัยสี่ตัว โดยไม่มีสารถีควบคุมบังเหียน อีกทั้งไม่มีผู้ติดตามที่มีอาวุธครบมืออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การก้าวลงจากราชรถในร่างมนุษย์ของท่านหญิงลีอาห์ก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางที่มารอต้อนรับ กระทั่งท่านชายซินญอร์ยังขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นสตรีร่างบางที่มาในฐานะทูตสูงสุดของแอสทารอธ

"ท่านราชเลขา..."

เอเดรียนจดจำใบหน้าเรียบเฉยที่งดงามทว่าเด็ดเดี่ยวของนางได้ เขาจึงเป็นคนแรกที่ค้อมหัวลงแสดงความเคารพ และเมื่อเหล่าขุนนางเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ทำตาม ลีอาห์ดูไม่สนใจมารยาทของเหล่ามนุษย์ นางกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบและหยุดมองที่ผู้นำสูงสุดของอาเดรียอย่างแน่วแน่ และสายตาดุดันเด็ดเดี่ยวของนางก็ทำให้คนถูกมองกลั้นใจไม่รู้ตัว

"รู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกินที่ผู้นำอาณาจักรอาเดรียออกมาให้การต้อนรับด้วยตนเอง"

"อาเดรียก็รู้สึกเป็นเกียรตินักที่มีโอกาสต้อนรับท่านหญิง"

เอเดรียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่เซนทอร์หญิงกล่าวมานั่นคือคำประชดประชัน เพราะเหตุผลที่นางเดินทางมาที่นี่ก็ด้วยเรื่องของเลสธีราห์ ผู้ซึ่งถูกอาณาจักรอาเดรียกักขังเอาไว้อย่างไม่สมศักดิ์ศรี "ข้าอดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นท่านราชเลขาเดินทางเพียงลำพัง" ซินญอร์จดจำวิธีการเรียกของเอเดรียนเมื่อครู่นี้และนำมาใช้ในการสนทนาเพื่อไม่สร้างความขุ่นเคืองให้กับทูตใหญ่มากไปกว่าเดิม

"นี่เป็นธุระเร่งด่วนที่ข้าจะต้องรีบสะสาง ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายทั้งทูตจากไอย์ชวล และธีสธรัลยังรอพบข้าอยู่" ราชเลขาแห่งแอสทารอธจงใจหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของคู่สนทนา ซึ่งท่านชายซินญอร์ก็พยายามรักษาความสุขุมเอาไว้ให้มากที่สุด "หลังจากการประลองวาร์ดาข้าจึงต้องรีบออกเดินทางมาในทันที"

ซินญอร์ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน "ข้าขอแสดงความยินดีกับว่าที่เหนือหัวแอสทารอธด้วย..."

"ท่านคงไม่ยินดีนักหรอก" ลีอาห์ทอดยิ้มเย็น "เพราะดูเหมือนเหนือหัวองค์ใหม่ไม่ใคร่จะชอบใจอาเดรียสักเท่าไหร่" เมื่อเข้าไปในห้องรับรอง ท่านหญิงลีอาห์ก็ตรงไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่โดยไม่รอให้เจ้าบ้านออกปากเชิญ ดังนั้นซินญอร์จึงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม และเอเดรียนก็ขยับไปยืนอยู่ด้านหลัง ผู้นำอาณาจักรไม่รู้ว่าความจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างไร อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเดินทางมาด้วยจุดประสงค์ใด แต่หากพิจารณาน้ำเสียงและวิธีการพูดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ราชเลขาดูจะมีโทสะอยู่มาก ซึ่งนั่นหมายความว่าเหตุผลในการเดินทางมาเยือนอาเดรียของนางย่อมเกี่ยวกับเลสธีราห์อย่างแน่นอน

"ข้าต้องขออภัยอย่างมากที่เชิญตัวแม่ทัพเซเลสต์มาด้วยวิธีการที่ไม่สุภาพนัก"

เอเดรียนเหลือบมองผู้นำของตนเล็กน้อยและไม่ขอออกความเห็น เขาหลบลงมองพื้นด้วยใจที่เริ่มหดเล็กลงราวกับกำลังหวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เลสธีราห์เป็นบุตรชายคนเดียวของราชเลขา และการที่นางเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองเพียงลำพังในทันทีที่สิ้นสุดการประลองวาร์ดา นั่นก็แปลว่านี่เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้นางอย่างที่สุด

...แต่เอเดรียนก็เดาไม่ได้ว่าท่านหญิงลีอาห์มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด

"ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อท่านปล่อยให้เรื่องราวเลยเถิดมาจนป่านนี้"

ประตูห้องรับรองเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับการมาถึงของเลสธีราห์ที่ถูกพาลงมาจากห้องพักด้านบน และทันทีที่เห็นการมาเยือนของมารดา เซนทอร์หนุ่มก็เบิกตาสีฟ้าขึ้นด้วยความตกใจ "ท่านแม่..." ลีอาห์วางท่าไม่สนใจบุตรชาย แม้ว่าตอนนี้นางอยากจะตรงเข้าไปหาและไถ่ถามหลายเรื่องก็ตามที "ท่านคงมีเหตุผลที่เชิญตัวแม่ทัพเรือมาที่นี่ แต่ข้าก็ไม่มีเวลาจะมารับฟังหรือเจรจา"

"ข้าเพียงแค่เชิญเขามาพูดคุยเรื่องความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับของอาณาจักร"

"...ข้าได้ให้คำตอบไปแล้วในครั้งที่แม่ทัพเอเดรียนเดินทางไปแอสทารอธ"

"ท่านราชเลขา..." ซินญอร์พยายามอธิบาย "อาเดรียและแอสทารอธเป็นเมืองท่าเหมือนกัน เราไม่ควรจะห่างเหินจากกัน ควรจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันไม่ใช่หรือ ในยามที่ท่านเดือดร้อน พวกเราก็จะช่วย แต่ในยามที่พวกเราเดือดร้อน เรากต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน"

"แล้วสัญญาของอาเดรียที่จะมอบสิ่งตอบให้กับความช่วยเหลือของเราเล่า ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร" ลีอาห์ถามเสียงเรียบ "ท่านเชิญแม่ทัพเรือมาที่นี่เพื่อเจรจาเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว แล้วเขาไม่เคยบอกท่านหรือว่าเขาไม่มีอำนาจใดๆในการตัดสินใจ"

ท่านชายซินญอร์เม้มปากทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้ดีว่าเลสธีราห์ไม่อำนาจในการตัดสินใจ เพราะบุคคลที่จะสามารถตัดสินใจประกาศสงครามได้คือเหนือหัวแห่งอาณาจักรคนเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่ซินญอร์ต้องการในตอนนี้หาใช่กองเรือเซเลสต์ แต่เป็นเพียงความช่วยเหลือจากเลสธีราห์เพียงคนเดียวเท่านั้น เอเรสกล่าวว่าเขาสามารถซื้อใจเลสธีราห์ได้แล้ว แต่แน่นอนว่าการมาถึงของราชเลขาทำให้ทุกอย่างที่ดูเป็นไปตามแผนได้รับผลกระทบทั้งหมด และซินญอร์ก็มั่นใจว่าพวกเขาคงไม่สามารถ 'ซื้อ' ราชเลขาแห่งแอสทารอธได้อย่างแน่นอน

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในระยะเวลากระชั้นชิดเช่นนี้... พวกเซนทอร์รู้ข่าวเรื่องเลสธีราห์ได้อย่างไรกันหนอ

"ข้าขอยืนยันข้อเสนอ" เอเดรียนเป็นฝ่ายพูดบ้าง และหันไปสบตาท่านหญิงเพื่อขอเวลา "ที่ข้าได้พูดไป..."

"ข้าคาดหวังว่าข้าจะเชื่อในลมปากของเจ้า แม่ทัพเอเดรียน ในตัวเจ้าเองทิ้งโอกาสที่ข้าหยิบยื่นให้อย่างไม่ใยดี" ลีอาห์กล่าวทำลายบทสนทนา นางสูดลมหายใจเข้าช้าๆเพื่อควบคุมอารมณ์ที่แสดงออกมารุนแรงจนเกินควร "แต่อย่างไรแอสทารอธก็คงต้องยอมรับในความผิดที่ส่งคนเข้ามาสืบข่าวคราวในอาเดรีย" ราชเลขากล่าวพร้อมกับหยิบเอาม้วนหนังออกมาจากกระเป๋าของนาง และคลี่ออกเพื่อเผยให้เห็นสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นซึ่งเป็นภาษาทางการพร้อมลงนามของเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธ

"และนี่คือบทลงโทษสำหรับผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์" ท่านหญิงก้มหน้าอ่านคำประกาศ

"นับแต่นี้เป็นต้นไป เลสธีราห์ บลังค์ ผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และถูกขับออกจากอาณาจักรแอสทารอธตามกฎของอัศวินเซนทอร์ อันเป็นบทลงโทษสูงสุดของผู้ที่นำพาความเดือดร้อนและความน่าอับอายมาสู่อาณาจักร โดยจะไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องหรือข้อเสนอใดๆของอาณาจักรอาเดรีย" เมื่อต้องอ่านสิ่งที่อยู่ตรงหน้าออกมา ท่านหญิงลีอาห์ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้น้ำเสียงของตนสั่นคลอนเพื่อไม่ให้ความรู้สึกลำเอียงต่อคนในครอบครัวมีอำนาจเหนือความซื่อตรงในหน้าที่

ในขณะที่เลสธีราห์หลับตาลงช้าๆด้วยยอมรับในชะตาของตนเอง "แต่เนื่องด้วยเห็นในความดีความชอบและผลงานที่ผ่านมา ในนามของเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธ จึงขอมอบหมายภารกิจสำคัญให้... นั่นคือการกอบกู้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการกองเรือรบกลับคืนมา ด้วยการประกาศชัยชนะในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น"

เลสธีราห์เบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ...แอสทารอธจะประกาศสงครามหรือ

ลีอาห์ลดแผ่นหนังชิ้นนั้นลงก่อนจะม้วนแผ่นหนังแล้วส่งให้กับท่านชายซินญอร์แห่งอาเดรีย "แอสทารอธตกลงเข้าร่วมสงคราม ขึ้นอยู่กับพิจารณาของท่านว่าต้องการจะทำศึกหรือไม่" ท่านหญิงมองคู่สนทนาอย่างคาดคั้น "นี่คือภารกิจสุดท้ายของผู้บัญชาการกองเรือรบก่อนที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และเรือเพียงลำเดียวที่จะออกศึกครั้งนี้ก็คือเรือเซเลสต์" คนเป็นแม่กลั้นใจอีกครั้งก่อนจะหันไปสบตากับบุตรชาย ผู้ที่ยังมีสีหน้าตกตะลึง

"และนี่เป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายจากเหนือหัวดาเรียส"

--------------------------------------------------

การกอบกู้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการกองเรือรบกลับคืนมา ด้วยการประกาศชัยชนะในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

นี่คือคำพูดที่แยบยลของเหนือหัวดาเรียส จริงอยู่ว่าเขาตัดสินใจทำตามกฎของเซนทอร์ในขั้นต้น นั่นคือการปลดเลสธีราห์ออกจากตำแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยื่นข้อเสนอว่าหากอีกฝ่ยสามารถปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จได้ เลสธีราห์ก็จะสามารถกลับมายังแอสทารอธในฐานะอัศวินอีกครั้งเช่นกัน... อีกทั้ง 'ในสงครามที่กำลังจะขึ้น' ที่ว่านี้ แอสทารอธเองก็ไมได้ระบุอีกด้วยว่าตนจะเข้าข้างฝ่ายใด

...ดังนั้นอาเดรียจึงไม่มีทางรู้คาดเดาเลยว่าตนต่างหากที่กำลังจะถูกโจมตี

เมื่อเหนือหัวออกคำสั่ง เซนทอร์มีแต่จะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งคำสั่งล่าสุดของผู้นำแห่งแอสทารอธคือการนำเรือรบเซเลสต์ออกไปทำศึก ดังนั้นรีดาห์ผู้อยู่ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการจึงต้องรีบตรวจรับรายการเครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จำเป็นบนเรือรบที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธ ซึ่งนั่นคือลูกปืน ดินปืน และศาสตราวุธอื่นๆอีกจำนวนมาก "เรือเซลสต์มีปืนใหญ่ทั้งหมดหกสิบสี่กระบอก แบ่งออกเป็นของดาดฟ้าล่างและกลางชั้นละยี่สิบสี่กระบอก และดาดฟ้าบนสิบหกกระบอก หากบรรทุกลูกปืนสามร้อยลูก ก็เท่ากับว่าจะยิงได้เพียงกระบอกละสี่ครั้ง" ร่างโปร่งทดเลขลงบนแผ่นกระดาษสีน้ำตาล "แต่ถ้าถอดปืนใหญ่ชั้นล่างออกเหลือแค่สิบแปดกระบอกก็จะทำให้เหลือปืนใหญ่ห้าสิบหกกระบอกก็คงจะยิงได้ห้าครั้ง"

ดูเหมือนว่าร่างโปร่งจะคร่ำเคร่งกับการคำนวนเสียจนไม่รู้สึกถึงการมาถึงของว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ

ซาฮาลชะโงกดูการทดเลขของอีกฝ่ายด้วยสายตาของคนที่ไม่ได้เก่งเรื่องการคำนวน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นรีดาห์ขีดวาดคำนวนโครงสร้างภายในและระดับความสูงของเรือเซเลสต์เมื่อลอยลำในมหาสมุทร "น้ำหนักของดินปืนกับลูกปืนสามร้อยลูกมีค่าเท่ากับ..."

"เจ้าต้องคำนวนเรื่องพวกนี้ด้วยรึ"

"เหวอ...!!"  ด้วยนิสัยที่ค่อนข้างขี้ตื่นและขี้ตกใจอยู่แล้ว ทำให้รีดาห์สะบัดแท่งถ่านในมือทิ้งและสะดุ้งจนแทบจะกระโดดลอยจากพื้น พร้อมกับถอยห่างจากคู่สนทนา "ซาฮาล! ใครใช้ให้เจ้าพูดใส่หูข้าแบบนั้น!" ว่าที่เหนือหัวกแขนขึ้นกอดอกพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน แต่เขาก็คิดว่าหากรีดาห์เป็นแมว อีกฝ่ายคงจะทำขนพองและขู่ใส่เขาแล้วแน่นอน

"ข้าเห็นเจ้ายืนขีดเขียนอยู่สักพักใหญ่จึงได้สงสัยว่าเหตุใดไม่ไปหาที่นั่งให้ดีๆ"

พวกเขายังอยู่ที่เมืองเลาน์เรน เพราะเรือรบเซเลสต์ถูกเก็บเอาไว้ที่ด้านหลังพระราชวังซึ่งมีส่วนติดแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเล และในตอนนี้พลทหารในกองทัพเรือกำลังช่วยกันเพื่อจะนำเรือใหญ่ล่องออกไปเพื่อจอดพักเอาไว้ที่ท่ามารินา และรอให้ผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเขากลับมาเป็นผู้นำทัพ "ข้าจะต้องสรุปจำนวนปืนใหญ่ที่จะนำขึ้นเรือเซเลสต์ เนื่องจากเป้าหมายของเราไม่ใช่เรือรบลำอื่นแต่เป็นท่าเรือออโรราของอาเดรีย ทำให้ตำแหน่งการวางปืนใหญ่บนดาดฟ้าแต่ละชั้นมีผล"

ซาฮาลผู้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกองทัพเรือเลิกคิ้วขึ้นสูงกับความรู้ใหม่ "เจ้าโดนตัดงบประมาณลูกปืนหรือไร..."

"น้ำหนักของปืนใหญ่แต่ละกระบอกมีผลต่อความเร็วในการเดินเรือต่างหาก!"

รีดาห์อยากจะม้วนแผ่นกระดาษในมือแล้วฟาดหัวคนตรงหน้าสักทีให้กับความดักดานและช่างประชดประชันของคู่สนทนา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าซาฮาลในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของตนอีกต่อไปแล้ว เซนทอร์หนุ่มจึงทำได้แค่สูดหายใจลึกๆและสงบสติอารมณ์ของตนเอง "จำนวนลูกปืนมีจำกัด ดังนั้นการยิงแต่ละครั้งจะต้องสร้างความเสียหายได้มากที่สุด ซึ่งหากคู่ต่อสู้เป็นเรือรบลำอื่น ความเสียหายที่ว่าก็คือต้องทำให้เสากลางหักโค่นลงให้ได้ ทำให้ปืนใหญ่ที่ดาดฟ้าชั้นกลางและชั้นล่างมีความสำคัญ แต่ในครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของเซเลสต์คือปืนใหญ่ที่อยู่บนปราการกำแพงของอาณาจักรอาเดรีย ดังนั้นการวางปืนใหญ่ที่ดาดฟ้าชั้นล่างจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์" รีดาห์พูดเสมือนอธิบายให้ซาฮาลเข้าใจ แต่แล้วเขาก็กลับไปพึมพำกับตัวเองอีกครั้งอย่างคิดไม่ตก

"แต่ดาดฟ้าชั้นบนไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะเพิ่มจำนวนปืนใหญ่"

ดูเหมือนซาฮาลจะเริ่มเข้าใจถึงความคิดของรีดาห์บ้าง เขาจึงชะโงกไปดูแผนผังโครงสร้างภายในเรือที่อีกฝ่ายวาดค้างเอาไว้ "ในระดับนี้ก็คงสร้างความเสียหายได้แค่ท่าเรือ แต่ระยะยิงคงไม่ถึงปราการใหญ่" น้ำเสียงของซาฮาลทุ้มต่ำ และด้วยส่วนสูงที่หากกันมากทำให้ว่าที่เหนือหัวต้องก้มตัวลงมาเพื่อดูสิ่งที่อยู่ในมือคู่สนทนา และในจังหวะนั้นเองที่รีดาห์ลอบดึงช่อผมสีดำแซมขาวของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้

โอ้ย!!" ร่างสูงเซตามแรงดึงก่อนจะยืดตัวขึ้นและมองคนประทุษร้ายด้วยความไม่พอใจ

"ข้าถึงกล่าวว่าเจ้ามันบ้า... ที่จะส่งเรือเซเลสต์ออกไปรบกับปราการของอาเดรีย!" รีดาห์ถอนใจ "เราต้องใช้ความเร็ว อาจจะต้องถอดปืนใหญ่ชั้นล่างออกทั้งหมดเพื่อทำให้เซเลสต์เบาขึ้น ให้ระดับการลอยลำของเรือสูงขึ้นจนระยะยิงของปืนใหญ่ชั้นกลางสามารถเอื้อมถึงปราการอาเดรียได้" ร่างโปร่งก้าวถอย และสะบัดหางใส่คู่สนทนาอย่างไม่คิดจะขอโทษที่กลั่นแกล้งว่าที่เหนือหัว อีกทั้งลอบยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกสนุกอีกด้วย

...เพี๊ยะ!

"โอ้ย!" แต่ซาฮาลกลับทำสิ่งที่รีดาห์ไม่เคยคิดมาก่อน... นั่นคือการฟาดมือใส่สะโพกหลังจนร่างโปร่งสะดุ้งและยกขาขึ้นดีดตามสัญาชาติญาณ แต่ทั้งนี้ว่าที่เหนือหัวก็ฉลาดพอที่จะหลบให้พ้น "ซาฮาล!" คนตัวเล็กกว่ามุ่ยหน้า และหันกลับมาหาคู่สนทนาที่กลับไปยกแขนกอดอกและหัวเราะเบาๆในลำคอด้วยความเอ็นดูปนขบขัน

"เจ้าดึงผมข้าก่อนนี่..."

"เจ้าก็ควรจะดึงผมข้ากลับ ไม่ใช่ตีก้น!!" เมื่อพูดออกมาอย่างนั้น รีดาห์ก็นึกได้ว่าเขาไม่ควรจะท้าทายซาฮาลในทุกรูปแบบ เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ตัวโตกว่า มีพละกำลังมากกว่า อีกทั้งยังเป็นถึงว่าที่เหรือหัวแห่งแอสทารอธที่เขาจะต้องยำเกรง ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้ามาหาคู่สนทนาที่ยืนนิ่งอยู่กับที่หลัง

"ก็เจ้าสะบัดก้นใส่ข้า" ซาฮาลว่า "...แกล้งเจ้าก็สนุกดีหรอก รีดาห์"

คนเตี้ยกว่าสูดหายใจเข้าเพื่อไม่ให้หงุดหงิดกับคำหยอกล้อของคนตรงหน้า แล้วจึงยกม้วนกระดาษขึ้นมาหมายจะทำงานต่อ "ถ่านข้าหายไปไหน" แต่เมื่อก้มลงจะเขียน รีดาห์ก็พบว่าเขาโยนแท่งถ่านทิ้งไปเมื่อครู่ด้วยอารมตกใจ และตอนนี้มันก็หายไปจากสายตาของเขาเสียแล้ว... ซึ่งนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากซาฮาลได้อีกครา

"ไม่ตลกนะ! หยุดหัวเราะนะ ซาฮาล!!"

--------------------------------------------------


...จู่ๆคู่รองก็ทำคะแนนแซงคู่หลัก OTL (ที่มีแต่ดราม่า) งื้อออออออ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.1 [22-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 22-11-2016 20:46:58
เจ้าพวกมนุษย์กลับกลอกกก ดีค่ะ เล่นงานมันนน
ทั้งสงสารทั้งเห็นใจอาเดรียในตอนแรก ตอนนี้คือกลอกตาใส่รัวๆ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 22-11-2016 21:19:16
ตอนที่ 21.2

"แบบนี้สู้ปล่อยเขาไปตามยถากรรมเสียจะยังดีกว่า!"

เสียงของราชเลขาดังกังวานไปทั่วห้องโถง และทุกคนที่ได้ยินก็สัมผัสได้ถึงความกราดเกรี้ยวของนาง "เนรเทศอย่าให้เขากลับมา ยังจะดีกว่าส่งเขาไปสู้รบในศึกที่ไม่มีวันเอาชนะได้" เซนทอร์หญิงกำลังพูดกับว่าที่เหนือหัวองค์ใหม่ โดยที่ผู้นำคนปัจจุบันของแอสทารอธยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขา แม้ว่าลีอาห์จะเป็นถึงราชเลขาคนสนิท แต่เมื่อเหนือหัวดาเรียสเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งได้แล้ว คนที่มีปากเสียงมากที่สุดรองจากผู้นำในตอนนี้ก็คือซาฮาล ดังนั้นคำพูดของลีอาห์จึงมีน้ำหนักน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย

"เจ้าเกลียดชังลูกข้ามากขนาดนั้นหรือไร ซาฮาล..."

"ท่านหญิงใจเย็นก่อน..." ดาเรียสปรามเสียงเรียบ "แม้ข้าจะไม่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ซาฮาลมีเหตุผล"

"มันไม่ใช่วิถีของเซนทอร์..." ลีอาห์ว่า "ข้าไม่ทักท้วงการตัดสินปลดเขาออกจากตำแหน่ง หรือเนรเทศทอดทิ้งเขาตามกฎเดิมของเรา แต่การจะส่งเขาไปรบด้วยเงื่อนไขตลบแตลงไม่ซื่อสัตย์แบบนี้ มันน่าขายหน้ายิ่งกว่าถูกจับในฐานะเชลยศึกเสียอีก!"

"แต่สภาขุนนางลงความเห็นแล้วว่าเราควรเข้าร่วมกับธีสธรัล ท่านควรจะยืนตามนั้น" ซาฮาลยืนยัน และนั่นก็ทำให้ราชเลขาต้องหันมาค้อนมองด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ "แต่เพราะผู้บัญชาการเซเลสต์ถูกอาเดรียกักตัวเอาไว้ หากไม่ใช้วิธีแบบนี้ ฝ่ายนั้นคงไม่ยอมปล่อยตัวกลับมาโดยง่าย อีกอย่าง... เราก็ไม่ได้ผิดคำพูดต่ออาเดรีย เนื่องจากคำสั่งของเหนือหัวไม่ได้ระบุว่าจะต้องมีชัยชนะต่อใคร"

"แต่นี่ไม่ใช่วิถีของอัศวิน... ข้าอยากให้ท่านพิจารณาอีกครั้ง"

ดาเรียสยกมือปรามทั้งเลขาคนสนิทและว่าที่เหนือหัว ก่อนที่ทั้งคู่จะกราดเกรี้ยวใส่กันมากกว่านี้ "เลสธีราห์มีความสำคัญต่อกองทัพเรือเซเลสต์ เราคงจะใช้กฎเดิมกับเขาไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็นกฎ ...ข้าจึงเห็นว่านี่เป็นเหตุผลที่ฟังได้ของซาฮาล อาเดรียเหิมเกริมมากจริงๆ และข้าคิดว่าพวกเขาต้องได้รับบทเรียน แม้การส่งเลสธีราห์ไปรบอาจจะดูโหดร้ายสักหน่อย แต่ถ้าเขาทำได้ นั่นก็จะเป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของเซเลสต์ และแน่นอน... ตัวเขาเองด้วย" ดาเรียสถอนใจ "นั่นคือสิ่งที่เลสธีราห์ต้องการมาตลอดไม่ใช่หรือ เขาอยากพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรกับตำแหน่งผู้นำเซเลสต์ และสิ่งนี้จะช่วยพิสูจน์ได้อย่างแน่นอน"

"แต่ว่า..."

"ลีอาห์" ดาเรียสเรียกเสียงอ่อน "ข้าเชื่อว่าเลสธีราห์สามารถทำภารกิจนี้ได้"

เซนทอร์หญิงกลืนน้ำลายและพยายามสงบจิตใจของตนเองก่อนจะหันไปมองซาฮาลที่ยืนสงบนิ่งอยู่เคียงข้างเหนือหัวดาเรียส อีกฝ่ายไม่ได้เกลียดชังเลสธีราห์ แต่กำลังหาวิธีที่จะทำให้บุตรชายของนางได้มีที่ยืนในหมู่เซนทอร์อย่างที่ใจเขาปรารถนา แม้ว่านี่จะเป็นวิธีการที่โหดรายไปบ้าง... แต่อย่างไรมันก็คือวิถีของเซนทอร์อยู่ดี

"เช่นนั้น... ข้ามีคำขอเรื่องหนึ่ง" หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยความปรารถนาของตนออกมา

"ข้าจะไม่ขออยู่ดูลูกของตัวเองตายในสนามรบ"


--------------------------------------------------

เอเดรียนเห็นกับตาตัวเองว่าเรือรบคาร์เธียร์แล่นใบออกไปจากอ่าวออโรราแล้ว และหากคาดเดาของเขาไม่คลาดเคลื่อน อีกฝ่ายคงจะเห็นการมาเยือนของแอสทารอธ จึงเกิดความไม่มั่นใจว่าพวกเซนทอร์เลือกข้างแล้วหรือยัง

"เรือเซเลสต์เพียงลำเดียวไม่สามารถต่อกรกับกองเรือเวเรนเซียได้ทั้งหมด"

แม่ทัพหนุ่มเปิดฉากสนทนากับผู้นำของตนในทันทีที่ท่านหญิงลีอาห์ขอเวลาสนทนากับแม่ทัพเรือของนางเป็นการส่วนตัวที่ด้านนอก ดังนั้นในห้องรับรองจึงเหลือบุคคลเพียงสามคน นั่นก็คือเอเดรียน จาเร็ตต์ และท่านชายซินญอร์

"เราไม่ควรจะตอบรับการประกาศสงครามของแอสทารอธเลย"

"เหตุใดตอนราชเลขาอยู่เจ้าจึงไม่พูดแบบนี้เล่า ท่านแม่ทัพ" ซินญอร์ย้อนคนสนิทบ้าง "เมื่อนางออกไปแล้วจึงได้ปากกล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น มาพูดเอาตอนนี้จะทำอะไรได้ และข้ามีทางอื่นให้เลือกหรืออย่างไร" ท่านชายกระฟัดกระเฟียด ทั้งจากความหงุดหงิดที่เรื่องราวบานปลายจนควบคุมเอาไม่อยู่ และความหงุดหงิดที่แม่ทัพของตนไม่แข็งแกร่งพออย่างที่ตนต้องการ

ราชเลขาลีอาห์กับแม่ทัพเรือเลสธีราห์มีความเกี่ยวดองเป็นมารดากับบุตรโดยที่เจ้าตัวไม่ปิดบัง แต่ซินญอร์ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีมารดาที่ไหนออกปากส่งลูกไปสนามรบได้แบบนี้ "แต่อย่างน้อยแอสทารอธก็เลือกเข้าข้างเรา แม้ว่านี่จะเป็นคำสั่งปลดผู้บัญชาการกองทัพที่ดูจะประชดประชันไปสักหน่อยก็ตาม"

"นี่ไม่ใช่การเข้าข้าง... แต่มันคือการปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือทั้งหมดทั้งปวงของแอสทารอธ!"

"อย่างไรข้าก็ยังยืนยันที่จะให้เซนทอร์ตนนั้นนำเรือรบมาที่นี่ นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายที่อาเดรียมี" ท่านชายตอบกลับเสียงแข็ง ทำให้แม่ทัพของเขาต้องหลับตาลงอย่างสิ้นหวังในตัวผู้นำ "ถ้าแอสทารอธจะสละชีวิตผู้บัญชาการกองทัพเรือของตนเองจริง ข้าก็จะไม่ขัดจุดประสงค์ของเขา"

"เหตุใดท่านจึงไม่ประนีประนอมกับธีสธรัลบ้าง จะส่งผู้อื่นไปตายเพื่ออะไรกัน!!"

เอเดรียนรู้ดีว่านั่นเป็นคำสั่งเนรเทศของเหนือหัวแห่งแอสทารอธ เรือเซเลสต์อาจเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินตะวันตก แต่มันก็เป็นเพียงเรือลำหนึ่งที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ พวกเซนทอร์เพียงแค่ต้องการเย้ยหยันวิธีการสกปรกของมนุษย์ และในขณะเดียวกันก็เป็นบททดสอบแม่ทัพเรือไปในตัว หากเลสธีราห์สามารถเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้นี้ได้ เขาก็จะได้กลับไปยังแอสทารอธ แต่หากไม่... เขาก็จะสาบสูญไปในทะเล

ซึ่งเอเดรียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถเอาชีวิตรอดได้

แม่ทัพหนุ่มกัดฟันแน่นและตำหนิตัวเองที่เอาแต่ลังเลไม่ตัดสินใจ

"แล้วเจ้าสามารถประนีประนอมกับพวกมันได้อย่างนั้นรึ เอเดรียน!" ซินญอร์ขึ้นเสียงบ้าง "กี่สิบปีที่เราถูกพวกมันเอารัดเอาเปรียบ มาจนถึงตอนนี้ที่เราสามารถต่อสู้เพื่ออิสรภาพได้ เจ้ากลับบอกให้ข้าประนีประนอมเพื่อถูกพวกมันเอาเปรียบอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่... ข้าย้ำอีกครั้งว่าถ้าเรายอมอ่อนข้อให้พวกมัน ธีสธรัลจะไม่ปรานีเรา และครั้งนี้พวกมันจะไม่ปรานีเราอย่างแน่นอน"

"ท่านชาย!"

"ข้าจะส่งข่าวหาพี่สาวของข้า" ซินญอร์ตัดบท "จะขอกำลังทหารจากคัสนาห์มาช่วย ส่วนเจ้าไปเตรียมกองทัพสนับสนุน" ผู้นำอาณาจักรหยิบผ้าคลุมไหล่ที่แขวนไว้บนเสามาถือไว้ "จำเอาไว้ว่าเจ้าควรจะภักดีต่อแผ่นดินของตัวเอง!" ประตูไม้ปิดเสียงดังใส่หน้าแม่ทัพใหญ่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ ร่างสูงคำรามกับตัวเองด้วยความโมโห ฟันขาวขบกันแน่นอย่างอดกลั้น ขณะที่ลมหายใจติดขัดไม่เป็นจังหวะเนื่องจากความหงุดหงิด

เอเดรียนตำหนิตัวเองมากกว่าใคร หงุดหงิดและโมโหตัวเองมากกว่าใคร เขารู้ดีว่าพวกเซนทอร์มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเคร่งครัด แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าพวกครึ่งอาชาจะแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ และในเมื่อมันเป็นคำสั่งและคำพิพากษาของเหนือหัว เลสธีราห์ย่อมปฏิบัติตาม "เกิดเรื่องแน่ จาเร็ตต์" แม่ทัพหนุ่มพึมพำกับคนสนิทข้างกาย "แอสทารอธคงคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าราชินีธีสธรัลจะต้องนั่งไม่ติดที่ และเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อน จึงได้ยื่นคำขาดในการให้ความช่วยเหลือแบบนี้"

ในยามที่ราชเลขาพูดออกมาว่าเลสธีราห์ได้ถูกปลดออกจากการเป็นผู้นำกองเรือรบ ไม่ใช่เพียงใจของเลสธีราห์เท่านั้นที่แทบจะหยุดเต้น แต่เอเดรียนเองก็เกือบลืมหายใจเช่นกัน ชายหนุ่มไม่มีเวลากล่าวโทษตนเองที่ทำให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในสภาพนี้ แต่เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นความผิดของตนทั้งนั้น

ความผิดของเขาที่ไม่สามารถปกป้องดูแลเลสธีราห์ได้ตามที่เคยสัญญาเอาไว้

"แต่อย่างน้อย เลสธีราห์ก็ยังพอมีโอกาสที่จะได้กลับไป หากเขาสามารถเอาชนะการต่อสู้นี้ได้"

จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว และแตะแขนผู้นำของตนเบาๆ "การต่อสู้ของเรือเซเลสต์เพียงลำเดียวกับกองเรือเวเรนเซียแห่งธีสธรัลหรือ" เอเดรียนกำหมัดเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆราวกับกำลังต่อสู้กับตัวเอง "เราไม่มีกองทัพเรือ เอเดรียน... นี่อาจไม่ใช่คำสั่งที่แสดงความเมตตา แต่มันคือคำสั่งประหารชีวิต" เมื่อพูดเช่นนั้น แม่ทัพใหญ่ก็เบือนหน้าหนีคนสนิทและเดินไปยังหน้าต่างเพื่อจะมองไปที่ท่าเรือออโรราแห่งอาเดรีย

เขาจะปกป้องเลสธีราห์... ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมสูญเสียอีกฝ่ายไป

แต่เซนทอร์ย่อมมีเกียรติของเซนทอร์ การกีดกันเขาออกจากสนามรบถือเป็นการดูหมิ่นอัศวิน

"แต่ข้า..." แมทัพใหญ่หลับตาลงพร้อมกับกัดฟันแน่น เขาควรจะรีบไปเตรียมความพร้อมให้กองทัพที่ไม่เคยออกศึก เพื่อป้องกันบ้านเมืองของตนหากธีสธรัลยกกำลังพลมาจริงๆ เขาควรจะออกคำสั่งให้ตรวจสอบปืนใหญ่ที่อยู่บนปราการแต่ละชั้นว่ายังใช้งานได้อยู่หรือไม่ ในฐานะแม่ทัพ เขาควรจะเริ่มทำอะไรสักอย่างบ้างแล้ว ทว่าเอเดรียนกลับไม่สามารถปัดเรื่องของเลสธีราห์ออกไปจากหัวได้เลย

เขาไม่มีวัน... จะทอดทิ้งเลสธีราห์

หากกีดกันอีกฝ่ายออกจากสนามรบไม่ได้ สู้ร่วมรบไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ

"จาเร็ตต์" เอเดรียนเรียกเสียงต่ำ "ข้าขอยืมม้าของเจ้าหน่อย" แม่ทัพใหญ่คว้าเสื้อคลุมของตนขึ้นมาสวม และเดินออกจากห้องรับรองโดยที่มีคนสนิทเดินตามมา "ดูแลความเรียบร้อยที่นี่ จัดการเรื่องอาหารการกินให้ท่านราชเลขาอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด"

จาเร็ตต์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถาม "เจ้าจะไปไหน เอเดรียน"

"คฤหาสน์ตระกูลฟลินทรัสต์..."

--------------------------------------------------

หากถอดความคำพูดของเหนือหัวแล้ว... เลสธีราห์ต้องทำภารกิจให้สำเร็จจึงจะได้กลับแอสทารอธ

ลีอาห์ไม่พูดอะไรตลอดทางที่นางเดินนำเลสธีราห์มาถึงราชรถที่ถูกนำไปจอดไว้ใกล้โรงม้าเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวก่อนจะเดินทางกลับแอสทารอธในวันรุ่งขึ้น เหล่ากระทิงป่าพ่นลมหายใจเป็นควันขณะใช้เขาขนาดใหญ่หยอกล้อกันเองไปพลางระหว่างรอ

"เจ้าทำให้แม่เป็นห่วงมาก..." ลีอาห์พูดเสียงอ่อนกับบุตรชาย "เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้"

เซนทอร์หนุ่มถอนใจ เขาหลับตาลงเมื่อมือที่เล็กกว่าของคนตรงหน้าเอื้อมประคองพวงแก้ม ก่อนจะโน้มตัวเขาลงไปหา ริมฝีปากนุ่มของนางจรดแนบหน้าผากอย่างอ่อนโยน และวงแขนเล็กก็พยายามจะกอดบุตรชายที่ตัวโตกว่าเอาไว้ด้วยความคิดถึง

"ลูกข้า..."

ชายหนุ่มกางแขนออกกอดแม่ของตน และซบหน้าลงกับไหล่เล็กเพื่ออิงแอบความอ่อนโยนจากบุคคลที่รักเขามากที่สุด "ข้าคงทำให้ท่านลำบากมาก... มันไม่จำเป็นเลยแท้ๆ" โดยทั่วไปแล้ว แอสทารอธจะไม่ละเว้นแม่ทัพที่ทำงานบกพร่องจนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแบบนี้ แต่ด้วยความที่เลสธีราห์เป็นถึงบุตรชายของราชเลขาคนสนิท คนเป็นมารดาย่อมยื้อไม่ยอมให้เขาถูกลงโทษง่ายๆ

"มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก" ลีอาห์ตอบ "เลสธีราห์ บอกแม่ได้ไหม... เหตุใดเจ้าจึงพลาดได้"

เหตุผลเดียวที่เลสธีราห์ถูกจับได้ว่าเป็นเซนทอร์ นั่นคืออีกฝ่ายเยร่างเซนทอร์ออกมา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน ลีอาห์รู้ดีว่าบุตรชายชอบอยู่ในร่างมนุษย์ ดังนั้นการที่ชายหนุ่มเผยร่างเซนทอร์ออกมาย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน "พวกมันบีบบังคับเจ้าหรือไร"

"เปล่า..." เลสธีราห์เม้มปาก "ข้าแค่... ตัดสินใจผิดพลาด"

...เขาตัดสินใจผิดพลาดที่ช่วยเอเดรียนด้วยวิธีการนั้น แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจเลย

"เลสธีราห์..." ลีอาห์คะยั้นคะยอ "บอกแม่"

เมื่อถูกสายตาดุดันจ้องมอง บุตรชายก็เบือนหน้าหลบก่อนจะเปิดปากพูดแต่โดยดี "ข้าช่วย... เอเดรียนไม่ให้ถูกคูแรนน์ทำร้ายที่กลางป่า" เมื่อเอ่ยถึงญาติที่ไม่ใคร่จะสนิทกันนัก ลีอาห์ก็มุ่นคิ้วสงสัย แม้ว่าจะคาดเดาเรื่องได้บ้างแล้วก็ตาม "ความสามารถของคูแรนน์ เรี่ยวแรงของเขา และความชำนาญนับร้อยปีของเขา เพียงดาบเดียว เขาก็ฆ่าเอเดรียนได้ แล้วจะให้ข้ายืนมองเฉยๆอย่างนั้นหรือ"

คูแรนน์มีอายุมากกว่าท่านหญิงลีอาห์ และนางก็พอจะรู้จักขุนพลภูตครึ่งเอลฟ์จากชื่อเสียงของอีกฝ่าย รู้จักถึงความเด็ดขาดและดุดันที่ร่ำลือต่อกันมา แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เลสธีราห์ทำงานพลาดอยู่ดี "แล้วเหตุใดเจ้าจึงช่วยเหลือเขา เขาสำคัญมากกว่าความลับของเจ้าหรืออย่างไร เจ้ารู้ไหมว่าเหนือหัวต้องเรียกตัวสายสืบทุกคนที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้กลับมา แอสทารอธวุ่นวายไปหมดเพราะเรื่องนี้"

เลสธีราห์ไม่ตอบเมื่อถูกดุ เขายังคงหลบสายตาของมารดาอยู่อย่างนั้น และพยายามจะหาเรื่องอื่นมาตัดบทสนทนานี้ ...เขาจะบอกแม่ตัวเองได้อย่างไรว่าเหตุใดเขางจึงยอมช่วยเหลือมนุษย์โดยไม่ไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสียแบบนั้น "เขาเป็นเจ้านายแค่ในนามไม่ใช่หรือ เลสธีราห์... เหตุใดเจ้าไม่หยุดคิดบ้าง"

"ท่านแม่... ข้าเห็นเขาตายไม่ได้"

ลีอาห์ค่อยๆใช้มือเชยคางบุตรชายขึ้น และขมวดคิ้วมุ่นมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของอีกฝ่ายอยู่สักพักใหญ่ "ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร... เจ้าจะต้องสู้ หากชนะก็จะได้กลับไปแอสทารอธ แต่หากแพ้..."

"ก็อย่าได้กลับมา..." เลสธีราห์ต่อประโยคของมารดา "เรื่องแค่นี้ ข้าทำได้"

"มันไม่ใช่แค่นี้หรอก" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เซนทอร์หนุ่มสะดุ้งสุดตัวและหันกลับไปมองราชรถที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ในนั้น แต่แล้วมือใหญ่ก็เอื้อมปัดผ้าสีขาวที่ปิดกั้นเอาไว้ต่างประตู เหนือหัวดาเรียสขยับตัวออกมาเล็กน้อย จนแสงแดดส่องกระทบใบหน้าคมคายสงบนิ่ง "ยังมีอีกเรื่องที่เจ้าจะต้องรับผิดชอบ เสธีราห์..."

"เหนือหัวดาเรียส" ร่างโปร่งชะงักนิ่งไปด้วยความตกตะลึง เขารีบย่อตัวลงแสดงความเคารพผู้นำอาณาจักกรที่ลงมาที่นี่ด้วยตัวเอง "ข้าขออภัยที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วแบบนี้"

"คำขอโทษมันใช้ไม่ได้แล้ว เลสธีราห์" ดาเรียสตัดบท "แต่เพราะเจ้าเป็นเสมือนน้องของข้า... ข้าจึงไม่อาจอยู่เฉยได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่เจ้าจะต้องทำให้ได้หากต้องการกลับมายังแอสทารอธอย่างภาคภูมิ" ไม่ใช่แค่การเอาชนะสงครามได้ด้วยเรือลำเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่เลสธีราห์ต้องทำเพื่อชดเชยความผิดที่สร้างความเดือดร้อนซ้ำยังขายหน้าให้กับแอสทารอธ

"ทำลายปราการแห่งอาเดรีย แล้วเอาชีวิตของผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้มาให้ข้า"

"..องค์เหนือหัว"

...

"ข้าหมายถึง... เอเดรียน ที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่นี้"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


ในที่สุด... เอเดรียนก็ขยับแล้ว!! //ช้าไปมาก 555555555 << นี่แก้ให้มันคิดได้เร็วขึ้นแล้วนา
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.2 [22-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 22-11-2016 22:22:04
มนุษย์นี่น่ากลัวที่สุดละ  :m16:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.2 [22-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-11-2016 23:53:38
งึ!!!! *ลมหายใจสะดุดหยุดกึก!!* โบ๊ะ!! อะไรนะ??? ถล่มอาเดรียแล้วฆ่าเอเดรียน!! โว้ยยยยยยชิบโหงงงงงงง ตรูเครียดอึดอัดแทนเลส คำสั่งบ้าอะไรเนี้ย ใครจะทำลง แล้วถ้าไม่ทำตามละ แค่ชนะสงคราม ผลจะเกิดไรขึ้น //สามเมืองนี้จะรบยังไงว่ะ ต่างคนต่างรบหรือร่วมมือกันถล่มอีกเมือง หรือวนเวียนแพ้ชนะ อัยยยะ!!! ตรูไม่เคยตันขนาดนี้ คิดไม่ออกเลยจริงๆว่าจะเดินหน้าเอาไงต่อ เดาไม่ถูกกกก 555555555555555 อาเดรียเป็นรองสุด เอเดรียนไปหาน้องแล้วคือ????ให้ช่วยเลสรบกับธีรัลหรอ??หรืออะไรยังไง? มาต่อเถอะค่ะ พลีสสสส!!5555 จะเอาไงว่ะ #เลสเอเดรียน เอเดรียนอยากปกป้องเลส แต่เลสเจอคำสั่งให้เก็บเอเดรียน เครียยยดดอึดอัดว้อยยยย!!!! มีความอิน 555555555555 สนุกอ่ะลุ้นชิบหายจะออกมายังไง
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.2 [22-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 23-11-2016 11:16:09
ตามอ่านทันแล้ววววว พอมีเวลาอ่านจริงจัง ไม่สามารถหยุดอ่านได้เลยค่ะ เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น เดาทางไม่ออกเลย เป็นกำลังใจให้เลสและเอเดรียน
เป็นกำลังใจและบวกเป็ดให้คุณKhaosapด้วยค่ะ เป็นผู้ที่เขียนนิยายแฟนตาซีได้สนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-11-2016 07:41:00
ตอนที่ 22.1

ถ้าเจ้ายอมร่วมมือ... ข้าจะล้างประวัติให้กองทัพโจรสลัดของเจ้า

เอเรสนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขา โดยยกขาขึ้นพาดบนโต๊ะไม้ตัวสวยด้วยความเคยชิน อีกทั้งยังยกแขนขึ้นเท้าคางและเหม่อมองเอกสารที่เขียนด้วยลายมือของผู้นำอาณาจักรอาเดรียพร้อมทั้งลงนามประทับตราครบถ้วนด้วยความรู้สึกที่ไม่ใคร่จะสบายใจ

เป็นเรื่องประหลาดสำหรับเอเรส ฟลินทรัสต์ที่เขาจะรู้สึกไม่สบายใจ

โจรอย่างไรก็เป็นโจร ท่านชายอย่าได้พยายามกลับดำเป็นขาวเลย มันไม่มีประโยชน์...

ร่างสูงหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเก็บเอกสารนั้นเอาไว้ในลิ้นชักโต๊ะตามเดิม จังหวะเดียวกับที่พ่อบ้านผู้ดูแลเคาะประตูห้องเป็นเชิงขออนุญาตเข้ามา "คุณชายครับ..." ผู้นำตระกูลรีบยกขาลงและหยิบผ้าเช็ดโต๊ะส่วนตัวที่เขาแอบเอาไว้ขึ้นมาเช็ดคราบสกปรกที่เกิดจากรองเท้าของตนออกอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับการมาเยือนของชราชายที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก

เอเรสจะถูกดุหากโดนจับได้ว่ายกขาขึ้นวางบนโต๊ะด้วยความเคยชิน

"คุณชายเอเดรียนกลับมาครับ"

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกขึ้นด้วยความตื่นเต้น และอึดใจต่อมา ผู้เป็นน้องโดยสายเลือดก็รีบรุดออกไปจากห้องทำงานของตน มุ่งหน้าลงบันไดไม้ที่สลับซับซ้อนที่จะนำเขาลงจากชั้นสามของบ้านไปสู่โถงบันไดอันเงียบเหงาทว่ามีบุคคลผู้หนึ่งที่เอเรสปรารถนาจะพบอีกครั้งยืนรออยู่

"เอเดรียน...!"

บันไดกลางอาจสูงถึงห้าสิบขั้น แต่เอเรสกลับพุ่งลงมาตามราวจับในระยะเวลาไม่ถึงอึดใจ "พี่กลับบ้านแล้วรึ!" น้องชายกระโดดลงยืนตรงหน้าผู้มาเยือน และพบว่าตัวเองสูงกว่าคู่สนทนาอยู่มากกว่าที่จินตนาการเอาไว้ "เกือบสามสิบปี... ที่พี่ทิ้งตระกูลไปอย่างไม่ใยดี" เอเรสมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับตนทว่ามีอายุกว่า ทว่าการแต่งตัวกลับแปลกตาซึ่งบอกได้ดีว่าพี่ชายของตนอยู่ในสังคมที่ต่างออกไป ทว่าในวันนี้... เอเดรียน ฟลินทรัสต์กลับบ้านแล้ว

"แค่ยี่สิบสี่ปี... เอเรส ไปเอามาจากไหนว่าสามสิบ"

"ข้าสิอายุสามสิบ! แล้วพี่ก็หายไปตอนข้าหกขวบ... หกขวบ!" แม้ว่าคนพูดจะมีอายุอานามถึงสามสิบปี แต่วิธีการพูดของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ชายกลับดูเหมือนเด็กไม่มีผิด "การอยู่ตัวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้มันยากขนาดไหน พี่รู้บ้างไหม" แต่เมื่อเอเรสพูดแบบนี้ เอเดรียนก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ และยกมือขึ้นลูบผมสีเข้มด้วยความเอ็นดู และเพียงเท่านั้นคนตรงหน้าก็ก้มหน้าลงพร้อมทั้งหลับตา ราวกับรอคอยช่วงเวลานี้มาแสนนาน

ตระกูลฟลินทรัสต์ประกอบกิจการค้าอาวุธและเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในท่าเรือทิศใต้ แต่อย่างไรสงครามการค้าขายก็ไม่เคยจบสิ้น ยังมีกลุ่มอิทธิพลอีกหลายกลุ่มในย่านนี้ทำให้เกิดการช่วงชิงอำนาจทางการตลาด คุณหญิงแห่งตระกูลฟลินทรัสต์เสียชีวิตจากการให้กำเนิดบุตรชายคนที่สอง ดังนั้นจึงเหลือเพียงคุณชายใหญ่และพี่น้องที่คอยช่วยเหลือกัน แต่เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนนั่นเองที่ตระกูลอิทธิพลได้ตกต่ำลงเนื่องจากการสูญเสียผู้นำสูงสุด

บิดาของเอเดรียนและเอเรส... ถูกยิงตาย

เอเดรียนมีอายุเพียงสิบขวบในตอนนั้น และการสูญเสียบิดาไปต่อหน้าต่อตาทำให้เด็กชายคิดว่าตนคงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ได้ เขาจึงหันหลังให้กับตระกูล ทอดทิ้งทรัพย์สมบัติและอำนาจแห่งฟลินทรัสต์ทั้งหมดเพื่อหันหน้าไปสู่ความยุติธรรมในสังคมขุนนางแห่งอาเดรียด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถทำให้ผู้คนในตระกูลฟลินทรัสต์ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยได้

ทว่าเอเรส ฟลินทรัสต์... กลับมีความคิดที่ต่างออกไป

การที่ฟลินทรัสต์เพลี่ยงพล้ำเกิดมาจากความสูญเสีย ความสูญเสียที่ไม่ได้มีความหมายแค่ทางใจ แต่พวกเขาสูญเสียบุคคลที่มีอำนาจ ความรู้ และประสบการณ์ไป อีกทั้งไม่มีผู้ใดมีความหลักแหลมเท่าเทียมคุณชายใหญ่แห่งฟลินทรัสต์ ทำให้พวกเขาเกิดความระส่ำระส่าย แตกแยก ตกต่ำล่มจม และถูกคนอื่นเหยียบย่ำ ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาของเอเรสคือการต่อสู้โดยไม่หวังพึ่งอำนาจของผู้อื่น แต่เป็นการผลักดันตัวเองให้มีอำนาจเหนือผู้ใด

และเขาก็พิสูจน์ได้แล้ว... ด้วยสมญาของ 'ราชาโจรสลัดแห่งเทเทส'

"ใครว่าข้าไม่ใยน้องชายตัวเอง" เอเดรียนหัวเราะเบาๆ แม้ว่าเขาจะมีเรื่องเร่งด่วนรีบร้อน แต่ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นถึงน้องชายร่วมสายเลือด ใครบ้างจะสามารถวางท่าเย็นชาต่อไปได้ แม่ทัพใหญ่ค่อยๆดึงคนตรงหน้ามากอด และลูบหลังกว้างช้าๆเป็นเชิงปลอบอยู่อย่างนั้น "คิดว่าการที่เจ้าเป็นจอมโจรแล้วรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้เป็นเพราะ 'ฟลินทรัสต์' รึ ...เอเรส"

"ถ้าพี่ไม่่ช่วยข้าก็ให้มันรู้ไปสิ!"

"เช่นนั้นครั้งนี้คงต้องยืมคำพูดของเจ้าบ้างแล้ว... หากเจ้าไม่ช่วยพี่ก็ให้มันรู้ไปเถอะ"

เอเรสสูดหายใจเข้าแล้วผละออกจากอ้อมกอดของพี่ชาย เขายืดอกขึ้นด้วยมาดของผู้นำ "ข้ารอเวลานี้มาตลอด" คนตรงหน้าแสยะยิ้มที่เกิดจากทั้งความดีใจและความสาแก่ใจ "เวลาที่พี่จะกลับบ้าน และมาขอความช่วยเหลือจากข้า" ร่างสูงยิ้มกว้าง "เวลาที่... เราจะร่วมมือกันอีกครั้ง ข้ารอมาตลอด ยี่สิบ... กว่าปี"

"ยี่สิบสี่..." เอเดรียนต่อประโยคให้จบ "ยิ่งโต... เจ้ายิ่งหน้าเหมือนพ่อ"

"ข้าหน้าเหมือนพี่!"

"เอ้า พี่ก็ได้..."

เอเดรียนถอนใจก่อนจะปลดผ้าคลุมไหล่ออกพาดแขนแล้วเดินขึ้นบันไดกลางไปยังห้องทำงานที่เคยเป็นของบิดา แม้จะไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลานานขนาดนี้ แต่เขากลับจดจำทุกอย่างที่นี่ได้ อีกทั้งเอเรสก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรภายในบ้านอีกด้วย ตามทางเดินภายในยังมีภาพวาดของผู้นำตระกูลแต่ละคน และอาวุธประจำกายที่เคยใช้ เอเดรียนเดินผ่านไปยังภาพวาดของบิดาและหยุดมองมันสักครู่หนึ่งราวกับระลึกถึงใบหน้าที่เขาเกือบจะลืมไป อาวุธคู่ใจของฝ่ายนั้นคือปืนไฟกระบอกยาวซึ่งวางอยู่บนแท่นแขวนติดผนัง แต่ภาพต่อมากลับเป็นกรอบเปล่าที่ไม่มีรูปของผู้ใดอีกทั้งแท่นวางอาวุธที่ว่างเอาไว้เหมือนรอผู้นำตระกูลคนต่อไป

"เจ้าไม่ชอบเวลามีหน้าตัวเองอยู่บนผนังหรือ" แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้ว

"เอารูปใครขึ้นผนังไม่เห็นจะอายุยืนสักคน" เอเรสตอบ "อีกอย่าง... พี่ในตอนนั้นก็ยังเกินจะวาด"

เอเดรียนมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น "เจ้าเป็นผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์ เอเรส... ไม่ใช่ข้า" ไม่ใช่คนที่ทอดทิ้งตระกูลไปยี่สิบกว่าปีเพียงเพราะคิดว่าสังคมภายนอกจะดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ "แต่ถ้าเจ้าคิดว่าถ้าวาดรูปแล้วจะอายุสั้นก็เอาเถอะ" แม่ทัพใหญ่เดินไปถึงห้องทำงาน ตรงไปที่ผ้าม่านที่รวบเอาไว้ข้างหน้าต่างบานใหญ่ ดึงเชือกเส้นใหญ่ที่แอบซ่อนเอาไว้ เพื่อดึงแผนที่ขนาดมหึมาลงมาจากกระบอกเก็บด้านบน ซึ่งแสดงรายละเอียดภูมิศาสตร์ และเขตแดนทางตะวันออกของมหาทวีปทั้งหมด

"เจ้าแผ่ขยายเมืองออกไปทางทิศใต้มากเกินไปแล้ว"

แผนที่นั้นถูกต่อเติมและเพิ่มรายละเอียดให้มีความเป็นปัจจุบันมากที่สุด โดยสังเกตได้จากสีที่ไม่สม่ำเสมอกันในแต่ละที่ ซึ่งส่วนต่อเติมมักจะมีสีที่สดกว่า และสิ่งที่เอเดรียนกำลังสนใจนั่นก็คือสัญลักษณ์ของเมืองและท่าเรือที่แผ่ขยายออกไปทางใต้เรียบชายฝั่งซึ่งมีส่วนติดกับป่าเวทมนตร์ และล่วงล้ำเข้าไปเขตของคัสนาห์ นี่คือแผนที่แสดงอำนาจของตระกูลฟลินทรัสต์ เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลผู้มีอิทธิพลทางการค้า

"เราจะต้องรบกับธีสธรัล..." ผู้เป็นพี่ไม่อ้อมค้อม "เจ้าคงจะเห็นการมาถึงของราชินีไวลด์แล้ว"

เอเรสจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย "ได้ชื่อว่าเป็นราชาโจรสลัด มีเรื่องเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าจะไม่รู้"

"ข้าเสนอให้ธีสธรัลจ่ายค่าธรรมเนียมจอดเรือให้เราตามที่ควรจะเป็น แต่พระนางลังเลเพราะเกรงว่าการตกลงยอมความจะทำให้ประชาชนของนางเกิดความไม่พอใจ" แม้จะได้ชื่อว่ารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องการเจรจานี้ เอเรสยอมรับว่าเขาเพิ่งได้ยินจากปากพี่ชาย "นางจึงปรับเปลี่ยนข้อเสนอเป็นการเหมาจ่ายค่าธรรมเนียมแบบรายปี โดยคลังหลวงธีสธรัลจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้เอง"

เอเรสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเริ่มคาดเดาได้ว่าราชินียื่นข้อเสนอใดกลับมา

"...แต่ข้าจะต้องสังหารท่านชายซินญอร์ และเป็นผู้นำอาเดรียเสียเอง" เอเดรียนกำหมัดแน่นครั้งหนึ่งด้วยความอึดอัด "พระนางร่างสัญญาข้อตกลงนี้ขึ้นมา เหลือเพียงการลงนามของข้า ปัญหาบาดหมางระหว่างเรากับธีสธรัลก็จะจบลง" ผู้เป็นน้องพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ตอบโต้ "แต่ราชินีก็แล่นเรือออกไปจากอ่าวออโรราแล้ว หลังจากรู้ข่าวการมาเยือนของท่านราชเลขาแห่งทารอธ"

"นางคงคิดว่าพี่ร่วมมือกับแอสทารอธแล้ว" เอเรสพึมพำ

"ท่านราชเลขามาเพื่อประกาศบทลงโทษในความผิดของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ที่ถูกคุมตัวอยู่ที่มหาคฤหาสน์" เมื่อพูดถึงเลสธีราห์ เอเดรียนก็คิดว่าตัวเองแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้ามากจนเกินไป ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างสักพักก่อนจะหันกลับมา "เหนือหัวดาเรียสให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้งด้วยการออกรบด้วยเรือเพียงลำเดียว"

เอเรสมุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจต่อคำสั่งของเหนือหัว...

นี่ต้องไม่ใช่คำสั่งธรรมดาตามความหมายของมันแน่นอน

เอเดรียนสูดหายใจเขาลึกๆครั้งหนึ่งแล้วค่อยๆผ่อนออกมา "เจ้ารู้เรื่องเลสธีราห์ด้วยใช่ไหม เอเรส" แม้จะพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงแล้ว แต่เอเดรียนรู้สึกได้ว่าน้องชายรู้ความเคลื่อนไหวของตนตลอดเวลา จนแทบจะเรียกได้ว่าจับตามองอยู่เลยก็ว่าได้ "เจ้ารู้ว่าผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์คือใครใช่ไหม"

"ธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์เป็นสิ่งที่นักเดินเรือทุกคนหวาดกลัว"

เอเรสยักไหล่ และพยายามหักห้ามไม่ให้ตัวเองเอ่ยแซวพี่ชาย "และผู้ที่สามารถใช้อำนาจของมันได้จะต้องผ่านการฝึกฝนตัวเองอย่างหนักในวิชา 'ฟังเสียงมหาสมุทร' ซึ่งนั่นจะทำให้เขาเข้าถึงจิตวิญญาณของท้องทะเลได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน" นัยน์ตาสีน้ำตาลเคลื่อนขึ้นมองสบกับพี่ชาย "แต่เมื่ออยู่บนบกแล้ว บุคคลผู้นั้นก็อาจเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง... ที่อาจจะดูสวย" ต่อให้พยายามห้ามใจสักแค่ไหน แต่เอเรสก็พบว่าตัวเองอดปากไม่ได้อยู่ดีซึ่งนั่นทำให้เอเดรียนหันมามองนิ่งๆเป็นเชิงเอ็ด ชายหนุ่มจึงพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยการเดินตรงไปที่แผนที่และไล่นิ้วไปตามท่าเรือใหม่ที่เกิดขึ้นในทางใต้แทน

"ฤดูค้าขายกำลังจะเริ่มต้น ดังนั้นพวกเขาจะกลับมาชุมนุมกันที่ท่าเรือเพื่อทำข้อตกลง"

เอเดรียนลืมสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาก่อนหน้าเสียจนเกือบหมด เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยในสิ่งที่เอเรสกำลังจะพูดต่อไป "ถ้าธีสธรัลจะทำสงคราม ข้าก็มีกำลังพลในมืออย่างน้อยห้าสิบลำ" ชายหนุ่มยิ้ม "อุ่นใจขึ้นมาบ้างหรือเปล่า" และก็อดทึ่งไม่ได้ที่อีกฝ่ายคาดเดาความคิดของเขาได้ถูกต้อง

"ข้าต้องการแค่... ช่วยเลสธีราห์" เอเดรียนพูดออกมา "ดูแลให้เขาปลอดภัย"

"แล้วพี่จะไปไหนเล่า"

"ข้าอาจจะต้องเลือกภักดีต่ออาเดรีย... มากกว่าท่านชาย" แม่ทัพใหญ่เลี่ยงตอบ "ความภักดีที่ข้ามี มันช่วยเหลืออาณาจักรได้จริงหรือ" เลสธีราห์เคยถามเช่นนี้กับเขา และชายหนุ่มก็เก็บมันมาพิจารณาอยู่ตลอด แม้จะรู้คำตอบตั้งแต่แรกว่ามันเป็นเพียงความกตัญญูที่ผิดพลาด แต่เอเดรียนก็ไม่เคยหักใจยอมรับได้ว่าบุคคลที่เขาเคารพนับถือมาตลอดชีวิตจะเป็นผู้นำที่ไม่เอาไหน

เอเรสอ้าปากน้อยๆก่อนจะยิ้มออกมา "แล้วพี่... ลงชื่อในสัญญาของธีสธรัลหรือยังล่ะ"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.2 [25-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-11-2016 08:22:42
ไม่นึกเลยว่าตอนเอเรสอยู่กับพี่จะดูน่ารัก  :ling1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-11-2016 13:57:45
ตอนที่ 22.2

เฟรดากลับมาที่เมืองหลวงหลังจากการดูแลพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บจากการประลอง และทำหน้าที่ในส่วนของผู้นำหน่วยลาดตระเวนชายแดนตะวันตกต่อหลังจากเหนือหัวดาเรียสมีคำสั่งให้สายลับเซนทอร์ทุกตนที่อยู่ในอาเดรียกลับมา แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงมาก่อนนั่นคือการขาดการติดต่อกับเมื่อหลวงเพียงหนึ่งสัปดาห์จะทำให้เรื่องบานปลายไปถึงขนาดนี้

"ข้าเป็นสายอยู่ในคฤหาสน์ราห์โมนา... เหตุใดจึงไม่ไถ่ถามข้าสักคำ!"

แน่นอนว่าการตัดสินใจของขุนนางถือเป็นที่สุด แต่เฟรดาก็อดประท้วงไม่ได้อยู่ดี และบุคคลเดียวที่นางจะโวยวายด้วยได้ในตอนนี้ก็คือรีดาห์ รองผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ "จริงอยู่ว่ามันคงเป็นวาระเร่งด่วน แต่อย่างน้อยก็ควรจะถามความเห็นจากสายสืบบ้าง แบบนี้จะส่งข้าไปเพื่ออะไร"

รีดาห์ถอนใจ "แต่ซาฮาลก็อยากจะช่วยเลสธีราห์... ให้เขาได้กลับมา..."

"เจ้าก็เข้าข้างหมอนั่น!" แม้ซาฮาลจะเป็นถึงว่าที่เหนือหัวแกห่งแอสทารอธ แต่สำหรับเฟรดาแล้ว ในตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังเป็นแค่ 'ว่าที่' อยู่ดี "เดินเชิดเหลือเกิน... คิดว่าความคิดของตัวเองถูกต้องและดีไปเสียหมด นี่ขนาดยังไม่ได้ขึ้นเป็นเหนือหัว หากได้ขึ้นปกครองแล้วจะมีใครบ้างที่ห้ามหมอนั่นได้บ้าง ความเป็นเซนทอร์เต็มเปี่ยมเสียขนาดนี้"

"แต่ข้าก็เห็นเขาว่าหวังดีจริงๆนี่นา" รีดาห์แก้ต่าง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจตัวเองว่าจะช่วยอีกฝ่ายทำไม

"รีดาห์" เฟรดาถอนใจ "พวกผู้ชายนี่มันไม่ละเอียดอ่อนเอาซะเลย!"

"หา... แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาว่าข้าแบบนั้น" เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้างเมื่อถูกหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแลบลิ้นใส่ "เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเลสธีราห์อยู่ในภาวะกดดันมาตลอดชีวิต เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองก็เท่านั้น ซาฮาลหวังดีก็เลยยื่นโอกาสนี้ให้ แม้ว่ามันจะดูโหดร้ายไปบ้างก็ตามที"

"เจ้าเคยถามไหมว่าจริงๆแล้วเลสธีราห์อยากพิสูจน์ตัวเองไปทำไม" เซนทอร์หญิงเลิกคิ้ว

"เพราะให้ได้รับการยอมรับในฐานะอัศวิน"

หญิงสาวส่ายหัวช้าๆ "เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนรอบตัวว่าเขามีตัวตนของตัวเองต่างหาก" เฟรดาถอนใจก่อนจะมองไปทางทิศใต้ซึ่งหมายถึงอาณาจักรอาเดรีย "ไม่ว่าจะในฐานะเซนทอร์หรืออะไรก็ตาม เขาแค่อยากได้รับการยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน"

"เช่นนั้น..."

"เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของเขา เหตุใดจึงไม่แปลกใจบ้างว่า ทำไมคนที่ชอบอยู่ในร่างมนุษย์อย่างเลสธีราห์ถึงถูกจับในร่างเซนทอร์ได้" รีดาห์มุ่นคิ้วเล็กน้อย และชะงักนิ่งไปสักพักเพราะเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย "ข้าอยู่ที่ราห์โมนา... รีดาห์... นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่มีใครถามความเห็นข้าเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ข้ารู้ว่าเลสธีราห์ทำสิ่งนั้นไปเพื่อใคร "

"ใครกัน"

"แม่ทัพเอเดรียน... คนที่ซาฮาลเสนอให้เลสธีราห์ฆ่าเขาเพื่อกลับมายังแอสทารอธ"

รีดาห์เบิกตาขึ้นพร้อมกับอ้าปากค้าง "เช่นนั้น..." รองผู้บัญชาการนิ่งอึ้ง เนื่องด้วยรู้จักนิสัยใจคอของเลสธีราห์ดี "เฟรดา! เจ้าต้องไปหยุดคนนำสารของแอสทารอธ เขาถือข้อตกลงของแอสทารอธกับธีสธรัลที่ลงนามพร้อมประทับตราของเหนือหัวดาเรียส ถ้าเลสธีราห์คิดจะขัดคำสั่งขึ้นมา แอสทารอธจะต้องไม่เสียหน้าจากกระดาษแผ่นเดียว ส่วนข้าจะไปเปลี่ยนผังติดตั้งปืนใหญ่ของเรือเซเลสต์" เซนทอร์ทั้งสองมองหน้ากันครั้งหนึ่ง แล้วจึงออกวิ่งไปด้วยกันโดยมีเป้าหมายคือเมืองท่ามารินา

เพราะเลสธีราห์...ไม่มีทางหันอาวุธใส่คนที่ตัวเองรักได้...

--------------------------------------------------

'เราจะเข้าร่วมกับธีสธรัล การทำศึกครั้งนี้ขอให้เจ้าทำลายอาเดรีย'

เหนือหัวดาเรียสไม่เคยเดินทางออกแอสทารอธไม่ว่าด้วยเหตุผลใด แต่กลับมาถึงที่นี่ด้วยตนเองทำให้ปัญหาของเลสธีราห์เป็นเรื่องใหญ่ที่เซนทอร์ทุกตนจับตามอง และแน่นอนว่าคำสั่งที่ปรากฎอยู่ในประกาศฉบับนั้นคือผลของการระดมความคิดและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนแล้วของขุนนางระดับสูงทั้งหมด และนับเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด

นี่คือการปกครองของเซนทอร์...

'ธีสธรัลจะต้องระดมกำลังพลมาที่อ่าวออโรราอย่างแน่นอน และนั่นคือกำลังสนับสนุนของเจ้า'

หากเขาสามารถทำตามความประสงค์ของสภาขุนนางได้ แอสทารอธจะสามารถยื่นข้อเสนอให้กับธีสธรัลได้ อันทำให้ได้มาซึ่งเรือจักรไอน้ำสิบลำที่จะทำให้กองเรือพาณิชย์ก้าวหน้าไปอีกขั้น และพัฒนาการค้าขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งเลสธีราห์ก็จะมีความดีความชอบมากพอที่จะกลับไปนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์ ตลอดจนได้รับการยอมรับจากเซนทอร์ตนอื่นว่าเขามีความสามารถพอ หาใช่เพราะเส้นสายและความสนิทสนมส่วนตัวของราชเลขาและเหนือหัว ดั่งคำครหาที่ชายหนุ่มพบเจอมาตลอดชีวิต

แต่เลสธีราห์กลับไม่รู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสครั้งนี้เลย

ภารกิจนี้ไม่ใช่เพียงแค่ต้องหันหลังให้กับเอเดรียน แต่มันคือการย้อนกลับมาทำลายอีกฝ่ายด้วย ต่อให้คำสั่งของเหนือหัวดาเรียสถือเป็นคำขาดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่มันก็เป็นคำสั่งที่เลสธีราห์ไม่คิดจะปฏิบัติตามเลยแม้แต่น้อย

ร่างโปร่งกำหมัดแน่น ขณะเดินกลับมายังคฤหาสน์ราห์โมนาอันเป็นที่พักของแม่ทัพใหญ่ หลังจากขออนุญาตมารดาและเหนือหัวปลีกตัวออกมาสักพัก ทางอาเดรียจัดเตรียมที่พักรับรองอย่างดีเอาไว้ให้ราชเลขา แต่นางก็ปฏิเสธน้ำใจอย่างนิ่มนวล ด้วยไม่ต้องการทิ้งเหนือหัวของตนเอาไว้ตามลำพังที่ราชรถ เพราะผู้นำเซนทอร์ไม่เดินออกไปไหน ดังนั้นราชเลขาจึงมีหน้าที่ดูแลอยู่ใกล้ๆในฐานะคนสนิท

แน่นอนว่าด้วยความเป็นสตรี ลีอาห์อาจต้องออกมายืนหลับอยู่ข้างราชรถเพื่อความบริสุทธิ์ใจ

ซึ่งการยืนหลับนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเซนทอร์เลย

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์จำเลสธีราห์ได้จากลักษณะการแต่งตัวและรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างจากคนอื่น และพวกเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเซนทอร์ ดังนั้นการจะปล่อยให้เขาเดินเข้าไปด้านในง่ายๆคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ "ขออภัย ท่านเลสธีราห์... แต่ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่มีคำสั่งให้ท่านเข้าพบ" เลสธีราห์สูดหายใจช้าๆและหยุดนิ่งอยู่ที่ประตูรั้วของคฤหาสน์อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

"แล้วท่านแม่ทัพอยู่ไหนกัน"

"เขาไม่ได้กลับมาที่นี่หลายวันแล้ว..." เซนทอร์หนุ่มเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น และหันกลับไปมองมหาคฤหาสน์ที่อยู่ตั้งเด่นอยู่ในเขตปราการชั้นในซึ่งเป็นใจกลางของอาณาจักรอาเดรีย "ไม่มีใครอยู่ที่นี่ ท่านเลสธีราห์ ทั้งท่านโจฮาล และท่านจาเร็ตต์ก็ออกไปหมด เราจึงไม่อาจปล่อยให้ท่านเข้าไปด้านในได้" เลสธีราห์แค่นหัวเราะสั้นๆและคิดว่าเขาควรจะกลับไปที่มหาคฤหาสน์คงจะดีกว่า เอเดรียนอาจจะวุ่นวายกับการเตรียมกองทัพเพื่อออกรบจนไม่มีเวลาว่างมาสนทนากับเขาก็เป็นได้

แม้ว่ามันอาจจะเป็นการสนทนาครั้งสุดท้ายก็ตาม...

แต่เสียงกีบเท้าของม้าที่วิ่งมาจากไกลๆก็ทำให้เซนทอร์หันไปมอง เขาจำได้ว่ามันเป็นวิธีการวิ่งของม้าศึกคู่ใจของจาเร็ตต์ "เลสธีราห์...!" แต่คนที่ควบขี่มันมากลับเป็นแม่ทัพใหญ่ เขากระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับอาการหอบ บอกได้ว่าอีกฝ่ายรีบกลับมาที่นี่ทันทีที่รู้ว่าเลสธีราห์ไม่อยู่ที่มหาคฤหาสน์อีกต่อไป เอเดรียนส่งเชือกจูงม้าให้กับองครักษ์ยาม ก่อนจะหันมาหาคนข้างกาย

"เจ้ามาที่นี่..."

"ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับมาที่นี่"

เซนทอร์หนุ่มพึมพำ "พรุ่งนี้ข้าต้องกลับแอสทารอธแล้ว คงจะ..." เขาพูดต่อไม่ได้ เลสธีราห์คิดไม่ออกว่าตนควรจะพูดอะไร หรือพูดอย่างไรกับเอเดรียน เขาจะต้องกลับไปหาพวกพ้องของเขา กลับไปอยู่ในที่ที่ควรจะเป็นของตน และคงจะกลับมาพบกับเอเดรียนด้วยความรู้สึกเดิมไม่ได้อีก

"คงจะไม่ได้กลับมา..."

ต่อให้เอเดรียนจะเคยพูดไว้ว่าจะรอเขาอยู่ที่จุดนัดพบเดิมทุกวัน แต่หากเลสธีราห์ได้กลับไปแอสทารอธจริงๆ เอเดรียนอาจไม่มีชีวิตอยู่เพื่อทำแบบนั้นอีกแล้ว "ข้าอยากพบเจ้า" น้ำเสียงของเซนทอร์สั่นไหว เอเดรียนที่สัมผัสถึงความกดดันของอีกฝ่ายได้ดีจึงคว้าแขนคู่สนทนาพาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ตรงไปยังห้องพักของเขาเพื่อความเป็นส่วนตัว และหลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่นๆ

ผิวของเลสธีราห์เย็นจากการที่เดินตากลม เอเดรียนจึงถอดผ้าคลุมไหล่ของตนออกคลุมให้

"เดินกลับมาถึงนี่โดยไม่มีเสื้อสักตัว ประเดี๋ยวจะป่วยเอา" เอเดรียนแตะมือกับลำคอของคนตรงหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายสบายดี แต่เพียงเท่านั้น ลมหายใจของเซนทอร์หนุ่มก็ติดขัดราวกับสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้สุดกำลัง เลสธีราห์ยกมือขึ้นวางบนมือใหญ่ และกอบกุมเอาไว้อย่างนั้น

เอเดรียนจับมือตอบพร้อมกับทอดยิ้มจาง แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ก็ตาม

"แค่เจ้าอยากพบข้า... ก็ดีใจมากแล้ว"

"เจ้าไม่เข้าใจ" เซนทอร์พึมพำ อีกฝ่ายไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงอยากพบอีกสักครั้ง หรืออยากสนทนาด้วยอีกสักคำ เอเดรียนไม่เข้าใจว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกที่ยังเหมือนเดิม "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่ทำแบบนี้" เลสธีราห์หลับตา ซบหน้าลงกับบ่ากว้างอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สองมือเรียวค่อยๆเคลื่อนขึ้นโอบกอดรอลำคอหนาเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว

"จะไม่ตอบรับคำชวนของเจ้าตั้งแต่แรก... เพื่อจะมาถึงวันนี้"

เขาจะไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับอีกฝ่ายจนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ตัดขาดจากกันไม่ได้แบบนี้ เขาจะเป็นพรานป่าลึกลับต่อไปและเฝ้ามองเอเดรียนโดยที่ไม่มีเยื่อใยต่อกันแบบนี้ "แต่หากย้อนเวลาได้ ข้าก็จะทำเหมือนเดิม" ทว่าเอเดรียนกลับคิดต่างออกไป เพราะเขามีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิด และรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นต่อให้เขาเลือกได้อีกสักกี่ครั้ง เอเดรียนคิดว่าตนคงจะทำเหมือนเดิม

"สิ่งเดียวข้าอยากแก้ไข คือการไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแต่แรกที่ทุ่งแห่งนั้น"

มืออีกข้างของชายหนุ่มเอื้อมขึ้นมาลูบผมสีอ่อนแผ่วเบา และจับปอยเล็กๆขึ้นทัดหูเพื่อให้เห็นใบหน้าของคู่สนทนาชัดขึ้น "ข้าจะได้อยู่กับเจ้านานขึ้นอีกสักนิด" ต่อให้อยากจะย้อนกลับไปว่าเอเดรียนช่างปากหวานจนเลี่ยน แต่เลสธีราห์ก็ทำได้แค่หัวเราะออกมาสั้นๆด้วยความยินดีที่ได้ยิน "ต่อให้ไม่อยากปล่อยมือ... แต่ถ้าจากกันด้วยดีข้าก็คิดว่ามันคงจะดีกว่า"

ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ก่อนจะหลบสายตา

"ข้าอยากให้เจ้ากลับไป" ร่างสูงว่า "เจ้าควรจะมีชีวิตอยู่ในที่ที่เป็นของเจ้า" น้ำเสียงของเอเดรียนอ่อนโยน และขณะที่อีกฝ่ายพูดก็ยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้เหมือน "เหนือหัวมีความเมตตา เขาจึงให้โอกาสนี้กับเจ้า เจ้าจึงควรกลับไป เลสธีราห์"

"แต่เจ้า..." เลสธีราห์กัดฟัน "แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป"

"ข้าจะกลับไปหาเจ้า" เอเดรียนยิ้มจาง "เมื่อข้ามีเกียรติมากพอที่ทำให้เจ้าภูมิใจ" เพียงแค่คิด เลสธีราห์ก็รู้สึกเจ็บในอกจนแทบทนไม่ได้ เขาหลับตาและก้มลงซบหน้ากับแผ่นอกกว้าง และนิ่งฟังหัวใจของอีกฝ่ายเต้นซึ่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับไม่รู้ชะตากรรมตนเอง อีกทั้งยังลูบผมสีอ่อนปลอบประโลมอีกด้วย  "ไม่ว่าเจ้าจะกลัวอะไร ข้ายังอยู่ข้างเจ้าเสมอ" เสียงทุ้มกระซิบบอก และจรดริมฝีปากจูบข้างขมับช้าๆ ความคิดฟุ้งซ่านและวุ่นวายที่อยู่ในหัวของเลสธีราห์ก่อนหน้านี้เลือนหายไปจนหมด เหลือแต่ความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยทว่าไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน ทั้งที่ไม่ได้ห่างหายจากกันไปเป็นเดือนเป็นปี

"ข้ารักเจ้า... เลสธีราห์"

เลสธีราห์ยอมรับคำสารภาพเอาไว้ ก่อนจะซุกหน้ากับอกกว้างด้วยความเต็มใจ ทั้งที่ใจหนึ่งของเขากำลังตะโกนบอกเตือนสติตัวเองอยู่ว่าเอเดรียนเป็นมนุษย์ และไม่สามารถทิ้งหน้าที่มาเพื่อเขาได้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่สามารถทิ้งภาระของตนลงเพื่อไปหาอีกฝ่ายได้เช่นกัน แต่ใจที่หนักแน่นกว่ากลับเมินเฉยเสียงเล็กๆน่ารำคาญ เลสธีราห์เพียงแค่ต้องการสิ่งนี้... เขาแค่ต้องการวงแขนที่อบอุ่นและแข็งแกร่งพอมาโอบกอดเขาไว้

ไม่ใช่ชื่อเสียงและเกียรติยศนอกกายที่ต้องแลกด้วยใจอันเจ็บปวด

...เขาต้องการเพียงแค่เอเดรียนเท่านั้น

หากเขาเลือกเอเดรียนได้ เขาก็คงไม่ลังเล แต่สิ่งที่ชายหนุ่มเป็นในตอนนี้คือคนที่เลือกอะไรไม่ได้ เพราะทุกอย่างถูปูทางเอาไว้หมดแล้ว เขามีหน้าที่เพียงแค่เดินตามเท่านั้น เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร อันเป็นเกียรติที่เซนทอร์ตนหนึ่งควรจะภูมิใจ

แต่การมีชีวิตเพื่อผู้อื่นแบบนี้มันมีความสุขจริงหรือ...

มือเรียวยกขึ้นแตะเสี้ยวหน้าของคนพูด "เอเดรียน..." ร่างโปร่งรั้งอีกฝ่ายเข้ามาหาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของทั้งคู่ ก่อนที่ริมฝีปากบางแตะแนบอีกฝ่ายและกดจูบช้าๆอ้อยอิ่ง แขนเรียวเคลื่อนขึ้นไปโอบกอดรอบลำคอแกร่งและเหนี่ยวรั้งให้รับจุมพิตที่รุนแรงขึ้นด้วยความปรารถนา ลิ้นอุ่นร้อนแลกรสชาติกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหิวกระหาย ขณะที่ร่างกายพยายามเบียดเข้าแนบชิดจนแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างกัน ลมหายที่ไม่ค่อยเป็นจังหวะบ่งบอกได้ถึงความปรารถนาที่ก่อตัวขึ้นมาในสถานการณ์ไม่ค่อยเหมาะสม ที่นี่คือห้องพักของแม่ทัพใหญ่ และบรรยากาศทั้งหมดทั้งปวงก็ไม่เอื้ออำนวยให้คู่รัก

"เลสธีราห์..."

เอเดรียนดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ ทว่าลมหายใจสั่นพร่าก็ยังยากจะควบคุม เขาพยายามจะคลายวงแขนจากเอวคอด แต่อีกฝ่ายกลับรั้งมันเอาไว้โดยที่ไม่ยอมมองสบตา ราวกับชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป "ถ้าเจ้าไม่ห้ามข้า..." เอเดรียนแนบหน้าผากของตนเองกับอีกฝ่าย "ข้าก็ห้ามตัวเองไม่ได้หรอกนะ"

"ลืมสักพักได้ไหมว่าเราเป็นใคร" ร่างโปร่งกล่าวตอบ "เป็นแค่เจ้ากับข้าได้ไหม ในตอนนี้"

พวกเขาแนบริมฝีปากหากันอย่างโหยหา รุนแรงขึ้นอย่างไม่คิดจะหักห้ามตัวเองอีกต่อไป ผ้าคลุมไหล่สีเข้มถูกปลดออกอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนไปแหวกสาบเสื้อออก ขณะที่ตัวเองถูกดันให้ก้าวถอยไปถึงโต๊ะทำงานด้านหลัง แผ่นหลังโปร่งนอนแนบลงกับเนื้อไม้ ริมฝีปากยังไม่แยกห่างจากรสจูบที่ดูดดึง อิงแอบ แนบชิดคลอเคลียกันไม่ห่าง

เอเดรียนก้มลงจูบที่กลางอกเปลือย และลากไล้ลมหายใจยั่วเย้าให้ร่างเบื้องใต้สั่นสะท้าน ขณะที่มือใหญ่เคลื่อนลงต่ำและกอบกุมส่วนอ่อนไหวเอาไว้อย่างถะนุถนอม ริมฝีปากอุ่นสัมผัสไปตามกล้ามเนื้อหน้าท้องที่หดเกร็งกระตุกสั่น ก่อนที่จะครอบครองร่างกายอีกฝ่ายเอาไว้ในโพรงปาก ปล่อยให้เสียงลมหายใจขาดห้วงดังสะท้อนไปทั่วห้อง

"..อือ...!"

จังหวะของคนตรงหน้าทำให้ทั้งร่างขยับเคลื่อนตามอย่างควบคุมไม่ได้ อีกทั้งไม่ได้เร่งร้อนล่วงเข้ามาภายในอย่างที่เคยทำ ครั้งนี้เอเดรียนอ่อนโยนและใจเย็นกว่าทุกครั้ง และนั่นก็ทำให้เลสธีราห์ยิ่งปฏิเสธไม่ได้สักอึดใจ "อ... เอเดรียน..." ร่างโปร่งยกมือขึ้นปิดหน้า เขาจนมุมต่ออีกฝ่าย และรู้สึกแพ้พ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

คนถูกเรียกยืดตัวขึ้นและจูบขมับชื้นเหงื่อแผ่วเบาเป็นเชิงปลอมประโลม และหลังจากนั้นจึงแตะร่างของตนกับช่องทาง ก่อนจะกดล้ำเข้ามาอย่างสุดจะกลั้นได้อีกต่อไป "อะ...!!" ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงขึ้นพร้อมกับท่อนแขนที่กระหวัดเกี่ยวกอดหาหลักพยุง ท่อนขาเรียวขยับเกร็งและจิกเล็บอยู่กลางอากาศอย่างควบคุมไม่ได้ เขารับรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่ายที่ฝังลึกอยู่ในร่าง รับรู้ถึงแรงอารมณ์ที่ต้องการระบายออก

"อื้อ...!"

เปลือกตาบางปิดแน่นเมื่อร่างเบื้องบนเริ่มขยับ ลมหายใจขาดห้วงไม่เป็นจังหวะดังก้องไปทั่วห้องสลับกับเสียงครางด้วยความสุขสมและจังหวะที่ผิวกายกระทบกระแทก เขาแอ่นกายขึ้นรับแรงอารมณ์ที่ดุดันยิ่งขึ้นของผู้รุกราน และยอมสอดประสานมือกับอีกฝ่ายที่กอบกุมบีบกดราวให้กำลังใจ

"เจ้าไม่จำเป็นต้องกลั้นแบบนั้น เลส..."

กายแกร่งกระทั้นดันลึกเข้ามาภายใน และสัมผัสจุดอ่อนไหวจนทั้งร่างกระสันเกร็ง "อือ!!"

"ตอนนี้มีแค่ข้ากับเจ้าเท่านั้น" ยิ่งเขาส่งเสียงครางครือไม่แน่ชัด เบื้องบนก็ยิ่งเพิ่มกำลังราวกลั่นแกล้ง เขาจิกเล็บกับท่อนแขนตรงหน้า ใบหน้าที่แดงซ่านอับอายเอียงหลบสายตาที่พิจารณาหลงใหล ภาพตรงหน้าของเลสธีราห์พร่ามัว ด้วยแรงอารมณ์ที่ถ่าโถมทำให้เขาใกล้จะถึงจุด และหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกนอกจากท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว

กับความรู้สึกที่เหมือนกับได้รับการเติมเต็ม

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


สิ่งที่ยากกว่าการเขียนเรทคือการเลือกไม่ได้ว่าจะเตียงหรือโต๊ะหรือโซฟา  :hao3:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.2 [25-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 28-11-2016 14:48:32
เป็นบทรักที่เศร้าจังฮือออออ เดาวัรต่อไปของทั้งคู่ไม่ออกเลยค่ะว่าจะหวานซึ้งต่อไปหรือเจ็บปวดกับการต้องแยกจาก  :hao5:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.2 [28-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 28-11-2016 20:39:25
โต๊ะทำงานก็เร่าร้อนดีนะคะ //ผิด
เมื่อไรเขาจะได้อยู่ด้วยกันคะ  :o12:
เราสังเกตุเห็นว่าคำว่า สาร น่าจะเป็น สาส์นมากกว่าหรือเปล่าคะ? ถ้าเราผิดต้องขออภัย
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.2 [28-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 28-11-2016 20:46:40
โต๊ะทำงานก็เร่าร้อนดีนะคะ //ผิด
เมื่อไรเขาจะได้อยู่ด้วยกันคะ  :o12:
เราสังเกตุเห็นว่าคำว่า สาร น่าจะเป็น สาส์นมากกว่าหรือเปล่าคะ? ถ้าเราผิดต้องขออภัย

ตามพจนานุกรมไม่มี สาส์น จ้า มีแต่ "สาสน์" เน่อ (ซึ่งอ่านว่าสาด... ซึ่งฮาร์ดคอมาก 555)
จริงๆ สาสน์ ก็หมายถึงพวก... จดหมายทางราชการของผู้นำนะ

แต่ที่ใช้สารนี่คือติดมาจาก การส่งสารของคนทั่วไป ...ในกรณีนี้ที่เหนือหัวเขียนเองก็ควรใช้ สาสน์ เน้าะ

ขอบคุณที่ช่วยดูค่า >___<

ปล. ช่วยกันตีความราชบัณฑิต
http://www.royin.go.th/?knowledges=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3 (http://www.royin.go.th/?knowledges=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.2 [28-11-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-11-2016 02:04:30
อื้อออซึ้งอบอุ่นเติมเต็มคลอความเศร้า >//< TT //จากนี้ไปห่างไกลกันจะเกิดไรขึ้นบ้าง จะเลือกทางไหนยังไงเดาไม่ถูกเลย เอเดรียนคิดจะตกลงกับธีรัลโดยฆ่าท่านซินญอร์แล้วตั้งตัวเองเป็นผู้นำ เอเดรียเป็นอิสระได้ค่าธรรมเนียมเรือ+ไม่เกิดสงคราม แต่แอสทารอธคิดจะร่วมมือกับธีรัล ธีรัลจะเลือกทางไหน ถ้าเลือกแอสทารอธ เสียเรือไอน้ำแต่ได้ถล่มอาเดรีย กลับกันถ้าเอเดรียนโอเค ก็ไม่เกิดสงคราม ถึงจะเสียค่าธรรมเนียมเรือแต่ก็ได้หัวท่านซินญอร์ พอไม่เกิดสงคราม ทีนี้ละแอสทารอธจะทำไง เลสจะยังไง แต่ทำใจไม่ค่อยได้เลยถ้าเอเดรียนจะเอาหัวท่านซินญอร์ไปให้ธีรัลจริงๆ มันมีทางออกไหม ก็ไม่ลงนามปล่อยให้เกิดสงคราม อืมมมตามจริงก็อยากให้เกิดสงครามนะ แต่ว่ากดดันแทนเลสชิบหาย อาเดรียจะมั่นใจได้ขนาดไหนว่าจะไม่พัง โว้ยยยยยยยยคิดไม่ออกบอกไม่ถูก ทำได้แต่รอไรท์มาต่อละค่ะ เครียดดดดดดดด 5555555555555555 รอๆค่ะ อยากร่วมสงครามละ 555
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 23.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 13-12-2016 08:30:12
ตอนที่ 23.1

ผู้นำหญิงกำลังให้อาหารนกในกรง ขณะที่แม่ทัพเรือเข้ามาพบ

"พระนาง... กำลังพลของเวเรนเซียพร้อมแล้ว"

ถึงแม้ว่านางจะไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นแต่อย่างไรมันก็คือการท้าทายมหาอำนาจอย่างหนึ่ง อาเดรียที่เป็นเมืองขึ้นธรรมดาจะหาญกล้าต่อกรกับธีสธรัลซึ่งเป็นมหาอำนาจอย่างนั้นหรือ อย่างนี้เมืองขึ้นอื่นของนางก็จะไม่พากันตีตนออกห่างหรืออย่างไร และสิ่งที่มหาอำนาจควรทำนั่นก็คือการประกาศความยิ่งใหญ่ให้ศัตรูได้จดจำอีกครั้ง

แม่ทัพเรือพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของนาง "ครั้งนี้ข้าระดมเรือรบหนึ่งร้อยลำ กับ..."

"เอาเรือเหล็กออกมา" ผู้นำอาณาจักรสั่งเสียงเรียบ "แบ่งกองเรือออกเป็นสองส่วน เท่านี้คงเข้าใจความคิดข้าใช่ไหม" แววตาดุดันเฉียบคมของราชินีเหลือบมองผู้นำนักรบที่รอรับคำสั่งอยู่เบื้องหลัง "แอสทารอธไม่ส่งเซเลสต์ออกรบทั้งหมดหรอก และเรือของพวกเขาก็ล้วนเป็นเรือไม้..."

"เช่นนั้น ข้าจะนำเรือเหล็กฝ่าเข้าไปในวงล้อม" แม่ทัพเรือพยักหน้าตาม "เข้าใจแล้วขอรับ"

"ระวังแอควาเรียร์ด้วย... ธนูแหวกสมุทรนั่นอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่าสิ่งใด"

แม้จะไม่เคยเห็นอำนาจของแอควาเรียร์โดยตรง แต่จากประสบการณ์ที่ได้เห็นพลังของธนูเอลฟ์ ราชินีแห่งธีสธรัลก็ตัดสินว่าอาวุธเหล่านั้นเป็นอาวุธที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร และมันมักสร้างความเสียหายอย่างไม่น่าเชื่อเสียด้วย

ใจของผู้นำหญิงไม่เคยต้องการสงคราม แต่นางก็ไม่อาจโอนอ่อนตามข้อเสนอของอาเดรียได้ทั้งหมด มิเช่นนั้นแล้วผู้ที่ถูกเพ่งเล็งและสั่นคลอนอาจเป็นตัวนางเอง ประชาชนของนางคงไม่ยินยอมหากธีสธรัลที่เคยรุ่งเรืองและมีอำนาจต้องก้มหัวให้กับเมืองขึ้นอย่างอาเดรีย นางคิดว่านางทำดีที่สุดแล้วในการเจรจา แต่ดูเหมือนว่าอาเดรียจะปรารถนาสงครามมากกว่า ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

ถึงแม้จะรู้แก่ใจว่าการที่อาเดรียมั่นอกมั่นใจมากขนาดนี้ก็เพราะมีแอสทารอธหนุนหลัง แต่ราชินีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะถ้าหากเมืองขึ้นอื่นรู้ว่านางอ่อนยอม พวกเขาเหล่านั้นจะไม่รวมหัวกันแล้วแว้งกันเมืองแม่อย่างธีสธรัลหรือไร

สงครามนี้จึงเป็นการประกาศอำนาจของธีสธรัล แม้ว่าจะไม่มีใครอยากสูญเสียอีกแล้วก็ตาม

--------------------------------------------------

คนหลายคนอาจรู้สึกดีที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าอันหมายถึงการเริ่มต้นวันใหม่อีกวันหนึ่ง แต่สำหรับเลสธีราห์แล้ว เขากลับคิดว่ายามเช้ามาถึงเร็วจนเกินไปทั้งที่เพิ่งจะหลับตานอนไปได้ไม่นาน อีกทั้งยังเป็นวันใหม่ที่เขาไม่เคยต้องการให้มาถึงอีกด้วย ร่างโปร่งปรือตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเหล่านกส่งเสียงร้องอยู่ข้างหน้าตา ก่อนจะสูดหายใจลึกๆและถอดถอนออกมาด้วยความไม่สบายใจ  เซนทอร์หนุ่มรู้สึกได้ว่าคนข้างกายยังหลับสนิท และวางแขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนเอวของเขาราวกับโอบกอด ซึ่งแม้จะเป็นสัมผัสที่ไม่ได้ใกล้ชิดมากมาย แต่ร่างโปร่งก็ลอบยิ้มกับตัวเองด้วยความยินดี

พวกเขาห่างเหินจากกันจนแทบจะลืมไปแล้วว่าความรู้สึกใกล้ชิดนั้นเป็นอย่างไร

หากเป็นไปได้ก็อยากจะหลับตาลงและจมอยู่ในวงแขนตรงหน้าให้อีกสักพัก หรือหากหยุดเวลาเอาไว้ได้ก็คงจะดีกว่าด้วยซ้ำไป เลสธีราห์เงยขึ้นมองใบหน้าคมที่ยังหลับใหลและทอดหายใจสม่ำเสมอ หยุดพิจารณาและจดจำลักษณะของคนตรงหน้าในเวลาที่พวกเขายังมีความรู้สึกดีต่อกัน ก่อนจะจรดปลายจมูกของตนกับอีกฝ่ายและลังเลที่จะจูบริมฝีปากนั้นเบาๆเป็นครั้งสุดท้าย

เขาควรจะไป... ไม่ควรเสียเวลาร่ำลาอาวรณ์แบบนี้

เซนทอร์หนุ่มหลับตาลงและถอยออกจากวงแขนแกร่ง แต่ทันทีที่ขยับตัว เอเดรียนก็กอดเอวของเขาแน่ขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายแนบริมฝีปากจูบคนตรงหน้าด้วยตัวเอง "อือ...!" นัยน์ตาสีฟ้าเบิกขึ้นด้วยความตกใจ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการแตะริมฝีปากเบาๆอย่างอ่อนโยน แต่เลสธีราห์ก็ประหลาดใจที่เขาไม่รู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว

เอเดรียนลืมตาขึ้นมองสบก่อนจะแนบหน้าผากของตนกับอีกฝ่าย "คิดว่าข้าไม่รู้สึกตัวรึ"

"ก็..." เซนทอร์รู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง แต่เขากลับไม่นึกโกรธ "ลมหายใจเจ้าปกติดี"

แม่ทัพหนุ่มหัวเราะลงคอ "ถ้าเจ้าตื่นเพราะเสียงนก ข้าก็ตื่นเพราะเสียงถอนหายใจของเจ้า" ร่างสูงหลับตาลง และค่อยๆคลายวงแขนออกด้วยรู้ว่าพวกเขาไม่มีเวลาพูดคุยกันมาก เลสธีราห์จะต้องเดินทางกลับแอสทารอธ กลับไปในที่ของตนที่ได้จากมา ...ซึ่งอาจหมายถึงการไปจากเขาตลอดกาล ดวงตาของพวกเขามองสบกันอีกครั้งและสัมผัสได้ถึงความโหยหาซึ่งกันและกัน แต่แม้จะอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ต่างฝ่ายก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถเอื้อมมือไปไขว่คว้าคนตรงหน้าได้ แม้จะอยากประคองใบหน้าเข้ามาจูบอีกสักครั้งก็คงจะเป็นการเสียเวลาและยิ่งทำให้การจากลายากขึ้น

เอเดรียนเป็นฝ่ายลุกขึ้นจากเตียงก่อน เขาหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้น ละไปยังโต๊ะทำงานที่ข้าวของทุกอย่างถูกกวาดออกไปให้พ้นทางเมื่อคืนที่ผ่านมา และกระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้อง แต่แม่ทัพใหญ่ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะก้มเก็บ "..." ร่างสูงวางพาดเสื้อผ้าบนพนักเก้าอี้และพยายามจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่กลับรู้ว่าควรจะกล่าวอะไร เขาจึงผละไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดใหม่ออกมาแทน

"ข้าไม่มีชุดแบบที่เจ้าชอบใส่ แต่ว่า..." เซนทอร์ไม่นิยมสวมเสื้อ เอเดรียนจึงหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งออกมาแทน "เผื่อว่าอากาศจะหนาว เจ้าอาจต้องการผ้าห่ม" เลสธีราห์โคลงหัวเล็กน้อยแล้วจึงลุกขึ้นมาจากเตียงบ้าง เอเดรียนหันมาหาคู่สนทนาและคลี่ผ้าคลุมไหล่ของตนออกให้อีกฝ่ายดู "ผืนนี้อุ่นมาก..."

เซนทอร์หนุ่มรับมันมาถือไว้ หลังจากเห็นว่ามันเป็นผ้าผืนที่เอเดรียนชอบที่สุด

"ข้าคงได้ใช้มัน"

บทสนทาของพวกเขาสั้น ด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หรือทำอะไรต่อไป ...จะดีแค่ไหนถ้าพวกเขาทั้งคู่อยู่ในสถานะที่ต่างจากนี้ จะดีแค่ไหนถ้าการตื่นนอนมาพบหน้ากันเป็นความสงบสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ตื่นมาเพื่อบอกลาเช่นนี้ "ข้าต้องไปแล้ว" ร่างโปร่งพึมพำ ขณะคลุมผ้าสีเข้มที่เคยเป็นสมบัติชิ้นโปรดของเอเดรียนกับบ่าของตน "หากรีรอ... คงจะไม่ดีนัก"

...ทำไมช่วงเวลาสงบสุขจึงได้สั้นเสียจริง

"ไปเถอะ" เอเดรียนทอดยิ้มจาง พยายามบังคับให้ตัวเองใจแข็งพอที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป "ท่านราชเลขารอเจ้าอยู่" เลสธีราห์เป็นเซนทอร์ และเขาควรจะอยู่กับพวกพ้องของตนที่แอสทารอธ เอเดรียนย้ำกับตัวเองด้วยคำนั้น เพื่อปลอบโยนตัวเอง และทบทวนสถานะของเขากับเลสธีราห์ ว่าแม้ครั้งหน้าจะได้พบกัน ก็คงไม่อาจได้อยู่ใกล้แบบนี้อีก

ข้ารักเจ้า เลสธีราห์...

...แต่เขาไม่ได้พูดมันอีก และเฝ้ามองแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายออกไปจากห้องด้วยหัวใจหนักอึ้ง

--------------------------------------------------


หนีไปรับปริญญา (ใบที่ 2) มาค่ะ OTL เหนื่อยมวากกก... เลยอู้ด้วย 1 อาทิตย์ แฮ่ะๆๆ
//เปิดมาก็ดราม่ามาเลย
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 23.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 15-12-2016 08:32:41
ตอนที่ 23.2

จาเร็ตต์มองการตกแต่งภายอันโอ่อ่าในของคฤหาสน์ฟลินทรัสต์ขณะที่เดินตามเจ้าของบ้านไปตามทางเดิน ภายในบ้านหลังนี้มีรูปสลักที่ทำจากไม้ ภาพวาดบนผนังที่แสดงถึงสงครามกลางทะเล การปะทะของเรือพายโบราณและการพุ่งอาวุธเข้าหากันอย่างดุเดือด  มีภาพการต่อสู้บนหลังม้าในสนามรบ ล้วนแล้วแต่แสดงถึงอานุภาพของอาวุธหลากหลายชนิด

อาวุธจริงที่ใช้ตกแต่งบนผนังเรียงรายตามทางเดินสามารถหยิบจัดขึ้นมาใช้งานได้ทุกชิ้นตั้งแต่ดาบ ขวาน หอก ทวน ง้าว เคียว หลากหลายชนิดและรูปร่างสุดจินตนาการ นี่คือบ้านของตระกูลที่เคยมีอิทธิพลในตลาดค้าอาวุธมาก แต่เมื่อผู้นำตระกูลถูกลอบสังหาร บุตรชายคนแรกของเขาก็วางมือและทิ้งซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก่อนจะหายตัวไป... และรับใช้อาณาจักรในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จนถึงทุกวันนี้

แต่คนตรงหน้าเขาเอเรส ฟลินทรัสต์... กลับผันตัวมาเป็นผู้มีอิทธิพลทางทะเลแทน

อันหมายถึงการควบคุมเหล่าโจรสลัดแห่งเทเทส

"เหตุใดจึงต้องปั้นหน้านิ่งขนาดนั้นด้วย ไม่น่ามองเอาเสียเลย" เอเรสยิ้มเล่นหัวขณะนำทางอีกฝ่ายขึ้นไปยังห้องทำงาน หลังจากพูดคุยกับพี่ชายสั้นๆเมื่อวานนี้แล้ว เอเดรียนก็กล่าวว่าเขาจะส่งเลขาของตนมาทำหน้าที่ต่อซึ่งหมายถึงการหารือแผนการสู้รบของระหว่างแม่ทัพเอเดรียน และท่านชายซินญอร์เอง "หากเจ้ายิ้มเสียบ้าง วันที่น่าเบื่อนี่ก็คงจะสดใสขึ้นมาเลยเชียว"

"...ตอนนี้บ้านเมืองเรากำลังตึงเครียดอยู่นะ"

"ข้าเคยเครียดกับอาเดรียหรืออย่างไร" เอเรสแค่นหัวเราะ "เจ้าไม่สบายใจขึ้นมาสักนิดเลยหรือ ที่ในที่สุดพี่ชายข้าก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไร" นัยน์ตาสีเข้มที่ถอดแบบมาจากพี่ชายหรี่ลงและเหลือบมองคู่สนทนา "เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของอาเดรีย" เอเรสเป็นผู้นำของเหล่าโจรสลัดและน่ากลัวเสียยิ่งกว่าการมีอิทธิเพียงแค่ในตลาดค้าอาวุธ พวกเขาไม่ค้าขายอย่างเป็นธรรมอีกต่อไป แต่ฉกขโมยช่วงชิงสิ่งที่ต้องการมาด้วยกำลัง

จาเร็ตต์ถอนใจเบา "ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะง่าย"

"ข้ารับผิดชอบเรื่องสงครามทางทะเลเอง และอีกอย่าง... เอเดรียนก็มีหนทางพูดคุยกับธีสธรัลแล้ว ตอนนี้เจ้าแค่ห่วงเรื่องภายในปราการก็พอ" คนพูดเดินไปถึงแผนที่ขนาดใหญ่อันเป็นสมบัติประจำตระกูลฟลินทรัสต์ และไล่มือไปตามส่วนที่อิทธิพลของเขาครอบคลุมไปถึง

"ท่านหญิงซินญอร่าจะส่งคนร่วมรบด้วยแน่" เอเรสว่า "ข้าสนับสนุนอาวุธพวกเจ้าได้นะ"

แม้เอเรสจะไม่ได้เอาดีทางการค้าอาวุธ แต่แน่นอนว่าโจรสลัดก็ปล้นเรือขนอาวุธมาเหมือนกัน "แต่ก็มีข้อแม้อย่างหนึ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน หากเจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบส่วนที่ไม่ใช่งานของตัวเอง" จาเร็ตต์มุ่นคิ้วอย่างไม่แน่ใจ เพราะเขาเองก็ยังไม่ได้ออกปากตกลงหรือแสดงท่าทีสนใจอะไรในข้อเสนอของเอเรส

"มาเป็นเลขาของข้าแทนน่ะนะ"

คนฟังอ้าปากค้างอย่างไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าวตอบ เนื่องด้วยสำนวนการพูดของเอเรสไม่ใช่การชักชวนให้จาเร็ตต์มาทำงานด้วยแบบปกติ แต่มันคือการหยอกเย้าหยั่งเชิง และถ้าหากจาเร็ตต์ตอบตกลงก็เห็นทีว่าเขาจะเสียเชิงให้คนเจ้าเล่ห์คนนี้ "เหตุใดข้าจะต้องไปเป็นเลขาของเจ้าด้วย!"

"ข้าไม่เก่งในเรื่องการคำนวน" ชายหนุ่มว่า ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะทำงาน "แล้วก็... สงสารสายตาของพ่อบ้านแก่ๆที่ต้องมาทำหน้าที่นี้ให้ การเพ่งตัวเลขจำนวนมาก ทั้งๆที่เขาควรรับผิดชอบแค่งานหลักของตัวเอง" ใบหน้าที่คล้ายพี่ชายมากเหลือเกินเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่เอเดรียนไม่มีวันทำได้ "เมื่อไหร่ที่เอเดรียนเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย ข้าก็จะเป็นมือขวาของเขา และก็อยากได้เลขาที่ไว้ใจได้สักคนมาช่วยงาน"

"หากเอเดรียนมีชัยในการต่อสู้ ข้าก็จะเป็นมือขวาของเขาในอนาคต!" จาเร็ตต์ตอบโต้

"อา... เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นน้องชายแท้ๆของเขา"

"แต่เจ้าไว้ใจไม่ได้ เอเรส!"

ราชาโจรสลัดก้าวลงจากโต๊ะและขยับเข้ามาประชิดกับคนพูดพร้อมกับค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อจะมองคู่สนทนาในระดับสายตา "เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้ตัดสินว่าข้าไว้ใจไม่ได้น่ะ จาเร็ตต์" ระยะของพวกเขาใกล้มากพอที่ร่างโปร่งจะเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาอีกฝ่าย เลขาแม่ทัพพยายามสรรหาคำพูดมาด่าคนตรงหน้า แต่กลับทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

"เจ้าดูเป็นคนลึกลับน่าค้นหาดีนะ" เอเรสหัวเราะร่วน "แล้วข้าก็ไม่เกี่ยงด้วยว่าจะเป็นหญิงหรือชาย"

"หุบปากไปเลย!!"

ในเมื่อตอบโต้อะไรไม่ได้ จาเร็ตต์จึงได้แผดเสียงออกมาแบบนั้น ทำให้ฝูงนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้คฤหาสน์ถึงกับตกใจและบินแตกฮือออกมา เพราะเลขาหนุ่มเคยไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะมีใครมา 'ถูกใจ' เขา อีกทั้งใครคนนั้นยังเป็นชายอีกด้วย "เอเดรียนส่งข้ามาช่วยงานเจ้าชั่วคราวในฐานะเลขา ไม่ได้หมายความว่าจะให้เจ้ามาพูดแทะโลมข้าได้ โจฮาลล์มีหน้าที่ดูแลกองทัพด้านในปราการ ส่วนข้าจะคอยควบคุมเจ้าไม่ให้ออกนอกลู่ทางในสงครามกลางทะเล!"

"ข้าบอกพี่ไปแล้วว่าข้าถูกใจเลขาของเขา" คู่สนทนากลางตอบไม่รู้ร้อน และเดินไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานของตนเอง ก่อนจะหันมาหาจาเร็ตต์อีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มพึงใจ "และพี่ก็บอกว่าการห้ามปรามข้านับเป็นเรื่องเสียแรงและเปล่าประโยชน์ ดังนั้นหากข้าถูกใจ ก็เป็นเรื่องของข้า"

...เอเดรียน!!

จาเร็ตต์ไม่เคยก่นด่าเอเดรียนในใจแบบนี้มาก่อน ทว่าครั้งนี้เขากลับ อยากตะโกนให้ดังไปถึงบรรพบุรุษของพี่น้องคู่นี้เลยทีเดียว "ท่านเลขา... ข้าไม่มีอำนาจในการเรียกรวมพลโจรสลัดมาจัดทัพอย่างที่เจ้าคาดหวังหรอกนะ" เอเรสยังทอดยิ้มอยู่แบบนั้น "แต่ข้ามีวิธีทำให้พวกเขาออกรบสู้กับกองเรือเวเรนเซียของธีสธรัลได้ก็แล้วกัน"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์แยกจากเหนือหัวและมารดาของเขาหลังจากเดินทางกลับมาถึง และมุ่งหน้าไปยังเมืองท่ามารินาด้วยเหตุผลเพื่อ 'การเตรียมตัว' แต่เซนทอร์หนุ่มก็พบว่าจิตใจของเขาแทบไม่อยู่กับเนื้อตัวเลยด้วยซ้ำ ร่างโปร่งก้าวขึ้นบันไดเวียนไปยังห้องด้านบนสุดของที่พักสำหรับผู้บัญชาการกองเรือ อันเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่มีช่องหน้าต่างขนาดใหญ่รอบด้านซึ่งสามารถมองเห็นท่าเรือทุกท่าในอ่าวมารินาได้อย่างชัดเจน

โต๊ะแผนที่ขนาดใหญ่วางตั้งอยู่กลางห้อง และเพดานทรงครึ่งวงกลมก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันจำลองเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนหรือที่ทุกคนรู้จักกันดีว่า แผนที่ดาว โต๊ะแผนที่มีกลไกที่สามารถทำให้หมุนได้รอบทิศทางตามการเปลี่ยนของวันเดือนปี และแผนที่ก็ยังเป็นกระดานวงกลมที่ซ้อนอยู่หลายชั้น ทำให้สามารถคาดเดาคลื่นลมและทิศทางของมรสุมที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นได้

เซนทอร์หนุ่มเท้าแขนกับโต๊ะใหญ่ และสัมผัสได้ถึงความนูนของเกลียวคลื่นบนแผนที่ใต้อุ้งมือของตน ชายหนุ่มกำลังมองทะเลเทเทสตอนเหนืออันเป็นน่านน้ำของแอสทารอธ ก่อนจะละสายตามองลงไปทงทิศใต้ซึ่งเป็นเขตของอาเดรีย สายตาว่างเปล่าของแม่ทัพบ่งบอกได้ว่าเลสธีราห์ไม่มีความเห็นใดกับความใกล้ชิดบนแผนที่ อาณาเขตบนพื้นดินของพวกเขาถูกแบ่งแยกด้วยแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลออกทะเล ในขณะที่อาณาเขตกลางทะเลก็มีเกาะเล็กๆประปรายเป็นแนวกั้น พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดนี้ เหตุใดทั้งเซนทอร์และมนุษย์จึงไม่เคยรู้สึกว่ามีพันธมิตรอยู่เคียงข้างเลย

เพราะความที่เซนทอร์หยิ่งยโสหรือเป็นเพราะความเห็นแก่ได้ของมนุษย์กันแน่

เปลือกตาบางปิดลงก่อนที่เข่าทั้งสองข้างจะค่อยๆทรุดลงกับพื้น แขนแกร่งยังคงวางอยู่ที่เดิม แต่หน้าผากมนกลับกดแนบกับขอบโต๊ะเย็นด้วยความอึดอัด ใจที่เคยแข็งแกร่งแน่วแน่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความสับสน และเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ ทั้งที่คำบัญชาของเหนือหัวดาเรียสที่หยิบยื่นโอกาสที่เขาเคยต้องการเสมอมา แต่เลสธีราห์กลับไม่มีความรู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเสียอีกเพราะเขากำลังภาวนาให้ผู้นำอาณาจักรเปลี่ยนใจ

เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรที่จะเป็นผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์

และเขาก็ต้องการพิสูจน์ตนเองว่าเป็นเซนทอร์ตนหนึ่งไม่ต่างจากใครอื่น

ร่างโปร่งถอนใจยาวขณะพยายามหาเหตุผลให้ตัวเอง ด้วยการคิดถึงสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด และต้องการมาตลอด เหตุผลที่ทำให้เขาต้องเข้าไปในอาเดรียก็ด้วยสิ่งนั้น เขาแค่ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้างเท่านั้น และคนรอบข้างที่จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตก็คือเซนทอร์ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เอเดรียนยอมรับเขาทั้งที่เป็นแบบนี้อีกฝ่ายไม่เคยดูแคลนในสิ่งที่เขาเป็น ไม่เคยคาดหวังให้เขาทำอะไร และนั่นคือสิ่งที่เลสธีราห์พอใจที่สุด เขาจึงมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้แม่ทัพใหญ่

...เพราะมันคือช่วงเวลาที่เลสธีราห์ไม่รู้สึกว่าชีวิตต้องการอะไรอีกเลย

หากเอเดรียนไขว่คว้าเกียรติยศเพื่อให้ได้ครอบครองเซนทอร์ เลสธีราห์เองก็อยากจะเป็นอัศวินที่สามารถปกป้องดูแลคนรักของตนเองได้เช่นกัน แต่มันช่างน่าเสียดายที่แม้ความปรารถนาของพวกเขาจะแนวแน่สักเพียงใดก็คงไม่อาจทัดทานอำนาจของผู้นำอาณาจักรได้อยู่ดี เอเดรียนอาจคิดไม่ซื่อต่อผู้นำที่ไร้สามารถของตนได้ แต่เลสธีราห์ไม่สามารถขัดคำสั่งของเหนือหัวที่แสนดีของเขาได้จริงๆ

ที่เซนทอร์หนุ่มมีชีวิตกลับมายังแอสทารอธได้ก็เพราะเหนือหัวดาเรียส

และอัศวินย่อมต้องมีความกตัญญู...

ร่างโปร่งหลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำตาอุ่นไหลลงผ่านแก้ม ในขณะที่ริมฝีปากบางสั่นระริกด้วยอดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้สุดความสามารถ แต่เมื่ออยู่เพียงลำพังเช่นนี้ เลสธีราห์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอดทนเจ็บปวดอีกต่อไป เขาซบหน้ากับโต๊ะเย็นที่ไม่ได้ปลอบโยนใดๆ ฟังเสียงสะอื้นเสียใจอันทรมานของตัวเองในห้องกว้างที่อ้างว้างและไม่มีกระทั่งแสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน

ไม่มีใครโอบกอดเขาในครั้งนี้ กระทั่งคำปลอบว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในภายหน้าก็ไม่อาจได้ยิน อัศวินไม่อาจเผยความอ่อนแอให้ใครได้เห็น แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องการใครสักคนข้างกายมากที่สุดก็ตาม "เลสธีราห์..."

เสียงที่คุ้นเคยทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว แม้จะไม่ใช่เสียงที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ก็ตาม

"ร... รีดาห์..."

รองผู้บัญชาการก้าวขึ้นมาจากบันได เสียงเกือกเหล็กกระทบกับพื้นไม้ดังก้องไปทั้งห้องจนน่าแปลกใจว่าเหตุใดเลสธีราห์จึงไม่ได้ยินเสียงเดินของรีดาห์เลย ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นพร้อมกับสูดหายใจเข้าเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ "ข้ากลับมาแล้ว..." มีหรือสหายสนิทที่สุดจะไม่รู้ว่าเลสธีราห์ในตอนนี้รู้สึกอย่างไร รีดาห์ไม่เอ่ยตอบประโยคแก้เก้อของอีกฝ่าย แต่เดินไปจุดไฟที่ตะเกียงน้ำมันเพื่อทำให้ห้องสว่างขึ้นแทน

"ข้าไม่เป็นไร..." ผู้บัญชาการแก้ตัวน้ำขุ่น แสร้งทำทีเป็นสนใจแผนที่ทางทะเลแทน

รีดาห์ก้าวเข้ามาหาสหายของตนก่อนจะคืนร่างเป็นมนุษย์เพื่อเผชิญหน้ากับคู่สนทนา "คิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ เลสธีราห์ ว่าเจ้า 'ไม่เป็นไร' น่ะ" สหายหนุ่มไม่คาดคั้น แต่เลี่ยงไปหาแผนที่ทางทะเลบนโต๊ะใหญ่แทน "แลกกับเรือจักรไอน้ำสิบลำ เราจะต้องเข้าพวกกับธีสธรัล และเพื่อกู้ชื่อเสียงตัวเองกลับมา เจ้าต้องเป็นคนนำทัพถล่มอ่าวออโรราของอาเดรีย" รีดาห์ทวนคำสั่งของเหนือหัวดาเรียส และสังเกตสีหน้าของคู่สนทนาไปด้วย ซึ่งเป็นไปตามคาด เลสธีราห์ดูเจ็บปวดกับคำสั่งถล่มอาเดรียมากกว่าการต้องไปเข้าพวกกับธีสธรัลเสียอีก

"เจ้าไปอยู่เมืองนั้นมาหลายเดือน... มีอะไรที่สูงค่ากว่าเรือจักรไอน้ำหรือเปล่าเล่า"

แต่คำถามต่อมาของรีดาห์ทำให้เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นมองคนพูด "เจ้าอย่าได้คิดจะขัดคำสั่งของเหนือหัวดาเรียส..." เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้าง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองยังมีสัญญาข้อหนึ่งที่ได้ตกลงไว้กับเอเรส ฟลินทรัสต์ ราชาโจรสลัดแห่งเทเทส "...ปืนคาบศิลา"

รีดาห์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างมีความหวัง "มีใช่ไหม... สิ่งที่น่าสนใจกว่าเรือจักรไอน้ำ"

"แต่เรือนี้ถูกตัดสินโดยสภาขุนนางไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเสียงเดียว..."

"แล้วเจ้าฆ่าแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรียได้จริงหรือ เลสธีราห์" รีดาห์ถามออกมาตรงๆเมื่อเห็นว่าสหายของตนเริ่มลังเล "ต่อให้มันเป็นเรื่องที่สภาขุนนางลงความเห็นแล้ว แต่อำนาจของผู้บัญชาการกองเรือรบอยู่ในมือเจ้า เลสธีราห์" รองผู้บัญชาการกำหมัด "เอาชนะด้วยวิถีของอัศวิน"

"รีดาห์..." เลสธีราห์อ้าปากค้าง

คนพูดส่งยิ้มกลับเล็กน้อย "เจ้าเปลี่ยนชีวิตชายคนนั้นให้เป็นประโยชน์ของแอสทารอธไม่ได้เหรอ สหายข้า" แม้แอสทารอธจะเห็นเรือจักรไอน้ำเป็นประโยชน์สูงสุดของอาณาจักรตอนนี้ แต่หากต้องการจะขัดคำสั่งของเหนือหัวด้วยวิถีของอัศวิน เลสธีราห์จะต้องทำให้ชีวิตของเอเดรียนมีความสำคัญมากกว่าสิ่งใด

นั่นคือการช่วยเหลือให้เอเดรียนขึ้นเป็นผู้นำของอาณาจักรอาเดรีย

"ข้าทำได้..."

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


อา... ตอนที่ 23 แล้ว... จริงๆต้องออกเรือแล้วตามแพลน แต่ย่อหน้าสุดท้ายเราว่าอารมณ์มันกำลัง...
คือเลสธีราห์มีความหวังละไง ถ้าตัดไปฉากเรืออีกมันไม่พีคอ่าา ไว้ตอนหน้าละกันนะ 555
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 18-12-2016 21:11:36
ตอนที่ 24.1

แม้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเสียมารยาท และก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวมากไปสักนิด แต่ในฐานะเพื่อนสนิท รีดาห์คิดว่าเขามีสิทธิ์ที่จะถามคำถามนี้กับเลสธีราห์ได้โดยที่ไม่โดนอีกฝ่ายดีดด้วยขาหลัง "เจ้าชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..." แน่นอนว่าความตรงไปตรงมาของสหายทำให้คนถูกถามชะงักปพักใหญ่ ทั้งเนื่องจากความทึ่งและความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"ถึงเจ้าจะไม่เคยมองสาวที่ไหนก็เถอะนะ"

"เจ้าไปรู้เรื่องนั้นมาจากไหน..." แต่แทนที่จะตอบถาม เลสธีราห์ถามกลับด้วยเสียงแผ่วเบา

รีดาห์หันไปมองดวงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า หลังจากนั่งสนทนากับสหายสนิทข้ามคืน และจบด้วยการไม่ได้นอนจนต้องมานั่งดูอาทิตย์ขึ้นเป็นเพื่อนกัน "ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครรู้หรอก กระทั่งแม่ของเจ้า มีแต่ข้า... กับเฟรดาเท่านั้น" รีดาห์รู้ดีว่าอีกฝ่ายกังวลอะไร ซึ่งความผิดของเขาฐานถูกมนุษย์จับได้ก็มากมายสาหัสเพียงพอแล้ว หากสภาขุนนางรู้เหตุผลที่เขาถูกจับได้อีก เลสธีราห์คิดว่าอย่างไรตนก็ไม่ได้รับการอภัยให้กลับมายังแอสทารอธแน่นอน

แม้ว่าความรักจะไม่ใช่เรื่องเสียหายเลยก็ตามที

"ใครคือเฟรดา" เซนทอร์หนุ่มกระพริบตาถี่ ด้วยเขาไม่คุ้นชื่อเสียงเรียงนามนั้นมาก่อน "เฟรดา..." และจู่ๆความทรงจำที่ไม่ได้สลักเสลาสำคัญก็ผุดขึ้นมาในหัว เป็นภาพใบหน้าของหญิงรับใช้ผิวเข้มอัธยาศัยดีในคฤหาสน์ราห์โมนา "เฟรดาที่เป็น..."

รีดาห์เลิกคิ้วและนึกย้อนว่าเลสธีราห์รู้จักเฟรดาหรือไม่

คู่สนทนาเดาได้จากสีหน้างงงวยไม่ปิดบังของอีกฝ่ายว่าพวกเขาคงไม่เคยพบกันในแอสทารอธ "เฟรดา หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเขตแดนตะวันตก... น้องสาวต่างมารดาของแม่ทัพโมนาไงเล่า" หากพูดว่าเป็นน้องสาวต่างมารดาของแม่ทัพโมนาแล้ว เลธีราห์ก็อ้าปากค้างและนึกออกแทบจะในทันที "นางเป็นหนึ่งในสายสืบที่แฝงตัวอยู่ในอาเดรีย และเป็นหญิงรับใช้มีหน้าที่ล้างจานอยู่ในคฤหาสน์ที่เจ้าไปพักไง"

เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

"เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย เลสธีราห์" สหายหนุ่มคาดคั้น "เจ้ารสนิยมเหมือนซาฮาลตั้งแต่เมื่อใด"

ไม่เป็นแค่เรื่องของเฟรดาเท่านั้นที่ทำให้แม่ทัพเรือตกตะลึง แต่คำพูดของรีดาห์ที่พาดพิงซาฮาลนั้นยิ่งทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่า จนไม่มีสมาธิจะคิดถึงคำตอบของตัวเอง "เจ้าว่ากระไร...  ซาฮาลน่ะรึ" เลสธีราห์คิดว่าเขาจากแอสทารอธไปไม่นาน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าซาฮาลจะมีคนรักเป็นชาย และเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาในระยะเวลาเพียงเท่านี้

...แต่ในระยะเวลาเพียงเท่านี้เขากลับผูกพันธ์กับเอเดรียนได้มากขนาดนี้เช่นกัน

เมื่อคิดถึงบุคคลผู้นั้น แม่ทัพหนุ่มก็มีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ตาม "ข้าไม่ได้เลือกรักผู้ชาย รีดาห์" ร่างโปร่งพึมพำ "เขาแค่ไม่ใช่ผู้หญิง" เลสธีราห์อยากจะพูดว่า 'ข้าแค่รักเขา' ด้วยซ้ำ ทว่ากลับรู้สึกกระดากที่จะเอ่ย แม้กับเพื่อนสนิทของตัวเอง

"เจ้าแค่รักเขา..." รีดาห์รู้ใจสหายเสมอ เมื่อจบแล้วเขาก็ยักไหล่เบา "ฟังดูหวานดีนะ"

รองผู้บัญชาการไม่เข้าใจความสัมพันธ์นี้ เพราะเขาเองไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะดูแคลนความรักของผู้ใด "เจ้าเลือกเพศของเขาไม่ได้นี่นะ เลสธีราห์" รีดาห์พึมพำ "และข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ไม่ได้อยากเกิดเป็นหญิงเพื่อให้ได้ครองคู่กับเขา" สหายสนิทยิ้มจาง "หากเขาตอบรับเจ้าก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว"

"เจ้าไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมหรือ" เลสธีราห์ถามเสียงเบา "เขาเป็นมนุษย์..."

"อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้ไปรักพวกเอลฟ์จากอัสคาห์"

"แต่เพราะข้า..." แม่ทัพหนุ่มกลืนน้ำลาย "เพราะข้าคิดถึงแต่เขา ถึงทำให้แอสทารอธต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย" แม้จะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่ความรู้สึกผิดก็ยังอยู่ในใจของเลสธีราห์อยู่ดี และมันคงจะไม่เลือนหายไปหากผู้ที่เอ่ยให้อภัยเขาไม่ใช่เหนือหัวดาเรียส

"ถ้าเจ้าทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้ามีประโยชน์ต่อแอสทารอธได้ ข้าคิดว่าข้อกังขาเหล่านี้จะหมดไป" รีดาห์ว่า "เจ้าเป็นครึ่งเอลฟ์ครึ่งเซนทอร์ เลสธีราห์... แต่ไม่มีใครกังขาความรักของท่านหญิงลีอาห์กับท่านทูตเธโอเดร์ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักร"

"แต่พวกเขาก็ยอมรับในตัวข้า..."

"ไม่ใช่เพราะชาติกำเนิดของเจ้า" รีดาห์หันไปมองสหายของตน "แต่เพราะสถานะของท่านหญิง" คนพูดหันกลับไปมองดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาจนเกือบพ้นขอบฟ้า "เจ้าจึงต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง แม้ว่าเจ้าจะเคยพิสูจน์ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนประลองชิงตำแหน่งผู้นำแห่งเซเลสต์" เลสธีราห์รู้ว่าตนควรจะทำอะไร แต่เขากลับไม่เคยรับรู้เลยว่าเอเรสผู้เป็นน้องชายเอเดรียนคิดจะทำอะไร อาจจะเพราะตัวเองมัวแต่จมอยู่กับคำสั่งของเหนือหัวดาเรียสที่ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและหมดพลังที่จะต่อสู้หรือรับรู้เรื่องใดๆ

"เอเดรียนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย" เซนทอร์หนุ่มว่า "หากข้าช่วยดันให้เขาไปถึงจุดนั้น เราจะสามารถต่อรองกับอาเดรียได้" เลสธีราห์ผละจากที่นั่งซึ่งก็คือขอบหน้าต่าง และกลับไปยังแผนที่ขนาดใหญ่บนโต๊ะ "หากข้าช่วยเหลืออาเดรีย สิ่งแรกที่เราจะได้รับ... ก็คืออาวุธที่ไม่มีกองทัพใดในตะวันตกเคยใช้" ร่างโปร่งดึงปืนคาบศิลาอันเป็นของกำนัลจากเอเรสขึ้นมาวางบนโต๊ะใหญ่ พร้อมกับสมุดหนังเล่มหนึ่งซึ่งภายในเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ และประทับตรานกไฟของผู้ทรงอิทธิพลแห่งท่าเรือใต้

"สัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์..."

ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าเซนทอร์จะสูญเสียอะไรหากไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่ระบุชัดเจนว่าแอสทารอธจะได้รับอะไรหากเลือกเข้าข้างอาเดรีย ซึ่งนอกจากปืนคาบศิลาแล้ว ยังมีข้อเสนออื่นอีกหนึ่งประการที่เลสธีราห์คิดว่าเหนือหัวดาเรียสคงไม่ปล่อยให้หลุดมือ "แม้เราจะไม่ได้ครอบครองศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำในตอนนี้ แต่นี่ก็น่าจะค่ามากกว่าเรือจักรไอน้ำสิบลำของธีสธรัลกระมัง"

รีดาห์คว้าปืนคาบศิลาขึ้นมาดูด้วยความตื่นเต้น ด้วยรู้จักพลานุภาพของมันทว่าไม่เคยได้สัมผัส

"เราอาจไม่ต้องการทำสงคราม รีดาห์ แต่การได้ครอบครองมันเอาไว้จะเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับแอสทารอธ ไม่ว่าจะเจรจากับเมืองใด" เลสธีราห์ก้มลงมองแผนที่อีกครั้งและค่อยๆวางหมากสีน้ำเงินอันเป็นตัวแทนของธีสธรัลลงบนแผนที่ "แต่เหนือหัวดาเรียสกล่าวว่าธีสธรัลจะต้องยกกองทัพเวเรนเซียออกมาที่อ่าวออโรรา และนั่นคือทัพสนับสนุนของข้า นั่นหมายความว่าแอสทารอธตกลงเป็นพันธมิตรกับธีสธรัลแล้วอย่างนั้นรึ"

จริงอยู่ว่าเลสธีราห์สามารถทำให้ชีวิตของเอเดรียนมีประโยชน์กับแอสทารอธได้ แต่หากแอสทารอธตกลงเป็นพันธมิตรกับธีสธรัลแล้ว สิ่งที่เลสธีราห์คิดจะกระทำต่อไปก็เป็นการหักหน้าอาณาจักรตัวเองอย่างรุนแรง "ธีสธรัลยังไม่รู้ว่าเราเลือกเข้าข้างฝ่ายใดหรอก" รองผู้บัญชาการจรดยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะดึงซองหนังออกมาจากกระเป๋าข้างตัว "ข้ารู้ว่าเจ้าคงทำเราเสียหน้า หากปล่อยสัญญาพันธมิตรนี่หลุดไปถึงมือราชินีไวลด์"

"รีดาห์..." เลสธีราห์อ้าปากค้างน้อยๆ "พวกเราคงจะโดนทัณฑ์บนไม่น้อยเลยทีเดียว"

"นั่นขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่จะตามมาต่างหาก"

คำตอบนั้นทำให้คนฟังยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วก้มลงมองแผนที่ตรงหน้าต่อ "ในศึกครั้งที่แล้ว กษัตริย์แอชรอนเอาชนะอาเดรียได้ด้วยเรือรบห้าสิบลำ แต่ก็ด้วยความช่วยเหลือจากขุนนางทรยศของอาเดรีย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนใน แต่ธีสธรัลก็กำลังบอบช้ำ และคงไม่สามารถระดมพลได้เกินร้อยลำ ดังนั้นศึกทางน้ำก็มีแค่ธีสธรัล"

"แต่เรามีเซเลสต์เพียงลำเดียว"

เลสธีราห์เหลือบตาขึ้นมองสหายครั้งหนึ่งก่อนจะเหยียดยิ้ม "เรามี... แอควาเรียร์"

--------------------------------------------------

จาเร็ตต์ย้ายมาพักที่คฤหาสน์ฟลินทรัสต์สักระยะหนึ่งระหว่างที่เขาคอยช่วยงานเอเรส

พ่อบ้านเฒ่าจัดห้องรับรองเอาไว้ให้อย่างดีอีกทั้งนำอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงห้องเมื่อได้เวลา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเดินออกไปไหน เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาในการวางแผนการทำงานได้อย่างเต็มที่ เพียงแต่อุปสรรคของเลขาหนุ่มไม่ใช่เรื่องเวลาอาหาร แต่ปัญหาของเขาก็คือเอเรส ฟลินทรัสต์ไม่วางแผนใดๆเลยต่างหาก

"เรากำลังจะเผชิญหน้ากับ... กองเรือเวเรนเซีย เจ้าไม่เดือดร้อนอะไรหน่อยหรือไง"

เมื่อมีโอกาสได้พบหน้าเอเรส จาเร็ตต์ก็ไม่รีรอที่จะถามซ้ำ แม้ว่าการพบครั้งอีกครั้งในวันนี้จะเป็นการที่อีกฝ่ายเข้ามาถึงในห้องพักของเขาโดยไม่ระบุจุดประสงค์ก็ตาม "อะไรกัน ข้าหายไปทั้งวันนี่เจ้าไม่ถามสักคำเลยเหรอว่าเหนื่อยหรือเปล่า แต่เซ้าซี้ให้ข้าวางแผนรบอย่างนั้นรึ" ร่างสูงแกล้งโวยเสียงดัง "ช่างเป็นคนที่ไม่สวยซ้ำยังใจร้ายอีกต่างหาก"

คนถูกต่อว่าอ้าปากค้างน้อยๆเมื่อถูกเรียกว่า 'คนไม่สวยซ้ำยังใจร้าย' เพราะต่อให้เขาเคยเห็นเอเรสเรียกเลสธีราห์ว่า 'คนสวย' มาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเมื่อเจอกับตัวเองจะรู้สึกวังเวงได้ถึงเพียงนี้ "ข้าควรจะทำอย่างไร ถอดเสื้อนอกให้เจ้า คอยเดินตาม ถามว่าเรื่องราววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เช่นนั้นรึ"

เอเรสพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ชวนไปอาบน้ำให้สบายตัวด้วย"

จาเร็ตต์ถอนใจยาวๆอีกครั้งเมื่อประเด็นที่เอเรสพยายามนำมาสนทนาเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง "ข้าไม่ใช่เลขาของเจ้า เอเรส" เอเรสสูงกว่าเอเดรียน และมีใบหน้าที่ขึงขังกว่าพี่ชาย แต่กลับมีแววตาที่ดูสนุกสนานมากกว่า ดังนั้นจาเร็ตต์จึงรู้สึกเหมือนมีสุนัขตัวโตมาตามขออาหาร "แล้วถ้าหากเหนื่อยจริง เจ้าก็คงกลับไปพักที่ห้องของตัวเองแล้ว คงไม่เข้ามา..." เอเรสถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง และกลิ้งเกลือกอยู่บนนั้นราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเจ้าของคฤหาสน์ก็ตาม

"นั่นเตียงข้า เนื้อตัวเจ้าสกปรกแบบนั้น ขึ้นไปนอนได้ยังไง"

เลขาแม่ทัพพยายามจะดึงแขนคู่สนทนาให้ลุกขึ้น แต่เอเรสก็ได้แต่คว้าหมอนใบโตเอากอดเอาไว้ "ถ้าเจ้าอนุญาตให้ข้านอนบนโซฟาแล้วคุยกับเจ้าทั้งคืน ข้าจะลุกจากเตียงก็ได้นะ" คนฟังมุ่นคิ้ว และหันไปมองโซฟาที่เอเรสพูดถึงโดยไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจะต้องยื่นข้อเสนอแบบนี้

"ข้าอยากพักผ่อน เอเรส... ออกไป!"

"วันนี้เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยมาห้าวันแล้ว" เอเรสอ้าปากหาว เขารู้ดีกว่าอีกฝ่ายคอยติดตามข่าวสารของเอเดรียนอยู่โดยตลอด แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายก็ตาม และคอยส่งข่าวรายงานแม่ทัพใหญ่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเขาอยู่เป็นระยะเสมอ "ไม่ถามสักคำหรือว่าข้าหายไปไหนมา" แต่ด้วยความที่จาเร็ตต์เป็นคนที่พูดน้อยอย่างไม่น่าเชื่อว่าไม่ได้เป็นใบ้ เอเรสจึงต้องลองหยอกอีกฝ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าจาเร็ตต์จะยอมสนทนาด้วย

"เจ้าหายไปไหนมา..."

"อย่างน้อยรูปประโยคก็นับว่าผ่านอยู่หรอก" เอเรสถอนใจ "ช่วยไม่ได้นี่ ข้าอยู่คนเดียวมาหลายสิบปี พอมีเพื่อนคุยสักคนก็อยากคุยอีกนี่" เด็กตัวโตตรงหน้ากอดหมอนแน่นเข้าและพยายามจะช้อนตามองคนที่มีอายุน้อยกว่าตัวเอง

"ถ้าเจ้าไม่มีความคืบหน้าอะไรเป็นพิเศษ ก็เลิกก่อกวนข้าเสียทีเถอะ"

เอเรส ฟลินทรัสต์ลุกขึ้นง่ายๆตามที่ถูกดุ แต่ก็คว้าหมอนไปด้วยก่อนจะโถมตัวลงนอนบนโซฟา จาเร็ตต์มองตามการกระทำนั้นก่อนจะพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ "เอเรส หมอนข้า..." คนสนิทแม่ทัพกำหมัดแน่นและพยายามจะข่มความหงุดหงิดเอาไว้ แม้ว่าตอนนี้เขานึกอยากจะหาอะไรขว้างใส่คู่สนทนาแล้วก็ตาม

"เจ้าอยากได้แค่เตียงนี่ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะเอาหมอนด้วย"

คนที่ดูจะไม่มีอารมณ์ร่วมกับการหยอกเย้าเดินมาที่โซฟาพร้อมกับดึงหมอนของตนกลับไป เอเรสยอมปล่อยมือแต่โดยดี และลืมตาขึ้นมองแผ่นหลังโปร่งที่เดินกลับไปยังเตียงของตน "ทำกับเจ้าของบ้านได้ลงคอเชียวนะ นี่ขนาดยังไม่มีอำนาจในคฤหาสน์นะนี่"

จาเร็ตต์เลิกคิ้วขึ้นขณะเหลือบมองอีกฝ่าย "ข้าไม่เป็นเลขาของเจ้าหรอก"

"ในอนาคต พี่ก็ยกเจ้าให้ข้าอยู่ดี" เอเรสยิ้มตอบ

--------------------------------------------------

เซเลสต์ยังถอนสมอไม่ได้ เนื่องจากการติดตั้งปืนใหญ่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

รีดาห์เพิ่มจำนวนปืนใหญ่ที่ดาดฟ้าชั้นล่างตามหลักการทำศึกในระดับน้ำทะเล จากเดิมที่เขาคิดจะถอดปืนใหญ่ชั้นล่างออกทั้งหมดเพื่อความคล่องตัวในการเดินเรือ การติดตั้งปืนใหญ่ของเรือรบไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่วันหนึ่งหรือสองวัน แต่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ดังนั้นเลสธีราห์จึงรู้สึกทึ่งที่รีดาห์รู้จักเขาดีมากเสียจนเดาใจแม่ทัพหนุ่มออกหมดจด

อีกฝ่ายรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่สามารถทำตามคำสั่งของเหนือหัวได้

ทั้งยังฉลาดพอที่จะหยุดการนำสาส์นจากแอสทารอธไปยังธีสธรัลได้ทันเวลาอีกด้วย แม้ว่านี่จะเป็นการกระทำที่เป็นความลับและขัดกับคำสั่งของเหนือหัวสูงสุดก็ตาม "ลมทะเลตอนนี้พัดพาเอาความหนาวเย็นมาด้วย" รองผู้บัญชาการพึมพำ "นับตั้งแต่ตอกเกือกนั่นมา ยิ่งอากาศหนาว ข้าก็รู้สึกหนาวเท้าไปด้วย" รีดาห์พูดถึงเกือกรูปไข่อันเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่จากดินแดนตะวันออก

เลสธีราห์ก้มมองเกือกเงาวับของคนพูด "เดินถนัดขึ้นหรือเปล่า"

"อย่างน้อยก็ไม่ลื่นเกือกตัวเองแบบเมื่อก่อนแล้ว"

"แต่ข้าคิดว่ามันเสียงดังนะ" เลสธีราห์ไหวไหล่ "ยิ่งเจ้าที่เดินปัดเป๋ไม่ไพเราะเสนาะหูเอาเสียเลย"

รีดาห์มุ่นคิ้วด้วยความเคืองเล็กน้อยเมื่อถูกต่อว่า เพราะนั่นเป็นคำพูดเดียวกับที่ซาฮาลเคยกล่าวเอาไว้ "เจ้าก็ดูสมกับซาฮาลดีหรอกนะ! เรื่องค่อนแคะเหน็บแนมข้าน่ะ!" เลสธีราห์หัวเราะเบาๆในคอเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังโดนสหาย 'งอน' เข้าแล้ว

"ข้าอาจจะชอบค่อนแคะเจ้า แต่ข้าไม่เหมาะกับคนอย่างซาฮาลหรอก"

รีดาห์ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะบอกเลสธีราห์เรื่องของซาฮาลหรือไม่ แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว เซนทอรืหนุ่มก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าหยิบยกขึ้นมาพูดเอาเสียเลย เพราะต่อให้สาธยายความทุ่มเทและจริงใจของซาฮาลยาวยืดแค่ไหน เลสธีราห์ก็มีใจให้คนอื่นไปแล้ว "ข้าเห็นเจ้าห่มผ้านั่นกันหนาวแล้วก็อยากมีบ้างสักผืน" รีดาห์มุ่งเป้าไปที่ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ที่เลสธีราห์ถืออยู่แทน "แต่ก็คิดว่ามันคงไม่ใช่แค่ผ้าคลุมไหล่ทั่วๆไป จะไปขอเจ้าห่มบ้างก็ไม่น่าจะดีนัก"

เลสธีราห์หัวเราะสั้นๆ "อืม... ของเอเดรียน" เขาตอบได้แค่นั้น เพราะรีดาห์สมควรรับรู้เพียงเท่านี้

"เจ้ายิ้มแบบนั้นทุกครั้งที่พูดชื่อนั่นเลยนะ" รีดาห์ล้อเลียน

เลสธีราห์ปัดมือในอากาศเพื่อให้สหายเลิกหยอก "ข้าคิดว่าผู้หญิงก็ทำให้เจ้ายิ้มได้ ถ้าเจ้าชอบนาง" รีดาห์หัวเราะเบาขณะคิดในใจว่า เหตุใดซาฮาลจึงไม่เคยยิ้มแบบนั้นบ้างเมื่อคิดถึงเลสธีราห์ หรือว่าที่เหนือหัวเป็นผู้ชายแข็งกระด้างปราศจากความรักหวานซึ้งโดยสิ้นเชิงเล่า แล้วความรักที่อีกฝ่ายมีต่อเลสธีราห์เป็นความรักประเภทใดกัน ซาอาลต้องการจะเอาชนะเพื่อให้ได้ครอบครองมากกว่าการปกป้องดูแลซึ่งกันและกันอย่างที่เลสธีราห์คิดจะทำด้วยซ้ำ

แต่รีดาห์ก็ไม่แน่ใจว่าหากคนอย่างซาฮาลยิ้มอย่างอ่อนโยนแบบนั้นขึ้นมา

...ในวันหน้าโลกจะแตกหรือไม่

"มนุษย์นั่นมันมีอะไรดีกว่าข้าหรือไร เลสธีราห์..." ด้วยความที่มัวแต่สนใจคู่สนทนา ทั้งรีดาห์ และเลสธีราห์ไม่รู้สึกถึงฝีเท้าของซาฮาลเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เซนทอร์ร่างสูงก็ก้าวเข้าประชิดตัวแม่ทัพแห่งเซเลสต์แล้ว "ข้าถามว่า... เจ้ามนุษย์นั่นมีอะไรดีกว่าข้า เจ้าถึงได้ยอมมันถึงขนาดนี้!"

"ซาฮาล!"

ขาหน้าทรงพลังยกขึ้นในอากาศและพุ่งกระแทกร่างคู่สนทนาด้วยความโกรธ แต่คนที่เข้ามารับแทนกลับเป็นรีดาห์ในร่างเซนทอร์ "ซาฮาล หยุด!" รีดาห์ยกมือขึ้นยันบ่ากว้าง ขาหลังที่ยืนหยัดไม่มั่นคงพยายามยันน้ำหนักของอีกฝ่ายกลับออกไป แต่ก็ทำได้เพียงต้านแรง "เลส... ถอยไป!" เลสธีราห์ถอยเท้าหนี เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับซาฮาลด้วยความตกใจ ร่างกายกำยำขยับกระแทกคนที่ขวางทางออกไปให้พ้นด้วยโทสะ จนเซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าเสียหลักตกลงไปในทะเล

ตูม!

"รีดาห์!" เขาอาจว่ายน้ำเก่งด้วยความที่สังกัดกองทัพเรือ แต่อย่างไรการถูกผลักตกเช่นนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายสำลักน้ำเข้าไปมากพอสมควร ร่างโปร่งโผล่ขึ้นมาพร้อมกับคว้าเสาท่าเรือเอาไว้เป็นหลักพยุงก่อนจะไอโขลกออกมาด้วยความรู้สึกแสบคอ เลสธีราห์ก้มมองหาบันไดเพื่อจะให้อีกฝ่ายได้ขึ้นจากน้ำ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นท่าน้ำลึกที่ไม่มีบันได ดังนั้นทางเดียวที่ทำได้ก็คือการปีนขึ้นฝั่งที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร

"ซาฮาล..." นัยน์ตาสีฟ้าตวัดมองผู้มาเยือนด้วยโทสะ "เตรียมอธิบายเรื่องนี้กับเหนือหัวได้เลย!"

เลสธีราห์แยกเขี้ยวใส่คนก่อเรื่อง แต่ซาฮาลที่พยายามสงบอารมณ์ตัวเองไว้ก็คว้าเข้าที่แขนของร่างโปร่งก่อนกระชากเข้าหาตัว "ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง เลสธีราห์!" โดยปกติแล้วเลสธีราห์มักอยู่ในร่างมนุษย์ แต่เมื่อถูกแรงมหาศาลของอีกฝ่ายฉุดกระชาก ร่างโปร่งก็คืนร่างเป็นสัตว์สี่เท้าในทันที และยกขาคู่หน้าขึ้นขู่อีกฝ่ายพร้อมกับสะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการ

ร่างกายท่อนล่างปกคลุมด้วยขนสั้นสีอ่อนเลื่อมเงาสะท้อนแสงแดดดูโดดเด่นเสียจนทำให้ลูกเรือและเซนทอร์ในบริเวณนั้นหันมาสนใจ ด้วยรู้ว่าผู้บัญชาการของพวกเขามักไม่อยู่ในร่างเซนทอร์ ดังนั้นนี่จึงเป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างเลสธีราห์และซาฮาลอย่างแน่นอน

ว่าที่เหนือหัวมีร่างกายกำยำสูงใหญ่ ดังนั้นเขาจึงขวางทางเดินจนเลสธีราห์ไม่สามารถเดินผ่านหนีไปได้ ซาฮาลก้าวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้าอีกก้าวและเริ่มใช้ความสูงของตนเข้าข่ม "นี่คือเหตุผลที่เจ้าถูกจับในอาเดรียสินะ เหตุผลที่เจ้าเปิดโปงความลับของแอสทารอธอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังไม่พยายามจะเอาตัวรอดกลับมายังมาตุภูมิอีกด้วย เป็นเพราะมนุษย์ที่ชื่อเอเดรียนนั่นสินะ!"

"เจ้าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง..."

เลสธีราห์ควรจะรู้ตัวเองว่าเขาเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย และด้วยความไม่แนบเนียนที่ซาฮาลสัมผัสได้ ยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นโมโหมากขึ้นกว่าเก่า "เจ้าคงจะไม่ฆ่ามันอีกด้วยใช่หรือไม่ เลสธีราห์... พูดออกมาเองเลยนี่ว่าหลงเจ้าสัตว์สองขานั่นมากแค่ไหน" ซาฮาลไล่ต้อน การก้าวเข้าหาทีละก้าวทำให้เลสธีราห์ต้องถอยเท้าหนี "ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรเลยใช่ไหม!"

"เจ้าดูถูกข้ามากไปแล้ว!" เลสธีราห์พยายามเสียงดังบ้าง "มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าสักนิด"

เซนทอร์ไม่สวมเสื้อ ดังนั้นซาฮาลจึงคว้ามือเข้าที่ลำคอระหงของคนตรงหน้าแทนและกระชากเข้ามาหาตัวด้วยโทสะ "ข้าเป็นคนเสนอให้เหนือหัวดาเรียสละเว้นเจ้า... เป็นคนเสนอหนทางให้เจ้าได้กลับมาอย่างสมเกียรติอย่างที่เจ้าต้องการ แต่ตอนนี้เจ้าจะหักหน้าข้าด้วยการปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมนุษย์นั้นรึไง!"

เซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าต้องหยัดตัวขึ้นยืนบนขาหลังของตัวเองและกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกเจ็บ

เลสธีราห์จิกเล็บกับมือใหญ่และดึงออกอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่เคยขอให้เจ้าช่วย ซาฮาล!"

"ป่านนี้เจ้าคงถูกขังลืมอยู่ในอาเดรียไปแล้วถ้าไม่มีข้า!"

เลสธีราห์ดีดตัวออกห่างจากคู่สนทนาที่กำลังโกรธจัด และยกสองขาหน้าขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว "ถ้าเจ้าไม่แส่เข้ามายุ่ง ทุกอย่างคงจะไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้หรอก!" ร่างโปร่งตะคอกกลับ และตวัดธนูคู่ใจที่สะพายเอาไว้บนหลังขึ้นมาถือ แตะปลายนิ้วกับเส้นเอ็นที่ขึงตึงก่อนจะง้างขึ้นเอาเรื่อง ทะเลที่อยู่เบื้องหลังขยับเคลื่อนและผงาดเกลียวคลื่นขึ้นเตรียมพร้อมจะถ่าโถมด้วยเวทมนตร์

"เจ้าส่งข้าไปรบกับธีสธรัลเพื่อความสาแก่ใจของตัวเอง และถ้าข้าแพ้ขึ้นมา อาเดรียก็ไม่มีอะไรเหลือ อีกทั้งต้องตกเป็นเมืองขึ้นอีก เจ้าได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้ แอสทารอธจะได้อะไรจากแผนการนี้ของเจ้า! เพื่อเรือสิบลำเท่านั้นหรือ ซาฮาล!" เลสธีราห์กราดเกรี้ยว "เราแสวงหาความก้าวหน้า แต่ถ้าเราปล่อยให้อาเดรีย ธีสธรัล และไอย์ชวลเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เราจะยังมีบทบาทอะไรอีก!!"

"แล้วการที่เจ้าถูกขังอยู่อย่างนั้นทำให้แอสทารอธได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เลสธีราห์!!"

ซาฮาลย้อนบ้าง แม้เขาจะโกรธเสียจนตัวสั่นเทิ้ม แต่ด้วยความที่รู้ถึงอำนาจของธนูแหวกสมุทร ว่าที่เหนือหัวจึงได้ยั้งตัวเองเอาไว้ "ต้องการให้แอสทารอธทอดทิ้งเจ้าจริงๆอย่างนั้นรึ" คิ้วเข้มกดมุ่นขณะถามเสียงขุ่น "ข้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้า... เพื่อความต้องการของเจ้า... นี่เป็นวิถีของเซนทอร์ที่จะช่วยเหลือเจ้าทั้งนั้น แล้วมาพูดแบบนี้กับข้ารึ เนรคุณ!!"

"แล้ววิถีของเซนทอร์มันเคยทำให้ข้ามีความสุขหรือไร!"

เลสธีราห์ยอมลดมือลงบ้าง ก่อนตัวเองจะเผลอปล่อยสายธนูและอัดคลื่นสูงเบื้องหลังใส่ซาฮาลสักทีหนึ่ง เขาตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคือว่าที่เหนือหัว และการปองร้ายผู้นำสูงสุดก็มีค่าเท่ากับกบฏ "ข้าเคยมีความสุขกับวิถีเซนทอร์ที่พวกเจ้าภาคภูมิใจหรือเปล่า เพราะข้ามีเลือดเซนทอร์เพียงแค่ครึ่งเดียวแบบนี้ ข้าถึงต้องไล่ตามพวกเจ้ามาตลอดชีวิต" ร่างโปร่งสูดลมหายใจลึก "แอสทารอธจะทอดทิ้งข้าก็ได้... ในเมื่อข้ายังไม่มีอะไรดีพอที่จะเรียกตัวเองได้ว่าเซนทอร์ตนหนึ่ง" ผู้นำเซเลสต์ถอนใจ "ข้าจะกลับมาที่แอสทารอธก็ต่อเมื่อมีความภูมิใจอย่างเซนทอร์แล้วเท่านั้น"

นัยน์ตาสีฟ้าสดของอีกฝ่ายมองคู่สนทนาแน่วแน่ "ต่อให้มันต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ข้าก็จะไม่พึ่งพาใคร"

"แล้วเกียรติของเจ้าคืออะไร เลสธีราห์ หากไม่ใช่การต่อสู้ในสงครามอย่างแม่ทัพ"

คนถูกถามสูดลมหายใจเข้าลึก โดยที่นิ้วยังแตะสายธนูเอาไว้ เขารู้ดีว่าสิ่งที่จะออกจากปากของตนไปย่อมทำให้ซาฮาลอารมณ์เสีย แต่อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ยังเกรงอำนาจของแอควาเรียร์อยู่ "การที่สามารถ... ปกป้องคนที่ตัวเองรักเอาไว้ได้ และปกป้องบ้านเมืองของตนเอาไว้ได้ นั่นคือเกียรติของข้า"

"..."

"ข้าไม่ละอายที่ตนเองมีใจให้มนุษย์... และข้าก็ไม่เคยกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง ถ้ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะปกป้องแอสทารอธ" เลสธีราห์เบี่ยงตัวเลี่ยงออกมาจากอีกฝ่ายพร้อมกับคำพูดทิ้งท้าย "ข้ามีคนที่ให้เกียรติข้าแล้ว ซาฮาล ...เจ้าไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นมันให้ข้าอีก" เลสธีราห์ให้คำตอบราบเรียบ โดยไม่รู้เลยว่ามันเปรียบเสมือนคมดาบที่ฟาดฟันเข้าที่กลางอกของว่าที่ผู้นำแห่งแอสทารอธ

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.1 [18-12-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 18-12-2016 21:48:23
อื้อหื้อ คำพูดสุดท้ายคมกริบหั่นผักได้ฉั่บๆเลยค่ะ ให้รีดาห์ปลอบนะคะว่าที่เหนือหัวของบ่าว  o18
เลสเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้ว เราว่าใครก็คงมาขวางไม่ได้
ไม่ได้คอมเมนต์หลายตอน คิดถึงคนเขียนจังเลย เราสอบไฟนอลค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-12-2016 07:23:32
ตอนที่ 24.2

ประตูเมืองอาเดรียเปิดออกเพื่อต้อนรับกำลังพลสนับสนุนจากคัสนาห์ ผู้นำอาณาจักรอาเดรียกลับมาพร้อมกับกำลังเสริมที่ท่านหญิงซินญอร่าส่งมาช่วย แม้ว่าการที่เจ้าเมืองละทิ้งอำนาจเอาไว้ให้แม่ทัพจะเป็นโอกาสทองที่ไม่น่าปล่อยให้หลุดมือ แต่เอเดรียนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะกระทำการบุ่มบ่าม "ข้าจะให้จาเร็ตต์ลงเรือไปกับเอเรส อยู่ให้ห่างจากเรื่องที่เขาไม่ถนัด" จาเร็ตต์เป็นเลขาของเอเดรียน และฝ่ายนั้นถนัดการใช้สมองวางแผนมากกว่าการใช้กำลัง ดังนั้นสำหรับปฏิการที่ต้องการความคล่องตัวครั้งนี้ เอเดรียนจึงเลือกใช้แต่คนสนิทที่ไว้ใจได้และมีความสามารถพอที่จะปฏิบัติการเท่านั้น

"ส่วนเรื่องทางบก ข้าจะจัดการเอง"

แม่ทัพใหญ่มองดูการกลับมาของผู้นำอาณาจักรจากหน้าต่างห้องแผนที่ของคฤหาสน์ราห์โมนา และกองทัพที่ติดตามกลับมาสักแปดร้อยนาย ทั้งคัสนาห์และอาเดรียไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งกองทัพ จะมีก็แต่หน่วยอารักขาส่วนตัวของท่านชายและท่านหญิงเท่านั้น ดังนั้น กำลังพลที่มีจึงน้อยจนน่าใจหายหากเทียบกับกองทัพของเมืองใกล้เคียงอย่างไอย์ชวลหรือแอสทารอธที่มีกำลังพลหลายพันไปจนถึงหลักหมื่น

"ข้าไม่เข้าใจเลย โจฮาลล์... ทำไมเขาถึงเลือกสงครามทั้งที่เราไม่มีความพร้อมเช่นนี้"

คนสนิทร่างยักษ์เหลือบมองแม่ทัพของตนก่อนจะถอนใจ และเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ

"แอสทารอธเองก็ส่งเรือรบเพียงลำเดียวเข้าร่วม แม้ศึกครั้งนี้จะไม่มีหนอนบ่อนไส้ แต่ท่านชายแน่ใจได้อย่างไรว่าปราการแห่งอาเดรียจะสามารถทัดทานกองทัพเรือเวเรนเซียได้ อีกทั้งกำลังพลบนบกที่มีเพียงหยิบมือเช่นนี้ ท่านชายแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะสามารถเอาชนะได้" น้ำเสียงเอเดรียนเจือไปด้วยความผิดหวัง แม้ว่าหน้าที่การทำศึกจะเป็นของแม่ทัพ แต่แม่ทัพผู้นี้ก็ไม่เข้าใจผู้นำของตนเลยแม้แต่นิดเดียว

"นี่เอเดรียน..." ชายร่างสูงพึมพำผ่านหนวดเคราด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "ถ้าคนบนเรือเซเลสต์นั่นไม่ใช่เลสธีราห์... เจ้าจะคิดการกบฎไหม" เอเดรียนพยายามที่จะเจรจาหาทางออกที่นุ่มนวลละมุนละไมมาตลอด แต่ซินญอร์กลับไม่เห็นดีกับวิธีการเช่นนั้น และสุดท้ายแล้วเขาก็ยอมสร้างความบาดหมางที่ใหญ่ที่สุดระหว่างตนเองกับแม่ทัพใหญ่เพื่อให้บ้านเมืองได้มีหนทางดำเนินต่อไป

"ข้าพยายามแล้ว โจฮาลล์... ข้าพยายามยื้อทุกสิ่งเอาไว้" เอเดรียนหลับตาลง

"แต่หากยังปล่อยให้ท่านชายมีอำนาจต่อไป ภายภาคหน้าคงไม่ได้มีแค่เลสธีราห์ที่ต้องสังเวยชีวิต"

...เช่นนั้น นี่คงเป็นความหลักแหลมแยบยลของท่านชายแล้ว

"พวกขุนนางระดับสูงได้มีการวางตัวผู้สืบทอดอำนาจของท่านชายซินญอร์เอาไว้แล้ว แต่ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ข้าคงยอมให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ขึ้นปกครองอาเดรียไม่ได้" เอเดรียนหันไปหาคนสนิท "ข้าจะดูแลเขตปราการชั้นหนึ่ง กำลังพลหน่วยอารักขาซึ่งอยู่ในคำสั่งข้าจะอยู่ที่นั่น ส่วนเจ้าดูแลเขตสองซึ่งเป็นส่วนของกองกำลังจากคัสนาห์..."

"ท่านเอเดรียนคะ" หญิงรับใช้เอ่ยเรียกที่หน้าประตูห้อง "ท่านชายซินญอร์ต้องการหารือร่วมค่ะ"

โจฮาลล์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยและหันไปมองแม่ทัพใหญ่ที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย "เชิญท่านชาย" สิ้นเสียง ซินญอร์ก็เปิดประตูเข้ามาอย่างรีบร้อน โดยมีหญิงรับใช้อีกคนเดินตามและช่วยถอดผ้าคลุมไหล่ออก "ข้ากำลังหารือเรื่องการวางทัพอยู่ เตรียมที่จะไปรายงานท่านชายในวันนี้พอดี" เอเดรียนผายมือไปยังเก้าอี้หน้าโต๊ะ โดยไม่เคลื่อนสายตาขึ้นมองผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย ซึ่งโจฮาลล์เองยังสังเกตได้ว่านี่คือการแสดงออกถึงความไม่พอใจผู้นำของตนอย่างที่สุด

"คัสนาห์อยู่ในฤดูล่าสัตว์ ดังนั้นทหารรับจ้างจึงมีไม่มาก ข้าจึงได้กำลังพลมาเพียงหนึ่งพันสามร้อยกว่านาย" ซินญอร์ไม่สนใจท่าทางกระด้างกระเดื่องนั้นแม้จะสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากเอเดรียนก็ตาม แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่สมควรจะเกิดขึ้น และท่านชายก็ยินดีด้วยซ้ำที่เอเดรียนตัดสินใจได้สักที "กำลังพลหน่วยอารักขาของเจ้ามีเท่าไหร่"

โจฮาลล์ค้อมหัวลงเล็กน้อยและตอบแทนในฐานะคนสนิท "สี่ร้อยยี่สิบแปดนายขอรับ"

"ข้าจะวางหน่วยอารักขาเอาไว้ที่ปราการชั้นหนึ่ง พวกเขาล้วนแล้วแต่มีฝีมือเป็นเลิศ..." เอเดรียนเริ่ม

"กระจายหน่วยอารักขาออกเป็นหลายส่วน" ซินญอร์ตัดบทแม่ทัพ "คอยควบคุมดูแลกองทัพคัสนาห์แต่ละส่วนให้อยู่ในความเรียบร้อย อย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นของเขา ทหารคัสนาห์ไม่มีความชำนาญพอ และการต่อสู้อย่างไม่รู้ที่ทางอาจทำให้เสียกระบวนทัพ" เอเดรียนคิดว่าท่านชายของตนพอจะรู้แล้วว่าตัวเองคิดจะทำการใหญ่ จึงได้ออกคำสั่งกระจายคนใต้บัญชาของเอเดรียนออกไปเพื่อไม่ให้แม่ทัพใหญ่มีกำลังพลในมือ

กองทัพคัสนาห์รับคำสั่งจากท่านหญิงซินญอร่า และคงไม่ปล่อยให้ท่านชายมีอันตรายแน่นอน

"ส่วนกำลังพลอารักขาที่ปราการชั้นหนึ่งและสองก็ให้เป็นทหารคัสนาห์ให้โจฮาลล์คอยดูแล" ซินญอร์กล่าวเสียงเรียบ "ส่วนตัวเจ้าซึ่งเป็นถึงแม่ทัพย่อมต้องเป็นผู้นำทัพในการออกรบอยู่แล้ว จึงเหมาที่จะอยู่ปราการชั้นสามมากที่สุด และให้กองกำลังอารักขาของเจ้าอยู่ที่นั่นด้วยเพื่อรับหน้าศัตรู" คำสั่งของอีกฝ่ายทำให้เอเดรียนต้องมุ่นคิ้วต่อต้าน เพราะมันไม่ใช่แค่ทำให้ชายหนุ่มเสียแผน แต่มันคือคำสั่งที่เลือกส่งคนของตัวเองออกไปรับศึกก่อน

"ท่านชาย... ตามหลักแล้ว ทหารของเราจะต้องอยู่ที่ปราการชั้นหนึ่ง ทหารจากคัสนาห์จะต้องอยู่ปราการชั้นนอกสุด คำสั่งแบบนี้เท่ากับว่าส่งคนของเราออกไปตายก่อนชัดๆ" แม่ทัพเสียงแข็ง "อีกทั้งปืนใหญ่บนปราการชั้นหนึ่งก็มีพิสัยไกลที่สุด ดังนั้น..."

"อย่าให้ข้าพูดว่าข้าเห็นอะไรในตัวเจ้า เอเดรียน!" ผู้นำอาณาจักรตวาด "เจ้าไม่ใช่แม่ทัพคนเดิมที่ข้าเชื่อใจ... ไม่ใช่นับตั้งแต่เจ้าเลือกจะปกป้องเซนทอร์ตนนั้นก่อนช่วยเหลือบ้านเมืองตัวเอง" เสียงคนพูดสั่นเครือด้วยโทสะ แม่ทัพใหญ่พยายามมองข้ามสิ่งที่ซินญอร์พูด และพยายามไม่แสดงว่าเขาตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายมากแค่ไหน แม้ว่ามันจะแทงใจเสียจนจุกก็ตาม

"ข้าไม่เชื่อเจ้า เอเดรียน..."

--------------------------------------------------

ต่อให้เป็นฝ่ายเสียหาย แต่รีดาห์ก็ยังพยายามเข้าใจคนก่อเรื่อง และไม่อยากให้เลสธีราห์ตั้งแง่กับอีกฝ่ายมากกว่านี้ อย่างไรในอนาคตนั่นก็คือเหนือหัวสูงสุดของแอสทารอธซึ่งเลสธีราห์ไม่ควรจะมีปัญหาด้วย แต่เลสธีราห์ในตอนนี้ก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเกินกว่าจะอธิบายด้วยเหตุผลได้ ดังนั้นรีดาห์จึงคิดว่าเขาควรไปพบซาฮาลเพื่อไกล่เกลี่ยด้วยตัวเองจะเป็นการดีกว่า

ซึ่งร่างโปร่งจำได้ว่าสถานที่ที่สงบสำหรับซาฮาลก็คือห้องทำงานของเจ้าตัวเอง

ฝ่ายนั้นทอดกายอยู่บนแท่นที่นั่งประจำของตัวเองและเหม่อมองเอกสารหลายฉบับตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า โดยว่าที่ผู้นำแห่งแอสทารอธไม่แน่ใจว่าตนนั่งอยู่ที่เดิมมานานเท่าไหร่ อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนคิดจะทำอะไร หรือมีเหตุผลอะไรที่นั่งอยู่เฉยๆแบบนี้ นัยน์ตาสีเข้มเหลือบขึ้นมองดวงจันทร์ที่คล้อยหายไปจากสายตา และแสงดาวริบหรี่ที่ทำให้การอ่านอนาคตยากยิ่งขึ้น เซนทอร์หนุ่มองหาดวงดาวของตน มองหาเส้นทางของมัน และพยายามจะอ่านความเคลื่อนไหวจากเบื้องบน แต่สมาธิของเขากลับไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้เลย ตราบใดที่เสียงของเลสธีราห์ยังดังก้องอยู่ในหัวอย่างหนักแน่น

'ข้ามีคนที่ให้เกียรติข้าแล้ว... เจ้าไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นอะไรให้อีก'

ซาฮาลคาดหวังให้เลสธีราห์ต่อสู้... เขาชอบสายตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังและความต้องการเอาชนะ เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ตนนี้มักต่อสู้อย่างไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เลสธีราห์มักจะหาทางออกได้และต่อสู้จนสุดตัวเสมอ นั่นคือสิ่งที่ตรึงอยู่ในความทรงจำของซาฮาล

แต่วันนี้เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ตนนั้นกลับปฏิเสธที่จะต่อสู้กับเขา ปฏิเสธที่จะเอาชนะเขา ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า โดยไม่คิดจะอธิบายให้คู่สนทนาเข้าใจเลยว่าสิ่งที่สำคัญกว่าอีกสิ่งหนึ่งนั้นคืออะไร สำหรับเซนทอร์แล้วยังมีอะไรสำคัญไปกว่าการต่อสู้ การได้เป็นผู้ชนะอีกหรือไร ยังจะมีอะไรที่มีเกียรติไปกว่านั้นอีกหรือ

'การปกป้องคนรักเอาไว้ได้... คือเกียรติของข้า'

ครึ่งอาชาถูกเรียกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ของอัศวิน เซนทอร์ทุกตนเป็นนักรบที่ดูแลปกป้องตัวเองได้ ดังนั้นซาฮาบจึงไม่เข้าใจเหตุผลของเลสธีราห์เลย... คนประเภทใดที่ต้องการการปกป้องจากผู้อื่น หากพวกมนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนั้น เหตุใดเซนทอร์จึงต้องสงสาร แม้กระทั่งตนเองยังดูแลไม่ได้ แล้วเหตุใดผู้อื่นจะต้องดูแลด้วยเล่า

"แปลกดีที่ข้าเดาถูกว่าเจ้าอยู่ที่นี่..."

เสียงของรีดาห์ดึงคนที่กำลังเหม่อลอยให้หันกลับมา เซนทอร์ร่างโปร่งก้าวเข้ามาหาผู้ที่นั่งอยู่พร้อมกับวางมือลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย "แต่ละคนเหมือนจะมีจุดยืนเหม่อแต่ละที่ชัดเจนนะ อย่างเลสก็คงเป็นท่าเรือ เหนือหัวดาเรียสก็เป็นสวนด้านหลัง ท่านหญิงลีอาห์มักจะอยู่ลานน้ำพุ ส่วนว่าที่เหนือหัวซาฮาลกลับชอบห้องทำงานของตัวเอง"

ซาฮาลไม่ตอบโต้ประโยคนั้น ว่าที่ผู้นำมองคนที่เข้ามายืนเบื้องหน้าและรอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองว่ามีจุดประสงค์ใดจึงได้เข้ามาพบเขา ทั้งที่เพิ่งถูกเขาผลักตกทะเลไปเมื่อบ่ายนี้ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น ความขุ่นเคืองที่มีก็แทนที่ด้วยความรู้สึกผิด ยิ่งมองเห็นแขนของรีดาห์ที่ยังมีรอยช้ำจากการปะทะกำลังกับเขา ซาฮาลก็ลดโทสะในใจลงทีละน้อย

"เจ้ารู้ว่าสู้ข้าไม่ได้.. เหตุใดจึงยังเอาตัวเองเข้าขวาง"

มือใหญ่ค่อยๆเอื้อมไปแตะรอยช้ำนั้นช้าๆ และสังเกตสีหน้าของรีดาห์ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่เขาคิด "ไม่ได้เจ็บมากใช่หรือไม่" เซนทอร์สีน้ำตาลพยักหน้าตอบและพยายามเคลื่อนแขนของตนหลบสัมผัสนั้นช้าๆด้วยกลัวว่าซาฮาลจะทำอะไรรุนแรงอีก ต่อให้แปลกใจที่อีกฝ่ายใช้น้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม "เจ้าอาจจะผิวบาง... จึงได้ดูช้ำขนาดนี้"

"ถ้าข้าเป็นอะไรมาก คงไม่กล้ามาพบเจ้าหรอก" รีดาห์ตัดบท

"ข้าขอโทษ" และเมื่อได้ยินคำนั้น รองผู้บัญชาการก็เหลือบตาขึ้นมองคนพูดอย่างไม่นึกเชื่อว่าคำแบบนี้จะมีวันหลุดออกจากปากของซาฮาล ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ "เจ้าเจ็บตัวหลายครั้งคราเมื่ออยู่ใกล้ข้า" เขาเห็นรีดาห์เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นคนสนิทของเลสธีราห์ และโดยสถานะทั้งสองอย่างนี้ รีดาห์ไม่ควรเจ็บตัวจากเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ

"เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ ซาฮาล"

รีดาห์ถอนใจใส่อีกฝ่าย ความเถรตรง เด็ดเดี่ยว และดุดันสมเซนทอร์เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้ซาฮาลถูกเรียกว่าเป็นยอดอัศวิน แต่นั่นก็เป็นข้อเสียที่ทำให้เซนทอร์หนุ่มถูกเลสธีราห์เกลียดขี้หน้าแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามทำอะไรเพื่อฝ่ายนั้นมากมายก็ตามที

รีดาห์เข้าใจซาฮาล... แต่เขาเข้าใจเลสธีราห์ยิ่งกว่า

แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจใคร รีดาห์ไม่คิดว่าตอนนี้เขาควรจะมาสนใจเรื่องยิบย่อยแบบนี้

"ข้าแค่มาดูว่าเจ้าไม่เป็นไร" ร่างโปร่งว่า "ข้าเข้าใจเจ้า..."

"เจ้าไม่เข้าใจหรอก" ซาฮาลตอบเสียงเรียบ "แล้วข้าก็ไม่เป็นอะไรเพราะเรื่องแค่นี้อีกด้วย ข้าเป็นถึงว่าที่เหนือหัวไม่ใช่รึไง เจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว" แม้จะอยากพูดอะไรต่อ แต่ซาฮาลก็ตัดบททิ้งและหันไปมองทางอื่น "ไม่ต้องทำหน้าเห็นใจข้าแบบนั้น รีดาห์"

คู่สนทนามองตามใบหน้าที่เบือนหนีนั่นก่อนจะมุ่นคิ้วและส่ายหัวกับตัวเอง "จากสายตาของข้า เจ้าเป็นอะไรแน่ๆ ว่าที่เหนือหัว... มองจากจุดที่ข้ายืนตรงนี้ ข้าเห็นเจ้าไล่ตามคนที่เอาแต่พยายามหนีไปให้ไกล คิดว่าข้าไม่รู้สึกหรือ ว่าเจ้าทรมานแค่ไหน"

"รีดาห์..." ซาฮาลปรามเสียงเข้มขึ้น "กลับไปซะ"

ร่างโปร่งถอนใจและยอมเลิกราแต่โดยดี "ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะต้องออกเรือไปแล้ว"

นี่เป็นครั้งแรกที่ซาฮาลเคยได้ยินว่ามีใคร 'เป็นห่วง' เขา ว่าที่เหนือหัวเคลื่อนสายตาของมองคนตรงหน้าช้าๆ และพบว่าสิ่งที่รีดาห์พูดนั้นไม่ใช่การเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย "เลสธีราห์จะไม่ทำตามคำสั่งของเหรือดาเรียสใช่ไหม" แม้ว่าจะอยากถามซ้ำให้แน่ใจเพื่อให้ได้ยินคำนั้นอีกสักครั้ง แต่ซาฮาลรู้ดีว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องนั้น "จะขัดมติของสภาขุนนางใช่ไหม"

"ข้าเชื่อว่าเลสธีราห์จะทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่ออาณาจักร" ร่างโปร่งว่า

"เจ้ารู้โทษทัณฑ์ของการขัดคำสั่ง" ซาฮาลมุ่นคิ้ว "และต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถช่วยพวกเจ้าได้"

"นั่นขึ้นอยู่กับผลประโยชน์สุดท้ายที่แอสทารอธจะได้รับ ว่ามันมีน้ำหนักมากพอจะเปลี่ยนใจสภาขุนนางได้หรือเปล่า" รีดาห์ยิ้มเย็น "แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำตามมติของสภา แลกกับเรือสิบลำ และส่งเพื่อนสนิท... ไปฆ่าคนรักของตัวเองอย่างนั้นรึ" น้ำเสียงของคนพูดสั่นไหว และเจ้าของก็พยายามสูดหายใจเข้าเพื่อควบคุมอารมณ์ "ข้าภูมิใจในความเป็นอัศวินเซนทอร์ ซาฮาล... แต่คำว่าอัศวินไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลือดเย็นขนาดนั้น"

"หากเลสธีราห์ต้องการจะขัดคำสั่งนั่นก็เป็นเรื่องของเขา เจ้าไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงด้วย"

"เซนทอร์ทุกตนมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางของตนเอง ซาฮาล หากข้าต้องการไปรบ ข้าก็จะไป" รองผู้บัญชาการเซเลสต์ยืดอกขึ้น "จริงอยู่ว่าการต่อสู้ด้วยตนเองคือความเด็ดเดี่ยวของเซนทอร์ แต่ถ้าข้าอยากจะสู้หลังชนกับเพื่อน... ข้าจะไม่ใช่เซนทอร์เลยหรือไร"

"พวกเจ้าทั้งคู่ช่างดื้อด้าน หาเรื่องปวดหัวมาให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน"

"เช่นนั้นเจ้าก็ควรดีใจ... เพราะนี่อาจเป็นโอกาสที่ทำให้เจ้าไม่ต้องเจอเรื่องปวดหัวอีกเลย"

"..."

"เพราะถ้าข้ากับเลสไม่รอดขึ้นมา เจ้าก็คงไม่ต้องวุ่นวายอีก เหนือหัวซาฮาล"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


จริงๆรีดาห์นี่หยอดได้ร้ายนะ... คือนางชอบแซะให้คิด แล้วก็ได้ผลด้วย 555
ไป... ไปรบกันเถิดดด อยากเขียนอะไรบู๊ๆแล้ว... (คือซาฮาลยังไม่เคลียร์ไง เลยต้องเคลียร์นางก่อน)

ปล. เห็นนิยายที่มีตอนใกล้เคียงกัน (23-24 ตอน) เขาอยู่หน้า 20-30 กันแล้ว... ก็... อาห์... แนวเราคงอ่านยาก แต่ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ คือเห็นนะว่า +เป็ด อยู่ ฮ่าาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.2 [19-12-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 19-12-2016 14:41:52
ทำไมเหมือนอ่อยแบบเนียนๆอยู่เลยล่ะรีดาห์ลูกกก มีการบอกว่าอาจจะไม่เจอกันอีกเป็นนัยๆด้วย  :hao3:
//
อย่าคิดมากนะคะ เราอ่านอยู่นะ แถมนักอ่านเงาอีก งือ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.2 [19-12-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 19-12-2016 17:46:20
รีดาห์อ่อยแบบเนียนๆ ลุ้นทุกตอนที่อ่าน ยังยืนยันว่าเดาไม่ได้เลยค่า!!!

อย่าคิดมากนะคะ เราตามอ่านอยู่ บางทีไม่ค่อยได้เข้าเล้า พอเข้ามาอ่านทีก็เม้นท์ทีเดียว อยากบอกว่าเป็นนิยายแนวที่เราเฝ้ารอค่ะ อ่านไปคิดไปด้วยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น มีความเข้มข้นซับซ้อนน่าติดตามค่ะ เลิฟยูวววว
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.2 [19-12-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 20-12-2016 00:55:48
เพิ่งมาอ่านค่ะ รายงานตัว
อยากบอกว่าตอนแรกเกือบเลิกอ่านแล้วเพราะงง พวกชื่อตัวละคร ชื่ออาณาจักร
แต่พอตั้งใจอ่านไปเรื่อยๆ เริ่มจำได้เริ่มโอเคเริ่มสนุก ดีใจที่ตัวเองไม่เลิกอ่านไปก่อน
ชอบความรักของคู่หลักมากถึงจะม่าเหลือเกินก็เถอะ แต่แบบแพ้คำพูดเวลาเขาอยู่กันสองคน :-[
ส่วนคู่รองก็น่ารักดี ดูมีความห่วงใยผสมหลอกด่ากันตลอด :laugh:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.2 [19-12-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-12-2016 01:18:57
ตามแบบห่าง ๆ ค่ะ ยังไม่กล้าอ่าน  :o12:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 25.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 21-12-2016 16:30:55
ตอนที่ 25.1


เอเรสมองท้องฟ้าที่เป็นสีแดงฉานแปลกไปจากทุกที "มรสุม..."

ร่างสูงพึมพำกับตนเองก่อนจะมองไปที่ท่าเรือใหญ่ของอาเดรีย เรือพาณิชย์ที่มักจะทอดสมอจอดเกะกะอยู่ที่ท่าเล็กท่าน้อยพากันถอยกลับเข้าไปในโรงเก็บเรือจนหมด แทนที่ด้วยเรือรบของกองทัพอาเดรียที่ดัดแปลงด้วยการติดตั้งปืนใหญ่บนเรือพาณิชย์ตั้งแถวหน้ากระดานซ้อนหลั่นกันไปเพื่อกระจายกำลังออกป้องกันท่าเรือและปราการชั้นสามของอาณาจักร โดยเรือที่เล็กกว่าจะอยู่ด้านหน้า และเรือที่ใหญ่กว่าจะคอยดูแลด้านหลัง และควบคุมดูแลโดยโจฮาลล์

"พวกธีสธรัลอาจจะมาถึงเร็วขึ้น" จาเร็ตต์มีสีหน้าเป็นกังวล "ข้ายังไม่เห็นวี่แววของเลสธีราห์เลย"

"เจ้ายังจะหวังพึ่งเซนทอร์อีกหรือ ทั้งที่รู้ว่าข้ายื่นมือเข้าช่วยแล้วเนี่ยนะ" เอเรสหัวเราะลงคอ "ช่างไม่มีความเชื่อใจกันเอาเสียเลย น่าเสียใจจริงๆ" คนพูดแกล้งถอนใจ แต่เมื่อเห็นว่าคำตัดพ้อที่เสแสร้งของตนทำให้คนข้างกายยิ่งมุ่นคิ้วใส่ ราชาโจรสลัดก็ยักไหล่ยอมแพ้ "ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว"

"ถ้าเลสธีราห์เปลี่ยนใจ... ไม่ช่วยเราแล้ว แต่ทำตามคำสั่งของเหนือหัวดาเรียสเล่า"

"เจ้าคิดว่าคนสวยใจแข็งขนาดนั้นหรือไง" เอเรสหัวเราะ "จริงๆอยู่ว่านี่อาจจะเป็นการเลือกระหว่างเผ่าตัวเองกับเผ่าอื่น แต่ข้าไม่เชื่อว่าเซนทอร์จะไม่สนใจข้อเสนอของข้า เพราะนอกเหนือจากปืนคาบศิลาแล้ว ข้ายังให้อะไรที่มากกว่านั้น" ทั้งคู่ยังอยู่ที่คฤหาสน์ฟลินทรัสต์ และเฝ้ามองการจัดทัพเรือของอาเดรียอยู่ห่างๆ "พวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจยกทัพมาช่วยพวกเราเลยก็เป็นได้"

"ท่านชายเอเรส..." พ่อบ้านชราเคาะประตูห้องทำงาน และเปิดเข้ามาพร้อมกับแผ่นกระดาษยับย่นที่ผูกติดมากับขาของเหยี่ยวส่งข่าว "มีข่าวด่วนส่งมาขอรับ" เจ้าของชื่อรับสิ่งนั้นมาพิจารณาครู่หนึ่ง และพบว่ามันเป็นสัญลักษณ์เตือนภัยสูงสุดที่เขาใช้ในหมู่โจรสลัด

"จาเร็ตต์..."

"ข... ข้าเหรอ..." คนถูกเรียกมีสีหน้างงงวยเล็กน้อยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวเอง

"ข้าต้องไปพบโจฮาลล์ ส่วนเจ้าไปกับพ่อบ้าน ข้าจะตามไปสมทบทีหลัง" เอเรสออกคำสั่งเรียบสั้นด้วยน้ำเสียงที่มีความเป็นผู้นำขึ้นมาจนคนฟังต้องกลั้นหายใจ "เอาเรือของข้าออกมา" คนพูดกำกระดาษในมือก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จาเร็ตต์เห็นดังนั้นจึงรีบถาม

"จะไม่บอกข้าหน่อยเหรอว่าใครเขียนอะไรมาถึงเจ้า!"

เอเรสเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมกับสูดหายใจลึก "เรือบรรทุกน้ำมัน..."

--------------------------------------------------

'ถ้าข้าอยากจะสู้หลังชนกับเพื่อน... ข้าจะไม่ใช่เซนทอร์เลยหรือไร'

คำพูดของรีดาห์ยังคงสะท้อนอยู่ในหัวของซาฮาลมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืน จนบัดนี้อาจเรียกได้ว่าบ่ายคล้อย แต่เซนทอร์ร่างสูงก็ยังไม่อาจถอนตัวเองขึ้นจากภวังค์และอารมณ์ขุ่นมัว เขายังยืนอยู่ที่เดิมที่ท่าเรือมารินา และคิดแต่เรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่อาจปล่อยวางหรือหาทางออกได้ ซาฮาลคิดว่ามันกระทบกระเทือนจิตใจอย่างที่ไม่ควรจะเป็นเสียเหลือเกิน

ว่าที่เหนือหัวอย่างเขา... ไม่ควรจมอยู่กับเรื่องแบบนี้เลยแท้ๆ

'ข้ามีคนที่ให้เกียรติข้าแล้ว ซาฮาล ...เจ้าไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นมันให้ข้าอีก'

มุมปากของชายหนุ่มเหยียดยิ้มเย้ยหยันเมื่อคิดถึงคำพูดเหล่านั้น ใบหน้าคมเข้มที่ดูดุดันแสดงออกถึงความผิดหวังและสมเพช นี่คือสิ่งที่เขาควรได้รับอย่างนั้นหรือ ทั้งที่เขาหยิบยื่นทุกสิ่งให้ฝ่ายนั้นมาโดยตลอด มีแต่เขาเท่านั้นที่คอยปกป้องฝ่ายนั้น แล้วเหตุใดเลสธีราห์กลับไม่เคยพอใจหรือเห็นดีเห็นงามเลยสักครา มันไม่ใช่เพื่อเลสธีราห์หรือ เขาจึงยอมรามือจากการช่วงชิงตำแหน่งผู้นำเซเลสต์ และยอมเป็นผู้นำกองเรือพาณิชย์แทน มันไม่ใช่เพื่อเลสธีราห์หรือ เขาจึงฝึกฝนตนเองเพื่อเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งพอจะปกป้องฝ่ายนั้น มันไม่ใช่เพื่อเลสธีราห์หรือ เขาจึงทะเยอทะยานจนสามารถมาถึงตำแหน่งว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธได้

ไม่ใช่เพื่อฝ่ายนั้นเลยหรือไร...

เซนทอร์หนุ่มกำหมัดแน่นด้วยความโกรธขึ้งที่ไม่มีทางระบายออก เพราะทุกสิ่งที่เขาทำไปมันกลับสูญเปล่า ความพยายามทั้งหมดของชายหนุ่มไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเลสธีราห์ คนแบบไหนกันที่หยิบยื่นเกียรติให้เซนทอร์ตนนั้นได้ คนอย่างแม่ทัพอาเดรียอย่างนั้นหรือ... คนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้แบบนั้น คือคนที่สามารถให้สิ่งที่เลสธีราห์ต้องการได้หรือไร

...ซาฮาลไม่เข้าใจเลย

"เจ้ามาอยู่ที่นี่เองรึ" เสียงกีบเท้าหนักๆของเหนือหัวดาเรียสดังขึ้นพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำ เกือกเหล็กกระทบกับพื้นแข็งเป็นจังหวะการก้าวเดินช้าๆทว่ามั่นคงบ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายเข้ามายืนเคียงข้างแล้ว "ว่าที่เหนือหัวไม่ไปส่งพลทหารแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน"

ดาเรียสพูดถึงเมื่อเช้านี้ และกำลังตำหนิผู้สืบทอดของตนที่บกพร่องในหน้าที่

"กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของนักรบ หากผู้นำไม่ใยดี ขุนพลที่ไหนจะมีเรี่ยวแรงไปทำศึก"

"อภัยข้าด้วย เหนือหัว" ผู้น้อยกว่าหันกลับมาและย่อเข่าลงอย่างสำนึกผิด "ข้าตกอยู่ในภวังค์ที่ไร้ทางออก ถูกครอบงำด้วยอารมณ์ที่ผู้นำอาณาจักรไม่ควรมี อีกทั้งยัง..." ดาเรียสกระแอมในลำคอเป็นเชิงปรามคนพูด และทอดมองร่างที่ยังย่อเข่าจนติดพื้นอีกสักพักก่อนจะถอนใจออกมา

"อารมณ์ใดที่ชี้ทางผิดให้เจ้า ซาฮาล... อารมณ์ใดที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธไม่ควรมี"

"..."

"หากผู้นำอาณาจักรตกอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ แล้วจะนำพาความสงบสุขมาให้อาณาจักรได้อย่างไร" เหนือหัวดาเรียสว่า "สิ่งที่ครอบงำเจ้าไม่ใช่อารมณ์ที่เหนือหัวไม่ควรมี ซาฮาล... แต่มันเป็นอารมณ์ที่เจ้าเอาชนะไม่ได้ต่างหาก" เซนทอร์หนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า เขาก็ยืดตัวขึ้นยืนบนขาตนเองอีกครั้ง

"เมื่อเจ้าเอาชนะอารมณ์นั้นไม่ได้ หน้าที่ที่ควรทำก็จะถูกลืมไปเท่านั้นเอง"

เหนือหัวดาเรียสไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ทำให้คนอย่างซาฮาลทุกข์ใจได้นั้นคือเรื่องใด เพราะอีกฝ่ายเป็นคนหนักแน่น ดุดัน และแข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย อีกทั้งยังมีความคิดที่เฉียบคมและการตัดสินใจที่เฉียบขาด แต่หากพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้แล้ว ดาเรียสค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องที่กวนใจซาฮาลคงไม่พ้นเรื่องของเลสธีราห์

"เรื่องบางเรื่อง... พูดออกมาเสียบ้าง ซาฮาล นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเหนือหัวต้องมีคนสนิท"

ผู้นำแอสทารอธตัดสินใจเดินนำคู่สนทนาออกไปจากโรงเก็บเรือที่ว่างเปล่า เพราะเขาไม่ใคร่จะชอบใจอากาศภายในนั้นสักเท่าไหร่ เสียงฝีเท้าของซาฮาลก้าวตามมาช้าๆและดูพินิจพิจารณาไม่เหมือนเคย "เมื่อเช้านี้ท้องฟ้าเป็นสีแดงฉาน ลมทางตะวันออกคงจะแรงกว่าที่เคย เลสธีราห์จึงได้รีบร้อนออกไปแบบนั้น"

"เหนือหัวดาเรียส ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงอยากได้ตำแหน่งนี้"

ผู้นำแอสทารอธเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและเหลียวกลับมามองคนถามช้าๆ "มันเป็นเกียรติของเซนทอร์ทุกตนไม่ใช่หรือไร การได้เป็นเหนือหัวสูงสุด ผู้นำเผ่า ผู้ปกครองอาณาจักร โดยเฉพาะคนที่ถือเรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างเจ้าแล้ว มันย่อมเป็นสิ่งที่ปรารถนาที่สุดในชีวิตไม่ใช่หรือไร"

..เขาดูเป็นคนอย่างนั้นหรอกหรือ

ซาฮาลถอนใจกับตัวเอง "ท่านไม่คิดว่าข้าจะเป็นเหนือหัว... เพื่อใครเลยหรือ"

"เพื่อตัวเจ้าเอง ซาฮาล" ดาเรียสหรี่ตาลงเล็กน้อย "เจ้าเกิดในตระกูลที่มีฐานะ ลักษณะดี และเป็นอัศวินโดยสายเลือด มันอาจเป็นภาระบนบ่าที่เจ้าต้องแบกรับโดยไม่รู้ตัว และจากสิ่งที่ข้าเห็น... เจ้าทะเยอทะยานเพื่อเกียรติแก่ตัวเอง"

"ข้า... มาถึงจุดนี้เพื่อเลสธีราห์"

"..." สิ่งที่ออกมาจากปากของซาฮาลทำให้ดาเรียสชะงักไปครู่หนึ่งเนื่องจากคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันแล้ว ดาเรียสก็พอจะรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมีอาการซึมเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็น และดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้

"ท่านหญิงลีอาห์จะหมดอำนาจในหมู่ขุนนางเมื่อเหนือหัวดาเรียสสละตำแหน่ง แต่เลสธีราห์ก็จะยังเป็นผู้นำเซเลสต์ต่อไป เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์เช่นเขา... ไม่เคยได้รับการยอมรับจากใครมาก่อน และถ้ายิ่งหมดอำนาจของท่านหญิงลีอาห์แล้ว เลสธีราห์จะใช้ชีวิตอยู่ในวงขุนนางแอสทารอธตามลำพังได้อย่างไร"

"เจ้าจึงพยายามหาหนทางให้เขาพิสูจน์ตัวเองอย่างนั้นหรือ"

ดาเรียสถาม และคำตอบของซาฮาลคือการพยักหน้า "แต่เมื่อเขาบอกข้าว่า เขาไม่เคยต้องการความหวังดีจากข้าเลย... ไม่เคยรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของข้าเลย... จนคำพูดเหล่านั้นย้ำอยู่ในหัวข้ามาตลอดนับตั้งแต่ได้ยินมัน นี่คือความรู้สึกที่เหนือหัวควรมีอย่างนั้นหรือ!" ซาฮาลที่ดูเป็นผู้ใหญ่เสมอมาถามด้วยน้ำเสียงที่ขาดความมั่นใจอย่างไม่เคยเป็น "ข้าก้าวมาถึงจุดนี้ก็เพื่อเขา แต่เมื่อเขาปฏิเสธ ข้ากลับท้อถอยและไม่คิดถึงเซนทอร์ตนอื่นเลย... นี่คือสิ่งที่เหนือหัวคงคิดอย่างนั้นหรือ!"

"ซาฮาล" ดาเรียสเรียกอีกฝ่าย "การเป็นเหนือหัวไม่ได้หมายความว่าจะรักใครไม่ได้"

"..."

"แต่หากผิดหวังในรักแล้วก็ต้องเข้มแข็งต่อไป อย่าได้จมปลักอยู่กับความทุกข์หรือความเศร้า นั่นคือสิ่งที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธควรจะทำ" ดาเรียสไม่คิดว่าเขาจะต้องเอื้อมมือไปลูบหัวคนอย่างซาฮาล ผู้นำกองเรือกราเทียร์ผู้แข็งแกร่งคนนั้นไม่เคยต้องการใคร และไม่เคยแสดงความอ่อนแอใดๆออกมาให้เห็น แต่เมื่อสิ่งที่ทำให้ซาฮาลแข็งแกร่งมาตลอดแตกสลายไป ดาเรียสก็เห็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเท่านั้น

"ข้าก็เคยผิดหวังในรักเหมือนเจ้า" ผู้นำอาณาจักรหัวเราะเบาๆกับตัวเอง "ข้าก็เคยชอบสตรีนางหนึ่ง"

คนฟังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ดาเรียสลูบหัวตนเองเหมือนเด็กๆ ชายหนุ่มกำลังพยายามรวบรวมสติ และดึงความเป็นตัวเองกลับมาโดยที่ฟังเรื่องราวของดาเรียสไปด้วย "แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เห็นข้าเป็นแค่สหาย แต่ข้าก็เพียรเฝ้ามองนาง... นับตั้งแต่เป็นลูกของเหนือหัว จนกระทั่งได้เป็นเหนือหัวในที่สุด ข้าก็เลือกสารภาพกับนางหวังให้นางมาเป็นยอดดวงใจ"

นัยน์ตาของเหนือหัวดาเรียสส่ายไหวเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้

"แต่นางก็ตอบว่านางมีคนที่นางรักแล้วและไม่อาจตอบรับข้าได้... แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็รักนางอยู่ดี จึงได้คอยดูแล ปกป้องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไม่หวังจะได้อะไรตอบแทน" ดาเรียสทอดยิ้ม "ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเลสธีราห์"

--------------------------------------------------


อ้าว เหนือหัว... 555
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 25.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 23-12-2016 10:38:27
ตอนที่ 25.2


เอเดรียนค่อนข้างมั่นใจว่าผู้นำแห่งอาเดรียล่วงรู้ความคิดของเขาแล้ว แต่ไม่สามารถหาหลักฐานใดมาพิสูจน์ได้ อีกทั้งในเวลานี้ยังไม่เหมาะสมที่จะมาจับผิดกันอีกด้วย ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากพี่สาวที่คัสนาห์เพื่อเป็นการเตือนเอเดรียนว่าหากเปิดสงครามกับท่านชายซินญอร์ก็เท่ากับตั้งตนเป็นศัตรูของคัสนาห์ด้วย

...แต่ถึงกระนั้น แม่ทัพใหญ่ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด

แม้ว่าหน่วยอารักขาฝีมือดีของเขาจะต้องกระจายกำลังออกเป็นหลายส่วนเพื่อควบคุมดูแลกำลังพลของคัสนาห์ที่ถูกส่งมาช่วย และเอเดรียนอาจเข้าถึงตัวท่านชายซินญอร์ได้ยากขึ้น แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอุปสรรค ขอเพียงแค่ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ขอแค่ถึงช่วงเวลาที่แน่ใจว่าอาเดรียจะปลอดภัย

นี่เป็นสงครามทั้งภายในและภายนอกจริงๆ ...อีกทั้งไม่มีทางใดให้เขาถอยอีกด้วย

กองทัพของอาเดรียไม่เคยรับรู้ถึงแผนการกบฎนี้ และต่อให้ความสัมพันธ์ของเอเดรียนกับกองทัพอาเดรียจะแน่นแฟ้นสนิทสนมกันมากกว่าท่านชายซินญอร์ แต่อย่างไรคนที่เขากำลังต่อสู้ด้วยก็คือผู้นำอาณาจักรที่ได้ชื่อว่ามีสายเลือดของกษัตริย์องค์สุดท้าย สำหรับเมืองที่เคยปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มาก่อน อย่างไรการเปลี่ยนผู้นำก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี และตัวเอเดรียนเองก็ไม่เคยคิดด้วยว่าเขาจะสามารถตั้งตนเป็นกษัตริย์แทนได้จริงหรือไม่

เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า... ในฐานะของผู้นำก่อการกบฎนี้

...คนที่ตัดสินใจทรยศผู้มีพระคุณอย่างเขา จะสามารถทนความอัปยศและมีชีวิตต่อไปได้หรือเปล่า

อัลธอร์พาคนบนหลังวิ่งขึ้นไปด้านบนกำแพงที่ซึ่งพลธนูของคัสนาห์ประจำการอยู่ "ท่านแม่ทัพเอเดรียน กองเรือของอาเดรียพร้อมแล้ว แต่ข้ายังไม่เห็นวี่แววของพวกแอสทารอธเลย" กองเรือของอาเดรียกระจายกำลังทั่วอ่าวตรงหน้า โดยมีเรือสั่งการลอยลำอยู่กลางกองทัพ แม้จะไม่มีวี่แววของแอสทารอธ แต่เองเดรียนก็คิดว่ากองทัพเรือของเขาพร้อมในการต่อสู้แล้ว

เว้นเสียแต่เส้นขอบฟ้าสีส้มแดงจะปรากฎแถวแนวของกองเรือ และเสียงแตรอันเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพเรือที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอันดับสองของในท้องทะเลนี้ มันนำพาทั้งความตึงเครียดและความกดดันมาสู่ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นได้โดยไม่ต้องสงสัย

ฝูงนกทะเลส่งเสียงร้องระงมแตกตื่นขณะบินวนทั่วท้องฟ้า เอเดรียนกลั้นหายใจเมื่อเห็นจำนวนข้าศึก ลมแรงในยามเช้าพัดกระพือให้ใบเรือสีขาวนำพาเรือไม้ขนาดใหญ่แล่นข้ามทะเลมา ผนวกแรงกับฝีพายที่ประสานจังหวะกันอย่างลงตัว ทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด

"เรือสั่งการ..."

โจฮาลล์ที่อยู่บนเรือรบด้านหน้าสุดกลั้นใจ ขณะปราดสายตาประเมินกำลังศัตรูที่คืบคลานเข้ามา ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกพรั่งพรึงหรือตกใจอย่างพลทหารและลูกเรือคนอื่น แต่เขากำลังคำนวนทางหนีทีไล่อย่างรอบคอบ "เรือสั่งการของพวกมันอยู่ด้านหลัง... ด้านหน้าสุดเป็นเรือเร็วไม่มีปืนใหญ่"

"เรือเหล็ก..."

ธีสธรัลใช้เรือใบพายขนาดใหญ่สองลำนำหน้ามุ่งตรงเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ตามมาด้วยเรือเหล็กที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า "เรือบรรทุกน้ำมัน!!" เสียงตะโกนที่ไม่มีใครคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับการมาถึงของม้าสีดำตัวเขื่องที่ร่อนลงมาจากฟ้าด้วยปีกมหึมา

ตึง!

ลูกเรือที่อยู่บนดาดฟ้าแตกฮือเพื่อหลีกทางให้ม้าใหญ่ โดยที่ผู้ควบขี่กระโดดลงจากหลังของมันและตรงเข้ามาหาโจฮาลล์อย่างเร่งรีบ "จัดขบวนใหม่... พวกมันส่งเรือน้ำมันพุ่งเข้ามาในกลุ่มเรา เรือรบทั้งหมดแหวกทางออกไปให้ไกลที่สุด" ม้ามีปีกเป็นสายพันธุ์ม้าป่าที่หายากและมีราคาสูง ดังนั้นจึงเป็นการบอกฐานะของผู้มาถึงได้อย่างดี อีกทั้งรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียง โจฮาลล์มั่นใจว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับเอเรส ฟลิสทรัสต์ น้องชายของเอเดรียน

แม้น้ำเสียงของเอเรสจะดุดันและน่าเกรงขามไม่ต่างจากพี่ชาย แต่คำสั่งของเอเรสก็ค่อนข้างกำกวม ระบุจุดประสงค์ไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีที่มาที่น่าเชื่อถือพออีกด้วย ดังนั้นทุกคนจึงลังเลที่จะทำตาม "เราจะเสียเรือรบไปเปล่าประโยชน์ถ้ายังขวางหน้าพวกมัน"

โจฮาลล์มองภาพที่เกิดตรงหน้าและพยักหน้าเห็นด้วย "จัดขบวนใหม่! เรือรบปะทะด้านข้าง!"

ธงสัญญาณที่อยู่บนเรือสั่งการเปลี่ยนสี และแตรอาเดรียก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากเรือลำอื่น ก่อนที่เหล่ากัปตันจะแปรแถวจากหน้ากระดานมาเป็นการจับกลุ่ม "พวกมันไหวตัว..." แม่ทัพกองเรือเวเรนเซียว่า "แปรขบวน! เราจะตั้งรับการปะทะของพวกมันอยู่ที่นี่!"

เอเดรียนมองดูการจัดทัพของทั้งสองฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของชายหนุ่มเพ่งมองไปที่เรือเหล็กลำใหญ่ของธีสธรัลที่ถูกลากมา "เรือเหล็ก..." ร่างสูงพึมพำ "ไม่มีแม้แต่หางเสือเพื่อจะบังคับทิศทาง..." เรือพายที่ลากนำหันหัวกลับไปยังเวเรนเซียพร้อมกับตัดโซ่เส้นยาวให้ขาดสะบั้น ปล่อยให้เรือเหล็กพุ่งผ่านเกลียวคลื่นเข้าหาแผ่นดิน

"ท่านแม่ทัพ!" เสียงตะโกนมาจากกำแพงด้านบนทำให้แม่ทัพใหญ่ต้องหันกลับไปมองต้นเสียง พลทหารชี้มือออกไปทางทะเลเปิดเบื้องหน้าพร้อมกับพูดอะไรสักอย่างที่เขาไม่สามารถจับความได้เนื่องจากเสียงฮือระงมของพลทหาร

"เรือเซเลสต์! ท่านแม่ทัพ!"

ปากอ่าวอาเดรียนั้นเป็นหน้าผาสูง และเรือที่โผล่พ้นผาหินออกมาก็คือเรือสามเสาที่มีธงสัญลักษณ์ของเซนทอร์ แผ่นไม้มหึมาขยับพายพาเรือรบเข้ามาขวางระหว่างเรือเหล็กและปากอ่าวอาเดรีย ร่างโปร่งที่บังคับทิศทางอยู่ท้ายเรือปราดสายตามองไปยังข้าศึกจากตะวันออก

"เก็บพายทั้งหมดเข้ามา..."

เลสธีราห์ถ่ายทอดคำสั่งไปยังรีดาห์ โดยที่ตนเองก้าวขึ้นไปบนกราบเรือและมองดูประตูปืนฝั่งซ้ายค่อยๆเปิดออกทีละบาน "เรือเหล็ก..." ท่อนเหล็กลอยน้ำเคลื่อนผ่านเข้ามาในกองทัพอย่างเชื่องช้า เซนทอร์หนุ่มได้ยินเสียงโหวกเหวกด้วยความตื่นตระหนกของลูกเรืออาเดรีย กองทัพอาเดรียกำลังจัดขบวนใหม่โดยเปิดทางให้เรือเหล็กของธีสธรัลผ่านเข้ามาในน่านน้ำเพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียเรือรบ และใช้เรือพายขนาดใหญ่หลายลำเรียงแถวขึ้นเป็นแนวป้องกันที่ปากอ่าวแทน

"เรือรบดัดแปลง... ติดตั้งปืนใหญ่บนเรือพาณิชย์ขนาดกลาง" แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้วมองในระยะไกล "จะว่าไปก็แก้ปัญหาได้ไม่เลวหรอกนะ เอเรส" เลสธีราห์จรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองข้าศึกที่จัดกระบวนขึ้นมาโดยให้เรือขนาดใหญ่อยู่ที่ปลายแถวด้านหน้าสุดเพื่อหวังโอบล้อมอ่าวออโรรา "กระบวนรบแบบจันทร์เสี้ยว... ต้องใช้ปืนใหญ่พิสัยไกล"

"กระบวนรบแบบจันทร์เสี้ยวทำให้ปืนใหญ่พิสัยไกลหมดความหมาย" รีดาห์เดินตามมาสมทบและร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ "มันเป็นการตั้งรับอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนจะไล่กลับเข้ามาเช่นเดียวกับลักษณะเขากระทิงป่า เราต้องทำลายรูปขบวนของพวกมันให้ได้ก่อน แล้วจึงแยกตีเรือที่กระจัดกระจาย เพียงแต่เราไม่มีกำลังมากพอ" รองผู้บัญชาการขบริมฝีปากตนเองเบาๆ "หากมีเรือใต้บัญชามากกว่านี้ก็คงดี"

"ข้าคิดว่าเอเรสอ่านเกมพวกมันออก" เลสธีราห์ว่า และกลับมาสนใจเรือเหล็กลำใหญ่ที่ลอยเข้ามาเพียงลำพัง "ข้าจะยิงเจ้านี่เอง" นัยน์ตาสีฟ้าเขม้นมองสิ่งที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา มือเรียวหยิบคันธนูคู่ใจขึ้นมาและแตะนิ้วขึ้นสายเปล่าอย่างที่เคยทำ เซนทอร์หนุ่มกำลังจะง้างสาย แต่แล้วพลทหารคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมกับอาการตื่นตระหนก

"ท่านเลสธีราห์!!"

แม่ทัพเรือเสียสมาธิกับเป้าหมาย "มีอะไรกัน..."

"พายทุกเล่มได้รับความเสียหายหมดเลยขอรับ!" แม่ทัพหนุ่มมุ่นคิ้ว และยอมละสายตาจากเรือเหล็กเพื่อตามอีกฝ่ายไปที่ท้องเรือ ที่ซึ่งลูกเรือกำลังแตกตื่นเมื่อดึงท่อนไม้พายขนาดใหญ่กลับเข้ามาในท้องเรือและพบว่ามีของเหลวสีดำลื่นติดมาด้วย

"ทะเลอาเดรียนี้มีพิษ!"

"มันคือมลพิษที่จะแผ่กระจายออกไปถึงน่านน้ำของเรา!"

เลสธีราห์ก้าวลงมาชั้นล่าง และพบว่าน้ำทะเลที่เจิ่งนองอยู่ที่ท้องเรือกลายเป็นของเหลวสีดำที่ส่งกลิ่นฉุนร้ายกาจ อีกทั้งใบพายทุกเล่มที่ดึงกลับเข้ามาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเหล่านี้เต็มไปหมด "ท่านเลสธีราห์ ทะเลนี้มีพิษ! ถ้าเรายังลอยลำเซเลสต์อยู่ละก็..."

แม่ทัพหนุ่มยกมือปรามคนพูด "เหลวไหล"

ร่างโปร่งก้มพิจารณาใบพาย และสัมผัสของเหลวนั้นด้วยมือของตน "เลสธีราห์..." รีดาห์ตามลงมาจากด้านบน "เราอยู่ใต้ลม หากเข้าไปใกล้จะยิ่งเสียเปรียบ..." รองผู้บัญชาการสะดุดกับสิ่งที่พบ ก่อนจะย่นจมูกกับกลิ่นอันไม่น่าพึงประสงค์ที่กระจายไปทั่วท้องเรือ

"หยุดปืนใหญ่ทุกกระบอก..."

แม่ทัพหนุ่มยื่นมือของตนให้คนสนิทเห็นคราบสีดำเปียกลื่นบนนิ้ว "นี่คือน้ำมันดิบ... รีดาห์ เรือเหล็กนั่นปล่อยน้ำมันลงทะเล ถ้ามันเจอประกายไฟเมื่อไหร่ก็จบกัน" ร่างโปร่งวิ่งขึ้นบันไดนำหน้าไปพร้อมกับตะโกนออกคำสั่ง "ดึงปืนใหญ่กลับเข้ามา! ห้ามจุดไฟ!! พวกท้องเรือรีบขึ้นมาให้หมด! หันพังงาไปทางขวา!"

เมื่อแม่ทัพใหญ่เปลี่ยนคำสั่ง เซนทอร์บนเรือก็ได้แต่ชะโงกชะเง้อมองตามด้วยความไม่เข้าใจ

เลสธีราห์กลับขึ้นมายังด้านบนและมองดูเรือเหล็กลำใหญ่เคลื่อนตัวผ่านไปช้าๆ มุ่งหน้าสู่ด้านในอ่าวอาเดรีย โดยที่ข้างลำเรือยังปล่อยน้ำมันสีดำออกมาไม่ขาดสาย "หันหัวเรือไปให้พ้นเรือลำนั้น..."

...บรึ้ม!

ตะเกียงไฟหลายดวงถูกเหวี่ยงออกมาจากเรือของธีสธรัลที่ด้านหน้า และเมื่อมันตกกระทบผิวน้ำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน เปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นกลางทะเล เรือรบแถวหน้าเปลี่ยนทิศทางเพื่อเลี่ยงลูกไฟ แต่แล้วมันก็ไปเบียดเส้นทางของเรือที่แล่นตามมาทำให้ขบวนทัพสับสนและประสานงาชนกันเองอย่างรุนแรง

โครม!

ตูม!

"ธนูไฟ..." แม่ทัพเวเรนเซียสั่งเสียงเย็น "ยิงธนูไฟลงน้ำ!"

แตรสัญญาณของธีสธรัลดังขึ้น พลธนูก้าวมาที่กราบเรือทั้งสองข้างพร้อมกับลูกธนูที่ติดไฟ ขณะที่กองเรืออาเดรียตรงหน้าอยู่ในความโกลาหล เปลวไฟที่มอดไหม้อยู่บนผิวน้ำเริ่มลามไปทั่วบริเวณ และไม่ว่าเรือจะเคลื่อนไปทางใดก็จะลากเอาคราบน้ำมันตามไปด้วย

เอเดรียนอ้าปากค้างมองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร "...โจฮาลล์" ความตื่นตระหนกทำให้เรือหลายลำพุ่งเข้าชนกันเอง กระทั่งเรือสั่งการเองก็ยังพยายามเบนหัวออกไปอย่างไร้ทิศทางให้พ้นกองไฟและรักษาเรือเอาไว้ กลุ่มธนูไฟที่พุ่งออกมาจากกองเรือธีสธรัลยิ่งทำให้ท้องสมุทรลุกโชนเป็นทะเลเพลิง ทว่าแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรียก็ทำให้แค่ยืนมอง

โครม...!!!

เรือเหล็กพุ่งเข้าชนกลางกลุ่มเรือใบพายที่ขวางทาง และพุ่งต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

"...ต้องระเบิดเรือนั่นทิ้ง" เอเรสพึมพำขึ้นหลังจากใช้เวลาสักพักในการตั้งสติ "โจฮาลล์! สั่งให้เรือพุ่งเข้าเทียบกันเป็นขบวนแล้วถ่ายกำลังคนกลับมาให้มากที่สุด!" ร่างบนหลังม้าคว้าธนูคันใหญ่ขึ้นมาถือพร้อมกับแตะปลายลูกดอกหนึ่งกับไฟเพื่อจุดธนูเพลิง แล้วกระทุ้งสีข้างม้าคู่ใจแรงๆทีหนึ่ง "เอาชีวิตคนกลับมาให้มากที่สุด!!"

"เอเรส!!"

ถ้าเรือเหล็กยังไม่หยุดเคลื่อน อ่าวอาเดรียก็จะกลายเป็นทะเลเพลิงอย่างแท้จริง

ม้าสีดำกระโจนขึ้นบนกราบเรือและดีดตัวออกไปพร้อมกับกางปีกออกเพื่อพาคนบนหลังออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า "เทียบเรือ!! เทียบเรือลำหน้า พาคนกลับมา!!" เสียงของโจฮาลล์ตะโกนสั่งการอยู่เบื้องหลัง ในขณะที่เอเรสพาม้าของตนบินออกไปที่กลางทะเล โดนเว้นระยะห่างจากเรือน้ำมัน แต่ก็ใกล้พอที่จะยิง เขาง้างลูกดอกขึ้นสายเล็งไปที่น้ำมันจำนวนมากที่กำลังทะลักทลายออกมาจากลำเรือ และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ผู้นำโจรสลัดก็ยิงลูกดอกติดไฟไปที่เป้าหมาย

บรึ้ม...!!!

เสียงระเบิดดังสนั่นเกิดขึ้นพร้อมประกายไฟที่พุ่งสูงขึ้นในอากาศ ตามมาด้วยกลุ่มควันสีดำคละคลุ้ง ความรุนแรงที่สามารถเปลี่ยนทิศทางของเกลียวคลื่นทำให้เรือที่อยู่ใกล้เคียงเสียหลักทรงตัว สะเก็ดไฟจำนวนมากปลิวมาตามแรงลมและติดบนใบเรือลุกโชนโหมขึ้นอีกระรอก

"ไฟไหม้ใบเรือ!!"

"ไฟไหม้ดาดฟ้าเรือ!!"

โจฮาลล์เงยหน้าขึ้นมองกลุ่มควันบนฟ้ามืดครึ้มแม้จะเป็นยามกลางวัน และมองศัตรูที่ยังสงบนิ่งอย่างใจเย็นเพื่อดูความวินาศของกองทัพเรืออาเดรีย "สละเรือ..." น้ำมันดิบยังลามเข้ามาไม่ถึงด้านในของอ่าวออโรรา ดังนั้นโอกาสรอดของพวกเขายังคงมีอยู่ "สละเรือ!! เรือที่ติดไฟ สละเรือ!!" เรือรบแต่ละลำมีคลังแสงของตนที่ใช้เก็บดินปืนและอาวุธทั้งหลาย หากปล่อยให้ไฟไหม้ต่อไปเช่นนี้ อีกไม่นานก็จะเกิดการระเบิดในที่สุด กองทัพเรือของอาเดรียมีเพียงยี่สิบลำ และอย่างน้อยสิบลำในตอนนี้ก็ติดไฟแล้ว

แต่แตรของแอสทารอธกลับถูกเป่าขึ้นจนความโกลาหลวุ่นวายหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ เรือเซเลสต์แล่นออกมาจากม่านควันดำกับเรือที่ไม่ได้รับอันตรายใด เว้นเสียแต่ลูกไฟเล็กๆที่ติดอยู่บนผิวทะเลโดยรอบเท่านั้น

เลสธีราห์กระโจนขึ้นมายืนหน้าด้านของหัวเรือที่เคลื่อนเข้าใกล้เรือของโจฮาลล์

"ตามข้ามา!" ลมยามกลางวันส่งให้เรือรบขนาดใหญ่เคลื่อนนำไปเบื้องหน้าแม้ว่าจะเป็นทะเลเพลิง ใบเรือสีขาวทั้งหมดถูกกางออกโดยไม่กลัวเกรงสะเก็ดไฟ พวกเซนทอร์เป่าแตรของตนพร้อมกับระดมพลที่มีอาวุธครบมือขึ้นมาบนดาดฟ้า "ใช้เรือไฟพุ่งชน!"

โจฮาลล์มองตามอีกฝ่ายไปสักพักจึงได้เข้าใจสิ่งที่เลสธีราห์ต้องการ

"บอกกัปตันทุกลำ!! เราจะใช้เรือไฟเข้าชนธีสธรัล!"

--------------------------------------------------

แม้ว่าการบาดเจ็บที่ข้อเท้าจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเซนทอร์ แต่มันกลับเป็นโอกาสหนึ่งที่ทำให้แม่ทัพหญิงโมนาสามารถใช้เวลาพักฟื้นอยู่กับบุตรชายได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะกลับไปร่วมประชุมในสภาขุนนางวันรุ่งขึ้นอันหมายถึงการกลับไปทำหน้าที่แม่ทัพตามเดิมโดยสมบูรณ์ ในวันนี้เซนทอร์หญิงจึงได้แต่เอนกายนอนอยู่บนแท่นและเฝ้ามองบุตรของตนซ้อมดาบไม้อยู่กับบิดาของตน ซึ่งนั่นก็คือตาของเขานั่นเอง

ตระกูลของนางนับเป็นตระกูลที่เก่าแก่ตระกูลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการทำศึก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฝึกฝนให้มีความชำนาญด้านการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็กเพื่อในภายภาคหน้าจะเติบโตขึ้นไปเป็นอัศวินเซนทอร์ต่อไป

"โมนา" หญิงสาวหันตามเสียงเรียกของน้องสาวต่างมารดา ผู้ที่คอยนำข่าวสารบ้านเมืองมารายงานให้ฟังทุกวัน และแน่นอนว่าโมนาย่อมรู้เรื่องคำตัดสินของเหนือหัวดาเรียส เรื่องความสัมพันธ์ของเลสธีราห์และเอเดรียน อีกทั้งยังรู้ถึงความคิดจะขัดคำสั่งสภาขุนนางของรีดาห์อีกด้วย แต่ในเมื่อไม่มีคำสั่งมาถึงนาง โมนาคิดว่าตนควรจะวางตัวสงบเอาไว้และรอดูสถานการณ์ต่อไป

ทว่าในวันนี้ เฟรดากลับเดินทางมาพร้อมซาฮาล ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ

"ว่าที่เหนือหัว..."

แม่ทัพใหญ่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงขยับร่างเพื่อลุกขึ้นและทำความเคารพอีกฝ่ายตามธรรมเนียมปฏิบัติ ทั้งบุตรชายและบิดาของนางหันมามองการมาเยือนนั้นและหยุดการฝึกซ้อมเอาไว้ด้วยความแปลกใจ "เดินทางมาถึงนี่ แปลว่าจะต้องมีเรื่องใดเป็นกรณีพิเศษอย่างแน่นอน" โมนาเป็นหญิงฉลาด แม้ว่านางจะเป็นคนใจร้อน โมโหร้าย และรับมือได้ยากเย็น

ซาฮาลรู้ดีว่าไม่ควรอ้อมค้อมกับแม่ทัพใหญ่แห่งแอสทารอธจึงได้แกะซองหนังในมือออกและเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงสัญญาข้อตกลงของตระกูลฟลินทรัสต์แห่งอาเดรีย "เลสธีราห์ปฏิเสธคำสั่งของสภาขุนนาง และทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ก่อนจะออกเรือไปอาเดรีย"

โมนาก้าวไปหาอีกฝ่ายแล้วจึงรับสิ่งนั้นมาพิจารณา "เอเรส... โจรสลัดแห่งทะเลเทเทสรึ"

"จริงอยู่ว่าการขัดคำสั่งของสภาขุนนางนับเป็นเรื่องใหญ่หลวง และเรื่องนี้ก็ไม่สามารถรอให้ถึงวาระประชุมครั้งต่อไปได้ เลสธีราห์ออกเรือไปสู้กับธีสธรัล ในขณะที่แม่ทัพใหญ่ก็หันหน้าสู้กับผู้นำของตนเอง" ซาฮาลไม่เอ่ยชื่อเอเดรียน เพราะเขาคิดว่าตนเองรู้สึกเจ็บปวดกับมันจนไม่อยากจดจำ "หากสำเร็จ แอสทารอธจะได้รับประโยชน์จากสัญญาฉบับนี้ แต่หากล้มเหลว ผู้ที่สูญเสียก็คือเลสธีราห์"

โมนาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนเหยียดยิ้ม "เช่นนั้นแล้ว ว่าที่เหนือหัวต้องการให้ข้า..."

"ข้าต้องการหน่วยองครักษ์ส่วนตัวของท่านแม่ทัพ ในนามของว่าที่เหนือหัว ข้าสามารถรับผิดชอบการกระทำของเจ้าได้" ซาฮาลเอ่ยเสียงเรียบขณะที่มองสบตากับแม่ทัพหญิง "ไปช่วยทำให้สัญญาฉบับนี้มีผล ไปช่วยคนสนิทของข้ากลับมา"

"ไปช่วยเลสธีราห์กลับมารึ" โมนาประหลาดใจ ด้วยความที่นางรู้จากน้องสาวแล้วว่าคนที่เลสธีราห์มีใจให้นั้นไม่ใช่ว่าที่เหนือหัว ดังนั้นคนตรงหน้านางจึงอยู่ในภาวะ 'ถูกทิ้ง' อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องแปลกหากอีกฝ่ายจะยังยืนยันหนักแน่นอยู่

ซาฮาลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ "...รีดาห์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


เฮฮฮ... คู่รอง...

รบแล้วๆ ในที่สุดก็ออกเรือ ฮ่าาา
รู้สึกว่าโมนานี่เป็นผู้หญิงที่เท่ดีจัง OTL โอเค นางไปขั้นมีลูกแล้ว นางไม่นก 555555

เอ้อ... จริงๆไม่เคยเกริ่นในเรื่องมาก่อนว่าม้าในเรื่องนี้มี 2 ไทป์คือม้ามีปีกกะม้าธรรมดา... ส่วนใหญ่ม้ามีปีกจะเป็นของพวกไอย์ชวล (พวกที่ทำให้เลสธีราห์ต้องคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์เพื่อช่วยเอเดรียน) ส่วนฝั่งมนุษย์นี่ใช้ม้าธรรมดา แต่ม้าของเอเรสมีปีก เพราะเอเรสมันรวย---

ยุทธศาสตร์เรือไฟนี่เราเอามาจากสงครามอาร์มาดาของอังกฤษ-สเปนล่ะค่ะ... กระบวนทัพแบบจันทร์เสี้ยว ปืนใหญ่พิสัยไกลอะไรงี้ด้วย (แต่เอาเรือน้ำมันไปเผาทะเลเขาเลยนี่เป็นอะไรที่โหดมากนะเจ๊ไวลด์ << แต่มันทำลายศัตรูได้โดยที่ตัวเองแค่ยืนมองอะนะ)


เอเดรียนล่ะ เอเดรียน...
นี่ยังไม่เสร็จนะ ไม่รู้ถึง 50% หรือยัง... คือนักวาดคนนี้บ้าพลังมากค่ะ นางบอกไม่ได้ว่างานเสร็จเมื่อไหร่ แต่นางจะทำไปเรื่อยๆ แล้วจะโหดขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็พยายามเบรกอยู่ 555

(https://scontent.fbkk1-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/15665739_1192039900851757_8658384638034162375_n.jpg?oh=dd698309c43a8bddd1f1c72c6e8b822d&oe=58E88199)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 26.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 24-12-2016 17:28:19
ตอนที่ 26.1

"แบ่งกองทัพออกเป็นสองส่วน... ส่วนหน้าเป็นเรือที่มีปืนใหญ่พิสัยไกล กระจายจัดทัพแบบจันทร์เสี้ยว ส่วนหลังเป็นเรือที่มีปืนใหญ่พิสัยใกล้จัดทัพหน้ากระดาน ส่วนด้านหน้าสุดให้ใช้เรือน้ำมันแหวกทางเข้าไป" บาร์เวน แม่ทัพเรือแห่งเวเรเนเซียพูดกับเหล่ากัปตันที่รายล้อมอยู่รอบโต๊ะประชุม "ถ้าพวกอาเดรียคิดจะขวาง อย่างไรก็ถูกชนจนขาดเป็นสองท่อนได้อยู่ดี เราจะปล่อยน้ำมันในอ่าวของพวกมัน จากนั้นก็เผาให้ทะเลติดไฟ แค่นี้ พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว"

"ท่านแม่ทัพ... แต่ถ้าพวกแอสทารอธมาช่วย เราจะรับมืออย่างไรขอรับ"

"แม่ทัพกองเรือเซเลสต์ครอบครองธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ และถ้าหากเขาใช้ธนูนั่น น้ำมันและเปลวไฟก็จะกระจายตัวไปทั่วได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น" ลาร์เวนตอบรวบรัด "ให้เรือของพวกมันติดไฟ ไม่ช้าคลังแสงก็จะระเบิด และพวกมันก็จะไม่มีอะไรให้ใช้ต่อสู้กับเรา"

"ย้อมทะเลของพวกมันให้เป็นสีเลือดและจมอยู่ในกองเพลิง!"


...

เบื้องหน้ากองทัพธีสธรัลคือทะเลเพลิง เปลวไฟที่กำลังเผาไหม้น้ำมันดิบจำนวนมหาศาลลุกโชนและแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง เบื้องหลังกองเพลิงเหล่านั้นคือความพินาศของกองเรืออาเดรียที่เรียกได้ว่าเป็นแค่เหยื่อ "อาเดรีย... ที่คิดจะต่อกรกับกองเรือเวเรนเซียรึ" แม่ทัพเรือกำหมัด "ให้มันมอดไหม้จนหมด แล้วเราจะเหยียบเข้าไปในแผ่นดินของพวกมันกัน" เวเรนเซียหวังให้เรือน้ำมันเข้าไปถึงภายในอ่าวที่มีทั้งท่าเรือและเมืองขนาดย่อม เพื่อที่จะใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีในการเผาไหม้

แต่เรือเหล็กลำใหญ่ก็เกิดระเบิดกลางทาง ทว่านั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเสียแผนแต่อย่างใด

"ท่านแม่ทัพ... พวกมันตอบโต้แล้วขอรับ"

"เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า..." บาร์เวนว่า "แต่มันก็ไม่ได้พลิกสถานการณ์ให้พวกมันได้เปรียบหรอก" แม่ทัพเรือเขม้นมองที่ม่านเพลิง คิ้วดกหนาขมวดมุ่นเมื่อเห็นเงาลำเรือดาหน้าผ่านเปลวไฟออกมา "เรือติดไฟ!!" แม้ว่าบาร์เวนจะย้ำให้กองทัพรักษาระยะห่างจากสนามรบ แต่มันก็ใกล้เกินไปที่จะสั่งให้ถอยหลัง เรือรบของอาเดรียหลายลำที่ติดไฟมุ่งหน้าเข้ามาโดยมีเป้าหมายที่กองเรือเวเรนเซีย

"ถอย!! หักขวาให้หมด ถอยกลับ!! ปืนใหญ่ยิงพวกมันเข้า!!"

ตูม!!

ปืนใหญ่ที่อยู่หน้าลำเรือเริ่มเปิดฉากยิงใส่เรือไฟที่ดาหน้าเข้ามา แต่นั่นก็ทำได้แค่สร้างความเสียหายเล็กน้อย ถ้าเทียบกับใบเรือติดไฟลุกโชนจนน่ากลัว ดาดฟ้าที่ไม่มีที่ว่างสำหรับการต่อสู้ใดๆ กองเรืออาเดรียพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้และปักหัวเรือเข้าหาเนิบช้า "เสากลางล้ม!! ระวังเสากลางล้ม!!"

โครม!

ท่อนไม้ที่มอดไหม้เป็นเวลานานเอนล้มลงพร้อมกับใบเรือหนักทำให้สะเก็ดไฟปลิวกระเด็นไปติดเรือลำอื่นของธีสธรัล "ยิงเข้าไปในกองเพลิง!! ยิงเข้าไป!!" แม่ทัพเวเรนเซียตวาดลั่น ขณะมองเรือไฟอีกหลายลำที่แล่นตรงเข้ามาโดยไม่มีผู้บังคับทิศทาง กองเรือของเขากำลังติดไฟ และคราบน้ำมันที่เรือของอาเดรียนำมาด้วยก็กำลังจะลามมาถึงฝ่ายธีสธรัล

บรึ้ม...!!!

ตูม...!!!

คลังแสงหนึ่งระเบิดดังสนั่นพร้อมกับประกายไฟพุ่งขึ้นฟ้าลามไปยังเรืออีกลำ ก่อนที่จะระเบิดตามกันโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ "ถอย!! ถอยออกมา!!" บาร์เวนคำรามสั่ง เขาหันไปแยกเขี้ยวใส่เงาของเรือลำใหญ่ที่อยู่หลังม่านเพลิง "เรือสั่งการ... ฝ่ากองเพลิงนั่นเข้าไป!"

"ท่านบาร์เวน...!"

"ข้าจะฆ่าแม่ทัพเซเลสต์!!"

--------------------------------------------------

ผู้นำแห่งอาเดรียมองความโกลาหลที่เกิดขึ้นและพยายามคิดหาทางออกแม้ว่าใจของเขาจะเริ่มสั่นด้วยความกลัว ท้องทะเลเบื้องหน้าลุกเป็นไฟเผาไหม้น้ำมันสีดำจำนวนมากที่ธีสธรัลปล่อยทิ้งเอาไว้ราวกับวางยาพิษไว้ในอ่าวอาเดรีย ไม่ต้องสงสัยว่าสัตว์น้ำจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด อาเดรียคงไม่สามารถทำการประมงได้อีกนาน และแน่นอนว่านี่ส่งผลกระทบถึงรายได้ที่ต่ำอยู่แล้วให้ตกต่ำลงมากไปอีก เพราะชาวประมงทั้งหมดอาจไม่สามารถประกอบอาชีพเดิมได้ อีกทั้งน่านน้ำของแอสทารอธก็ไม่เปิดให้ใครเข้าไปโดยง่ายอีกด้วย

นี่คือความคิดของธีสธรัล... หากเขาไม่จำนนต่อมหาอำนาจ อีกฝ่ายก็จะทำลายทุกสิ่งที่เขามี

ควันสีดำคละคลุ้งไปทั่ว แต่ก็พอจะมองเห็นเรือรบไม่กี่ลำที่ล่าถอยกลับมา ฝ่ายธีสธรัลเองก็สูญเสียไปไม่น้อย แต่กองเรือเวเรนเซียแนวหลังก็ยังเรียงตัวลอยลำอย่างสงบนิ่งเพื่อดูปฏิกิริยาต่อไป ท่านชายซินญอร์กำหมัดแน่นระหว่างถกเถียงกับตนเองอยู่ในใจว่าควรจะทำอย่างไร ต่อให้เขาขอกำลังจากคัสนาห์มาช่วย แต่ธีสธรัลอาจไม่คิดจะยกพลขึ้นฝั่งเลยก็ได้ หากปล่อยให้เวเรนเซียเข้ามาใกล้อีกสักนิด กองเรือที่ยิ่งใหญ่นั้นอาจสร้างความเสียหายจนพอใจแล้วเดินทางกลับไปก็เป็นได้

...อย่างไรศึกนี้พวกเขาก็ไม่ชนะ

ต่อให้มีธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ พวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะความโหดร้ายอันเยือกเย็นของธีสธรัลได้ กษัตริย์องค์ก่อนของธีสธรัลมีนิสัยอย่างไร ซินญอร์รู้ดี และหากเป็นผู้นั้น อาเดรียก็คงเอาชนะได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ราชินีองค์ใหม่นี้ช่างเป็นสตรีที่เยือกเย็นและเด็กเดี่ยว นางมิได้กระหายในสงคราม และไม่ได้ต้องการชัยชนะ ทว่านางกลับสามารถพลิกสถานการณ์ให้ตนเองอยู่เหนือกว่าได้ แม้ว่าฝ่ายที่ควรชนะจะเป็นอาเดรียก็ตาม

หากธีสธรัลทำลายอาเดรียแล้ว อาเดรียจะหันหน้าไปพึ่งใครได้...

คัสนาห์ผู้เป็นเมืองพี่ก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์พูนพร้อม พวกเขาเองก็เป็นเมืองเล็กๆไม่ต่างกัน ไอย์ชวลก็เป็นพันธมิตรของธีสธรัล ทั้งที่อาเดรียเป็นเมืองท่าเพียงหนึ่งเดียวของมหาทวีปนี้ แต่จากผู้ที่อยู่สูงสุดกลับต้องกลายเป็นผู้อยู่ต่ำสุดในพริบตาเดียว

ซินญอร์คิดว่าเขาคงต้องยอมรับ... ว่าการเดินหมากของตนและพี่สาวนั้นไม่ถูกต้องจริงๆ

และมันเกิดจากการขาดประสบการณ์ ความไร้สามารถที่จะเป็นผู้นำอาณาจักร

...เพราะธีสธรัลเลี้ยงดูให้พวกเขาไร้สามารถ เพื่อจะได้แข็งข้อต่อต้านไม่ได้

"ท่านชายซินญอร์... ท่านแม่ทัพเอเดรียนออกจากปราการไปแล้วขอรับ" ทหารคนหนึ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าที่หวั่นไหวและไม่แน่ใจในชะตากรรมของตนเอง "เขาลงไปที่อ่าวอาเดรีย..." นายทหารคนนั้นว่า "ตอนนี้ไม่มีคนสนิทของแม่ทัพใหญ่อยู่ที่นี่เลย แล้วเราจะสื่อสารกับเขาได้อย่างไรขอรับ"

ประโยคนั้นบอกซินญอร์ได้มากพอว่าทหารของอาเดรียเชื่อใจเอเดรียนมากแค่ไหน เมื่อเจ้าตัวไม่อยู่ที่นี่ ทุกคนก็ระส่ำระส่ายกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด "ข้าจะสั่งการเอง..." ผู้นำสูงสุดว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนใต้บัญชาวางใจแม้แต่น้อย "กว่าพวกมันจะมาถึงปราการชั้นนี้ได้ เรามีพลทหารคัสนาห์รับมืออยู่ก่อนแล้ว"

ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่คำถามมากมายก็ยังอยู่ในใจ... พวกเขาไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเอง

แต่กำลังห่วงบ้านที่พวกเขาใช้พักพิง และคิดถึงครอบครัวที่รออยู่ แต่พวกเขากลับทำได้แค่คอยป้องกันปราการชั้นในที่อาจเรียกได้ว่าเป็นใจกลางเมือง และเป็นบ้านของผู้นำอาณาจักร กับศัตรูที่ไม่อาจรู้ได้ว่ามีความคิดอะไรอยู่ในใจบ้าง กำแพงสูงทำให้สายตาหลายคู่ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เสียงระเบิดดังสนั่นที่ผ่านมาก็บอกได้ถึงความร้ายกาจของกองเรือเวเรนเซีย

พวกเขาทำได้แค่รออย่างนั้นหรือ

...พวกเขาควรจะติดตามผู้นำคนนี้ไปจริงๆอย่างนั้นหรือ

--------------------------------------------------

เลสธีราห์ละจากพังงาเรือมาหยุดที่ระเบียงด้านหน้าเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ เรือรบดัดแปลงของอาเดรียมีเพียงหยิบมือเท่านั้น และต้องสละทิ้งอย่างช่วยไม่ได้ด้วยการปล่อยให้มันล่องไปตามน้ำเพื่อพุ่งชนแนวเรือรบของธีสธรัล "ลมเปลี่ยนทิศแล้ว..." แม่ทัพใหญ่พึมพำ จากเมื่อครู่นี้ที่กระแสลมเป็นใจให้ข้าศึก แต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนทิศทางและหนุนให้เหล่าเรือไฟพุ่งไปหาคู่ต่อสู้เร็วขึ้นแทน

"เลสธีราห์" รีดาห์เดินเข้ามาพร้อมกับรายงานความเคลื่อนไหว

"เรือของอาเดรียมีทั้งหมดยี่สิบแปดลำ ติดไฟสิบสองลำพุ่งเข้าใส่พวกธีสธรัลและระเบิดจนเกือบหมดแล้ว สิบลำพร้อมต่อสู้ อีกสองลำคอยติดตามเรา และอีกสี่ลำกำลังถอยกลับอ่าวออโรรา" รองผู้บัญชาการว่า "ข้ารอคำสั่งโจมตีของเจ้าอยู่"

ทว่าเซนทอร์ครึ่งเอลฟ์กลับส่ายหัวช้า "เราไม่มีกำลังพอที่จะตีกองเรือเวเรนเซีย"

"เราควรจะถอยกลับเข้าไปในอ่าว พวกเวเรนเซียคงจะรอให้ไฟมอดแล้วจึงบุกเข้ามา เราจะมีเวลาเข้าไปยึดป้อมปราการ ยึดอำนาจจากผู้นำอาเดรีย และใช้มันเป็นที่มั่นในการตั้งรับครั้งใหม่" รีดาห์เสนอ "ถ้าเรายังตั้งรับกลางทะเลต่อไป เราไม่มีกำลังพลมากพอที่จะต่อกรกับพวกมัน" เลสธีราห์หันไปมองม่านเพลิงด้วยความลังเล และกลับมามองคนของตนที่ทยอยขึ้นมาจากดาดฟ้าชั้นล่าง

"แต่เราอยู่ห่างจากชายฝั่งมากเกินไป แล้วก็ยังไม่ได้รับสัญญาณจากเอเดรียนอีกด้วย"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่เลสธีราห์ก็หันกลับไปมองชายฝั่งและกำแพงสูงของอาเดรียเพื่อคำนวนระยะเวลา "เราต้านทานลม... การยึดมหาคฤหาสน์จะต้องใช้เวลา ถ้าไม่มีกำลังกองเรืออื่นมาเสริม ข้าเกรงว่ามันจะเป็นศึกสองด้าน"

"ท่านเลสธีราห์!!"

ตูม...!!!

กระสุนปืนใหญ่ลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ด้านข้างลำเรือโดยที่พวกเซนทอร์ไม่ได้ตั้งตัว ระเบียงไม้ที่กราบซ้ายแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆและสมอใหญ่ก็ไหลตกลงทะเล เลสธีราห์ย่อตัวลงตามสัญชาติญาณก่อนจะมองหาต้นทางของปืนและพบว่ามันคือเรือสั่งการของเวเรนเซียที่แล่นฝ่าเปลวเพลิงออกมา

"ประจำที่ปืนใหญ่!!" เซนทอร์หนุ่มออกคำสั่ง "ยกสมอขึ้นมา!!"

เรือเวเรนเซียหันหน้าพุ่งเข้าหาเซเลสต์หมายจะใช้หัวเรือขึ้นเกยเทียบ แต่รีดาห์ก็บังคับให้เรือหันข้างเข้าหาคู่ต่อสู้ก่อนจะเปิดฉากยิงโดยไม่รอคำสั่งแม่ทัพ "กราบซ้ายทั้งหมด ยิง!!"

ตูม...!!!

เซเลสต์ตอบโต้ว่องไวกว่า ดังนั้นเรือเวเรนเซียจึงเสียหลักไปเมื่อถูกแรงระเบิดจากปืนใหญ่ บาร์เวนมองเห็นกลุ่มเซนทอร์บนเรือคู่ต่อสู้ จึงได้หยิบคันธนูของตนออกมาขึ้นสาย "เซนทอร์...!" แม่ทัพหนุ่มมองหาผู้นำของเซเลสต์ ผู้นำที่คอยออกคำสั่งอยู่บนดาดฟ้า และเขาก็พบครึ่งม้าตนหนึ่งที่อยู่ในร่างมนุษย์ "แม่ทัพเซเลสต์!!"

ผู้นำเวเรเซียง้างศรจนสุดแขนแล้วปล่อยลูกดอกออกไปโดยไม่รอคำตอบรับใดๆ

"เลสธีราห์!!"

คนถูกเรียกหันตามเสียง เขาเห็นลูกธนูพุ่งเข้ามาหาตน เห็นวิถีของมันที่จะเสียบเข้าที่กลางอกในอึดใจ แต่เขาก็ไม่สามารถปัดป้องมันได้ทันการ แอควาเรียร์ยังอยู่บนบ่าของเขาหาใช่มือ และกระบอกธนูก็อยู่ที่สะโพก อีกทั้งเกราะหนังที่สวมใส่ก็ใช่ว่าจะป้องกันคมลูกดอกของธีสธรัลได้

ฉึก...!!

เลือดสีแดงกระเซ็นออกจากบาดแผลที่ถูกยิงเข้าอย่างจัง แต่แทนที่เลสธีราห์จะรู้สึกถึงความเจ็บปวด เขากลับสัมผัสได้ถึงแรงผลักของฝครบางคนที่เผ่นเข้ามากระแทกสีข้างตนอย่างจัง คมเหล็กแหลมปักเข้าไปที่แขนซ้ายอันแข็งแกร่ง เรียกเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าของร่างได้ แต่ร่างสูงก็กัดฟันสะบัดมือขวาของตนขึ้น และเล็งอาวุธกลับไปที่คู่ต่อสู้อย่างแม่นยำ

เปรี้ยง...!!

"เอเดรียน...!" เลสธีราห์ถูกผลักจนล้มลงกับพื้น เช่นเดียวกับคนตรงหน้าที่ทรุดตามมา ทว่าหยุดตัวเองอยู่เหนือร่างของเขา แม่ทัพใหญ่กัดฟันด้วยความเจ็บปวด และยันมือค้ำตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มทับร่างโปร่ง มือขวายังคงถืออาวุธคู่ใจเอาไว้มั่น เช่นเดียวกับสายตาที่มองกลับไปยังคู่ต่อสู้บนเรืออีกลำที่ค่อยๆปล่อยคันธนูร่วงหล่นลงพื้นและกุมช่วงท้องที่ถูกยิงด้วยปืนเอาไว้

"เจ้า..." เลสธีราห์อ้าปากค้าง และรีบประคองร่างเบื้องบนเอาไว้ "เอเดรียน..."

เอเดรียนปล่อยมือจากอาวุธ และยันร่างของตัวเองขึ้นพร้อมกับแม่ทัพเซนทอร์ เขาสัมผัสได้ถึงปลายแหลมของลูกดอกที่ยังฝังอยู่ในร่าง และแรงปะทะของมันก็ทำให้เขามึนงงจนภาพตรงหน้าสั่นพร่าอย่างที่ไม่ควรจะเป็น "ข้าไม่เป็นไร..." คำแรกที่ออกจากปากแม่ทัพหนุ่มเป็นเสียงแหบแห้งที่บ่งบอกได้ถึงอาการบาดเจ็บ  "เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว เลสธีราห์..."

"พวกมันมีปืนคาบศิลา!"

ม้าศึกสีดำสะบัดปีกครั้งหนึ่งขณะร่อนลงพื้น มันหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อเปิดโอกาสร่างผู้ควบขี่สามารถเล็งอาวุธปืนยิงซ้ำได้ ทว่าความแม่นยำของเอเรสกลับเป็นรอง กระสุนกลมกลับพลาดไปโดนไหล่แม่ทัพบาร์เวนแทนที่จะเป็นกลางอก

เอเดรียนกัดฟันและเงยหน้าขึ้นมองน้องชายของตนบนหลังม้า "ไปได้แล้ว เอเรส!!"

เสียงปืนใหญ่ยังดังต่อเนื่อง และเศษไม้ที่กระจัดกระจายก็บ่งบอกได้ถึงความเสียหายของเรือ

"ใช้ธนูไฟ!! เผาพวกมัน!!" และต่อให้ถูกลูกปืนเหล็กเข้าที่กลางท้อง แต่ผู้นำเวเรนเซียก็ยังออกคำสั่ง "เผาเรือเซเลสต์ซะ!!" เลสธีราห์เบิกตาขึ้นกับคำสั่งของอีกฝ่าย เขาถอยห่างจากเอเดรียนแม้จะไม่ต้องการละจาก แต่ก็ต้องวิ่งกลับขึ้นไปยังพังงาที่ซึ่งรีดาห์ควบคุมอยู่

ลูกดอกติดไฟจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ใบเรือสีขาวและลุกไหม้ต่อหน้าต่อตา

"เก็บใบเรือ! เก็บใบเรือทั้งหมด!" ร่างโปร่งดันไหล่สหายออกแล้วเข้าควบคุมทิศทางเรือด้วยตนเอง "ปิดประตูปืน ดึงปืนใหญ่กลับเข้ามา!" การเก็บใบเรือทำให้เซเลสต์สูญเสียความเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นเลสธีราห์ก็ดึงดันที่จะพาเรืออกไปยังทะเลเปิด เขากระแทกพาหนะของผู้รุกรานด้วยสีข้างลำเรือ และเอียงเบียดจนรูปสลักม้าที่หัวเรือเวเรนเซียหักโค่น ธนูไฟหลายเล่มยังคงปลิวมาตามแรงลมและปักลงบนแผ่นไม้ทั่วลำเรือ แต่นั่นก็ใช่สิ่งที่ผู้นำเซเลสต์สนใจ เขากลับมุ่งหน้าไปยังกลางสนามรบอย่างแน่วแน่

"จะหนีไปไหนกัน เรือเซเลสต์!"

ต่อให้หัวเรือหักโค่น แต่เรือเวเรนเซียก็ยังคงไล่ตาม และกระแทกเบียดตัวเองกับเซเลสต์อย่างไม่ยอมแพ้ เสียงไม้แตกหักและมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิงดังระงมไปทั่ว และเปลวเพลิงเริ่มลุกไหม้จนผ้าใบขาดวิ่นเป็นรูโหว่หลายจุด "เลสธีราห์! เราหนีด้วยสภาพแบบนี้ไม่ได้ สั่งเปิดประตูปืนแล้วเกยเรือสู้กับพวกมันเถอะ!" รีดาห์กระโจนกลับขึ้นมาที่ท้ายเรือ

"ไม่ต้องห่วงเรือเซเลสต์ แต่ถ้าเราไม่สู้ ทุกคนจะจมไปกับเรือ!!"

ทว่าเลสธีราห์กลับหันมามองสหายของตนด้วยแววตาดุดันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

"...แค่กลั้นหายใจเอาไว้ก็พอ รีดาห์"

ร่างโปร่งตวัดคันธนูของตนขึ้นมาถือแล้วค่อยๆง้างสายออกช้าๆ ส่งผลให้น้ำทะเลที่รายล้อมค่อยๆแหวกออกจนกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ "จับเชือกเอาไว้ให้ดี!!" เปลวไฟและคราบน้ำมันเริ่มหมุนตามแรงน้ำที่ไหลมารวมกัน เรือทุกลำที่อยู่ในบริเวณไหลมาตามกระแสคลื่นที่ถูกสร้างขึ้น เกลียวน้ำทะเลยกสูงขึ้นในอากาศอย่างรวดเร็วและน่ากลัว สิ่งนั้นทำให้กองเรือเวเรนเซียตระหนักได้ดีว่า ผู้นำเซเลสต์กำลังจะใช้อำนาจของธนูแหวกสมุทร

"นี่เขาจะจมทุกอย่างลงไปในทะเลหรืออย่างไร!!"

"เลสธีราห์!!"

"กลับลงไป เอเดรียน!"

เลือดสดๆย้อมเสื้อสีเขียวอ่อนกลายเป็นดวงสีเข้มน่ากลัว แม้เจ้าของร่างจะกัดฟันและลุกขึ้นสู้ต่ออย่างลืมเจ็บ "รีดาห์... พาเขาลงไปที่ใต้ท้องเรือ!!" แม้จะตั้งใจกลับไปต่อสู้ แต่เอเดรียนกลับถูกแขนของเซนทอร์ตนหนึ่งรั้งร่างเอาไว้ และกึ่งลากกึ่งพยุงเขากลับเข้าไปที่ใต้ท้องเรือกันหมด

"เอเดรียน!" น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยตวาดใส่จนแม่ทัพใหญ่ชะงักนิ่ง "กลั้นใจ... กลั้นให้สุดปอดเลย"

รีดาห์สูดลมหายใจลึก ขณะที่เรือทั้งลำเริ่มสั่นตามแรงคลื่นที่เคลื่อนเข้ามาโอบล้อม ประตูปืนหลายบานที่ปิดสนิทสั่นคลอนต้านแรงกระแทกภายนอกอย่างสุดกำลัง น้ำทะเลกอดรัดลำเรือและกระแทกเอาเศษไม้ที่ผุพังจากการต่อสู้เมื่อครู่ปลิวหายไปในกระแสคลื่นถ่าโถม เสียงดังน่ากลัวราวฟ้าถล่มทำให้ต้องใช้เสียงตะโกนเท่านั้นจึงจะสื่อสารได้

"เซเลสต์กำลังจะพุ่งลงใต้ทะเล กลั้นใจให้สุด..."

เลสธีราห์ดึงสายธนูจนสุดแขนและยกผืนน้ำขึ้นจนเรือของเขาอยู่ในจุดที่ต่ำสุดของทะเล ในม่านน้ำที่โอบล้อมยังมีฝูงปลาตื่นตระหนกแหวกว่ายอยู่ไหวๆ ฉลามตัวเขื่องมึนงงอยู่กลางทะเลหลังจากถูกพัดพาจนเสียทิศทาง และเมื่อใต้สมุทรถูกแหวกออก ซากเรือจำนวนมากก็ปรากฎให้เห็นในสายตา ท้องเรือเซเลสต์บรรจงลงแตะทรายนุ่มเบื้องล่าง ขณะที่เรือลำอื่นในบริเวณนั้นทั้งของธีสธรัลและอาเดรียไหลคว่ำลงมากระแทกกับพื้นรุนแรงจนยับเยิน คราบน้ำมันและเปลวไฟปลิวหายไปและดับมอดลงด้วยพ่ายแพ้ต่อน้ำทะเล

เลสธีราห์ปล่อยมือจากสายธนูโดยไม่มีสัญญาณใดๆ

...ตูม!!!

มวลน้ำมหาศาลตกร่วงลงมาจากที่สูงเมื่อสิ้นอำนาจของธนูเอลฟ์ ถ่าโถมเป็นเกลียวคลื่นไหลวนและดูดทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณนั้นให้จมลงก้นทะเล ทะเลที่เมื่อครู่ยังลุกเป็นไฟมลายหายไปในพริบตาพร้อมกับลำเรือจำนวนมากที่ถอยกลับไปไม่ทัน ทัพแนวหลังของธีสธรัลที่อยู่ไกลออกไปมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยแววตาพรั่งพรึง หัวใจของพวกเขากระตุกสั่นด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าอาเดรียผู้เป็นศัตรูจะไม่เหลือรบแถวหน้าสักเพียงลำ แต่การเข้าใกล้เรือเซเลสต์ก็เป็นเรื่องน่ากลัวเกินจินตนาการ

นี่คืออำนาจอันลือเลื่องของธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์

--------------------------------------------------


กลยุทธที่ใช้ในศึกส่วนใหญ่เอามาจากสงครามกลางทะเลของอังกฤษ-สเปน ค.ศ. 1588 (สงครามอาร์มาดา)

การจัดทัพตั้งรับแบบจันทร์เสี้ยว (crescent formation) ซึ่งเป็นการจัดทัพของฝ่ายสเปน หลักการก็คือจะวางเรือที่มีปืนใหญ่พิสัยไกลไว้ด้านนอกสุด ไม่ว่าข้าศึกจะโจมตีมายังไงก็จะต้องเข้าไปวงล้อมของจันทร์เสี้ยวและถูกโจมตีอยู่ดี ส่วนการตอบโต้ของเลสธีราห์ที่ใช้เรือไฟ (fireship) ก็เป็นการตอบโต้แบบเดียวกับที่อังกฤษใช้ในตอนนั้น เป้าหมายก็คือการทำลายแนวทัพ เพื่อให้สามารถโจมตีได้ง่ายขึ้น เพราะการเอาเรือไฟชนคือทำให้ข้าศึกแตกกระจายแล้วหันไปชนกันเอง

แต่เรื่องเรือน้ำมันนี่แต่งเน้อ คือนิสัยเซนทอร์... คงไม่คิดแผนเผาเรือแบบฟรานซิส เดรกอ่ะ น่าจะชนเองมากกว่า

อันนี้การจัดทัพสมัยสงครามอาร์มาดา
(http://www.britishbattles.com/wp-content/uploads/2016/11/armada-crescent-formation.jpg)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 26.1 [24-12-2016]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 24-12-2016 22:08:41
ทำไมเลสนางเท่แบบนี้คะ อยากได้ๆๆๆ 55555 อิจฉาเอเดรียนมากๆ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 26.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-12-2016 17:06:00
ตอนที่ 26.2

การเฝ้ารอเป็นเวลานานทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในหมู่ทหาร บวกกับการที่พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลเบื้องหน้าด้วยแล้ว ต่อให้เป็นผู้ที่ฝึกเรื่องระเบียบมามากแค่ไหนก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อยู่ดี ทว่าตอนนี้พลทหารที่ประจำหน้าปืนใหญ่ต่างก็อ้าปากค้างหลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกตกตะลึงไม่เชื่อสายตาตนเอง และความหวาดกลัวพรั่งพรึงที่ก่อขึ้นมาในจิตใจทำให้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้

กองเรือที่ต่อสู้พัลวันอยู่เมื่อครู่จมลงทะเลไปกับตาพร้อมกับเปลวไฟที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะดับลงโดยง่าย เหลือเพียงความว่างเปล่า และเค้าลางของความพ่ายแพ้ ทุกคนเคยได้ยินเรื่องเล่าของธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์ แต่ไม่มีใครเคยได้เห็นอำนาจของมันกับตา เพราะน้อยคนนักที่จะมีชีวิตรอดจนสามารถมาเล่าเรื่องต่างๆได้ แต่วันนี้เองที่พวกเขาได้เห็นท้องสมุทรแหวกออก และเห็นเรือรบร่วมร้อยลำจมลงก้นทะเล

...สิ่งที่เกิดขึ้นนี้น่ากลัวเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะรับไหว

เรื่องราวในวันนี้อาจเป็นเรื่องเล่าสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน หากเหล่านักรบได้มีชีวิตรอดกลับไปพบครอบครัว ผู้นำสูงสุดของอาเดรียเองก็อยู่ในอาการตกตะลึง มือของเขาเย็นเฉียบ หูแทบจะไม่รับรู้ และสายตาก็มองเห็นเพียงภาพเหตุการณ์น่ากลัวนั้นซ้ำไปซ้ำมา ท่านชายคิดอะไรไม่ออก และไม่รับรู้เลยว่าบัดนี้มีกองทัพที่น่ากลัวบุกประชิดถึงประตูเมืองอาเดรีย แม้ว่าคนสนิทข้างกายจะพยายามเรียกแล้วก็ตาม

"ท่านชาย! พวกเซนทอร์ขอรับ!"

พวกเขาสนใจแต่การศึกทางตะวันออก จึงได้ละเลยทิศอื่นซึ่งเป็นด้านในแผ่นดิน เปิดโอกาสให้ผู้รุกรานจากทางเหนือขยับเข้าประชิดได้โดยง่าย และสิ่งที่ทหารยามทิศเหนือเพิ่งสังเกตเห็นก็คือ กลุ่มของเซนทอร์ที่วิ่งเข้ามาถึงหน้าประตูเมืองพร้อมกับโล่ขนาดใหญ่และดาบในมือ

"พลธนู!!"

ปราการรบของอาเดรียถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันเมืองโดยสมบูรณ์ โดยพลธนูจากกำแพงปราการทั้งสามชั้นสามารถโจมตีไปที่เป้าหมายเดียวกันได้ ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่ง พลธนูจากปราการทั้งสามชั้นก็หันไปหากองทัพเซนทอร์ด้านล่างที่ยกโล่ขึ้นป้องกันตัวเอง

ฉึก!

ฝนลูกดอกระรัวใส่ผู้รุกรานที่สามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยโล่เหล็กขนาดใหญ่ อาวุธเหล่านี้ไม่อาจเข้าถึงตัวพวกเขา แต่มันก็สามารถหยุดความคิดที่จะพังประตูเมืองอาเดรียได้ชั่วคราว "ในเมื่อเรือเซเลสต์เข้ามาช่วยเรา แต่เหตุใดพวกเซนทอร์จึงยกทัพมาโจมตีเราได้" ซินญอร์ผละจากการศึกในทะเลมายังกำแพงทิศเหนือ และพิจารณากองกำลังขนาดย่อมนั้นเพื่อประเมินจำนวนคน ผู้นำอาเดรียอ้าปากน้อยๆเมื่อเริ่มจะเข้าใจความคิดของแอสทารอธ

...พวกเขาตกลงในสัญญาของเอเรสแล้วอย่างนั้นหรือ

ซินญอร์มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปรามพลธนู "ไม่ต้องตกใจ พวกมันเข้ามาไม่ได้หรอก ถล่มยิงไปก็เปลืองลูกดอกอยู่ดี" คนพูดสูดลมหายใจเข้า แม้จะรู้สึกโหวงอยู่ในลึกๆทั้งที่สิ่งที่เขาต้องการกำลังคืบคลานมาถึงตัวตามที่ปรารถนา "บางทีเซเลสต์ก็อาจคิดไม่ซื่อเช่นกัน" ผู้นำอาณาจักรพยายามเบี่ยงประเด็น

"เรียกเรือรบกลับมา เราจะยิงถล่มข้าศึกด้วยปืนใหญ่!"

"ท่านชาย พวกมันพาดบันไดที่ประตูฝั่งตะวันตก!!" ทหารบนปราการร้องเสียงหลง เมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนกำแพงของปราการชั้นสาม ทำให้ทหารยามรีบวิ่งไปยังทิศที่ว่า แต่เมื่อไปถึงจุดที่บันไดกลวางพาด ร่างโปร่งในขุดเกราะสีเงินก็กระโจนขึ้นมาพร้อมกับเงื้ออาวุธในมือของตน ผมยาวสีขาวที่ถักเปียสะบัดตามแรงลม ก่อนจะฟาดฟันคมดาบเข้าใส่ทหารยามจนเลือดสาดกระเซ็นเป็นฝอย และกระโดดลงยืนบนกำแพงปราการของอาเดรียอย่างสมบูรณ์

นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตตวัดขึ้นมองข้าศึกที่วิ่งกรูกันเข้ามาก่อนจะเหยียดมุมปากขึ้นยิ้ม

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่อีกหลายคนกระโดดตามขึ้นมาพร้อมกับตั้งโล่ขึ้นรับการโจมตีอยู่ด้านหลังของนาง และรอคอยคำสั่ง "คุ้มกันธนูให้ข้า ข้าจะเปิดประตูอาเดรียด้วยตัวเอง!" ผู้ติดตามยกโล่ขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเพื่อป้องกันลูกดอกที่อาจโจมตีจากเบื้องบน น้ำเสียงทรงพลังที่ออกคำสั่งทำให้ทหารอาเดรียหวั่นเกรง

...ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญกับท่านหญิงโมนา ขุนพลใหญ่แห่งแอสทารอธ

--------------------------------------------------

เรือรบที่เก่าแก่ของแอสทารอธจมนิ่งอยู่ที่ก้นทะเล ซากเรือที่ได้รับความเสียหายหลายลำค่อยๆจมลงมาอยู่เคียงข้าง ข้าวของเครื่องใช้ชิ้นเล็กๆลอยเคว้งคว้างไร้ทิศทาง และบรรยากาศโดยรอบก็มีแต่ความเงียบภายใต้แสงสลัวที่ส่องลงมาถึงพื้นทราย พวกเขาแค่รอเวลาที่เลสธีราห์จะขึ้นสายธนูอีกครั้งเท่านั้น แล้วเรือเซเลสต์ก็จะผงาดกลับขึ้นไปเบื้องบนอย่างที่ไม่มีเรือลำใดในโลกนี้ทำได้

เพียงแต่ผู้บัญชาการเซเลสต์ในตอนนี้ไม่มีกำลังพอที่จะรั้งสายแอควาเรียร์

การต่อสู้ทำให้เลสธีราห์อ่อนแรงลง อีกทั้งแรงน้ำที่ถ่าโถมเข้าใส่เมื่อครู่ทำให้เขาไม่สามารถสูดหายใจลึกได้ และการกลั้นหายใจโดยมีอากาศสำรองน้อยเช่นนี้ทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกมึนงง และสายตาพร่าลาย ร่างโปร่งทรุดลงกับพังงาเรือและยึดมันเอาไว้เป็นหลักพยุง แต่อาการสำลักในตอนนี้ทำให้ผู้นำเซเลสต์ไม่สามารถจดจ่อสมาธิกับสิ่งตรงหน้าได้

...ไม่น่ามาสำลักน้ำแบบนี้เลยจริงๆ

ยิ่งอ้าปากหายใจ ฟองอากาศอันมีค่าก็ยิ่งไหลออก และแทนที่ด้วยน้ำทะเลที่ทำให้แสบปอด เลสธีราห์กุมอก แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้อาการดีขึ้น เซนทอร์หนุ่มรวบรวมสติสุดท้าย และดึงสายธนูด้วยกำลังทั้งหมดที่เหลือของตน แต่แอควาเรียร์ก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาในตอนนี้จะบงการมันได้

หากเป็นเช่นนี้... เซเลสต์อาจจะต้องจบตำนานลงจริงๆ

แต่แล้วมือของใครบางคนก็ประคองใบหน้าของเขา ก่อนที่ริมฝีปากจะแนบจูบเนิบช้า และส่งต่ออากาศที่กลั้นเอาไว้มาให้ พร้อมกับกดมือเข้าที่ช่วงอกเพื่อดันน้ำทะเลที่คั่งค้างอยู่ภายในออกมา และเมื่อได้สติอีกครั้ง เซนทอร์หนุ่มก็ดึงสายธนูของตนจนสุดแขน เรียกน้ำทะเลให้กลับมาโอบอุ้มเรือรบในตำนานของแอสทารอธ และผลักดันพวกเขาขึ้นสู่ผิวน้ำ

น้ำมันนั้นมวลเบากว่าน้ำ ดังนั้นคราบน้ำมันดิบจึงค่อยๆลอยกลับขึ้นมาหลังคลื่นสงบ เช่นเดียวกับเศษไม้ และเศษซากอื่นๆที่หลงเหลืออยู่ ความเงียบปกคลุมทั่วบริเวณอยู่หลายอึดใจ เวเรนเซียสูญเสียผู้นำทัพและเรือสั่งการ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ล่าถอยต่อหน้ากองทัพอาเดรียที่หลบอยู่หลังปราการ เพราะเรือสั่งการลำที่สองซึ่งลอยลำอยู่เบื้องหลังค่อยๆชักธงสีน้ำเงินของธีสธรัลขึ้นยอดเสาเพื่อเตรียมพร้อม

คาร์เธียร์... เรือประทับของราชินีผู้นำ

"บาร์เวน..." หญิงสาวในชุดเกราะนักรบก้าวขึ้นมาที่หน้าเรือและมองหาผู้นำทัพของตนด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความหวัง ผู้นำเวเรนเซียอาจเป็นผู้ชายใจร้อน และวู่วามเกินตัวจนทำให้พระนางเบื่อหน่ายหลายครั้ง แต่เขาก็อุทิศตนให้อาณาจักรเสมอมา ดังนั้นการสูญเสียเขาไปจึงทำให้ผู้นำหญิงเจ็บใจราวกับเสียมือไปข้างหนึ่ง "หากไม่มีเซเลสต์แล้ว ใครจะคุ้มครองเจ้าได้อีก อาเดรีย..."

ครืน...!!

แต่ก่อนที่พระนางจะออกคำสั่ง กลางทะเลก็ปั่นป่วนอีกครั้ง คลื่นลมผันผวนรวดเร็ว และท้องน้ำก็เปิดทางออก เผยให้เห็นเงาดำของเรือใหญ่ที่โผล่ขึ้นมากลางเกลียวคลื่น หัวเรือพุ่งพ้นขึ้นมาตามด้วยลำเรือที่แตกหักจากการต่อสู้ ผ้าใบสีขาวขาดวิ่นและมีรอยไหม้สะบัดกางรับลม น้ำทะเลที่ขังอยู่ภายในลำเรือพุ่งไหลออกทางประตูปืนที่เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง

ครึ่งม้าที่รู้งานวิ่งกลับขึ้นมาบนดาดฟ้า แม้ว่าพื้นไม้เปียกชุ่มจะทำให้พวกเขารู้สึกลื่นอยู่บ้าง แต่เนื่องจากน้ำทะเลทำให้ดินปืนทั้งหมดชื้นและใช้งานไม่ได้ หากจะต้องสู้รบต่อไป เซนทอร์อาจต้องเข้าประชิดตัวแทน

ผู้นำหญิงปราดสายตามองเรือเซเลสต์ที่สามารถแหวกสมุทรกลับขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

นางตัดสินใจว่าไม่ควรเซ้าซี้กับแอสทารอธอีกต่อไป ...แต่ก็ใช่ว่านางจะยอมอ่อนข้อให้อาเดรีย

ราชินียกมือขึ้นปรามคนสนิทเพื่อยกเลิกคำสั่งโจมตี ก่อนใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน "เราเสียเรือไปเท่าไหร่แล้ว" หญิงสาวเหลือบมองคนสนิท และส่งเสียงขึ้นจมูกให้อีกฝ่ายหาคำตอบมาให้โดยด่วน ก่อนจะยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาเพื่อสำรวจความเคลื่อนบนเรือเซเลสต์

แม้จะเปียกโชกไปทั้งตัว แต่เผ่าพันธุ์อัศวินก็ถืออาวุธครบมือแล้ว ทั้งพลธนูบนดาดฟ้า พลหอกที่รออยู่ด้านหลัง ทุกคนดูพร้อมที่จะโจมตีหากธีสธรัลยังรุกเข้าไป เวเรนเซียังมีเรือปืนอีกมาก และราชินีก็คิดว่าเรือปืนเพียงไม่กี่ลำก็คงเอาชนะเซเลสต์ได้ไม่ยาก ตอนนี้เซเลสต์ยืนหยัดอยู่เพียงลำพังต่อหน้ากองเรือเวเรนเซียจำวนมาก

"เราเสียเรือไปสามสิบสองลำ... ส่วนทางอาเดรียเสียไปยี่สิบสามลำขอรับ"

ท่าทางอิดโรยของเลสธีราห์ที่อยู่หลังพังงาของเซเลสต์ทำให้ผู้หญิงจรดยิ้มที่มุมปากน้อยๆ จริงอยู่ว่าธนูเอลฟ์นั้นมีอำนาจที่น่ากลัว แต่ด้วยความที่ผู้นำเซเลสต์เลือกจะจมเรือตัวเองลงชั่วคราวเพื่อดึงเรือลำอื่นลงก้นทะเลไปด้วย ทำให้เขาต้องกลั้นหายใจนานอีกทั้งยังออกแรงดึงสายธนูควบคู่ไปด้วย จากท่าทางที่ต้องใช้คันธนูค้ำตัวเองเอาไว้ และเอนร่างพิงคนอื่นเพื่อพยุงกายแบบนี้บอกได้ดีว่าอีกฝ่ายอยู่ในภาวะเดียวกับคนจมน้ำที่ขาดอากาศจนรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

"คาร์เธียร์ เปิดประตูปืนใหญ่..."

ราชินีลดกล้องส่องทางไกลลงส่งให้คนข้างกาย "สั่งเรือปืนออกมาให้หมด!" แม้ใจลูกเรือยังพรั่งพรึง แต่เมื่อเป็นคำสั่งของผู้นำ ใบเรือก็ถูกปลดลง ให้แรงลมส่งลำเรือเคลื่อนไปเบื้องหน้า โดยเรือปืนที่มีขนาดเล็กกว่าอีกหลายลำติดตามมาด้วย "ทั้งแม่ทัพของแอสทารอธ... ทั้งแม่ทัพของอาเดรีย... ไม่มีแรงจะสู้หรอก"

"ท่านเลสธีราห์ เรือของธีสธรัลเปิดประตูปืน!"

เอเดรียนหันมองตามเสียงรายงานของลูกเรือเซนทอร์ เขาประคองร่างโปร่งที่ยังหอบหายใจหนักไว้ และให้ฝ่ายนั้นคล้องแขนข้างหนึ่งกับบ่าตัวเอง แม้ว่าจะยังเจ็บแผลอยู่มากก็ตาม เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นบ้างแม้ว่าภาพตรงหน้าจะยังพร่าเลือนไม่เด่นชัด "เราใช้ปืนใหญ่ไม่ได้..." เซนทอร์หนุ่มตอบเสียงแผ่ว

"ถอยทัพ" เอเดรียนว่า "ถอยกลับไปที่แผ่นดิน"

เลสธีราห์มองลูกเรือที่หันมาจับอาวุธแข็งขัน  ตัวเอเดรียนเองที่ควรจะอยู่บนแผ่นดินก็ต้องมาบาดเจ็บเพื่อช่วยเขา เซนทอร์หนุ่มถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยอับจนหนทาง เขาไม่รู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้ได้ชัยชนะมา เพราะตอนนี้มันช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน

เรือคาร์เธียร์เคลื่อนเข้ามาใกล้โดยยังไม่ให้สัญญาณโจมตี แต่ประตูปืนที่เปิดกว้างและลูกเรือซึ่งประจำที่ก็เป็นคำตอบที่แน่ชัดว่าต้องการข่มขู่ และหากแอสทารอธเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อนก็จะถูกยิงถล่มอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้เรือเซเลสต์จะสร้างด้วยไม้ที่มีความแข็ง และความหนาเป็นพิเศษจนสามารถอดทนต่อแรงดันมหาศาลใต้ท้องสมุทรได้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีวันแตกหัก

"ยอมแพ้เถอะ อาเดรีย" ดวงตาเรียวหรี่ลงขณะที่ทัพเวเรนเซียเรียงหน้ากระดานรุกรานอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วลูกเรือบนคาร์เธียร์ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคืบคลานเข้ามาพร้อมกับเงาดำที่ทาบทับทั้งลำเรือ

ตูม...!!

สมอขนาดใหญ่ทิ้งลงในน้ำเบื้องหน้าลำเรือที่แล่นใบด้วยแรงลม และเฉี่ยวเข้ากับเชือกล่ามสมอเส้นมหึมา คาร์เธียร์สั่นโคลงอย่างรุนแรงจนคนบนเรือเสียการทรงตัว พาลให้ราชินีธีสธรัลเซล้มไปด้วยก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า และพบกับเรือลำหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ ท้องเรือที่อยู่ใกล้เหวี่ยงชนปลายเสาธงของธีสธรัลจนหักร่วงตกลงบนดาดฟ้า และค่อยๆลดระดับลงมาจนทั้งลำทอดตัวลงลอยบนผิวน้ำพอดิบพอดี

ลำเรือเป็นไม้ทาด้วยสีน้ำเงินและคาดด้วยขอบสีขาวซึ่งเป็นการตกแต่งที่แปลกกว่าเรือลำใดของมหาทวีป และบนดาดฟ้าที่ควรจะมีเสาไม้กับใบเรือสักสองหรือสามต้นกลับถูกแทนที่ด้วยผ้าผืนใหญ่ที่ถักทอเข้าด้วยกันจนเป็นทรงกระบอกหัวแหลมที่มีขนาดใหญ่กว่าลำเรือและอัดลมเข้าไปจนพองโต

"เรือเหาะ..." ผู้นำหญิงเบิกตาขึ้นด้วยไม่เคยเห็นเรือรูปร่างแบบนี้แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นของฝ่ายใด

"...เอลฟ์"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


เผื่อใครไม่เก็ท... พ่อเลสธีราห์เป็นเอลฟ์นะจุ๊ อย่าลืม  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 27.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-01-2017 14:47:57
ตอนที่ 27.1

เหนือหัวแห่งแอสทารอธยืนอยู่เพียงลำพังในบริเวณสวนกลางพระราชวังอัสเธียร์ และขบคิดสิ่งต่างๆไปเรื่อยเปื่อยในขณะที่เฟลิเซีย คนสนิทของท่านหญิงลีอาห์มาขอเข้าพบพร้อมกับสาส์นที่ควรจะส่งไปถึงราชินีแห่งธีสธรัล "เป็นการตัดสินใจของซาฮาลรึ"

ผู้นำอาณาจักรมองซองหนังในมือ และเอกสารอีกฉบับซึ่งเป็นสัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์

"เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ว่าที่เหนือหัวได้เดินทางไปพบกับท่านแม่ทัพโมนาเพื่อขอกำลังจากหน่วยองครักษ์ส่วนตัวของนางซึ่งมีฝีมือดีที่สุดในกองทัพ และเดินทางไปยังอาเดรียแล้วเจ้าค่ะ" เฟลิเซียกล่าวเรียบ "ข้าได้รับมอบหมายให้นำความเคลื่อนไหวนี้มาแจ้งแก่เหนือหัว"

ดาเรียสหัวเราะเบากับตนเอง "แปลว่าเป็นประโยคบอกเล่าสินะ"

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การตัดสินใจของซาฮาล แต่เป็นการตัดสินใจของเลสธีราห์ต่างหาก

"อย่างไรอำนาจในการปกครองแอสทารอธก็จำต้องตกอยู่ในมือของซาฮาล ดังนั้นข้าเชื่อว่ามันคือการตัดสินใจเพื่อแอสทารอธแล้ว" ดาเรียสกล่าวเสียงเรียบ "แต่ต่อให้เป็นถึงเหนือหัวแห่งแอสทารอธ เขาก็คงไม่สามารถช่วยเหลือเลสธีราห์ได้ เด็กคนนั้นคงต้องลงจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ในที่สุด"

เฟลิเซียเม้มปากเล็กน้อยระหว่างชั่งใจว่าควรจะถามเหตุผลหรือไม่

"เพราะนั่นคือโทษทัณฑ์ที่เขาต้องรับในฐานะที่สร้างความเดือดร้อนและอับอายขายหน้าให้อาณาจักร ซึ่งต่อให้มีสัญญาฉบับนี้ มันก็ไม่อาจซื้อตำแหน่งของเลสธีราห์คืนมาได้" ดาเรียสมองดูสัญญาของเอเรส "มันคือผลประโยชน์ของอาณาจักรที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย"

"ข้ามิขัดข้องในคำสั่งของสภาขุนนาง หากแต่เป็นห่วงท่านหญิงลีอาห์" เฟลิเซียกล่าว

ดาเรียสถอนหายใจยาวๆครั้งหนึ่ง ขณะนึกถึงคำขอร้องสุดท้ายของราชเลขาก่อนที่นางจะเดินทางออกไปยังดินแดนตะวันออก เพื่อขอความช่วยเหลือให้ชาวเอลฟ์ยอมรับและให้ที่พักพิงกับบุตรชายของนาง หากเขาถูกเนรเทศออกจากดินแดนเซนทอร์

"นางเป็นเซนทอร์..." เหนือหัวหลับตาลง "และนางพร้อมยอมรับในกฎของเซนทอร์เสมอ"

และตัวเขาเองก็เช่นกัน ที่แม้ใจอยากจะยื่นมือเข้าช่วยเหลืออย่างไร แต่กฎย่อมต้องเป็นกฎ

"เฟลิเซีย" ดาเรียสเหลือบมองคนข้างกาย "พรุ่งนี้จะมีการประชุมของสภาขุนนาง เจ้าควรจะเตรียมตัวชี้แจงเรื่องนี้ต่อทุกคน และชี้แจงโทษทัณฑ์ของเลสธีราห์ด้วย" เหนือหัวกำหมัดเล็กน้อย "เขาจะต้องถูกเนรเทศออกจากแอสทารอธตามกฎของอัศวินเซนทอร์"

'ข้าจะไม่ขออยู่ดูลูกของตัวเองตายในสนามรบ'

เพราะท่านหญิงลีอาห์รู้ นางจึงตัดสินใจเดินทางไปพบธีโอเดร บลังค์... บิดาของเลสธีราห์

--------------------------------------------------

แม้เลสธีราห์จะเคยเห็นเรือลำนั้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต แต่สัญลักษณ์บนธงผืนนั้น ในฐานะผู้ที่มีสายเลือดตระกูลบลังค์ เซนทอร์หนุ่มไม่เคยลืม ในขณะที่เอเดรียนมุ่นคิ้วมองเรือลำใหญ่ที่ขวางอยู่ระหว่างเซเลสต์และคาร์เธียร์ด้วยความไม่เข้าใจ อีกทั้งยังแปลกใจกับสิ่งที่เรียกว่า 'เรือเหาะ' ไม่ต่างจากพวกเซนทอร์บนเรือเซเลสต์ที่เริ่มชะเง้อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานโดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเซนทอร์ตนหนึ่งกระโดดข้ามจากเรือเหาะกลับมาที่เซเลสต์ และนั่นก็ยิ่งทำให้ทุกคนวางท่าทีไม่ถูก "ท่านหญิงลีอาห์!" นานสักครั้งที่พวกเขาจะเห็นราชเลขาผู้สงบเสงี่ยมวิ่งผาดโผนแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งนางก็เคยเป็นนักรบมาก่อนที่จะเป็นคนสนิทของเหนือหัว ราชเลขากวาดสายตามองเซนทอร์ทั้งหมดในเรือด้วยท่าทางเรียบเฉย และหยุดมองที่บุตรชายของตนบนดาดฟ้าท้ายเรือ คนเป็นแม่ไม่พูดพร่ำทำเพลงใด แต่รีบปราดตรงเข้าไปหาบุตรชายอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเป็นการวิ่ง ด้วยสีหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายทำให้ใจของนางเจ็บยอกเสมือนถูกบีบด้วยแรงมหาศาล

"เลสธีราห์!"

ลูกเรือแหวกทางให้ท่านหญิง และเมื่อนางขึ้นไปถึง เอเดรียนก็ยอมถอยออกห่างแต่โดยดี เซนทอร์หนุ่มพยายามจะพยุงตัวเอาไว้ด้วยการจับพังงาเรือเพื่อไม่ให้มารดาเป็นห่วง หรือทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูอ่อนแอมากกว่าเดิม แต่ด้วยความที่ยังไม่ฟื้นตัวดีทำให้ชายหนุ่มจุกจนพูดอะไรไม่ออก "สภาขุนนางสั่งให้เจ้าหันหน้าสู้กับธีสธรัลหรือไร..." ลีอาห์เสียงสั่น ด้วยรู้ว่ามติที่แท้จริงของสภาสูงคืออะไร เพราะนางเองก็เป็นส่วนหนึ่งในที่ประชุมนั้นด้วยเช่นกัน

แต่แล้วหางตาของนางเหลือบไปเห็นเอเดรียนเข้า "เจ้า...!"

เพี๊ยะ!

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เซนทอร์แห่งแอสทารอธได้เห็นท่านหญิงลีอาห์อดกลั้นความรู้สึกไม่ได้อีกต่อไป กีบเท้ากระทืบอย่างกราดเกรี้ยวและร่างโปร่งก็พุ่งเข้าใส่มนุษย์ที่ไม่ห่าง ก่อนจะเหวี่ยงหลังมือฟาดเสี้ยวหน้าของเอเดรียนอย่างแรงจนร่างสูงกระเด็นไถลลงไปกับพื้นจนกระแทกขอบไม้ระเบียงเรือ

"อั่ก...!!"

แม่ทัพใหญ่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธความกราดเกรี้ยวของท่านหญิง ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกและยืดตัวลุกขึ้นเพื่อรับฟังทุกอย่างแต่โดยดี ลีอาห์หลับตาครั้งหนึ่งพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกความเป็นตัวเองกลับมา "เพราะเจ้าทั้งนั้น เอเดรียน..." เอเดรียนสงบนิ่ง แม้ว่าแขนของเขาจะเจ็บร้าวและหลังที่กระแทกกับราวไม้ก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่โกรธเคืองเลยหากราชเลขาแห่งแอสทารอธจะยกเท้ากระทืบอีกสักครั้ง

เลสธีราห์เองก็ไม่ขัดโทสะมารดา แม้ว่าเขาจะเป็นห่วงเอเดรียนอย่างไร

เขารู้ว่าคนอย่างท่านหญิงลีอาห์ไม่ลงไม้ลงมือกับใครหากไม่สุดทน "ข้าเลือกที่จะหันหลังให้อาเดรียแล้ว แอสทารอธเลือกที่จะช่วยเหลือธีสธรัลแล้ว และคำสั่งของเหนือหัวคือการแก้แค้นของแอสทารอธ แต่เหตุใดจึงเป็นคนเช่นเจ้า... ที่ทำให้เลสธีราห์เลือกขัดคำสั่งสภาสูงเซนทอร์!" เอเดรียนไม่ปริปากพูด ไม่แม้แต่จะอธิบายหรือตอบคำถามของคนตรงหน้า เพราะเขาเชื่อว่าท่านหญิงลีอาห์รู้คำตอบนั้นแก่ใจ "...แม้แต่ชีวิตเจ้าก็ชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้"

เอเดรียนรู้สึกได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดที่มุมปาก และความรู้สึกเจ็บเมื่อออกเสียง

"ท่านราชเลขา..." เขาไม่ควรกล่าวอะไรในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำแก้ตัวหรือคำโฆษณาที่เชื่อถือไม่ได้ ในตอนนี้เอเดรียนมีแต่จะต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จเป็นไปตามแผนเท่านั้น และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจึงจะสามารถพูดกับท่านหญิงได้อีกครั้งว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเลสธีราห์

...เมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้น ที่เขาจะมีเกียรติพอจะสามารถพูดกับเซนทอร์ได้

เซนทอร์หญิงเม้มปากและมุ่นคิ้วแน่น... นางอยากจะถามอีกฝ่ายเหลือเกินว่า หากเอเดรียนเป็นมนุษย์ธรรมดา คิดหรือว่าจะยังมีลมหายใจอยู่ได้หากทำให้นางโกรธจนเสียการควบคุมตนเองแบบนี้ แต่เพราะเอเดรียนคือคนที่บุตรชายของนางรักไม่ใช่หรือ นางจึงได้ยั้งมือเอาไว้

"ลีอาห์...!"

ลีอาห์หันตามเสียงเรียก และทันเห็นชายร่างสูงโหนตัวข้ามมาจากอีกลำเรือก่อนจะเข้ามาหานาง "ธีสธรัลจะให้เวลาเซเลสต์ล่าถอยออกไปให้พ้นทาง..." เสียงทุ้มต่ำของเขากล่าวบอก และก้มลงมองเลสธีราห์ที่ดูจะหายมึนจากอาการขาดอากาศแล้ว ก่อนจะจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู "ไง... คนเก่ง" คนถูกเรียกแบบนั้นเงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่าตรงหน้า และด้วยน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคย ทว่าไม่ได้ยินมาเนิ่นนานนับสิบปีทำให้เลสธีราห์ต้องเบิกตาขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพราะคนตรงหน้านั้นมีผมสีอ่อนซีดแบบเดียวกับตน อีกทั้งดวงตาที่เป็นสีเดียวกันทว่าดุดันกว่า โครงหน้าที่ละม้ายคล้ายกันหลายอย่าง ยกเว้นใบหูปลายแหลมที่ต่างกันอย่างชัดเจน

"ท่านพ่อ..."

ชาวเอลฟ์สูงกว่ามนุษย์ปกติ ทว่าธีโอเดรก็เป็นเอลฟ์ที่สูงมากสักหน่อย เพราะแม้เขาจะมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ก็สูงพอๆกับท่านหญิงลีอาห์ในร่างเซนทอร์เลยทีเดียว "เขามีดวงตาเหมือนแม่" ทูตเอลฟ์เปรยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพียงแค่นั้น แล้วจึงหันไปหาเอเดรียนที่อยู่ไม่ไกล "เจ้าใช่ไหม ต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายนี่..."

"เจ้าทำให้เขาทรยศแอสทารอธ" ลีอาห์มุ่นคิ้วด้วยความโกรธขึ้ง "ออกไปจากเรือเซเลสต์ ข้าไม่ต้อนรับเจ้า!"

เอเดรียนรู้ดีว่าเขาไม่ได้รับการต้อนรับจากทั้งคู่ แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะรู้สึกท้อแท้ หากธีสธรัลจะให้เวลาเซเลสต์ในการล่าถอย นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าเลสธีราห์จะปลอดภัยจากสงคราม และตัวเขาเองก็ควรจะกลับไปที่ปราการอาเดรียเพื่อจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้น "เช่นนั้น..."

แต่แล้วธีโอเดรก็ยกมือขึ้นปรามภรรยาของตน "แอสทารอธส่งทัพมาถึงอาเดรียแล้ว"

"..." เอเดรียนกลั้นหายใจในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหันกลับไปมองปราการที่ตนควรจะอยู่ดูแล และพบกับกลุ่มควันขาวที่เกิดจากกองเพลิง ไหม้โหมอยู่ไกลๆ "แอสทารอธหรือ..." ไม่มีใครเข้าใจ กระทั่งเลสธีราห์และรีดาห์ก็หันมองหน้ากันด้วยความฉงนว่าผู้ใดเป็นคนส่งทัพมายังอาเดรีย และมาด้วยจุดประสงค์หรือเจตนาใดกันแน่

"เจ้าไม่ได้ยินหรือ... เลสธีราห์" ทูตเอลฟ์เหยียดยิ้มช้าๆ "วิชาฟังเสียงของเจ้าไม่พัฒนาหรืออย่างไร"

ผู้บัญชาการเซเลสต์หลับตาลงบ้าง และสิ่งที่ได้ยินแทบจะในทันคือเสียงการต่อสู้บนแผ่นดิน เสียงของอาวุธที่ฟาดฟันเข้าหากัน เสียงฝีเท้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเซนทอร์ และเสียงร้องระงมของทหารที่ปราศจากผู้นำ แอสทารอธยกทัพมาถึงอาเดรียแล้วจริงๆ และกำลังต่อสู้กับพลทหารที่พยายามปกป้องปราการของตนอย่างสุดกำลัง "รีดาห์ มากับข้า" ธีโอเดรกล่าวเสียงเรียบ

"เจ้าจะต้องเป็นคนพูด... กับว่าที่เหนือหัว ซาฮาล"

"ซาฮาลรึ!"

เลสธีราห์อ้าปากค้าง ด้วยความกังวลว่าซาฮาลจะเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้ เพียงลำพังสถานการณ์ในตอนนี้ก็บานปลายยุ่งเหยิงเพียงพอแล้ว หากจะต้องรับมือกับว่าที่เหนือหัวที่แสนดื้อรั้นของแอสทารอธอีกคน เซนทอร์หนุ่มคิดว่าหากเขาหนีหายไปอาจจะง่ายกว่า แต่แล้วท่าทีของบิดาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้าแบบเดียวกับบุตรชายหันไปเขม้นมองไปในความว่างเปล่าของมหาสมุทร กองเรือของธีสธรัลหยุดยั้งการเคลื่อนไหวเอาไว้อย่างนั้น แต่เสียงของอะไรบางอย่างกลับดังชัดขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อทูตใหญ่ไม่พูดต่อ เลสธีราห์ก็รู้ในทันทีว่าบิดาของตนกำลังเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง

...เสียงถอนสมอของเรือจำนวนมากดังก้องอยู่ในท้องน้ำ

เอลฟ์ร่างสูงขบริมฝีปากช้าๆ "เรือแองเจลิกา... โจรสลัดเทเทสใต้" นัยน์ตาสีฟ้าเคลื่อนกลับมามองแม่ทัพใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ที่ซึ่งไม่เอาอ่าว มีเพียงลมปาก และไร้สามารถในสายตาของราชเลขาแห่งแอสทารอธ "น้องชายของเจ้าใช่ไหม... เอเดรียน ฟลินทรัสต์"

....

"...ช่างแยบยล"

--------------------------------------------------

ผู้นำแห่งธีสธรัลสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะทอดถอนออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ได้ว่าเป็นความโล่งใจหรือว่ากลัดกลุ้มกันแน่ สำหรับมนุษย์หญิงที่เรียกได้ว่าเป็นสตรีตัวคนเดียวอย่างนาง ต้องมาเผชิญหน้ากับทูตเอลฟ์ระดับสูงจากแผ่นดินตะวันออกอย่างธีโอเดร ...แน่นอนว่าราชินีสาวย่อมหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย

"พระนาง... เรา..."

แม้ข้าราชบริพานจะภักดีสักเท่าไหร่ แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่โดยห่าง และจับตาเพื่อให้แน่ใจว่าเอลฟ์จากเธสซาลีย์จะไม่ทำอันตรายผู้นำของพวกเขาเท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครหาญกล้าพอที่จะก้าวเข้าไปขวางการสนทนาเมื่อครู่ ซึ่งเป็นคำขอเชิงบังคับให้ธีสธรัลหยุดการรุกรานไว้ชั่วคราว

ราชินีธีสธรัลยกมือขึ้นปรามคนสนิทที่กำลังจะเอ่ยปาก "ข้าอยู่ตรงหน้าความพ่ายแพ้ของอาเดรีย..."

"แต่ไม่อาจยื่นมือออกไปคว้ามันมาได้" หญิงสาวลดมือลงข้างกายและคลายกำหมัดออกอย่างหมดแรง "เธสซาลีย์เป็นเมืองใหญ่ เราไม่ควรจะแข็งข้อด้วยประการใดทั้งปวง" ดวงตาเฉียบคมของนางหรี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ทั้งกองเรืออาเดรียที่บอบช้ำจนไม่สามารถส่งผู้ใดมาทัดทานได้อีก เรือที่ล่าถอยอย่างจนตรอก และข้าศึกที่ดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

ชัยชนะของนาง... อยู่เบื้องหน้าแล้ว แต่นางกลับไม่สามารถไขว่คว้ามันมาเป็นของตนได้

"มีเหตุผลอะไรกันที่เธสซาลีย์จะเข้ามาขวางการศึก... ข้าคิดว่าอาเดรียเป็นพวกอัสคาห์"

"อาเดรียเป็นพันธมิตรกับอัสคาห์" ราชินีกดเสียงต่ำ "แต่ผู้ที่เป็นพันธมิตรกับเธสซาลีย์คือแอสทารอธ ธนูที่อยู่ในมือของผู้นำเซเลสต์คือแอควาเรียร์ ธนูแหวกสมุทร ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติวิชาของตระกูลบลังค์แห่งเธสซาลีย์" หญิงสาวอธิบายให้คนใกล้ตัวฟัง "และท่านทูตใหญ่แห่งเธสซาลีย์คือธีโอเดร บลังค์..."

พวกมนุษย์ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับชาวเอลฟ์มากเท่าอมนุษย์อย่างภูตหรือเซนทอร์ ดังนั้นความรู้นี้จึงเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา และจากการบอกเล่าเพียงเท่านี้ ผู้นำระดับสูงหลายคนที่อยู่บนเรือคาร์เธียร์ก็สรุปความได้ง่ายๆว่า ผู้นำเซเลสต์ของแอสทารอธเกี่ยวดองกับทูตระดับสูงของเธสซาลีย์

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ราชินีของพวกเขาหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างลงก่อน

...เพราะนางจะต้องไตร่ตรองการกระทำของตนให้มากขึ้นกว่าเดิม

"ข้าเสียแม่ทัพเรือไปคนหนึ่งแล้ว จะไม่เดินทางกลับมือเปล่าอย่างแน่นอน!"

องค์ราชินีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างจ้าด้วยแสงอาทิตย์ยามกลางวัน กระแสลมที่เป็นใจให้นางรุกเข้าหาแผ่นดินที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ทว่ากลับต้องทอดสมอลงและหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างราวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความฝันและภวังค์ที่นางจะต้องตื่นจากมัน

แต่ไม่มีวันเสียหรอก...

"แม่ทัพรอง..." หญิงสาวเอ่ยขึ้นลอยเรียกหาผู้ใต้บัญชา "ละเว้นเรือเซเลสต์เอาไว้ เมื่อเธสซาลีย์จากไปแล้ว นำเรือเร็วเข้าประชิดท่าเรือออโรรา" แม้ใจของนางจะอยากเก็บรักษาท่าเรือที่สำคัญของแผ่นดินตะวันตกเอาไว้ แต่หากใจดีจนเกินไปไม่รู้จักสั่งสอนกันเสียบ้าง ไม่ช้าก็เร็ว อาเดรียก็ต้องเหิมเกริมต่อนางอีกครั้ง ...วันนี้นางจะต้องได้ชีวิตของผู้นำกบฎ

วันนี้นางจะต้องได้เลือดของซินญอร์มาปูทางเดิน

"ยิงถล่มมันให้สิ้น..."

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 27.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 19-01-2017 14:49:00
ตอนที่ 27.2

"ท่านแม่ไปเธสซาลีย์เพื่อการนี้หรือ!"

เลสธีราห์อ้าปากค้างเมื่อได้สอบถามเรื่องราวจากปากมารดา เพราะการกลับมายังแผ่นดินตะวันตกของธีโอเดรผู้เป็นบิดานั้นสร้างความประหลาดใจให้เขาอยู่มาก เพราะเขาได้ยินมาตลอดว่าทูตใหญ่ของเธสซาลีย์ไม่เคยมีเวลาว่าง ดังนั้นนับสิบปีที่ผ่านมา เลสธีราห์จึงไม่ได้พบหน้าบิดาของตัวเองเลย

"ธีโอเดรไม่กล้าขัดคำสั่งมหาราชาแห่งเธสซาลีย์ เขาจึงไม่มีเวลากลับมาที่นี่ เนื่องจากต้องติดต่อกับเมืองอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของเจ้า... ลูกชายคนเดียวของเขา ข้าจึงต้องเดินทางไปถึงเมืองเอลฟ์ และขออนุญาตมหาราชาด้วยตนเอง"

บางครั้ง เลสธีราห์ก็คิดว่าความรักของมารดานั้นยิ่งใหญ่และหนักแอึ้งจนเกินกว่าเขาจะรับไหว

แต่ก็ด้วยความรักและเป็นห่วงทั้งนั้นที่ผลักดันให้เซนทอร์หญิงต้องทำแบบนี้...

"ข้าจะไม่ทน... เห็นเจ้าตาย เข้าใจไหมเลสธีราห์ แม้ว่านั่นจะเป็นการหักหาญเจตนาที่จะพิสูจน์ตนเองของเจ้าก็ตาม" ราชเลขายกมือขึ้นลูบหัวบุตรชาย "โอกาสหน้ายังมีอีกตั้งมาก ลูกข้า เจ้าไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงตายแบบนี้"

เซนทอร์หนุ่มถอนใจเบาๆก่อนจะทอดยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหัว "ท่านแม่..."

"ท่านเลสธีราห์!" ลูกน้องคนหนึ่งร้องเรียก และชี้มือไปที่กองเรือเวเรนเซียที่เริ่มเคลื่อนตัวช้าๆ "เรือปืนของธีสธรัลกำลังเคลื่อนไหวขอรับ" เลสธีราห์มุ่นคิ้ว และเดินตามอีกฝ่ายมาที่กราบเรือบ้าง หน่วยเรือเร็วซึ่งเป็นเรือรบติดปืนใหญ่ของธีสธรัลกำลังเคลื่อนพล และโดยที่ไม่เหลียวมองเรือเซเลสต์ พวกเขากำลังมุ่งผ่านไปเพื่อเข้าใกล้แผ่นดินมากที่สุด

"พวกมันรุกอ่าวออโรราอีกครั้งแล้ว"

"ข้าคิดว่าเอเรสจะจัดการเรื่องนี้!"

เซนทอร์หนุ่มอ้างปากค้าง ก่อนจะหลับตาลงเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหว สิ่งที่เขาได้ยินเป็นเสียงเปิดประตูปืนของกองเรือรบเวเรนเซีย แต่ทว่าเพียงครู่เดียว เลสธีราห์ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่แปรเปลี่ยนไป เสียงลุกฮือของผู้คนที่เขาไม่คุ้นหู ท่านหญิงลีอาห์เหลือบมองรอบกายด้วยสามารถสัมผัสถึงความผิดปกติได้เช่นกัน

และบนเส้นขอบฟ้าที่มองไม่เห็นนั่นเอง เงาของเรือรบหลายร้อยลำก็ค่อยๆปรากฎเด่นชัดขึ้น

นำโดยแองเจลิกา... เรือบัญชาการของเอเรส ฟลินทรัสต์

--------------------------------------------------

ปราการอาเดรียบัดนี้เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย เมื่อแอสทารอธโจมตีและเปิดประตูเมืองชั้นแรกสำเร็จ อัศวินครึ่งม้าก็บุกเข้ามาต่อสู้และเข่นฆ่ากำลังพลของคัสห์นาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ พลทหารบนปราการชั้นสองสาดธนูลงมาจากกำแพงเพื่อหยุดยั้งการรุกราน แต่ด้วยรูปแบบขบวนการเคลื่อนพลของเซนทอร์ทำให้ลูกดอกเล็กๆไม่สามารถทำอันตรายได้ และพวกเขาก็ไปถึงประตูปราการชั้นสองในเวลาอันรวดเร็ว

"แอสทารอธ... เธสซาลีย์..."

ซินญอร์พึมพำทวนคำกับตัวเองโดยที่ยังละสายตาจากท้องทะเลเบื้องหน้าไม่ได้ เขารู้จากสัญลักษณ์ที่อยู่ใบเรือรูปร่างประหลาด อีกทั้งการตกแต่งที่ต่างจากอัสคาห์โดยสิ้นเชิง ผู้นำอาเดรียรู้ในทันทีว่านั่นคือเอลฟ์แห่งเธสซาลีย์ ผู้เป็นพันธมิตรของแอสทารอธ

...และรู้ว่าการมาเยือนครั้งนี้ไม่มีผลดีกับเขาอย่างแน่นอน

น่าแปลกที่ผู้นำอาเดรียรู้สึกได้ถึงความตายและความหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาหาตนช้าๆ ทว่าเขาเองก็ไม่คิดจะปัดป้องหรือต่อสู้กับมัน ราวกับรู้แก่ใจว่าอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิดขึ้น "เอเดรียนสินะ" ไม่มีความโกรธขึ้งหรืออาฆาตก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของผู้นำอาเดรียแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าหากบุคคลที่เขาคิดถึงคือเอเดรียนจริงๆ เขารู้ว่าเอเดรียนไม่ใช่คนกระหายในอำนาจ เอเดรียนไม่ใช่คนทะเยอทะยานจนหน้ามืดตามัว ...เขารู้ว่าเอเดรียนรักอาเดรียอันเป็นบ้านเกิดของตน

และรู้ว่าเอเดรียนรักเซนทอร์ที่อยู่บนเรือลำนั้น... จนสามารถลงมือทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้

"ข้าไม่น่าปล่อยให้เจ้าว่างพอจะไปหาคนรักใหม่เลย เอเดรียน..." ผู้นำบนหลังม้าแค่นหัวเราะกับตัวเอง แต่ก็ปลงตกกับชะตาของตัวเอง "แต่หากไม่มีคนรักคนนี้ เจ้าคงไม่หาญกล้าทำอะไรแบบนี้หรอก" ชายหนุ่มดึงบังเหียนบังคับม้าให้หันหัวกลับมาหากองทัพที่อยู่หลังกำแพง

"ข้าศึกกำลังจะประชิดตัวเมืองแล้ว!!"

คำประกาศนั้นทำให้กองทหารต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้นำของพวกเขาอย่างไม่แน่ใจ พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคืออะไร หรือตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงจับอาวุธคู่ใจของตนให้มั่น และปกป้องมหาคฤหาสน์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของอาเดรียเท่านั้น แต่สิ่งที่ท่านชายซินญอร์พูดออกมามันหมายความว่าอย่างไร พวกเขาพ่ายแพ้ในสงครามกลางทะเลหรืออย่างไร

...และตอนนี้แม่ทัพใหญ่ของพวกเขาอยู่ที่ใดกัน!

...บรึ้ม!!

เสียงระเบิดดังสนั่นดังขึ้นพร้อมกับลูกปืนที่พุ่งเข้าใส่กำแพงปราการ เสียงแตกตื่นที่ดังมาจากปราการชั้นสองด้านล่างอธิบายเหตุการณ์ได้ว่ากำแพงหินถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ และแน่นอนว่าปืนใหญ่ที่มีระยะยิงสูงเท่านี้ ย่อมเป็นปืนของเรือเหาะจากเธสซาลีย์เท่านั้น

"ท่านชาย!! เธสซาลีย์โจมตีเรา!!"

เรือเหาะที่เมื่อครู่ยังลอยลำอยู่ทะเล บัดนี้แล่นอยู่ในอากาศเบื้องหน้าอาณาจักร แต่ด้วยความที่ไม่ต้องการตกเป็นเป้าของปืนใหญ่บนกำแพงอาเดรีย ธีโอเดรจึงลอยลำรั้งรออยู่อย่างนั้น และถล่มยิงไปทางประตูปราการชั้นสองแทนเพื่อเปิดทางให้กองทัพเซนทอร์เข้าไปด้านใน "ทำไมซาฮาลถึงบุกมาอาเดรียได้..." รีดาห์ที่บัดนี้เปลี่ยนมาขึ้นเรือเหาะมุ่นคิ้วอยู่ข้างทูตแห่งเธซาลีย์และเขม้นมองกลุ่มอัศวินครึ่งม้าผ่านม่านควันของปืนใหญ่ว่าเป็นคนกลุ่มใด

"พวกเจ้าไม่ได้คุยกันหรอกรึ" ทูตเอลฟ์หัวเราะร่วน "ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าของท่านหญิงโมนาด้วย"

"เหตุใดท่านจึงได้ยินกระทั่งเสียงฝีเท้า ท่ามกลางความวุ่นวายขนาดนี้!"

"เจ้าไม่รู้หรอกว่ามันหนวกหูแค่ไหนกับการมีความสามารถแบบนี้ติดตัว" ธีโอเดรไหวไหล่  เขาเป็นผู้คุมพังงาเรือด้วยตนเอง และบังคับให้หันปืนใส่กำแพงหนาตรงหน้าก่อนจะระดมยิงเข้าไปเพื่อทำลายประตูเมืองที่ทำจากเหล็ก "ข้าจะไม่เข้าไปใกล้กว่านี้" ร่างสูงว่า "เจ้าไปคุยกับว่าที่เหนือหัวแทนก็แล้วกัน" เรือเหาะร่อนลงต่ำมากพอที่เซนทอร์สามารถยกกำลังพลขึ้นบนทางเดินยาวที่เชื่อมกับประตูปราการชั้นสอง และเป็นระยะที่ปลอดภัยที่สุดที่ปืนใหญ่ของอาเดรียจะไม่สามารถทำอันตรายบอลลูนยักษ์ซึ่งพยุงเรือเหาะไว้ได้

"เจ้าเห็นซาฮาลหรือเปล่า" รีดาห์เอ่ยกับคนข้างตัว ซึ่งก็คือเอเดรียนที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเรือมาด้วย ทว่าคำตอบที่ได้รับก็เป็นความเงียบ อันเป็นสัญลักษณ์แทนคำปฏิเสธ "ในศึกแบบนี้ จะวิ่งทันเซนทอร์ได้อย่างไร... ไม่มีใครให้เจ้าขี่หลังหรอกนะ" แม่ทัพใหญ่กวาดสายตาไปยังท่าเรือ และเห็นร่างของสัตว์ตัวหนึ่งวิ่งไหวอยู่เบื้องล่าง

"ข้ามีม้าของข้า... ต้องขออนุญาตเซนทอร์ด้วย"

คนพูดไม่รีรอ เขากระโดดขึ้นไปบนกราบเรือที่กำลังลดระดับลงต่ำ คว้าเชือกเส้นหนึ่งและโหนตัวลงไปเบื้องล่างตามด้วยเสียงประท้วงของเหล่าครึ่งม้าบนเรือที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นด้วยด้วยเกรงว่าความสูงจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บที่ข้อเท้า อัลธอร์วิ่งกลับมาที่ท่าเรือราวกับรู้สึกถึงการกลับมาของเจ้านาย และพาเขาวิ่งเข้าไปในประตูเมืองที่ถูกทำลาย ตามด้วยกลุ่มเซนทอร์ที่เพิ่งลงมาจากเรือ

กองทัพเล็กๆวิ่งผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งอาชากระโจนเข้าไปในกลุ่มคนและเริ่มฟาดฟันอาวุธในมือเข้าใส่ศัตรูไม่เลือกหน้า แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็นครึ่งม้า ช่วงขาจึงเป็นจุดเสี่ยงอันตรายที่สุดของเซนทอร์ "อ้าก!!" เอเดรียนดันม้าจนมันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้อง และเขาก็รู้ในทันทีว่าตนคงรักษาชีวิตเซนทอร์ทุกคนเอาไว้ไม่ได้...ขอแค่เข้าถึงตัวท่านชายซินญอร์เท่านั้น

"อย่าให้ขบวนขาดตอน!"

เอเดรียนตะโกนบอกรีดาห์ที่วิ่งตามมาติดๆ ขณะที่สองมมือกำลังช่วยกรุยทางให้ด้วยการเหวี่ยงอาวุธไปรอบตัวอย่างดุเดือด "อย่ามาถือโอกาสออกคำสั่งกับข้านะ มนุษย์เอเดรียน!" รีดาห์เหวี่ยงด้ามธงในมือเพื่อป้องกันขาของตัวเองจากคมอาวุธ "ข้าคือรองผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์! เหตุใดข้าจะต้องมาวิ่งนำทัพกับเจ้าด้วย...!!"

"เจ้าจะเรียกเอเดรียนห้วนๆข้าก็ไม่ว่าหรอก เซนทอร์"

เอเดรียนหัวเราะเบากับคำเรียกแปลกๆของอีกฝ่าย "เพราะข้ารู้เส้นทางภายในปราการนี้อย่างดียังไงเล่า" ชายหนุ่มเหลียวหลังไปมองกองทัพที่ยังติดตามเขามา อัลธอร์กระโจนเข้าไปถึงด้านหน้าประตูในที่สุด แต่ด้วยความที่ประตูเหล็กลงกลอนจากด้านในทำให้มันไม่สามารถขยับได้ด้วยแรงของมนุษย์ธรรมดา

"เอเดรียน!!" หอกเล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่แม่ทัพใหญ่ด้วยประสงค์ร้าย และจังหวะเดียวกันที่รีดาห์เหวี่ยงโล่ของตนขึ้นรับแทน

...เคร้ง!!

แต่แทนที่จะเป็นโล่ไม้ที่แขนของรีดาห์ซึ่งคุ้มกันให้เอเดรียน กลับเป็นโล่เหล็กที่แข็งแกร่งกว่าของใครอีกคนแทน เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้างเล็กน้อยขณะมองร่างเงาที่ยืดขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นจนบนบังตนเสียมิด ก่อนจะลดแขนลงเพื่อให้แสงแดดส่องกระทบใบหน้า "เจ้านี่มันช่างหาเรื่องจริงๆ รีดาห์!"

"แล้วข้าเชิญเจ้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซาฮาล!"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


เขาอาร์ต... เขาเขียนไม่ออก... เขาหายไป... เขาขอโทดดดดดดดดด  :m15: :m15: :m15:
แต่เขากลับมาพร้อมดราฟต์ปกนะ  :hao7: :hao7: :hao7:

ปล. เอเดรียนก็ยังถือปืนในจินตนาการของนางต่อไป  :ling1:

(https://pbs.twimg.com/media/C2SBD5tUUAAXY6m.jpg:large)

หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 27.1 [19-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 19-01-2017 21:19:08
วุ่นวายมากกก คนนั้นก็จะทำแบบนึงคนนี้ก็จะทำแบบนึง
แต่มันส์มาก
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 27.1 [19-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-01-2017 21:23:51
จิ้มจ้า
ให้กำลังใจคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 28.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 21-01-2017 22:36:48
ตอนที่ 28.1

จาเร็ตต์กลั้นใจเมื่อเรือของตนเริ่มเคลื่อนตัว เนื่องด้วยเป้าหมายของเขาคือการเข้าเผชิญหน้ากับเรือคาร์เธียร์ ซึ่งเป็นเรือรบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในน่านน้ำนี้ก็ว่าได้ และต่อให้พ่อบ้านชราของ 'คุณชายเอเรส' จะยืนยันว่าเรือลำนี้มีความปลอดภัยมากพอ แต่การที่ราชาโจรสลัดไม่ปรากฎตัวออกมาให้เห็นหน้าเลย ก็ทำให้ร่างโปร่งหวั่นใจ

"จะไม่รอเอเรสก่อนหรือ..."

จาเร็ตต์ผู้ยืนไม่ติดที่ เดินวนรอบพังงาเรือเป็นครั้งที่สาม ในขณะที่พ่อบ้านชรายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเขาจะเป็นคนออกคำสั่งเคลื่อนพลก็ตาม "คุณชายสั่งไว้น่ะขอรับ ว่าไม่ต้องรอ" จาเร็ตต์หันกลับมามองข้าศึกตรงหน้าอย่างไม่พอใจในคำตอบนัก เนื่องจากเอเรสไม่บอกอะไรกับเขาเลย ทั้งที่เขาถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่ายแท้ๆ

"แล้ว 'คุณชาย' ไปไหนเสียแล้วล่ะ" ร่างโปร่งบ่นอุบ "แค่มีม้าบินเลยจะไปไหนก็ได้ตามใจชอบรึ"

กองเรือเวเรเซียหันหน้าไปทางตะวันตก และส่งเรือปืนทั้งหมดออกไปเบื้องหน้าเพื่อจัดการถล่มท่าเรือออโรราตามคำสั่งของผู้นำ ในขณะกองทัพโจรสลัดกระจายกำลังรุกเข้ามาจากด้านหลังช้าๆ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เรือสั่งการ และเรือสนับสนุนที่ไร้อาวุธ

"พระนาง! พวกโจรสลัดเทเทส!!"

ราชินีธีสธรัลรีบรุดมายังท้ายเรือ เพื่อจะพบว่ากองเรือปริศนามุ่งหน้าเข้ามาใกล้ ซึ่งในตอนนี้เวเรนเซียมีเพียงเรือสั่งการคาร์เธียร์เท่านั้นที่มีปืนใหญ่ แต่เรือสนับสนุนลำอื่นมีอาวุธน้อยมาก ดังนั้นหากถูกโจมตี พวกเขาก็ไม่มีทางสู้ได้ "พวกโจรสลัดใช้เรือเร็วทั้งนั้น" หญิงสาวอ้าปากค้าง "ระดมพลกลับมา! เรียกกลับมา!! คุ้มกันเรือสนับสนุน เรือเสบียงทั้งหมด!"

แตรของธีสธรัลถูกเป่าขึ้นในทันที ทว่ามันก็ไม่ดังพอที่จะทำให้เรือเร็วซึ่งแล่นออกไปไกลแล้วได้ยิน

เพราะกลางทะเลเช่นนี้ หากกองทัพแยกห่างจากกันแล้วจะไม่สามารถรวมตัวกันได้โดยง่ายอีก "มีพลุไฟอยู่ในคลังแสงบ้างหรือเปล่า!" ผู้นำหญิงตวาดถามร้อนรน "นำคาร์เธียร์พุ่งเข้าไป พุ่งเข้าไปสมทบกับเรือเร็ว! กางใบเรือให้หมด!!"

"พระนาง... ลมแรงไม่พอขอรับ เราระดมฝีพายทั้งหมดแล้ว"

"หาพลุไฟ! สื่อสารกับพวกเรือเร็ว บอกให้พวกเขากลับมา" เรือโจรสลัดหลายลำทยอยพุ่งเข้าเทียบเรือสนับสนุนที่ใหญ่กว่า และเริ่มทำสิ่งที่โจรสลัดถนัดที่สุด นั่นคือการปล้นเอาทุกสิ่งอย่างมาเป็นของตน "ระดมฝีพายทุกลำเรือ คาร์เธียร์เปิดประตูปืนใหญ่!!"

"ยิงไปก็เท่ากับจมเรือตัวเองนะ พระนาง"

ไวลด์หันตามเสียงพูดที่ตนไม่คุ้นหู และพบกับชายร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาหาตนพร้อมกับม้าสีดำตัวเขื่อง องครักษ์ของราชินีรีบกรูเข้ามาขวางด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะชักดาบที่บั้นเอวออกมาทำร้ายผู้นำอาณาจักร จนอีกฝ่ายยกมือขึ้นตนขึ้นทั้งสองข้าง และยอมรักษาระยะห่างเอาไว้แต่โดยดี "ข้าไม่ได้มาเพื่อมีเรื่องน่ะนะ"

"เจ้าเป็นใคร..." สายตาของไวลด์เหลือบไปมองม้าที่อยู่ด้านหลังผู้มาเยือน "ม้ามีปีกรึ"

"ข้าคือเอเรส"

เอเรสแนะนำตัวเท่านั้น แล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อเพื่อหยอบซองหนังออกมา "ข้ามาทวงสัญญาของท่าน..." ชายหนุ่มคลี่แผ่นหนังออกก่อนจะหยิบแว่นกลมอันเดี่ยวออกมากระเป๋าเสื้อ และวางบนสันจมูกของตน "ยี่สิบแปดปีที่คลังหลวงธีสธรัลจะต้องแบกรับภาระค่าธรรมเนียมท่าเรือในการติดต่อค้าขายกับเรา หากเอเดรียนยินดีทำตามข้อเสนอ... ด้วยการขึ้นเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย" เอเรสแสร้งมองผ่านแว่น แล้วค่อยๆหันเอกสารในมือตนให้ราชินีธีสธรัลเห็นกับตาว่ามันคือสัญญาที่เขียนด้วยลายมือของพระนางเอง

"แลกกับความสงบสุขของอาเดรีย..."

สัญญาที่เอเดรียนไม่แม้แต่จะมองในตอนนั้น... บัดนี้อยู่ในมือของเอเรส และปรากฎลายมือชื่อของแม่ทัพเอเดรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้าตัวตกลงที่จะทำตามข้อเสนอ "เรียกเรือปืนของท่านกลับมา หากไม่อยากเป็นผู้ผิดสัญญาเสียเอง" เอเรสกดเสียงลงต่ำเป็นเชิงข่มขู่ แต่แล้วราชินีก็เป็นฝ่ายชักดาบประจำกายออกมาและชี้ตรงไปที่คนตรงหน้าอย่างไม่กลัวเกรง

"เจ้าขโมยสิ่งนี้ออกมาจากห้องของข้า ถ้าข้าฆ่าเจ้าที่นี่... จะไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าสัญญานั่นมีอยู่จริง"

บรึ้ม...!!

ท้ายเรือคาร์เธียร์ก็ถูกโจมตีจนลำเรือสั่นไหวและเหล่าทหารเสียหลักยืน เอเรสอาศัยจังหวะนั้นกระโดดขึ้นม้าของตนและดึงบังเหียนให้มันบินออกไปจากคาร์เธียร์ กลับไปยังเรือบัญชาการของตนที่แล่นเข้ามาใกล้ ทว่าไม่อยู่ในระยะปืนใหญ่

"ตาเฒ่า! ท่านมาได้ถูกจังหวะตลอดเลยนะ!"

ออร์เดนร่อนลงบนดาดฟ้าเรือ คุณชายแห่งฟลินทรัสต์ส่งยิ้มให้พ่อบ้านคนสนิทก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคนที่กำลังโกรธจัดกับการหายตัวไปของเขา "เอเรส!" จาเร็ตต์พุ่งลงมาจากดาดฟ้าด้านหลัง และแหงนมองคู่สนทนาที่เพิ่งกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับซองหนังสีดำ "เจ้านี่มัน!!"

"ถามสิว่าข้าบาดเจ็บไหม" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ข้าเตรียมคำตอบรอแล้ว"

"ไม่ถาม!!"

"อา... เลขาใจร้าย" ร่างสูงหัวเราะ และยัดซองหนังสือใส่มืออีกฝ่าย ก่อนจะผละไปยังกราบเรือ "ตาเฒ่า... หันหัวเรือออกมาหน่อย เรายังต้องนำพวกที่เหลือตามไปถล่มด้านในอ่าว" เรือบัญชาการกางใบเรือรับลม และมุ่งตรงเข้าไปในอ่าวออโรรา ประตูปืนใหญ่ทั้งหมดถูกเปิดออกเป็นสัญญาณพร้อมที่จะโจมตี

"นี่มัน... สัญญา..." จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว "เอเดรียนยอมรับข้อเสนอนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!"

"นั่นลายมือข้าเอง" เอเรสหัวเราะ "ถ้ารอพี่ข้าเขียนคงไม่ได้สงบศึกกันหรอกวันนี้"

--------------------------------------------------

เซนทอร์ที่ไม่ใคร่จะถูกกันสนทนากันได้เพียงเท่านั้น เมื่อพบว่าพวกเขามีภารกิจที่สำคัญกว่าการเถียงกันไปมาในเรื่องที่หาสาระไม่ได้ ซาฮาลหันกลับไปหาทหารมนุษย์ที่ดาหน้าเข้ามาเมื่อครู่นี้ แต่ก็พบว่าหน่วยรบพิเศษของแม่ทัพโมนากระจายกำลังควบคุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว

"โมนา..."

"เจ้าทำอะไร เหตุใดแม่ทัพโมนาถึงได้มาที่นี่ได้ แล้วยังหน่วยพิเศษของนางอีก นี่จะเปิดสงครามฆ่าล้างบางพวกมนุษย์กันหรือไร!" รีดาห์ดึงแขนซาฮาลกลับมาเมื่อเห็นว่าโดยรอบตัวไม่มีศัตรูที่จะทำอันตรายพวกเขาได้ โดยประโยคคำถามของเขาก็ดึงความสนใจจากเอเดรียนเช่นกัน

"นางมาตามคำสั่งข้า" ร่างสูงตอบกลับ "เจ้าให้ข้าดูสัญญานั่นก็เพื่อให้ข้าช่วยไม่ใช่รึ"

"ข้าไม่ได้..."

"เจ้าต้องการสู้หลังชนกับเพื่อน..." ซาฮาลหันไปมองอีกฝ่ายตรงๆ "แล้วข้าเป็นเพื่อนเจ้าได้ไหม"

รีดาห์อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นด้วยไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอะไร แต่แล้วก็นึกได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมาอ้ำอึ้งอยู่กับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าขัดเขินหรืองุนงง "ได้!!" ร่างโปร่งพยักหน้าพร้อมกับยกโล่ขึ้นมา

"จะเอายังไงก็เอาเลย!"

เอเดรียนยังคิดหาวิธีเปิดประตูปราการชั้นสุดท้าย ประตูสูงใหญ่ทำจากเหล็กหนาที่ปิดล็อคได้หลาย ดังนั้นจึงเปล่าประโยชน์หากคิดจะใช้มือเปล่าในการทำลาย เดิมทีเขาคิดจะให้คนของตนที่ปราการชั้นในทำหน้าที่นี้ แต่ในเมื่อเหตุการณ์บานปลายวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ แม่ทัพใหญ่ก็คิดว่าเขาคงไม่สามารถให้สัญญาณใดๆกับคนของตนได้

"อา... ให้ตาย"

ร่างสูงมุ่นคิ้ว และเริ่มคิดถึงกลไกของประตูบานนี้ที่เขารู้จักมันดี มันอาจเป็นความภูมิใจสูงสุดของอาเดรีย ป้อมปราการที่ไม่มีใครตีแตกนี้คือจุดแข็งของเมืองท่าแห่งแผ่นดินตะวันตก หากไม่มีไส้ศึก ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะอาเดรียได้

"รอช้าอะไรอยู่ เจ้าจะบอกว่าไม่สามารถเปิดประตูได้อย่างนั้นรึ"

รีดาห์เร่งเร้า ทหารเซนทอร์ที่ติดตามทยอยมาสมทบหลังจากกำจัดศัตรูที่ขวางอยู่ตรงหน้าจนหมด พวกเซนทอร์วิ่งผ่านย่านร้านค้าที่ร้างผู้คน บ้านเรือนของชนชั้นสูงที่ปิดตาย และสำรวจทุกพื้นที่ในปราการชั้นสองเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูที่มีชีวิตหลงเหลืออยู่

กำลังพลทั้งหมดของคัสนาห์... ไม่มีใครได้กลับบ้านเกิดของตนเอง

คิดเพียงเท่านั้น ใจของเอเดรียนก็หนักอึ้งด้วยความรู้สึกผิด

ทั้งที่พวกเขาเป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ๆ ทั้งที่พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ แต่กลับถูกส่งมาตายแบบนี้ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่ทรยศบ้านเมืองตัวเองด้วยการร่วมมือกับเซนทอร์ "ท่านชายซินญอร์!!" ร่างสูงดึงม้าถอยหลังก่อนตะโกนออกมาสุดเสียงเพื่อเรียกหาเจ้าเมือง

"ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดกับท่าน..."

แน่นอนว่าเบื้องหลังประตูใหญ่ได้ยินเสียงของเอเดรียนชัดเจน และนั่นยิ่งทำให้พลทหารที่ละล้าละหลังไม่มั่นใจอยู่แล้วยิ่งรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม เมื่อครู่ยังมีเสียงของทหารคัสนาห์โห่ร้องด้วยความฮึกเหิม แต่บัดนี้กลับมีแต่ความเงียบและกลิ่นคาวเลือดคลุ้งอยู่ด้านนอก อีกฟากประตูคือแม่ทัพใหญ่ที่คอยประคับประคองกองทัพ ส่วนด้านหลังของพวกเขาคือผู้นำที่คอยปกปักษ์รักษาบ้านเมือง ทหารธรรมดาอย่างพวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะลดอาวุธลงหรือไม่

...ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาสามารถเลือกข้างได้หรือเปล่า

แต่หากต้องเลือกขึ้นมาจริงๆ พวกเขาควรจะอยู่เคียงข้างใคร หากยืนหยัดอยู่ข้างผู้นำอาณาจักรตามธรรมเนียมปฏิบัติ ท่านชายซินญอร์ผู้นี้จะสามารถปกป้อง และหาทางออกในทุกปัญหาได้หรือเปล่า ในเมื่อคนที่คอยแก้ปัญหาทุกอย่างก็คือแม่ทัพเอเดรียน ผู้ที่ยืนอยู่อีกฝั่งฟากประตูนี้ แต่ถ้าเข้าข้างแม่ทัพใหญ่ ก็เท่ากับว่าพวกเขาหันหลังให้ผู้นำอาณาจักรไม่ใช่หรือ ผู้นำอาณาจักรที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตกษัตริย์ผู้ล่วงลับ

ท่านชายซินญอร์มีท่าทีสงบนิ่งเสมือนไม่รู้สึกรู้สา แต่ใครจะรู้ว่าผู้นำอาเดรียในตอนนี้หวาดกลัวจนแทบลืมหายใจ "เอเดรียน..." เขารู้แก่ใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปคืออะไร แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังเร็วเกินไป ทั้งที่เขาตั้งใจให้เรื่องราวลงเอยเช่นนี้แท้ๆ

ราชินีหัวดื้อของธีสธรัลจะไม่ยอมปล่อยเมืองท่านี้ให้เป็นอิสระอย่างแน่นอนตราบใดที่เขายังปกครอง และจะต้องยึดอาเดรียกลับคืนไปเป็นอาณานิคมอีกครั้งให้ได้เพื่อรักษาความเป็นมหาอำนาจของตนเอาไว้ ตราบใดที่เขายังเป็นผู้นำอาณาจักรอยู่เช่นนี้ ซินญอร์ก็จะถูกจับนั่งในตำแหน่งของวีรบุรุษผู้สามารถแข็งข้อกับจักรภพได้

ทั้งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้...

มีทางเดียวที่อาเดรียจะอยู่รอดปลอดภัยต่อไปก็ต่อเมื่อเขาลงจากอำนาจเท่านั้น

แต่ใครจะเป็นผู้นำอาเดรียคนต่อไป ในเมื่อท่านชายก็ไร้ซึ่งทายาท ดังนั้นความหวังของเขาจึงมอบให้เอเดรียน แม่ทัพใหญ่ผู้โดดเด่นในเรื่องของความเยือกเย็น ต่อให้เอเดรียนคิดการกบฎด้วยตนเอง ซินญอร์ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายทำเพื่ออาณาจักรมากกว่าอำนาจ และต่อให้เอเดรียนคิดเนรคุณเขา ท่านชายก็ไม่รู้สึกเสียใจ ...เพียงแต่คนอย่างเอเดรียนขาดเพียงความกล้าหาญเท่านั้น

จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องทำให้แม่ทัพของเขาแข็งแกร่งขึ้น...

แข็งแกร่งพอ และมีอำนาจบารมีพอที่จะปกป้องอาเดรียต่อจากเขา ท่านชายซินญอร์หลับตาลงแล้วค่อยๆดึงบังเหียนให้ม้าของตนเดินนำไปด้านหน้าประตูใหญ่ที่ยังปิดสนิท เอเดรียนไม่เอ่ยเรียกซ้ำ แต่ซินญอร์เชื่อว่าอีกฝ่ายอดทนรออยู่ด้านนอกอย่างใจเย็น และไม่มีความคิดจะพังประตูเข้ามา

เพราะปราการชั้นสุดท้ายของอาเดรียแข็งแกร่งแค่ไหน... เอเดรียนรู้ดีที่สุด

"เปิดประตู..." ท่านชายสั่ง "ถ้าแม่ทัพของพวกเจ้าพาเซนทอร์มาฆ่าเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ก็จงให้เขาทำ"

"ท่านชาย...!"

ประโยคที่ออกจากปากของผู้นำทำให้ทุกคนในที่นั้นเบิกตาขึ้นด้วยความตกตะลึง "ท่านชาย... แต่ว่า... พวกคัสนาห์ด้านนอก!" พลทหารมั่นใจว่าเสียงของกองทัพคัสนาห์ที่ประจำอยู่ด้านนอกเงียบไปแล้ว และคงถูกพวกเซนทอร์เข่นฆ่าจนหมดสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย "ท่านชาย... แม่ทัพเอเดรียนจะสามารถ..."

"ข้าสั่งให้เปิดประตู!" ร่างสูงตวาด

"เอเดรียน ฟลินทรัสต์!! นี่เจ้านำหายนะมาสู่บ้านเมืองตัวเองหรืออย่างไร!"

มนุษย์ที่ไม่ใช่ชนชั้นขุนนางมักไม่มีนามสกุล ดังนั้นพลทหารจึงเข้าใจว่าแม่ทัพของพวกเขาเป็นคนธรรมดามาโดยตลอด แต่เมื่อผู้นำอาณาจักรเรียกขานสกุลอีกฝ่าย มันก็เป็นเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่าการที่เอเดรียนพาเซนทอร์มาบุกถึงอาเดรีย

เพราะตระกูลฟลินทรัสต์คือตระกูลที่เคยมีอิทธิพลมากในอดีต

...และตอนนี้ก็เป็นตระกูลที่คอยปกป้องพวกโจรสลัดด้วย

กลอนหนักๆหลายตัวค่อยๆถอดถอน และโซ่ใหญ่ก็ดึงบานประตูเลื่อนเปิดช้าๆ เบื้องหน้าของกองทัพอาเดรียในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับคนครึ่งม้า และผู้นำทัพของตัวเอง เอเดรียนสูดลมหายใจลึกเมื่อเห็นท่านชายของตนดึงม้ามาหยุดด้านหน้ากองทัพ และลูกทัพที่จับอาวุธเตรียมพร้อม แม้ว่าสีหน้าของพลทหารจะไม่สู้ดีเอาเสียเลยก็ตาม

พวกเซนทอร์ยอมหยุดอยู่เบื้องหลัง ขณะมองแม่ทัพใหญ่ลงจากหลังม้าของตน และเดินตรงไปหาผู้นำอาณาจักรโดยปราศจากอาวุธติดตัว ซินญอร์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงบนิ่ง และเลื่อนสายตาขึ้นมองอมนุษย์ครึ่งม้าเบื้องหน้า มองความรู้สึกชิงชังที่อยู่ในสายตาของพวกเขา แล้วจึงกลับมาสนใจคนตรงหน้าดังเดิม

"เจ้าทำอะไร เอเดรียน..." ประโยคที่ดูใจเย็นผิดปกติทำให้เอเดรียนรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนจากญาติผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน "เจ้าปกป้องอาเดรียด้วยการยกทัพจากต่างเมืองมารุกรานบ้านเมืองตนเองหรือไร"

"เจ้าคิดว่าฆ่าข้าแล้วพวกธีสธรัลจะยอมล่าถอย ไม่ไล่ต้อนเราอีกต่อไปหรือไร"

เอเดรียนเงยหน้าขึ้นมองร่างบนหลังม้า ใบหน้าของท่านชายในตอนนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะมองมากที่สุด เพราะยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกผิดเสียจนเจ็บแปลบไปทั้งอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องอธิบาย เพื่อให้สิ่งที่เขากลัวที่สุดไม่เกิดขึ้น "ข้าไม่ได้ทำเพื่อเอาอกเอาใจธีสธรัล..." นัยน์ตาสีเข้มส่ายไหวเล็กน้อยขณะเสียงสั่นพูดต่อ "แต่ข้าทำเพื่ออาเดรีย"

"..." ซินญอร์ไม่ตอบคำ แต่ฟังการอธิบายของอีกฝ่ายต่อ

"ราชินีไวลด์ให้สัญญากับข้า หากข้าขึ้นเป็นผู้นำอาเดรีย นางจะยอมล่าถอย" แม่ทัพใหญ่ว่า "ท่านชายซินญอร์... หนีไปเถอะ" คำที่ออกจากปากเอเดรียนทำให้ผู้นำอาณาจักรประหลาดใจอยู่บ้าง เขาก้มลงมองคู่สนทนาที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำทัพ ทว่ากลับเป็นคนใจอ่อนไม่เด็ดขาดไม่เคยเปลี่ยน

"ข้าเอาชีวิตท่านไม่ได้... แต่ข้าต้องใช้อำนาจของท่าน"

"เจ้าควรจะฆ่าข้า ตามประเพณีของการล้มล้างราชบัลลังก์" ซินญอร์ตอบเสียงเย็น "ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นได้ตั้งแต่แรก ข้าคงไม่ต้องเสียเวลาเอาตัวเองมาเดิมพันเช่นนี้" ชายหนุ่มพูดเรียบๆ "จงฆ่าข้าให้แล้วมันเป็นตราบาปในใจเจ้าต่อไปเถอะ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น... เจ้าจึงจะปกป้องอาเดรียได้ดีกว่าใคร"

"ท่านชาย...!"

"ข้าให้เจ้าไปเจรจากับแอสทารอธ เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง... เจ้าในฐานะขุนนางที่จงรักภักดีต่ออาณาจักรที่สุดกลับไม่สามารถแก้ปัญหาให้อาณาจักรได้" ร่างบนหลังม้าตำหนิ "เจ้าไม่สามารถเจรจาเพื่อให้ได้คำตอบว่าแอสทารอธต้องการอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพราะเจ้าไม่มีความกล้ามากพอ ไม่สามารถตัดสินใจได้ดีพอ ดังนั้น... ถ้าให้พวกมันต้องการชีวิตข้าคงจะง่ายกว่ารอเจ้า"

เอเดรียนเบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เรื่องราวในหัวค่อยๆปะติดปะต่อทีละน้อยและสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัว "ข้าคิดเช่นนี้ได้เมื่อหัวหน้าพรานจับเซนทอร์ของเจ้ากลับมา... ในเมื่อเจ้าหาสิ่งที่แอสทารอธต้องการไม่ได้ ข้าก็คงต้องทำแบบนี้" เอเดรียนอ้าปากค้างและส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อหู ตลอดเวลาที่ผ่านมา สาเหตุที่ท่านชายผู้นำของเขาดูไร้เหตุผลและเสียสติ ก็เพื่อสร้างความเกลียดชังให้เขา เพื่อให้เขาอดรนทนไม่ได้จนต้องหันหลังให้ และหักใจทำแบบนี้น่ะหรือ

"และที่ข้าไม่เจรจากับธีสธรัล เพราะยิ่งเจรจาไป พวกมันก็มีแต่จะเอาเปรียบ..."

"ท่านถึงได้ดึงดันที่จะติดต่อแอสทารอธ แม้ว่าจะทำให้พวกเขาเกลียดชังอย่างนั้นหรือ"

"เซนทอร์อ่านไม่ยาก... เจ้าคบกับพวกมันไม่รู้เลยหรือไร เผ่าพันธุ์นี้ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ เจ้าควรเลือกผูกมิตรกับแอสทารอธมากกว่าธีสธรัล" ซินญอร์เหลือบมองครึ่งม้าที่ยังยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างเป็นระเบียบแลละอดทน "เอเดรียน... ลงมือเสีย"

คำสั่งแบบนี้เท่านั้นที่บีบหัวใจของผู้ใต้บัญชาที่สุด... สิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าการที่แม่ทัพใหญ่เป็นฝ่ายก่อกบฎ นั่นคือเจตนาของผู้นำอาณาจักรที่บีบให้เอเดรียนทำเช่นนี้แต่แรก "เจ้าก็รู้... เรื่องนี้ไม่มีทางจบหากข้ายังเป็นผู้นำ แต่ข้าลงจากตำแหน่งไม่ได้หากยังมีลมหายใจ"

"ข้าขอให้ท่านหนีไป... กลับไปยังคัสนาห์ก็ได้ อย่าบังคับให้ข้าลงมือเช่นนี้!"

ซินญอร์เหยียดมุมปากขึ้นอย่างนึกสมเพช "เจ้ามันอ่อนแอ... หากข้าร้องขอสิ่งนี้กับน้องชายเจ้า เขาคงตัดสินใจง่ายกว่า" ร่างบนหลังม้าชักดาบออกจากฝัก การกระทำนั้นทำให้เหล่าเซนทอร์หยิบอาวุธมาเตรียมพร้อม โดยไม่สนใจว่าเอเดรียนจะเคยขอให้เว้นชีวิตทหารอาเดรียอย่างไร "ถ้าเจ้าไม่รีบ... ข้าจะสู้กับพวกเซนทอร์ และเจ้าคงรู้ดีว่าอัศวินเหล่านั้นเด็ดขาดกับศัตรูอย่างไร"

เอเดรียนหันกลับไปมองอมนุษย์เบื้องหลังตน และเห็นเซนทอร์สีขาวปลอดก้าวมายืนเบื้องหน้าคนของตนแล้ว แม่ทัพหญิงแห่งแอสทารอธมีชื่อเสียงในเรื่องของความดุเดือดและเด็ดขาด ดังนั้นหากท่านชายซินญอร์สั่งโจมตี พลทหารเบื้องหน้าของเขาทั้งหมดนี้อาจต้องตาย

...ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย ท่านชาย

"ถ้าข้าลงมือ ข้าคงไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต"

"ก็จงจมอยู่กับความผิดนั้นไปให้ตลอด..." ท่านชายย้ำ "โทษฐานที่เจ้าทำให้ข้าผิดหวังอย่างที่สุด"

เอเดรียนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยไม่สามารถตัดสินใจได้ บุคคลตรงหน้ามีบุญคุณกับเขามากจนเกินไป อีกฝ่ายเอ็นดูเขา และคอยช่วยเหลือเขามาตลอด ในเหตุการณ์ครั้งนี้อีกฝ่ายก็มีเจตนาทำเพื่อเขา แล้วจะให้เขาหันอาวุธให้ผู้นำของตนได้อย่างไร ...เขาจะมอบความตายให้คนที่เป็นเหมือนพี่ชายตัวเองได้อย่างไร

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 28.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 21-01-2017 22:38:22
ตอนที่ 28.2

เด็กหนุ่มตรงหน้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูมีราคาทว่ากลับเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและโคลน ทั้งผมเผ้าที่น่าจะเคยเรียบบัดนี้ก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง รูปหน้าที่บ่งบอกถึงชาติตระกูลมีรอยช้ำเขียวตามโหนกแก้มและขมับ ลายมือที่เป็นระเบียบสวยบรรจงยิ่งกว่าขุนนางหลายคนในอาณาจักรบอกได้ดียิ่งกว่าอะไรว่าอีกฝ่ายมีฐานะแค่ไหน วัยของอีกฝ่ายไม่น่าจะเกินสิบห้า ทว่าดวงตากลับเศร้าหมอง และทรมานราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญไปจากชีวิต ท่านชายซินญอร์แห่งอาเดรียก้มอ่านใบสมัครองครักษ์ติดตามในมืออีกครั้งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นพิจารณาเจ้าของลายมืออีกที

"เอเดรียน... รึ"

ท่านชายหนุ่มในวัยสิบแปดปีขมวดคิ้วอีกครั้ง โดยปกติแล้วใบสมัครเหล่านี้จะถูกกรอกโดยเลขาของอาณาจักรธีสธรัลที่ถูกส่งมาช่วยงานและดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขากลับเขียนทุกอย่างด้วยตนเอง ซ้ำยังเป็นการเขียนที่เป็นระเบียบอย่างน่าตกใจ

"เจ้าไม่มีสกุลหรือไร"

"ไม่มี... ขอรับ" อีกฝ่ายตอบหนักแน่น แต่มีหรือที่ซินญอร์จะไม่เห็นความเศร้าหมองที่ฉายอยู่ในแววตาสีเข้มคู่นั้น แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็อาจไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจ เพราะสิ่งสำคัญคือเขาต้องการหน่วยอารักขาที่จงรักภักดี บางทีหากได้คนที่ไม่มีครอบครัวให้ห่วงใยก็อาจเป็นการดี "ข้าเป็นลูกพ่อค้าธรรมดาๆในตลาด"

และเอเดรียนผู้นี้โกหกไม่เป็นเอาเสียเลย... ซินญอร์เลิกคิ้วขำๆ

จะมีลูกพ่อค้าธรรมดาที่ไหนอ่านออกเขียนได้เช่นนี้ พ่อค้าที่มีอายุมากบางคนยังทำได้แค่บวกราคาสินค้าเท่านั้น แต่ก็อ่านหนังสือกันไม่ออกอยู่มากมาย "อืม แล้วเจ้า... อายุสิบขวบรึ!" ซินญอร์เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะสักสิบสามหรือสิบห้าจากใบหน้าที่สุขุมจริงจัง ดังนั้นจึงประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นตัวเลขสิบขวบอยู่บนใบสมัคร

"..." เจ้าเด็กเอเดรียนไม่ตอบคำ ได้แต่ก้มหน้านิ่งและสร้างบรรยากาศกดดันขึ้นมาอย่างนั้น

"เจ้าถนัดอะไรล่ะ หืม... เคยใช้ดาบหรือไม่ หรือว่ายิงธนู หอก หรือขวาน"

"ข้ายิงป..." เด็กหนุ่มอ้าปากตอบ แต่ก็ชะงักไปกลางครัน ก่อนจะกำมือทั้งสองของตนแน่น "ข้าถนัดธนูขอรับ" ซินญอร์คิดว่าตอนนี้คงไม่เหมาะสมนักที่จะซักไซ้ไถ่ถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย เนื่องจากนี้ไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวนัก อันที่จริงก็แทบไม่มีสถานที่ใดเป็นส่วนตัวของเขาเลย เพราะเขาถูกจับตามองอยู่แทบทุกฝีก้าว แทบทุกการกระทำ และแทบทุกคำพูด เขาต้องอยู่ใต้การควบคุมของกษัตริย์แห่งธีสธรัล เพราะเขาคือผู้นำที่เป็นได้แค่หุ่นเชิด

...ดังนั้นเขาจึงอยากมีเพื่อนที่ไว้ใจได้บ้าง ในภาวะที่พึ่งใครไม่ได้เช่นนี้

"เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหน่วยอารักขาจะต้องอยู่กับข้าตลอด และคงไม่ได้กลับบ้านอีกนาน"

"ข้าไม่มีบ้านให้กลับขอรับ"

ท่านชายแห่งอาเดรียเลิกคิ้วน้อยๆกับคำตอบแรงกล้าของคู่สนทนา เขาเหลือบตามองเลขาของธีสธรัลที่ยืนฟังการสนทนาอยู่ใกล้ๆและคิดว่าควรจะปิดการสนทนาเพียงเท่านี้ก่อน "อาเดรียเป็นบ้านของเจ้าเสมอ เอเดรียน"

"ข้าจะภักดีต่ออาเดรียอย่างแน่นอนขอรับ"

.

ดีแล้ว... ไม่ต้องภักดีต่อข้า แต่ขอให้รักอาเดรียก็พอ


--------------------------------------------------

มันมาถึงขนาดนี้แล้ว... อย่ารีรออีกเลย เอเดรียน

ซินญอร์กำดาบในมือแน่น ละสายตาจากแม่ทัพคนสนิทไปยังกองทัพเบื้องหลังแทน และท่ามกลางความสับสนลังเลทั้งของทหารอาเดรีย และแม่ทัพใหญ่ ท่านชายก็กระตุกบังเหียนพาม้าของตนกระโจนผ่านร่าสูงและพุ่งเข้าหากองทัพครึ่งม้าตรงหน้า

"ท่านชาย...!!"

แม่ทัพหญิงเข่นเขี้ยวและชักดาบของนางออกอย่างรวดเร็วเสียจนมองแทบไม่ทัน และแน่นอนว่าเซนทอร์สาวก็เป็นคนแรกที่ตอบรับการโจมตี ขาหน้าก็ยกขึ้นตะกุยกายกลางอากาศ ก่อนที่กีบใหญ่กระแทกกับพื้นหิน ทั้งสองพุ่งเข้าหากันในจังหวะที่ทุกคนกลั้นหายใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือเสียงดาบฟาดฟันเข้าหากันอย่างรุนแรง

...เคร้ง!

"ท่านชาย!" เอเดรียนหมุนตัวกลับ เขาทันเห็นม้าสองตัวยกขึ้นตะกุยขาใส่กัน และร่างเบื้องบนที่จ้วงทึ้งดาบเข้าหากันอย่างไม่มีใครยอมใคร แม่ทัพใหญ่วิ่งกลับไปที่ม้าของตนในอึดใจนั้น โดยมีความคิดที่จะหยุดห้ามการต่อสู้ เขายังต้องการให้ซินญอร์หนี เขายังต้องการให้ผู้มีพระคุณมีชีวิตต่อไป แม้ว่าคนที่สู้กับแม่ทัพหญิงจะต้องพ่ายแพ้เสียทุกทีก็ตาม

"โมนา!!"

ซาฮาลตะโกนห้าม แม้ว่าเขาจะไม่เคยชื่นชอบมนุษย์ แต่เมื่อได้ฟังคำของผู้นำอาเดรียแล้ว เซนทอร์หนุ่มก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายสมควรต้องตาย... เพราะซินญอร์เอาชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อบังคับให้คนที่จงรักภักดีที่สุดแข็งแกร่งขึ้นต่างหาก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เซนทอร์จะต้องเข้าไปยุ่งย่ามด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลยสักนิดที่โมนาจะเป็นผู้ลงมือ

ม้าของซินญอร์มีขนาดใหญ่พอที่จะกระแทกให้แม่ทัพหญิงเสียหลักได้ มันกระโจนทุ่มร่างเข้าใส่เซนทอร์สีขาวอย่างรุนแรง จังหวะเดียวกับที่ร่างบนหลังฟาดฟันดาบลงอีกครั้งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่รวบรวมได้ แรงปะทะที่เกิดขึ้นจึงทำให้เซนทอร์หญิงเอนร่างล้มกระแทกพื้นอย่างแรง

โครม!!

"อั่ก...!!"

ความว่องไวของนางนับเป็นจุดเด่น แม่ทัพหญิงหยัดกายขึ้นลุกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่กีบเท้าของม้าจะกระทืบลงในจุดที่นางเคยเพลี่ยงพล้ำ หญิงสาวหมุนดาบในมือ และฟันเข้าใส่อย่างแรงโดยไม่สนใจเป้าหมาย

เคร้ง...!!

คนที่เข้ามารับดาบนั้นแทนคู่ต่อสู้คือแม่ทัพอาเดรียที่อยู่บนหลังม้า เอเดรียนยกดาบของตนด้วยมือซ้าย กีดกันเจตนาของมันให้ออกห่างผู้นำอาเดรีย ขณะที่มือขวาก็ถืออาวุธคู่ใจเอาไว้มั่น และหันปลายกระบอกปืนคาบศิลาเข้าจ่อที่อกของนาง

"อย่าแตะต้องผู้นำของข้า ท่านแม่ทัพ"

โมนาค่อยๆลดดาบลงอย่างเสียไม่ได้ อย่างน้อยนางก็ไม่วู่วามจนเป็นเรื่อง เพราะหากเอเดรียนลั่นอาวุธใส่นาง คงจะเกิดสงครามขึ้นจริงๆระหว่างแอสทารอธกับอาเดรีย "เจ้าลงทุนเขียนสัญญาฉบับนั้นให้เซนทอร์เพื่อให้ได้มาซึ่งวันนี้... และเปลี่ยนเจตนาในอึดใจสุดท้ายหรืออย่างไร แม่ทัพใหญ่" หญิงสาวถลึงตามองคนตรงหน้า เอเดรียนยังไม่ลดมือลงแม้แต่น้อยอีกทั้งยังวางนิ้วบนไกปืนอีกด้วย

"เจตนาของข้ายังเหมือนเดิม..." เอเดรียนตอบ "เพียงแต่เจ้าไม่มีสิทธิ์จะตัดสินแทนข้า"

ทุกคนในที่นั้นกลั้นใจ ทั้งเซนทอร์ที่เป็นห่วงแม่ทัพของคน ทั้งมนุษย์ที่ตกตะลึงในเหตุการณ์ตรงหน้า กระทั่งท่านชายซินญอร์เองที่ไม่แน่ใจว่าเอเดรียนคิดจะทำอะไร ...ต่อให้อีกฝ่ายใจอ่อนแค่ไหน แต่เขามั่นใจว่าเอเดรียนสามารถฆ่าตัวเองได้หากอีกฝ่ายต้องการ

และเอเดรียนก็มีแรงมากพอที่จะทำเช่นนั้นอีกด้วย

"นึกถึงเซนทอร์ของเจ้า... นึกให้ดีว่าเจ้ามาถึงจุดนี้เพื่ออะไร" ท่านชายว่า "เจ้ารักใคร... เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ เอเดรียน เจ้าไม่ใช่คนอ่านยากเลยสักนิด" แม่ทัพหนุ่มไม่ตอบคำ เขาฟังเสียงปืนใหญ่ที่ดังต่อเนื่องอยู่ในสงครามกลางทะเล ฟังเสียงนกที่แตกตื่น และได้กลิ่นดินปืนเหม็นคลุ้ง เอเรสเปิดฉากต่อสู้กลางทะเลโดยไม่ปริปากบ่น ทั้งหมดนี้เพื่อซื้อเวลาให้เขาได้จบสิ้นทุกอย่างกับผู้นำอาเดรีย

แต่ท่านชายซินญอร์ก็เป็นผู้มีพระคุณ... เป็นเสมือนพี่ชาย และพ่อที่เอ็นดูเขามาโดยตลอด

มือที่ถืออาวุธค่อยๆละปลายกระบอกจากอกอวบอูมของเซนทอร์หญิง และหันไปหาคนที่อยู่ด้านหลังอย่างยากลำบาก เอเดรียนไม่หันมองอีกฝ่าย เขาไม่ต้องการเห็นแววตาของซินญอร์ เขาไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่ต้องการเล็งที่เป้าหมาย และไม่ได้อยากรู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังจะทำอะไร

"เพื่ออาเดรีย..."

.

.

.

...เปรี้ยง!

ฝูงนกแตกฮือเมื่อเสียงแหวกอากาศดังขึ้น และความเงียบก็ปกคลุมทั่วทั้งอาณาจักรอาเดรีย ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่งราวกับอยู่ในภวังค์ ทุกสายตามองตรงไปที่จุดเดียวกัน จุดที่ลูกปืนแล่นออกจากปากกระบอก และทิ้งไว้เพียงควันกับกลิ่นไหม้ ท่านชายซินญอร์เองก็มองที่จุดนั้นเช่นกัน ก่อนจะยกริมฝีปากขึ้นยิ้มจางๆ ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าสั้นๆ ก่อนจะหลับตาลงสู่ความมืดมิด

สิ่งที่เด็กสิบขวบคนนั้นต้องการบอก...

นั่นคือเขาสามารถยิงปืนได้แม่นยำแม้ได้ยินเพียงแค่ลมหายใจของเป้าหมาย

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
//นักเขียนเสียสติ
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 29.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 23-01-2017 13:22:42
ตอนที่ 29.1

กองทัพธีสธรัลเป็นฝ่ายยอมล่าถอยในที่สุดหลังจากถูกโจรสลัดโจมตีเรือสนับสนุนจนจมลงก้นทะเลไปถึงแปดลำโดยที่พวกเขาไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลยเนื่องจากอุปสรรคทางการสื่อสาร อีกทั้งยังถูกปล้นเสบียงและเงินทองไปอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้สร้างความขุ่นเคืองให้มหาอำนาจอย่างธีสธรัลอย่างที่สุด แต่ราชินีไวลด์ก็รู้ดีว่านางควรจะถอยไปตั้งหลักก่อน

"ส่งข่าวไปยังสายสืบของเรา ให้รายงานสถานการณ์ในอาเดรียกลับมาวันต่อวัน"

ดวงตาเรียวตวัดมองชายฝั่งเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความขุ่นเคืองก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องพักใต้ท้องเรือ "ถอยทัพ!" การล่าถอยครั้งนี้อาจทำให้นางเสียหน้าครั้งยิ่งใหญ่ แต่หญิงสาวก็คิดว่านางยอมให้เป็นเช่นนั้นดีกว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติที่มีอยู่จำกัดของธีสธรัลไปอีก ความพ่ายแพ้ครั้งนี้สอนผู้นำอาณาจักรในเรื่องหนึ่ง นั่นคือความกระหายในชัยชนะอย่างหน้ามืดตามัวของนาง หากนางไม่ดึงดันที่จะส่งเรือเร็วเข้าไปบุกอ่าวอาเดรียจนเรือสนับสนุนถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง เรือโจรสลัดลำใดบ้างจะกล้าบุกเข้ามาปล้นกองทัพเวเรนเซียอย่างอุกอาจเช่นนี้

"วุ่นวายจริงๆ"

ราชินีเก็บดาบลงฝัก ทว่าก่อนที่นางจะปิดประตูห้องพัก เหยี่ยวสื่อสารตัวหนึ่งก็โผบินเข้ามาหาและเกาะเข้าที่ราวบันไดพร้อมกับส่งเสียงดังลั่นราวกับร้องเรียกราชินี "พระนาง... เหยี่ยวเทาสื่อสารของไอย์ชวลขอรับ" คนสนิทของผู้นำรายงาน พร้อมกับยกแขนให้เหยี่ยวตัวเขื่องเกาะแทนราวบันได มันเปลี่ยนที่ยืนสักพักหนึ่งแล้วจึงยื่นขาที่ผูกกระบอกใส่สารอันเล็กๆให้

"ไอย์ชวลรึ... ป่านนี้ส่งข่าวอะไรมากัน"

เมื่อพูดถึงเมืองที่เป็นพันธมิตร ราชินีก็ดูจะสดชื่นขึ้นเล็กน้อย เพราะนั่นหมายความว่าลูกพี่ลูกน้องของนางส่งข่าวบางอย่างมา ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องน่ายินดีสักเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ หญิงสาวรับม้วนกระดาษเล็กๆมาดูและคลี่ออกอ่านก่อนจะเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจกับเนื้อความ

'สัญญาของธีสธรัลต่ออาเดรียส่งถึงไอย์ชวลแล้ว'

ลักษณะลายมือที่ติดไปในทางหวัด และห้วนสั้นบอกคนอ่านได้ว่านี่ไม่ใช่สารเป็นทางการนัก แต่มันคือการรายงานอย่างรีบร้อนจากหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของไอย์ชวล ซึ่งนั่นก็คือผู้นำพรานป่าที่มีชื่อเสียงที่สุด... คูแรนน์ บลังค์ ผู้นำทัพปราการต้านศัตรู

เอเดรียนไม่ได้ลงนามในสัญญาฉบับนั้นต่อหน้านาง ไวลด์จึงเก็บสิ่งนั้นเอาไว้ในลิ้นชักในห้องทำงานซึ่งอยู่บนเรือคาร์เธียร์ และเมื่อสักครู่นี้ ชายนามเอเรสก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับสัญญานั้น อีกทั้งลงชื่อตกลงเรียบร้อยเสร็จสรรพ ในความตั้งใจแรกของราชินี พระนางตั้งใจจะยกเลิกสัญญาด้วยความขุ่นเคืองที่เอเดรียนตัดสินใจช้า แต่หากอาณาจักรพันธมิตรของนางรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว แปลว่าเอเรสคงจะได้สัญญาฉบับนั้นไปนานแล้ว

หากคิดจะมากลับคำตอนนี้... นางคงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีวาจาสัตย์เอาเสียเลย

"ส่งเรือสนับสนุนและเรือเร็วกลับธีสธรัล" ราชินีเปลี่ยนคำสั่ง "ลดธงลง เราจะเข้าไปที่อาเดรีย"

"พระนาง..." คนใต้บัญชางุนงงกับการตัดสินใจกลับไปกลับมา ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ลงมือทำอะไรจนกว่าจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดและแน่นอน "ปราการอาเดรียมีปืนใหญ่ หากเข้าไปใกล้ เราอาจถูกยิงได้ อีกทั้ง..."

"แม่ทัพเอเดรียนขึ้นเป็นผู้นำอาเดรียแล้ว ข้าจะต้องไปเจรจาในฐานะพันธมิตร"

ไวลด์สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วถอนออกเพื่อรวบรวมความสุขุมกลับมา "คนที่ชื่อเอเรสนั่น ได้สัญญาของข้าไปนานมากแล้ว และบัดนี้ฉบับที่ถูกคัดลอกก็ส่งถึงอาณาจักรไอย์ชวลเรียบร้อยแล้ว" พระนางกัดฟัน "บัดนี้อาเดรียถือว่าอยู่ในตำแหน่งเจรจาเสมอเรา ดังนั้นข้าจึงต้องไปจัดการเรื่องราวทั้งหมดด้วยตนเอง" เรือเซเลสต์ที่ลอยลำอยู่เบื้องหน้าค่อยๆหันหัวเรือกลับ เช่นเดียวกับกองทัพโจรสลัดที่ล่าถอยหายไปในเส้นขอบฟ้า ทิ้งให้ท้องทะเลกลับสู่ความสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าผิวน้ำจะยังมีคราบน้ำมันหลงเหลืออยู่ก็ตาม

ราชินีหันไปหาคนสนิท "ข้าเกรงว่าเอเรสผู้นี้จะน่ากลัวกว่าที่คิด"

--------------------------------------------------

แตรแห่งอาเดรียที่มีเสียงแหลมแปลกหูถูกเป่าขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งเมืองหลังจากเหตุการณ์กลับเข้าสู่ความสงบ มันเป็นเสียงที่ทำให้ประชาชนที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องโถงใต้ดินของมหาคฤหาสน์คลายความกังวลใจ และโล่งอกหลังจากตกอยู่ในสถานการณ์กดดันมาร่วมวัน แต่ไม่มีใครเลยที่รู้ว่าผู้นำอาณาจักรของพวกเขาถูกโค่นล้มอำนาจลงแล้ว

เอเดรียนยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าคู่ใจ นัยน์ตาสีเข้มที่เคยมองไปเบื้องหน้าด้วยความหวังอยู่เสมอหลุบลงมองพื้นนิ่งๆด้วยความว่างเปล่า มือขวาที่ยังไม่ปล่อยมือจากปืนคู่ใจห้อยอยู่ข้างตัว นิ้วที่เคยเหนี่ยวไกปล่อยทิ้งไร้เรี่ยวแรง ร่างกายที่ยังชื้นน้ำทะเลเริ่มรู้สึกหนาวจากลมแรงที่พัดผ่านกาย บาดแผลที่เกิดจากลูกดอกของธีสธรัลยังส่งความรู้สึกเจ็บไปที่สมองเป็นระยะ แต่แม่ทัพหนุ่มไม่มีกะใจแม้แต่จะขยับตัว เขาไม่กล้าหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ

ความรู้สึกหนักอึ้งในอกนี้ทำให้เอเดรียนรู้สึกว่าการขยับตัวแม้เพียงนิดมันก็ช่างยากเย็น

"เอเดรียน..." จาเร็ตต์เป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหาแม่ทัพใหญ่ อีกฝ่ายลงจากม้าของตนแล้ว และค่อยๆใช้มือลูบหัวอัลธอร์ที่ดูจะตกใจเสียงปืนจนยืนนิ่งแข็งทื่อ "ยังมีเรื่องให้เราจัดการอีกมาก" พวกเซนทอร์เป็นกลุ่มแรกที่ขยับตัวหลังจากเสียงปืนนัดสุดท้ายดังขึ้น พวกเขากระจายกำลังออกไปค้นหาผู้บาดเจ็บ และยกร่างเซนทอร์ที่เสียชีวิตมารวมกันเพื่อนับจำนวนรายงานต่อผู้นำทัพ

"นับจำนวนคนเจ็บกับคนตายมารายงานข้า" เอเดรียนสั่งเสียงแผ่ว "ต้อนรับท่านทูตเธสซาลีย์ด้วย"

ร่างสูงค่อยๆก้าวลงจากหลังม้า และเก็บปืนในมือไว้ที่สายสะพายข้างตัว "ข้าจะไปปลอบขวัญคนในโถงใต้ดิน" จาเร็ตต์ใช้มือของตนยันอกแม่ทัพใหญ่เอาไว้ก่อนมุ่นคิ้วใส่ "หน้านี่นั้นข้าจัดการเอง เจ้าควรจะไปต้อนรับท่านทูตกับท่านราชเลขา... เจ้าเป็นคนฆ่าท่านชายซินญอร์ ชาวเมืองบางคนอาจโกรธแค้น และทำร้ายเจ้าได้"

"แต่นี่เป็นหน้าที่ของผู้นำไม่ใช่รึ"

จาเร็ตต์ส่ายหัว "เจ้ายังไม่ใช่ผู้นำ เอเดรียน... จนกว่าจะมีพิธีแต่งตั้ง"

"จาเร็ตต์..."

คนสนิทผมแดงยิ้มเล็กน้อย "คนรักของเจ้า... จะไม่ไปต้อนรับด้วยตัวเองหน่อยหรือ"

เอเดรียนรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้รับเยื่อใยหรือความเอ็นดูจากบุคคลทั้งสองสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาควรนำมาอ้างในการหลีกเลี่ยงการพบหน้า ในเมื่อทั้งสองคนเป็นบิดาและมารดาของเลสธีราห์ เซนทอร์ที่เข้ามาพัวพันกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้เพราะความผูกพันธ์กับเขา "ข้าเพิ่งรู้ว่าเหนือหัวดาเรียสสั่งให้เขาทำลายอาเดรีย แต่เลสธีราห์ขัดคำสั่งนั้น"

จาเร็ตต์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน "แต่ว่าตามประกาศ..."

"ข้าได้ยินราชเลขาพูดเองกับตัว จาเร็ตต์" เอเดรียนว่า "พวกเขาเลือกธีสธรัล แต่เลส..."

...เลสธีราห์เลือกเขา

"ข้าสิเหนื่อย...!" เอเดรียนมองตามเสียงด้วยหางตา เนื่องจากเขาจำได้ดีว่าสำเนียงการพูดที่ติดจะกวนประสาทนิดๆนี้เป็นของใคร แม่ทัพใหญ่ยกมุมปากขึ้นยิ้มจางๆอย่างฝืดฝืนเมื่อเห็นน้องชายของตนกอดอกพิงประตูเมืองราวกับกำลังรอให้พี่ชายหันมาทางตนเสียที "ข้าเป็นคนยื่นประโยชน์ทั้งหมดให้กับแอสทารอธ ทั้งปืนคาบศิลา ทั้งสัญญาน่านน้ำ เพื่อให้เขายืนยันที่จะต่อสู้เพื่อพี่" เอเรสตรงมาหาพี่ชายก่อนจะถอนใจใส่หน้าคนเตี้ยกว่า

"ชมคนอื่นได้เสมอ... ยกเว้นน้องตัวเอง"

ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่แล้วน้องชายตัวโตก็ซบหน้าลงกับบ่าคนเป็นพี่ ก่อนจะอ้าแขนออกกอดคนตรงหน้าแน่น "ถ้าพวกเจ้าหนีไปด้วยกันตั้งแต่แรก ข้าคงไม่เหนื่อยขนาดนี้" เสียงของเอเรสมีสำเนียงประท้วง และตัดพ้อ สีหน้าที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนเอาไว้กับบ่ากว้างทำให้คำพูดงึมงำอู้อี้มากกว่าเดิม "แต่ถ้าพี่หนีไป ชาตินี้เราคงไม่ได้พบกันอีก"และอาการเช่นนี้เองที่ทำให้เอเดรียนพอจะยิ้มออกจริงๆบ้าง

"เด็กนี่..." พี่ชายตบแผ่นหลังอีกฝ่ายแรงๆสองสามครั้ง แล้วจึงขยี้หัวซ้ำอย่างสนิทสนม

เอเรสไม่ถือสาคำเรียกที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นเด็ก ซ้ำยังกอดเอวพี่ชายเสียแน่นราวกับตนเป็นน้องเล็กนักหนา "จะไม่พูดอะไรกับข้าหน่อยเหรอ จะไม่ถามว่าข้าบาดเจ็บตรงไหนเลยเหรอ..." อีกฝ่ายยังคงตัดพ้องึมงำอยู่กับพี่ชาย "...ทั้งที่ข้าทำเพื่อพี่ทั้งนั้น"

ที่เขาเข้ามายุ่งเรื่องการปกครองอันแสนวุ่นวายของอาเดรีย

ที่เขาเสียสละสิ่งที่เป็นของตัวเองในการเจรจากับแอสทารอธ

...ก็เพื่อพี่ชายของเขา เอเดรียน ฟลินทรัสต์ทั้งนั้น

เอเดรียนสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะกอดอีกฝ่ายตอบ "ขอบใจมาก เอเรส" เขาเพิ่งรู้เมื่อครู่นี้ว่าการที่ตนเองมาจนถึงจุดนี้ได้ก็ด้วยความปรารถนาของท่านชายซินญอร์ อีกฝ่ายต้องการผลักันให้เขาเป็นผู้นำของอาเดรีย และทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าการที่เอเรสยอมยื่นมือเข้าช่วยในครั้งนี้ก็เพราะซินญอร์เสนอโอกาสที่เขาจะได้พบพี่ชายอีกครั้ง...

"แค่ขอบใจเหรอ!"

เอเรสโวยก่อนจะปล่อยมือและยืดตัวขึ้นจนความสูงเลยคนเป็นพี่ "เจ้านี่มัน...!" เอเรสปัดมือผ่านหางตาตัวเองครั้งหนึ่งโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นว่านั่นเป็นการปาดน้ำตา แต่มีหรือที่คนเป็นพี่แท้ๆจะไม่รู้ แต่เขาก็ได้แต่วางมือลงบนหัวคนตัวโตกกว่าด้วยความเอ็นดู

"ทำดีมาก และต่อไปนี้ข้าคงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าแล้ว... แม่ทัพคนใหม่"

เอเรสปั้นหน้างอครู่หนึ่งแล้วเสียงแข็งตอบ "คิดว่าข้าจะปล่อยตำแหน่งนั้นให้หลุดมือไปเหรอ!"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 29.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 24-01-2017 09:53:04
ตอนที่ 29.2

เลสธีราห์ยังไม่ลงจากเรือเซเลสต์ เขายังเดินสำรวจความเสียหายโดยรอบอย่างละเอียด และคำนวนเวลาที่ต้องบูรณะซ่อมแซมเรือเก่าอันเป็นตำนานลำนี้ เขาคงจะคืนเรือเซเลสต์ให้แอสทารอธ เพราะมันคือเรือรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเซนทอร์ เขาคงพรากมันไปจากแอสทารอธไม่ได้ แม้ว่าเหนือหัวดาเรียสจะพูดกลายๆเสมือนยกมันให้แล้วก็ตาม

การศึกครั้งนี้เหมือนไม่ได้พิสูจน์อะไรในตัวเขาเลย...

เลสธีราห์ไม่คิดว่าตนคู่ควรจะเป็นกัปตันของเซเลสต์ด้วยซ้ำ

นิ้วเรียวลูบไปตามกราบเรือที่แตกหักเสมือนเป็นบาดแผลอันเกิดจากแรงระเบิดของปืนใหญ่ ใบเรือขาดวิ่นเบื้องบนปลิวไหวกลายๆตามแรงลมอ่อนๆ ยังโชคดีนักที่เสากลางยังแข็งแรงไม่ได้รับอันตรายใดๆ ในประวัติศาสตร์ร้อยปีของเรือรบเซเลสต์นี้ มันถูกซ่อมแซมหลายครั้ง เพราะทุกสงครามทางทะเลของแอสทารอธ เซเลสต์จะมีบทบาทเสมอ แต่เลสธีราห์อาจเป็นกัปตันเรือเซเลสต์คนแรกที่พาเรือรบในตำนานดำลงใต้ทะเลและผุดผงาดกลับขึ้นมาสู่ชัยชนะอย่างสวยงาม

จากการกระทำนั้นทำให้เรือไม้ที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทานทนต่อแรงกดอัดใต้ทะเลได้รับความเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่นั่นก็เป็นวิธีการสู้รบของเลสธีราห์ และยังเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์คิดว่าตัวเองคือคนที่ทำลายตำนานอันยิ่งใหญ่ของเซเลสต์

แม้ชัยชนะของเลสธีราห์มักจะแลกมาด้วยชื่อเสียง ทำให้ไม่มีใครกล้าต่อกรกับแอสทารอธก็ตาม

ตอนนี้เขาควรจะคืนเซเลสต์ให้บ้านเมือง และปลีกตัวเองออกไปจากเมืองเซนทอร์

"เลสธีราห์..." ลีอาห์เรียกบุตรชาย นางคืนร่างกลับเป็นนุษย์ดังเดิมและเดินเข้ามายืนเคียงข้างอีกฝ่ายก่อนจะเอียงหน้าแหงนขึ้นมองคู่สนทนา "ลูกจะทำอย่างไรต่อไป" จะเรียกว่าแอสทารอธเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะหากไม่ได้รับความร่วมมือจากเธสซาลีย์ ป่านนี้พวกเขาก็คงจะยังสู้รบกันต่อไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม

ข้อแม้ของเหนือดาเรียสนั่นคือเลสธีราห์จะต้องเป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาด

...ถึงนั่นจะเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้พิสูจน์ตัวเอง แต่คนเป็นมารดาอย่างลีอาห์นั้นไม่สามารถทนมองได้ นางยอมให้บุตรชายถูกเนรเทศออกจากเมืองเลยจะดีกว่าทนมองอีกฝ่ายตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตนเองไม่ได้ทำอะไร อย่างน้อยบิดาของเลสธีราห์ก็เป็นเอลฟ์ เขายังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบลังค์ที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจในเธสซาลีย์ ...เลสธีราห์สามารถกลับไปพำนักกับบิดาได้ที่แผ่นดินตะวันออก

"ข้าขัดคำสั่งของเหนือหัว คำตัดสินก็คงแน่ชัดอยู่แล้ว"

"เช่นนั้นก็กลับไปกับพ่อของเจ้า... เจ้าเป็นคนของตระกูลบลังค์"

เลสธีราห์เข้าใจความห่วงใยของมรดา และเข้าใจว่านางเจ็บปวดมากแค่ไหนที่จะต้องเอ่ยคำนั้นออกมา เขาอยู่กับลีอาห์มาตลอด มาจนถึงตอนนี้จะต้องปลีกตัวออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย คนเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร นางต้องใจแข็งถึงเพียงใดกว่าจะกล่าวเช่นนั้นออกมาได้

...แต่นี่ก็เป็นความเด็ดเดี่ยวของหญิงเซนทอร์

เลสธีราห์หันไปมองคนข้างกายที่สูงเพียงไหล่ของเขา "แต่ข้าไม่อยากทอดทิ้งท่าน"

"เมื่อเหนือหัวดาเรียสลงจากอำนาจ ข้าก็จะลงจากตำแหน่งเช่นกัน หลังจากนั้นจึงจะตามไปพบเจ้าได้" ลีอาห์เอื้อมมือขึ้นแตะเสี้ยวหน้าบุตรชาย "มันไม่นานเท่านั้น ลูกข้า... แม่รอได้" เสียงของเซนทอร์หญิงสั่นเครือ เช่นเดียวกับสัมผัสจากมือหยาบกร้านของนางที่สั่นคลอน เลสธีราห์ยกมือขึ้นจับมือของนางเอาไว้ ก่อนจะเอียงหน้าไปจูบฝ่ามือขาวซีดของมารดา

"ท่านแม่... ข้าอับจนเหลือเกิน" เปลือกตาบางปิดตาพร้อมกับคิ้วเรียวที่ขมวดมุ่น

"เส้นทางที่ขีดอยู่ตรงหน้าชัดเจนและเหมาะสม ทว่าข้ากลับ... อยากเดินในอีกเส้นทางที่ใจข้าอยากไป" เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ลีอาห์ก็ถอนใจออกมายาวด้วยเข้าใจเจตนาของคนพูด เลสธีราห์ไม่อยากไปจากแผ่นดินใหญ่ ไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรี หรือความทะเยอทะยานอันใด แต่เป็นเพราะใจของเจ้าตัวยังอยู่ที่แผ่นดินนี้

ที่ยอมขัดคำสั่งของเหนือหัวและสภาขุนนาง และเกือบจะฉีกหน้าแอสทารอธ

ที่ยอมต่อสู้อย่างสุดความสามารถแม้จะรู้ว่าผลที่ได้รับอาจจะสูญเปล่า

...

ก็เพื่อแม่ทัพเอเดรียนทั้งนั้น

"หากเขาไร้เยื่อใย ข้าคงหักห้ามตนเองได้ง่ายกว่านี้" เซนทอร์หนุ่มว่า "ถ้าเขาปฏิเสธ ข้าคงตัดสินใจได้ง่ายกว่านี้" ร่างสูงบีบมือเรียวที่อยู่ในมือตนช้าๆ "แต่เขากลับ... ตอบรับข้า ทั้งที่รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่มีทางไปต่อ" ในบริบทของความเป็นแม่ทัพแล้ว ลีอาห์เข้าใจถึงเหตุผลของเอเดรียน เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่สามารถตอบรับความรักได้หมดใจ เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่สามารถสาบานภักดีได้แน่นอน ลีอาห์เข้าใจเกือบทุกอย่าง

...เพียงแต่ทำไมความสัมพันธ์นี้จะต้องเกิดกับบุตรของนาง

ทำไมคนที่ต้องเจ็บอยู่เสมอจึงเป็นเลสธีราห์ที่นางหวงแหนนักหนา

"แผ่นดินตะวันออกยังมีคนอีกมากหน้า..." ราชเลขาพยายามพูด "เจ้าไม่จำเป็นต้องทน..."

ไหล่กว้างของบุตรชายสั่นเครือ มือข้างที่ว่างกำแน่นอย่างอดกลั้น คนเป็นแม่ทัพไม่สามารถแสดงความอ่อนแอออกมาได้ แม้ว่าตอนนี้เลสธีราห์จะอยากซบหน้ากับอกมารดาแล้วร้องไห้มากสักแค่ไหนก็ตาม ...ทุกคนที่ผิดหวังกับความรักมักได้รับคำปลอบเช่นนี้ื ปลอบว่าเบื้องหน้ายังมีความหวังเสมอ ไม่จำเป็นจะต้องอดทนกับความรักที่ขมขื่นเลยสักนิด

แต่ทำไม... เลสธีราห์ถึงไม่คิดจะปล่อยมือสักครั้งเดียว

เขารักอีกฝ่ายมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยแว่วมาเข้าหูของเซนทอร์หนุ่ม เลสธีราห์มุ่นคิ้วและเริ่มกวาดสายตามองหาต้นทาง ก่อนจะผละออกจากมารดา "เอเดรียนมาที่นี่..." ร่างโปร่งสูดหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่งและกลั้นเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นเจ้าของฝีเท้านั้นก้าวขึ้นมาบนเรือ เสื้อผ้าของอีกฝ่ายยังเปียกชื้นจากน้ำทะเล เช่นเดียวกับผมเผ้าที่ไม่ใคร่จะเป็นทรงนัก รอยเลือดโชกโชนหลายจุดบนร่างบอกเล่าถึงการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมา

"ท่านแม่... ข้าขอเวลาส่วนตัวสักครู่ได้ไหม"

ลีอาห์ดูไม่พอใจกับผู้บุกรุกสักเท่าไหร่ แต่เมื่อบุตรชายของนางออกปาก เซนทอร์หญิงก็ถอยเท้าออกไป เพื่อไปสมทบกับทูตเอลฟ์จากเธสซาลีย์บนเรือรบของอีกฝ่ายที่จอดอยู่ไม่ไกลจากกัน เสียงแตรอาเดรียที่ดังระงมไปทั่วบอกเลสธีราห์ได้ว่า ในที่สุดความปรารถนาของท่านชายซินญอร์ก็เป็นความจริง อาเดรียจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกครั้งภายใต้การนำของอดีตแม่ทัพใหญ่ ผู้อยู่เบื้องหน้าเขานี้ และแอสทารอธจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นตามสัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์ ในแต่ในส่วนตัวเขานั้น เลสธีราห์เองก็ยังไม่กล้าพูดถึงอนาคตของตนเอง

"เจ้าบาดเจ็บ..."

เขาไม่รู้จะพูดสิ่งใดกับเอเดรียน นับตั้งแต่พบกันเป็นการส่วนตัวครั้งที่แล้ว เซนทอร์หนุ่มรู้สึกว่ามันเนิ่นนานห่างเหินเสียเหลือเกิน นับตั้งแต่พบกันครั้งแล้ว... พวกเขาต่างก็คิดว่าการพบกันครั้งต่อไปจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เมื่อได้ยินเผชิญหน้ากันอย่างนี้ เลสธีราห์กลับคิดว่าเขายังรู้สึกเหมือนเดิมทุกประการ ทั้งสองมองสบตากันเล็กน้อย ก่อนที่เอเดรียนจะเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาร่างโปร่ง และรวบกอดเอาไว้แนบกาย "เลสธีราห์!" เอเดรียนบาดเจ็บจากลูกดอกของธีสธรัล แต่อ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ไม่ได้อบอุ่นน้อยไปกว่าเดิม เซนทอร์หนุ่มเพียงหลับตา และยกมือขึ้นกอดตอบช้าๆเท่านั้น

"..."

เซนทอร์อยากไล่อีกฝ่ายไปทำแผล หรือจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เสร็จสรรพเรียบร้อย อาจจะไล่ให้ผู้นำคนใหม่ไปทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เพื่อให้คู่ควรกับตำแหน่งที่ผู้นำคนก่อนเสียสละชีวิตให้ แต่อีกใจหนึ่งของเลสธีราห์ เขาก็อยากหยุดเวลานี้เอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายอยู่กับตนตลอดไป แม้เขาจะเจ็บปวดกับความรักที่ไม่สมหวัง แต่ความอบอุ่นของอีกฝ่ายก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่จะรอ

เลสธีราห์หลับตาลงพลางเอียงหน้าซบกับบ่ากว้าง "ทั้งที่คิดว่าจะปล่อยมือจากเจ้าได้แล้วแท้ๆ"

หากบรรจบกันไม่ได้ การจากกันด้วยดีก็คงจะดีกว่า พวกทั้งทั้งคู่คิดแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นทั้งสองฝ่ายที่ไม่มีใครตัดใจจากกันได้ และโหยหาซึ่งกันและกันอยู่เรื่อยไป "ถ้าเราหนีไปด้วยกันตั้งแต่แรก... คงจะไม่เจ็บปวดแบบนี้" คำนั้นออกมาจากปากของเลสธีราห์ และเขาจำได้ว่าเอเดรียนเคยคิดแบบนั้น หากพวกดขาทอดทิ้งทุกสิ่งเพื่อกันและกัน พวกเขาก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้ "แต่มันเป็นการตัดสินใจเราทั้งคู่... ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและศักดิ์"

เอเดรียนกระชับวงแขนแน่นขึ้นอีกและรอฟังต่อไป "ข้าภูมิใจ... ที่เจ้าไม่ละทิ้งหน้าที่มาเพื่อข้า"

"แต่ข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าเพราะหน้าที่เช่นกัน" อีกฝ่ายตอบกลับแทบจะในทันที "เจ้าเป็นของข้า เลสธีราห์" เมื่อเอเดรียนกล่าวคำนั้น เซนทอร์หนุ่มก็ขบริมฝีปากของตัวเองเพื่อกลั้นเสียงเอาไว้ อีกทั้งยังพยายามสุดความสามารถเพื่อฝืนไม่ให้น้ำตาไหลออกมา มือที่วางอยู่บนแผ่นหลังกว้างขยำกำเสื้อที่เปียกชื้นแน่นขึ้นอีกนิด ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา

"ใจข้า... เป็นของเจ้า"

"ทั้งหมดของเจ้า..." เอเดรียนแก้ไขคำพูดของอีกฝ่าย เขาค่อยๆลดมือลง และกอบกุมมือของเลสธีราห์เอาไว้ ขณะที่ผละออกมาเพื่อมองสบตา "ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เลสธีราห์" เซนทอร์หลับตาลงและขบกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะนิ่วหน้าช้าๆ

"จะให้ข้าทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร"

คนพูดลืมตาขึ้นมองคู่สนทนาอีกครั้ง และดวงตาสีฟ้าครามก็เอ่อท้นฝ้ามัวด้วยหยาดน้ำตา "ข้า... หันหลังให้กับแอสทารอธเพื่อเจ้า ข้ายินดีที่เจ้าไม่ทิ้งหน้าที่เพื่อข้า ยินดีที่เจ้าเป็นวีรบุรุษที่มีเกียรติ... ที่คู่ควรกับเซนทอร์ แต่กลับเป็นตัวข้าเองที่ไร้ซึ่งความน่าภูมิใจใดๆและไม่คู่ควรกับเจ้า!"

"เลสธีราห์!" เอเดรียนไม่ชอบใจนักที่อีกฝ่ายดูแคลนตัวเองแบบนั้น แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่ควรใช้อารมณ์ในการสนทนาเรื่องนี้ "แล้วจะไม่ให้โอกาสข้าช่วยอะไรเลยหรือไร เจ้าเสียสละให้ข้าเพื่ออะไร เจ้าคาดหวังสิ่งใดจากข้า เลสธีราห์... หากไม่ใช่ความรัก ทำไมเจ้าถึงทำอะไรบ้าๆ หากไม่เคยต้องการความรักตอบแทน"

เซนทอร์หนุ่มหลบตาลงมองพื้นเรืออยู่อย่างนั้นสักพักก่อนตอบคำถาม "ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิต"

"เท่านั้นหรือ... แล้วเจ้าไม่คิดว่าข้าเองก็อยากให้เจ้ามีชีวิตหรือไร"

"..."

"ถ้ารักข้า เหตุใดจึงไม่อยากอยู่กับข้า... บอกข้าซิ เซนทอร์"

ทำไมเขาจะไม่อยากอยู่ที่นี่เล่า... มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เลสธีราห์อยากจะไปที่นี่กันเล่า เพียงแต่เซนทอร์หนุ่มไม่มั่นใจว่าเขาจะอยู่ในเมืองที่มีแต่มนุษย์ได้อย่างไร และเขาจะอยู่ในสถานะอะไร อีกทั้ง... เขาจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ได้หรือไม่

...กระทั่งเผ่าพันธุ์ของเขาเอง เลสธีราห์ยังไม่สามารถมีตัวตนได้ นับประสาอะไรกับอาเดรีย

ต่อให้ใจของเขาร่ำร้องจะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เลสธีราห์คิดว่ามารดาของตนพูดถูก แม้แผ่นดินตะวันตกออกจะเป็นดินแดนของเอลฟ์ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคนของตระกูลบลังค์ ตระกูลที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงกว้างขวางที่สุดตระกูลหนึ่งของชาวเอลฟ์

"ยังมีสิ่งใดที่ข้าให้เจ้าไม่ได้อีก เลสธีราห์"

เอเดรียนปาดหยดน้ำตาอุ่นๆออกจากพวงแก้มของคนตรงหน้า ก่อนจะแนบหน้าผากเข้าหาและแตะปลายจมูกของตนกับอีกฝ่าย "บอกข้าได้ไหม... ข้ายังขาดอะไรอีก ทำไมเจ้าถึงอยากไปจากข้า" มือทั้งสองประคองเสี้ยวหน้าเรียวเอาไว้อย่างอ่อนโยน "คิดว่าข้าปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้หรือ"

เลสธีราห์ชอบน้ำเสียงของเอเดรียน และติดใจในสัมผัสอ่อนโยนนี้เสมอ

...เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เลสธีราห์ใจอ่อน

ความอ่อนโยนที่ชายหนุ่มไม่เคยสัมผัสจากเซนทอร์ตนไหนกระทั่งมารดาของตนเอง

พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องเข้มแข็ง และหนักแน่น ดังนั้นเซนทอร์จึงไม่มอบความรักให้กันมากจนเกินพอ เพราะความรู้สึกเหล่านี้ถือเป็นจุดอ่อนสำหรับอัศวิน แม้ท่านหญิงลีอาห์จะมีเมตตา และรักบุตรชายคนเดียวของนางอย่างสุดใจ แต่ราชเลขาก็ไม่เคยเข้าไปกอดปลอบให้กำลังใจอย่างที่มารดาชาวมนุษย์ชอบทำ นางเพียงหาหนทางให้ลูกได้พิสูจน์ตนเอง ได้พิสูจน์ความสามารถของตนเอง และไขว่คว้าเอาความสำเร็จมาได้ด้วยตนเอง นี่คือวิถีของเซนทอร์

...แต่วิถีของมนุษย์นี่คืออะไรกัน

ว่าที่ผู้นำแนบริมฝีปากตัวเองจูบคนตรงหน้าช้าๆ รอให้อีกฝ่ายยกแขนขึ้นกอดรั้งลำคอหนา ตอบรับสัมผัสของเขาด้วยความคิดถึงและโหยหา หากเลสธีราห์จะต้องจากไปจริงๆ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่กว่าจะลืมเอเดรียนได้ลง แม้ว่าเขาจะไม่มีที่ให้ไป ไม่มีเกียรติหรือศักดิ์ศรีใดหลงเหลืออยู่ แต่อย่างไรเอเดรียนผู้นี้ก็ยังยอมรับเขาเสมอ

เพราะสำหรับเอเดรียนแล้ว เขาเป็นเพียงเลสธีราห์... เท่านั้น

--------------------------------------------------

ท่านหญิงลีอาห์ดูไม่ค่อยพอใจนักที่ต้องปล่อยบุตรชายเอาไว้กับเอเดรียนเพียงลำพังสองต่อสอง แม้ว่านางจะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาต้องการเวลาและความเป็นส่วนตัวในการพูดคุยกันก็ตาม "ไม่รู้เอาเวลาที่ไหนไปจีบกัน" เมื่ออยู่ต่อหน้าสามี ลีอาห์ก็แปลงกลับเป็นร่างมนุษย์ซึ่งเป็นหญิงตัวเล็กๆ ที่สูงเพียงไหล่ของสามี นางกลับมาที่เรือรบอาคาเซียของเธสซาลีย์และตรงมาหาสามีที่กำลังยืนมองเรือของผู้อื่นอยู่

"แองเจลิกา..."

ร่างสูงพึมพำกับตัวเองและเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อยหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของนางเดินเข้ามาหา "เรือบัญชาการของกองโจรสลัดเทเทสใต้" ธีโอเดรชี้ไปที่เรือของเอเรสที่จอดเทียบท่าเป็นลำสุดท้ายก่อนที่กองทัพโจรสลัดจะหายไปจากน่านน้ำของอาเดรีย "หากไม่นับเรือของข้า แองเจลิกาก็เป็นเรือที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะต่อสู้กับเรือคาร์เธียร์ได้"

ลีอาห์กอดอกนิ่งและมุ่นคิ้วด้วยความกังวล "ผู้ชายคนนั้นมีคารมที่ทำให้เลสธีราห์ใจอ่อน"

และนั่นคือความกังวลของมารดาในตอนนี้ หากเลสธีราห์ใจอ่อนและย่อมอยู่กับเอเดรียนที่อาเดรียแห่งนี้จะเป็นอย่างไร อีกฝ่ายจะสามารถดูแลบุตรชายนางได้หรือไม่ และเลสธีราห์จะสามารถมองหน้าเหนือหัวดาเรียสติดได้อย่างไร ในเมื่อการกระทำของเขาเป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบและขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้นำขนาดนี้ "เพราะเจ้านั่นคนเดียวแท้ๆ"

"แม่หญิง เจ้าห่วงมากเกินไปกระมัง เรามีลูกชายนะ"

ธีโอเดรยิ้มมองสตรีที่สูงเพียงไหล่ของ "ข้าคิดว่ามันเป็นความผิดของเราทั้งคู่ด้วย ...ที่ไม่สามารถให้ความรักในแบบที่เลสธีราห์ต้องการได้" ธีโอเดรคิดว่าท่านหญิงเป็นสตรีที่น่ารักสำหรับเขา แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงไม่เคยฉอเลาะ หรือเอาอกเอาใจเขาอย่างที่เอลฟ์หญิง หรือภูตหญิงทำ ทูตใหญ่จึงได้แต่ปลอบตนเองว่านั่นคือวิถีของเซนทอร์ แต่เลสธีราห์ยังเป็นเด็ก... จะให้เด็กปลอบใจตนเองได้อย่างไรว่านี่คือวิถีเซนทอร์ ทั้งที่ตัวเขาไม่ได้เกิดมาเป็นเซนทอร์ และยากที่จะได้รับการยอมรับในสังคมแอสทารอธ

"แล้วท่านจะพูดว่ามนุษย์นั่นทำได้อย่างนั้นรึ! เห็นกันอยู่ว่าเจ้านั่นเห็นหน้าที่เป็นสำคัญ เรื่องของเลสธีราห์เป็นประเด็นรองด้วยซ้ำ เหตุใดเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดกับลูกของข้าด้วย!" ราชเลขากระฟัดกระเฟียด ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ได้แสดงออกมาล่อยนัก แต่เนื่องจากคนข้างกายในตอนนี้คือสามีของนาง เซนทอร์หญิงจึงสามารถแสดงออกถึงสิ่งที่ผู้อื่นไม่เคยเห็นออกมาได้

"ข้าคิดว่าเขามีความรับผิดชอบพอที่จะเป็นผู้นำ" ธีโอเดรนิ่งไปสักพักราวกับกำลังคิดหาคำพูด

"การที่เขารักบ้านเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ข้ากังวลคือความรักของเขาที่มีต่อเลสธีราห์ มันจะไปน่าวางใจได้อย่างไร..." ทูตเอลฟ์ยกมือขึ้นเพื่อปรามให้คนข้างกายเงียบเสียงลงสักครู่ ก่อนจะหันมามองภรรยาของตนแล้วยิ้มออกมา

"ข้าคิดว่าชีวิตของเลสธีราห์ไม่ได้อับจนหนทางเสียทีเดียว"

ลีอาห์อ้าปากค้างไปเล็กน้อยด้วยความงุนงง "ท... ท่านหมายถึงอะไร"

"เจ้าเป็นราชเลขา และเป็นทูตแห่งแอสทารอธ เจ้าก็หว่านล้อมเหนือหัวดาเรียสเอาเองเถิด" ทูตใหญ่หัวเราะร่วน "เจ้าเอเดรียนผู้นั้นก็ไม่ได้ดูดายลูกเราอย่างที่เจ้าคิดหรอก เขาเองก็พอจะมีทางออกให้กับเลสธีราห์ และไม่ใช่ทางออกที่สิ้นคิดเสียด้วย เจ้าเลิกกังวลเรื่องอะไรต่อมิอะไรได้แล้ว ประเดี๋ยวจะแก่ก่อนวัยนะ"

"ข้าแก่แล้ว!" ลีอาห์พ้นลมหายใจด้วยความคิดหงุดหงิด "ท่านจะไปรู้ได้ยังไง"

 แต่แล้วนางก็นึกได้ว่าสามีของตนมีพรสวรรค์ในด้านการฟังอย่างที่ไม่มีใครสามารถทำได้ "หรือว่า... นี่ท่าน..." นางอ้าปากค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะชี้นิ้วกลับไปนังเรือเซเลสต์ที่จอดอยู่ที่ท่าถัดไป และธีโอเดรก็พยักหน้ารับพร้อมกับยิ้ม

"ข้าฟังเขาคุยกันอยู่น่ะ..."

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


พอเขียนแม่อยู่กับพ่อแล้ว... ไม่น่าเชื่อว่าแม่จะ 50+
ส่วนพ่อนั้น........... อายุเป็นเพียงตัวเลข (มากกว่า 200)(คือนางเป็นผู้ชายบ้างาน)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 29 [24-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-01-2017 10:21:45
พอท่านหญิงอยู่กับสามีแล้วนางมีความเจ้าแง่เจ้างอนแสดงออกมากขึ้นนะนี่
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30.1
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 25-01-2017 17:29:08
ตอนที่ 30.1

รีดาห์ยืนมองกองซากศพของมนุษย์ที่ถูกลากมารวมกันด้วยสายตาเวทนา เท่าที่เขารู้มา พลทหารพวกนี้เป็นของคัสนาห์ และมารบตามคำสั่งของผู้นำหญิงแห่งคัสนาห์ ผู้เป็นพี่สาวของผู้นำอาเดรีย โดยที่พวกเขาไม่ได้มีความแค้นเคืองเป็นส่วนตัวกับใครเลยสักนิด ทว่ากลับต้องสังเวยชีวิตทั้งหมดแบบนี้ รีดาห์เองก็อยากรู้ว่าในอนาคตเอเดรียนมีแผนการอะไรในการจัดการกับความบาดหมางของท่านหญิงซินญอร่าที่กำลังจะมีต่อตน แม้ว่านั่นจะไม่ใช่สิ่งที่เซนทอร์ต้องสนใจก็ตาม

แต่เอเดรียนคิดจะทำอะไรต่อไป และอีกฝ่ายเป็นที่พึ่งให้กับสหายของเขาได้จริงหรือไม่

นั่นคือสิ่งที่รีดาห์อยากรู้...

แต่อีกสิ่งที่เซนทอร์หนุ่มอยากรู้ไม่แพ้กัน นั่นคือความหมายในคำพูดของซาฮาล ผู้ที่จู่ๆก็นำท่านหญิงโมนาและองครักษ์ส่วนตัวของนางซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือเดินทางมายังอาเดรีย โดยอ้างว่าต้องการยื่นมือเข้าช่วย แต่รีดาห์จำได้ว่าเขาไม่เคยขอร้องอะไรจากซาฮาล และไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายทำอะไรเลย

เขายอมให้ว่าที่เหนือหัวเห็นสัญญาฉบับนั้นเพื่อให้เข้าใจเจตนารมณ์ของเลสธีราห์

หรือว่าซาฮาลมาที่นี่เพราะต้องการจะช่วยเลสธีราห์กันหนอ

เช่นนั้นแล้ว ประโยคนั้นหมายความอย่างไรเล่า 'แล้วข้าเป็นเพื่อนเจ้าได้ไหม' ประโยคทำนองนี้ไม่เคยหลุดจากปากคนอย่างซาฮาล อีกทั้งน้ำเสียงที่แตกต่างออกไปจนสังเกตได้ มันไม่ใช่เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ หรือออกคำสั่งเหมือนเคย แต่กลับให้ความรู้สึกเว้าวอนอย่างประหลาด เขาจำได้ว่าอีกฝ่าย 'อกหัก' จากเลสธีราห์ แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธเปลี่ยนไปได้เชียวหรือ

...แต่เหตุผลใดกันที่ทำให้ว่าที่เหนือหัวซาฮาลเดินทางมาด้วยได้

เสียกีบเท้าที่หนักแน่นและเป็นจังหวะดังใกล้เข้ามาจากด้านหลัง แม้ได้ฟังเพียงเท่านั้น รีดาห์ก็รู้ดีว่าใครเป็นผู้มาเยือน ร่างโปร่งหันกลับไปพบหน้าเซนทอร์ร่างสูง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นแสดงออกถึงความประหลาดใจและแทนคำเซ้าซี้ให้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

"เลสธีราห์ยังไม่ลงมาจากเรือ เท่าที่เซนทอร์ตนอื่นบอกข้า"

คำแรกก็ว่าถึงเลสธีราห์ ช่างสมเป็นซาฮาลเหลือเกิน... รีดาห์หัวเราะอยู่ในใจ

"เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม" แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือคำถามต่อมาที่รีดาห์ไม่คิดมาก่อนว่าะได้ยินจากปากอีกฝ่าย เพราะที่ผ่านมา ในสายตาของซาฮาลจะมีเพียงเลสธีราห์เท่าานั้น ไม่ว่าสายตานั้นจะเป็นสายตาของความดูหมิ่น ดูแคลน ชื่นชม หรือท้าทายก็ตามที "ข้อเท้าพลิกไม่เข็ดหรือไร ใส่เกราะหุ้มข้อแบบนั้นอีกแล้ว" สำนวนการพูดของซาฮาลมักเป็นไปในเชิงตำหนิราวเป็นพ่อก็ไม่ปานอยู่แล้ว ดังนั้นรีดาห์จึงเลิกจะใส่ใจ

"ไม่ได้พลิก... ไม่ได้ล้มด้วย"

เซนทอร์หนุ่มถอยเท้าก้าวหนึ่งก่อนจะเลี่ยงเดินห่างออกมาเพื่อไปดูที่เรือเซเลสต์ว่าเลสธีราห์ยังไม่ลงมาจริงหรือไม่ เพราะด้วยความเป็นเพื่อนแล้ว รีดาห์ก็อดห่วงสหายไม่ได้ แต่เมื่อก้าวเดิน ซาฮาลก็ก้าวเข้ามาเดินข้างๆอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และเงาของอีกฝ่ายก็บังแสงอาทิตย์ที่กำลังตกดินให้รีดาห์จนมิด "เลสธีราห์ไม่ชอบเจ้า เจ้าก็รู้..."

"จะออกไปที่ท่าเรือนั่นมันไกล อาจจะยังมีศัตรูหลงเหลืออยู่ เจ้าจะเป็นอันตราย"

เหตุใดคนจองหองอย่างซาฮาลจึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อวันก่อนยังเป็นซาฮาลคนเดิมอยู่แท้ๆ รีดาห์เลิกคิ้วด้วยความงุนงงและพยายามจะนึกหาสาเหตุ ก่อนหน้านี้ซาฮาลก็ยังคงเป็นซาฮาล ทว่าเมื่อวันก่อนอีกฝ่ายถูกเลสธีราห์ปฏิเสธอย่างรุนแรงจนสูญเสียการควบคุมตนเองไปพักหนึ่ง

ถึงอย่างนั้นรีดาห์ก็ไม่คิดเลยว่าซาฮาลจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้

รู้อย่างนี้น่าจะอกหักตั้งนานแล้วกระมัง

"ข้าดูแลตัวเองได้น่า"

"ทั้งที่ไม่ได้พกอาวุธมาสักชิ้นน่ะหรือ ท่านรองผู้บัญชาการ"

รีดาห์พยายามก้าวหนี แต่ด้วยความที่ขาของซาฮาลยาวกว่าทำให้เขาไม่รู้สึกอะไรในการก้าวตามให้ทัน "ไปกินอะไรมา ทำไมวันนี้ถึงใจดีเสียได้" เมื่อสลัดอีกฝ่ายไม่ได้ รีดาห์ก็เริ่มคิดก่อกวนแทน ด้วยความที่เขารู้ดีว่าซาฮาลขี้รำคาญและไม่พูดคุยไร้สาระ ดังนั้นการกวนประสาทอีกฝ่ายไปเรื่อยๆคงจะทำให้เซนทอร์หนุ่มยอมหันกลับไปเอง

"ยังไม่ได้กินอะไรทั้งนั้น ยกเว้นใบไม้ข้างทาง"

คนที่ไม่น่าจะพูดเล่นกลับหยอดด้วยใบหน้าราบเรียบเสียจนรีดาห์ต้องหยุดเดินและมองแผ่นหลังกว้างด้วยดวงตาที่เบิกโพลง "เจ้าเป็นอะไรแน่ๆ ซาฮาล..." เซนทอร์กำยำเอี้ยวร่างกลับมามองบ้าง ทำให้แสงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขาฉาบฉายบนใบหน้าคมคร้ามของอีกฝ่าย คัดเครื่องหน้าคมขึ้นมาด้วยแสงและเงา และเป็นอึดใจแรกที่รีดาห์คิดว่าอีกฝ่ายช่างสง่างามเหลือเกิน

"เจ้ามารบกับเลสธีราห์เพราะเจ้าตายเคียงข้างเพื่อนได้ใช่ไหม รีดาห์"

"..." เมื่ออีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาดื้อๆ คนที่ยังอยู่ในความงุนงงจึงไม่สามารถกล่าวอะไรตอบได้

"ข้าแค่คิดว่า ถ้าข้าเป็นเพื่อนกับเจ้าบ้าง... เจ้าจะตายข้างข้าได้รึเปล่า"

ความร้อนในร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากการยืนตากแดดทำให้รีดาห์อ้าปากพะงาบอย่างปลาขาดน้ำและเบิกตาขึ้นเสียจนรู้สึกปวดเบ้า แต่เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังทำหน้าตลกๆอยู่ เซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าก็ได้แต่ก้าวเท้าผ่านร่างสูงไปพร้อมกับถองข้อศอกเข้ากับกล้ามเนื้อช่วงท้องเพื่อแก้อาการขัดเขินอันไร้สาเหตุ

"พูดจาแปลกๆ... ไปเรียบเรียงมาเสียใหม่นะ ว่าที่เหนือหัว"

นี่เขาพูดกับว่าที่ผู้นำแห่งแอสทารอธแบบนี้หรอกหรือ...

อนิจจาที่ทางเดินไปท่าเรือนั้นเป็นทางหินเล็กแคบ และกีบเท้าของม้าก็ไม่มีความสามารถยึดเกาะใดๆ ทำให้การเดินผ่านไปของรีดาห์เบียดร่างที่ใหญ่กว่าออกจากเส้นทาง และพลาดตกจากทางเดินอย่างรวดเร็วสู่อ่าวเบื้องล่าง

"ซาฮาล!"

"เหวอ! "

...ตูม!!!

น้ำทะเลเบื้องล่างส่งเสียง และแตกกระจายเป็นฝอยขาวเมื่อร่างของเซนทอร์หนุ่มตกลงไป ทว่าไม่กี่อึดใจต่อมา ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธก็โผล่กลับมาอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะเบาๆอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "อย่าให้ข้าขึ้นไปได้เชียว!" เซนทอร์หนุ่มคืนร่างเป็นมนุษย์ และเริ่มมองหาหนทางที่จะกลับขึ้นไป รีดาห์ที่ยังตกใจอยู่เบื้องบนได้แต่มองหาเชือก โดยหวังจะให้อีกฝ่ายได้ปีนขึ้น และไม่ทันสังเกตถึงการมาถึงของท่านหญิงลีอาห์

"รีดาห์... เจ้าทำอะไร!" เซนทอร์หญิงที่บัดนี้อยู่ในร่างของมนุษย์แหงนพูดกับเซนทอร์ร่างเพรียวที่ดูจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะก้มลงไปมองพื้นทะเลเบื้องล่างซึ่งซาฮาลกำลังว่ายเข้าฝั่งด้วยตัวเอง "ซาฮาล!"

"ท่านหญิง...!" รีดาห์เบิกตาขึ้น "ข้าไม่ได้... เขาตัวใหญ่กว่าข้า ข้าไม่คิดว่าแค่เบียด เขาก็..."

"เจ้าตั้งใจผลักเขาตกลงทะเลอีกด้วยหรือ รีดาห์!"

ราชเลขาคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์ก่อนจะวิ่งห้อเข้าไปในเมืองเพื่อลงไปรอรับการกลับมาของว่าที่เหนือหัวพร้อมกับออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอันทรงพลัง "ว่าที่เหนือหัวตกทะเล! พวกเจ้าไปหาผ้ามา! เตรียมน้ำอุ่นด้วย!!" รองผู้บัญชาการเซเลสต์ที่ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรจึงหันหัวกลับบ้าง และคิดว่าควรจะปล่อยเลสธีราห์เอาไว้ในเรือเซเลสต์ก่อน เพราะหากเขาไม่แสดงความรับผิดชอบกับเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะก็...

ราชเลขาลีอาห์คงมีบทลงโทษเขาอย่างแน่นอน

--------------------------------------------------

เป็นเวลาเย็นแล้วในยามที่ม้าเร็วเดินทางกลับไปถึงที่พักของผู้นำหญิงพร้อมกับข่าวที่ทำให้ซินญอร่าไม่อภัยตัวเองอย่างที่สุด และหลังจากทราบถึงความพ่ายแพ้และความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ท่านหญิงผู้นำก็สั่งไล่เหล่าคนรับใช้ใกล้ชิดออกไป "ไปให้พ้นให้หมด!!" น้ำเสียงของนางสั่นเครือ และจ้องมองผู้แจ้งข่าวซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยอาการห่อเหี่ยวสิ้นหวัง

"เหลือแค่เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน..."

"ข้าย้ำเตือนซินญอร์กี่ครั้งกี่หนแล้วว่าแม่ทัพใหญ่คิดการไม่ซื่อ แต่เจ้าเคยฟังบ้างหรือไม่!"

ท่านหญิงทุบมือลงกับเท้าแขนเก้าอี้จนรู้สึกเจ็บ แต่ความโกรธขึ้งและความโศกเศร้าทำให้นางไม่มีเวลาใส่ใจ "ในเมื่อเอเดรียนยึดอำนาจได้ในตอนนี้ สถานการณ์ทุกอย่างจะพลิกผันไปหมด อาเดรียจะเป็นผู้ได้เปรียบทันที ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาพึงกระทำ" สายตาของหญิงสาวเหลือบไปมองภาพวาดของน้องชายที่แขวนอยู่บนผนังห้อง "แต่สำหรับคัสนาห์ซึ่งเป็นเมืองผู้พี่แล้ว นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด" แต่เดิมแล้ว คัสนาห์และอาเดรียเป็นเมืองพี่น้องซึ่งกันและกัน โดยคัสนาห์นั้นเป็นผู้ให้ความช่วยเหลืออาเดรียในเรื่องของปัจจัยการดำรงชีพ ในขณะที่อาเดรียก็อุ้มชูคัสนาห์ในเรื่องเงินทองที่ขัดสน หากเทียบกับพวกมนุษย์ด้วยกันแล้ว อาเดรียอาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีความร่ำรวยมากที่สุดเลยก็เป็นได้...

ถ้าพูดถึงช่วงก่อนหน้าที่จะถูกธีสธรัลยึดครองอำนาจ

ท่านหญิงซินญอร่าเล็งเห็นโอกาสที่จะให้อิสระกับอาณาจักรของนางและของน้องชาย จึงได้วางแผนเหล่านี้ขึ้นมา แต่แล้วมันก็พังลงไม่เป็นท่าด้วยฝีมือของคนที่อยู่ใกล้ตัวผู้นำอาเดรียมากที่สุด "นี่มันซ้ำรอยเดิมชัดๆ... ข้าจะต้องใช้ใคร ถึงจะภักดี และไม่เห็นแก่อำนาจเงินทองแบบนี้ บอกข้าซิ"

นางหันไปมองพลทหารที่รอดชีวิตกลับมาซึ่งยังคุกเข่านิ่งที่อยู่ที่พื้น

"ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะตายทั้งหมด หากเจ้ายังรอดกลับมาได้"

"ท่านหญิง..."

ผู้นำหญิงแห่งคัสนาห์ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับวาดดาบเล่มยาวที่อยู่ข้างเก้าอี้ออกมาจากฝักและชี้ตรงไปยังคู่สนทนา "อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเอเดรียนส่งเจ้ามาเอาชีวิต โจฮาลล์!" โดยไม่รอให้คมดาบได้เข้าใกล้ตน พลทหารก็ยืดตัวลุกขึ้นยืนแม้ปราศจากอาวุธ และดึงผ้าคลุมหน้าออก ปล่อยให้แสงจากตะเกียงส่องกระทบใบหน้าของตนที่ยังเปรอะเปื้อนคราบเลือด

"...ท่านหญิงซินญอร่า"

ซินญอร่าเผชิญหน้ากับคนที่สูงกว่านางโดยปราศจากความหวาดกลัว เพราะสิ่งที่นางหวาดกลัวยิ่งกว่าได้เกิดขึ้นแล้วโดยที่นางไม่สามารถทำอะไรได้เลย "บอกข้าซิ... พวกเจ้าขายอะไรให้แอสทารอธ เพียงเพื่อชัยชนะของตัวเอง!"

คนถูกถามเม้มปากแน่นครู่หนึ่งราวกับครุ่นคิด ก่อนจะให้คำตอบ

"ท่านชายซินญอร์ตั้งใจจะยกป่าเวทมนตร์ให้กับแอสทารอธ" โจฮาลล์ว่า "และเพื่อให้ได้พบพี่ชายของตัวเองอีกครั้ง เอเรส ฟลินทรัสต์... จึงยอมมอบปืนคาบศิลาในครอบครองของเขาให้แอสทารอธอีกเช่นกัน เพื่อให้ภารกิจนี้สำเร็จ" คนฟังยกมือขึ้นปิดปากด้วยความสะเทือนใจพร้อมกับหลับตาลงเพื่ออดกลั้นความรู้สึกเสียใจที่เกินจะระบายออกมาเป็นน้ำตา

"ซินญอร์... ใจคอเจ้า... จะทอดทิ้งคัสนาห์เลยหรือไร"

"ท่านหญิง..."

ซินญอร่าเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่ที่พื้นครู่หนึ่งอย่างพิจารณา "หากไม่มีซินญอร์แล้ว คัสนาห์กับอาเดรียคงสิ้นความเป็นพี่น้อง" นางเปรย "คัสนาห์ที่ยากจนและขัดสนจะมีอะไรไปสู้อาเดรียผู้ร่ำรวยและชาญฉลาด ไม่นานประชาชนก็คงจะอพยพ แยกย้ายไปจากเมือง ทอดทิ้งป่าเวทมนตร์แห่งนี้ไป... จนล่มสลายในที่สุด"

คัสนาห์มีอาณาเขตครอบครองป่าเวทมนตร์ทั้งหมด...

ป่าเวทมนตร์ที่มียูนิคอร์นอยู่จริง มีสมุนไพรวิเศษที่รักษาโรคได้ แต่เหตุผลที่มนุษย์แห่งคัสนาห์ไม่แสวงหาประโยชน์จากมัน นั่นเพราะพวกเขาไม่มีความสามารถพอที่จะสัมผัสสิ่งวิเศษเหล่านั้นได้

...ผู้ที่เคยไล่ล่ายูนิคอร์นได้นั้นล้มตายจากไปแล้ว

...ผู้ที่สามารถแยกแยะสมุนไพรพิษและสมุนไพรวิเศษก็ไม่เหลืออีกแล้ว

พวกเขานั่งอยู่บนความรุ่งเรืองที่สัมผัสไม่ได้มาตลอด แต่ถึงกระนั้น คัสนาห์ก็ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาจับจองผืนป่าเก่าแก่แห่งนี้อยู่ดี "ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะต้องยอมยกบ้านเมืองให้เอเดรียนผู้เสแสร้งแกล้งภักดีคนนั้น" ซินญอร่าว่า "แต่หากข่าวความพ่ายแพ้แพร่สะพัดออกไป ไม่น่าประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นต่อต้านข้า และแก่งแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่กันจนคัสนาห์สั่นคลอนและคงล่มสลายเข้าจริง"

สายตาคมของท่านหญิงจ้องร่างเงาที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงนั้น

"นี่คือแผนที่เอเดรียนบีบให้ข้าลงจากบัลลังก์ใช่ไหม โจฮาลล์!"

หลังจากช่วยเหลือลูกเรือและทหารขึ้นมาจากน้ำและแน่ใจว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว โจฮาลล์ก็รีบกลับไปยังตัวเมืองหลวงเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่น จนพบกับแม่ทัพใหญ่ของอาเดรียที่มอบภารกิจสำคัญให้เขาอีกครั้ง นั่นก็คือการกลับมาแจ้งข่าวความพ่ายแพ้และความสูญเสียของผู้นำอาเดรียต่อผู้นำคัสนาห์ ...และชิงตำแหน่งผู้นำอาณาจักรมาจากนางให้ได้

เพราะมันคือวิธีเดียวเท่านั้นที่เมืองผู้น้องจะสามารถยื้อเมืองผู้พี่เอาไว้กับตัวได้โดยไม่มีใครล่มสลาย

"ท่านหญิง..." แววตาของโจฮาลล์แฝงด้วยประกายของความแน่วแน่ "หากแม่ทัพเอเดรียนต้องการจะทอดทิ้งคัสนาห์... ข้าคงไม่มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้แน่" ร่างสูงไม่ขยับเขยื้อนหรือปัดป้องคมอาวุธที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความเคารพผู้นำแห่งคัสนาห์ "ได้โปรด ท่านหญิง หนีไป... นั่นคือสิ่งที่ท่านชายซินญอร์ขอร้อง"

"แล้วสิ่งที่ข้าขอร้องกับเขาเล่า!! ข้าขอให้เขาสู้กับข้า เพียงแค่ผ่านพ้นศึกนี้ไปได้... ทำไม..."

โจฮาลล์ถอนใจเบาก่อนให้คำตอบ "เพราะเขารู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะสู้"

ซินญอร่าแค่นหัวเราะกับตัวเองก่อนจะปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา "เจ้าเด็กบ้านี่!" ดาบเล่มยาวอันเป็นอาวุธคู่บัลลังก์ปักลงกับพื้นไม้ "ถ้าซินญอร์ตายแล้ว... ก็ส่งข้าตามไปสั่งสอนเจ้าเด็กนั่นที่อีกโลกด้วยก็แล้วกัน" ท่านหญิงแห่งคัสนาห์หลับตาลง "ข้ายกตำแหน่งผู้นำให้กับแม่ทัพเอเดรียน"

--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30.2
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-01-2017 07:50:25
ตอนที่ 30.2

ว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธมีแผลถลอกเล็กน้อยที่แขนหลังจากเสียหลักตกจากทางเดินหินที่เชื่อมไปยังท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของอาเดรีย โดยมีคู่กรณีนั่งอยู่ตรงข้ามในห้องรับรองอีกห้องหนึ่งของมหาคฤหาสน์ "สงสัยนักว่าทำไมพวกมนุษย์ถึงชอบแบ่งห้องตั้งมากมายขนาดนี้ ทำให้พื้นที่ภายในแต่ละห้องไม่กว้างขวางเอาเสียเลย" รีดาห์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องที่ไม่คุ้นตาก่อนจะถอนใจ "หากข้าคืนร่างเซนทอร์ ยกขาสองข้างขึ้นก็คงจะแตะเพดานได้แล้วกระมัง"

ซาฮาลมองคนที่พยายามจะสร้างบรรยากาศการสนทนาก่อนจะจรดยิ้มที่มุมปากอย่างขบขันกึ่งเอ็นดู

"นี่คือวิธีสำนึกผิดของเจ้าหรือ รีดาห์"

เมื่อถูกจับทางได้ เซนทอร์หนุ่มก็มุ่ยหน้าเล็กน้อยแล้วกอดแขนขึ้นกอดอกอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ "ข้าไม่ได้ผิดสักหน่อย" สาเหตุจริงๆของอุบัติเหตุนั่นก็เพราะซาฮาลพูดอะไรแปลกๆออกมาก่อนไม่ใช่หรือ เขาก็เพียงแค่เดินเลี่ยงหนีไปเท่านั้น และมันก็เป็นความผิดของคู่สนทนาที่ดันตัวใหญ่และก้าวพลาดจนลื่นตกลงไปเอง "เจ้านั่นแหละเป็นฝ่ายเริ่ม"

"แต่คนที่ตกลงไปคือข้าไม่ใช่รึ"

เมื่ออยู่ในที่พักรับรองของพวกมนุษย์ เซนทอร์จึงต้องปรับตัวให้เขากับสถานที่ด้วยการใช้ร่างมนุษย์แทนร่างปกติ เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่เกินกว่าจะผ่านประตูเข้ามาได้ และนั่นทำให้รีดาห์ที่เป็นเซนทอร์ร่างเล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กยิ่งกว่าเดิมในร่างมนุษย์ "ดีที่ด้านล่างไม่มีกองหินโสโครก ไม่อย่างนั้นเจ้าคงมีโทษหนักแน่" สิ่งที่ซาฮาลพูดนั้นไม่เกินความจริงเลย เพราะอีกฝ่ายคือว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ และผู้ใดก็ตามที่ประทุษร้ายต่อเหนือหัวย่อมมีความผิดฐานกบฎ

"แม้ว่าข้าจะยังไม่ใช่เหนือหัว แต่ก็มั่นใจว่าใครก็ตามที่ทำร้ายข้าย่อมมีโทษไม่ต่าง..."

"เลิกขู่ข้าได้แล้ว! อยากให้ทำอะไรก็ว่ามาเร็วๆ" ร่างโปร่งสวนตอบด้วยความอึดอัด "แค่แผลถลอกแค่นี้ ถ้าจะจับข้าฐานกบฎก็ให้มันรู้ไปสิ..." รีดาห์พึมพำเถียงไม่ยอมแพ้ แม้จะรู้ว่าอย่างไรตนก็เป็นฝ่ายผิดอยู่ดีก็ตาม และท่าทางก้มหน้าก้มตาเถียงงึมงำนั่นก็ทำให้ซาฮาลต้องหัวเราะอีกครา

"ข้าตัดสินใจมาที่นี่เพื่อทำให้สัญญานั่นเป็นจริง รีดาห์"

นัยน์ตาสีเข้มมองออกไปด้านนอกมหาคฤหาสน์ที่มืดสนิท และน้ำเสียงที่ริงจังของซาฮาลก็ทำให้คนฟังยืดตัวขึ้นและดึงตัวเองกลับมาสู่การพูดคุยอันเคร่งขรึม "แม้ข้าจะเป็นว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ แต่ข้าก็ออกหน้าช่วยพวกเจ้าทั้งสองคนพร้อมกันไม่ได้" เมื่อได้ยินดังนั้น รีดาห์ก็ตระหนักได้ว่าการกระทำของเขาก็นับเป็นความผิดมหันต์ที่ขัดคำสั่งสภาขุนนาง

"ข้าช่วยออกหน้าให้พวกเจ้าได้เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น"

รองผู้บัญชาการเซเลสต์เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา ด้วยแววตาที่รู้ชะตากรรมของตนเอง "เพราะมันบ้าบิ่นเกินไปที่นำพลทหารออกไปสู้รบกลางทะเลซึ่งขัดต่อคำสั่งของสภาอย่างร้ายแรง ข้าก็คงจะถูกปลดจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการเซเลสต์ด้วยเช่นกัน" ส่วนเลสธีราห์ที่ถูกปลดไปแล้ว รีดาห์คิดว่าอีกฝ่ายคงถูกเนรเทศ แต่ถ้าซาฮาลช่วยออกหน้าให้ อย่างน้อยพวกเขาสองคนก็ยังได้รับโอกาสในการไปหาอาชีพอื่นทำ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นอาชีพเดิมของทั้งคู่ นั่นก็คือการทำงานกับเรือล่าวาฬ

อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนกัน... มันก็เพียงพอ

"ข้าจะออกหน้าให้เจ้า..."

"เอ๋...!"

ซาฮาลมองปฏิกิริยาของคนตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างประหลาด ด้วยไม่เคยสังเกตเลยว่ารีดาห์จะเป็นคนที่สามารถแสดงสีหน้าได้หลากหลายอารมณ์เช่นนี้ "ถึงช่วยเลสธีราห์เอาไว้ เขาก็คงทำประโยชน์อะไรให้สภาขุนนางไม่ได้ ดังนั้นข้าควรจะออกหน้าช่วยเจ้าจะดีกว่า อย่างน้อยเจ้าก็เป็นถึง 'วิศวกรรม' ประจำกองทัพเรือ"

ซาฮาลตั้งใจล้อเลียนการใช้คำผิดๆของรีดาห์...

ร่างโปร่งมุ่ยหน้าเล็กน้อยและแล้วก็ก้มรับคำตัดสินของว่าที่เหนือหัวโดยดี แต่ถึงอย่างนั้น มิตรภาพระหว่างเขาและเลสธีราห์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะขาดสะบั้นได้โดยง่ายเพียงเพื่อเอาตัวรอด "เอเดรียนผู้นั้น... ไม่ใช่คนธรรมดาที่เจ้าจะมองข้ามได้" ร่างโปร่งพึมพำ "น้องชายของเขา คือราชาโจรสลัดแห่งเทเทส ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในทะเลทางใต้"

"เส้นทางการค้าของแอสทารอธอยู่ทางเหนือ เราแทบจะไม่ข้องแวะกับทะเลใต้ด้วยซ้ำ"

"แต่เอ... เรียส... เป็นผู้เดียวที่สามารถต่อกรกับโจรสลัดวาเลสคาได้" รีดาห์เริ่ม แม้จะไม่แน่ใจในชื่อของคนที่ตนพูดถึง แต่รีดาห์ก็เรียกออกมาเต็มปากเต็มคำด้วยน้ำเสียงขึงขังที่สุด "ต่อให้มนุษย์จะไม่น่าคบหา แต่คนอย่างเอเดรียนคือบุคคลที่แอสทารอธจะมองข้ามไปไม่ได้"

"..." ซาฮาลนิ่งฟังโดยไม่ตอบอะไรและปล่อยให้รีดาห์ออกความเห็นไปเรื่อยๆ

"ข้าคิดว่าอิทธิพลทางทะเลของเอเรียสจะเป็นประโยชน์ต่อเรา และในอนาคตอาเดรียจะเป็นมหาอำนาจในแผ่นดินใหญ่เรื่องของการขนส่ง..." รีดาห์หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ "เราจะแข็งข้อกับอาเดรียไม่ได้ มีแต่ต้องประนีประนอมเท่านั้น" คนพูดสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อจะพูดในสิ่งที่ตนคิด และพยายามลากเรื่องมาตั้งนานแสนนาน "คนเดียวที่จะต่อรองกับเอเดรียนได้ ก็คือเลสธีราห์"

"..."

"ดังนั้นเราจึงต้องให้เลสธีราห์กลับแอสทารอธ... ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีสิ่งใดเจรจาได้เลย"

"รีดาห์ นี่เป็นแค่เมืองท่าเล็กๆเท่านั้น ไหนจะต้องรับมือกับคัสนาห์อีกเล่า"

เซนทอร์หนุ่มไม่กล่าวตอบว่าที่ผู้นำ แต่กลับมองออกไปด้านนอกหน้าต่างในทิศตะวันตก "คนอย่างเอเดรียนน่ะหรือจะปล่อยให้คัสนาห์ลุกขึ้นมาแก้แค้น" ดวงตาสีอ่อนหรี่ลงเล็กน้อย "ผนวกกับความคิดของเอเรียสแล้ว ป่านนี้หัวของท่านหญิงแห่งคัสนาห์จะยังอยู่บนบ่าหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก"

"รีดาห์... เมื่อข้าเป็นผู้นำอาณาจักร เจ้าจะเป็นที่ปรึกษาให้ข้าได้หรือไม่"

คนถูกถามที่เมื่อครู่ยังมีท่าทางเคร่งขรึมกลับหันมามองคนพูดพร้อมกับอ้าปากหวอทันทีอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ "เจ้าว่าอะไรนะ... เจ้าพูดอะไรน่ะ... จะให้ข้าเป็นเลขารึ... แบบท่านหญิงลีอาห์... แต่ข้าเป็นแค่วิศวกรรม... แล้วถ้าข้าไปแล้วจะ... ใครจะมาซ่อมเรือแทน..." ร่างโปร่งตะกุกตะกักและถามคำทุกคำถามที่อยู่ในหัวออกมา ทำให้ว่าที่ผู้นำแอสทารอธต้องหัวเราะออกมา

"อืม ใช่... เป็นแบบท่านหญิงลีอาห์... คิดไปขนาดนั้นแปลว่าตกลงใช่หรือเปล่า"

"อะไร... ข้ายังไม่ได้พูดสักคำว่าตกลง" ร่างโปร่งแหว "ข้าแค่คิดให้รอบคอบ ยัง... ข้ายังไม่..."

"ก็เพราะแบบนี้ เจ้าจึงควรเป็นที่ปรึกษาให้ข้าอย่างไรเล่า" ว่าที่เหนือหัวยิ้มเอ็นดู "ช่างอ่านคนเก่งนัก... และไม่ว่าเจ้าจะตกลงรึเปล่า ข้าก็เลือกราชเลขาของข้าแล้ว อย่าได้ขัดคำสั่งเหนือหัวเชียวล่ะ" คนถูกบังคับได้แต่อ้าปากพะงาบเหมือนต้องการจะเถียงแต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาพูดได้

"ว่าต่อสิ รีดาห์... ถ้าข้าจะตัดความสัมพันธ์จากอาเดรีย เจ้าเห็นว่ายังไง"

"เอ่อ..."

"ถ้าเจ้าสู้ท่านหญิงลีอาห์ไม่ได้ ชาวบ้านชาวเมืองจะว่าอย่างไรนะ"

ร่างโปร่งลุกพรวดขึ้นก่อนชี้นิ้วสั่นเทามาที่ซาฮาลด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองระคนตื่นเต้น "ก็ใครใช้ให้เอาข้าไปเป็นที่ปรึกษา คนเก่งมีตั้งมากมาย ดันมาเลือกช่างซ่อมเรือ! ข้าไม่ได้มีพรสวรรค์ในด้านการฟังแบบเลสธีราห์หรือท่านทูตธีโอเดรหรอกนะ ที่จะได้ยินทุกเรื่อง และรู้ทุกเรื่องน่ะ! "

ซาฮาลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและมองนิ้วเรียวที่ชี้อยู่ตรงหน้า "เจ้าน้อยใจข้ารึ"

"ไม่ใช่ว้อย!"

ร่างโปรงกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะเดินออกมาจากโซฟาและตรงไปที่ประตู รีดาห์พยายามจะบิดกลอนออก แต่แล้วร่างเงาสูงใหญ่ก็ทาบทับจากด้านหลัง เสียงกีบเท้ากระทบพื้นบอกได้ดีว่าคู่สนทนาคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์แล้ว ก่อนที่ท่อนขาทรงพลังข้างหนึ่งจะเอื้อมมากดยันประตูเอาไว้ และเมื่อเขาหันกลับไปก็พบว่าซาฮาลยืนกอดอกอยู่ด้วยท่าทางข่มเหง

"อย่าใช้กำลังกับข้านะ!" จะพูดว่ารีดาห์กับเลสธีราห์นิสัยคล้ายกันจึงเป็นเพื่อนสนิทกันก็คงไม่ผิด เพราะเมื่อเห็นท่าไม่ดี ร่างโปร่งก็กลับเป็นเซนทอร์บ้าง แม้ว่าการยืนยกสองขาหน้าขึ้นข่มขู่กลับแล้วจะทำได้แค่เรียกเสียงถอนใจจากซาฮาลเท่านั้นก็ตาม "ถ้าข้าพูดว่าไม่... ก็คือไม่ ต่อให้เจ้าเป็นเหนือหัวก็อย่าหวังจะบังคับข้าได้!"

"เจ้าน่ารักกว่าเลสธีราห์สักข้อหนึ่ง" ซาฮาลเอ่ยเสียงเรียบ "ก็คือดีแต่ขู่ แต่เลสลงมือจริง ข้าเจ็บจริง"

"..."

เมื่อยืนสองข้างสักพัก รีดาห์ก็เริ่มเมื่อย ทว่าคู่สนทนาก็อยู่ใกล้เกินไปเสียเหลือเกิน หากเขาลงยืนทั้งสี่ขาตอนนี้ คงไม่วายจะล้มใส่ซาฮาลแน่นอน "หลบ... ข้าเมื่อย" รองผู้บัญชาการเซเลสต์พูดตรงๆ และยันแผงอกกว้างตรงหน้าออกไปเพื่อจะลงยืนกับพื้น และพบว่าตัวเองดูเตี้ยกว่าซาฮาลถนัดตา "ก็ได้ คุยต่อก็ได้... ข้าไม่เดินหนีแล้ว" ร่างโปร่งเบี่ยงตัวหลบและเดินกับไปที่โซฟา โดยไม่ทันเห็นรอยยิ้มพอใจที่มุมปากของซาฮาล

...โครม!

แต่เมื่อเดินห่างออกมาได้ระยะ รีดาห์ก็ย่อตัวลงก่อนจะยกขาหลังทั้งสองข้างก็ขึ้นดีดสุดแรง "โอ๊ย!!" คนที่ตัวโตกว่าสะดุ้งหนีเมื่อรู้สึกถึงแรงลมจากการสะบัดขาของคู่สนทนา แต่ด้วยความที่เพดานห้องนี้ไม่ได้สูงมาก ทำให้ซาฮาลที่หยัดตัวขึ้นยืนสองขาต้องหัวกระแทกกับโคมไฟด้านบนทันที

"ข้าพยศได้ยิ่งกว่าเลสธีราห์ ถ้ารับได้... เป็นที่ปรึกษาให้เจ้าก็ไม่หนักหนาเท่าไหร่หรอก!"

--------------------------------------------------

เสื้อของเอเดรียนเปียกชุ่มด้วยน้ำทะเลผสมกับเลือดที่ไหลซึ่มออกมาต่อเนื่อง อีกฝ่ายหักก้านลูกดอกออกทว่ายังมีส่วนหัวฝังอยู่ในเนื้อ ทำให้เลสธีราห์ต้องใช้มีดเปิดแผลเพื่อดึงสิ่งที่ตกค้างออกมาให้หมด กลิ่นเลือดสดคลุ้งไปทั่วห้องจนเซนทอร์หนุ่มเองยังรู้สึกเวียนหัว

ยาของพวกเซนทอร์มักจะเป็นสมุนไพรที่อยู่ในป่านำมาสกัดด้วยวิธีการเรียบง่ายจนออกมาเป็นยาทา ยาดม และยาเม็ด ในห้องพักกัปตันนี้ก็มียาอยู่หลายชนิดและหลายประเภท ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในขวดโหลแก้วกันน้ำอย่างดีในหีบไม้ ร่างโปร่งหยิบผ้าพันแผลที่อยู่ในขวดโหลออกมาแล้วเริ่มพันให้อย่างเก้ๆกังๆด้วยไม่รู้ว่าควรจะพันไปทางใด

...ดูเหมือนว่าเลสธีราห์จะไม่เอางานเรื่องพยาบาลสักเท่าไหร่

เอเดรียนยิ้มจาง แล้วจึงวางมือของตนลงบนมือของอีกฝ่ายเพื่อช่วยพันแผลให้ตัวเอง ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย และในอึดใจเดียวกันที่อีกฝ่ายก็เงยมองเขาโดยไม่ตั้งใจเช่นกัน เมื่อดวงตาทั้งสองสบกัน ความรู้สึกบางอย่างก็ทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมา

"มองอะไรของเจ้า"

ว่าแล้วเลสธีราห์ก็หลุบตาลงไปมองจ้องแผลอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ จนกระทั่งนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นแผลที่เกิดจากตนเอง "โชคดีเท่าไหร่ที่โดนแค่แขน หากมันโดนอกเจ้าแทน..." เขาพึมพำเสมือนพูดกับตนเอง ซึ่งเป็นกิริยาที่ทำให้คู่สนทนาทอดยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน "ถ้ามันโดนอกเจ้าแทนจะเป็นอย่างไร"

"เจ้านั่นก็เล็งจะฆ่าเจ้า... จะให้ข้าอยู่เฉยหรือ" เอเดรียนว่า "เจ้าทำเพื่อข้ามามากพอแล้ว เลสธีราห์"

เซนทอร์หนุ่มเม้มปากด้วยไม่รู้จะตอบว่าอะไร เขาไม่แน่ใจว่าเอเดรียนรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วหรือยัง และอีกฝ่ายจะโกรธที่เขาร่วมมือกับเอเรสหรือไม่ "ท่านชายซินญอร์ขอร้องให้เจ้าทำหรือ" เอเดรียนถามช้า และพยายามใช้น้ำเสียงปกติที่สุดเพื่อไม่ให้เลสธีราห์คิดว่าตนเองกำลังถูกตำหนิ "เขาขอให้เจ้า..."

"ใช้ความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าให้เป็นประโยชน์"

เซนทอร์หนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายและสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาเองคิดว่าเอเดรียนต้องการจะรู้เรื่องนี้ และมันอาจถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะต้องความจริงแล้วว่า คนที่วางแผนเรื่องราวทุกอย่างคือคนที่เขาเพิ่งจะสังหารไป "ผลักดันให้เจ้าขึ้นเป็นผู้นำอาเดรีย" เลสธีราห์มีความสามารถในการฟัง ดังนั้นเขาจึงได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย และรับรู้ได้ว่าเอเดรียนกลั้นใจกับคำตอบของเขา

"ซึ่งข้าเห็นด้วยกับเขา เอเดรียน..."

เอเดรียนพยักหน้าเบาอย่างคนที่พอจะรู้อะไรบ้างแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจรายละเอียดมากพอ "ทำไมจะต้องทำถึงขนาดนั้น" ชายหนุ่มพึมพำ "การที่จะวางแผนให้ใครสักคนหันมาฆ่าตัวเอง ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น... มันไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง" เลสธีราห์ส่ายหัว และเอื้อมไปกุมมือของคู่สนทนาช้าๆ รอให้อีกฝ่ายบีบมือตอบ

"เขาอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านหญิงซินญอร่า เขาทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้ใครแทรกแซง"

เอเดรียนส่ายหัวเบา "แต่ทำไม..."

"เขาเลือกที่จะทำร้ายจิตใจเจ้าเพียงคนเดียวเพื่อรักษาอาเดรียเอาไว้ ดีกว่าทำร้ายประชาชนอีกหลายพันต่อไปด้วยความหายนะที่พี่สาวของเขาชักนำมา" ร่างโปร่งหลับตาลง "เขาดึงเอเรสเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะรู้ว่านั่นคือน้องชายของเจ้า และเอเรสมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ขุนนางทุกฝ่ายเงียบปาก"

เอเดรียนกลั้นใจน้อยๆเมื่อพูดถึงตรงนี้ "แต่เอเรสมีอิทธิพลแค่กับคนอื่น แต่ไม่ใช่ข้า..."

"เอเรสจึงขอให้ข้าช่วย" เลสธีราห์อธิบาย "แลกกับปืนคาบศิลา เพราะเขารู้ว่าความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้า..." ร่างโปร่งเม้มปากครู่หนึ่งด้วยต้องการคิดหาคำพูดให้เหมาะสม แต่แล้วก็หัวเราะออกมาสั้นๆด้วยความสมเพชตนเอง "พวกเราช่างเหมือนคนที่รักกันด้วยผลประโยชน์" เพราะหากทบทวนดูแล้ว เลสธีราห์เองก็มองที่ผลประโยชน์ และด้วยความที่มันมากพอที่จะเสี่ยง เขาจึงตอบตกลง

"ข้าภูมิใจที่เจ้าไม่ทอดทิ้งอาณาจักรเพื่อข้า... เลสธีราห์" เอเดรียนยิ้มจาง "นั่นคือเกียรติของเซนทอร์"

หากเลสธีราห์กล่าวว่าตนเองคือผู้ที่ไม่คู่ควรกับเอเดรียน เพราะเขาทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อบุคคลเพียงคนเดียว เอเดรียนก็จะกล่าวว่านี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าเลสธีราห์เองก็ไม่ได้ทอดทิ้งบ้านเมืองเพื่อเขาอย่างที่เจ้าตัวเข้าใจ แม่ทัพหนุ่มกอบกุมมืออีกฝ่าย "เจ้าคิดถึงบ้านเมืองเสมอ และต่อสู้เพื่อให้อาณาจักรได้รับผลประโยชน์ที่ดีที่สุด แบบนี้จะเรียกว่าเจ้าทอดทิ้งแอสทารอธได้อย่างไร"

"แต่ถ้าหากข้าเห็นประโยชน์ของแอสทารอธมาก่อน... ข้าคงจะทำตามคำสั่งของสภาขุนนางไปแล้ว"

"แค่สภาขุนนางไม่รู้จักปืนคาบศิลา" เอเดรียนถอนใจเบา "เอเรสบอกข้าเรื่องสัญญาของตระกูลฟรินทรัสต์ ทั้งเรื่องปืนคาบศิลา และข้อตกลงน่านน้ำ หากเทียบกับเรือจักรไอน้ำเพียงสิบลำของธีสธรัล ไม่ว่าผู้นำคนไหนเห็นข้อเสนอนี้ก็ล้วนเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงกล้าแข็งข้อเพื่อมัน" ชายหนุ่มเกลี่ยปอยผมสีอ่อนให้พ้นใบหน้าเรียว

"ต่อให้เหตุผลที่แท้จริงคือการต่อสู้เพื่อข้า แต่ขอให้มันเป็นความลับของพวกเราสองคนเถอะนะ"

เลสธีราห์ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย และยกมือขึ้นประคองเสี้ยวหน้าคมของคู่สนทนาเอาไว้ "เจ้าเล่ห์"

ร่างสูงยกแขนขึ้นกอดรวบคนพูดเข้ามาหาตัวและแนบริมฝีปากจูบอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ "เพราะข้า... ก็ต่อสู้เพื่อเจ้าเช่นกัน" เสียงทุ้มกระซิบบอก "หากอาณาจักรเรายังบาดหมาง... ข้าคงจะไม่ได้พบเจ้าด้วยความรู้สึกแบบนี้" เลสธีราห์ถูกอีกฝ่ายกอดรั้งเสียจนต้องขยับไปนั่งบนหน้าตัก และด้วยความที่พวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้มาเนิ่นนาน ทำให้เซนทอร์หนุ่มก้มลงเพื่อแอบซ่อนใบหน้าแดงซ่านของตัวเอง "ฉะนั้น อย่าหนีข้าไปไหนอีกเลย"

"เป็นแค่เลสธีราห์ของข้าเท่านั้น"

สุดท้ายแล้วเขาก็ใจอ่อน...

เลสธีราห์หลับตาลง และสัมผัสความอบอุ่นจากริมฝีปากของอีกฝ่าย

ร่างโปร่งดึงคู่สนทนาเข้ามาใกล้ พลางยกมืออีกข้างประคองกอด ถึงเขาจะรู้สึกไม่ชอบนิสัยขี้ใจอ่อนของตัวเอง แต่ความรู้สึกในยามที่อีกฝ่ายสัมผัสเขาแบบนี้มันช่างดีเสียเหลือเกิน ริมฝีปากทั้งคู่แตะแนบกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลกลมหายใจคลอเคลียราวกับไม่ต้องการจะแยกห่าง และกระหวัดกอดคนตรงหน้าให้เข้ามาแนบกายที่สุด เพื่อแทนคำพูดว่าจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายไปไหนจากตนอีก

"เจ้าเองก็... เป็นแค่เอเดรียนของข้าก็พอ"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


จริงๆมันก็... ครบ 30 ตอนแล้วแหละ... มันก็จบนะ... แต่ต้องมีบทส่งท้าย (สรุป+เอาทุกคนมาพบกัน)
แล้วก็ตอนพิเศษอีก หลังจากอึมครึมมาทั้งเรื่องงง...

คือเรื่องนี้ดีกัน 15 ตอน อีก 15 ตอนดราม่า... เอื้อออ...
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30 [26-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 26-01-2017 07:58:37
จบแล้วเหรอคะ ไม่มีดราม่าแล้วใช่ไหม จะอ่านแล้วน้าาาา
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30 [26-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-01-2017 08:02:54
จบแล้วเหรอคะ ไม่มีดราม่าแล้วใช่ไหม จะอ่านแล้วน้าาาา

ไม่มีดราม่าแล้วค่าาา หลังจากนี้จะเป็น >>> บทสรุป >>> ตอนพิเศษ 1+2+3  :mew1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30 [26-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 26-01-2017 09:43:32
ดีต่อใจจังเลย ในที่สุดดด  :mc4:
รีดาห์กับซาฮาลจะไปรอดมั้ยนะ ฮ่าา
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 30 [26-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 26-01-2017 10:13:54
ดีต่อใจจังเลย ในที่สุดดด  :mc4:
รีดาห์กับซาฮาลจะไปรอดมั้ยนะ ฮ่าา

อิ... ไว้ตอนพิเศษจะจัดให้เยอะๆนะคะ เขียนเครียดมาทั้งเรื่องก็อยากสวีทบ้างงงง  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 27-01-2017 10:18:47
บทส่งท้าย

ชาวเมืองอาเดรียหลายคนไม่เคยพบเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของอาณาจักรก็ตาม แต่ภาพของท่าเรือออโรราในตอนนี้อาจต้องบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของเมืองท่าแห่งตะวันตกว่าในวันที่สามัญชนอย่างแม่ทัพเอเดรียนได้ยึดอำนาจการปกครองจากเชื้อพระวงศ์คนสุดท้าย เหล่าเรือรบที่เป็นตำนานของทะเลเทเทสทั้งสี่ลำได้มาเทียบท่าร่วมกันได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งเรือเหาะอาคาเซียของเธสซาลีย์ เรือบัญชาการแองเจลิกาของโจรสลัดเทเทส เรือรบหลวงคาร์เธียร์แห่งธีสธรัล

...และเรือรบเซเลสต์ของแอสทารอธ

แต่บุคคลสำคัญที่ควรจะมีชื่ออยู่ในประวัติศาสต์ด้วยกลับไม่นึกสนใจจะจดบันทึกอะไรทั้งนั้น ทั้งยังอยากจะกระโดดอ่าวออโรราแล้วหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดอีกด้วย นั่นคือเอเดรียน ผู้อยู่ในตำแหน่งว่าที่ผู้นำอาณาจักรกำลังเผชิญหน้ากับอาคันตุกะจากต่างแดนพร้อมกันทั้งหมด

ไม่รวมเอเรส ราชาโจรสลัดเทเทสใต้ ...ซึ่งนับเป็นญาติของเขา

และบรรยากาศอึมครึมที่ไม่มีใครแน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไรทำให้ไม่มีผู้ร่วมเสวนาคนใดอยากพูดขึ้นมาก่อน ราชินีไวลด์ตั้งใจจะมาร่วมฟังการสนทนาของอาเดรียในฐานะคู่สัญญาข้อตกลง ว่าอีกฝ่ายจะจัดการอย่างไรกับแอสทารอธและเธสซาลีย์ แต่แน่นอนว่าท่านทูตธีโอเดรผู้มีความสามารถในการฟังย่อมอยากฟังการสนทนาของอาเดรียและธีสธรัลเช่นกัน

"ข้าเขียนสัญญาขึ้นมาเพื่อแจกแจงผลประโยชน์และข้อตกลงของแต่ละอาณาจักร..."

เอเดรียนเริ่ม และเปิดแฟ้มหนังสีดำเพื่อจะหยิบสัญญาที่เขาเขียนขึ้นมาเมื่อคืนที่ผ่านมา และพบว่ากระดาษด้านบนสุดนั้นเป็นของธีสธรัล แต่เมื่อชายหนุ่มหันหน้าไปทางราชินี ท่านหญิงลีอาห์ก็มีปฏิกิริยาเล็กน้อยด้วยการสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงความไม่พอใจสักเท่าไหร่ เพราะในสายตานางแล้ว แอสทารอธคือผู้เสียหายที่สุดจากความวุ่นวายครั้งนี้ เอเดรียนจึงควรไกล่เกลี่ยกับทางแอสทารอธก่อนใครอื่น อดีตแม่ทัพใหญ่เหลือบตามองสัญญาฉบับต่อไปซึ่งยังเป็นของธีสธรัลอยู่ เอเดรียนจึงพยายามยักมุมปากขึ้นยิ้มเพื่อแสดงความเป็นมิตร และผ่อนคลายบรรยากาศ แต่ราชเลขาเซนทอร์กลับหลับตาและยิ่งสูดหายใจเข้าอย่างเงียบงัน

คนที่อยากจะหัวเราะออกมาที่สุดดูเหมือนจะเป็นธีโอเดร... ทูตแห่งเธสซาลีย์

"เรียงตามตัวอักษรก็แล้วกัน..."

ราชินีไวลด์เองก็ดูจะเห็นใจเอเดรียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น นางจึงเสนอขึ้นมาทำลายความเงียบ แต่เมื่อพิจารณาดีๆแล้ว หากเรียงตามตัวอักษรในภาษาของพวกเขา อาณาจักรเธสซาลีย์ก็มาก่อนแอสทารอธ ตามด้วยธีสธรัล และจบที่แอสทารอธ "เธสซาลีย์ไม่ได้เรียงร้องอะไรจากอาเดรีย ไม่ต้องห่วงหรอก" ธีโอเดรชิงพูดขึ้นมาก่อนที่เอเดรียนจะหยิบเอกสารแผ่นถัดไปขึ้นมา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ว่าที่ผู้นำรู้สึกประหม่าจนเกือบสั่น

คนแบบนี้หรือ ที่เลสธีราห์ชอบ...

ซาฮาลผู้นั่งอยู่ในวงเสวนาหารือด้วยในฐานะว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธยกแขนขึ้นกอดอกนิ่งๆและพิจารณามนุษย์ตรงหน้าเงียบๆ พลางเปรียบเทียบกับตัวเองอยู่ในใจและตัดสินในเวลาอันรวดเร็วว่าเอเดรียนไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงเขาได้ เว้นเสียแต่ว่าเจ้านั่นมีรสนิยมการแต่งตัวที่ดีกว่าเขา ดูอ่อนโยนกว่าเขา และดูใจดีกว่าเขา

แต่นั่นไม่นับเป็นความแข็งแกร่งในแบบของเซนทอร์!!

"นับระยะทางบนแผนที่ดีกว่า" เอเรสกล่าวทำลายความเงียบเมื่อเห็นว่าพี่ชายพยายามจะตั้งสติ แต่เอกสารของธีสธรัลก็มีหลายแผ่นจนเกินไปจนยากที่จะหาของอาณาจักรอื่นพบในช่วงเวลาสั้นๆนี้ แต่เมื่อพิจารณาดีๆแล้ว อาณาเขตของแอสทารอธกับอาเดรียก็เพียงแค่มีชายแดนร่วมกัน โดยอิงแม่น้ำเส้นเดียวกัน ทว่าอาณาเขตทางทะเลของอาเดรียและธีสธรัลนั้นเรียกได้ว่า 'ทับซ้อน' ซึ่งหมายความว่าอาเดรียอยู่ใกล้ธีสธรัลมากกว่าแอสทารอธ

เลสธีราห์สูดหายใจเข้าบ้างอย่างอดไม่ได้ "เอาเป็นว่า แอสทารอธมีสิทธิ์ที่จะเจรจาก่อน!"

ไม่ต้องกล่าวอ้างถึงตัวอักษรนำหน้าอาณาจักรหรือว่าระยะทางบนแผนที่ แต่หากนับจำนวนผู้ร่วมประชุมครั้งนี้แล้วมีตัวแทนแอสทารอธถึงสี่ตน ตัวแทนจากธีสธรัลหนึ่งคน และตัวแทนเธสซาลีย์อีกเพียงหนึ่งเท่านั้น "อีกทั้งข้อตกลงระหว่างธีสธรัลกับอาเดรียก็มีมากมายเหลือเกิน กว่าจะได้พูดเรื่องต่อไปก็คงไม่ทันวาระประชุมของสภาขุนนางแอสทารอธ" สิ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทูตระดับสูงอย่างท่านหญิงลีอาห์จะไม่พูด เพราะมันช่างเป็นเหตุผลที่ตรงไปตรงมาเสียจนเกือบไม่มีชั้นเชิง ดังนั้นเมื่อบุตรชายพูดแบบนั้นออกมา ราชเลขาก็ถอนใจเบาแทนการสูดลมเข้าเพื่อสงบอารมณ์

เอเดรียนค้นเจอเอกสารในส่วนของแอสทารอธในที่สุด พร้อมกับสัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์ที่เอเรสแอบไปตกลงกับเลสธีราห์เอาไว้เมื่อครั้งที่ทั้งสองร่วมมือกับท่านชายซินญอร์ "ดูเหมือนว่าที่เหนือหัวจะทราบแล้วว่าอาเดรียกับแอสทารอธมีข้อตกลงลับๆร่วมกัน นั่นคือหากแอสทารอธยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้า ...ตระกูลฟลินทรัสต์จะมอบปืนคาบศิลาให้กับแอสทารอธตามจำนวนของทหารที่เข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้ นั่นก็เท่ากับสามร้อยห้าสิบสองกระบอก แต่ไม่นับรวมลูกปืน"

เอเดรียนอ่านจากเอกสารในมือและเหลือบมองน้องชายเล็กน้อยเมื่อเห็นความขี้โกงของอีกฝ่าย

เอเรส... เจ้านี่มัน...

"และเสนอข้อตกลงเปิดน่านน้ำทะเลทางเหนือให้เรือรบแองเจลิกาสามารถผ่านเส้นทางได้ โดยแลกเปลี่ยนกับข้อตกลงในการผลิตลูกปืนเพื่อใช้กับปืนคาบศิลา" ร่างสูงมุ่นคิ้วเล็กน้อยและเหลือบตาขึ้นมองเอเรสผู้เป็นเจ้าของสัญญานั้นราวกับขอให้อีกฝ่ายอธิบายเพิ่มเติม "โดยเรือรบแองเจลิกาจะไม่ทำอันตรายหรือมีจุดประสงค์ร้ายใดๆต่ออาณาจักรแอสทารอธ"

เอเรสพยักหน้าเบาพร้อมกับยิ้มจาง "โจรสลัดวาเลสคาแห่งทะเลเหนือ"

ธีโอเดรเหลือบมองคนพูดเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของโจรสลัดวาเลสคา เนื่องจากกลุ่มโจรสลัดดังกล่าวนั้นเป็นกลุ่มเอลฟ์จากเธสซาลีย์ "ข้ารู้มาสักพักแล้วว่าเจ้าเป็นผู้มีอิทธิพลในอาเดรียใต้ เป็นน้องชายของแม่ทัพเอเดรียน และมีปัญหาบาดหมางค้างคากับโจรสลัดวาเลสคา" ทูตเอลฟ์ว่า "แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะนำเรื่องนั้นมาผูกโยงกับข้อตกลงอาณาจักร ขอผ่านน่านน้ำแอสทารอธ เพียงเพื่อไปต่อสู้กับคู่กรณี"

"โจรสลัดวาเลสคาโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม" เอเรสกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ไม่เคารพหรือแยแสกฎแห่งโจรสลัด อันเป็นสิ่งที่ข้ายอมไม่ได้ในฐานะผู้นำระดับสูง" จริงอยู่ว่าเอเรสเป็นผู้นำโจรสลัด แต่ทุกคนในที่ประชุมก็พอจะรู้ว่าในหมู่โจรเองก็มีกฎที่พวกเขาจะต้องเคารพ และโจรสลัดวาเลสคาไม่เคยเคารพในกฎเหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่นำภัยร้ายแรงมาสู่โจรสลัดกลุ่มอื่น "ข้าเกรงว่าความเหิมเกริมของวาเลสคาจะทำให้ทั่วทั้งทะเลเดือดร้อน"

ซาฮาลในฐานะอดีตผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์เข้าใจปัญหาที่เอเรสกล่าวถึง และเริ่มคิดหาวิธีขออนุญาตออกความเห็นในที่ประชุม เดิมทีเซนทอร์ใช้วิธีเคาะกีบเท้า ทว่าในตอนนี้เขาอยู่ในร่างมนุษย์จึงไม่มีกีบเท้าให้เคาะ อีกทั้งบนโต๊ะยังไม่มีสิ่งใดที่พอจะทำให้เกิดเสียงได้อีกด้วย และแน่นอนว่าการกระแอมนั้นเป็นมารยาทที่ไม่ควรทำให้ที่ประชุม แต่คนที่พูดขึ้นมากลับเป็นรีดาห์ที่นั่งอยู่ข้างเขา

"วาเลสคาไม่ทำเพียงปล้นสะดม แต่เข่นฆ่าทุกคนและจมเรือทั้งลำ"

ในฐานะผู้ดูแลการซ่อมเรือ รีดาห์จำได้ดีว่าเรือพาณิชย์ของแอสทารอธสูญหายไปหลายลำจากฝีมือของโจรสลัดวาเลสคา ถึงแม้จะไม่มีใครชื่นชอบโจรสลัด และนึกอยากให้โจรสลัดหายไปจากน่านน้ำทั้งหมด แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าโจรสลัดแต่ละกลุ่มต่อสู้กันเองและปกครองกันเองด้วยกฎแห่งโจรซึ่งนั่นเป็นวิธีการควบคุมความเรียบร้อยของพวกเขา

สายตาของเซนทอร์มองไปทางราชเลขาผู้มีอำนาจการตัดสินใจแทนเหนือหัวดาเรียส "ท่านหญิงว่าอย่างไร"

"เราอาจจะต้องนำเรื่องนี้เข้าวาระประชุมของสภาขุนนาง ข้าไม่อาจตัดสินใจได้" ลีอาห์ตอบเสียงเรียบ "แต่สิ่งตอบแทนของอาเดรียยังไม่น่าสนใจพอที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของสภาขุนนาง เรื่องของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์" แม้ว่าปัญหาของเลสธีราห์อาจไม่สำคัญในข้อตกลงระดับอาณาจักร แต่หลายคนในที่นี้ก็พอจะเข้าใจจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย และต้องการที่จะเห็นเอเดรียนลงมือแก้ไขหรือทำอะไรบางอย่างเพื่อเลสธีราห์เพื่อให้สมกับที่เลสธีราห์ลงมือทำเพื่อเอเดรียน

"ข้ายังมีข้อตกลงด้านผลผลิตทางการเกษตร และแก้ไขปัญหาแรงงานที่ขาดแคลนของแอสทารอธ"

ท่านหญิงลีอาห์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสนใจเมื่อเอเดรียนพูดถึงข้อตกลงแรงงาน "นี่อาจเป็นเรื่องที่เราต้องหารือร่วมกันในระยะยาว ในเวลานี้คาดว่าไม่เหมาะสม" แม้นางจะมีอำนาจตัดสินใจแทนเหนือหัวดาเรียส แต่นางไม่มีอำนาจตัดสินใจแทนสภาขุนนาง ดังนั้นท่านหญิงจึงคิดว่าควรจะเชิญเอเดรียนมาร่วมประชุมในสภาขุนนางของแอสทารอธด้วยในโอกาสต่อไปจะดีกว่า และในที่ประชุมแห่งนี้ยังมีราชินีแห่งธีสธรัล และราชาโจรสลัดร่วมฟังอยู่ด้วย จึงไม่เป็นการไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่

เอเดรียนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อสามารถตะล่อมให้ท่านหญิงพูดคำนั้นออกมาได้

"ข้าอยากให้เลสธีราห์เป็นผู้ดูแลการเจรจาระหว่างอาเดรียกับแอสทารอธ" สิ่งที่ออกจากปากของเอเดรียนไม่ผิดคาดไปจากความคิดของซาฮาลสักเท่าไหร่ เพราะนั่นเป็นตำแหน่งที่ทำให้ทั้งสองมีโอกาสพบกันได้ แม้ว่าจะอยู่คนละอาณาจักรก็ตาม เช่นนั้นแล้วแปลว่าเลสธีราห์จะไม่เดินทางไปยังตะวันออกกับบิดาอย่างนั้นหรือ แต่จะยืนยันอยู่ที่นี่ แม้ว่าตนจะตกต่ำจากสถานะเดิมก็ตาม

เลสธีราห์จะสู้ต่อ... เพราะเอเดรียนผู้นี้หรือ

...นี่คือสิ่งที่เขาทำไม่ได้สินะ ทำให้เลสธีราห์ลุกขึ้นต่อสู้ไม่ได้

"และในข้อตกลงด้านผลผลิตด้านการเกษตร มีข้อเสนอเรื่องของป่าเวทมนตร์และยูนิคอร์นอยู่ด้วย" ท่านลีอาห์ถอนใจเบาก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ช้าๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจว่าเอเดรียนผู้นี้จะเริ่มจับทางของเซนทอร์ได้ดีเกินคาดไปเสียแล้ว "หลังจากนี้ ข้าจะขอเดินทางไปยังแอสทารอธด้วยตนเองเพื่อเจรจาเนื้อหาทั้งหมดกับเหนือหัวดาเรียส" เอเดรียนยิ้มจาง "ไม่ทราบว่าทางแอสทารอธมีความเห็นอย่างไร"

"หากพูดเรื่องพรรค์นี้มาตั้งแต่แรกก็คงไม่มีใครต้องเจ็บหรือตายหรอก"

ท่านหญิงโมนาผู้เบื่อหน่ายการหาเรือเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกแขนขึ้นเท้าบนโต๊ะและกุมขมับอย่างเวียนหัว "แล้วเอาเรื่องลูกปืนไปผูกกับเรื่องของเลสธีราห์แทนไม่ได้หรือไง เจ้าจะให้เขาคืนตำแหน่งเดิมแลกกับการผลิตลูกปืนอะไรก็ได้" เมื่อคนที่ไม่ใช่ทูตเจรจาเสียเอง ผู้ที่เจนจัดในวงการความสัมพันธ์อย่างธีโอเดรและลีอาห์ รวมทั้งซาฮาลจึงได้มองแม่ทัพหญิงเป็นตาเดียวราวกับขอให้นางเลิกพูดตรงไปตรงมาแบบนั้น

"ก็ได้... นี่เป็นมุมมองของแม่ทัพอย่างข้า" โมนาถอนใจ "กลับไปคุยที่แอสทารอธเองเถอะ"

เอเดรียนยิ้มรับก่อนจะพยักหน้าเบา "ข้าพร้อมเดินทางไปด้วยตนเองเสมอ ในฐานะผู้นำอาณาจักร" ชายหนุ่มหันกลับมายังราชินีแห่งธีสธรัลและหยิบเอกสารข้อตกลงค่าธรรมเนียมท่าเรือที่พระนางร่างเอาไว้ด้วยตนเองก่อนหน้านี้ออกมา "ข้าคิดว่าผลประโยชน์เบื้องต้นของธีสธรัลและแอสทารอธลงตัวแล้ว"

"ใช่สิ เจ้าจัดการคัดลอกแล้วส่งไปยังอาณาจักรอื่นๆแล้วด้วยนี่" ไวลด์มุ่นคิ้ว "ทั้งไอย์ชวล อัสเซเดธ ฟาวสต์ เอริล ทุกอาณาจักรในมหาทวีปรวมทั้งแอสทารอธก็รับรู้โดยทั่วกัน" พระนางกำหมัดน้อยๆ "ดังนั้นจะเจรจาอย่างเปิดเผยในที่ประชุมนี้ข้าก็ไม่ขัดข้องหรอก" เอเดรียนยิ้มอย่างอ่อนใจและลอบถอนใจกับตนเองที่เอเรสกระทำเกินคำสั่ง นั่นคือการประกาศกลายๆว่านับแต่นี้ไป อาเดรียไม่ใช่เมืองขึ้นของธีสธรัล แต่เป็นคู่ค้าสำคัญที่มีฐานะเท่าเทียมกัน

นับแต่นี้... ท่าเรือออโรราจะไม่เงียบเหงา และการค้าของอาเดรียจะไม่ซบเซาอีกต่อไป

เอเดรียนยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ "เช่นนั้น ในตอนนี้ทั้งสามอาณาจักรควรหารือร่วมกันเรื่องของทิศทางการค้ากับตะวันออก หากสามารถมีแนวทางร่วมกันได้ การค้าขายของพวกเราจะยิ่งก้าวหน้าและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน"

ธีโอเดรกระแอมขัดคอเล็กน้อย "ไม่นับรวมข้ารึ..."

.

.

ท่านหญิงลีอาห์หันไปมองสามีที่นั่งอยู่เคียงข้าง "ท่านออกไปข้างนอก..."

"อย่างไรข้าก็ได้ยินอยู่ดี"

--------------------------------------------------


ตอนนี้เหมือนยิงมุกที่ไม่ได้ยิงมาทั้งเรื่อง..........
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 31-01-2017 12:35:52
สุดท้ายแล้ว ธีโอเดรก็ต้องออกมาเดินเล่นด้านนอกระหว่างการหารือกันของสามอาณาจักร

ทูตเอลฟ์มองไปรอบๆอาณาจักรที่ได้รับความเสียหายจากการสู้รบ ทั้งกำแพงเมืองด้านหนึ่งที่เกือบจะพังทลายจากอานุภาพปืนใหญ่ และประตูเมืองที่ปิดไม่ได้ซึ่งรีบซ่อมแซมในเร็ววัน กลิ่นดินปืน และกลิ่นเลือดยังคลุ้งอยู่ในอากาศ ประชาชนที่หลบอยู่ในห้องใต้ดินเมื่อวานนี้เดินทางกลับไปยังบ้านของตนแล้ว บ้างก็ร่ำไห้เสียใจให้กับคนในครอบครัวที่เสียชีวิตในหน้าที่ทหาร

ธีโอเดรเดินขึ้นไปบนกำแพงปราการชั้นหนึ่งซึ่งโอบล้อมมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรียเอาไว้

"ท่านทูตมีกำหนดการอย่างไรบ้างขอรับ"

เอลฟ์คนสนิทตรงเข้ามาถามทันทีเมื่อเห็นนายของตนปรากฎตัวหลังจากหายเข้าไปในมหาคฤหาสน์ของอาเดรียตั้งแต่เมื่อวาน "มหาราชาส่งข่าวอะไรมาหรือเปล่า" ธีโอเดรถาม และมุ่นคิ้วเล็กน้อยราวกับต้องการฟังการหารือกันของพวกคนในห้องประชุม "ข้าคิดว่าเธสซาลีย์เองก็ควรรุกหาอาเดรียบ้างเหมือนกัน"

"มหาราชาส่งข่าวมาอวยพรขอให้ท่านทูตได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวขอรับ..."

"ไม่เอาสิ" ธีโอเดรหัวเราะ "ส่งข่าวบอกมหาราชาว่าข้าต้องการพบตัวแทนขุนนางฝ่ายทะเลใต้ ส่งคนมาได้เลย ถ้าเป็นเรือเหาะสักสี่วันก็คงถึง" การเดินทางจากตะวันออกมายังมหาทวีปแห่งนี้ใช้เวลาสี่วันสำหรับเรือเหาะ แต่หากเป็นเรือใบธรรมดาก็อาจใช้เวลาร่วมเดือน "รีบมาก่อนที่อัสคาห์เดินทางมาถึง" แม้ว่าเธสซาลีย์จะมีความสัมพันธ์อันดีกับแอสทารอธ แต่ธีโอเดรก็คิดว่าอาเดรียแห่งนี้ยังมีอะไรที่น่าสนใจอยู่อีกมาก ยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องของป่าเวทมนตร์อันเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรคัสนาห์ ทูตเอลฟ์คิดว่าเธสซาลีย์จะอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป

อีกทั้งผู้นำอาเดรียในตอนนี้ดูจะต้องเกรงใจเขามากเป็นพิเศษอีกด้วย

"ท่านทูต... ท่านเลสธีราห์มาขอรับ"

ธีโอเดรละสายตาจากท่าเรือในอ่าวออโรรากลับมายังบุตรชายที่เดินตามขึ้นมาบนกำแพงปราการ "เจ้ารู้จักเดินย่องไม่ให้พ่อได้ยินเสียงแล้วรึ" ทูตใหญ่ยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้คนสนิทถอยห่างออกไป เพื่อที่ตนจะได้สนทนากับบุตรชายที่ไม่ได้พบหน้านับสิบปี "การเจรจาราบรื่นดีใช่ไหม"

"ข้ารู้ว่าท่านได้ยิน..." เลสธีราห์หัวเราะ และเข้ามายืนข้างบิดาซึ่งสูงจนเขาเกือบจะต้องแหงนมอง

"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังสักหน่อย"

"แล้วข้าก็ได้ยินด้วยว่าท่านสนใจอาเดรียเช่นกัน"

"เจ้านี่แอบฟังชัดๆ" ธีโอเดรหัวเราะ มือใหญ่ยกขึ้นวางบนหัวบุตรชายแล้วลูบเบาๆ "ข้าไม่น่าให้หนังสือเล่มนั้นกับเจ้า การได้ยินทุกสิ่งมันช่างอันตราย และเป็นวิชาที่หนวกหูเสียเหลือเกิน" ธีโอเดรมอบธนูแหวกสมึทรให้กับเลสธีราห์เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พร้อมกับหนังสือที่สอนให้เขาฝึกฝนวิชาฟังเสียงนี้ เพื่อให้ตนมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะควบคุมอำนาจของแอควาเรียร์ได้ "แต่หากเจ้าใช้แอควาเรียร์ไม่ได้... เจ้าอาจจะไม่มีวันนี้"

"ข้าคิดว่าตัวเองโชคดีที่ขี้เกียจฝึก... จึงยังไม่ได้ยินเสียงอะไรมากมาย" บุตรชายตอบตรง

"นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าต้องจมเซเลสต์จนเรือเกือบแตก" ท่านทูตมุ่นคิ้ว "หากเจ้าควบคุมทิศทางของแอควาเรียร์ได้.... การจะจมเรือลำอื่นโดยรอบไม่จำเป็นจะต้องเอาตัวเองลงไปด้วยแบบนั้น" เขาขยี้หัวบุตรชายเบาๆก่อนจะจิ้มหน้าผากอีกทีหนึ่ง "พลังจิตของเจ้า เลสธีราห์... คือสิ่งสำคัญที่จะควบคุมแอควาเรียร์" ครึ่งเซนทอร์พยักหน้ายอมรับคำตำหนิของบิดา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าหากฝึกฝนจนเก่งเช่นบิดาแล้ว เขาไม่ต้องได้ยินทุกเรื่องจนรู้สึกหนวกหูหรอกหรือ

"แต่จากนี้ไป... เจ้าอาจจะไม่ต้องใช้ธนูนั่นอีกก็ได้" เอลฟ์ยิ้มจาง "เพราะเจ้าก็ไม่ใช่ผู้บัญชาการเซเลสต์อีกแล้ว"

"นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้ากังวลเลย" เลสธีราห์พยายามบอกบิดา เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องประชุม ธีโอเดรรู้ว่าเอเดรียนไม่คิดจะเปลี่ยนใจสภาขุนนางแห่งแอสทารอธ แต่กลับหยิบยื่นตำแหน่งที่สำคัญไม่แพ้กันเพื่อให้เลสธีราห์มีจุดยืนในสังคมเซนทอร์ต่อไป "ข้าไม่รู้สึกว่ามันตกต่ำจากเดิม และเห็นด้วยกับเอเดรียนว่าหากไปร้องขอคืนตำแหน่งก็เป็นการกระทำที่ไม่สมควรสักเท่าไหร่"

ทูตเอลฟ์ไหวไหล่เมื่อได้ยินเช่นนั้น "เจ้ารักเขานี่ เขาทำอะไรก็คงดีไปเสียหมด"

"ท่านพ่อ..."

ธีโอเดรหัวเราะเบาๆเมื่อบุตรชายกดเสียงแสดงถึงความไม่พอใจนัก "ความคิดเจ้านั่นก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก แม้มันจะขบถต่อธรรมเนียมของเซนทอร์บ้างก็ตาม" เขาลูบผมอีกฝ่าย และรู้สึกเหมือนกำลังมองดูตัวเองเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ที่ตัดสินใจแต่งงานกับเซนทอร์ได้อย่างไม่ยากเย็น เลสธีราห์เบือนหน้ามองออกไปที่ท่าเรือเล็กน้อยเพื่อคิดหาคำพูดมาสนทนาต่อ "ทำไมท่านพ่อดูไม่แปลกใจที่ข้า..." ร่างโปร่งนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคิดหาคำมาอธิบายสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร "ข้าหมายถึง... ทำไมท่านไม่แปลกใจที่ข้า... ไม่ได้มีคนรักเป็นผู้หญิง"

"เจ้าคิดว่าข้าอยู่มากี่ร้อยปีแล้ว" ทูตใหญ่ยักไหล่ "ลูกพี่ลูกน้องเจ้า... คูแรนน์ ตอนแรกก็มีคนรักเป็นหญิงอยู่ดีๆ ไปๆมาๆก็กลายเป็นชายไปเสียอย่างนั้น" เลสธีราห์เบิกตาขึ้นและหันกลับไปมองหน้าบิดาอย่างไม่อยากจะเชื่อ และรบเร้าให้อีกฝ่ายอธิบายเพิ่มเติมด้วยการจ้องอยู่อย่างนั้น "เจ้าไม่รู้หรอกรู้... เรื่องของเจ้านั่นทำให้พี่ชายข้าปวดหัวจะเป็นจะตาย ไม่มีใครในตระกูลบลังค์ที่ลบอำนาจของธนูธาตุคันเดียวตั้งสามสี่ครั้งแบบเจ้านั่นหรอก" ธีโอเดรว่า และยกมือขึ้นมานับนิ้ว

"ของชิ้นนั้นเป็นสมบัติของพ่อข้า สืบทอดให้พี่ชายคนโต และตกไปยังลูกของเขาในที่สุด ซึ่งก็คือคูแรนน์"

ธนูลมอัลซาโตเกียร์คือสมบัติที่เก่าแก่ที่สุดของตระกูลบลังค์

"แต่คูแรนน์กลับสลักชื่อของโซเฟีย เธเรเซีย แม่หญิงภูตที่เขารักแทนตัวเอง ซึ่งนั่นควรจะเป็นชื่อสุดท้ายของธนูคันนั้นและฝังรวมไปกับร่างไร้วิญญาณของนาง แต่อัลซาโตเกียร์จะฝังกับคนนอกตระกูลบลังค์ไม่ได้ คูแรนน์จึงกลับนำมันกลับมาลบชื่อของนางออกแล้วเปลี่ยนเป็นชื่อตัวเอง" เลสธีราห์เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจฟังและคิดตาม เนื่องจากประหลาดใจเช่นกันที่เห็นคูแรนน์ใช้ธนูอัลซาโตเกียร์ได้ ทั้งที่เขาเคยมอบให้หญิงคนรักที่ไม่เคยรักตอบ "ตอนนั้นพวกเราก็เพิ่งรู้ข่าวว่าแม่หญิงภูตเสียชีวิตไปแล้ว และตามกฎของตระกูล ธนูจะต้องถูกฝังไปพร้อมร่างของคนละตระกูลเท่านั้น ดังนั้นเราจึงยอมเปลี่ยนชื่อเจ้าของอัลซาโตเกียร์ให้คูแรนน์... และตอนนั้นเองที่เขาประกาศว่าเขามีคนรักใหม่เป็นชาย"

เลสธีราห์ส่ายหัวเบากับวีรกรรมนั้น "ข้าคิดว่าเขาไม่น่ารีบประกาศเช่นนั้น"

"อาจจะเป็นการบอกกลายๆว่านั่นจะเป็นการทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายของอัลซาโตเกียร์ที่เก่าแก่ที่สุดของตระกูล เพราะเขาอาจจะไม่มีทายาทสืบต่อ" ธีโอเดรพึมพำ "คูแรนน์อาจจะอยู่ได้ถึงห้าร้อยปี ถ้าเขาไม่รนหาที่ตายเสียก่อน" พวกเอลฟ์มีอายุยืนนับพันปี แต่คูแรนน์ซึ่งเป็นเพียงครึ่งเอลฟ์ก็อาจจะมีอายุขัยสั้นลง "ซึ่งอาจจะประจวบพอดีกับอายุขัยของคนรักใหม่ที่เป็นภูต" เมื่อพูดเรื่องอายุขัย เลสธีราห์ก็นึกได้ว่าตนเองก็เป็นครึ่งเอลฟ์ และคงจะอยู่ดูโลกนี้นานกว่าช่วงชีวิตของเซนทอร์หรือมนุษย์คนเดียว

เซนทอร์ที่อายุมากที่สุดในตอนนี้คือเซนทอร์เทพเซดรา ผู้เฝ้ามองความเป็นไปของดาวดาว

...แล้วเอเดรียนเองจะมีอายุขัยสักกี่ปีกันนะ

"มันเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ หากคิดจะมีคู่ครองต่างเผ่า เลสธีราห์" บิดาของเขาว่า "ข้าเองก็เตรียมใจว่าลีอาห์คงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดกาล" เซนทอร์เทพซาดรามีอายุเจ็ดสิบสองปี ซึ่งนับว่าชรามากแล้วสำหรับเผ่าครึ่งม้า แล้วแม่ของเขาจะสามารถอยู่ได้นานถึงเพียงนั้นไหม "ดังนั้น... หากรักก็พูดว่ารัก หากอยากพบก็จงไปพบ ก่อนที่มันจะสายไป" ธีโอเดรยิ้มจาง

"ข้าจึงไม่ห้ามหากเจ้าจะคบหากับมนุษย์คนนั้น หากมัวแต่เล่นตัว เดี๋ยวก็แก่ตายกันพอดี"

"ข้าไม่คิดว่าท่านแม่จะปลื้มเอเดรียนนัก..."

"เจ้าคิดว่าทำไมแม่ของเจ้าจึงยอมเลี้ยงเจ้าด้วยตัวเอง ปล่อยให้ข้าเดินทางกลับตะวันออก แล้วส่งจดหมายคุยกันเดือนละฉบับมาตลอดยี่สิบปีเล่า" บิดาเอ่ยถาม "ความเด็ดเดี่ยวของเซนทอร์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สตรีเอลฟ์ไม่มีทางใจแข็งได้ขนาดนี้ นางอาจจะเลิกราและแต่งงานใหม่ไปเลยก็ได้ แต่ในขณะที่แม่เจ้า... ไม่เคยหมดศรัทธาในตัวข้า"

เลสธีราห์ส่ายหัวเบาเพื่อรอให้บิดาเฉลยคำตอบ

"เซนทอร์ชื่นชมและรักษาเกียรติยิ่งกว่าชีวิต พวกเขารักความซื่อสัตย์ และเคารพในหน้าที่ ดังนั้น การหายหน้าไปทำงานไม่ได้ทำให้เซนทอร์น้อยเนื้อต่ำใจเลย แต่กลับยิ่งภูมิใจที่ตนได้ครองคู่กับคนที่มีความรับผิดชอบสูงส่งต่างหาก" ธีโอเดรยิ้มจาง "นางภูมิใจที่ข้าทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ" คนเป็นพ่อก้มลงเล็กน้อยแล้วแกล้งกระซิบหยอกที่ข้างหูบุตรชาย

"แต่ข้าก็จะไม่ทิ้งนางเพราะหน้าที่เหมือนกัน"

"ท่านพ่อ!!" เลสธีราห์หน้าแดงวาบ ก่อนจะอ้าปากค้างเป็นปากขาดน้ำ ด้วยรู้ดีว่าบิดาได้ยินบทสนทนาของเขากับเอเดรียนทั้งหมด และหากถามต่อ เชื่อว่าธีโอเดรคงจะบอกได้ทั้งหมดว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง "อย่าแอบฟังเรื่องส่วนตัวของข้านะ!" แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ได้ยิน แต่เลสธีราห์ก็อดไม่ได้ที่จะต้องปรามแบบนั้น "ข้าก็ได้ยินหรอก... ว่าท่านพ่อคุยกับท่านแม่เรื่องข้าว่ายังไงบ้าง!"

"ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าฟังอยู่จริงๆ เจ้าจะไม่ทำหน้าตกใจแบบนั้นหรอกลูก"

บิดายิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง "ลองเอเดรียนพูดกับแม่เจ้าแบบนี้... เชื่อเถอะว่านางใจอ่อน"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย-2 [31-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-01-2017 13:24:42
อันนี้จบแล้วเหรอคะ ทำไมเหมือนจะยังมีต่อ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย-2 [31-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 31-01-2017 13:34:42
อันนี้จบแล้วเหรอคะ ทำไมเหมือนจะยังมีต่อ  :ling1:

จบเนื้อหาอะค่า ^^' ต่อๆไปเป็นตอนพิเศษที่เหมือนเก็บๆรายละเอียด+หวานๆเพิ่มหน่อยยย
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย-2 [31-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 31-01-2017 20:09:03
คุณพ่อมาดกวนมากเลยค่ะ เหมือนเลสตอนแรกๆที่เข้ามารู้จักเอเดรียน  :laugh:
ถ้าอายุขัยของเอลฟ์ประมาณพันปี ของเซนทอร์ประมาณ 70 ปี งี้เลสจะอยู่ได้ประมาณ 300-500 ปีมั้ยคะ ?
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 01-02-2017 20:21:52
ว่าที่ผู้นำแห่งอาเดรียเดินมาส่งราชินีแห่งธีสธรัลหลังจากจบการประชุม ไวลด์ยืนยันว่านางควรจะรีบกลับไปยังอาณาจักรเพื่อชี้แจงข้อตกลงและสัญญาทั้งหมดให้เหล่าขุนนางรับทราบละนำไปปฏิบัติใช้ ก่อนที่ประชาชนที่เต็มไปด้วยคำถามจะลุกฮือขึ้นต่อต้านอย่างอดรนทนไม่ได้ แต่เมื่ออาเดรียยอมเปิดท่าเรือให้ธีสธรัลอีกครั้ง และดำเนินการค้าขายต่อไปเป็นปกติตามเดิม เพียงเท่่านี้ก็ทำให้ราชินีสาวเบาใจขึ้นมากและยอมตกลงเจรจากับอาเดรียอย่างเท่าเทียมในที่สุด

หากสิ่งหนึ่งที่เอเดรียนไม่สามารถเรียกร้องมาได้... นั่นก็คือเรือจักรไอน้ำ

สมบัติชิ้นแรกที่แอสทารอธต้องการ และอาจเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดที่จะเปลี่ยนใจสภาขุนนางแอสทารอธให้ลดโทษทัณฑ์ของเลสธีราห์จากหนักเป็นเบาได้ หากแต่เหล่าเซนทอร์มีความกล้าหาญพอที่จะยอมรับผิด ดังนั้นเลสธีราห์จึงปฏิเสธการกลับคืนสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ แต่จะก้าวต่อไปในตำแหน่งของทูตผู้ดูแลความสัมพันธ์ของแอสทารอธและอาเดรียแทน

"ถ้าพี่อยากได้ศาสตร์การต่อเรือ... ข้าจะขโมยมาให้ก็ได้นะ" เอเรสยืนอยู่เคียงข้างเอ่ยขึ้น

"ไม่ต้องขโมยอีกแล้ว เอเรส แค่เจ้าไม่วางมือจากตำแหน่งผู้นำระดับสูงของเหล่าโจรสลัด ข้าก็ต้องคิดหาเหตุผลดีๆสักพันข้อมาบอกพวกขุนนางอาเดรียเพื่อไม่ให้พวกเขาปลดเจ้าออกแล้วเอาคนของตัวเองมาเสียบแทน" พี่ชายถอนใจ "ที่ข้าให้เจ้าขโมยสัญญาสงบศึกมาจากธีสธรัล เพราะข้าต้องใช้มันจริงๆ" เอเดรียนไม่ลงนามในสัญญาตั้งแต่ครั้งแรกที่ราชินีไวลด์เสนอ และเปลี่ยนเมื่อเรื่องทั้งหมดเกือบจะสายเกินแก้ ดังนั้นเขาจึงต้องส่งเอเรสไปนำสัญญาฉบับนั้นออกมา

"แล้วต่อไปก็ห้ามปลอมลายเซ็นข้าอีก..."

เอเรสยืดอกขึ้นแล้วทำท่าล้อเลียนพี่ชาย "ห้าม... ห้าม... ห้าม... กฎเกณฑ์เยอะสิ้นดี"

"เอาเรือไปเก็บได้แล้ว จอดเรือรบเรียงกันไว้แบบนี้จะทำให้ชาวบ้านตกใจเปล่าๆ" เอเดรียนว่า ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกได้ "เจ้าเอาชื่อท่านแม่มาตั้งเป็นชื่อเรือ" เรือบัญชาการของโจรสลัดเทเทสคือเรือแองเจลิกา อันได้มาจากชื่อของแองเจลิกา ฟลินทรัสต์ คุณหญิงของบ้านที่เสียชีวิตเมื่อครั้งที่ให้กำเนิดเอเรส

"นางแลกชีวิตตัวเองเพื่อให้ข้า..." เอเรสพึมพำตอบ "ข้ามีเรืออีกลำเป็นชื่อท่านพ่อ!"

"อย่าเอาชื่อข้าไปตั้งด้วยก็พอ"

"ข้ากำลังจะต่อเรือลำที่สามเป็นชื่อพี่พอดี"

"พอแล้ว เอเรส" เอเดรียนหัวเราะร่วน ก่อนจะเหลือบไปเห็นจาเร็ตต์เดินตรงเข้ามาทั้งคู่ ดูเหมือนว่าโจฮาลล์จะเดินทางกลับมาจากคัสนาห์แล้ว และทุกอย่างก็ดำเนินไปตามแผนด้วยดี "ข้าขอยืมกำลังพลจากท่านหญิงโมนาไปดูแลความเรียบร้อยของคัสนาห์ร่วมกับคนของเรา เพราะเกรงว่าระยะทางจะทำให้คัสนาห์กับอาเดรียขาดสะบั้นออกจากกันจริงๆในช่วงเวลานี้ และจนกว่าข้าจะกลับมาจากแอสทารอธพร้อมกับข้อสรุปเรื่องสัญญาแลกเปลี่ยน ขอให้โจฮาลล์ช่วยดูแลความเรียบร้อยที่คัสนาห์ไปก่อน"

จาเร็ตต์พยักหน้ารับแต่ก็ไม่วายที่จะออกความเห็น"เจ้าไม่ควรละทิ้งบ้านเมืองไปในช่วงเวลาแบบนี้"

"เอเรสจะดูแลความเรียบร้อยของอาเดรียไปก่อนระหว่างนี้ ข้าจะรวมคัสนาห์เข้ากับอาเดรียเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำของผู้คน แต่เราจะทอดทิ้งเมืองเดิมไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีแนวทางที่แน่ชัดพอว่าจะปฏิบัติอย่างไรบ้าง และจำเป็นจะต้องหารือกับแอสทารอธ ข้าจึงต้องเดินทางไปที่นั่นด้วยตนเอง"

"เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมตัว..." จาเร็ตต์ก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวกลับ

"เจ้าอยู่ที่นี่ช่วยเอเรส จาเร็ตต์" เอเดรียนว่า "เจ้านี่ต้องมีคนคอยดูแลพฤติกรรม"

"หา...!" เลขาหันกลับมามองผู้เป็นนายและมองกลับไปยังแม่ทัพคนใหม่ที่ยิ้มกว้างอย่างดีใจที่จะมีคนคอย 'ดูแลพฤติกรรม' ซึ่งนั่นทำให้ชายผมแดงส่ายหัวรัวเร็วทว่าไม่สามารถเอ่ยปากปฏิเสธได้ "แต่เจ้าต้องเตรียมเอกสารประชุม ไหนจะรายละเอียดแต่ละอย่าง เจ้าเคยเข้าหอสถิติหรือ เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเราด้านบัญชีกับสัมมะโนประชากรเราเป็นอย่างไร"

"เช่นนั้นข้าก็ขอให้ขุนนางประจำหอสถิติไปช่วยไม่ดีกว่าหรือ"

"เอเดรียน!"

ผู้นำอาเดรียหัวเราะเบา "เอาน่า เอเรสไม่แกล้งเจ้าหรอก" มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยน้องชายของตัวเอง และมีหรือที่เอเดรียนจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายดูจะสนใจจาเร็ตต์มากกว่าคนอื่น ดังนั้นเพื่อดึงตัวเอเรสเอาไว้ไม่ให้หนีลงเรือออกทะเลไปตามหาความฝันอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร เห็นทีว่าจะต้องตั้ง 'ผู้ดูแลพฤติกรรม' เป็นจาเร็ตต์นี่เอง

"เจ้าจะทิ้งข้าให้อยู่กับ.... เจ้านี่ แล้วไปกับเลสธีราห์สองต่อสองไม่ได้นะ!"

เอเดรียนหัวเราะร่วนขณะส่งยิ้มให้กับคนที่กำลังถูกพูดซึ่งเดินตรงมาหาพวกเขาที่ท่าเรือ และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่พวกเขาส่งยิ้มให้กันอย่างสบายใจ ด้วยไม่มีอุปสรรคใดจะทำให้พวกเขาพบกันไม่ได้อีกแล้ว "มาจนถึงตอนนี้แล้วข้ายังแสดงออกไม่ได้อีกเหรอ จาเร็ตต์" ร่างสูงก้าวไปรับเซนทอร์ผู้ที่ยังดูงุนงงว่าเหตุใดเอเดรียนจึงยิ้มให้

"มีอะไรกันหรือเปล่า" เซนทอร์หนุ่มเหลียวไปมองด้านหลังตัวเองเล็กน้อยด้วยความประหม่า "เจ้ายิ้มแปลกๆ"

"ยิ้มให้คนรักมันแปลกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เลสธีราห์"

--------------------------------------------------
---------- END ----------


เอาเป็นว่า... คือจบเนื้อหาเน้าะ... แต่มันจะมีตอนพิเศษอีกอะแหละ ฮา ลืมเขียนฉากเรทไง---
(จริงๆโควต้าในเล่มคือหมดเกลี้ยงงงงแล้วอะ มัน 460 หน้าแล้ว สันหนา 3 เซน คือระดับทุบหัวได้แล้ว ฮือออ)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย-3 [01-02-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-02-2017 21:59:19
ขอบคุณค่ะ
(ถ้าอ่านเสร็จแล้วจะมาคอมเม้นท์ยาว ๆ นะคะ)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว บทส่งท้าย-2 [31-01-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 02-02-2017 19:10:14
ในที่สุดรีดาห์ก็อ่อย(โดยไม่รู้ตัว)สำเร็จ! เชียร์คู่นี้ อยากเห็นคู่นี้หวานกันอิอิ
เรารู้สึกว่าท่านพ่อน่ารัก หยอกล้อแซวเลสได้น่าเอ็นดูมากเลย //โบกป้ายFCท่านพ่อ

 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนพิเศษ (1)
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 03-02-2017 09:16:26
ตอนพิเศษ (1)

รีดาห์กลับมายังห้องพักรับรองในมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรียหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมหารือที่ใช้เวลาร่วมวัน เซนทอร์หนุ่มล้มตัวลงนอนบนเตียงของพวกมนุษย์ด้วยความเหนื่อยอ่อน และพบว่าเตียงของมนุษย์นั้นความนุ่มต่างจากเบาะแข็งๆของเขาที่แอสทารอธอย่างสิ้นเชิง

"เหวอ!"

ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนตัวเองจมหายไปในเตียง ก่อนจะหยัดกายขึ้นนั่งพร้อมกับผมยาวยุ่งเหยิงปรกหน้า รีดาห์พ่นลมหายใจอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขาดึงยางมัดผมออก และขยับตัวลงจากเตียง เดินไปหยิบหวีเพื่อจัดการหวีผมเสียใหม่ให้เรียบร้อย ทรงผมยอดนิยมของเหล่าเซนทอร์คือการโกนหัวด้านใดด้านหนึ่ง อย่างเช่นเลสธีราห์เองก็โกนผมด้านซ้ายออกจนเกือบหมด แต่รีดาห์กลับเลือกที่จะโกนด้านล่างถึงท้ายทอยแทน และเมื่อชายหนุ่มรวบผมใหม่ เขาก็พบว่า ไรผมบริเวณที่เคยโกนออกเริ่มจะยาวจนรู้สึกได้

เห็นทีจะต้องขอให้เลสธีราห์ช่วยเกลี่ยออกให้เสียแล้วกระมัง

ร่างโปร่งหยับไปรื้อของในถุงผาของตนอีกครั้งและหยิบมีดโกนเล่มยาวออกมาวางเตรียมไว้บนโต๊ะ ตอนนี้เลสธีราห์ออกไปพบบิดาของตน และคงจะสนทนาอยู่อีกนานกว่าจะกลับเข้ามาในห้องพัก เห็นทีว่ารีดาห์คงจะต้องมัดผมไปก่อน ส่วนเรื่องโกนไรผมด้านล่างออกก็คงต้องว่ากันอีกที

พวกเขายังไม่มีกำหนดการณ์เดินทางกลับแอสทารอธ แต่เซนทอร์หนุ่มก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน

อย่างไรสภาขุนนางก็คงต้องการคำอธิบายจากพวกเขาซึ่งเรียกได้ว่ารวมหัวกันกระทำการนี้ ซาฮาลประกาศจะรับผิดชอบการกระทำของท่านหญิงโมนาตั้งแต่แรก และเขาสามารถออกหน้าแก้ตัวแทนให้ฝ่ายกองทัพเรือได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งอีกฝ่ายเลือกรีดาห์ โดยอ้างว่าเสียดายความสามารถ

แล้ววิชาฟังเสียงของเลสธีราห์ไม่น่าเสียดายหรืออย่างไรกัน

รีดาห์ไหวไหล่เล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเลสธีราห์อาจไม่ต้องการให้ซาฮาลปกป้อง นับตั้งแต่เจ้ามนุษย์เอเดรียนผู้นั้นตัดสินใจออกหน้าแทนทุกอย่าง อีกทั้งเสนอตำแหน่งทูตระหว่างอาเดรียกับแอสทารอธให้อีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ที่มีเกียรติพอที่เลสธีราห์จะไม่ผูกใจเจ็บว่าตนถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือรบ

อีกทั้งตำแหน่งทูตเป็นตำแหน่งที่มีโอกาสได้พบเอเดรียนมากกว่าตำแหน่งแม่ทัพเรือเสียด้วย

"แต่คราวนี้ใครจะเป็นคนล่าวาฬเล่า..."

ในกองเรือเซเลสต์ เลสธีราห์เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถล่าวาฬได้ในเวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียว ต่างจากเซนทอร์ตนอื่นที่ใช้เวลาร่วมเดือนราวกับล่องเรือข้ามมหาสมุทร และอาจจะกลับมามือเปล่าอีกด้วย "แต่กว่าจะได้ผู้นำเซเลสต์คนใหม่... ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก" ร่างโปร่งมัดผมขึ้นสูงและเริ่มคิดว่าเขาควรจะทำอะไรเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอเลสธีราห์กลับมา ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะกลับมาใน 'คืนนี้' หรือไม่ เพราะคาดเดาจากท่าทางของสองคนนั้นแล้ว รีดาห์เชื่อว่าคู่รักย่อมอยากอยู่ด้วยกันมากกว่า

...แกร็ก!

เสียงเปิดประตูห้องทำให้คนที่รออยู่เลิกคิ้วประหลาดใจในขณะที่ตัวเองยังมัดผมไม่เสร็จ "กลับมาเร็วกว่าที่คิดนะ ข้านึกว่าเจ้าคุยกับ... เอเดรียนต่อ" รีดาห์ไม่ค่อยอยากเอ่ยชื่อมนุษย์มากนัก แต่อีกฝ่ายก็ไม่มียศหรือตำแหน่งอะไรให้เรียกแบบขุนนางอาวุโสเซนทอร์ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงการเอ่ยชื่อไม่ได้ "พ่อเจ้าว่าอย่างไรบ้าง" คนสนิทกำลังถามถึงแผนการหรือแนวทางในการรับมือกับสถานการณ์ต่อไป ท่านทูตใหญ่ที่ลงทุนขับเรือเหาะมาถึงอาเดรียคงจะไม่เดินทางกลับง่ายๆ และเชื่อว่าอีกฝ่ายมองช่องทางการติดต่อสานสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน

"พ่อข้าจะไปว่าอะไรได้..."

เสียงที่ตอบกลับมานั้นไม่ใช่เสียงของเลสธีราห์ รีดาห์กลั้นใจทันทีเมื่อเขาพบว่าเป็นซาฮาลต่างหากที่เข้ามาในห้อง "เจ้าหันหลังให้บุกรุกห้องแบบนี้ไม่อันตรายไปหน่อยหรือไง" ร่างโปรงหันกลับไปหาต้นเสียง และแหงนมองผู้บุกรุกแทบจะในทันทีเมื่อพบว่าอีกฝ่ายก้าวเข้ามาจนเกือบประชิดตัว "อย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่แอสทารอธ อย่าปล่อยตัวสบายใจแบบนั้น" นัยน์ตาสีเข้มปรายมองไปยังมีดโกนที่วางอยู่โต๊ะก่อนจะเลิกคิ้ว

"เจ้าควรจะเคาะประตูห้องก่อน!" รีดาห์แยกเขี้ยว "ไม่มีใครสอนมารยาทว่าที่เหนือหัวรึไง"

"ขนาดเป็นว่าที่เหนือหัว... เจ้าก็ยังพูดแบบนั้นกับข้า"

"มีธุระอะไรก็ว่ามา" รีดาห์พ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์

"เจ้าจะโกนผมรึ" ซาฮาลถามเสียงเรียบ "ไม่กลัวบาดคอตัวเองรึไง" ว่าที่เหนือหัวดูจะสนใจมีดโกนสีเงินเงาวับมากกว่าพูดธุระที่เขาเข้ามาพบรีดาห์ อันที่จริงซาฮาลก็ไม่แน่ใจว่าเขามีจุดประสงค์อะไร แต่เพียงแค่การอยู่ในห้องพักของตัวเองในเมืองของมนุษย์นี้ทำให้เขารู้สึกว่างและเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ

"จะทำให้ไหมล่ะ" ร่างโปร่งเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตา "ถ้าว่างมาหาเรื่องข้าขนาดนั้น..."

ว่าที่เหนือหัวยิ้มขัน แล้วจึงหยิบมีดขึ้นมาถือไว้ "ไม่กลัวข้าปาดคอเจ้ารึ"

"เจ้าจะฆ่าราชเลขาของเจ้าหรือ" คนฟังเบิกตาขึ้นด้วยแน่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอกกลับแบบนี้ และก็เป็นว่าที่เหนือหัวเองที่ตะลึงกับคำว่า 'ราชเลขาของเจ้า' ซึ่งหมายความว่ารีดาห์ยอมจะทำงานกับเขาในฐานะสหายคู่ใจ ซึ่งเป็นรูปแบบความสัมพันธ์แปลกใหม่ที่ซาฮาลไม่เคยสัมผัสมาก่อน "เสียเวลาน่า... ถ้ามือสั่นก็วางไว้ ข้าจะวานเลสธีราห์ทีหลัง เจ้านั่นทำบ่อย มือนิ่งกว่ามาก" แทนที่ซาฮาลจะรู้สึกเคืองในคำพูดเชิงดูแคลน แต่เขากลับเริ่มจินตนาการเลสธีราห์ที่ดูจะชำนาญการใช้มีดโกนช่วยเกลี่ยไรผมให้รีดาห์

หากจะบอกว่าคงเป็นภาพที่น่ารักก็ดูไม่เป็นคำชมสักเท่าไหร่...

"ข้าทำได้หรอกน่ะ" ว่าที่เหนือหัวขยับเข้าไปใกล้อีกนิด และรอให้อีกฝ่ายยกผมด้านบนขึ้นเพื่อเปิดทางให้เขา แต่เมื่อยื่นมีดโกนเข้าไปใกล้ ซาฮาลก็รู้สึกได้ว่ามือของตัวเองกำลังสั่น ซึ่งหากล้มเลิกความตั้งใจในตอนนี้ รีดาห์ก็คงจะล้อเขาไปอีกหลายปี เพราะว่าที่เหนือหัวผู้ไม่เคยตัดแต่งหรือทำอะไรกับทรงผมตัวเองผู้นี้ใช้มีดโกนไม่เป็น "อ... เอาไรผมออกทั้งหมดเลยใช่ไหม"

ปกติแล้วซาฮาลไม่ใช่คนมากคำถาม ดังนั้นรีดาห์จึงเลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจที่อีกฝ่ายสงสัยจุกจิก

"ใช่... จนถึงท้ายทอยนั่นแหละ"

ร่างสูงเลื่อนสายตาลงมองท้ายทอยอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ และเขาเพิ่งสังเกตว่าคอของอีกฝ่ายค่อนข้างยาว และการตัดผมเช่นนี้ยิ่งทำให้ดูระหงยิ่งขึ้นไปอีก น่าแปลกที่รีดาห์เป็นเซนทอร์สีน้ำตาลแต่กลับไม่มีผิวสีแทนอย่างท่านหญิงลีอาห์ ตรงกันข้าม อีกฝ่ายค่อนข้างจะขาวอย่างน่าสงสัยว่ามีญาติฝ่ายใดเป็นเซนทอร์สีขาวหรือเปล่า และรีดาห์ในร่างเซนทอร์ก็เป็นม้าสีน้ำตาลที่มีลายสีขาวที่ขาทั้งสี่ข้างอีกด้วย

ซาฮาลคิดว่าเขาอยู่ใกล้เกินไปจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดใต้หิวหนังของอีกฝ่ายได้

ว่าที่เหนือหัวเหงื่อตกและต่อสู้กับสมาธิของตนอยู่เงียบๆโดยไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าของเขาแทบจะกลั้นใจจนขาดอากาศ เพราะลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายรดอยู่บนผิวหนังจนขนลุกอย่างรู้สึกได้ รีดาห์ขบริมฝีปากตัวเองเบาๆก่อนจะหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่ซาฮาลก็อยู่ใกล้เกินไปจนยากจะเดาสีหน้าของอีกฝ่าย "ถ... ถ้าไม่ถนัดก็ไม่เป็นไรหรอกนะ" รีดาห์ว่าไปอย่างนั้น และเริ่มคิดอย่างจริงจังว่าเรื่องแบบนี้เขาควรจะวางใจเลสธีราห์มากที่สุด

มือใหญ่สั่นน้อยๆ แต่ก็สั่นมากเกินกว่าจะจรดปลายมีดลงไปได้ เกรงว่าจะเป็นการปาดคอกันจริงๆมากกว่าแค่เกลี่ยไรผม

ว่าที่เหนือหัวถอนใจ และลดมือลงอย่างยอมแพ้ เห็นทีว่าเขาคงต้องหัดโกนผมตัวเองบ้างเพื่อให้มือนิ่งขึ้นมากกว่านี้ แต่แม้ความตั้งใจแรกจะเพียงแค่กลั่นแกล้งรีดาห์ แต่ซาฮาลกลับรู้สึกผิดที่ทำเรื่องง่ายๆเช่นนี้ไม่ได้ "รอเลสธีราห์เถอะ" เสียงทุ้มเอ่ยเบา "ข้ามือสั่น เกรงว่าเจ้าจะได้แผล" รีดาห์ยังคงยกหางผมที่เหลือของตัวเองเอาไว้แบบนั้นด้วยอีกฝ่ายยังไม่ได้มัดปลายให้เสร็จ และคงจะรอให้เขาถอยออกไปก่อน

ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจขึ้นมา... ร่างสูงค่อยๆก้มลงแตะริมฝีปากของตนกับหลังคอสวย บรรจงแนบจูบแทนคำขอโทษ

ร่างตรงหน้าเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ รีดาห์อ้าปากค้างครู่หนึ่งก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อลมหายใจอุ่นร้อนแตะสัมผัสวาบหวาม แม้มันจะเป็นสัมผัสแปลกประหลาด สถานการณ์แปลกประหลาด และความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดไม่แพ้กัน แต่เขากลับไม่รู้สึกรังเกียจความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมา

มือใหญ่ค่อยๆแตะเอวคอดที่แน่นแข็งด้วยกล้ามเนื้อ ก่อนจะกดริมฝีปากจูบอีกครั้งจนเจ้าของร่างอุทานออกมา

"อะ...!"

รีดาห์ไม่กล้าปล่อยมือจากผมของตน ด้วยกลัวว่ามันจะตกใส่ใบหน้าของคนข้างหลัง แต่มือของอีกฝ่ายทั้งสองข้างวางอยู่บนเอวของเขาและยิ่งกระชับจับให้ถนัดขึ้น พร้อมกับเคลื่อนกายเข้ามาใกล้เสียจนแผ่นอกแตะแนบชิดกับหลังโปร่ง เซนทอร์หนุ่มก็เริ่มคิดว่ามันออกจะเกินเลยไปเสียหน่อย

แต่การถูกจูบที่หลังคอกลับไม่ได้รู้สึกแย่เลยสักนิด "...อือ"

ร่างโปร่งมุ่นคิ้ว ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายได้สติ "ซ... ซาฮาล" เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงเสียงสั่น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกใครสักคนกอดแบบนี้ และสัมผัสถึงแผ่นอกที่แข็งแกร่งด้วยหลังของตน เป็นครั้งแรกที่ใครสักคนโอบกอดเขาด้วยท่อนแขนที่แน่นไปด้วยกล้าม ทว่ากลับอ่อนโยนเนิบช้าถะนุถนอม มันช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดเสียเหลือเกิน

"ซาฮาล...!"

ร่างโปร่งกลั้นใจ เขาปล่อยหางผมของตัวเองสะบัดใส่อีกฝ่าย พร้อมกับกระทืบเท้าและดีดตัวออกห่างในร่างที่กลับคืนเป็นเซนทอร์ ขายาวๆของม้าถอยไปชนโต๊ะอีกด้านจนล้มกลิ้งไปกับพื้นพร้อมกับข้าวของที่อยู่ด้านบน รีดาห์หันกลับไปมองคู่สนทนาที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์ อ้าปากค้างอย่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือทำอะไรต่อไป "อะ..."

ว่าที่เหนือหัวรู้สึกตัวเป็นครั้งแรกและตระหนักได้ในตอนนั้นว่าตนทำอะไรลงไป

ใบหน้าของคนตรงหน้าแดงซ่านจนเกือบจะเป็นสีเดียวกับผม และเมื่ออยู่ในร่างเซนทอร์ รีดาห์ก็สูงกว่าซาฮาลในที่สุด "จ... เจ้า..." ร่างโปร่งอยากจะถามเหลือเกินกว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลใดที่จูบเขาแบบนั้น แต่มันก็ดูจะเป็นคำถามที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย อีกทั้งยังยากที่จะถามโดยรักษาน้ำใจอีกฝ่ายด้วย "เอ่อ..." ซาฮาลไม่ค่อยชอบแหงนมองใครมากนัก ดังนั้นเขาจึงคืนร่างกลับเป็นเซนทอร์บ้างเพื่อจะก้มมองคู่สนทนาที่อ้าปากพะงาบเหมือนปลาขาดน้ำก็ไม่ปาน

ใบหน้าของรีดาห์แดงเสียจนลามไปถึงลำคอ ร่างสูงจึงเชยคางเรียวขึ้นช้าๆ "ข้าทำให้เจ้าตกใจรึ"

...ไม่ตกใจก็คงตายด้านแล้ว

รีดาห์ไม่ตอบคำ ได้แต่มองลงต่ำเพื่อคิดหาทางออกในสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้ "ก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ" เขากลัวว่าซาฮาลจะรู้สึกแย่ที่เกือบจะถูกดีด และอีกฝ่ายอาจจะเสียความมั่นใจบางอย่างไปจนทำอะไรแปลกๆขึ้นมาอีก "ต... แต่... บอกกันก่อนได้ไหม" ร่างโปร่งพึมพำด้วยความหมายเช่นนั้นจริงๆ "ข้าจะได้... เตรียมตัว..."

นิ้วที่สากจากการจับอาวุธฝึกฝนเคลื่อนมาสัมผัสเรียวปากของคนพูด มันนิ่มกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้มาก

"ครั้งหน้าจะจูบตรงนี้ได้ไหม"

...ยังจะมีครั้งหน้าอีกเหรอ!!!

รีดาห์ไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากค้าง เซนทอร์หนุ่มเบิกขึ้น ในขณะที่หัวใจของเขาเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าเสียงอื้ออึงในหูของตนนั้นเกิดจากความตื่นเต้น ความเคอะเขิน หรือความตกใจกันแน่ "ถ้าไม่ตอบแปลว่าตกลงนะ" ซาฮาลใช้วิธีแบบนี้ทุกครั้งในการบีบให้เขาพูดอะไรบางอย่าง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่คำตอบจุกอยู่ในลำคอไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าตกลงหรือปฏิเสธ และโดยที่ไม่รอให้ปฏิเสธ ซาฮาลก็ก้มลงจรดริมฝีปากของตนกับอีกฝ่ายช้าๆ มันเป็นการจูบครั้งแรกของทั้งคู่ ดังนั้นเพียงแค่สัมผัสเบาๆให้รู้จักว่าริมฝีปากของพวกเขาเป็นอย่างไรก็เพียงพอ

"ถ้าจะถามว่าทำไมถึงจูบ" ร่างสูงกระซิบกับริมฝีปากนุ่ม "...ก็คงเพราะชอบขึ้นมาบ้างแล้วกระมัง"

--------------------------------------------------
---------- END ----------


...นี่มันงานอวยคู่รองชัดๆ ถ้าใครจำหน้ารีดาห์ไม่ได้หรือนึกภาพไม่ออก...

(https://scontent.fbkk2-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/16299012_1234223423300071_8984435746125617342_n.jpg?oh=adb50b155c62e17cf5acbe2418f066e5&oe=5911472D)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนพิเศษ: ราชเลขาคนใหม่ [03-02-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: RenaBee ที่ 03-02-2017 13:31:07
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แม่ขาาาาาาหนูตายตาหลับแล้วค่าาาาาา คู่นี้!!!คู่นี้!!!!!!!

 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนพิเศษ (2)
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 08-02-2017 21:38:26
ตอนพิเศษ (2)

เลสธีราห์ตั้งใจจะไปพบเอเดรียนเพื่อให้เขาพูดกับมารดา แต่หลังจากแจ้งกำหนดว่าเขาจะเดินทางกลับไปยังแอสทารอธด้วยเรือเซเลสต์ และมารดาของเขาจะอยู่บนเรืออาคาเซีย เอเดรียนก็ตัดบทสนทนาด้วยการบอกว่าตัวเองจะโดยสารไปกับเรืออาคาเซียด้วยเพื่อพูดคุยกับท่านราชเลขาด้วยตนเอง โดยไม่ฟังคำชี้แนะจากอีกฝ่ายต่อ

ไม่รู้ไปมั่นใจอะไรมาจากไหนกัน...

แต่เมื่ออีกฝ่ายค่อยๆกุมมือเขา และลูบผมยาวสีอ่อนช้าๆ พร้อมกับเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่าเขายังบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เลสธีราห์ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายแค่ไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องของ 'คนอื่น' เพราะช่วงเวลาที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มันช่างหาได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน เลสธีราห์เพียงยิ้ม และวางมือลงบนบ่าที่ได้รับบาดเจ็บของอีกฝ่าย

ก่อนจะชะโงกไปจูบบนริมฝีปากของคนตรงหน้าแทนคำตอบ

เอเดรียนไม่คุ้นชินกับการมีช่วงเวลาแบบนี้เป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดปฏิเสธ ชายหนุ่มจูบตอบ รวบกอดร่างโปร่งเข้ามาอย่างที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำ และทอดยิ้มจางเมื่ออีกฝ่ายขยับริมฝีปากตอบรับ พวกเขาไม่เคยมีเวลาอ้อยอิ่งเช่นนี้ ไม่เคยได้หยอกล้อว่ารสจูบของเลสธีราห์ช่างไม่ประสา หรือกิริยาอ้ำอึ้งในความพยายามเชิญชวนของอีกฝ่าย มันน่ารักเสียมากกว่าทำให้เกิดความต้องการ

เซนทอร์ไม่อยากแสดงออกในที่ทางสาธารณะ และยังไม่อยากกลับไปที่มหาคฤหาสน์

ดังนั้นสถานที่ที่เป็นส่วนตัวที่สุดในตอนนี้คงเป็นห้องบัญชาการของเรือเซเลสต์

เลสธีราห์รู้ตัวว่าเขาอ่อนประสบการณ์ และหากจะจำกัดความก็คงจะเป็นคำว่า 'ไม่ได้เรื่อง' ด้วยทั้งชีวิตนี้ก็เคยมีสัมพันธ์เกินเลยเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง อีกทั้งเป็นไม่กี่ครั้งที่เขาทำได้แค่ตอบสนอง "ไหล่ของเจ้าเจ็บ... อย่าออกแรงมากจะดีกว่า" คนพูดก้มหน้า ขณะผ่อนลมหายใจยากเย็น ร่างโปร่งผอมเพรียวเกร็งหนีเมื่อถูกดึงให้นั่งคร่อมบนหน้าตักกว้าง

"ข้าไม่ได้ขยับไหล่เลยด้วยซ้ำ..."

เอเดรียน มองขึ้นสบตาคนที่นั่งคร่อมอยู่บนตักของตน ขณะเคลื่อนมือไปตามผิวหนังเปล่าเปลือย เฝ้ามองดวงตาสีฟ้าครามสั่นระริก และริมฝีปากบางที่เจ้าตัวเผลอเม้มกัดเองโดยไม่รู้ตัว "...!" เลสธีราห์ผ่อนลมหายใจแรง แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา ในยามที่นิ้วเย็นเฉียบแทรกผ่านเข้ามาช่วยให้เขาผ่อนคลาย เอเดรียนเพียงจูบปลอบ ทั้งบนแผ่นอก และลาดไหล่ ไล่ขึ้นไปถึงลำคอและพวงแก้ม จบที่ริมฝีปากที่จวนเจียนจะได้แผลจากฟันของตัวเอง

พวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดขนาดนี้มานานแค่ไหนกันหนอ

เลสธีราห์โอบแขนรอบลำคอแกร่ง และขยับริมฝีปากตอบรับอย่างโหยหา ขยับลิ้นเกี่ยวกระหวัดพันด้วยแรงอารมณ์และสัญชาติญาณ รับรู้ถึงสัมผัสที่ขยับขยายเบื้องล่างเพื่อสร้างความคุ้นเคย พวกเขาไม่ได้สนทนากันต่อ มีเพียงการจูบครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นที่ปลอบประโลมให้สงบจิตใจ ร่างโปร่งหลับตาลง และยิ่งแอ่นร่างเข้าหา กดกายแนบชิดแทบทุกส่วน

 "อือ...!"

และเมื่อร่างสูงแทรกกายเข้าแทนที่ เลสธีราห์ก็กำมือแน่นเพื่อกดกลั้นเสียงครางของตัวเอง เขาซบหน้ากับบ่าของอีกฝ่าย สัมผัสกลิ่นกายเฉพาะตัวที่ยังเจือกลิ่นเลือดจากบาดแผล เขาย้ำกับตัวเองว่าคนตรงหน้ายังบาดเจ็บ และน้ำหนักของเขาก็มากเกินกว่าจะเหนี่ยวรั้ง แต่เมื่ออีกฝ่ายขยับกายขึ้นกระแทกสวน ร่างเบื้องบนก็ทำได้เพียงกระชับแขนกอดคนตรงหน้าแน่นยิ่งกว่าเดิม

"อะ...!... เอเดรียน!"

เสียงเรียกนั้นแหบพร่า และเจือด้วยความต้องการมากกว่าห้ามปราม ขาเรียวสั่นระริก สะท้านด้วยความรู้สึกเสียวซ่านรัญจวน สองแขนเหนี่ยวรั้งลำคอแกร่งพยุงร่างเอาไว้ เลสธีราห์ช้อนขึ้นมองอีกฝ่ายเนิบช้า ด้วยสีหน้าแดงก่ำและลมหายใจกระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ "ข... ข้าจะทำเอง"

ช่างเป็นคำขอที่หัวรั้นและฝืดฝืนตัวเอง แต่เอเดรียนก็ไม่อยากขัดใจ

"เช่นนั้นก็ทำ..."

ร่างโปร่งคลายวงแขนลงจากบ่ากว้าง และวางเท้ากับฟูกเตียงแข็ง ตัวเขาเองยังไม่คุ้นเคย และเซนทอร์หนุ่มก็ทำได้แค่ปรับลมหายใจให้ผ่อนคลาย แต่เพียงแค่กดสะโพกมนเพื่อให้อีกฝ่ายแนบชิดยิ่งขึ้น ทั้งร่างก็กระตุกเกร็งด้วยความเสียวสะท้าน หวามซ่านจนแทบจะทนไม่ไหว "อือ!"

เขาได้ยินเสียงเอเดรียนหายใจกระตุก และเสียงหัวใจที่เต้นรัวของทั้งคู่

ร่างเบื้องบนเริ่มขยับตัวช้าๆ เบือนหน้าหลบสายตาด้วยความอับอาย แต่ความปรารถนาในกายผลักดันให้ทั้งร่างขยับไหวแรงขึ้น กระชั้นขึ้น ให้อีกฝ่ายแตะสัมผัสถึงส่วนลึกที่สุด และเมื่อเอเดรียนขยับตอบสนอง เสียงครางแผ่วพร่าก็หลุดออกมาจากปากก่ำแดงชอกช้ำ

แต่มันก็ไม่เพียงพอเลย สำหรับความโหยหาตลอดมา

"อื้อ...!"

เอเดรียนพลิกร่างอีกฝ่ายลงกับฟูกนอน และเท้าแขนคร่อมร่างโปร่งเอาไว้ "ให้ข้า... เป็นฝ่ายนำเถอะ" ร่างสูงก้มลงกระซิบ ก้มลงแนบริมฝีปากจูบอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะขยับกายเข้าหาอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ร่างรองรับสะดุ้งเกร็ง สองมือยกขึ้นประคองกอดรอบลำคอหนา พลางขยับแยกขาเพื่อรองรับจังหวะรุกรานดุดัน เลสธีราห์หอบหนัก เปลือกตาบางปิดแน่น รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวขยับโยกหนักหน่วงเร่งรัวขึ้นตามแรงปรารถนา

"อ... เอเดรียน... อือ!!"

ความต้องการของอีกฝ่ายทะยานลึกเข้ามาภายในที่ตอดรัดด้วยความรู้สึกรัญจวนสร้างความหฤหรรษ์เสียจนร่างเบื้องบนครางเสียงต่ำในลำคอ และเร่งจังหวะยิ่งขึ้นเพื่อสัมผัสความอุ่นร้อนที่เย้ายวนภายใน ความร้อนผ่าวถ่าโถมกระแทกกระทั้นจนร่างรองรับมึนชาตื้อตันไปหมด จนในที่สุดก็อดทนไม่ไหว ทั้งร่างเกร็งกระตุกก่อนที่จะปลดปล่อยอารมณ์อย่างรุนแรง และเมื่อช่องทางคับแน่นรุ่มร้อนตอดรัด ผู้รุกรานก็ฝืนโจมจ้วงลึกเข้าไปภายในเพื่อขับความปรารถนาออกมาจนหมดสิ้น

แม้เลสธีราห์จะเป็นนักรบ... แต่ชายหนุ่มคิดว่าตนไม่อดทนนักกับเรื่องนี้

ร่างโปร่งถอนใจเฮือก แม้ลมหายใจยังกระชั้นถี่ด้วยความเหนื่อยล้า เขารู้สึกได้ว่าเอเดรียนก้มลงจูบที่หน้าผากมน และปัดปอยผมที่ปรกหน้าให้พ้น สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วของอีกฝ่ายที่คลอเคลียลูบไล้อยู่ที่พวงแก้มอย่างปลอบประโลม "ข้าบอกว่า... เจ้าไม่ควรใช้ไหล่" เซนทอร์พบว่าเสียงของตนแหบพร่า แต่ก็ไม่วายจะเอ็ดคนตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง

"แต่ก็เป็นเจ้าเองที่จิกเสียจนแขนชาไปหมด" เอเดรียนหัวเราะในลำคอ

ร่างโปร่งขบริมฝีปากตัวเองราวกับต้องการลงโทษที่คำพูดของเขากลับมาฆ่าตัวเอง ใบหน้าเหนื่อยอ่อนร้อนผ่าวด้วยความอับอายและอารมณ์ที่เพิ่งสงบลงเพียงครู่เดียว "อ... ออกไปได้แล้ว..." เลสธีราห์ไม่ได้อึดอัด แต่การที่อีกฝ่ายไม่ยอมแยกห่างอาจทำให้เขาต้องออกแรงอีกรอบ และเซนทอร์หนุ่มก็รู้ตัวดีว่าเขาอาจจะสลบได้จากการกระทำนั้น

"เลสธีราห์..." ร่างเบื้องบนแนบจูบกับข้างขมับของเขาอย่างอ่อนโยน

ทว่าการขยับกายของเอเดรียนกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เมื่อเขาช้อนมือกับใต้เข่าและยกมันขึ้นช้าๆจนปลายเท้าพาดอยู่บนอกกว้าง "อือ...!" ร่างโปร่งกัดฟัน วางมือบนฟูกนอนและจิกขยำผ้าปูเตียงแทนด้วยตั้งใจว่าจะไม่เผลอทำให้คนตรงหน้ามีแผลบนหลังอีก "จ... เจ้าไปหัดทำแบบนี้มาจากไหน" เอเดรียนเคยมีคนรักเป็นสตรี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีการจะเหมือนกัน อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรว่าควรสัมผัสส่วนใด และต้องทำอย่างไรบ้าง "ทำไม... ข้าไม่เคยรู้บ้าง"

นั่นคือประเด็นที่เขาสงสัย... เหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้!

"สัญชาติญาณกระมัง" เอเดรียนหลับตาลง พลางหันไปจูบเรียวขาที่ถูกยกขึ้นมาพาดไหล่ในที่สุด "ข้าถามตัวเอง... ว่าหากต้องการปรนเปรอเจ้า..." ว่าพลางขยับกายอีกครั้ง เรียกเสียงอุทานตกใจที่เจอไปด้วยความเสียวกระสัน "ทำให้เจ้ารู้สึกดี... ควรจะสัมผัสตรงไหนบ้าง" มือใหญ่ลูบไล้จากปลายเท้าเรื่อยมาถึงน่องแข็ง ตลอดจนท่อนขาที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ จนจบที่ส่วนอ่อนไหวที่กลางกาย

"อื้อ...!"

ร่างรองรับแอ่นกายตอบสนอง สัมผัสทั้งจากเบื้องหน้าและด้านหลังทำให้เขาต้องบิดขยับสะโพกช้าๆด้วยความทรมานระคนวาบหวาม ความร้อนรุ่มของผู้รุกรานปลุกอารมณ์ที่ใกล้สงบให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เลสธีราห์ช้อนขึ้นมองคนตรงหน้า และด้วยแววตาที่อ้อนวอนเจือด้วยความปรารถนาทำให้เอเดรียนโน้มกายไปหาเพื่อจะแนบริมฝีปากซ้ำอีกครั้งด้วยความรักและเอ็นดู

"เจ้าก็เถอะ... ไปหัดทำหน้าแบบนั้นมาจากไหน"

"ข้าแค่คิดว่า..." เลสธีราห์หอบหนัก แต่ก็มองสบตาผู้รุกราน "จะทำยังไง... ให้เจ้า... ทนไม่ได้"

เอเดรียนยิ้มกับตัวเองพลางส่ายหัว ก่อนจะกดกายลึกเข้าไปในร่างรองรับ "อ๊ะ...!" ไหล่ข้างหนึ่งของเขาบาดเจ็บ ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้มือข้างที่ดียันตัวเองเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็กอบกุมจุดส่วนไหวของอีกฝ่าย ลูบไล้กลั่นแกล้ง และเริ่มขยับเบื้องล่างสอดแทรกเสียดสีเป็นจังหวะ

"อืม... ทำแบบนี้แหละ" ...คนอะไร เข้าใจยั่วได้เป็นธรรมชาติเสียเหลือเกิน








ไม่ได้เขียนเรทนานมาก... มากกก... มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

นี่นั่งเขียนมาเป็นอาทิตย์... ได้แค่เนี๊ยะ!? ถ้ามือตกไปหน่อยก็ขอโต้ดดด ฮื้อออ TT A TT

--------------------------------------------------
---------- END ----------


ไม่ได้... เขียน... เรท... มานาน... จน... ลืมศัพท์หมดแล้ว...
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

...นี่ปั้นอยู่ 5 วันนะคะ 3 หน้าเอสี่เนี่ย!? ฮืออออออออออออ... ทำไมมันเขียนยากกว่าฉากรบอี๊กกกกกกกก
:hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

(อีโมบ่งบอกถึงความสติแตกขั้นสุด 555)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนพิเศษ (3)
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 09-02-2017 18:41:03
ตอนพิเศษ (3)

จนแล้วจนรอด เลสธีราห์ก็ยังไม่กลับมาที่ห้องพัก ทอดทิ้งให้รีดาห์รอคอยอยู่ตามลำพัง

...กับซาฮาล

แม้ว่าเตียงนอนของมนุษย์จะนุ่มเกินไปจนน่าอารมณ์เสียและชวนปวดหลัง แต่รีดาห์กลับขัดสมาธินั่งในร่างมนุษย์บนเตียงไม่ยอมขยับไปไหน เพราะมันเป็นจุดที่อยู่ห่างจากบุคคลร่วมห้องมากที่สุด หลังจากถูก 'ขโมย' จูบแรกไปดื้อๆ เมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา

ดูเหมือนว่าเอเดรียนจะกำชับคนของเขาให้ดูแลต้อนรับเซนทอร์อย่างที่ควรจะเป็น นั่นคือการไม่ใช้งานม้าให้พวกเขาเห็น และไม่เสิร์ฟเนื้อบนโต๊ะอาหาร อีกทั้งยังจัดหญิงรับใช้มาช่วยแปรงขนให้เซนทอร์หนุ่มๆอีกด้วยถ้าพวกเขาต้องการ แต่ว่าหน้าที่ส่วนสุดท้ายนั้น หากไม่ใช่เซนทอร์ที่ใจกว้างพอ ก็จะไม่มีวันยอมให้มนุษย์แตะต้องเป็นอันขาด

และซาฮาลอาจเป็นเซนทอร์ประเภทนั้น

รีดาห์กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์เพื่อไม่ให้ห้องเล็กๆดูคับแคบมากกว่าเดิม แต่ว่าที่เหนือหัวกลับไม่ทำเช่นนั้น อีกฝ่ายเดินไปยังบริเวณหน้าต่างและเอนกายพิงผนังข้างๆ ทอดสายตาออกไปยังเรือรบเซเลสต์เงียบๆราวครุ่นคิด

อย่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะได้ไหม!

แบบนี้ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน... จะบอกตระกูลว่ายังไง!!

รีดาห์เป็นสมาชิกตระกูลเซนทอร์สีน้ำตาลที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่อดทน และมีฝีเท้าว่องไวที่สุดในหมู่เซนทอร์ด้วยกัน โดยมากคนของตระกูลจะเป็นพรานเซนทอร์ที่สามารถวิ่งได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก และล่าสัตว์กลับมาได้ปริมาณที่น่าพอใจที่สุด

และตระกูลของรีดาห์เซนทอร์ตระกูลเดียวที่สามารถล่ากระทิงได้

ทว่ารีดาห์กลับมีปัญหาด้านการหายใจ หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นโรคหอบ ฝีเท้าของเขาจึงไม่อาจเทียบคนอื่นในตระกูลได้ แม้กระทั่งการวิ่งแข่งกับเฟลิเซีย เลขาของท่านหญิงลีอาห์ซึ่งเป็นญาติผู้น้อง รีดาห์ก็จำได้ว่าเขายังแพ้นาง

หากเขาได้รับตำแหน่งเป็นถึงราชเลขาของว่าที่เหนือหัวจริงๆ เชื่อว่ามันคงจะนำความภาคภูมิใจมาให้ตระกูลอย่างมาก แต่หากพ่วงเรื่องความสัมพันธ์กับว่าที่เหนือหัวเข้าไปด้วย รีดาห์ไม่คิดว่าตระกูลของเขาจะเห็นดีเห็นงามด้วยสักเท่าไหร่ แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่สมบูรณ์ แต่แต่งหญิงสักคนแล้วมีลูกไว้สืบทอดสายเลือดก็ฟังดูเข้าท่ากว่า แต่ถ้าเขาปฏิเสธซาฮาล... เขาจะยังได้รับตำแหน่งนั้นหรือเปล่าหนอ

ว่าที่เหนือหัวจะอกหักติดต่อกันถึงสองครั้งภายในหนึ่งสัปดาห์ไม่ได้!

แต่เหตุใดภายในสัปดาห์เดียว ซาฮาลจึงหันมาหาเขาได้ ทั้งที่อีกฝ่ายหัวปักหัวปำอยู่กับเลสธีราห์มาตั้งหลายปี รีดาห์ขบริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยและเริ่มมองหาหัวข้อสนทนาที่สามารถทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ กะอีแค่เรื่องที่เขาจะโกนผม เหตุใดทุกอย่างจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า!!

"เจ้าจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม" ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นดึงความสนใจจากว่าที่เหนือหัวกลับมา

"ผู้นำอาเดรียต้องกลับไปแอสทารอธพร้อมกับเรา ดังนั้นข้าจึงคิดว่าหากเร็วที่สุดที่เรื่องทางนี้เรียบร้อยก็คงดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของท่านหญิงลีอาห์และท่านทูตธีโอเดรด้วย ซึ่งหากเอลฟ์จะเดินทางเยือนแอสทารอธจริงๆ ข้าก็เกรงว่าทางเราจะไม่ได้เตรียมเนื้อสัตว์ที่ดีพอเอาไว้รับรอง อีกอย่าง... คนที่ล่าวาฬได้ในเวลาอันรวดเร็วก็คือเลสธีราห์ซึ่งถูกทัณฑ์บนอยู่"

ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน... ข้าถามว่าเจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม!

รีดาห์กระพริบตาถี่หลายครั้งและปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ และเมื่อสิ้นสุดคำตอบที่แสนเป็นจริงเป็นจังของซาฮาลแล้ว รีดาห์ก็ถอนใจปลงตก เขารู้ว่าซาฮาลมีนิสัยแบบนี้ และถ้าหากอีกฝ่ายไม่พูดขึ้นมาก่อน เขาก็ไม่แน่ใจว่าหากเซ้าซี้ถามไปจะเป็นการพูดให้มากความหรือไม่

แต่เมื่อครู่เจ้าขโมยจูบข้า!! จะไม่พูดได้อย่างไร!!!

"หน้าเจ้าเหมือนตะโกนอะไรสักอย่างอยู่ในใจ" ประโยคแทงใจของซาฮาลทำให้ร่างโปร่งเบือนหนีเล็กน้อยเพื่อปรับสีหน้าให้เป็นปกติ "ก่นด่าข้าอยู่หรือ" ว่าที่เหนือหัวคลายแขนที่กอดอกอยู่ และทอดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูอีกฝ่าย ขายาวๆเริ่มออกก้าวเพื่อเดินเข้ามาหา

"เหตุใดจึงคิดว่าข้าด่าเจ้าอยู่ล่ะ"

"ในชีวิตเจ้าจะมีคนให้ด่าสักกี่คน..."

...รู้ตัวอีก!!!

ซาฮาลในร่างเซนทอร์สูงเกินกว่าจะโน้มลงมาหามนุษย์ที่นั่งอยู่บนเตียงได้ ดงนั้นเขาจึงวางเข่าหน้าข้างหนึ่งลงบนฟูกแล้วจึงเอนลงนั่งทั้งตัวบนเตียงที่พัก ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้เตียงที่ดูจะมีสปริงดีจนเกินไปดีดรีดาห์จนเกือบกระเด็นตก "เหวอ!!" เขาคิดว่าซาฮาลจะวางมือบนหัวเขาอย่างที่เคยทำ ใครจะไปคิดเล่าว่าเซนทอร์ผู้แข็งแกร่งที่สุดในแอสทารอธตอนนี้เอนตัวลงนั่ง 'เบียด' เขาอยู่บนเตียงในห้องรับรองแขกบ้านแขกเมืองของมหาคฤหาสน์แห่งอาเดรีย

"ปกติเจ้าก็น้ำหนักมากอยู่แล้ว!"

รีดาห์สะดุ้งโหยง ค่อยๆขยับหนีอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ใกล้กันมากเกินควร "เจ้าไปกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ๆ" เขาเชื่อแบบนั้น เพราะนับตั้งแต่แยกกันที่แอสทารอธ ซาฮาลที่อยู่ข้างเขาในตอนนี้ไม่เหมือนซาฮาลคนเดิมอีกต่อไป "ปกติคนอย่างเจ้าไม่ทำอะไรหมดมาดแบบนี้หรอก"

"เจ้าคิดว่าเวลาเซนทอร์ทิ้งตัวลงเตียงมันเหมือนเต้นระบำปลายเท้ารึไง"

คำตอบคือไม่... รีดาห์จำได้ว่าตัวเขาเองเวลาล้มตัวลงนอนก็ปล่อยตัวกระแทกฟูกอย่างหมดสภาพเช่นกัน นั่นเป็นเพราะการค่อยๆพับขา งอเข่า และทรุดลงนั่งช้าๆนุ่มนวลเป็นเรื่องยากสำหรับอมนุษย์ที่ชื่นชอบความเร็วอย่างเซนทอร์ "ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... นี่เหมือนเจ้าพยายามจะ... ใจดี"

"ดูเหมือนว่าคนใจดีจะน่าคบกว่าคนใจร้าย" ว่าที่เหนือหัวตอบสั้น ซึ่งทำให้เขาดูเป็นตัวเองมากขึ้น

"เลสธีราห์คงชอบคนใจดี" รีดาห์ว่า

ซาฮาลหันไปมองคนข้างกาย "แล้วเจ้า... ชอบคนแบบไหน"

ไม่น่าคุยเรื่องนี้เลย...

รีดาห์มุ่นคิ้วเล็กน้อยและก้มหลบสายตาอีกฝ่ายไม่ให้มองสีหน้าของเขาขณะตอบคำถาม "ข้าไม่ได้มีสิ่งที่ชอบตายตัว มันขึ้นอยู่กับว่าข้าชอบใครมากกว่าจะมานั่งเลือกระหว่างคนใจดีกับใจร้าย" รีดาห์คิดว่านั่นคือคำตอบที่เป็นกลาง เพราะเขาเองก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้จริงจัง แต่หากพูดถึงสาวๆ เซนทอร์แล้วล่ะก็ หากเป็นคนใจดี อารมณ์ดี น่ารักแบบเฟลิเซียก็ย่อมดีกว่าใจร้าย โผงผาง ดุเดือด คึกคะนองแบบท่านหญิงโมนาแน่นอน

แต่เฟลิเซียเป็นญาติผู้น้องของเขา รีดาห์จึงไม่เคยมองนาง

"แล้วเจ้าชอบให้ข้าใจดีหรือใจร้าย" ว่าที่เหนือหัวเพียรเซ้าซี้

"เจ้าที่เป็นเจ้า" ร่างโปร่งตอบ เงยหน้าขึ้นมองคนข้างๆ แล้วจึงคลี่ยิ้ม "เจ้าไม่ใช่คนใจคอโหดร้ายอะไร ซาฮาล เพียงแค่การแสดงออกมันแย่ไปบ้างก็เท่านั้น" เขาเห็นสิ่งที่ซาฮาลพยายามทำมาตลอด อีกฝ่ายทำได้กระทั่งลงประลองวาร์ดาพื่อให้ได้ตำแหน่งเหนือหัวในอนาคตมารับรองความปลอดภัยของเลสธีราห์ มันช่างเป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องสำหรับเขา

"ต่อให้เลสไม่เห็นความดีของเจ้า... แต่ข้าเห็นตลอดนะ" คนพูดยิ้มกว้างอย่างจริงใจ

แต่หารู้ไม่ว่าคำพูดนั้นเองทำให้คนฟังรู้สึกมึนตึงอื้ออึงไปชั่วขณะ และเหมือนกับว่าได้ยินเสียง 'ป๊อป' ดังขึ้นเบาๆที่ข้างหู "อา... เจ้านี่มัน..." ว่าที่เหนือหัวถอนใจพลางส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดบางอย่างออกไปจากหัว "ทำไมข้าจะต้องดึงดันวิ่งข้ามทะเลทรายไปหาบ้าน ในเมื่อบ้านอยู่แค่ด้านหลังข้านี่เอง"

คนฟังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง แต่อึดใจต่อมา รีดาห์ก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเอนกายมาหา ช้อนใบหน้าของเขาชขึ้น และแนบริมฝีปากจูบเขาอีกครั้งโดยไม่ขออนุญาต ร่างโปร่งเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ ถลึงมองคนตรงหน้าที่อยู่ใกล้เสียจนขนตาแทบจะสัมผัสกัน และโชคดีที่ซาฮาลหลับตา ไม่เช่นนั้นรีดาห์คิดว่าเขาคงจะอายจนอยากกระโดดอ่าวออโรราหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด

ซาฮาล!! เจ้าจะขโมยจูบข้าถึงสองครั้งไม่ได้!!

"อื้อ...!" เขาไม่อยากกัดปากอีกฝ่าย และซาฮาลก็ไม่ได้รุกรานอะไรมากกว่านั้น อาจจะเป็นการจูบเพราะความหมั่นเขี้ยว หมั่นไส้ หรือหยอกเย้า แต่รีดาห์จำได้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยหยอกเย้าเขาแบบนั้น อย่างมากก็แค่เหวี่ยงมือฟาดก้นเขาแรงๆ สักทีหนึ่งเท่านั้น

ร่างสูงปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระในที่สุด "อะ...!"

"ข... ข้าไม่ได้หมายความ...!" รีดาห์อ้าปากค้าง พะงาบราวกับต้องการด่าแต่ก็ด่าไม่ออก ใบหน้าของเขาแดงซ่าน และสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิบนใบหน้าที่ร้อนจนควันแทบจะออกหู "ฉวยโอกาส!" ร่างโปร่งกระถดตัวลงในอีกฟากของเตียง และเริ่มคิดว่าเขาควรจะอยู่ให้ห่างอีกฝ่ายเอาไว้จะดีกว่า ในตอนนี้ซาฮาลอาจกำลังสับสนและอ้างว้าง จึงหันมาหาคนข้างกายเอาดื้อๆ ก็เป็นได้

ซาฮาลลุกตามอีกฝ่ายมา แต่ด้วยความใหญ่โตของร่างเซนทอร์ทำให้เขาลุกจากเตียงนุ่มยวบนี้ไม่ได้ ว่าที่เหนือหัวถอนใจสั้นๆ ครั้งหนึ่งแล้วจึงยอมกลับเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง "เจ้าก็เอ็ดไป ไม่กลัวคนอื่นจะได้ยินหรือไร" ร่างสูงวางมือลงบนหัวของรีดาห์แล้วลูบเบาๆ แทนคำปลอบ "ข้าคงทำให้เจ้าตกใจจริงๆ"

"ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว!!" รีดาห์ตะโกน แต่ก็ยอมให้ซาฮาลลูบหัวแต่โดยดี "บอกให้เตือนก่อนไงเล่า"

"อยากลองคบกับข้าไหม..."

ไม่เคยจะฟัง!!

รีดาห์สูดหายใจลึกแล้วหลับตาลงโดยตั้งมั่นว่าจะไม่ตอบคำถามทื่อๆ อันแสนงี่เง่าของอีกฝ่าย "ข้าแค่อยากรู้... ว่าตกลงชอบเจ้าขึ้นมาจริงๆ หรือว่าแค่เหงา" น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้คนฟังแง้มเปลือกตาขึ้นข้างหนึ่งที่เพื่อสังเกตสีหน้าคนพูด ซาฮาลพยายามยิ้ม อีกฝ่ายมีรอยยิ้มมั่นใจอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นยิ้มที่เย้ยหยัน แต่ยิ้มของซาฮาลในตอนนี้เหมือนกับกำลังพยายามที่จะอ่อนโยน

"แต่มีข้อแม้หนึ่ง..." รีดาห์เงยมองอีกฝ่ายพร้อมกับสูดหายใจลึกๆ

"ข้อแม้อะไรกัน"

"ห้ามปีนหลังข้า!!!"

ว่าที่เหนือหัวเบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะชักมือกลับด้วยความตกตะลึงในคำพูดของอีกฝ่าย "นี่เจ้าคิดเลยเถิดไปถึงนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!" ในตอนนี้ซาฮาลคิดว่าเขาแค่อยากสัมผัสอีกฝ่าย อยากลูบหัว อิงหน้าผาก ประทับจูบเบาๆ และได้เห็นอีกฝ่ายยินดีไปกับมัน ...ทว่ารีดาห์กลับคิดไปไหนต่อไหน

"ข.. ข้าไม่ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว!"

"ได้!! เช่นนั้น... จะเอายังไงก็มาเลย!!"

.

.

.

ธีโอเดรถอนใจยาว เขาเอนตัวพิงพนักโซฟาตัวใหญ่ และค่อยๆ ขยับไปอิงไหล่ภรรยาที่นั่งอ่านสัญญาอยู่ข้างๆ แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะเงียบสงบ ไร้ซึ่งความวุ่นวาย แต่ใครบ้างที่จะเข้าใจทูตเอลฟ์ผู้มีความสามารถในการฟัง ซึ่งสามารถได้ยินแทบทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนห้องพักชั้นบน "ลีอาห์... พาข้ากลับแอสทารอธสักทีเถอะ"

ราชเลขาไม่ปลอบโยน ทว่าตอบเสียงเรียบ "แก่ขนาดนี้แล้วยังจะอ้อนเป็นเด็กอีก..."

--------------------------------------------------
---------- END ----------


บุ้ยยย... ถ้าทุกคนจะชอบคู่รองขนาดนี้ 555

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนพิเศษ (3) [09-02-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: aft22423 ที่ 23-02-2017 22:40:09
อ่านรวดเดียวเลยจ้าาาา นี่หาเรื่องที่เป็นแฟนตาซีอยู่แล้วเรื่องนี้ก็ใช่อ่ะ ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านกันนะคะ จะติดตามเรื่องอื่นต่อไปแน่นอนคร้าาาาา
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: khaosap ที่ 01-03-2017 13:53:45
แจ้งข่าวรวมเล่มนะคะ

(https://scontent.fbkk2-3.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/16904830_1257791170943296_7147260946546848650_o.jpg?oh=a0a09c0c43b1955defefa184fa4b31a6&oe=596EB73D)

ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/khaosapNOVEL/photos/a.202421206480303.49811.196766263712464/1257791170943296/?type=3&theater (https://www.facebook.com/khaosapNOVEL/photos/a.202421206480303.49811.196766263712464/1257791170943296/?type=3&theater)
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: llSJAr34 ที่ 07-03-2017 23:54:39
  สนุกมากเลยครับ ชอบคู่รองน่ารักดี ชอบแนวแฟนตาซีด้วย รู้สึกชอบจินตนาการมากกว่าเบื่อโลกแห่งความจริง ขอมีความสุขในโลกมโนดีกว่าเน้อ
   o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-03-2017 01:45:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: yakkaru ที่ 16-03-2017 10:22:24
สนุกมากกกกกก คือเป็นแนวแฟนตาซีที่ชอบที่ตามหามาตลอด ขอบคุณ​ที่เอามาลงเล้านะคะ ไม่งั้นเราคงไม่รู้จักเรื่องสนุกๆแบบนี้เลย เพราะเราไม่ค่อยข้ามไปอ่านเด็กดีเท่าไหร่ด้วย

มีเรื่องอื่นในซีรีส์ด้วยใช่ไหมคะ เดี๋ยวไปตามอ่านนะ

เราชอบเนื้อเรื่องมาก ผูกดี อินุงตุงนัง เดาไม่ได้เลยว่าใครจะทำอะไรต่อ ใครจะเข้าฝ่ายไหน การกระทำของตัวละครแต่ละตัวมาจากสถานการณ์ที่วางไว้และทำตามนิสัยของพวกเขาจริงๆ
ทั้งๆที่เหตุการณ์ซับซ้อนสับสน แต่อ่านแล้วเข้าใจ คืออ่านแล้วมันเนียนไปหมด ไม่สะดุดเลยสักนิด เนียนแบบที่เราไม่ค่อยเห็นในนิยายเรื่องอื่น ความแฟนตาซีของเรื่องนี้ก็ดีมาก ธนูธาตุเอย เผ่าต่างๆเอย ตอนอ่านฉากบู้เรื่องนี้แล้วนึกถึงเกมตระกูล fire emblem มีทหารม้าบินเหมือนกัน 555

ขอพูดถึงตัวละครที่ชอบที่สุด คือเอเรส ซาฮาล กับคุณป๋าของเลส
เริ่มจากเอเรสก่อน คือเราว่าคนอย่างเอเรสเก่งมาก น่ากลัวมากก เป็นอ่านเกมออก แล้วคำนวณบวกลบอะไรเรียบร้อยก่อนลงมือทำอ่ะ ในศึกน่านน้ำ โอเคว่าต้องให้เครดิตท่านป๋าของเลสที่ท่านแม่เขาดึงมาด้วย แต่คนที่ดึงเกมหลักก็ตาคนนี้เลย แม้แต่พี่ชายเขาเองเรายังมองว่าเป็นหมากในมือตาคนนี้ด้วยซ้ำ แต่โมเอะพอยต์มันอยู่ที่เขาทำเพื่อพี่ไง ออกแนวบราค่อน พี่ครับชมผมหน่อย เราว่ามันน่ารักอ่ะ เจ้าเล่ห์แต่ก็ทำเพื่อพี่ ตอนเฉลยที่มาของชื่อเรือ เลยรู้ว่าเขาเป็นคนแคร์ครอบครัวมาก.. พี่ชายเขาก็ดีนะ (ตอนทำหน้าที่ทูต ฉลาดพูดแบบเท่มากเหอะ) แต่ชอบคนที่อยากทำอะไรก็ทำแบบอาเรสมากกว่า

ซาฮาล สงสารตานี้ คืออ่านตอนต้นๆก็คิดอยู่ว่า นี่ชอบเลสใช่มั้ยนี่ แต่มาสายซึน ซึ่งเลสมองไม่ออก แต่รีดาห์กับคนอ่านมองออกอยู่นะ 555 เลยรู้ว่าที่ทำน่ะหวังดี ตอนแรกเลยแอบเชียร์ให้เป็นพระเอก แต่มาคู่กับรีดาห์ก็ไม่ขัดใจนะ เพราะรีดาห์เป็นคนที่รับรู้ความดีตรงนี้ของเจ้าตัว มองข้ามปากร้ายๆของเจ้าตัวได้ คู่กับคนนี้มีความสุขกว่าคนที่ไม่เห็นค่าเขาแหละนะ

ส่วนคุณป๋าออกน้อย แต่แย่งซีนชาวบ้าน มาที่เดียวแถบคว่ำกระดาน ชอบโมเม้นตอนอยู่กะคุณแม่ อารมณ์ว่าคุณแม่ยายจะไม่ชอบหน้าลูกเขย แต่พ่อตาก็จะแบบ.. เอาน่าคุณ ใจเย็นๆ.. ไรงี้ 555 ตอนล้อลูกตัวเองนี่ก็น่ารักกก
หัวข้อ: Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-12-2017 20:09:56
 :pig4: :pig4: