ตอนที่ 24.1
แม้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเสียมารยาท และก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวมากไปสักนิด แต่ในฐานะเพื่อนสนิท รีดาห์คิดว่าเขามีสิทธิ์ที่จะถามคำถามนี้กับเลสธีราห์ได้โดยที่ไม่โดนอีกฝ่ายดีดด้วยขาหลัง "เจ้าชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..." แน่นอนว่าความตรงไปตรงมาของสหายทำให้คนถูกถามชะงักปพักใหญ่ ทั้งเนื่องจากความทึ่งและความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
"ถึงเจ้าจะไม่เคยมองสาวที่ไหนก็เถอะนะ"
"เจ้าไปรู้เรื่องนั้นมาจากไหน..." แต่แทนที่จะตอบถาม เลสธีราห์ถามกลับด้วยเสียงแผ่วเบา
รีดาห์หันไปมองดวงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า หลังจากนั่งสนทนากับสหายสนิทข้ามคืน และจบด้วยการไม่ได้นอนจนต้องมานั่งดูอาทิตย์ขึ้นเป็นเพื่อนกัน "ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครรู้หรอก กระทั่งแม่ของเจ้า มีแต่ข้า... กับเฟรดาเท่านั้น" รีดาห์รู้ดีว่าอีกฝ่ายกังวลอะไร ซึ่งความผิดของเขาฐานถูกมนุษย์จับได้ก็มากมายสาหัสเพียงพอแล้ว หากสภาขุนนางรู้เหตุผลที่เขาถูกจับได้อีก เลสธีราห์คิดว่าอย่างไรตนก็ไม่ได้รับการอภัยให้กลับมายังแอสทารอธแน่นอน
แม้ว่าความรักจะไม่ใช่เรื่องเสียหายเลยก็ตามที
"ใครคือเฟรดา" เซนทอร์หนุ่มกระพริบตาถี่ ด้วยเขาไม่คุ้นชื่อเสียงเรียงนามนั้นมาก่อน "เฟรดา..." และจู่ๆความทรงจำที่ไม่ได้สลักเสลาสำคัญก็ผุดขึ้นมาในหัว เป็นภาพใบหน้าของหญิงรับใช้ผิวเข้มอัธยาศัยดีในคฤหาสน์ราห์โมนา "เฟรดาที่เป็น..."
รีดาห์เลิกคิ้วและนึกย้อนว่าเลสธีราห์รู้จักเฟรดาหรือไม่
คู่สนทนาเดาได้จากสีหน้างงงวยไม่ปิดบังของอีกฝ่ายว่าพวกเขาคงไม่เคยพบกันในแอสทารอธ "เฟรดา หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเขตแดนตะวันตก... น้องสาวต่างมารดาของแม่ทัพโมนาไงเล่า" หากพูดว่าเป็นน้องสาวต่างมารดาของแม่ทัพโมนาแล้ว เลธีราห์ก็อ้าปากค้างและนึกออกแทบจะในทันที "นางเป็นหนึ่งในสายสืบที่แฝงตัวอยู่ในอาเดรีย และเป็นหญิงรับใช้มีหน้าที่ล้างจานอยู่ในคฤหาสน์ที่เจ้าไปพักไง"
เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
"เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย เลสธีราห์" สหายหนุ่มคาดคั้น "เจ้ารสนิยมเหมือนซาฮาลตั้งแต่เมื่อใด"
ไม่เป็นแค่เรื่องของเฟรดาเท่านั้นที่ทำให้แม่ทัพเรือตกตะลึง แต่คำพูดของรีดาห์ที่พาดพิงซาฮาลนั้นยิ่งทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่า จนไม่มีสมาธิจะคิดถึงคำตอบของตัวเอง "เจ้าว่ากระไร... ซาฮาลน่ะรึ" เลสธีราห์คิดว่าเขาจากแอสทารอธไปไม่นาน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าซาฮาลจะมีคนรักเป็นชาย และเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาในระยะเวลาเพียงเท่านี้
...แต่ในระยะเวลาเพียงเท่านี้เขากลับผูกพันธ์กับเอเดรียนได้มากขนาดนี้เช่นกัน
เมื่อคิดถึงบุคคลผู้นั้น แม่ทัพหนุ่มก็มีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ตาม "ข้าไม่ได้เลือกรักผู้ชาย รีดาห์" ร่างโปร่งพึมพำ "เขาแค่ไม่ใช่ผู้หญิง" เลสธีราห์อยากจะพูดว่า 'ข้าแค่รักเขา' ด้วยซ้ำ ทว่ากลับรู้สึกกระดากที่จะเอ่ย แม้กับเพื่อนสนิทของตัวเอง
"เจ้าแค่รักเขา..." รีดาห์รู้ใจสหายเสมอ เมื่อจบแล้วเขาก็ยักไหล่เบา "ฟังดูหวานดีนะ"
รองผู้บัญชาการไม่เข้าใจความสัมพันธ์นี้ เพราะเขาเองไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะดูแคลนความรักของผู้ใด "เจ้าเลือกเพศของเขาไม่ได้นี่นะ เลสธีราห์" รีดาห์พึมพำ "และข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ไม่ได้อยากเกิดเป็นหญิงเพื่อให้ได้ครองคู่กับเขา" สหายสนิทยิ้มจาง "หากเขาตอบรับเจ้าก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว"
"เจ้าไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมหรือ" เลสธีราห์ถามเสียงเบา "เขาเป็นมนุษย์..."
"อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้ไปรักพวกเอลฟ์จากอัสคาห์"
"แต่เพราะข้า..." แม่ทัพหนุ่มกลืนน้ำลาย "เพราะข้าคิดถึงแต่เขา ถึงทำให้แอสทารอธต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย" แม้จะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่ความรู้สึกผิดก็ยังอยู่ในใจของเลสธีราห์อยู่ดี และมันคงจะไม่เลือนหายไปหากผู้ที่เอ่ยให้อภัยเขาไม่ใช่เหนือหัวดาเรียส
"ถ้าเจ้าทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้ามีประโยชน์ต่อแอสทารอธได้ ข้าคิดว่าข้อกังขาเหล่านี้จะหมดไป" รีดาห์ว่า "เจ้าเป็นครึ่งเอลฟ์ครึ่งเซนทอร์ เลสธีราห์... แต่ไม่มีใครกังขาความรักของท่านหญิงลีอาห์กับท่านทูตเธโอเดร์ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักร"
"แต่พวกเขาก็ยอมรับในตัวข้า..."
"ไม่ใช่เพราะชาติกำเนิดของเจ้า" รีดาห์หันไปมองสหายของตน "แต่เพราะสถานะของท่านหญิง" คนพูดหันกลับไปมองดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาจนเกือบพ้นขอบฟ้า "เจ้าจึงต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง แม้ว่าเจ้าจะเคยพิสูจน์ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนประลองชิงตำแหน่งผู้นำแห่งเซเลสต์" เลสธีราห์รู้ว่าตนควรจะทำอะไร แต่เขากลับไม่เคยรับรู้เลยว่าเอเรสผู้เป็นน้องชายเอเดรียนคิดจะทำอะไร อาจจะเพราะตัวเองมัวแต่จมอยู่กับคำสั่งของเหนือหัวดาเรียสที่ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและหมดพลังที่จะต่อสู้หรือรับรู้เรื่องใดๆ
"เอเดรียนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย" เซนทอร์หนุ่มว่า "หากข้าช่วยดันให้เขาไปถึงจุดนั้น เราจะสามารถต่อรองกับอาเดรียได้" เลสธีราห์ผละจากที่นั่งซึ่งก็คือขอบหน้าต่าง และกลับไปยังแผนที่ขนาดใหญ่บนโต๊ะ "หากข้าช่วยเหลืออาเดรีย สิ่งแรกที่เราจะได้รับ... ก็คืออาวุธที่ไม่มีกองทัพใดในตะวันตกเคยใช้" ร่างโปร่งดึงปืนคาบศิลาอันเป็นของกำนัลจากเอเรสขึ้นมาวางบนโต๊ะใหญ่ พร้อมกับสมุดหนังเล่มหนึ่งซึ่งภายในเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ และประทับตรานกไฟของผู้ทรงอิทธิพลแห่งท่าเรือใต้
"สัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์..."
ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าเซนทอร์จะสูญเสียอะไรหากไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่ระบุชัดเจนว่าแอสทารอธจะได้รับอะไรหากเลือกเข้าข้างอาเดรีย ซึ่งนอกจากปืนคาบศิลาแล้ว ยังมีข้อเสนออื่นอีกหนึ่งประการที่เลสธีราห์คิดว่าเหนือหัวดาเรียสคงไม่ปล่อยให้หลุดมือ "แม้เราจะไม่ได้ครอบครองศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำในตอนนี้ แต่นี่ก็น่าจะค่ามากกว่าเรือจักรไอน้ำสิบลำของธีสธรัลกระมัง"
รีดาห์คว้าปืนคาบศิลาขึ้นมาดูด้วยความตื่นเต้น ด้วยรู้จักพลานุภาพของมันทว่าไม่เคยได้สัมผัส
"เราอาจไม่ต้องการทำสงคราม รีดาห์ แต่การได้ครอบครองมันเอาไว้จะเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับแอสทารอธ ไม่ว่าจะเจรจากับเมืองใด" เลสธีราห์ก้มลงมองแผนที่อีกครั้งและค่อยๆวางหมากสีน้ำเงินอันเป็นตัวแทนของธีสธรัลลงบนแผนที่ "แต่เหนือหัวดาเรียสกล่าวว่าธีสธรัลจะต้องยกกองทัพเวเรนเซียออกมาที่อ่าวออโรรา และนั่นคือทัพสนับสนุนของข้า นั่นหมายความว่าแอสทารอธตกลงเป็นพันธมิตรกับธีสธรัลแล้วอย่างนั้นรึ"
จริงอยู่ว่าเลสธีราห์สามารถทำให้ชีวิตของเอเดรียนมีประโยชน์กับแอสทารอธได้ แต่หากแอสทารอธตกลงเป็นพันธมิตรกับธีสธรัลแล้ว สิ่งที่เลสธีราห์คิดจะกระทำต่อไปก็เป็นการหักหน้าอาณาจักรตัวเองอย่างรุนแรง "ธีสธรัลยังไม่รู้ว่าเราเลือกเข้าข้างฝ่ายใดหรอก" รองผู้บัญชาการจรดยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะดึงซองหนังออกมาจากกระเป๋าข้างตัว "ข้ารู้ว่าเจ้าคงทำเราเสียหน้า หากปล่อยสัญญาพันธมิตรนี่หลุดไปถึงมือราชินีไวลด์"
"รีดาห์..." เลสธีราห์อ้าปากค้างน้อยๆ "พวกเราคงจะโดนทัณฑ์บนไม่น้อยเลยทีเดียว"
"นั่นขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่จะตามมาต่างหาก"
คำตอบนั้นทำให้คนฟังยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วก้มลงมองแผนที่ตรงหน้าต่อ "ในศึกครั้งที่แล้ว กษัตริย์แอชรอนเอาชนะอาเดรียได้ด้วยเรือรบห้าสิบลำ แต่ก็ด้วยความช่วยเหลือจากขุนนางทรยศของอาเดรีย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนใน แต่ธีสธรัลก็กำลังบอบช้ำ และคงไม่สามารถระดมพลได้เกินร้อยลำ ดังนั้นศึกทางน้ำก็มีแค่ธีสธรัล"
"แต่เรามีเซเลสต์เพียงลำเดียว"
เลสธีราห์เหลือบตาขึ้นมองสหายครั้งหนึ่งก่อนจะเหยียดยิ้ม "เรามี... แอควาเรียร์"
--------------------------------------------------
จาเร็ตต์ย้ายมาพักที่คฤหาสน์ฟลินทรัสต์สักระยะหนึ่งระหว่างที่เขาคอยช่วยงานเอเรส
พ่อบ้านเฒ่าจัดห้องรับรองเอาไว้ให้อย่างดีอีกทั้งนำอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงห้องเมื่อได้เวลา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเดินออกไปไหน เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาในการวางแผนการทำงานได้อย่างเต็มที่ เพียงแต่อุปสรรคของเลขาหนุ่มไม่ใช่เรื่องเวลาอาหาร แต่ปัญหาของเขาก็คือเอเรส ฟลินทรัสต์ไม่วางแผนใดๆเลยต่างหาก
"เรากำลังจะเผชิญหน้ากับ... กองเรือเวเรนเซีย เจ้าไม่เดือดร้อนอะไรหน่อยหรือไง"
เมื่อมีโอกาสได้พบหน้าเอเรส จาเร็ตต์ก็ไม่รีรอที่จะถามซ้ำ แม้ว่าการพบครั้งอีกครั้งในวันนี้จะเป็นการที่อีกฝ่ายเข้ามาถึงในห้องพักของเขาโดยไม่ระบุจุดประสงค์ก็ตาม "อะไรกัน ข้าหายไปทั้งวันนี่เจ้าไม่ถามสักคำเลยเหรอว่าเหนื่อยหรือเปล่า แต่เซ้าซี้ให้ข้าวางแผนรบอย่างนั้นรึ" ร่างสูงแกล้งโวยเสียงดัง "ช่างเป็นคนที่ไม่สวยซ้ำยังใจร้ายอีกต่างหาก"
คนถูกต่อว่าอ้าปากค้างน้อยๆเมื่อถูกเรียกว่า 'คนไม่สวยซ้ำยังใจร้าย' เพราะต่อให้เขาเคยเห็นเอเรสเรียกเลสธีราห์ว่า 'คนสวย' มาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเมื่อเจอกับตัวเองจะรู้สึกวังเวงได้ถึงเพียงนี้ "ข้าควรจะทำอย่างไร ถอดเสื้อนอกให้เจ้า คอยเดินตาม ถามว่าเรื่องราววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เช่นนั้นรึ"
เอเรสพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ชวนไปอาบน้ำให้สบายตัวด้วย"
จาเร็ตต์ถอนใจยาวๆอีกครั้งเมื่อประเด็นที่เอเรสพยายามนำมาสนทนาเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง "ข้าไม่ใช่เลขาของเจ้า เอเรส" เอเรสสูงกว่าเอเดรียน และมีใบหน้าที่ขึงขังกว่าพี่ชาย แต่กลับมีแววตาที่ดูสนุกสนานมากกว่า ดังนั้นจาเร็ตต์จึงรู้สึกเหมือนมีสุนัขตัวโตมาตามขออาหาร "แล้วถ้าหากเหนื่อยจริง เจ้าก็คงกลับไปพักที่ห้องของตัวเองแล้ว คงไม่เข้ามา..." เอเรสถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง และกลิ้งเกลือกอยู่บนนั้นราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเจ้าของคฤหาสน์ก็ตาม
"นั่นเตียงข้า เนื้อตัวเจ้าสกปรกแบบนั้น ขึ้นไปนอนได้ยังไง"
เลขาแม่ทัพพยายามจะดึงแขนคู่สนทนาให้ลุกขึ้น แต่เอเรสก็ได้แต่คว้าหมอนใบโตเอากอดเอาไว้ "ถ้าเจ้าอนุญาตให้ข้านอนบนโซฟาแล้วคุยกับเจ้าทั้งคืน ข้าจะลุกจากเตียงก็ได้นะ" คนฟังมุ่นคิ้ว และหันไปมองโซฟาที่เอเรสพูดถึงโดยไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจะต้องยื่นข้อเสนอแบบนี้
"ข้าอยากพักผ่อน เอเรส... ออกไป!"
"วันนี้เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยมาห้าวันแล้ว" เอเรสอ้าปากหาว เขารู้ดีกว่าอีกฝ่ายคอยติดตามข่าวสารของเอเดรียนอยู่โดยตลอด แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายก็ตาม และคอยส่งข่าวรายงานแม่ทัพใหญ่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเขาอยู่เป็นระยะเสมอ "ไม่ถามสักคำหรือว่าข้าหายไปไหนมา" แต่ด้วยความที่จาเร็ตต์เป็นคนที่พูดน้อยอย่างไม่น่าเชื่อว่าไม่ได้เป็นใบ้ เอเรสจึงต้องลองหยอกอีกฝ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าจาเร็ตต์จะยอมสนทนาด้วย
"เจ้าหายไปไหนมา..."
"อย่างน้อยรูปประโยคก็นับว่าผ่านอยู่หรอก" เอเรสถอนใจ "ช่วยไม่ได้นี่ ข้าอยู่คนเดียวมาหลายสิบปี พอมีเพื่อนคุยสักคนก็อยากคุยอีกนี่" เด็กตัวโตตรงหน้ากอดหมอนแน่นเข้าและพยายามจะช้อนตามองคนที่มีอายุน้อยกว่าตัวเอง
"ถ้าเจ้าไม่มีความคืบหน้าอะไรเป็นพิเศษ ก็เลิกก่อกวนข้าเสียทีเถอะ"
เอเรส ฟลินทรัสต์ลุกขึ้นง่ายๆตามที่ถูกดุ แต่ก็คว้าหมอนไปด้วยก่อนจะโถมตัวลงนอนบนโซฟา จาเร็ตต์มองตามการกระทำนั้นก่อนจะพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ "เอเรส หมอนข้า..." คนสนิทแม่ทัพกำหมัดแน่นและพยายามจะข่มความหงุดหงิดเอาไว้ แม้ว่าตอนนี้เขานึกอยากจะหาอะไรขว้างใส่คู่สนทนาแล้วก็ตาม
"เจ้าอยากได้แค่เตียงนี่ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะเอาหมอนด้วย"
คนที่ดูจะไม่มีอารมณ์ร่วมกับการหยอกเย้าเดินมาที่โซฟาพร้อมกับดึงหมอนของตนกลับไป เอเรสยอมปล่อยมือแต่โดยดี และลืมตาขึ้นมองแผ่นหลังโปร่งที่เดินกลับไปยังเตียงของตน "ทำกับเจ้าของบ้านได้ลงคอเชียวนะ นี่ขนาดยังไม่มีอำนาจในคฤหาสน์นะนี่"
จาเร็ตต์เลิกคิ้วขึ้นขณะเหลือบมองอีกฝ่าย "ข้าไม่เป็นเลขาของเจ้าหรอก"
"ในอนาคต พี่ก็ยกเจ้าให้ข้าอยู่ดี" เอเรสยิ้มตอบ
--------------------------------------------------
เซเลสต์ยังถอนสมอไม่ได้ เนื่องจากการติดตั้งปืนใหญ่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
รีดาห์เพิ่มจำนวนปืนใหญ่ที่ดาดฟ้าชั้นล่างตามหลักการทำศึกในระดับน้ำทะเล จากเดิมที่เขาคิดจะถอดปืนใหญ่ชั้นล่างออกทั้งหมดเพื่อความคล่องตัวในการเดินเรือ การติดตั้งปืนใหญ่ของเรือรบไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่วันหนึ่งหรือสองวัน แต่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ดังนั้นเลสธีราห์จึงรู้สึกทึ่งที่รีดาห์รู้จักเขาดีมากเสียจนเดาใจแม่ทัพหนุ่มออกหมดจด
อีกฝ่ายรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่สามารถทำตามคำสั่งของเหนือหัวได้
ทั้งยังฉลาดพอที่จะหยุดการนำสาส์นจากแอสทารอธไปยังธีสธรัลได้ทันเวลาอีกด้วย แม้ว่านี่จะเป็นการกระทำที่เป็นความลับและขัดกับคำสั่งของเหนือหัวสูงสุดก็ตาม "ลมทะเลตอนนี้พัดพาเอาความหนาวเย็นมาด้วย" รองผู้บัญชาการพึมพำ "นับตั้งแต่ตอกเกือกนั่นมา ยิ่งอากาศหนาว ข้าก็รู้สึกหนาวเท้าไปด้วย" รีดาห์พูดถึงเกือกรูปไข่อันเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่จากดินแดนตะวันออก
เลสธีราห์ก้มมองเกือกเงาวับของคนพูด "เดินถนัดขึ้นหรือเปล่า"
"อย่างน้อยก็ไม่ลื่นเกือกตัวเองแบบเมื่อก่อนแล้ว"
"แต่ข้าคิดว่ามันเสียงดังนะ" เลสธีราห์ไหวไหล่ "ยิ่งเจ้าที่เดินปัดเป๋ไม่ไพเราะเสนาะหูเอาเสียเลย"
รีดาห์มุ่นคิ้วด้วยความเคืองเล็กน้อยเมื่อถูกต่อว่า เพราะนั่นเป็นคำพูดเดียวกับที่ซาฮาลเคยกล่าวเอาไว้ "เจ้าก็ดูสมกับซาฮาลดีหรอกนะ! เรื่องค่อนแคะเหน็บแนมข้าน่ะ!" เลสธีราห์หัวเราะเบาๆในคอเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังโดนสหาย 'งอน' เข้าแล้ว
"ข้าอาจจะชอบค่อนแคะเจ้า แต่ข้าไม่เหมาะกับคนอย่างซาฮาลหรอก"
รีดาห์ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะบอกเลสธีราห์เรื่องของซาฮาลหรือไม่ แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว เซนทอรืหนุ่มก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าหยิบยกขึ้นมาพูดเอาเสียเลย เพราะต่อให้สาธยายความทุ่มเทและจริงใจของซาฮาลยาวยืดแค่ไหน เลสธีราห์ก็มีใจให้คนอื่นไปแล้ว "ข้าเห็นเจ้าห่มผ้านั่นกันหนาวแล้วก็อยากมีบ้างสักผืน" รีดาห์มุ่งเป้าไปที่ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ที่เลสธีราห์ถืออยู่แทน "แต่ก็คิดว่ามันคงไม่ใช่แค่ผ้าคลุมไหล่ทั่วๆไป จะไปขอเจ้าห่มบ้างก็ไม่น่าจะดีนัก"
เลสธีราห์หัวเราะสั้นๆ "อืม... ของเอเดรียน" เขาตอบได้แค่นั้น เพราะรีดาห์สมควรรับรู้เพียงเท่านี้
"เจ้ายิ้มแบบนั้นทุกครั้งที่พูดชื่อนั่นเลยนะ" รีดาห์ล้อเลียน
เลสธีราห์ปัดมือในอากาศเพื่อให้สหายเลิกหยอก "ข้าคิดว่าผู้หญิงก็ทำให้เจ้ายิ้มได้ ถ้าเจ้าชอบนาง" รีดาห์หัวเราะเบาขณะคิดในใจว่า เหตุใดซาฮาลจึงไม่เคยยิ้มแบบนั้นบ้างเมื่อคิดถึงเลสธีราห์ หรือว่าที่เหนือหัวเป็นผู้ชายแข็งกระด้างปราศจากความรักหวานซึ้งโดยสิ้นเชิงเล่า แล้วความรักที่อีกฝ่ายมีต่อเลสธีราห์เป็นความรักประเภทใดกัน ซาอาลต้องการจะเอาชนะเพื่อให้ได้ครอบครองมากกว่าการปกป้องดูแลซึ่งกันและกันอย่างที่เลสธีราห์คิดจะทำด้วยซ้ำ
แต่รีดาห์ก็ไม่แน่ใจว่าหากคนอย่างซาฮาลยิ้มอย่างอ่อนโยนแบบนั้นขึ้นมา
...ในวันหน้าโลกจะแตกหรือไม่
"มนุษย์นั่นมันมีอะไรดีกว่าข้าหรือไร เลสธีราห์..." ด้วยความที่มัวแต่สนใจคู่สนทนา ทั้งรีดาห์ และเลสธีราห์ไม่รู้สึกถึงฝีเท้าของซาฮาลเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เซนทอร์ร่างสูงก็ก้าวเข้าประชิดตัวแม่ทัพแห่งเซเลสต์แล้ว "ข้าถามว่า... เจ้ามนุษย์นั่นมีอะไรดีกว่าข้า เจ้าถึงได้ยอมมันถึงขนาดนี้!"
"ซาฮาล!"
ขาหน้าทรงพลังยกขึ้นในอากาศและพุ่งกระแทกร่างคู่สนทนาด้วยความโกรธ แต่คนที่เข้ามารับแทนกลับเป็นรีดาห์ในร่างเซนทอร์ "ซาฮาล หยุด!" รีดาห์ยกมือขึ้นยันบ่ากว้าง ขาหลังที่ยืนหยัดไม่มั่นคงพยายามยันน้ำหนักของอีกฝ่ายกลับออกไป แต่ก็ทำได้เพียงต้านแรง "เลส... ถอยไป!" เลสธีราห์ถอยเท้าหนี เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับซาฮาลด้วยความตกใจ ร่างกายกำยำขยับกระแทกคนที่ขวางทางออกไปให้พ้นด้วยโทสะ จนเซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าเสียหลักตกลงไปในทะเล
ตูม!
"รีดาห์!" เขาอาจว่ายน้ำเก่งด้วยความที่สังกัดกองทัพเรือ แต่อย่างไรการถูกผลักตกเช่นนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายสำลักน้ำเข้าไปมากพอสมควร ร่างโปร่งโผล่ขึ้นมาพร้อมกับคว้าเสาท่าเรือเอาไว้เป็นหลักพยุงก่อนจะไอโขลกออกมาด้วยความรู้สึกแสบคอ เลสธีราห์ก้มมองหาบันไดเพื่อจะให้อีกฝ่ายได้ขึ้นจากน้ำ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นท่าน้ำลึกที่ไม่มีบันได ดังนั้นทางเดียวที่ทำได้ก็คือการปีนขึ้นฝั่งที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร
"ซาฮาล..." นัยน์ตาสีฟ้าตวัดมองผู้มาเยือนด้วยโทสะ "เตรียมอธิบายเรื่องนี้กับเหนือหัวได้เลย!"
เลสธีราห์แยกเขี้ยวใส่คนก่อเรื่อง แต่ซาฮาลที่พยายามสงบอารมณ์ตัวเองไว้ก็คว้าเข้าที่แขนของร่างโปร่งก่อนกระชากเข้าหาตัว "ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง เลสธีราห์!" โดยปกติแล้วเลสธีราห์มักอยู่ในร่างมนุษย์ แต่เมื่อถูกแรงมหาศาลของอีกฝ่ายฉุดกระชาก ร่างโปร่งก็คืนร่างเป็นสัตว์สี่เท้าในทันที และยกขาคู่หน้าขึ้นขู่อีกฝ่ายพร้อมกับสะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการ
ร่างกายท่อนล่างปกคลุมด้วยขนสั้นสีอ่อนเลื่อมเงาสะท้อนแสงแดดดูโดดเด่นเสียจนทำให้ลูกเรือและเซนทอร์ในบริเวณนั้นหันมาสนใจ ด้วยรู้ว่าผู้บัญชาการของพวกเขามักไม่อยู่ในร่างเซนทอร์ ดังนั้นนี่จึงเป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างเลสธีราห์และซาฮาลอย่างแน่นอน
ว่าที่เหนือหัวมีร่างกายกำยำสูงใหญ่ ดังนั้นเขาจึงขวางทางเดินจนเลสธีราห์ไม่สามารถเดินผ่านหนีไปได้ ซาฮาลก้าวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้าอีกก้าวและเริ่มใช้ความสูงของตนเข้าข่ม "นี่คือเหตุผลที่เจ้าถูกจับในอาเดรียสินะ เหตุผลที่เจ้าเปิดโปงความลับของแอสทารอธอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังไม่พยายามจะเอาตัวรอดกลับมายังมาตุภูมิอีกด้วย เป็นเพราะมนุษย์ที่ชื่อเอเดรียนนั่นสินะ!"
"เจ้าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง..."
เลสธีราห์ควรจะรู้ตัวเองว่าเขาเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย และด้วยความไม่แนบเนียนที่ซาฮาลสัมผัสได้ ยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นโมโหมากขึ้นกว่าเก่า "เจ้าคงจะไม่ฆ่ามันอีกด้วยใช่หรือไม่ เลสธีราห์... พูดออกมาเองเลยนี่ว่าหลงเจ้าสัตว์สองขานั่นมากแค่ไหน" ซาฮาลไล่ต้อน การก้าวเข้าหาทีละก้าวทำให้เลสธีราห์ต้องถอยเท้าหนี "ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรเลยใช่ไหม!"
"เจ้าดูถูกข้ามากไปแล้ว!" เลสธีราห์พยายามเสียงดังบ้าง "มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าสักนิด"
เซนทอร์ไม่สวมเสื้อ ดังนั้นซาฮาลจึงคว้ามือเข้าที่ลำคอระหงของคนตรงหน้าแทนและกระชากเข้ามาหาตัวด้วยโทสะ "ข้าเป็นคนเสนอให้เหนือหัวดาเรียสละเว้นเจ้า... เป็นคนเสนอหนทางให้เจ้าได้กลับมาอย่างสมเกียรติอย่างที่เจ้าต้องการ แต่ตอนนี้เจ้าจะหักหน้าข้าด้วยการปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมนุษย์นั้นรึไง!"
เซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าต้องหยัดตัวขึ้นยืนบนขาหลังของตัวเองและกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกเจ็บ
เลสธีราห์จิกเล็บกับมือใหญ่และดึงออกอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่เคยขอให้เจ้าช่วย ซาฮาล!"
"ป่านนี้เจ้าคงถูกขังลืมอยู่ในอาเดรียไปแล้วถ้าไม่มีข้า!"
เลสธีราห์ดีดตัวออกห่างจากคู่สนทนาที่กำลังโกรธจัด และยกสองขาหน้าขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว "ถ้าเจ้าไม่แส่เข้ามายุ่ง ทุกอย่างคงจะไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้หรอก!" ร่างโปร่งตะคอกกลับ และตวัดธนูคู่ใจที่สะพายเอาไว้บนหลังขึ้นมาถือ แตะปลายนิ้วกับเส้นเอ็นที่ขึงตึงก่อนจะง้างขึ้นเอาเรื่อง ทะเลที่อยู่เบื้องหลังขยับเคลื่อนและผงาดเกลียวคลื่นขึ้นเตรียมพร้อมจะถ่าโถมด้วยเวทมนตร์
"เจ้าส่งข้าไปรบกับธีสธรัลเพื่อความสาแก่ใจของตัวเอง และถ้าข้าแพ้ขึ้นมา อาเดรียก็ไม่มีอะไรเหลือ อีกทั้งต้องตกเป็นเมืองขึ้นอีก เจ้าได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้ แอสทารอธจะได้อะไรจากแผนการนี้ของเจ้า! เพื่อเรือสิบลำเท่านั้นหรือ ซาฮาล!" เลสธีราห์กราดเกรี้ยว "เราแสวงหาความก้าวหน้า แต่ถ้าเราปล่อยให้อาเดรีย ธีสธรัล และไอย์ชวลเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เราจะยังมีบทบาทอะไรอีก!!"
"แล้วการที่เจ้าถูกขังอยู่อย่างนั้นทำให้แอสทารอธได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เลสธีราห์!!"
ซาฮาลย้อนบ้าง แม้เขาจะโกรธเสียจนตัวสั่นเทิ้ม แต่ด้วยความที่รู้ถึงอำนาจของธนูแหวกสมุทร ว่าที่เหนือหัวจึงได้ยั้งตัวเองเอาไว้ "ต้องการให้แอสทารอธทอดทิ้งเจ้าจริงๆอย่างนั้นรึ" คิ้วเข้มกดมุ่นขณะถามเสียงขุ่น "ข้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้า... เพื่อความต้องการของเจ้า... นี่เป็นวิถีของเซนทอร์ที่จะช่วยเหลือเจ้าทั้งนั้น แล้วมาพูดแบบนี้กับข้ารึ เนรคุณ!!"
"แล้ววิถีของเซนทอร์มันเคยทำให้ข้ามีความสุขหรือไร!"
เลสธีราห์ยอมลดมือลงบ้าง ก่อนตัวเองจะเผลอปล่อยสายธนูและอัดคลื่นสูงเบื้องหลังใส่ซาฮาลสักทีหนึ่ง เขาตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคือว่าที่เหนือหัว และการปองร้ายผู้นำสูงสุดก็มีค่าเท่ากับกบฏ "ข้าเคยมีความสุขกับวิถีเซนทอร์ที่พวกเจ้าภาคภูมิใจหรือเปล่า เพราะข้ามีเลือดเซนทอร์เพียงแค่ครึ่งเดียวแบบนี้ ข้าถึงต้องไล่ตามพวกเจ้ามาตลอดชีวิต" ร่างโปร่งสูดลมหายใจลึก "แอสทารอธจะทอดทิ้งข้าก็ได้... ในเมื่อข้ายังไม่มีอะไรดีพอที่จะเรียกตัวเองได้ว่าเซนทอร์ตนหนึ่ง" ผู้นำเซเลสต์ถอนใจ "ข้าจะกลับมาที่แอสทารอธก็ต่อเมื่อมีความภูมิใจอย่างเซนทอร์แล้วเท่านั้น"
นัยน์ตาสีฟ้าสดของอีกฝ่ายมองคู่สนทนาแน่วแน่ "ต่อให้มันต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ข้าก็จะไม่พึ่งพาใคร"
"แล้วเกียรติของเจ้าคืออะไร เลสธีราห์ หากไม่ใช่การต่อสู้ในสงครามอย่างแม่ทัพ"
คนถูกถามสูดลมหายใจเข้าลึก โดยที่นิ้วยังแตะสายธนูเอาไว้ เขารู้ดีว่าสิ่งที่จะออกจากปากของตนไปย่อมทำให้ซาฮาลอารมณ์เสีย แต่อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ยังเกรงอำนาจของแอควาเรียร์อยู่ "การที่สามารถ... ปกป้องคนที่ตัวเองรักเอาไว้ได้ และปกป้องบ้านเมืองของตนเอาไว้ได้ นั่นคือเกียรติของข้า"
"..."
"ข้าไม่ละอายที่ตนเองมีใจให้มนุษย์... และข้าก็ไม่เคยกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง ถ้ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะปกป้องแอสทารอธ" เลสธีราห์เบี่ยงตัวเลี่ยงออกมาจากอีกฝ่ายพร้อมกับคำพูดทิ้งท้าย "ข้ามีคนที่ให้เกียรติข้าแล้ว ซาฮาล ...เจ้าไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นมันให้ข้าอีก" เลสธีราห์ให้คำตอบราบเรียบ โดยไม่รู้เลยว่ามันเปรียบเสมือนคมดาบที่ฟาดฟันเข้าที่กลางอกของว่าที่ผู้นำแห่งแอสทารอธ
--------------------------------------------------