ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว [จบแล้ว] - แจ้งข่าวรวมเล่ม  (อ่าน 48273 ครั้ง)

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เพิ่งเรียนประวัติศาสตร์โลกไปเองค่ะ ธีสธรัลนี่อาณาจักรอังกฤษแน่ๆ เป็นเกาะ ศาสตร์เครื่องจักรไอน้ำ มีอาณานิคม เป๊ะเฟร่อออ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
เพิ่งเรียนประวัติศาสตร์โลกไปเองค่ะ ธีสธรัลนี่อาณาจักรอังกฤษแน่ๆ เป็นเกาะ ศาสตร์เครื่องจักรไอน้ำ มีอาณานิคม เป๊ะเฟร่อออ

///__\\\ อุ๊ย... จริงๆแค่เอามาอ้างอิงเป็นฐานข้อมูลเฉยๆนะ (ไม่งั้นคุมธีมไม่ถูก มันแฟนตาซี้แฟนตาซี)
ยังไม่แม่นประวัติศาสตร์ขนาดเอาสงครามในไหนสักอันหนึ่งมาแปลงเป็นนิยาย ฮาา (แต่อยากทำ...)

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.1
«ตอบ #62 เมื่อ18-11-2016 10:12:56 »

ตอนที่ 19.1

ตึง!

ด้ามหอกแข็งกระแทกลงกับพื้นทราย เช่นเดียวกับกีบเท้าขนาดใหญ่ที่ไถลไปบนพื้นจนฝุ่นตลบ ผู้ท้าชิงเป็นฝ่ายเสียหลัก และเขาใช้อาวุธค้ำยันกายเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้ม แผงอกกำยำที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อหอบสะท้าน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้คู่ต่อสู้ที่เป็นถึงผู้นำแห่งแอสทารอธ

กฎการประลองวาร์ดาไม่มีอะไรซับซ้อน... ฝ่ายใดล้มลงกับพื้นจะเป็นผู้แพ้

เพื่อไม่ให้ผู้ท้าชิงพลั้งมือสังหารองค์เหนือหัว พวกเขาจึงตั้งกฎนี้ขึ้นมา และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเซนทอร์เป็นอมนุษย์ครึ่งม้าที่มีถึงสี่ขา ดังนั้นผู้ชนะจึงสมควรที่จะยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งโดยไม่พลาดพลั้งสักเพียงครั้ง พวกเขาลุกขึ้นยืนได้ช้ากว่าเผ่าอื่น ดังนั้นการล้มของเซนทอร์อันตรายมากพอที่จะเปิดทางให้ศัตรูลงมือ

...และเหนือหัวแห่งแอสทารอธจะต้องไม่ล้มในสมรภูมิ

ซาฮาลยันขาแข็งแรงขึ้นตนเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง และยกโล่ขึ้นในระดับที่สามารถป้องกันตัวได้ มัดกล้ามแข็งตึงเกร็งขึ้นรูปเมื่อเขาออกแรงยกหอกเล่มยาวในมือขึ้นและเล็งไปทางเหนือหัวดาเรียส แรงกระแทกจากโล่ของอีกฝ่ายทำให้เซนทอร์หนุ่มมึนงงไปชั่วครู่ ผู้นำกราเทียร์มั่นใจว่าหากคนตั้งรับไม่ใช่เขา แรงปะทะเมื่อครู่ก็คงจะทำให้ล้มกระเด็นไปได้แล้ว

เหนือหัวดาเรียสสามารถเอาชนะการประลองวาร์ดาได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี นับประสาอะไรกับอีกฝ่ายในวัยสี่สิบห้า กับเขาที่มีอายุถึงยี่สิบสาม ซึ่งนับว่าแก่มากไปเสียด้วยซ้ำ "เจ้าเป็นตัวเต็งของการประลองนี้ อย่าทำให้ข้าผิดหวังกับการปะทะเพียงเล็กน้อยถึงกับทำให้เจ้าเซได้สิ ซาฮาล..."

ผู้ท้าชิงสูงกว่าผู้นำของตน เนื่องด้วยชายหนุ่มได้รับลักษณะดีมาจากทั้งบิดาและมารดา แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอก ร่างกายกำยำสมส่วนไม่ได้บ่งบอกถึงความชำนาญในการใช้อาวุธและการต่อสู้ ต่างจากเหนือหัวดาเรียสที่มีทั้งทักษะและพละกำลังอย่างนักรบที่หมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ

เซนทอร์หนุ่มสะบัดพวงหางยาวปัดไล่ฝุ่นทรายที่กระจายอยู่โดยรอบ กีบเท้าที่สวมเกือกแบบใหม่เคาะกับพื้นช้าๆเมื่อเจ้าของร่างเริ่มใช้ความคิดว่าต้นต้องโจมตีที่ใด "หากข้าเอาชนะเหนือหัวดาเรียสได้โดยง่าย คงจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับยอดนักรบน่าดูขอรับ"

"เหนือหัวคนต่อไปของแอสทารอธ... จะต้องล้มข้าได้อย่างไม่ยากเย็นต่างหาก"

โครม!

ซาฮาลเหวี่ยงหอกเข้าใส่คู่ต่อสู้ จังหวะเดียวกันกับที่เขายกโล่ขึ้นป้องกันอย่างอ่านทางได้ มืออีกข้างเหวี่ยงอาวุธกลับบ้าง พร้อมทั้งก้าวเข้าหาเพื่อเพิ่มความรุนแรงในการโจมตี และเมื่อซาฮาลก้าวถอย ดาเรียสก็ยกขาหน้าทั้งสองขึ้นในกาอาศ พร้อมกับกดปลายหอกปะทะกับโล่อย่างดุดัน

เหนือหัวดาเรียสเด่นในเรื่องของพละกำลัง ดังนั้นการจะปราบเขาด้วยกำลังจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

และทุกครั้งที่ผู้นำแห่งแอสทารอธยกขาขึ้น แรงปะทะจะเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า ทว่านั้นก็เป็นท่าทางที่เผยจุดอ่อนที่สุดของเซนทอร์ ซาฮาลถอยกลับไปตั้งหลักก่อนที่จะถูกดาเรียสกระแทกจนเข่าทรุด เขามุ่นคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพักว่าจะต้องทำอย่างให้คู่ต่อสู้ล้มลงได้ สนับเข่าและเกราะทุกชิ้นของเหนือหัวถูกออกแบบมาอย่างดีทำให้เขากันกับรูปร่างของเขาจนแทบไม่รู้สึกอึดอัดเวลาสวมใส่ และข้อเท้าของดาเรียสก็ใหญ่กว่าเซนทอร์ทั่วไปเช่นกันเดียวกับซาฮาล

ไม่ง่ายเอาเสียเลย...

เซนทอร์ทั้งสองพุ่งเข้าโรมรันกันอีกครั้งโดยที่ซาฮาลไม่สามารถทำให้เหนือหัวดาเรียสเสียหลักได้เลยสักนิด เสียงอาวุธปะทะกันถูกกลบด้วยเสียงเชียร์ของผู้ร่วมชมการต่อสู้ ซาฮาลเป็นร่วมประลองคนที่ห้าของวัน และนับเป็นคนสุดท้าย หลังจากสี่คนแรกถูกโค่นล้มลงง่ายๆโดยแทบจะไม่ทำให้ผู้นำอาณาจักรรู้สึกเหนื่อยด้วยซ้ำ

ซาฮาบนับว่ามีฝีมือพอตัวที่ทำให้เหนือหัวดาเรียสเหงื่อออกได้

รีดาห์มองการประลองอยู่เงียบๆและมุ่นคิ้วอย่างครุ่นคิด จริงอยู่ว่าซาฮาลตัวใหญ่กว่า และลักษณะดีกว่าเหนือหัวแห่งแอสทารอธ แต่ด้วยความที่มีประสบการณ์น้อยกว่าทำให้อ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ไม่ออก ขณะที่ผู้นำสามารถตอบโต้ได้ทุกการโจมตีอย่างรู้เท่าทัน ต่อให้ซาฮาลจะเป็นตัวเต็งของการประลองนี้ แต่หากอีกฝ่ายพลาดล้มขึ้นมา ก็เท่ากับแพ้การประลองอยู่ดี

"รีดาห์..."

น้ำเสียงเรียบเย็นเป็นเอกลักษณ์ของราชเลขาแห่งแอสทารอธดังขึ้นทำให้คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว รองผู้บัญชาการแห่งเซเลสต์รีบค้อมหัวแสดงความเคารพต่อท่านหญิงลีอาห์ "ท่านราชเลขา... มาไม่ให้สุ้มเสียง" เมื่อได้เห็นราชเลขา ความลับที่รีดาห์พยายามปกปิดเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาในหัว และทำให้เขาแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน

"การสนทนากับข้าทำให้เจ้ารู้สึกเกร็งขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่" เซนทอร์หญิงกล่าวอย่างรู้ทัน

ใบหน้าของท่านหญิงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ แต่รีดาห์ก็สังเกตได้ว่านางพยายามรักษาความสุขุมเอาไว้ในน้ำเสียงที่ค่อนข้างสั่น "ข้ารู้เรื่องลูกชายแล้ว" คนฟังกลั้นใจเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ เซนทอร์หนุ่มเหลือบมองรอบตัวที่คนรอบข้างดูจะสนใจการประลองมากกว่าพวกเขา ก่อนจะถามกลับ

"ท่านทราบได้อย่างไร"

"ข้าถามมาจากเฟรดา" หญิงสาวมองคู่สนทนา "พวกเจ้าควรจะบอกข้าแต่แรก เหตุใดจึงพยายามหลบหน้าและเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ ไม่คิดหรือว่ามันจะเป็นผลเสียต่อเลสธีราห์" ลีอาห์กล่าวตำหนิ "จริงอยู่ว่าเขามีความผิดที่ถูกจับได้ แต่เราจำเป็นจะต้องหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดให้เขา"

"แต่โทษทัณฑ์ของเลสธ๊ราห์อาจหมายถึงความตาย..."

"เจ้าควรจะบอกข้าที่เป็นแม่ของเขาตั้งแต่แรก!"

"ท่านหญิง เราอยู่ในช่วงของการประลองวาร์ดา และมันคงจะเลื่อนไปไม่ได้ หากแจ้งเรื่องนี้แก่ท่าน ไม่ช้าเหนือหัวดาเรียสก็ต้องรู้ และมันอาจกระทบกับอาณาจักรเรา..." ดวงตาเรียวเขม่นมองเป็นเชิงปรามให้ร่างโปร่งหยุดพูด ลีอาห์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเบือนหน้าหนี

"ข้ารู้ว่าอะไรควรพูด รึไม่ควรพูด รีดาห์ เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดแทนข้า"

"ท่านหญิง..."

"อาเดรียกระทำการเสียมารยาทกับเราที่สุด ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาหลุดมือไปเป็นแน่"

จริงอยู่ว่าเลสธีราห์แฝงตัวเข้าไปในอาเดรียเพื่อสืบข่าวคราวและความลับของเมืองมนุษย์ แต่ในเมื่ออาเดรียต้องการความช่วยเหลือจากแอสทารอธ พวกเขาก็ไม่ควรทำกับเซนทอร์เช่นนี้ ไม่ว่าเซนทอร์ตนนั้นจะเป็นแม่ทัพเรือ หรือว่าชาวบ้านธรรมดาก็ตาม "พวกมันจะส่งคนมาหลังจบการประลองวาร์ดาแน่นอน"

"ท่านหญิง เรื่องนี้ซาฮาลบอกว่าจะเป็นคนจัดการเอง"

"ไม่ว่าจะเป็นซาฮาล หรือเหนือหัวดาเรียสออกปากเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่เฉยได้อย่างนั้นรึ" ต่อให้กฎของเซนทอร์จะเข้มงวดอย่างไร ลีอาห์ก็ไม่อาจหักใจใช้กฎระบียบนั้นกับลูกชายของตัวเองได้อยู่ดี "ข้าจะหาทางออกให้กับลูกเอง และเพื่อผลประโยชน์ของแอสทารอธ"

เสียงเฮที่ดังมากกว่าปกติทำให้คู่สนทนาทั้งคู่หันกลับไปมองสนามประลอง เหนือหัวดาเรียสยกสองขาขึ้นในอากาศ พร้อมกับทุ่มกำลังกดปลายหอกลงหาซาฮาลซึ่งยกขาขึ้นสองข้างเช่นกัน อาวุธของพวกเขาขัดกันกลางอากาศ และอึดใจต่อมา เซนทอร์หนุ่มก็ใช้ร่างกระโจนเข้าชนคู่ต่อสู้ และด้วยความยาวช่วงขาที่มีมากกว่า เหนือหัวดาเรียสก็ถูกกระแทกจนร่างลอย

พลั่ก...!

"ย้าก!"

--------------------------------------------------

ราชินีองค์ใหม่นอนไม่หลับทั้งคืนอันเนื่องมาจากความกังวลในการเจรจากับอาเดรีย ซึ่งนอกจากจะพักผ่อนไม่เต็มตาแล้ว พระนางยังเก็บข้อเสนอของแม่ทัพใหญ่ไปนอนฝันอีกด้วย "แย่จริงเลย..." แม้ว่าอาเดรียจะจัดที่พักรับรองเอาไว้ให้อาคันตุกะชั้นสูง แต่ราชินีแห่งธีสธรัลก็เลือกจะเดินทางกลับมานอนบนเรือรบหลวงคาร์เธียร์เพื่อความปลอดภัย ดังนั้นนอกจากอาการนอนไม่หลับแล้ว พระนางยังมีอาการเมาคลื่นอยู่บ้างอีกด้วย

"ไม่ว่าข้อเสนอใดของแม่ทัพผู้นั้นก็ล้วนแล้วแต่ตกลงไม่ได้" ฟลินกอร์น คนสนิทของพระนางกล่าว

"แต่อย่างน้อยแอสทารอธก็ให้คำมั่นกับเราว่าในหนึ่งเดือนนี้จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออาเดรีย ข้าคิดว่านี่เป็นสัญญาที่ทำให้เบาใจไปเปราะหนึ่ง ระยะเวลาหนึ่งเดือนไม่ได้มากมายนัก แต่สำหรับเรื่องปกท้องแล้วมันก็เป็นเวลาที่มากพอที่จะบีบให้อาเดรียยอมตกลงเรื่องใดกับเราสักเรื่องหนึ่ง" ราชินีตอบ "แต่จะเลือกสัญญายี่สิบแปดปีนั่น หรือการมอบเรือจักรไอน้ำให้อาเดรียก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ธีสธรัลเสียผลประโยนช์ทั้งนั้น"

"นายหญิง เราจะไม่มอบศาสตร์การต่อเรือให้อาเดรียเป็นอันขาด นั่นเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล และมีน้ำหนักเทียบเท่ากับอิสรภาพของอาณาจักรอาเดรียเท่านั้นตามที่พระนางได้ยื่นคำขาดไปก่อนหน้านี้"

หญิงสาวมุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ในเวลานั้น "เอเดรียนผู้นั้น... มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของผู้นำอาณาจักร"

"นายหญิง..."

"ไม่ใช่ท่านชายซินญอร์ หรือท่านหญิงซินญอร่าที่ทำให้เราตกที่นั่งลำบากแบบนี้ แต่เป็นแม่ทัพเอเดรียนที่มีความสามารถทั้งในด้านเจรจาและด้านการทำศึก" หากพระนางได้สนทนากับท่านชายซินญอร์ก็คงจะตกลงกันได้ไม่ยากเย็นนัก หรืออาจจะตัดสินใจได้ในทันทีว่าควรยกกองทัพเรือมาบุกอ่าวออโรราหรือไม่ แต่เมื่อได้พูดคุยกับแม่ทัพเอเดรียน ราชินีก็คิดว่าความหลักแหลมของอีกฝ่ายยังเป็นสิ่งที่ควรรักษาเอาไว้ หรือดึงเขามาเป็นพวกพ้องน่าจะมีประโยชน์กว่า

ฟลินกอร์นพยักหน้ารับ "เขาเป็นคนที่มีความสามารถพอจะเป็นผู้นำของอาเดรียได้"

พระนางไวลด์เห็นด้วย "และถ้าข้าได้ใจเขา... อาเดรียจะตกเป็นของเรา" วิธีการเช่นนี้อาจง่ายที่จะพูด แต่เมื่อคิดถึงการทำให้สิ่งที่พูดกลายเป็นความจริงแล้ว ราชินีก็คิดว่าพระนางคงไม่สามารถทำได้ การทำให้ใครสักคนตัดสินใจหันหลังให้สิ่งที่เขายึดเหนี่ยวมาตลอดชีวิตนั้นเป็นเรื่องยากกว่าการทำศึกสงครามเสียอีก "ระหว่างท่านชายซินญอร์กับอาณาจักรอาเดรีย... เจ้าคิดว่าเขารักอะไรมากกว่ากัน"

"ย่อมเป็นอาณาจักรอาเดรียขอรับ"

ผู้นำหญิงจรดยิ้มที่มุมปากของนางช้าๆ พระนางตัดสินใจได้แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เสี่ยงแต่ในเมื่อผู้นำอาณาจักรเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง อย่างน้อยก็ต้องทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือประชาชน "ในเมื่อเราจะไม่มอบศาสตร์การต่อเรือให้อาเดรีย ก็จำต้องกลับไปพิจารณาสัญญายี่สิบแปดปีซึ่งมีมูลค่ามหาศาลและแน่นอนว่าจะทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ แต่แน่นอนว่าธีสธรัลจะไม่เป็นฝ่ายอ่อนข้อให้แต่เพียงฝ่ายเดียวแน่นอน"

ฟลินกอร์นค้อมหัวลงช้าๆ ยอมรับในการตัดสินใจของผู้นำอาณาจักร "ข้าจะตามผู้แทนขุนนางฝ่ายคลังมาพบท่าน"

"...รวมทั้งแม่ทัพเรือด้วย" ราชินีว่า "ในครามที่ผ่านมาเราสูญเสียกำลังพลทหารบกไปมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีทหารเรือไม่ใช่หรือ" แม้ว่าการทำสงครามจะเป็นหนทางสุดท้ายที่เลวร้าย แต่การแสดงแสงยานุภาพของกองเรือรบเวเรนเซียก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะเน้นย้ำทำให้ทุกอาณาจักรจดจำได้ว่าผู้ใดคือมหาอำนาจทั้งทางบกและทางทะเล "เพราะไม่มีกองเรือใดจะยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเทียบเท่ากองเรือเวเรนเซียแห่งธีสธรัล"

...เว้นเสียแต่กองเรือรบเซเลสต์แห่งแอสทารอธ

--------------------------------------------------

เอเรสลังเลที่จะเคาะประตูห้องพักของเลสธีราห์ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายก่อนหรือว่าเปิดประตูเข้าไปเลยซึ่งมีความเป็นไปได้สูง่าเขาอาจจะพบบุคคลมากกว่าหนึ่งคนในห้องนั้น "..." ชายหนุ่มตัดสินใจว่าควรจะเรียกก่อนสักครั้งเพื่อความมีมารยาท แต่ก็เลือกไม่ได้ว่าควรเรียกอย่างไรระหว่างคำสามคำนั่นคือ 'เลสธีราห์' 'เซนทอร์' และ 'คนสวย'

มีความเป็นไปได้สูงว่าคำแรกและคำสุดท้ายอาจทำให้เขาถูกเซนทอร์ดีด

ก๊อก... ก๊อก...

ในเมื่อเลือกไม่ได้ว่าควรจะเรียกอย่างไร เอเรส ฟลินทรัสต์จึงตัดสินใจเคาะประตูและเปิดเข้าไปในห้องเลย ซึ่งในครั้งนี้นับว่าเป็นความโชคดีที่เซนทอร์ร่างโปร่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง "หึ..." ร่างสูงจรดยิ้มที่มุมปากเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่น่าจะวนเวียนมาที่ห้องนี้บ่อยพอสมควรจนถึงขั้นลืมเสื้อนอกเอาไว้บนโซฟา "อรุณสวัสดิ์ คนสวย..." แม้ว่าจะเป็นคำที่เขาไม่ควรเลือกใช้ แต่อย่างไรมันก็ติดปากไปเสียแล้ว และนั่นทำให้เลสธีราห์ชำเลืองมองผู้มาเยือนด้วยหางตาโดยไม่หันมาต้อนรับผู้มาเยือน

"ข้ามาฟังผลการตัดสินใจของแอสทารอธ"

เอเรสไม่คาดหวังให้เซนทอร์หนุ่มพูดคุยเป็นกันเอง เพราะสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่มิตรภาพระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่คือผลประโยชน์ที่เขาเสนอไปเมื่อวานนี้ "ให้เวลาเจ้าคิดมากพอสมควรเลยนะ" และโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ ชายหนุ่มก็เดินไปนั่งที่โซฟาและยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยความคุ้นชิน โดยที่สายตาคมกริบตวัดมองไปยังเสื้อนอกสีเขียวน้ำทะเลที่พาดอยู่ใกล้กัน

เลสธีราห์เองก็เพิ่งสังเกตได้ว่าเอเดรียนลืมเสื้อเอาไว้จึงรีบเดินมาคว้าผ้าชิ้นนั้นออกไปจากสายตา

"เจ้าควรจะบอกรายละเอียดของตัวเองก่อนที่จะถามหาคำตอบจากข้า" เซนทอร์หนุ่มว่า "ข้าพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่า 'ลมปาก' มามากพอแล้วเอเรส ฟลินทรัสต์" วิธีการตอบที่แสนจะเย่อหยิ่งทำให้เอเรสหัวเราะออกมาและลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเซนทอร์ตรงหน้า เลสธีราห์พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายร่างสูงที่อาจจะสูงพอๆกับซาฮาลในร่างมนุษย์

...สูงกว่าเอเดรียนเสียอีก

"ข้าเดาว่าเจ้าคงถามหาปืนคาบศิลาอยู่" เอเรสก้าวไปหาคู่สนทนาและขยับถอยเล็กน้อยด้วยความไม่แน่ใจ ก่อนจะหยิบเอาปืนพกที่เหน็บอยู่กับบั้นเอวออกมาส่งให้ผู้ตั้งคำถาม "เจ้าคิดว่าข้านิสัยเหมือนท่านแม่ทัพเอเดรียนหรือ เซนทอร์... ที่ใช้เพียงคารมในการเจรจาระดับอาณาจักร" เมื่อเปลี่ยนวิธีการเรียกเอาดื้อๆ เลสธีราห์ก็สัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของคนตรงหน้า มือเรียวทั้งสองเอื้อมไปประคองสิ่งที่เรีนกว่า 'ปืน' เอาไว้และรับรู้ถึงน้ำหนักของมันเป็นครั้งแรก

สิ่งนี้หรือ... คือปืนคาบศิลา

"ข้าไม่ได้ใส่ลูกปืนเอาไว้หรอกนะ ดังนั้น... อย่าคิดจะยิงล่ะ มันไม่มีประโยชน์หรอก" มองจากภายนอกแล้ว เลสธีราห์คิดว่ามันทำมาจากไม้ แต่เมื่อพิจารณาจากน้ำหนักแล้ว เขาก็คิดว่ามันทำมาจากเหล็กเสียมากกว่า ขนาดของปืนยาวประมาณท่อนแขน ซึ่งถ้าเทียบกับหน้าไม้แล้ว ปืนนี้อาจมีพลานุภาพมากกว่า และยากที่จะควบคุมมากกว่าอีกด้วย "ร่วมรบกับข้า... แล้วข้าจะมอบปืนคาบศิลาให้แอสทารอธ" วิธีการเจรจาของเอเรสแตกต่างจากเอเดรียน แทนที่จะเรียกร้องข้อเสนอจากเซนทอร์เป็นมูลค่าตามที่กำหนด แต่เอเรสกลับเป็นฝ่ายรอข้อเสนอจากแอสทารอธว่ามีสิ่งใดจะแลกเปลี่ยนบ้าง

นี่อาจเป็นบททดสอบความซื่อสัตย์ของเซนทอร์ ...แต่มนุษย์มีสิทธิ์อะไรมาคลางแคลงสงสัยเรื่องนี้หนอ

"หากข้าต้องการจะเป็นแม่ทัพแห่งอาเดรีย ด้วยกำลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ" เอเรสลดเสียงลงต่ำ จนดูคล้ายกับวิธีการพูดของแม่ทัพใหญ่ "อย่างไรข้าก็เป็นแค่โจรกระจอกที่มีกองทัพเรือเป็นของตนเอง" เอเรส ฟลินทรัสต์แนะนำตัวว่าเป็นราชาโจรสลัดแห่งเทเทส เขามีอำนาจและความสามารถในการควบคุมและดูแลโจรสลัดในน่านน้ำนี้ ซึ่งนี่อาจเป็นประโยชน์ต่อแอสทารอธในเรื่องการลดการถูกปล้นสะดมระหว่างการขนส่งสินค้า

แต่หากจะพลิกโจรสลัดขึ้นมาเป็นวีรบุรุษ... เอเรสยังมีอุปสรรคขวางหน้าอีกมาก

หนึ่งในนั้นคือเอเดรียน แม่ทัพใหญ่คนปัจจุบันของอาเดรีย "คิดอะไรมากมายขนาดนั้น ท่านแม่ทัพเรือ" คู่เจรจาเหยียดยิ้ม "ในเมื่อเราอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน เหตุใดจะเจรจากันบ่อยๆไม่ได้ เจ้าไม่ใช่นักเจรจาเหมือนมารดาของเจ้าสักหน่อย" เอเรสรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และเป็นลูกหลานของใคร เขารู้พื้นเพทุกอย่างของเลสธีราห์ และรู้กระทั่งว่าน้ำเสียงแบบไหนจะทำให้เซนทอร์หนุ่มใจอ่อน "ข้าขอเพียงคำตอบว่าเจ้าจะตกลงหรือไม่ เพียงแค่ตัวเจ้าเท่านั้น เลสธีราห์"

กระทั่งวิธีการเรียกชื่อก็ยังเหมือนกันจนเกือบจะแยกไม่ออก...

เซนทอร์หนุ่มเบือนหน้าหนีและสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติ "อย่างไรก็เป็นเพียงลมปาก"

"ข้าจะยกกระบอกนั้นให้เจ้าเลยก็ได้" เอเรสหัวเราะร่วน "แต่ข้าจะไม่ให้ลูกปืนหรอกนะ จนกว่าเจ้าจะยอมตกลง และถ้าปราศจากลูกปืน สิ่งนี้ก็เป็นเพียงแค่ท่อนเหล็กเอาไว้ทุบหัวคนเท่านั้น" คู่สนทนาก้าวเข้าไปใกล้เซนทอร์อีกก้าว "ข้าจะส่งเจ้ากลับแอสทารอธ เจ้ามีหน้าที่พูดกับเหนือหัวดาเรียส และส่งคนมาช่วยข้า จะเรียกร้องปืนคาบศิลาจากข้าสักเท่าไหร่ข้าก็หามาให้ได้ทั้งนั้น แบบนี้เจ้าไม่สนใจเลยหรือ" แม้จะมีน้ำเสียงที่คล้ายคลึงกัน ใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยผมสีดำขลับเหมือนกัน และดวงตาสีน้ำตาลที่แทบไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่ความรู้สึกเมื่อได้อยู่ใกล้นั้นกลับเปรียบกันไม่ได้ บรรยายกาศของเอเรสไม่อบอุ่นและอ่อนโยนแบบเอเดรียน แต่มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเจ้าเล่ห์ ที่ทำให้เซนทอร์หนุ่มต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่

"หรือเจ้าจะอยากนั่งๆนอนๆต่อไปเช่นนั้นโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะ"

เมื่อใช้วิธีหว่านล้อมไม่ได้ผล เอเรสก็เริ่มเปลี่ยนวิธีพูดมาเป็นการถามแทน "เพียงแค่คำเดียวเอง เลสธีราห์" อีกฝ่ายคะยั้นคะยอ "ข้าไม่ต้องการกองเรือของเจ้า แต่ข้าต้องการแค่... ความร่วมมือของเจ้าเท่านั้น มันยากกว่าการรอคอยเรือจักรไอน้ำหรือไร" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองประสานเข้าไปในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลราวกับต้องการอ่านความคิดและเก็บความรู้สึกของคู่สนทนาที่แสดงออกในแววตา

"เจ้าไว้ใจแม่ทัพเอเดรียนขนาดนั้นจริงหรือ เซนทอร์"

"หากข้าจะทำ... ข้าก็ไม่ได้ทำเพราะไม่ไว้เขา" เลสธีราห์กล่าวตอบเป็นครั้งแรกหลังจากนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน "และข้าไม่ได้ตัดสินใจจะทำ เพราะต้องการจะทำร้ายเขา" ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าและมองจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าจะทำเพราะข้ารักเขา..." เขาสามารถยืดอกพูดมันออกมาต่อหน้าเอเรสได้ แต่กลับไม่สามารถพูดมันออกมาในยามที่เผชิญหน้ากับเอเดรียน ฟังดูแล้วช่างเป็นความกล้าที่น่าสมเพช บุคคลที่ต้องการได้ยินกลับไม่ได้ฟัง แต่บุคคลที่อาจเห็นมันเป็นแค่เครื่องมือกลับรับรู้ชัดเจน

"ดังนั้น... ใช้ความสัมพันธ์ของเจ้าให้เป็นประโยชน์" เอเรสพูดเสียงต่ำลง "เพื่อแม่ทัพเอเดรียนของเจ้า"

เมื่อพิจารณาใกล้เพียงนี้แล้ว เอเรสก็คิดว่าเขาเข้าใจความหลงใหลของเอเดรียนที่มีต่อคนตรงหน้า เดิมทีเผ่าพันธุ์เซนทอร์นั้นเป็นอัศวินนักรบที่มีแต่ชื่อเสียงในด้านความโหดเหี้ยมทารุณ แต่เซนทอร์ตรงหน้าเขานี้กลับมีใบหน้าเรียวสวย แพขนตาสีทองอ่อนที่รับกับดวงตากลมสีฟ้าน้ำทะเลอันเป็นลักษณะที่หาได้ยากทั้งในเผ่าเซนทอร์และมนุษย์ จมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากบางที่น่าสัมผัส

"เจ้าช่างเป็นเซนทอร์ที่สง่างาม"

เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยท่าทางตกใจมากกว่าจะขุ่นเคือง เนื่องด้วยวิธีการพูดและน้ำเสียงของเอเรสช่างละม้ายคล้ายคลึง และทำให้เขานึกถึงเอเดรียนเหลือเกิน "เจ้าทำหน้าแบบนั้นทำคนอื่นเห็นไปทั่วเลยหรือ" และโดยไม่คาดคิด เอเรสก็ค่อยๆเอื้อมมือไปจับปอยผมสีอ่อนที่ตกลงมาปรกใบหน้าขึ้นทัดหูเรียวแหลมของคู่สนทนา "หรือเจ้านึกถึงเขาขึ้นมา แต่อย่าลืมล่ะว่าข้าไม่ใช่แม่ทัพเอเดรียน"

เลสธีราห์ยกมือขึ้นปัดมือคนตรงหน้าออกพร้อมกับสูดหายใจลึกๆเพื่อดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์

"อย่าแตะต้องข้า"

นัยน์ตาสีฟ้าตวัดขึ้นมองนิ่ง ทำให้คนพูดต้องถอยมือกลับไป "นี่สิ ค่อยสมเป็นคนสวย..." เอเรสยิ้มเล่นหัว "ถือว่าเรามีข้อตกลงกันแล้วนะ" มือใหญ่ดึงถุงหนังที่ผูกเอาไว้กับเข็มขัดออกมาและยื่นให้เลสธีราห์ "นี่เป็นลูกปืน และดินปืน... และถ้าเจ้าใช้ปืนใหญ่เป็น ข้าคิดว่าคงไม่ต้องสอนเจ้าใช้สิ่งนี้กระมัง" เซนทอร์หนุ่มเปิดถุงหนังดูและพบลูกปืนหลายลูกกับขวดดินปืนในลักษณะพร้อมใช้งาน เขาปิดถุงนั้นและเงยหน้าขึ้นมองเอเรสอีกครั้งและดูท่าทีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

"เจ้านี่ไม่ค่อยพูดเอาเสียเลยนะ"

เลสธีราห์หลับตา และถอยเท้าออกมาห่างจากอีกฝ่าย "เมื่อหมดธุระแล้วเจ้าก็ควรออกไป"

"อะไรกัน ไล่ข้าเสียแล้ว" เอเรสหัวเราะ "นี่เจ้าทำแบบนี้กับเอเดรียนด้วยหรือเปล่า 'คนรัก' ของเจ้าน่ะ" เลสธีราห์รู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะกลั่นแกล้งเขา หลังคลายบรรยากาศการสนทนาจากความตึงเครียด และเขาพอจะรู้ว่าเอเรส ฟลินทรัสต์มีนิสัยชอบกลั่นแกล้งและยั่วเย้าผู้อื่นเพื่อความสนุกของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นการหยอกล้อที่แทงใจเขาอยู่มากก็ตามที

"ถ้าเขามาเห็นเจ้า... เขาจะโกรธเคืองข้า" เลสธีราห์ยังคงกำเสื้อนอกของอีกฝ่ายเอาไว้ "ออกไป"

"เขาจะฆ่าข้าแทนต่างหาก" เอเรสหัวเราะ "เขาหลงเจ้าขนาดนี้ จะไปโกรธเคืองอะไรเจ้าได้ เลสธีราห์ บลังค์..." ชายหนุ่มยักไหล่ครั้งหนึ่งและตัดสินใจออกไปจากห้องตามที่คู่สนทนาแนะนำ "และเพราะความหลงใหล หลงรักนี่น่ะ... ที่จะทำให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่เคยมีพลังในการทำมาก่อน"

"ข้ารู้ว่าพี่ชายข้าเป็นคนยังไงน่า... หมายถึงเอเดรียน ฟลินทรัสต์น่ะนะ"

--------------------------------------------------


แหน่ะ... ,,- -,, เขียนคาร์แรคเตอร์เอเรสนี่สนุกมากกกกกกกกกกก คือนางมีความเกรียน มีความฉลาด และมีความหล่อกว่าพี่---
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2016 10:16:36 โดย khaosap »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เป็นพี่น้องกันหรอกเหรอ

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เราว่ามันคล้ายกับประวัติศาสตร์ที่เราเรียนมามากเลยค่ะ
เคยอ่านงานเขียนของอาจารย์ในมหาลัยวิเคราะห์เรื่องพวกนนี้เหมือนกัน อ่านแล้วสนุกดีเลยชอบอ่านเรื่องนี้ด้วย
เอเรส เอดรียน พี่น้องแท้ๆกันหรอเนี่ยยย ถึงว่าชื่อคล้ายๆกัน แล้วจะเชื่อใจได้ขนาดไหนกันดูแล้วเอเรสเจ้าเล่ห์มาก

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!! ไรรรรรรรท์ได้โปรดดดดดดดดมาต่ออีกยาวๆเถอะค่ะ พลีสส อูยยยยย 19 ตอนรวด เชรดดดดดดดโคตรสนุกกกกก เป็นอะไรที่แว่บไปอ่านอย่างอื่นไม่ได้วางไม่ลงเลย เหมือนดูซีรีส์หยุดดูไม่ได้ยันเช้า 55555 มโนเป็นฉากๆลุ้นสุดๆ มโนล้ำจริงๆ ช่วงแรกๆไม่เจอความวาย งงว่ามันจะวายยังไงว่ะ เลยลองอ่านๆต่อ พอรู้ละ อ้าวเหี้ยยยย สนุกว่ะเฮ้ยยย ชอบบบบเอเดรียนนนนเลสก็น่ารักกก รั้นน่าตี 555555 ชอบทุกคนเลย ไม่รู้จะเม้นท์อะไร ตอนนี้ติดงอมแงม อยากอ่านต่อ เข้าไปในเด็กดีไม่อัพต่อ ก็เลยเจอเรื่องอื่นจะเข้าไปอ่านดูค่ะ ตามผลงานค่ะ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 19.2
«ตอบ #66 เมื่อ19-11-2016 20:13:39 »

ตอนที่ 19.2

แม่ทัพเอเดรียนเดินทางมาพบอาคันตุกะถึงลำเรือที่พักในยามสาย โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเดินทางเข้าไปที่มหาคฤหาสน์อีก ซึ่งนั่นก็ทำให้ราชินีธีสธรัลรู้สึกพอใจขึ้นมาบ้าง "อย่างน้อยอาเดรียก็ยังมีมารยาทต่อข้าที่เป็นถึงราชินีอยู่บ้าง"

ผู้นำอาณาจักรเหน็บแนมด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะที่แม่ทัพใหญ่เดินขึ้นมาบนลำเรือคาร์เธียร์ นางเองนั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชาบนดาดฟ้าเรือ และส่งยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นให้ผู้มาเยือนอย่างเย็นชา แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายช้อนมือเรียวขึ้นมาจรดที่มุมปากเป็นการทักทายตามมารยาท "การที่พระนางปฏิเสธที่พักในมหาคฤหาสน์ก็บ่งบอกถึงความไม่พอใจอยู่แล้ว เหตุใดข้าจะต้องยั่วโทสะให้ธีสธรัลโกรธเคืองมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ในตอนนี้ความประนีประนอมอาจเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการมากที่สุด"

"มารยาทก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างเรียบร้อยหรอก ท่านแม่ทัพ" หญิงสาวตอบเสียงเรียบ

"พระนาง..." เอเดรียนค้อมหัวลง "ข้าคงย้อนอดีตไปแก้ไขมารยาทให้ท่านไม่ได้ ได้แต่หวังว่าในปัจจุบันจะน่าประทับใจพอ" คู่สนทนาผายมือให้เขานั่งตรงข้ามกับนาง ขณะที่หญิงรับใช้รีบเข้ามาจัดแจงเสิร์ฟน้ำชาและของว่างต้อนรับผู้มาเยือน

"ความประทับใจของข้าอาจหมายถึงความสำเร็จในการเจรจาก็เป็นได้"

"เช่นนั้นเรายิ่งต้องเร่งหารือกัน" เอเดรียนยิ้มรับ

ราชินีวางถ้วยชาลงแล้วจึงยกมือขึ้นกอดอก "ข้าจำเป็นต้องดูแลผลประโยชน์ของอาณาจักรข้า"

"ข้าเองก็ต้องดูแลประโยชน์ของอาเดรีย พระนางไวลด์... หากเรามัวแต่ไว้เชิงใส่กันแบบนี้ การเจรจานี้อย่างไรก็ไม่ได้ความ และประชาชนของเราทั้งสองอาณาจักรต่างก็เดือดร้อน อาเดรียไม่สามารถค้าขายได้ตามปกติ กระทั่งธีสธรัลก็เริ่มขาดแคลนเสบียงอาหาร ต่อให้ท่านเป็นพันธมิตรกับพวกภูต แต่พวกท่านจะขนส่งกันได้อย่างไร หากอาเดรียที่เป็นเมืองท่ายังปิดอยู่เช่นนี้" ไวลด์ไม่เถียงว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง แต่สิ่งที่นางไม่แน่ใจก็คือหากนางยอมเสียผลประโยชน์ในเรื่องนี้ มันจะสามารถสั่นคลอนอำนาจของธีสธรัลในอนาคตได้หรือไม่ พวกเขาจะยังเป็นมหาอำนาจ และมหานครที่เจริญที่สุดในหมู่มวลมนุษย์หรือไม่ หากยอมตกลงข้อเสนอนี้

พวกเขาเป็นเมืองเกาะที่เคยยากจนข้นแค้น กว่าจะยิ่งใหญ่ได้อย่างปัจจุบันนี้ก็ใช้เวลานานหลายสิบปี

และไวลด์เองก็ไม่ต้องการให้ยุคทองของอาณาจักรมาจบลงในยุคของนาง

"เกรงว่าสิ่งที่เจ้าขอดูจะมากเกินไป แม่ทัพอาเดรีย" แต่คนที่พูดขึ้นกลับเป็นกัปตันเรือรบคาร์เธียร์ที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังผู้นำอาณาจักร เขาพยักหน้าให้ราชินีของตนครั้งหนึ่งแทนคำขออนุญาตออกความเห็น "ในความเป็นจริง เราควรจะยกกองเรือมาบุกโจมตีที่นี่ด้วยซ้ำไป อาเดรียเป็นเมืองขึ้นของเรา รวมทั้งคัสนาห์... เจ้าอย่าได้ไถ่ถามความเมตตาจากพระนางด้วยความที่นางเป็นสตรี เราคงไม่อาจใจดีปล่อยให้เมืองใดเมืองหนึ่งเป็นอิสระจากเราได้โดยง่าย ซ้ำยังมาหาผลประโยชน์กับเราอีกด้วย หากทำเช่นนั้นแล้ว... อัสเซเดธที่เป็นเมืองขึ้นของเราอีกเมืองหนึ่งก็จะเอาใจออกห่างเช่นกัน"

ธีสธรัลเป็นเมืองแม่ โดยมีเมืองขึ้นทั้งหมดสามเมือง นั่นคือ คัสนาห์ อาเดรีย และอัสเซเดธ

"พระนางมีเมตตามากแล้วที่เดินทางมาเจรจาถึงที่นี่โดยไม่นำกำลังรือรบมาด้วย เจ้าอย่าได้ทวงถามความเมตตาจากพระนาง สิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี้คือการรีบขอขมาในความโอหังที่เจ้าสำแดงเอาไว้ก่อนหน้า แล้ว..." เอเดรียนลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับกัปตันเรือคาร์เธียร์ และด้วยความสูงที่มากกว่าทำให้อีกฝ่ายเอื้อมมือไปจับด้ามดาบของตนเป็นเชิงเตือน

"พอแล้ว ทั้งคู่..." ราชินีสั่งเสียงเย็น "จริงอยู่ว่าพวกเราเอาเปรียบเขามากในเรื่องของค่าธรรมเนียมท่าเรือ แต่ข้าก็ปฏิเสธที่จะจ่ายเต็มจำนวนดังที่เจ้าว่า ข้าก็ต้องดูแลคนของตัวเองด้วย ดังนั้นจำนวนตัวเลขที่เราพุดคุยกันไปเมื่อวานมานี้จึงถือเป็นโมฆะ"

นัยน์ตาสีฟ้าของผู้นำอาณาจักรเหลือบขึ้นมองประสานกับแม่ทัพใหญ่

"ข้าเสนอ... ให้คลังหลวงธีสธรัลเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมแบบเหมาทั้งปี เพื่อแบกรับภาระแทนประชาชน" หญิงสาวพูดเสียงเรียบก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย "แลกกับ... การที่เจ้าขึ้นเป็นผู้นำของอาเดรีย" ประโยคแรกของราชินีทำให้เอเดรียนคิดว่านางมีเมตตา แต่ประโยคต่อมากลับทำให้เขาคิดว่านางกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

"สองพี่น้องนั่นเลี้ยงไม่เชื่องอีกต่อไปแล้ว ในอนาคตก็คงจะหาเรื่องปวดหัวมาให้ข้า และประชาชนของข้าอีก ดังนั้น... ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้ข้ายกกองเรือเวเรนเซียมาประจันหน้ากับปราการที่แสนมีค่าของเจ้า ก็จงยกตัวเองขึ้นเป็นผู้นำเสีย" ริมฝีปากบางจรดยิ้มร้ายลึก "ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น... ที่เอาหัวมันมาให้ข้า"

"พระนาง..."

"ข้ายินดีร่างสัญญา หากลมปากข้ามันไม่น่าเชื่อถือ" พระนางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ตัวหรูอย่างสบายใจ "ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ากล้าจะลงนามหรือไม่ เอเดรียน" ไวลด์เหลือบมองคนสนิทของนางแล้วพยักหน้าให้นำแผ่นหนังกับแท่นหมึกมาให้ "ถ้าไม่อยากทำสงครามกับธีสธรัล ซ้ำยังได้ค่าตอบแทนเรื่องค่าธรรมเนียมท่าเรืออีกด้วย... เจ้าก็เพียงแค่ลงนาม"

มือของหญิงสาวจับปากกาตวัดเขียนข้อความลงบนแผ่นหนังด้วยลายมือบรรจงสวยงามที่ดูอ่อนหวานสมกุลสตรี ทว่าเนื้อความที่พระนางร่างออกมากลับกล่าวถึงข้อแลกเปลี่ยนที่นางต้องการอย่างโหดเหี้ยม แลกกับความสงบสุขของอาเดรีย และค่าธรรมเนียมท่าเรือแบบรายปี ธีสธรัลร้องขอให้แม่ทัพเอเดรียนลุกขึ้นยึดอำนาจจากผู้นำคนปัจจุบัน ธีสธรัลให้โอกาสเอเดรียนมาก... แต่ใจของชายหนุ่มกลับเจ็บร้าวเสมือนถูกกรีดแทง ผู้นำหญิงคนนี้ต้องการให้เขากลายเป็นคนอกัตญญูหรืออย่างไร

หรือเพราะนางรู้ว่าเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ จึงได้ใช้สัญญาแบบนี้

"เจ้ามีความกล้าพอไหม เอเดรียน"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


แบ่งอัพผิดอ่ะ 555
มันต้องเป็น 2 ย่อหน้าโพสต์นึง อีกโพสต์นึง 2 ย่อหน้า อันนี้เลยกลายเป็นสั้นไปเลอออ...

ปล. กรี้ดเป็นเพื่อนกัน OTL จริงๆคือแอสทารอธมีโครงการร่วมเล่มนะคะ (แต่ลงจบแน่นอน ไม่ต้องห่วง ไม่เคยกั๊ก 555)
แล้วนักวาดปก คุณ SweetCrescent (ที่หนีข้าพเจ้าไปเรียนปริญญาตรีใบที่ 2 และอ่านหนังสือสอบกฎหมายอีกครึ่งปี) เพิ่งส่งดราฟต์เอเดรียนมาให้...

นี่ขนาดยังไม่ได้เก็ลดีเทลนะเนี่ยยยยยยยยยยยยย
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:


ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
กรี๊ดดดดดด ทำไมเอเดรียนหล่อแซ่บขนาดนี้  :hao7:
รบๆกันเถอะ เจรจากันวกไปวนมา โอ้ยยย  :z3:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.1
«ตอบ #68 เมื่อ20-11-2016 17:05:40 »

ตอนที่ 20.1

ซินญอร์มองเรือรบคาร์เธียร์จากห้องพักในมหาคฤหาสน์ขณะที่สนทนากับเลขาของแม่ทัพใหญ่

"แต่ตามกฎของเซนทอร์ การทำแบบนี้เท่ากับเป็นการฆ่าเลสธีราห์ชัดๆ"

จาร์เร็ตต์มุ่นคิ้วมองผู้นำของตนที่วางท่าเมินเฉยต่อคำทักท้วง "เราแทบจะไม่เข้าใจพวกเขาเลยเสียด้วยซ้ำ เหตุใดท่านชายจึงกล้าคาดเดาท่าทีของแอสทารอธ ท่านว่าเพียงแค่รั้งเลสธีราห์เอาไว้ในนานพอเท่านั้น แต่ตอนนี้ท่านกลับจะแจ้งเรื่องให้แอสทารอธทราบ" ผู้นำอาณาจักรที่ลุกเดินไปมาด้วยความกระวนกระวายเกี่ยวกับการเจรจาเดินกลับมานั่งที่โซฟาและเอนหลังพิงเบาะนุ่มช้าๆ

"ต่อให้ข้าจะเป็นผู้นำอาณาจักร แต่ข้าช่วยเหลือทุกคนไม่ได้หรอกนะ จาเร็ตต์" ซินญอร์กล่าว "และการคาดเดาท่านราชเลาแห่งแอสทารอธก็ไม่ได้ยากเย็นขนาดนั้นในเมื่อผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์เป็นถึงบุตรชายแท้ๆของนางเอง" ชายหนุ่มว่า เขาเองก็พยายามเลี่ยงจะไม่เรียกชื่ออีกฝ่ายหลังจากได้รับคำเตือนมาว่าเซนทอร์ไม่พอใจกับการถูกเรียกจากคนที่ไม่มีความสนิทสนมกัน "จิตใจของคนเป็นแม่มันไม่ได้ซับซ้อนเพียงนั้น"

"แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น... ท่านก็ไม่น่า..."

"การจะผลักดันให้เอเดรียนประกาศศึกมันใช้คำสั่งของข้าไม่ได้ เจ้าก็รู้ดี" ซินญอร์เสียงแข็ง "แต่ต้องใช้วิธีกดดันทั้งจากแอสทารอธและธีสธรัล นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าส่งเขาไปเจรจากับพระนางไวลด์" ผู้นำอาณาจักรมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งด้วยความกังวล "แม้นางจะยอมเดินทางมาถึงที่นี่ แต่นางไม่มีวันยอมเสียเปรียบแน่นอน และคำพูดของนางมีอำนาจพอที่จะทำให้เอเดรียนลุกขึ้นต่อสู้ได้เพื่อบ้านเมือง"

"ท่านชาย..." จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว "ทำไมต้องทำร้ายเขาถึงเพียงนี้"

คนถูกถามเบือนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการให้คำตอบ จังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับการกลับมาเยือนของเอเรส ว่าที่แม่ทัพคนใหม่ของอาณาจักรอาเดรีย "ท่านควรจะบอกข้าสักคำว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย" ร่างสูงเดินตรงนั่งที่โซฟาอย่างเป็นกันเองจนเกินควรจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีมารยาท แล้วรินน้ำชาในกาใส่ถ้วยเล็กๆของตนก่อนจะยกขึ้นจิบ

ซินญอร์ถอนใจเหนื่อยหน่ายแล้วจึงหันไปหาจาเร็ตต์ "นี่คือเอเรส ฟลินทรัสต์"

"ฟลินทรัสต์..." คนฟังเบิกตาขึ้นเล็กน้อยพร้อมทั้งอ้าปากค้าง และมองไปที่ผู้มาใหม่ซึ่งปฏิบัติตนเป็นปกติ ในขณะที่จาเร็ตต์ยังคงอ้าปากค้างอยู่นั้นด้วยเพิ่งสังเกตว่าทั้งสีผม สีตา และรูปหน้าของอีกฝ่ายล้วนแล้วแต่ถอดแบบมาจากเอเดรียน เว้นเสียแต่บุคคลิกที่ดูจะต่างกันโดยสิ้นเชิง "น้องชายของแม่ทัพใหญ่..."

ซินญอร์พยักหน้า "และว่าที่แม่ทัพใหญ่คนต่อไปแห่งอาเดรีย"

"เจ้าคงเป็นจาเร็ตต์" เอเรสจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย และวางถ้วยชาลง "ข้าเห็นเจ้าอยู่กับเอเดรียนบ่อยๆ" แต่ก่อนที่เอเรสจะได้เปิดบทสนทนากับจาเร็ตต์ด้วยความอยากรู้จักและอยากรู้อยากเห็น ซินญอร์ก็กระแอมขัดบทสนทนาขึ้นมาก่อนเพื่อเตือนให้เอเรสรู้ว่าอีกฝ่ายต้องพูดเรื่องอะไรหลังจากไปพบเซนทอร์มา

"อา... รายงานผลสินะ" ร่างสูงเอนตัวพิงโซฟาเมื่อถูกขัดใจ "มีหรือ ที่เอเรส ฟลินทรัสต์จะล้มเหลว"

"ต่อให้มันสำเร็จ ข้าก็อยากรู้ว่ามันจะสำเร็จอย่างไร เอเรส" ซินญอร์ว่า "ได้ยินว่าแอสทารอธในตอนนี้มีการประลองวาร์ดาเพื่อคัดเลือกผู้นำอาณาจักนคนต่อไป จึงน่าจะถ่วงเวลาได้อีกบ้าง และตอนนี้เอเดรียนก็กำลังเจรจากับธีสธรัลที่ไม่มีทางอ่อนข้อให้เราเป็นแน่"

"ข้าซื้อคนสวยได้... เท่านี้ก็คงจะเพียงพอแล้ว"

จาเร็ตต์อ้าปากค้างอีกครั้งกับวิธีการเรียก 'คนสวย' ของเอเรส และแน่นอนว่าเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร "แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง หากการประลองวาร์ดาเริ่มขึ้นในวันแรกของฤดูใบไม้ร่วงตามปฏิทินเซนทอร์ ข้าก็เกรงว่ามันคงจะจบลงเมื่อวานนี้แล้ว" ราชาโจรสลัดยิ้ม "คิดว่าข้าไม่เคย... ประมือกับเซนทอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแอสทารอธหรือ"

"เจ้าหมายถึงอะไร เอเรส..."

"ซาฮาล ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์กราเทียร์ ผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดลำดับที่ห้าของแอสทารอธ" เอเรสมีหูตามากพอที่จะรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องเกือบทั่วแผ่นดิน ด้วยความที่เขามีเส้นสายและอิทธิพลกว้างขวาง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้เรื่องของแอสทารอธดี และอาจจะรู้ความเคลื่อนไหวดีเสียยิ่งกว่าหน่วยข่าวที่ไหน "ผู้เข้าประลองวาร์ดาจะต้องมีความรอบรู้ จึงมีการสอบเก็บคะแนนเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เหนือหัวแห่งเซนทอร์เป็นพวกที่มีดีแต่พละกำลังทว่าปราศจากสมอง และการประลองจะเรียงลำดับตามคะแนนสอบนั้น ผู้ใดที่สามารถทำให้เหนือหัวดาเรียสล้มลงกับพื้นได้เป็นคนแรกจะเป็นผู้ชนะ"

นัยน์ตาสีเข้มของคนพูดหรี่ลงเล็กน้อย "และซาฮาลคือตัวเต็งสำคัญของการประลองนี้"

"ข้าส่งคนไปสืบข่าวนี้ที่แอสทารอธแล้ว หากการประลองสิ้นสุดลงจริง เราจะได้รู้เรื่องกันในวันนี้" ซินญอร์ตอบเสียงเรียบ "แต่หากผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ได้เป็นผู้แอสทารอธจริงๆ เราอาจต้องกลับไปพิจารณาเรื่องเรือจักรไอน้ำ หากต้องการจะจับแอสทารอธเอาไว้ให้อยู่หมัด" เมื่อพูดถึงซาฮาล จาเร็ตต์ผู้เคยเดินทางไปแอสทารอธมาแล้วก็นึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเซนทอร์ที่น่าเกรงขาม ทั้งยังดุดัน ขึงขันอันเป็นคุณสมบัติที่เซนทอร์ทุกตนพึงมี อันแตกต่างจากเลสธีราห์โดยสินเชิง

เอเรสหัวเราเบาๆ "ซาฮาลผู้นั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนสวยเลยล่ะ"

แม้จะเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่จาเร็ตต์ก็รู้สึกแปลกประหลาดที่จะได้ยินเอเรสเรียกเลสธีราห์ว่า 'คนสวย' เลขาหนุ่มถอนใจเบาก่อนจะออกความเห็นบ้าง "ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีหากเซนทอร์ตนนั้นเป็นผู้นำคนต่อไปของแอสทารอธ เพราะดูเขาจะไม่ค่อยพอใจพวกเราตั้งแต่ครั้งที่เราเดินทางไปเจรจาครั้งที่แล้ว"

"ข้าบอกแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการแอสทารอธ" ซินญอร์กล่าวเสียงเรียบ "ข้าต้องการเลสธีราห์"

--------------------------------------------------

ชัยชนะของซาฮาลอาจไม่ใช่เรื่องที่โจษจันในประวัติศาสตร์ เพราะเหนือหัวดาเรียสเองก็สามารถเอาชนะการประลองได้ในวันแรกเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถทำคะแนนทดสอบความรู้ได้เป็นอันดับสองของอาณาจักรอีกด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ชัยชนะของซาฮาลแตกต่างนั่นคือการที่เขาเป็นผู้ท้าประลองที่สามารถเอาชนะเหนือหัวองค์ก่อนได้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุดไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

เหล่าขุนนางยืนเรียงแถวโดยพร้อมเพรียงเพื่อแสดงถึงความเคารพในงานพิธีระดับสูง เบื้องขวาที่เคยเป็นที่ของราชเลขาลีอาห์ บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยเซนทอร์สีดำลายขาว และตัวท่านหญิงนั้นไปยืนฝั่งซ้ายแทน หลังจากกล่าวต้อนรับแล้ว เหนือหัวดาเรียสก็หันไปหาซาฮาลซึ่งบัดนี้ไม่ใช่ผู้นำของกองเรือพาณิชย์อีกต่อไป แต่เป็นว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ

"ในอีกยี่สิบสองปีต่อจากนี้เจ้าจะต้องร่วมลงการประลองวาร์ดาเพื่อเลือกเหนือหัวองค์ต่อไป... นับเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากสำหรับการนั่งตำแหน่งผู้นำแห่งแอสทารอธ" ดาเรียสกล่าวอย่างเห็นใจ "แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ทรงเกียรติสำหรับเซนทอร์ตนหนึ่ง"

"และเป็นผู้ที่ต้องปกป้องทั้งผลประโยชน์ เกียรติ และศักดิ์ศรีของเซนทอร์ทั้งหมด"

 ซาฮาลที่นิ่งฟังโดยสงบมาตลอด เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยืดอกเป็นคำขออนุญาตออกความเห็น "เหนือหัวดาเรียส... ข้าอาสาที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของแอสทารอธในเหตุการณ์ครั้งนี้" ร่างสูงสูดลมหายใจเข้า และการเริ่มบทสนทนานี้ก็ทำให้ท่านหญิงลีอาห์ต้องหันมองด้วยหวั่นใจว่าสิ่งที่ซาฮาลกำลังจะพูดนี้จะเป็นรื่องเดียวกับที่นางคิดอยู่หรือไม่

"ข้าทราบมาว่า... อาเดรียจับผู้นำกองเรือเซเลสต์ไปกักขังไว้"

โถงกว้างเกิดเสียงพึมพำขึ้นในทันที แม้ว่าราชเลขาผู้เป็นมารดาของผู้นำกองเรือเซเลสต์จะกวาดสายตาดุดันมองปรามแล้วก็ตาม เหนือหัวดาเรียสอ้าปากค้างน้อยๆก่อนจะหันไปหาท่านหญิงคนสนิท "เป็นความจริงหรือ ลีอาห์..."

"ท่านหญิงคงยังไม่ทราบข่าว เนื่องจากเราสนใจการประลองวาร์ดา แต่ข้าทราบเรื่องนี้จากเฟรดา ผู้นำหน่วยลาดตระเวนในสังกัดของท่านหญิงโมนา" เฟรดามีศักดิ์เป็นผู้นำใต้สังกัด ดังนั้นนางจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมในสภาขุนนางระดับสูง แต่เมื่อเอ่ยชื่อของแม่ทัพหญิงออกมา ทุกคนก็พยายามหันไปหาเจ้าของชื่อเป็นการตั้งคำถามต่อ

ทว่านางเองก็ไม่อยู่ในที่ประชุมเช่นกัน

"ท่านหญิงโมนาขอลากลับไปรักษาตัวที่มารินา" ราชเลขากล่าวตอบแทนเพื่อไขข้อข้องใจ "หลังจากพ่ายแพ้ต่อเหนือหัวดาเรียสเมื่อวานนี้..." ท่านหญิงโมนา แม่ทัพใหญ่แห่งแอสทารอธเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมประลองวาร์ดา อีกทั้งนางยังทำคะแนนสอบความรู้ได้เป็นอันดันสองของอาณักรอีกด้วย ทว่าด้วยสภาพโครงสร้างร่างกายแล้ว สตรีย่อมมีความปราดเปรียวมากกว่าทว่าไม่มีพละกำลังพอที่จะต่อกร ดังนั้นหญิงสาวจึงพ่ายแพ้การต่อสู้ไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซึ่งนับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเซนทอร์

"ตอนนี้ข้าอาจจะไม่ใช่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ แต่ข้าอาสาจัดการเรื่องนี้..."

ผู้นำสูงสุดของอาณาจักรมุ่นคิ้วเชิงตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง นี่อาจเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่ละเอียดอ่อน และเกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายของเลสธีราห์ ดังนั้น ซาฮาลจึงไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือต่อหน้าเหล่าขุนนางโดยไม่ไถ่ถามหรือปรึกษาตัวเขาหรือว่าท่านหญิงลีอาห์เสียก่อน เพราะเลสธีราห์ใกล้ชิดเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่งของเขา ดาเรียสจึงยอมไม่ได้ หากสภาขุนนางจะลงความเห็นพร้อมกันว่าควรใช้โทษทัณฑ์สูงสุดสำหรับอัศวิน

...นั่นคือความตาย

"อาเดรียเคยเสนอมอบศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำในเราโดยขอเวลาหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมความเรียบร้อย แต่จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราได้รู้ว่าพวกมนุษย์คิดไม่ซื่อกับเรา อีกทั้งยังดูหมิ่นเกียรติของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์อีกด้วย" ซาฮาลพูดต่อโดยไม่ปล่อยให้ขุนนางคนไหนได้มีโอกาสพูดแทรก ด้วยเกรงว่าจะถูกรบกวน "แต่ผู้บัญชาการเซเลสต์เองก็มีความผิดที่เปิดเผยความลับของอาณาจักร ทำให้สายลับของแอสทารอธจำต้องถอนตัวกลับมาเพื่อความปลอดภัย ดังนั้น..."

คนเป็นแม่กลั้นหายใจเล็กน้อยโดยไม่หันไปมองต้นเสียง

"ข้าจึงเสนอให้แอสทารอธตอบรับข้อเสนอของธีสธรัล และให้เลสธีราห์เปิดสงครามกับอาเดรีย!"

--------------------------------------------------


ทีละฝ่าย... เดี๋ยวทางซินญอร์ก็จะขยับเหมือนกัน ฮา ในตอนเดียว... กลัวจะงง
//ต้องขยับตัวละคร 3 ฝ่าย ที่คิดกันคนละแบบ แถม 1 ในนั้นดันแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งอีก อุ้ววววว << แต่เวลาคิดมันสนุกนะ

แต่แอสทารอธรบแน่นอน... อิอิ(?)

ปล. หนึ่งชั่วยาม = 2 ชั่วโมงค่ะ << แปลว่าซาฮาลใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียว
ปล.2 ตอนที่แล้วลืมบอก... ปืนคาบศิลา (flintlock guns) เป็นปืนที่นิยมใช้ในศตวรรษที่ 18 (อ่า ถ้านึกไม่ออกก็ Pirates of the Caribbean เน้อะ) เป็นรุ่นที่ไฮเทคกว่าปืนไฟ (matchlock guns) นิดนึง
ปืนใหญ่ในเรือรบจัดเป็น matchlock ค่ะ >> ใส่ดินปืน+ลูกปืน >> กระทุ้งๆเข้าไป แล้วจุดชนวน
flintlock >> ใส่ดินปืน+ลูกปืน >> กระทุ้งๆเข้าไป แล้วลันไกให้หินเหล็กไฟ(flint) เสียดสีจนเกิดประกายไฟ

โอเค... หมดเลคเชอร์(?) ฮาาา

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่ไหวแล้ว... อ่านแล้วแอบกดดันอ่ะ (เราไม่ค่อยถูกกับอะไรที่เดาไม่ค่อยได้แบบนี้เท่าไหร่ แถมไม่รู้จะเชียร์ฝ่ายไหนด้วย เพราะเดาทางไม่ถูกเลย) เลยจะบอกคนเขียนว่าขอสังเกตการณ์แบบห่าง ๆ แล้วกันนะคะ (จะเข้ามาบวกเป็ดให้อยู่นะ แต่อาจจะไม่แสดงความคิดเห็นจนกว่าจะเลือกข้างได้ ฮา)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
ไม่ไหวแล้ว... อ่านแล้วแอบกดดันอ่ะ (เราไม่ค่อยถูกกับอะไรที่เดาไม่ค่อยได้แบบนี้เท่าไหร่ แถมไม่รู้จะเชียร์ฝ่ายไหนด้วย เพราะเดาทางไม่ถูกเลย) เลยจะบอกคนเขียนว่าขอสังเกตการณ์แบบห่าง ๆ แล้วกันนะคะ (จะเข้ามาบวกเป็ดให้อยู่นะ แต่อาจจะไม่แสดงความคิดเห็นจนกว่าจะเลือกข้างได้ ฮา)

ขอบคุณมากค่า *0* ใจเย็นๆเน้อ ฮา... อาจจะการเมืองหนักไปหน่อย OTL
//หนักกว่าที่คิดไว้มาก ตอนวางพลอตนี่อยากได้โรแมนติกนะ แต่ผูกเรื่องไปๆมาๆแล้วการเมื๊องการเมือง แฮะๆ

เราไม่ยื้อไว้นานหรอก... เราก็กดดันค่ะ 5555 ชอบเขียนฉากสวีทมากกว่า (ซึ่งเรื่องนี้หาจังหวะสวีทยากมาก!!! กรี้ดดดด)

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เอ้าาา ไปกันใหญ่เลยทีนี้ แอสธารอทจู่ๆก็จะลงมาเล่นเอง 55555

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 20.2
«ตอบ #72 เมื่อ20-11-2016 20:20:34 »

ตอนที่ 20.2

เอเดรียนกลับมายังห้องของเลสธีราห์ที่มหาคฤหาสน์แทนที่จะกลับไปยังราห์โมนาอันเป็นที่ของตน แม้ว่าบรรยากาศรอบตัวของพวกเขาทั้งคู่จะไม่ได้อบอุ่นเป็นกันเองเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว แต่แค่ได้เห็นหน้ากันอีกครั้งกลับทำให้คนทั้งคู่รู้สึกสบายใจขึ้นมาชั่วขณะ "เจ้าลืมเสื้อคลุมเอาไว้" เซนทอร์ยื่นผ้าสีเขียวน้ำทะเลที่อีกฝ่ายใช้คลุมบ่าคืนให้โดยไม่พูดอะไรต่อ

"เจ้าทานอาหารเช้าแล้วหรือ" เอเดรียนเริ่มคุย เพราะเขาไม่ได้มีเจตนาแค่กลับมาเอาเสื้อคลุม

"ผักกินง่ายกว่าเนื้อ" ร่างโปร่งยิ้มจาง "เจ้าเป็นคนบอกคนครัวเรื่องที่ข้าไม่กินเนื้อหรือเปล่า" เลสธีราห์ไม่แน่ใจสถานะตนเองสักเท่าไหร่ เขาถูกจับในฐานะสายลับจากอาณาจักรอื่น ทว่านับแต่นั้น เซนทอร์หนุ่มก็คิดว่าเขาพักผ่อนอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายพอสมควร และในช่วงแรกๆ อาหารที่ถูกนำมาให้ก็เป็นเนื้อเสียมาก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นผักทั้งหมด

"ถึงยังไง... เจ้าก็เป็นคนของข้า ข้ามีหน้าที่ดูแลเจ้าไม่ใช่หรือ"

เอเดรียนก้าวเข้ามาหาอีกฝ่าย และมองสำรวจร่างกายตรงหน้าที่เคยมีบาดแผลซึ่งในบัดนี้จางหายไปจนหมดแล้ว และด้วยระยะใกล้ชิดนั้นเองที่ทำให้เซนทอร์หนุ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายจนต้องเงยหน้าขึ้นสบตา

...ใช้ความสัมพันธ์ของเจ้าให้เป็นประโยชน์

เสียงของเอเรสดังขึ้นในหัว แม้ว่ามันจะทำให้เลสธีราห์เสียสมาธิไปบ้าง แต่เชายหนุ่มก็กลืนน้ำลายช้าๆก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแผ่ว "ใช้คำว่า 'เป็นของข้า' ไม่ใช่ได้เหรอ" ตามปกติแล้วเซนทอรืหนุ่มไม่พูดจาแบบนี้ ดังนั้นเจ้าตัวเองจึงรู้สึกกระดากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน และตัดสินได้ในอึดใจว่านี่เป็นวิธีการที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

"เจ้าพูดเอง แล้วหน้าแดงเองแบบนี้ได้อย่างไร" เอเดรียนหัวเราะเบาเอ็นดู "ไปเรียนมาจากไหนกัน"

"ข้าจะไปเรียนมาจากไหนได้"

ร่างโปร่งพึมพำ และอึดใจต่อมาเขาก็ถูกรวบเข้าไปอยู่ในวงแขนแกร่งของคนตรงหน้า และสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่คลอเคลียข้างแก้ม เลสธีราห์กอดตอบและหลับตาลงเพื่ออิงแอบไออุ่นตรงหน้าอีกสักพักเพื่อหลบหนีความจริงที่คนทั้งสองไม่ต้องการเผชิญ "เจ้าเป็นของข้า... เลสธีราห์" แม้คำพูดของอีกฝ่ายจะเอาแต่ใจและแสดงความเป็นเจ้าของ แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งคู่แทบจะไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกัน

"เจรจาล้มเหลวอีกแล้วหรือ" เซนทอร์พึมพำถาม "ธีสธรัลไม่อ่อนข้อให้เจ้าหรือไร"

เอเดรียนหลับตาลงระหว่างชั่งใจว่าเขาควรจะให้คำตอบอีกฝ่ายหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นความลับของอาณาจักร แต่ตัวเขาเองก็เคยสัญญาว่าจะบอกอีกฝ่ายในทุกเรื่องไม่ใช่หรือ "ธีสธรัลไม่อ่อนข้อ อีกทังยังเรียกร้องสิ่งที่สูงค่า" แม่ทัพใหญ่ถอนใจ "นางเรียกร้องให้ข้าฆ่าท่านชายซินญอร์... แลกกับความอยู่รอดของอาเดรีย"

เลสธีราห์กลั้นใจเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาสีฟ้าครามเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง

"แล้วเจ้าให้คำตอบว่าอะไร..."

เอเดรียนกัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกได้ถึงรสเลือดก่อนจะหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด "ข้าเคยรอดตายจากธีสธรัลมาครั้งหนึ่ง เลส... ท่านชายซินญอร์เป็นคนช่วยชีวิตข้า ทั้งชีวิตของข้า เขาเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่ข้าสาบานว่าจะภักดี" ร่างสูงอิงซบหน้าผากของตนกับบ่าเปลือย "เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถ... เนรคุณเขาได้ลงคอหรือ"

เลสธีราห์ครุ่นคิดกับคำพูดนั้นสักพัก และตัดสินได้ว่านี่คือคำปฏิเสธการเจรจาของธีสธรัล

...และเมืองเกาะแห่งนั้นจะใช้ไม้แข็งกับอาเดรียในไม่ช้านี้

อีกไม่นานธีสธรัลจะประกาศสงคราม แม้ว่าบ้านเมืองจะไม่พร้อมต่อสู้ แต่เขาจำได้ว่ากองเรือเวเรนเซียของธีสธรัลเองก็ไม่ได้น้อยหน้า พวกเขาเองก็ถูกขนานนามว่าจ้าวแห่งท้องทะเลเช่นกัน และหากเวเรนเซียทั้งหมดมารวมตัวกันที่อ่าวออโรรา มันก็สามารถถล่มทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลองได้โดยแทบไม่ต้องก้าวเท้าขึ้นฝั่ง

"ความภักดีหมายรวมทั้งความคิดและการกระทำ ต่อให้ไม่ลงมือ ก็ห้ามแม้แต่จะคิด..."

เลสธีราห์ยกมือขึ้นลูบผมสีเข้มของอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาด้วยหัวใจที่หนึกอึ้ง "แล้วความภักดีที่เจ้ามี มันช่วยเหลืออาณาจักรได้จริงหรือ" ผู้นำที่ไร้สามารถมีแต่นำพาความหายนะมาสู่ผู้ตาม ในฐานะแม่ทัพ พวกเขารู้กฎนี้อยู่แกใจใช่หรือ เลสธีราห์เข้าใจเอเดรียน ทั้งเหตุผลและความรู้สึกที่ยากจะหักหาญ ทว่าตัวเขาเองก็เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของท่านชายซินญอร์เช่นกันที่ดึงเอาเอเรส น้องชายของแม่ทัพใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องราวครั้งนี้

.

.

...ใช้ความสัมพันธ์ของเจ้าให้เป็นประโยชน์ เลสธีราห์

"ทำให้เอเดรียนเป็นผู้นำอาณาจักรอาเดรีย..."


--------------------------------------------------

"นึกอย่างไรถึงได้เสนอออกไปแบบนั้น"

รีดาห์ถามซาฮาลที่ยืนอยู่ริมผาติดทะเล สายตาของเซนทอร์หนุ่มทอดมองไปยังทางใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรอาเดรีย "เจ้าอยากให้เลสธีราห์ออกรบหรือยังไง" ซาฮาลเสนอขึ้นกลางที่ประชุมเรื่องวิธีการแก้ปัญหาของเลสธีราห์ด้วยหนทางที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะตามปกติแล้ว เซนทอร์ค่อนข้างจะเคร่งครัดในเรื่องของเกียรติ และการที่แม่ทัพเรือถูกจับตัวไปเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องขายหน้าเรื่องหนึ่งของแอสทารอธ และวิธีการแก้ปัญหาโดยทั่วไป พวกเขาก็เลือกที่จะเนรเทศแม่ทัพคนนั้นโดยไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ว่าวิธีการใดๆ

"เกียรติของเซนทอร์คือการได้รบอย่างอัศวิน" ซาฮาลตอบ

"ข้าไม่เข้าใจเลย" รีดาห์บ่นอุบ "วิธีการแบบนี้เป็นวิธีการสกปรกยิ่งนัก มันสมกับเกียรติของอัศวินที่เจ้าพร่ำเพ้อมาอย่างนั้นหรือ การที่บอกอาเดรียว่าจะช่วยเหลือ แต่เมื่อได้ตัวเลสกลับมาแล้ว เราก็จะไปเข้าข้างธีสธรัล ทั้งยังแล่นเรือกลับไปโจมตีอาเดรียอีก"

"ข้าเลือกวิธีนี้เพื่อให้เลสธีราห์ได้พิสูจน์ตัวเอง" ซาฮาลว่า "และอาเดรียเล่นแง่กับเราก่อน"

"ข้าจะพูดอะไรได้ กับความคิดของว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ" รองผู้บัญชาการเซเลสต์ประชดประชัน "หรือข้าควรจะว่าเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม เผื่อว่าในภายภาคหน้าข้าจะมีที่ยืนในสภาขุนนางบ้าง" เซนทอร์ที่ตัวโตกว่าหัวเราะในลำคอก่อนจะขยี้หัวคนข้างตัวด้วยความขบขัน

"ประชดข้าอย่างนี้ข้าจะลดตำแหน่งให้เจ้าเป็นคนล้างราชรถแทนคนซ่อมเรือ"

รีดาห์ปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วมุ่นคิ้วประท้วง "พวกมนุษย์เขาเรียกตำแหน่งนี้ว่ากระไรนะ... ข้าเป็นถึงวิศกรรมประจำกองทัพเรือ เจ้าจะให้ข้าไปล้างราชรถเสียอย่างนั้น"

"วิศวกร..." ซาฮาลหัวเราะ "เรียกท่านรองผู้บัญชาการอย่างเดิมก็ดีแล้ว"

"นี่ข้าทำให้ว่าที่เหนือหัวหัวเราะออกมาได้ในรอบหลายปี เจ้าควรจะตบรางวัลให้ข้าด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมาคิดเรื่องลดตำแหน่งข้าอยู่ได้" เซนทอร์ร่างโปร่งทักท้วง "เฮอะ ข้าไม่ถามเรื่องเลสแล้วก็ได้ มัวแต่เก็กอยู่นั่น พูดไปก็คงไม่ได้ความ ซ้ำข้ายังหงุดหงิดอีกด้วย"

"ข้าหัวเราะ... เพราะมันเป็นเรื่องตลกไร้สาระ ไม่ใช่ความสามารถของเจ้าเสียหน่อย"

"นี่เจ้าว่าข้าไร้สาระรึ ว่าที่เหนือหัว ไปซ่อมเรือแทนข้าซิ คำนวนความยาวของเสาหน้าเรือเองเลยก็แล้วกัน!!" รีดาห์เริ่มโวยวาย และเขาคิดว่าตนควรจะกลับไปงานดีกว่ามาสนทนากับคนที่ดูไม่ค่อยอยากจะให้คำตอบในเรื่องที่เขาอยากรู้

"รีดาห์... ตอนนี้เลสธีราห์เหมือนถูกเนรเทศออกจากแอสทารอธ ข้าเลือกทางนี้เพื่อให้เขากลับมามีที่ยืนในหมู่เซนทอร์ต่างหาก ที่นี้ก็ขึ้นกับเขาว่าจะสามารถทำได้หรือไม่" ประโยคนั้นทำให้ร่างโปร่งที่ตั้งท่าจะเดินเลี่ยงออกไปหันกลับมามองเล็กน้อย "เจ้าควรจะขอบคุณข้าที่ช่วยเหลือนายเจ้า มากกว่าจะมาไล่ข้าไปซ่อมเรือนะ"

"ถือว่าหายกันที่เจ้าว่าข้าไร้สาระแล้วกัน"

--------------------------------------------------

แม่ทัพแห่งอาเดรียดึงเชือกมัดปลอกแขนของตนไปพลางขณะเดินลงบันได เขาตั้งใจจะกลับไปที่ราห์โมนา แต่ก็พบว่าผู้นำอาณาจักรที่ตนหลบตาหน้ามาตลอดก้าวเข้ามาดักทางเอาไว้ที่กลางบันได "ข้าไม่เคยเห็นเจ้าพอใจที่จะพักในมหาคฤหาสน์ จึงได้สร้างราห์โมนาให้ แต่ดูเหมือนพักนี้เจ้าจะติดใจที่นี่นะ เอเดรียน" ซินญอร์กล่าวทักทายด้วยถ้อยคำที่ไม่ใคร่จะสดใสนัก

"เห็นเจ้าเพลิดเพลินกับการผูกมิตรกับเซนทอร์ตนนั้นเหลือเกิน"

เอเดรียนไม่กล่าวโทษผู้นำของตน เขาได้แต่ค้อมหัวยอมรับไม่โต้แย้ง "เลสธีราห์เป็นคนของข้า ไม่แปลกที่ข้าจะสนิทสนมกับเขา" เอเดรียนว่า "และมันคงเป็นความรับผิดชอบของข้าที่เขาถูกคุมตัวอยู่ที่นี่ ท่านชายซินญอร์" นัยน์ตาของเอเดรียนเคยอบอุ่นอยู่เสมอ แต่ในยามที่เจ้าตัวมองนิ่งเช่นนี้ ซินญอร์ก็สัมผัสได้ถึงโทสะที่อยู่ลึกๆในใจของอีกฝ่าย

"เจ้าจะโทษว่าเป็นความผิดข้ารึอย่างไร" กลางบันไดโถงกลางไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการสนทนา ดังนั้นซินญอร์จึงเป็นฝ่ายเดินนำอีกฝ่ายลงไปด้านล่างและตรงไปยังห้องรับรองด้วยตนเอง "ข้าไม่คิดว่าจะต้องอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าหรอกนะ"

"ท่านไม่รู้กฎเกณฑ์ของเซนทอร์... ท่านไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหมายความว่าอย่างไร"

"บางครั้งกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดก็ผ่อนปรนได้ เอเดรียน เซนทอร์ตนนั้นเป็นบุตรชายแท้ๆของราชเลขาลีอาห์ อีกทั้งยังเป็นถึงผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์ เจ้าคิดว่าแอสทารอธจะยึดถือกฎเดิมๆและประหารผู้ครอบครองธนูแอควาเรียร์ทิ้งง่ายๆหรือ" ซินญอร์ย้อนถามบ้าง "แล้ววิธีการของเจ้ามันได้ผลมากมายสักแค่ไหน ข้าให้ป่าเวทมนตร์กับพวกเขา แต่เจ้ากลับเสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำอันเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาลเกินกว่าอาเดรียจะสรรหามามอบให้ได้"

"เจ้าลองขอเรือจักรไอน้ำกับราชินีไวลด์ดูหรือยังเล่า หากมันง่ายดายปานนั้น"

เอเดรียนมุ่นคิ้วอย่างอับจนเมื่อถูกแทงใจ เพราะเขาก็ลองยื่นข้อเสนอนั้นมาแล้ว และคำตอบที่ได้รับก็คือความกราดเกรี้ยวของราชินี อีกทั้งยังประกาศกร้าวว่าหากต้องการของสิ่งนั้นก็จะต้องแลกด้วยอิสรภาพของอาณาจักรอาเดรีย ผู้นำอาณาจักรตรงไปนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวตัวใหญ่ โดยมีพวกแม่บ้านที่รู้งานจัดแจงยกชุดน้ำชาและอาหารว่างมาให้เดินตามหลัง

"ใช้สิ่งที่มีอยู่ เอเดรียน... หาใช่ลมปาก"

"แต่สิ่งที่ข้ามีอยู่... คือความภักดีต่อท่าน" แม่ทัพใหญ่สูดหายใจเข้า "ซึ่งข้าแลกมันไม่ได้"

ท่านชายซินญอร์กำหมัดแน่นขึ้นมาและเบือนหน้าหนีคำพูดนั้น นี่เองคือความอ่อนแอที่เขาเกลียดชัง ซินญอร์รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถมีอำนาจในอาณาจักรนี้ได้ด้วยความเกรงในคำพูดของพี่สาว ดังนั้นหากเขาต้องการให้อาเดรียก้าวต่อไป ชายหนุ่มคิดว่าคงมีหนทางเดียวนั่นคือการเปลี่ยนผู้นำซึ่งผู้นำที่มีความสามารถพอในสายตาของเขาตอนนั้นก็เห็นจะมีแต่แม่ทัพเอเดรียนเท่านั้น แต่มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หากอีกฝ่ายยังมีความจงรักภักดีต่อเขาแบบนี้

"ดังนั้นข้าจะใช้สิ่งที่ข้ามีในการเจรจากับแอสทารอธ..."

"ท่านชาย!" เอเดรียนกำหมัด "วิธีนี้มีแต่เพิ่มความโกรธแค้นให้เซนทอร์ หาใช่วิธีการสร้างพันธมิตรที่ดี" วิธีการสร้างพันธมิตรที่ดีสำหรับเอเดรียน คือการที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์จากการพึ่งพาอาศัยกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาพยายามเสนอผลประโยชน์ให้แอสทารอธ หาใช่การบีบให้จำนนอย่างที่ซินญอร์กำลังจะทำ

"เอเดรียน เจ้ายังอ่อนเกินไป และถ้าเจ้าไม่แข็งแกร่งขึ้น เจ้าจะถูกควบคุม"

ท่านชายวางถ้วยชาในมือลง "ตอนนี้ไวลด์คงหมายหัวข้ากับพี่สาว เพราะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่องอีกแล้ว และอาจจะพยายามผลักดันให้เจ้าเป็นผู้นำอาเดรียแทนข้าด้วย ใช่รึเปล่า..."

แม่ทัพหนุ่มกลั้นใจเมื่อผู้นำอาเดรียคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ "ข้า..."

"ขอให้จำไว้ว่าผลประโยชน์ของอาณาจักรคืออะไร" ผู้นำกดเสียงต่ำดุดัน "อาเดรียคือสิ่งที่เจ้าจะต้องรักษา คือแผ่นดินที่สมควรได้รับความจงรักภักดีจากเจ้า" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและเตรียมจะผละออกไปจากห้อง "เอเดรียน เจ้าเป็นคนที่ข้าให้ความหวังว่าหากข้าไม่สามารถเป็นผู้นำได้อีก เจ้าจะได้ปกครองอาเดรียแทนข้า แต่กับเรื่องแค่นี้เจ้ายังไม่เด็ดขาด ข้าจะวางใจยกตำแหน่งผู้นำให้เจ้าได้อย่างไร"

ซินญอร์รู้ดีว่าอีกไม่นานเขาจะต้องลงจากตำแหน่ง เพราะราชินีแห่งธีสธรัลก็ไม่พอใจเขา ผู้นำไอย์ชวลก็ไม่ได้ญาติดีด้วย อีกทั้งเหนือหัวแห่งแอสทารอธที่จะเป็นปรปักษ์กับเขาในอนาคตอีก อาเดรียไม่สามารถมีผู้นำที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับอาณาจักรอื่นไปทั่วแบบนี้ แต่ซินญอร์ก็ยังลงจากอำนาจไม่ได้หากปัญหาทั้งหมดยังไม่ถูกแก้ไข

และเขาจะสร้างผู้นำคนใหม่ได้อย่างไร หากฝ่ายนั้นยังอ่อนแอแบบนี้

"ท่านชาย" เสียงของทหารยามหน้าประตูร้องเรียก "คณะทูตจากแอสทารอธเดินทางมาขอรับ"

ใบหน้าของเอเดรียนเผือดซีดไร้สีเลือดทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น เช่นเดียวกับซินญอร์ที่ตกตะลึงไปชั่วขณะ "ท่านส่งข่าวเรื่องเลสธีราห์ให้แอสทารอธอย่างนั้นหรือ!!" เอเดรียนตวาดถามผู้นำอาณาจักร มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยโทสะ และพยายามหักห้ามไม่ให้ตนชักดาบใส่ท่านชาย

...เปล่าเลย เขาไม่ได้คิดจะส่งข่าวให้แอสทารอธสักนิด

ซินญอร์กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะยืดตัวขึ้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา "ใช่..."

--------------------------------------------------

ราชินีแห่งธีสธรัลเงยหน้าขึ้นมองคนสนิทที่รีบรุดเข้ามาในห้องพักของเธอโดยไม่เคาะประตูล่วงหน้า "มีอะไรเร่งด่วนหนักหนา เจ้าถึงลืมมารยาทไปได้น่ะ หืม..." หญิงสาวถามเสียงเรียบและละสายตาจากหนังสือในมือขึ้นมามองคาดคั้นคนที่ดูเหนื่อยราวกับวิ่งมาในระยะทางไกลและเร่งร้อนเป็นเชิงตำหนิกึ่งคาดคั้น

"ขออภัยพระนาง... แต่เกิดเรื่องแล้วขอรับ"

"หากไม่เกิดเรื่องสิข้าจะลงโทษเจ้า..." ผู้นำหญิงตอบ "มันเรื่องอะไรกัน"

"ราชรถจากแอสทารอธเดินทางมาถึงมหาคฤหาสน์ และข้าเห็นด้วยตัวเองว่าผู้ที่มาคือท่านหญิงลีอาห์ ราชเลขาคนสนิทของเหนือหัวดาเรียส" คนฟังกลั้นหายใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางปิดหนังสือในมือพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนด้วยอารามตกใจ "พวกเขาพูดคุยกันอยู่ในมหาคฤหาสน์..."

"เรียกกัปตันและแม่ทัพเรือมาพบข้า"

ผู้นำหญิงคว้าเสื้อคลุมตัวยาว ก่อนจะเดินนำออกไปจากห้องพักเพื่อตรงไปยังห้องบัญชาการที่อยู่ท้ายเรือ พระนางหยุดที่กราบเรือครู่หนึ่งขณะเพ่งมองกลับไปยังมหาคฤหาสน์และปราการแห่งอาเดรีย "ถ้าแอสทารอธร่วมมือกับอาเดรีย... ข้าควรจะทำยังไง" ราชินีถามตัวเอง พระนางถอนใจด้วยความหนักอกอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องบัญชาการ กัปตันเรือคาร์เธียร์และแม่ทัพเรือเวเรนเซียตามมาสมทบหลังจากนั้นด้วยสีหน้างุนงงจนผู้นำอาณาจักรรู้สึกหงุดหงิด

"แอสทารอธมาถึงที่นี่แล้ว" เพียงประโยคเดียวของพระนาง ขุนนางระดับสูงทั้งสองก็เปลี่ยนสีหน้า

"แปลว่าพวกเขาจะร่วมมือกับอาเดรียจริงหรือ" ผู้นำอาณาจักรเบือนหน้าหนีคำถามนั้นด้วยความที่นางเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน "พระนาง... ถ้ากองเรือเซเลสต์มาร่วมสมทบกับอาเดรีย เวเรนเซียไม่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน"

"ท่านแม่ทัพ... ระยะทางจากอ่าวเทเทสของแอสทารอธมาจนถึงท่าเรืออาเดรียใช้เวลานานแค่ไหน"

แทนที่จะเสวนากับความตื่นตระหนกของกัปตันเรือ ผู้นำหญิงหันไปถามแม่ทัพเรือต่อ "เพียงครึ่งวันเท่านั้นขอรับ" แม่ทัพหนุ่มว่า "แต่... กองเรือของแอสทารอธไม่ได้ออกรบมานานแล้ว ส่วนมากพวกเขาจะส่งเรือลาดตระเวนออกไปมากกว่า และก็เป็นเรือลาดตระเวนเพียงไม่กี่ลำที่ใช้สลับกันไป"

ราชินีพยักหน้า "ถ้าแอสทารอธจะส่งกองเรือมาร่วมรบ พวกเขาจะต้องใช้เวลาเตรียมการอย่างเร็วที่สุดเท่าไหร่ กองเรือเซเลสต์มีเรือทั้งหมดกี่ลำ" นางถามหลายคำถาม และมองข้ามวิธีแก้ปัญหาอื่นไปจนหมด ด้วยรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถเจรจากับประชาชนได้อย่างแน่นอน ไวลด์เพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของธีสธรัลได้ไม่นาน ดังนั้นการแจ้งข่าวร้ายครั้งนี้อาจหมายถึงความสั่นคลอนของบัลลังก์ และในเมื่อการเจรจากับอาเดรียไม่ได้ผล นางก็เหลือเหตุผลเดียวนั่นคือการยึดเอาเมืองท่านี้กลับมาเป็นอาณานิคมอีกครั้ง

"อย่างน้อยก็เดือนหนึ่งหากพวกเขาต้องการจะนำกองเรือเซเลสต์ทั้งหมดออกมา ทั้งห้าร้อยลำ..."

"ห้าร้อยหรือ" ราชินีกลั้นใจ "เวเรนเซียมีเพียงสามร้อย ซ้ำยังเป็นเรือน้ำหนักมากไม่ใช่เรือเร็วแบบของแอสทารอธ" เธอมองออกไปด้านนอกเรืออีกครั้งพร้อมกับใช้ความคิด "ท่านแม่ทัพ... เราจะต้องใช้เรือเท่าไหร่ถึงจะสามารถตีปราการอาเดรียแตกได้" แม่ทัพเรือค้อมหัวลงครั้งหนึ่งเป็นเชิงขออนุญาตตอบคำถาม

"หากเป็นกษัตริย์องค์เก่า... เขาใช้เรือเพียงห้าสิบลำเท่านั้น"

...การพูดถึงกษัตริย์องค์ก่อนอาจทำให้ราชินีกราดเกรี้ยวได้ ดังนั้นแม่ทัพเรือจึงเลือกที่จะก้มหัวลงเพื่อแสดงเจตนาบริสุทธิ์ "ไม่มีทางที่เราจะเอาชนะกองเรือเซเลสต์" พระนางทวนคำไปมา "แต่ถ้าเราสามารถตีอาเดรียแตกได้อีกครั้ง และทำให้พวกมันกลับมาเป็นเมืองขึ้นอีกครา เราก็จะไม่ต้องสู้กับแอสทารอธ"

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองผู้นำแห่งเวเรนเซีย "เจ้านำทัพเรือห้าสิบลำออกรบได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่"

...

คนถูกถามจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้น "เมื่อกลับไปถึงธีสธรัลขอรับ"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2016 20:39:26 โดย khaosap »

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ึอ๊ากกกกกกอยากอ่านต่ออออ ลุ้นนนน เอ้าาแล้วววววงานเข้าอาเดรีย เดาไม่ถูกเลยจริงๆว่าจะเลือกทางไหนออกมายังไง ไวลด์นางก็คิดว่าแอสทาอาเดรียอาจจะร่วมมือกัน แต่แอสฯคิดจะเข้าร่วมกับธีรัลซะงั้น ผลมาลงอาเดรีย แล้วเลสจะเลือกทางไหน เอเดรียนจะยังไง โว้ยยยยยยยกูเครียดดดดด มีความอิน 55555555 //ถึงจะอยู่ในช่วงยาก แต่เขาก็มาหากันตลอดทุกวันนะเออ "เป็นของข้า" อร๊ายยยย พูดเองเขินเอง น่าร๊ากกกกกก เอเดรียนมาพูดกระซิบริมหูแบบนี้ กูตาย เขินแทน >///< 5555555 ชอบอ่ะชอบบบบบ //รอๆรอตอนต่อไปค่ะ จะรอ F5รัวๆเลยค่ะ 55

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.1
«ตอบ #74 เมื่อ22-11-2016 14:43:06 »

ตอนที่ 21.1

คณะทูตจากแอสทารอธเดินทางมาด้วยราชรถขนาดใหญ่ที่เทียมด้วยกระทิงป่าโตเต็มวัยสี่ตัว โดยไม่มีสารถีควบคุมบังเหียน อีกทั้งไม่มีผู้ติดตามที่มีอาวุธครบมืออีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การก้าวลงจากราชรถในร่างมนุษย์ของท่านหญิงลีอาห์ก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเหล่าขุนนางที่มารอต้อนรับ กระทั่งท่านชายซินญอร์ยังขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นสตรีร่างบางที่มาในฐานะทูตสูงสุดของแอสทารอธ

"ท่านราชเลขา..."

เอเดรียนจดจำใบหน้าเรียบเฉยที่งดงามทว่าเด็ดเดี่ยวของนางได้ เขาจึงเป็นคนแรกที่ค้อมหัวลงแสดงความเคารพ และเมื่อเหล่าขุนนางเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ทำตาม ลีอาห์ดูไม่สนใจมารยาทของเหล่ามนุษย์ นางกวาดสายตามองผู้คนโดยรอบและหยุดมองที่ผู้นำสูงสุดของอาเดรียอย่างแน่วแน่ และสายตาดุดันเด็ดเดี่ยวของนางก็ทำให้คนถูกมองกลั้นใจไม่รู้ตัว

"รู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกินที่ผู้นำอาณาจักรอาเดรียออกมาให้การต้อนรับด้วยตนเอง"

"อาเดรียก็รู้สึกเป็นเกียรตินักที่มีโอกาสต้อนรับท่านหญิง"

เอเดรียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่เซนทอร์หญิงกล่าวมานั่นคือคำประชดประชัน เพราะเหตุผลที่นางเดินทางมาที่นี่ก็ด้วยเรื่องของเลสธีราห์ ผู้ซึ่งถูกอาณาจักรอาเดรียกักขังเอาไว้อย่างไม่สมศักดิ์ศรี "ข้าอดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็นท่านราชเลขาเดินทางเพียงลำพัง" ซินญอร์จดจำวิธีการเรียกของเอเดรียนเมื่อครู่นี้และนำมาใช้ในการสนทนาเพื่อไม่สร้างความขุ่นเคืองให้กับทูตใหญ่มากไปกว่าเดิม

"นี่เป็นธุระเร่งด่วนที่ข้าจะต้องรีบสะสาง ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายทั้งทูตจากไอย์ชวล และธีสธรัลยังรอพบข้าอยู่" ราชเลขาแห่งแอสทารอธจงใจหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของคู่สนทนา ซึ่งท่านชายซินญอร์ก็พยายามรักษาความสุขุมเอาไว้ให้มากที่สุด "หลังจากการประลองวาร์ดาข้าจึงต้องรีบออกเดินทางมาในทันที"

ซินญอร์ผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน "ข้าขอแสดงความยินดีกับว่าที่เหนือหัวแอสทารอธด้วย..."

"ท่านคงไม่ยินดีนักหรอก" ลีอาห์ทอดยิ้มเย็น "เพราะดูเหมือนเหนือหัวองค์ใหม่ไม่ใคร่จะชอบใจอาเดรียสักเท่าไหร่" เมื่อเข้าไปในห้องรับรอง ท่านหญิงลีอาห์ก็ตรงไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่โดยไม่รอให้เจ้าบ้านออกปากเชิญ ดังนั้นซินญอร์จึงนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม และเอเดรียนก็ขยับไปยืนอยู่ด้านหลัง ผู้นำอาณาจักรไม่รู้ว่าความจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างไร อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเดินทางมาด้วยจุดประสงค์ใด แต่หากพิจารณาน้ำเสียงและวิธีการพูดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ราชเลขาดูจะมีโทสะอยู่มาก ซึ่งนั่นหมายความว่าเหตุผลในการเดินทางมาเยือนอาเดรียของนางย่อมเกี่ยวกับเลสธีราห์อย่างแน่นอน

"ข้าต้องขออภัยอย่างมากที่เชิญตัวแม่ทัพเซเลสต์มาด้วยวิธีการที่ไม่สุภาพนัก"

เอเดรียนเหลือบมองผู้นำของตนเล็กน้อยและไม่ขอออกความเห็น เขาหลบลงมองพื้นด้วยใจที่เริ่มหดเล็กลงราวกับกำลังหวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เลสธีราห์เป็นบุตรชายคนเดียวของราชเลขา และการที่นางเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองเพียงลำพังในทันทีที่สิ้นสุดการประลองวาร์ดา นั่นก็แปลว่านี่เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้นางอย่างที่สุด

...แต่เอเดรียนก็เดาไม่ได้ว่าท่านหญิงลีอาห์มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด

"ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวเช่นนั้น ในเมื่อท่านปล่อยให้เรื่องราวเลยเถิดมาจนป่านนี้"

ประตูห้องรับรองเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับการมาถึงของเลสธีราห์ที่ถูกพาลงมาจากห้องพักด้านบน และทันทีที่เห็นการมาเยือนของมารดา เซนทอร์หนุ่มก็เบิกตาสีฟ้าขึ้นด้วยความตกใจ "ท่านแม่..." ลีอาห์วางท่าไม่สนใจบุตรชาย แม้ว่าตอนนี้นางอยากจะตรงเข้าไปหาและไถ่ถามหลายเรื่องก็ตามที "ท่านคงมีเหตุผลที่เชิญตัวแม่ทัพเรือมาที่นี่ แต่ข้าก็ไม่มีเวลาจะมารับฟังหรือเจรจา"

"ข้าเพียงแค่เชิญเขามาพูดคุยเรื่องความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับของอาณาจักร"

"...ข้าได้ให้คำตอบไปแล้วในครั้งที่แม่ทัพเอเดรียนเดินทางไปแอสทารอธ"

"ท่านราชเลขา..." ซินญอร์พยายามอธิบาย "อาเดรียและแอสทารอธเป็นเมืองท่าเหมือนกัน เราไม่ควรจะห่างเหินจากกัน ควรจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันไม่ใช่หรือ ในยามที่ท่านเดือดร้อน พวกเราก็จะช่วย แต่ในยามที่พวกเราเดือดร้อน เรากต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน"

"แล้วสัญญาของอาเดรียที่จะมอบสิ่งตอบให้กับความช่วยเหลือของเราเล่า ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร" ลีอาห์ถามเสียงเรียบ "ท่านเชิญแม่ทัพเรือมาที่นี่เพื่อเจรจาเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว แล้วเขาไม่เคยบอกท่านหรือว่าเขาไม่มีอำนาจใดๆในการตัดสินใจ"

ท่านชายซินญอร์เม้มปากทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารู้ดีว่าเลสธีราห์ไม่อำนาจในการตัดสินใจ เพราะบุคคลที่จะสามารถตัดสินใจประกาศสงครามได้คือเหนือหัวแห่งอาณาจักรคนเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่ซินญอร์ต้องการในตอนนี้หาใช่กองเรือเซเลสต์ แต่เป็นเพียงความช่วยเหลือจากเลสธีราห์เพียงคนเดียวเท่านั้น เอเรสกล่าวว่าเขาสามารถซื้อใจเลสธีราห์ได้แล้ว แต่แน่นอนว่าการมาถึงของราชเลขาทำให้ทุกอย่างที่ดูเป็นไปตามแผนได้รับผลกระทบทั้งหมด และซินญอร์ก็มั่นใจว่าพวกเขาคงไม่สามารถ 'ซื้อ' ราชเลขาแห่งแอสทารอธได้อย่างแน่นอน

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในระยะเวลากระชั้นชิดเช่นนี้... พวกเซนทอร์รู้ข่าวเรื่องเลสธีราห์ได้อย่างไรกันหนอ

"ข้าขอยืนยันข้อเสนอ" เอเดรียนเป็นฝ่ายพูดบ้าง และหันไปสบตาท่านหญิงเพื่อขอเวลา "ที่ข้าได้พูดไป..."

"ข้าคาดหวังว่าข้าจะเชื่อในลมปากของเจ้า แม่ทัพเอเดรียน ในตัวเจ้าเองทิ้งโอกาสที่ข้าหยิบยื่นให้อย่างไม่ใยดี" ลีอาห์กล่าวทำลายบทสนทนา นางสูดลมหายใจเข้าช้าๆเพื่อควบคุมอารมณ์ที่แสดงออกมารุนแรงจนเกินควร "แต่อย่างไรแอสทารอธก็คงต้องยอมรับในความผิดที่ส่งคนเข้ามาสืบข่าวคราวในอาเดรีย" ราชเลขากล่าวพร้อมกับหยิบเอาม้วนหนังออกมาจากกระเป๋าของนาง และคลี่ออกเพื่อเผยให้เห็นสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นซึ่งเป็นภาษาทางการพร้อมลงนามของเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธ

"และนี่คือบทลงโทษสำหรับผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์" ท่านหญิงก้มหน้าอ่านคำประกาศ

"นับแต่นี้เป็นต้นไป เลสธีราห์ บลังค์ ผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และถูกขับออกจากอาณาจักรแอสทารอธตามกฎของอัศวินเซนทอร์ อันเป็นบทลงโทษสูงสุดของผู้ที่นำพาความเดือดร้อนและความน่าอับอายมาสู่อาณาจักร โดยจะไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องหรือข้อเสนอใดๆของอาณาจักรอาเดรีย" เมื่อต้องอ่านสิ่งที่อยู่ตรงหน้าออกมา ท่านหญิงลีอาห์ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้น้ำเสียงของตนสั่นคลอนเพื่อไม่ให้ความรู้สึกลำเอียงต่อคนในครอบครัวมีอำนาจเหนือความซื่อตรงในหน้าที่

ในขณะที่เลสธีราห์หลับตาลงช้าๆด้วยยอมรับในชะตาของตนเอง "แต่เนื่องด้วยเห็นในความดีความชอบและผลงานที่ผ่านมา ในนามของเหนือหัวดาเรียสแห่งแอสทารอธ จึงขอมอบหมายภารกิจสำคัญให้... นั่นคือการกอบกู้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการกองเรือรบกลับคืนมา ด้วยการประกาศชัยชนะในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น"

เลสธีราห์เบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น ...แอสทารอธจะประกาศสงครามหรือ

ลีอาห์ลดแผ่นหนังชิ้นนั้นลงก่อนจะม้วนแผ่นหนังแล้วส่งให้กับท่านชายซินญอร์แห่งอาเดรีย "แอสทารอธตกลงเข้าร่วมสงคราม ขึ้นอยู่กับพิจารณาของท่านว่าต้องการจะทำศึกหรือไม่" ท่านหญิงมองคู่สนทนาอย่างคาดคั้น "นี่คือภารกิจสุดท้ายของผู้บัญชาการกองเรือรบก่อนที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง และเรือเพียงลำเดียวที่จะออกศึกครั้งนี้ก็คือเรือเซเลสต์" คนเป็นแม่กลั้นใจอีกครั้งก่อนจะหันไปสบตากับบุตรชาย ผู้ที่ยังมีสีหน้าตกตะลึง

"และนี่เป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายจากเหนือหัวดาเรียส"

--------------------------------------------------

การกอบกู้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการกองเรือรบกลับคืนมา ด้วยการประกาศชัยชนะในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

นี่คือคำพูดที่แยบยลของเหนือหัวดาเรียส จริงอยู่ว่าเขาตัดสินใจทำตามกฎของเซนทอร์ในขั้นต้น นั่นคือการปลดเลสธีราห์ออกจากตำแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยื่นข้อเสนอว่าหากอีกฝ่ยสามารถปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จได้ เลสธีราห์ก็จะสามารถกลับมายังแอสทารอธในฐานะอัศวินอีกครั้งเช่นกัน... อีกทั้ง 'ในสงครามที่กำลังจะขึ้น' ที่ว่านี้ แอสทารอธเองก็ไมได้ระบุอีกด้วยว่าตนจะเข้าข้างฝ่ายใด

...ดังนั้นอาเดรียจึงไม่มีทางรู้คาดเดาเลยว่าตนต่างหากที่กำลังจะถูกโจมตี

เมื่อเหนือหัวออกคำสั่ง เซนทอร์มีแต่จะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งคำสั่งล่าสุดของผู้นำแห่งแอสทารอธคือการนำเรือรบเซเลสต์ออกไปทำศึก ดังนั้นรีดาห์ผู้อยู่ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการจึงต้องรีบตรวจรับรายการเครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จำเป็นบนเรือรบที่ใหญ่ที่สุดของแอสทารอธ ซึ่งนั่นคือลูกปืน ดินปืน และศาสตราวุธอื่นๆอีกจำนวนมาก "เรือเซลสต์มีปืนใหญ่ทั้งหมดหกสิบสี่กระบอก แบ่งออกเป็นของดาดฟ้าล่างและกลางชั้นละยี่สิบสี่กระบอก และดาดฟ้าบนสิบหกกระบอก หากบรรทุกลูกปืนสามร้อยลูก ก็เท่ากับว่าจะยิงได้เพียงกระบอกละสี่ครั้ง" ร่างโปร่งทดเลขลงบนแผ่นกระดาษสีน้ำตาล "แต่ถ้าถอดปืนใหญ่ชั้นล่างออกเหลือแค่สิบแปดกระบอกก็จะทำให้เหลือปืนใหญ่ห้าสิบหกกระบอกก็คงจะยิงได้ห้าครั้ง"

ดูเหมือนว่าร่างโปร่งจะคร่ำเคร่งกับการคำนวนเสียจนไม่รู้สึกถึงการมาถึงของว่าที่เหนือหัวแห่งแอสทารอธ

ซาฮาลชะโงกดูการทดเลขของอีกฝ่ายด้วยสายตาของคนที่ไม่ได้เก่งเรื่องการคำนวน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นรีดาห์ขีดวาดคำนวนโครงสร้างภายในและระดับความสูงของเรือเซเลสต์เมื่อลอยลำในมหาสมุทร "น้ำหนักของดินปืนกับลูกปืนสามร้อยลูกมีค่าเท่ากับ..."

"เจ้าต้องคำนวนเรื่องพวกนี้ด้วยรึ"

"เหวอ...!!"  ด้วยนิสัยที่ค่อนข้างขี้ตื่นและขี้ตกใจอยู่แล้ว ทำให้รีดาห์สะบัดแท่งถ่านในมือทิ้งและสะดุ้งจนแทบจะกระโดดลอยจากพื้น พร้อมกับถอยห่างจากคู่สนทนา "ซาฮาล! ใครใช้ให้เจ้าพูดใส่หูข้าแบบนั้น!" ว่าที่เหนือหัวกแขนขึ้นกอดอกพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน แต่เขาก็คิดว่าหากรีดาห์เป็นแมว อีกฝ่ายคงจะทำขนพองและขู่ใส่เขาแล้วแน่นอน

"ข้าเห็นเจ้ายืนขีดเขียนอยู่สักพักใหญ่จึงได้สงสัยว่าเหตุใดไม่ไปหาที่นั่งให้ดีๆ"

พวกเขายังอยู่ที่เมืองเลาน์เรน เพราะเรือรบเซเลสต์ถูกเก็บเอาไว้ที่ด้านหลังพระราชวังซึ่งมีส่วนติดแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเล และในตอนนี้พลทหารในกองทัพเรือกำลังช่วยกันเพื่อจะนำเรือใหญ่ล่องออกไปเพื่อจอดพักเอาไว้ที่ท่ามารินา และรอให้ผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเขากลับมาเป็นผู้นำทัพ "ข้าจะต้องสรุปจำนวนปืนใหญ่ที่จะนำขึ้นเรือเซเลสต์ เนื่องจากเป้าหมายของเราไม่ใช่เรือรบลำอื่นแต่เป็นท่าเรือออโรราของอาเดรีย ทำให้ตำแหน่งการวางปืนใหญ่บนดาดฟ้าแต่ละชั้นมีผล"

ซาฮาลผู้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกองทัพเรือเลิกคิ้วขึ้นสูงกับความรู้ใหม่ "เจ้าโดนตัดงบประมาณลูกปืนหรือไร..."

"น้ำหนักของปืนใหญ่แต่ละกระบอกมีผลต่อความเร็วในการเดินเรือต่างหาก!"

รีดาห์อยากจะม้วนแผ่นกระดาษในมือแล้วฟาดหัวคนตรงหน้าสักทีให้กับความดักดานและช่างประชดประชันของคู่สนทนา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าซาฮาลในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของตนอีกต่อไปแล้ว เซนทอร์หนุ่มจึงทำได้แค่สูดหายใจลึกๆและสงบสติอารมณ์ของตนเอง "จำนวนลูกปืนมีจำกัด ดังนั้นการยิงแต่ละครั้งจะต้องสร้างความเสียหายได้มากที่สุด ซึ่งหากคู่ต่อสู้เป็นเรือรบลำอื่น ความเสียหายที่ว่าก็คือต้องทำให้เสากลางหักโค่นลงให้ได้ ทำให้ปืนใหญ่ที่ดาดฟ้าชั้นกลางและชั้นล่างมีความสำคัญ แต่ในครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของเซเลสต์คือปืนใหญ่ที่อยู่บนปราการกำแพงของอาณาจักรอาเดรีย ดังนั้นการวางปืนใหญ่ที่ดาดฟ้าชั้นล่างจึงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์" รีดาห์พูดเสมือนอธิบายให้ซาฮาลเข้าใจ แต่แล้วเขาก็กลับไปพึมพำกับตัวเองอีกครั้งอย่างคิดไม่ตก

"แต่ดาดฟ้าชั้นบนไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะเพิ่มจำนวนปืนใหญ่"

ดูเหมือนซาฮาลจะเริ่มเข้าใจถึงความคิดของรีดาห์บ้าง เขาจึงชะโงกไปดูแผนผังโครงสร้างภายในเรือที่อีกฝ่ายวาดค้างเอาไว้ "ในระดับนี้ก็คงสร้างความเสียหายได้แค่ท่าเรือ แต่ระยะยิงคงไม่ถึงปราการใหญ่" น้ำเสียงของซาฮาลทุ้มต่ำ และด้วยส่วนสูงที่หากกันมากทำให้ว่าที่เหนือหัวต้องก้มตัวลงมาเพื่อดูสิ่งที่อยู่ในมือคู่สนทนา และในจังหวะนั้นเองที่รีดาห์ลอบดึงช่อผมสีดำแซมขาวของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้

โอ้ย!!" ร่างสูงเซตามแรงดึงก่อนจะยืดตัวขึ้นและมองคนประทุษร้ายด้วยความไม่พอใจ

"ข้าถึงกล่าวว่าเจ้ามันบ้า... ที่จะส่งเรือเซเลสต์ออกไปรบกับปราการของอาเดรีย!" รีดาห์ถอนใจ "เราต้องใช้ความเร็ว อาจจะต้องถอดปืนใหญ่ชั้นล่างออกทั้งหมดเพื่อทำให้เซเลสต์เบาขึ้น ให้ระดับการลอยลำของเรือสูงขึ้นจนระยะยิงของปืนใหญ่ชั้นกลางสามารถเอื้อมถึงปราการอาเดรียได้" ร่างโปร่งก้าวถอย และสะบัดหางใส่คู่สนทนาอย่างไม่คิดจะขอโทษที่กลั่นแกล้งว่าที่เหนือหัว อีกทั้งลอบยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกสนุกอีกด้วย

...เพี๊ยะ!

"โอ้ย!" แต่ซาฮาลกลับทำสิ่งที่รีดาห์ไม่เคยคิดมาก่อน... นั่นคือการฟาดมือใส่สะโพกหลังจนร่างโปร่งสะดุ้งและยกขาขึ้นดีดตามสัญาชาติญาณ แต่ทั้งนี้ว่าที่เหนือหัวก็ฉลาดพอที่จะหลบให้พ้น "ซาฮาล!" คนตัวเล็กกว่ามุ่ยหน้า และหันกลับมาหาคู่สนทนาที่กลับไปยกแขนกอดอกและหัวเราะเบาๆในลำคอด้วยความเอ็นดูปนขบขัน

"เจ้าดึงผมข้าก่อนนี่..."

"เจ้าก็ควรจะดึงผมข้ากลับ ไม่ใช่ตีก้น!!" เมื่อพูดออกมาอย่างนั้น รีดาห์ก็นึกได้ว่าเขาไม่ควรจะท้าทายซาฮาลในทุกรูปแบบ เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็ตัวโตกว่า มีพละกำลังมากกว่า อีกทั้งยังเป็นถึงว่าที่เหรือหัวแห่งแอสทารอธที่เขาจะต้องยำเกรง ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้ามาหาคู่สนทนาที่ยืนนิ่งอยู่กับที่หลัง

"ก็เจ้าสะบัดก้นใส่ข้า" ซาฮาลว่า "...แกล้งเจ้าก็สนุกดีหรอก รีดาห์"

คนเตี้ยกว่าสูดหายใจเข้าเพื่อไม่ให้หงุดหงิดกับคำหยอกล้อของคนตรงหน้า แล้วจึงยกม้วนกระดาษขึ้นมาหมายจะทำงานต่อ "ถ่านข้าหายไปไหน" แต่เมื่อก้มลงจะเขียน รีดาห์ก็พบว่าเขาโยนแท่งถ่านทิ้งไปเมื่อครู่ด้วยอารมตกใจ และตอนนี้มันก็หายไปจากสายตาของเขาเสียแล้ว... ซึ่งนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากซาฮาลได้อีกครา

"ไม่ตลกนะ! หยุดหัวเราะนะ ซาฮาล!!"

--------------------------------------------------


...จู่ๆคู่รองก็ทำคะแนนแซงคู่หลัก OTL (ที่มีแต่ดราม่า) งื้อออออออ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2016 14:46:47 โดย khaosap »

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เจ้าพวกมนุษย์กลับกลอกกก ดีค่ะ เล่นงานมันนน
ทั้งสงสารทั้งเห็นใจอาเดรียในตอนแรก ตอนนี้คือกลอกตาใส่รัวๆ

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 21.2
«ตอบ #76 เมื่อ22-11-2016 21:19:16 »

ตอนที่ 21.2

"แบบนี้สู้ปล่อยเขาไปตามยถากรรมเสียจะยังดีกว่า!"

เสียงของราชเลขาดังกังวานไปทั่วห้องโถง และทุกคนที่ได้ยินก็สัมผัสได้ถึงความกราดเกรี้ยวของนาง "เนรเทศอย่าให้เขากลับมา ยังจะดีกว่าส่งเขาไปสู้รบในศึกที่ไม่มีวันเอาชนะได้" เซนทอร์หญิงกำลังพูดกับว่าที่เหนือหัวองค์ใหม่ โดยที่ผู้นำคนปัจจุบันของแอสทารอธยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขา แม้ว่าลีอาห์จะเป็นถึงราชเลขาคนสนิท แต่เมื่อเหนือหัวดาเรียสเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งได้แล้ว คนที่มีปากเสียงมากที่สุดรองจากผู้นำในตอนนี้ก็คือซาฮาล ดังนั้นคำพูดของลีอาห์จึงมีน้ำหนักน้อยลงอย่างไม่ต้องสงสัย

"เจ้าเกลียดชังลูกข้ามากขนาดนั้นหรือไร ซาฮาล..."

"ท่านหญิงใจเย็นก่อน..." ดาเรียสปรามเสียงเรียบ "แม้ข้าจะไม่เห็นด้วยทั้งหมด แต่ซาฮาลมีเหตุผล"

"มันไม่ใช่วิถีของเซนทอร์..." ลีอาห์ว่า "ข้าไม่ทักท้วงการตัดสินปลดเขาออกจากตำแหน่ง หรือเนรเทศทอดทิ้งเขาตามกฎเดิมของเรา แต่การจะส่งเขาไปรบด้วยเงื่อนไขตลบแตลงไม่ซื่อสัตย์แบบนี้ มันน่าขายหน้ายิ่งกว่าถูกจับในฐานะเชลยศึกเสียอีก!"

"แต่สภาขุนนางลงความเห็นแล้วว่าเราควรเข้าร่วมกับธีสธรัล ท่านควรจะยืนตามนั้น" ซาฮาลยืนยัน และนั่นก็ทำให้ราชเลขาต้องหันมาค้อนมองด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ "แต่เพราะผู้บัญชาการเซเลสต์ถูกอาเดรียกักตัวเอาไว้ หากไม่ใช้วิธีแบบนี้ ฝ่ายนั้นคงไม่ยอมปล่อยตัวกลับมาโดยง่าย อีกอย่าง... เราก็ไม่ได้ผิดคำพูดต่ออาเดรีย เนื่องจากคำสั่งของเหนือหัวไม่ได้ระบุว่าจะต้องมีชัยชนะต่อใคร"

"แต่นี่ไม่ใช่วิถีของอัศวิน... ข้าอยากให้ท่านพิจารณาอีกครั้ง"

ดาเรียสยกมือปรามทั้งเลขาคนสนิทและว่าที่เหนือหัว ก่อนที่ทั้งคู่จะกราดเกรี้ยวใส่กันมากกว่านี้ "เลสธีราห์มีความสำคัญต่อกองทัพเรือเซเลสต์ เราคงจะใช้กฎเดิมกับเขาไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็นกฎ ...ข้าจึงเห็นว่านี่เป็นเหตุผลที่ฟังได้ของซาฮาล อาเดรียเหิมเกริมมากจริงๆ และข้าคิดว่าพวกเขาต้องได้รับบทเรียน แม้การส่งเลสธีราห์ไปรบอาจจะดูโหดร้ายสักหน่อย แต่ถ้าเขาทำได้ นั่นก็จะเป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของเซเลสต์ และแน่นอน... ตัวเขาเองด้วย" ดาเรียสถอนใจ "นั่นคือสิ่งที่เลสธีราห์ต้องการมาตลอดไม่ใช่หรือ เขาอยากพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรกับตำแหน่งผู้นำเซเลสต์ และสิ่งนี้จะช่วยพิสูจน์ได้อย่างแน่นอน"

"แต่ว่า..."

"ลีอาห์" ดาเรียสเรียกเสียงอ่อน "ข้าเชื่อว่าเลสธีราห์สามารถทำภารกิจนี้ได้"

เซนทอร์หญิงกลืนน้ำลายและพยายามสงบจิตใจของตนเองก่อนจะหันไปมองซาฮาลที่ยืนสงบนิ่งอยู่เคียงข้างเหนือหัวดาเรียส อีกฝ่ายไม่ได้เกลียดชังเลสธีราห์ แต่กำลังหาวิธีที่จะทำให้บุตรชายของนางได้มีที่ยืนในหมู่เซนทอร์อย่างที่ใจเขาปรารถนา แม้ว่านี่จะเป็นวิธีการที่โหดรายไปบ้าง... แต่อย่างไรมันก็คือวิถีของเซนทอร์อยู่ดี

"เช่นนั้น... ข้ามีคำขอเรื่องหนึ่ง" หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยความปรารถนาของตนออกมา

"ข้าจะไม่ขออยู่ดูลูกของตัวเองตายในสนามรบ"


--------------------------------------------------

เอเดรียนเห็นกับตาตัวเองว่าเรือรบคาร์เธียร์แล่นใบออกไปจากอ่าวออโรราแล้ว และหากคาดเดาของเขาไม่คลาดเคลื่อน อีกฝ่ายคงจะเห็นการมาเยือนของแอสทารอธ จึงเกิดความไม่มั่นใจว่าพวกเซนทอร์เลือกข้างแล้วหรือยัง

"เรือเซเลสต์เพียงลำเดียวไม่สามารถต่อกรกับกองเรือเวเรนเซียได้ทั้งหมด"

แม่ทัพหนุ่มเปิดฉากสนทนากับผู้นำของตนในทันทีที่ท่านหญิงลีอาห์ขอเวลาสนทนากับแม่ทัพเรือของนางเป็นการส่วนตัวที่ด้านนอก ดังนั้นในห้องรับรองจึงเหลือบุคคลเพียงสามคน นั่นก็คือเอเดรียน จาเร็ตต์ และท่านชายซินญอร์

"เราไม่ควรจะตอบรับการประกาศสงครามของแอสทารอธเลย"

"เหตุใดตอนราชเลขาอยู่เจ้าจึงไม่พูดแบบนี้เล่า ท่านแม่ทัพ" ซินญอร์ย้อนคนสนิทบ้าง "เมื่อนางออกไปแล้วจึงได้ปากกล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น มาพูดเอาตอนนี้จะทำอะไรได้ และข้ามีทางอื่นให้เลือกหรืออย่างไร" ท่านชายกระฟัดกระเฟียด ทั้งจากความหงุดหงิดที่เรื่องราวบานปลายจนควบคุมเอาไม่อยู่ และความหงุดหงิดที่แม่ทัพของตนไม่แข็งแกร่งพออย่างที่ตนต้องการ

ราชเลขาลีอาห์กับแม่ทัพเรือเลสธีราห์มีความเกี่ยวดองเป็นมารดากับบุตรโดยที่เจ้าตัวไม่ปิดบัง แต่ซินญอร์ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีมารดาที่ไหนออกปากส่งลูกไปสนามรบได้แบบนี้ "แต่อย่างน้อยแอสทารอธก็เลือกเข้าข้างเรา แม้ว่านี่จะเป็นคำสั่งปลดผู้บัญชาการกองทัพที่ดูจะประชดประชันไปสักหน่อยก็ตาม"

"นี่ไม่ใช่การเข้าข้าง... แต่มันคือการปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือทั้งหมดทั้งปวงของแอสทารอธ!"

"อย่างไรข้าก็ยังยืนยันที่จะให้เซนทอร์ตนนั้นนำเรือรบมาที่นี่ นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายที่อาเดรียมี" ท่านชายตอบกลับเสียงแข็ง ทำให้แม่ทัพของเขาต้องหลับตาลงอย่างสิ้นหวังในตัวผู้นำ "ถ้าแอสทารอธจะสละชีวิตผู้บัญชาการกองทัพเรือของตนเองจริง ข้าก็จะไม่ขัดจุดประสงค์ของเขา"

"เหตุใดท่านจึงไม่ประนีประนอมกับธีสธรัลบ้าง จะส่งผู้อื่นไปตายเพื่ออะไรกัน!!"

เอเดรียนรู้ดีว่านั่นเป็นคำสั่งเนรเทศของเหนือหัวแห่งแอสทารอธ เรือเซเลสต์อาจเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินตะวันตก แต่มันก็เป็นเพียงเรือลำหนึ่งที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ พวกเซนทอร์เพียงแค่ต้องการเย้ยหยันวิธีการสกปรกของมนุษย์ และในขณะเดียวกันก็เป็นบททดสอบแม่ทัพเรือไปในตัว หากเลสธีราห์สามารถเอาชีวิตรอดจากการต่อสู้นี้ได้ เขาก็จะได้กลับไปยังแอสทารอธ แต่หากไม่... เขาก็จะสาบสูญไปในทะเล

ซึ่งเอเดรียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถเอาชีวิตรอดได้

แม่ทัพหนุ่มกัดฟันแน่นและตำหนิตัวเองที่เอาแต่ลังเลไม่ตัดสินใจ

"แล้วเจ้าสามารถประนีประนอมกับพวกมันได้อย่างนั้นรึ เอเดรียน!" ซินญอร์ขึ้นเสียงบ้าง "กี่สิบปีที่เราถูกพวกมันเอารัดเอาเปรียบ มาจนถึงตอนนี้ที่เราสามารถต่อสู้เพื่ออิสรภาพได้ เจ้ากลับบอกให้ข้าประนีประนอมเพื่อถูกพวกมันเอาเปรียบอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่... ข้าย้ำอีกครั้งว่าถ้าเรายอมอ่อนข้อให้พวกมัน ธีสธรัลจะไม่ปรานีเรา และครั้งนี้พวกมันจะไม่ปรานีเราอย่างแน่นอน"

"ท่านชาย!"

"ข้าจะส่งข่าวหาพี่สาวของข้า" ซินญอร์ตัดบท "จะขอกำลังทหารจากคัสนาห์มาช่วย ส่วนเจ้าไปเตรียมกองทัพสนับสนุน" ผู้นำอาณาจักรหยิบผ้าคลุมไหล่ที่แขวนไว้บนเสามาถือไว้ "จำเอาไว้ว่าเจ้าควรจะภักดีต่อแผ่นดินของตัวเอง!" ประตูไม้ปิดเสียงดังใส่หน้าแม่ทัพใหญ่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ ร่างสูงคำรามกับตัวเองด้วยความโมโห ฟันขาวขบกันแน่นอย่างอดกลั้น ขณะที่ลมหายใจติดขัดไม่เป็นจังหวะเนื่องจากความหงุดหงิด

เอเดรียนตำหนิตัวเองมากกว่าใคร หงุดหงิดและโมโหตัวเองมากกว่าใคร เขารู้ดีว่าพวกเซนทอร์มีกฎระเบียบที่เข้มงวดเคร่งครัด แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าพวกครึ่งอาชาจะแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ และในเมื่อมันเป็นคำสั่งและคำพิพากษาของเหนือหัว เลสธีราห์ย่อมปฏิบัติตาม "เกิดเรื่องแน่ จาเร็ตต์" แม่ทัพหนุ่มพึมพำกับคนสนิทข้างกาย "แอสทารอธคงคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าราชินีธีสธรัลจะต้องนั่งไม่ติดที่ และเป็นฝ่ายเริ่มสงครามก่อน จึงได้ยื่นคำขาดในการให้ความช่วยเหลือแบบนี้"

ในยามที่ราชเลขาพูดออกมาว่าเลสธีราห์ได้ถูกปลดออกจากการเป็นผู้นำกองเรือรบ ไม่ใช่เพียงใจของเลสธีราห์เท่านั้นที่แทบจะหยุดเต้น แต่เอเดรียนเองก็เกือบลืมหายใจเช่นกัน ชายหนุ่มไม่มีเวลากล่าวโทษตนเองที่ทำให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในสภาพนี้ แต่เขาก็ยอมรับว่ามันเป็นความผิดของตนทั้งนั้น

ความผิดของเขาที่ไม่สามารถปกป้องดูแลเลสธีราห์ได้ตามที่เคยสัญญาเอาไว้

"แต่อย่างน้อย เลสธีราห์ก็ยังพอมีโอกาสที่จะได้กลับไป หากเขาสามารถเอาชนะการต่อสู้นี้ได้"

จาเร็ตต์มุ่นคิ้ว และแตะแขนผู้นำของตนเบาๆ "การต่อสู้ของเรือเซเลสต์เพียงลำเดียวกับกองเรือเวเรนเซียแห่งธีสธรัลหรือ" เอเดรียนกำหมัดเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆราวกับกำลังต่อสู้กับตัวเอง "เราไม่มีกองทัพเรือ เอเดรียน... นี่อาจไม่ใช่คำสั่งที่แสดงความเมตตา แต่มันคือคำสั่งประหารชีวิต" เมื่อพูดเช่นนั้น แม่ทัพใหญ่ก็เบือนหน้าหนีคนสนิทและเดินไปยังหน้าต่างเพื่อจะมองไปที่ท่าเรือออโรราแห่งอาเดรีย

เขาจะปกป้องเลสธีราห์... ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมสูญเสียอีกฝ่ายไป

แต่เซนทอร์ย่อมมีเกียรติของเซนทอร์ การกีดกันเขาออกจากสนามรบถือเป็นการดูหมิ่นอัศวิน

"แต่ข้า..." แมทัพใหญ่หลับตาลงพร้อมกับกัดฟันแน่น เขาควรจะรีบไปเตรียมความพร้อมให้กองทัพที่ไม่เคยออกศึก เพื่อป้องกันบ้านเมืองของตนหากธีสธรัลยกกำลังพลมาจริงๆ เขาควรจะออกคำสั่งให้ตรวจสอบปืนใหญ่ที่อยู่บนปราการแต่ละชั้นว่ายังใช้งานได้อยู่หรือไม่ ในฐานะแม่ทัพ เขาควรจะเริ่มทำอะไรสักอย่างบ้างแล้ว ทว่าเอเดรียนกลับไม่สามารถปัดเรื่องของเลสธีราห์ออกไปจากหัวได้เลย

เขาไม่มีวัน... จะทอดทิ้งเลสธีราห์

หากกีดกันอีกฝ่ายออกจากสนามรบไม่ได้ สู้ร่วมรบไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ

"จาเร็ตต์" เอเดรียนเรียกเสียงต่ำ "ข้าขอยืมม้าของเจ้าหน่อย" แม่ทัพใหญ่คว้าเสื้อคลุมของตนขึ้นมาสวม และเดินออกจากห้องรับรองโดยที่มีคนสนิทเดินตามมา "ดูแลความเรียบร้อยที่นี่ จัดการเรื่องอาหารการกินให้ท่านราชเลขาอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด"

จาเร็ตต์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถาม "เจ้าจะไปไหน เอเดรียน"

"คฤหาสน์ตระกูลฟลินทรัสต์..."

--------------------------------------------------

หากถอดความคำพูดของเหนือหัวแล้ว... เลสธีราห์ต้องทำภารกิจให้สำเร็จจึงจะได้กลับแอสทารอธ

ลีอาห์ไม่พูดอะไรตลอดทางที่นางเดินนำเลสธีราห์มาถึงราชรถที่ถูกนำไปจอดไว้ใกล้โรงม้าเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวก่อนจะเดินทางกลับแอสทารอธในวันรุ่งขึ้น เหล่ากระทิงป่าพ่นลมหายใจเป็นควันขณะใช้เขาขนาดใหญ่หยอกล้อกันเองไปพลางระหว่างรอ

"เจ้าทำให้แม่เป็นห่วงมาก..." ลีอาห์พูดเสียงอ่อนกับบุตรชาย "เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้"

เซนทอร์หนุ่มถอนใจ เขาหลับตาลงเมื่อมือที่เล็กกว่าของคนตรงหน้าเอื้อมประคองพวงแก้ม ก่อนจะโน้มตัวเขาลงไปหา ริมฝีปากนุ่มของนางจรดแนบหน้าผากอย่างอ่อนโยน และวงแขนเล็กก็พยายามจะกอดบุตรชายที่ตัวโตกว่าเอาไว้ด้วยความคิดถึง

"ลูกข้า..."

ชายหนุ่มกางแขนออกกอดแม่ของตน และซบหน้าลงกับไหล่เล็กเพื่ออิงแอบความอ่อนโยนจากบุคคลที่รักเขามากที่สุด "ข้าคงทำให้ท่านลำบากมาก... มันไม่จำเป็นเลยแท้ๆ" โดยทั่วไปแล้ว แอสทารอธจะไม่ละเว้นแม่ทัพที่ทำงานบกพร่องจนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแบบนี้ แต่ด้วยความที่เลสธีราห์เป็นถึงบุตรชายของราชเลขาคนสนิท คนเป็นมารดาย่อมยื้อไม่ยอมให้เขาถูกลงโทษง่ายๆ

"มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก" ลีอาห์ตอบ "เลสธีราห์ บอกแม่ได้ไหม... เหตุใดเจ้าจึงพลาดได้"

เหตุผลเดียวที่เลสธีราห์ถูกจับได้ว่าเป็นเซนทอร์ นั่นคืออีกฝ่ายเยร่างเซนทอร์ออกมา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน ลีอาห์รู้ดีว่าบุตรชายชอบอยู่ในร่างมนุษย์ ดังนั้นการที่ชายหนุ่มเผยร่างเซนทอร์ออกมาย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน "พวกมันบีบบังคับเจ้าหรือไร"

"เปล่า..." เลสธีราห์เม้มปาก "ข้าแค่... ตัดสินใจผิดพลาด"

...เขาตัดสินใจผิดพลาดที่ช่วยเอเดรียนด้วยวิธีการนั้น แต่เขาก็ไม่เคยเสียใจเลย

"เลสธีราห์..." ลีอาห์คะยั้นคะยอ "บอกแม่"

เมื่อถูกสายตาดุดันจ้องมอง บุตรชายก็เบือนหน้าหลบก่อนจะเปิดปากพูดแต่โดยดี "ข้าช่วย... เอเดรียนไม่ให้ถูกคูแรนน์ทำร้ายที่กลางป่า" เมื่อเอ่ยถึงญาติที่ไม่ใคร่จะสนิทกันนัก ลีอาห์ก็มุ่นคิ้วสงสัย แม้ว่าจะคาดเดาเรื่องได้บ้างแล้วก็ตาม "ความสามารถของคูแรนน์ เรี่ยวแรงของเขา และความชำนาญนับร้อยปีของเขา เพียงดาบเดียว เขาก็ฆ่าเอเดรียนได้ แล้วจะให้ข้ายืนมองเฉยๆอย่างนั้นหรือ"

คูแรนน์มีอายุมากกว่าท่านหญิงลีอาห์ และนางก็พอจะรู้จักขุนพลภูตครึ่งเอลฟ์จากชื่อเสียงของอีกฝ่าย รู้จักถึงความเด็ดขาดและดุดันที่ร่ำลือต่อกันมา แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เลสธีราห์ทำงานพลาดอยู่ดี "แล้วเหตุใดเจ้าจึงช่วยเหลือเขา เขาสำคัญมากกว่าความลับของเจ้าหรืออย่างไร เจ้ารู้ไหมว่าเหนือหัวต้องเรียกตัวสายสืบทุกคนที่สามารถแปลงเป็นมนุษย์ได้กลับมา แอสทารอธวุ่นวายไปหมดเพราะเรื่องนี้"

เลสธีราห์ไม่ตอบเมื่อถูกดุ เขายังคงหลบสายตาของมารดาอยู่อย่างนั้น และพยายามจะหาเรื่องอื่นมาตัดบทสนทนานี้ ...เขาจะบอกแม่ตัวเองได้อย่างไรว่าเหตุใดเขางจึงยอมช่วยเหลือมนุษย์โดยไม่ไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสียแบบนั้น "เขาเป็นเจ้านายแค่ในนามไม่ใช่หรือ เลสธีราห์... เหตุใดเจ้าไม่หยุดคิดบ้าง"

"ท่านแม่... ข้าเห็นเขาตายไม่ได้"

ลีอาห์ค่อยๆใช้มือเชยคางบุตรชายขึ้น และขมวดคิ้วมุ่นมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของอีกฝ่ายอยู่สักพักใหญ่ "ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร... เจ้าจะต้องสู้ หากชนะก็จะได้กลับไปแอสทารอธ แต่หากแพ้..."

"ก็อย่าได้กลับมา..." เลสธีราห์ต่อประโยคของมารดา "เรื่องแค่นี้ ข้าทำได้"

"มันไม่ใช่แค่นี้หรอก" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เซนทอร์หนุ่มสะดุ้งสุดตัวและหันกลับไปมองราชรถที่ไม่น่าจะมีใครอยู่ในนั้น แต่แล้วมือใหญ่ก็เอื้อมปัดผ้าสีขาวที่ปิดกั้นเอาไว้ต่างประตู เหนือหัวดาเรียสขยับตัวออกมาเล็กน้อย จนแสงแดดส่องกระทบใบหน้าคมคายสงบนิ่ง "ยังมีอีกเรื่องที่เจ้าจะต้องรับผิดชอบ เสธีราห์..."

"เหนือหัวดาเรียส" ร่างโปร่งชะงักนิ่งไปด้วยความตกตะลึง เขารีบย่อตัวลงแสดงความเคารพผู้นำอาณาจักกรที่ลงมาที่นี่ด้วยตัวเอง "ข้าขออภัยที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วแบบนี้"

"คำขอโทษมันใช้ไม่ได้แล้ว เลสธีราห์" ดาเรียสตัดบท "แต่เพราะเจ้าเป็นเสมือนน้องของข้า... ข้าจึงไม่อาจอยู่เฉยได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่เจ้าจะต้องทำให้ได้หากต้องการกลับมายังแอสทารอธอย่างภาคภูมิ" ไม่ใช่แค่การเอาชนะสงครามได้ด้วยเรือลำเดียวเท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่เลสธีราห์ต้องทำเพื่อชดเชยความผิดที่สร้างความเดือดร้อนซ้ำยังขายหน้าให้กับแอสทารอธ

"ทำลายปราการแห่งอาเดรีย แล้วเอาชีวิตของผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้มาให้ข้า"

"..องค์เหนือหัว"

...

"ข้าหมายถึง... เอเดรียน ที่เจ้าพูดถึงเมื่อครู่นี้"

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


ในที่สุด... เอเดรียนก็ขยับแล้ว!! //ช้าไปมาก 555555555 << นี่แก้ให้มันคิดได้เร็วขึ้นแล้วนา

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มนุษย์นี่น่ากลัวที่สุดละ  :m16:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
งึ!!!! *ลมหายใจสะดุดหยุดกึก!!* โบ๊ะ!! อะไรนะ??? ถล่มอาเดรียแล้วฆ่าเอเดรียน!! โว้ยยยยยยชิบโหงงงงงงง ตรูเครียดอึดอัดแทนเลส คำสั่งบ้าอะไรเนี้ย ใครจะทำลง แล้วถ้าไม่ทำตามละ แค่ชนะสงคราม ผลจะเกิดไรขึ้น //สามเมืองนี้จะรบยังไงว่ะ ต่างคนต่างรบหรือร่วมมือกันถล่มอีกเมือง หรือวนเวียนแพ้ชนะ อัยยยะ!!! ตรูไม่เคยตันขนาดนี้ คิดไม่ออกเลยจริงๆว่าจะเดินหน้าเอาไงต่อ เดาไม่ถูกกกก 555555555555555 อาเดรียเป็นรองสุด เอเดรียนไปหาน้องแล้วคือ????ให้ช่วยเลสรบกับธีรัลหรอ??หรืออะไรยังไง? มาต่อเถอะค่ะ พลีสสสส!!5555 จะเอาไงว่ะ #เลสเอเดรียน เอเดรียนอยากปกป้องเลส แต่เลสเจอคำสั่งให้เก็บเอเดรียน เครียยยดดอึดอัดว้อยยยย!!!! มีความอิน 555555555555 สนุกอ่ะลุ้นชิบหายจะออกมายังไง

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
ตามอ่านทันแล้ววววว พอมีเวลาอ่านจริงจัง ไม่สามารถหยุดอ่านได้เลยค่ะ เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้น เดาทางไม่ออกเลย เป็นกำลังใจให้เลสและเอเดรียน
เป็นกำลังใจและบวกเป็ดให้คุณKhaosapด้วยค่ะ เป็นผู้ที่เขียนนิยายแฟนตาซีได้สนุกมากเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.1
«ตอบ #80 เมื่อ25-11-2016 07:41:00 »

ตอนที่ 22.1

ถ้าเจ้ายอมร่วมมือ... ข้าจะล้างประวัติให้กองทัพโจรสลัดของเจ้า

เอเรสนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขา โดยยกขาขึ้นพาดบนโต๊ะไม้ตัวสวยด้วยความเคยชิน อีกทั้งยังยกแขนขึ้นเท้าคางและเหม่อมองเอกสารที่เขียนด้วยลายมือของผู้นำอาณาจักรอาเดรียพร้อมทั้งลงนามประทับตราครบถ้วนด้วยความรู้สึกที่ไม่ใคร่จะสบายใจ

เป็นเรื่องประหลาดสำหรับเอเรส ฟลินทรัสต์ที่เขาจะรู้สึกไม่สบายใจ

โจรอย่างไรก็เป็นโจร ท่านชายอย่าได้พยายามกลับดำเป็นขาวเลย มันไม่มีประโยชน์...

ร่างสูงหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเก็บเอกสารนั้นเอาไว้ในลิ้นชักโต๊ะตามเดิม จังหวะเดียวกับที่พ่อบ้านผู้ดูแลเคาะประตูห้องเป็นเชิงขออนุญาตเข้ามา "คุณชายครับ..." ผู้นำตระกูลรีบยกขาลงและหยิบผ้าเช็ดโต๊ะส่วนตัวที่เขาแอบเอาไว้ขึ้นมาเช็ดคราบสกปรกที่เกิดจากรองเท้าของตนออกอย่างรวดเร็วก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับการมาเยือนของชราชายที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก

เอเรสจะถูกดุหากโดนจับได้ว่ายกขาขึ้นวางบนโต๊ะด้วยความเคยชิน

"คุณชายเอเดรียนกลับมาครับ"

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกขึ้นด้วยความตื่นเต้น และอึดใจต่อมา ผู้เป็นน้องโดยสายเลือดก็รีบรุดออกไปจากห้องทำงานของตน มุ่งหน้าลงบันไดไม้ที่สลับซับซ้อนที่จะนำเขาลงจากชั้นสามของบ้านไปสู่โถงบันไดอันเงียบเหงาทว่ามีบุคคลผู้หนึ่งที่เอเรสปรารถนาจะพบอีกครั้งยืนรออยู่

"เอเดรียน...!"

บันไดกลางอาจสูงถึงห้าสิบขั้น แต่เอเรสกลับพุ่งลงมาตามราวจับในระยะเวลาไม่ถึงอึดใจ "พี่กลับบ้านแล้วรึ!" น้องชายกระโดดลงยืนตรงหน้าผู้มาเยือน และพบว่าตัวเองสูงกว่าคู่สนทนาอยู่มากกว่าที่จินตนาการเอาไว้ "เกือบสามสิบปี... ที่พี่ทิ้งตระกูลไปอย่างไม่ใยดี" เอเรสมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับตนทว่ามีอายุกว่า ทว่าการแต่งตัวกลับแปลกตาซึ่งบอกได้ดีว่าพี่ชายของตนอยู่ในสังคมที่ต่างออกไป ทว่าในวันนี้... เอเดรียน ฟลินทรัสต์กลับบ้านแล้ว

"แค่ยี่สิบสี่ปี... เอเรส ไปเอามาจากไหนว่าสามสิบ"

"ข้าสิอายุสามสิบ! แล้วพี่ก็หายไปตอนข้าหกขวบ... หกขวบ!" แม้ว่าคนพูดจะมีอายุอานามถึงสามสิบปี แต่วิธีการพูดของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ชายกลับดูเหมือนเด็กไม่มีผิด "การอยู่ตัวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้มันยากขนาดไหน พี่รู้บ้างไหม" แต่เมื่อเอเรสพูดแบบนี้ เอเดรียนก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ และยกมือขึ้นลูบผมสีเข้มด้วยความเอ็นดู และเพียงเท่านั้นคนตรงหน้าก็ก้มหน้าลงพร้อมทั้งหลับตา ราวกับรอคอยช่วงเวลานี้มาแสนนาน

ตระกูลฟลินทรัสต์ประกอบกิจการค้าอาวุธและเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในท่าเรือทิศใต้ แต่อย่างไรสงครามการค้าขายก็ไม่เคยจบสิ้น ยังมีกลุ่มอิทธิพลอีกหลายกลุ่มในย่านนี้ทำให้เกิดการช่วงชิงอำนาจทางการตลาด คุณหญิงแห่งตระกูลฟลินทรัสต์เสียชีวิตจากการให้กำเนิดบุตรชายคนที่สอง ดังนั้นจึงเหลือเพียงคุณชายใหญ่และพี่น้องที่คอยช่วยเหลือกัน แต่เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อนนั่นเองที่ตระกูลอิทธิพลได้ตกต่ำลงเนื่องจากการสูญเสียผู้นำสูงสุด

บิดาของเอเดรียนและเอเรส... ถูกยิงตาย

เอเดรียนมีอายุเพียงสิบขวบในตอนนั้น และการสูญเสียบิดาไปต่อหน้าต่อตาทำให้เด็กชายคิดว่าตนคงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ได้ เขาจึงหันหลังให้กับตระกูล ทอดทิ้งทรัพย์สมบัติและอำนาจแห่งฟลินทรัสต์ทั้งหมดเพื่อหันหน้าไปสู่ความยุติธรรมในสังคมขุนนางแห่งอาเดรียด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะสามารถทำให้ผู้คนในตระกูลฟลินทรัสต์ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยได้

ทว่าเอเรส ฟลินทรัสต์... กลับมีความคิดที่ต่างออกไป

การที่ฟลินทรัสต์เพลี่ยงพล้ำเกิดมาจากความสูญเสีย ความสูญเสียที่ไม่ได้มีความหมายแค่ทางใจ แต่พวกเขาสูญเสียบุคคลที่มีอำนาจ ความรู้ และประสบการณ์ไป อีกทั้งไม่มีผู้ใดมีความหลักแหลมเท่าเทียมคุณชายใหญ่แห่งฟลินทรัสต์ ทำให้พวกเขาเกิดความระส่ำระส่าย แตกแยก ตกต่ำล่มจม และถูกคนอื่นเหยียบย่ำ ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาของเอเรสคือการต่อสู้โดยไม่หวังพึ่งอำนาจของผู้อื่น แต่เป็นการผลักดันตัวเองให้มีอำนาจเหนือผู้ใด

และเขาก็พิสูจน์ได้แล้ว... ด้วยสมญาของ 'ราชาโจรสลัดแห่งเทเทส'

"ใครว่าข้าไม่ใยน้องชายตัวเอง" เอเดรียนหัวเราะเบาๆ แม้ว่าเขาจะมีเรื่องเร่งด่วนรีบร้อน แต่ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นถึงน้องชายร่วมสายเลือด ใครบ้างจะสามารถวางท่าเย็นชาต่อไปได้ แม่ทัพใหญ่ค่อยๆดึงคนตรงหน้ามากอด และลูบหลังกว้างช้าๆเป็นเชิงปลอบอยู่อย่างนั้น "คิดว่าการที่เจ้าเป็นจอมโจรแล้วรอดชีวิตมาถึงทุกวันนี้เป็นเพราะ 'ฟลินทรัสต์' รึ ...เอเรส"

"ถ้าพี่ไม่่ช่วยข้าก็ให้มันรู้ไปสิ!"

"เช่นนั้นครั้งนี้คงต้องยืมคำพูดของเจ้าบ้างแล้ว... หากเจ้าไม่ช่วยพี่ก็ให้มันรู้ไปเถอะ"

เอเรสสูดหายใจเข้าแล้วผละออกจากอ้อมกอดของพี่ชาย เขายืดอกขึ้นด้วยมาดของผู้นำ "ข้ารอเวลานี้มาตลอด" คนตรงหน้าแสยะยิ้มที่เกิดจากทั้งความดีใจและความสาแก่ใจ "เวลาที่พี่จะกลับบ้าน และมาขอความช่วยเหลือจากข้า" ร่างสูงยิ้มกว้าง "เวลาที่... เราจะร่วมมือกันอีกครั้ง ข้ารอมาตลอด ยี่สิบ... กว่าปี"

"ยี่สิบสี่..." เอเดรียนต่อประโยคให้จบ "ยิ่งโต... เจ้ายิ่งหน้าเหมือนพ่อ"

"ข้าหน้าเหมือนพี่!"

"เอ้า พี่ก็ได้..."

เอเดรียนถอนใจก่อนจะปลดผ้าคลุมไหล่ออกพาดแขนแล้วเดินขึ้นบันไดกลางไปยังห้องทำงานที่เคยเป็นของบิดา แม้จะไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลานานขนาดนี้ แต่เขากลับจดจำทุกอย่างที่นี่ได้ อีกทั้งเอเรสก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรภายในบ้านอีกด้วย ตามทางเดินภายในยังมีภาพวาดของผู้นำตระกูลแต่ละคน และอาวุธประจำกายที่เคยใช้ เอเดรียนเดินผ่านไปยังภาพวาดของบิดาและหยุดมองมันสักครู่หนึ่งราวกับระลึกถึงใบหน้าที่เขาเกือบจะลืมไป อาวุธคู่ใจของฝ่ายนั้นคือปืนไฟกระบอกยาวซึ่งวางอยู่บนแท่นแขวนติดผนัง แต่ภาพต่อมากลับเป็นกรอบเปล่าที่ไม่มีรูปของผู้ใดอีกทั้งแท่นวางอาวุธที่ว่างเอาไว้เหมือนรอผู้นำตระกูลคนต่อไป

"เจ้าไม่ชอบเวลามีหน้าตัวเองอยู่บนผนังหรือ" แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้ว

"เอารูปใครขึ้นผนังไม่เห็นจะอายุยืนสักคน" เอเรสตอบ "อีกอย่าง... พี่ในตอนนั้นก็ยังเกินจะวาด"

เอเดรียนมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น "เจ้าเป็นผู้นำตระกูลฟลินทรัสต์ เอเรส... ไม่ใช่ข้า" ไม่ใช่คนที่ทอดทิ้งตระกูลไปยี่สิบกว่าปีเพียงเพราะคิดว่าสังคมภายนอกจะดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ "แต่ถ้าเจ้าคิดว่าถ้าวาดรูปแล้วจะอายุสั้นก็เอาเถอะ" แม่ทัพใหญ่เดินไปถึงห้องทำงาน ตรงไปที่ผ้าม่านที่รวบเอาไว้ข้างหน้าต่างบานใหญ่ ดึงเชือกเส้นใหญ่ที่แอบซ่อนเอาไว้ เพื่อดึงแผนที่ขนาดมหึมาลงมาจากกระบอกเก็บด้านบน ซึ่งแสดงรายละเอียดภูมิศาสตร์ และเขตแดนทางตะวันออกของมหาทวีปทั้งหมด

"เจ้าแผ่ขยายเมืองออกไปทางทิศใต้มากเกินไปแล้ว"

แผนที่นั้นถูกต่อเติมและเพิ่มรายละเอียดให้มีความเป็นปัจจุบันมากที่สุด โดยสังเกตได้จากสีที่ไม่สม่ำเสมอกันในแต่ละที่ ซึ่งส่วนต่อเติมมักจะมีสีที่สดกว่า และสิ่งที่เอเดรียนกำลังสนใจนั่นก็คือสัญลักษณ์ของเมืองและท่าเรือที่แผ่ขยายออกไปทางใต้เรียบชายฝั่งซึ่งมีส่วนติดกับป่าเวทมนตร์ และล่วงล้ำเข้าไปเขตของคัสนาห์ นี่คือแผนที่แสดงอำนาจของตระกูลฟลินทรัสต์ เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลผู้มีอิทธิพลทางการค้า

"เราจะต้องรบกับธีสธรัล..." ผู้เป็นพี่ไม่อ้อมค้อม "เจ้าคงจะเห็นการมาถึงของราชินีไวลด์แล้ว"

เอเรสจรดยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย "ได้ชื่อว่าเป็นราชาโจรสลัด มีเรื่องเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้าจะไม่รู้"

"ข้าเสนอให้ธีสธรัลจ่ายค่าธรรมเนียมจอดเรือให้เราตามที่ควรจะเป็น แต่พระนางลังเลเพราะเกรงว่าการตกลงยอมความจะทำให้ประชาชนของนางเกิดความไม่พอใจ" แม้จะได้ชื่อว่ารู้ทุกเรื่อง แต่เรื่องการเจรจานี้ เอเรสยอมรับว่าเขาเพิ่งได้ยินจากปากพี่ชาย "นางจึงปรับเปลี่ยนข้อเสนอเป็นการเหมาจ่ายค่าธรรมเนียมแบบรายปี โดยคลังหลวงธีสธรัลจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้เอง"

เอเรสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเริ่มคาดเดาได้ว่าราชินียื่นข้อเสนอใดกลับมา

"...แต่ข้าจะต้องสังหารท่านชายซินญอร์ และเป็นผู้นำอาเดรียเสียเอง" เอเดรียนกำหมัดแน่นครั้งหนึ่งด้วยความอึดอัด "พระนางร่างสัญญาข้อตกลงนี้ขึ้นมา เหลือเพียงการลงนามของข้า ปัญหาบาดหมางระหว่างเรากับธีสธรัลก็จะจบลง" ผู้เป็นน้องพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ตอบโต้ "แต่ราชินีก็แล่นเรือออกไปจากอ่าวออโรราแล้ว หลังจากรู้ข่าวการมาเยือนของท่านราชเลขาแห่งทารอธ"

"นางคงคิดว่าพี่ร่วมมือกับแอสทารอธแล้ว" เอเรสพึมพำ

"ท่านราชเลขามาเพื่อประกาศบทลงโทษในความผิดของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ที่ถูกคุมตัวอยู่ที่มหาคฤหาสน์" เมื่อพูดถึงเลสธีราห์ เอเดรียนก็คิดว่าตัวเองแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้ามากจนเกินไป ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างสักพักก่อนจะหันกลับมา "เหนือหัวดาเรียสให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้งด้วยการออกรบด้วยเรือเพียงลำเดียว"

เอเรสมุ่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจต่อคำสั่งของเหนือหัว...

นี่ต้องไม่ใช่คำสั่งธรรมดาตามความหมายของมันแน่นอน

เอเดรียนสูดหายใจเขาลึกๆครั้งหนึ่งแล้วค่อยๆผ่อนออกมา "เจ้ารู้เรื่องเลสธีราห์ด้วยใช่ไหม เอเรส" แม้จะพยายามเลี่ยงไม่พูดถึงแล้ว แต่เอเดรียนรู้สึกได้ว่าน้องชายรู้ความเคลื่อนไหวของตนตลอดเวลา จนแทบจะเรียกได้ว่าจับตามองอยู่เลยก็ว่าได้ "เจ้ารู้ว่าผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์คือใครใช่ไหม"

"ธนูแหวกสมุทรแอควาเรียร์เป็นสิ่งที่นักเดินเรือทุกคนหวาดกลัว"

เอเรสยักไหล่ และพยายามหักห้ามไม่ให้ตัวเองเอ่ยแซวพี่ชาย "และผู้ที่สามารถใช้อำนาจของมันได้จะต้องผ่านการฝึกฝนตัวเองอย่างหนักในวิชา 'ฟังเสียงมหาสมุทร' ซึ่งนั่นจะทำให้เขาเข้าถึงจิตวิญญาณของท้องทะเลได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมัน" นัยน์ตาสีน้ำตาลเคลื่อนขึ้นมองสบกับพี่ชาย "แต่เมื่ออยู่บนบกแล้ว บุคคลผู้นั้นก็อาจเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง... ที่อาจจะดูสวย" ต่อให้พยายามห้ามใจสักแค่ไหน แต่เอเรสก็พบว่าตัวเองอดปากไม่ได้อยู่ดีซึ่งนั่นทำให้เอเดรียนหันมามองนิ่งๆเป็นเชิงเอ็ด ชายหนุ่มจึงพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยการเดินตรงไปที่แผนที่และไล่นิ้วไปตามท่าเรือใหม่ที่เกิดขึ้นในทางใต้แทน

"ฤดูค้าขายกำลังจะเริ่มต้น ดังนั้นพวกเขาจะกลับมาชุมนุมกันที่ท่าเรือเพื่อทำข้อตกลง"

เอเดรียนลืมสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาก่อนหน้าเสียจนเกือบหมด เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยในสิ่งที่เอเรสกำลังจะพูดต่อไป "ถ้าธีสธรัลจะทำสงคราม ข้าก็มีกำลังพลในมืออย่างน้อยห้าสิบลำ" ชายหนุ่มยิ้ม "อุ่นใจขึ้นมาบ้างหรือเปล่า" และก็อดทึ่งไม่ได้ที่อีกฝ่ายคาดเดาความคิดของเขาได้ถูกต้อง

"ข้าต้องการแค่... ช่วยเลสธีราห์" เอเดรียนพูดออกมา "ดูแลให้เขาปลอดภัย"

"แล้วพี่จะไปไหนเล่า"

"ข้าอาจจะต้องเลือกภักดีต่ออาเดรีย... มากกว่าท่านชาย" แม่ทัพใหญ่เลี่ยงตอบ "ความภักดีที่ข้ามี มันช่วยเหลืออาณาจักรได้จริงหรือ" เลสธีราห์เคยถามเช่นนี้กับเขา และชายหนุ่มก็เก็บมันมาพิจารณาอยู่ตลอด แม้จะรู้คำตอบตั้งแต่แรกว่ามันเป็นเพียงความกตัญญูที่ผิดพลาด แต่เอเดรียนก็ไม่เคยหักใจยอมรับได้ว่าบุคคลที่เขาเคารพนับถือมาตลอดชีวิตจะเป็นผู้นำที่ไม่เอาไหน

เอเรสอ้าปากน้อยๆก่อนจะยิ้มออกมา "แล้วพี่... ลงชื่อในสัญญาของธีสธรัลหรือยังล่ะ"

--------------------------------------------------

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่นึกเลยว่าตอนเอเรสอยู่กับพี่จะดูน่ารัก  :ling1:

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 22.2
«ตอบ #82 เมื่อ28-11-2016 13:57:45 »

ตอนที่ 22.2

เฟรดากลับมาที่เมืองหลวงหลังจากการดูแลพี่สาวที่ได้รับบาดเจ็บจากการประลอง และทำหน้าที่ในส่วนของผู้นำหน่วยลาดตระเวนชายแดนตะวันตกต่อหลังจากเหนือหัวดาเรียสมีคำสั่งให้สายลับเซนทอร์ทุกตนที่อยู่ในอาเดรียกลับมา แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงมาก่อนนั่นคือการขาดการติดต่อกับเมื่อหลวงเพียงหนึ่งสัปดาห์จะทำให้เรื่องบานปลายไปถึงขนาดนี้

"ข้าเป็นสายอยู่ในคฤหาสน์ราห์โมนา... เหตุใดจึงไม่ไถ่ถามข้าสักคำ!"

แน่นอนว่าการตัดสินใจของขุนนางถือเป็นที่สุด แต่เฟรดาก็อดประท้วงไม่ได้อยู่ดี และบุคคลเดียวที่นางจะโวยวายด้วยได้ในตอนนี้ก็คือรีดาห์ รองผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ "จริงอยู่ว่ามันคงเป็นวาระเร่งด่วน แต่อย่างน้อยก็ควรจะถามความเห็นจากสายสืบบ้าง แบบนี้จะส่งข้าไปเพื่ออะไร"

รีดาห์ถอนใจ "แต่ซาฮาลก็อยากจะช่วยเลสธีราห์... ให้เขาได้กลับมา..."

"เจ้าก็เข้าข้างหมอนั่น!" แม้ซาฮาลจะเป็นถึงว่าที่เหนือหัวแกห่งแอสทารอธ แต่สำหรับเฟรดาแล้ว ในตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังเป็นแค่ 'ว่าที่' อยู่ดี "เดินเชิดเหลือเกิน... คิดว่าความคิดของตัวเองถูกต้องและดีไปเสียหมด นี่ขนาดยังไม่ได้ขึ้นเป็นเหนือหัว หากได้ขึ้นปกครองแล้วจะมีใครบ้างที่ห้ามหมอนั่นได้บ้าง ความเป็นเซนทอร์เต็มเปี่ยมเสียขนาดนี้"

"แต่ข้าก็เห็นเขาว่าหวังดีจริงๆนี่นา" รีดาห์แก้ต่าง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจตัวเองว่าจะช่วยอีกฝ่ายทำไม

"รีดาห์" เฟรดาถอนใจ "พวกผู้ชายนี่มันไม่ละเอียดอ่อนเอาซะเลย!"

"หา... แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาว่าข้าแบบนั้น" เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้างเมื่อถูกหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนแลบลิ้นใส่ "เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเลสธีราห์อยู่ในภาวะกดดันมาตลอดชีวิต เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองก็เท่านั้น ซาฮาลหวังดีก็เลยยื่นโอกาสนี้ให้ แม้ว่ามันจะดูโหดร้ายไปบ้างก็ตามที"

"เจ้าเคยถามไหมว่าจริงๆแล้วเลสธีราห์อยากพิสูจน์ตัวเองไปทำไม" เซนทอร์หญิงเลิกคิ้ว

"เพราะให้ได้รับการยอมรับในฐานะอัศวิน"

หญิงสาวส่ายหัวช้าๆ "เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนรอบตัวว่าเขามีตัวตนของตัวเองต่างหาก" เฟรดาถอนใจก่อนจะมองไปทางทิศใต้ซึ่งหมายถึงอาณาจักรอาเดรีย "ไม่ว่าจะในฐานะเซนทอร์หรืออะไรก็ตาม เขาแค่อยากได้รับการยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน"

"เช่นนั้น..."

"เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของเขา เหตุใดจึงไม่แปลกใจบ้างว่า ทำไมคนที่ชอบอยู่ในร่างมนุษย์อย่างเลสธีราห์ถึงถูกจับในร่างเซนทอร์ได้" รีดาห์มุ่นคิ้วเล็กน้อย และชะงักนิ่งไปสักพักเพราะเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย "ข้าอยู่ที่ราห์โมนา... รีดาห์... นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่มีใครถามความเห็นข้าเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่ข้ารู้ว่าเลสธีราห์ทำสิ่งนั้นไปเพื่อใคร "

"ใครกัน"

"แม่ทัพเอเดรียน... คนที่ซาฮาลเสนอให้เลสธีราห์ฆ่าเขาเพื่อกลับมายังแอสทารอธ"

รีดาห์เบิกตาขึ้นพร้อมกับอ้าปากค้าง "เช่นนั้น..." รองผู้บัญชาการนิ่งอึ้ง เนื่องด้วยรู้จักนิสัยใจคอของเลสธีราห์ดี "เฟรดา! เจ้าต้องไปหยุดคนนำสารของแอสทารอธ เขาถือข้อตกลงของแอสทารอธกับธีสธรัลที่ลงนามพร้อมประทับตราของเหนือหัวดาเรียส ถ้าเลสธีราห์คิดจะขัดคำสั่งขึ้นมา แอสทารอธจะต้องไม่เสียหน้าจากกระดาษแผ่นเดียว ส่วนข้าจะไปเปลี่ยนผังติดตั้งปืนใหญ่ของเรือเซเลสต์" เซนทอร์ทั้งสองมองหน้ากันครั้งหนึ่ง แล้วจึงออกวิ่งไปด้วยกันโดยมีเป้าหมายคือเมืองท่ามารินา

เพราะเลสธีราห์...ไม่มีทางหันอาวุธใส่คนที่ตัวเองรักได้...

--------------------------------------------------

'เราจะเข้าร่วมกับธีสธรัล การทำศึกครั้งนี้ขอให้เจ้าทำลายอาเดรีย'

เหนือหัวดาเรียสไม่เคยเดินทางออกแอสทารอธไม่ว่าด้วยเหตุผลใด แต่กลับมาถึงที่นี่ด้วยตนเองทำให้ปัญหาของเลสธีราห์เป็นเรื่องใหญ่ที่เซนทอร์ทุกตนจับตามอง และแน่นอนว่าคำสั่งที่ปรากฎอยู่ในประกาศฉบับนั้นคือผลของการระดมความคิดและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนแล้วของขุนนางระดับสูงทั้งหมด และนับเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด

นี่คือการปกครองของเซนทอร์...

'ธีสธรัลจะต้องระดมกำลังพลมาที่อ่าวออโรราอย่างแน่นอน และนั่นคือกำลังสนับสนุนของเจ้า'

หากเขาสามารถทำตามความประสงค์ของสภาขุนนางได้ แอสทารอธจะสามารถยื่นข้อเสนอให้กับธีสธรัลได้ อันทำให้ได้มาซึ่งเรือจักรไอน้ำสิบลำที่จะทำให้กองเรือพาณิชย์ก้าวหน้าไปอีกขั้น และพัฒนาการค้าขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งเลสธีราห์ก็จะมีความดีความชอบมากพอที่จะกลับไปนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการกองเรือรบเซเลสต์ ตลอดจนได้รับการยอมรับจากเซนทอร์ตนอื่นว่าเขามีความสามารถพอ หาใช่เพราะเส้นสายและความสนิทสนมส่วนตัวของราชเลขาและเหนือหัว ดั่งคำครหาที่ชายหนุ่มพบเจอมาตลอดชีวิต

แต่เลสธีราห์กลับไม่รู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสครั้งนี้เลย

ภารกิจนี้ไม่ใช่เพียงแค่ต้องหันหลังให้กับเอเดรียน แต่มันคือการย้อนกลับมาทำลายอีกฝ่ายด้วย ต่อให้คำสั่งของเหนือหัวดาเรียสถือเป็นคำขาดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่มันก็เป็นคำสั่งที่เลสธีราห์ไม่คิดจะปฏิบัติตามเลยแม้แต่น้อย

ร่างโปร่งกำหมัดแน่น ขณะเดินกลับมายังคฤหาสน์ราห์โมนาอันเป็นที่พักของแม่ทัพใหญ่ หลังจากขออนุญาตมารดาและเหนือหัวปลีกตัวออกมาสักพัก ทางอาเดรียจัดเตรียมที่พักรับรองอย่างดีเอาไว้ให้ราชเลขา แต่นางก็ปฏิเสธน้ำใจอย่างนิ่มนวล ด้วยไม่ต้องการทิ้งเหนือหัวของตนเอาไว้ตามลำพังที่ราชรถ เพราะผู้นำเซนทอร์ไม่เดินออกไปไหน ดังนั้นราชเลขาจึงมีหน้าที่ดูแลอยู่ใกล้ๆในฐานะคนสนิท

แน่นอนว่าด้วยความเป็นสตรี ลีอาห์อาจต้องออกมายืนหลับอยู่ข้างราชรถเพื่อความบริสุทธิ์ใจ

ซึ่งการยืนหลับนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเซนทอร์เลย

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าคฤหาสน์จำเลสธีราห์ได้จากลักษณะการแต่งตัวและรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างจากคนอื่น และพวกเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเซนทอร์ ดังนั้นการจะปล่อยให้เขาเดินเข้าไปด้านในง่ายๆคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ "ขออภัย ท่านเลสธีราห์... แต่ท่านแม่ทัพใหญ่ไม่มีคำสั่งให้ท่านเข้าพบ" เลสธีราห์สูดหายใจช้าๆและหยุดนิ่งอยู่ที่ประตูรั้วของคฤหาสน์อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร

"แล้วท่านแม่ทัพอยู่ไหนกัน"

"เขาไม่ได้กลับมาที่นี่หลายวันแล้ว..." เซนทอร์หนุ่มเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น และหันกลับไปมองมหาคฤหาสน์ที่อยู่ตั้งเด่นอยู่ในเขตปราการชั้นในซึ่งเป็นใจกลางของอาณาจักรอาเดรีย "ไม่มีใครอยู่ที่นี่ ท่านเลสธีราห์ ทั้งท่านโจฮาล และท่านจาเร็ตต์ก็ออกไปหมด เราจึงไม่อาจปล่อยให้ท่านเข้าไปด้านในได้" เลสธีราห์แค่นหัวเราะสั้นๆและคิดว่าเขาควรจะกลับไปที่มหาคฤหาสน์คงจะดีกว่า เอเดรียนอาจจะวุ่นวายกับการเตรียมกองทัพเพื่อออกรบจนไม่มีเวลาว่างมาสนทนากับเขาก็เป็นได้

แม้ว่ามันอาจจะเป็นการสนทนาครั้งสุดท้ายก็ตาม...

แต่เสียงกีบเท้าของม้าที่วิ่งมาจากไกลๆก็ทำให้เซนทอร์หันไปมอง เขาจำได้ว่ามันเป็นวิธีการวิ่งของม้าศึกคู่ใจของจาเร็ตต์ "เลสธีราห์...!" แต่คนที่ควบขี่มันมากลับเป็นแม่ทัพใหญ่ เขากระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับอาการหอบ บอกได้ว่าอีกฝ่ายรีบกลับมาที่นี่ทันทีที่รู้ว่าเลสธีราห์ไม่อยู่ที่มหาคฤหาสน์อีกต่อไป เอเดรียนส่งเชือกจูงม้าให้กับองครักษ์ยาม ก่อนจะหันมาหาคนข้างกาย

"เจ้ามาที่นี่..."

"ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับมาที่นี่"

เซนทอร์หนุ่มพึมพำ "พรุ่งนี้ข้าต้องกลับแอสทารอธแล้ว คงจะ..." เขาพูดต่อไม่ได้ เลสธีราห์คิดไม่ออกว่าตนควรจะพูดอะไร หรือพูดอย่างไรกับเอเดรียน เขาจะต้องกลับไปหาพวกพ้องของเขา กลับไปอยู่ในที่ที่ควรจะเป็นของตน และคงจะกลับมาพบกับเอเดรียนด้วยความรู้สึกเดิมไม่ได้อีก

"คงจะไม่ได้กลับมา..."

ต่อให้เอเดรียนจะเคยพูดไว้ว่าจะรอเขาอยู่ที่จุดนัดพบเดิมทุกวัน แต่หากเลสธีราห์ได้กลับไปแอสทารอธจริงๆ เอเดรียนอาจไม่มีชีวิตอยู่เพื่อทำแบบนั้นอีกแล้ว "ข้าอยากพบเจ้า" น้ำเสียงของเซนทอร์สั่นไหว เอเดรียนที่สัมผัสถึงความกดดันของอีกฝ่ายได้ดีจึงคว้าแขนคู่สนทนาพาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ตรงไปยังห้องพักของเขาเพื่อความเป็นส่วนตัว และหลบเลี่ยงสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่นๆ

ผิวของเลสธีราห์เย็นจากการที่เดินตากลม เอเดรียนจึงถอดผ้าคลุมไหล่ของตนออกคลุมให้

"เดินกลับมาถึงนี่โดยไม่มีเสื้อสักตัว ประเดี๋ยวจะป่วยเอา" เอเดรียนแตะมือกับลำคอของคนตรงหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายสบายดี แต่เพียงเท่านั้น ลมหายใจของเซนทอร์หนุ่มก็ติดขัดราวกับสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้สุดกำลัง เลสธีราห์ยกมือขึ้นวางบนมือใหญ่ และกอบกุมเอาไว้อย่างนั้น

เอเดรียนจับมือตอบพร้อมกับทอดยิ้มจาง แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ก็ตาม

"แค่เจ้าอยากพบข้า... ก็ดีใจมากแล้ว"

"เจ้าไม่เข้าใจ" เซนทอร์พึมพำ อีกฝ่ายไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงอยากพบอีกสักครั้ง หรืออยากสนทนาด้วยอีกสักคำ เอเดรียนไม่เข้าใจว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกที่ยังเหมือนเดิม "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ข้าจะไม่ทำแบบนี้" เลสธีราห์หลับตา ซบหน้าลงกับบ่ากว้างอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน สองมือเรียวค่อยๆเคลื่อนขึ้นโอบกอดรอลำคอหนาเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว

"จะไม่ตอบรับคำชวนของเจ้าตั้งแต่แรก... เพื่อจะมาถึงวันนี้"

เขาจะไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับอีกฝ่ายจนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ตัดขาดจากกันไม่ได้แบบนี้ เขาจะเป็นพรานป่าลึกลับต่อไปและเฝ้ามองเอเดรียนโดยที่ไม่มีเยื่อใยต่อกันแบบนี้ "แต่หากย้อนเวลาได้ ข้าก็จะทำเหมือนเดิม" ทว่าเอเดรียนกลับคิดต่างออกไป เพราะเขามีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิด และรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นต่อให้เขาเลือกได้อีกสักกี่ครั้ง เอเดรียนคิดว่าตนคงจะทำเหมือนเดิม

"สิ่งเดียวข้าอยากแก้ไข คือการไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแต่แรกที่ทุ่งแห่งนั้น"

มืออีกข้างของชายหนุ่มเอื้อมขึ้นมาลูบผมสีอ่อนแผ่วเบา และจับปอยเล็กๆขึ้นทัดหูเพื่อให้เห็นใบหน้าของคู่สนทนาชัดขึ้น "ข้าจะได้อยู่กับเจ้านานขึ้นอีกสักนิด" ต่อให้อยากจะย้อนกลับไปว่าเอเดรียนช่างปากหวานจนเลี่ยน แต่เลสธีราห์ก็ทำได้แค่หัวเราะออกมาสั้นๆด้วยความยินดีที่ได้ยิน "ต่อให้ไม่อยากปล่อยมือ... แต่ถ้าจากกันด้วยดีข้าก็คิดว่ามันคงจะดีกว่า"

ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ก่อนจะหลบสายตา

"ข้าอยากให้เจ้ากลับไป" ร่างสูงว่า "เจ้าควรจะมีชีวิตอยู่ในที่ที่เป็นของเจ้า" น้ำเสียงของเอเดรียนอ่อนโยน และขณะที่อีกฝ่ายพูดก็ยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้เหมือน "เหนือหัวมีความเมตตา เขาจึงให้โอกาสนี้กับเจ้า เจ้าจึงควรกลับไป เลสธีราห์"

"แต่เจ้า..." เลสธีราห์กัดฟัน "แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป"

"ข้าจะกลับไปหาเจ้า" เอเดรียนยิ้มจาง "เมื่อข้ามีเกียรติมากพอที่ทำให้เจ้าภูมิใจ" เพียงแค่คิด เลสธีราห์ก็รู้สึกเจ็บในอกจนแทบทนไม่ได้ เขาหลับตาและก้มลงซบหน้ากับแผ่นอกกว้าง และนิ่งฟังหัวใจของอีกฝ่ายเต้นซึ่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับไม่รู้ชะตากรรมตนเอง อีกทั้งยังลูบผมสีอ่อนปลอบประโลมอีกด้วย  "ไม่ว่าเจ้าจะกลัวอะไร ข้ายังอยู่ข้างเจ้าเสมอ" เสียงทุ้มกระซิบบอก และจรดริมฝีปากจูบข้างขมับช้าๆ ความคิดฟุ้งซ่านและวุ่นวายที่อยู่ในหัวของเลสธีราห์ก่อนหน้านี้เลือนหายไปจนหมด เหลือแต่ความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยทว่าไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน ทั้งที่ไม่ได้ห่างหายจากกันไปเป็นเดือนเป็นปี

"ข้ารักเจ้า... เลสธีราห์"

เลสธีราห์ยอมรับคำสารภาพเอาไว้ ก่อนจะซุกหน้ากับอกกว้างด้วยความเต็มใจ ทั้งที่ใจหนึ่งของเขากำลังตะโกนบอกเตือนสติตัวเองอยู่ว่าเอเดรียนเป็นมนุษย์ และไม่สามารถทิ้งหน้าที่มาเพื่อเขาได้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่สามารถทิ้งภาระของตนลงเพื่อไปหาอีกฝ่ายได้เช่นกัน แต่ใจที่หนักแน่นกว่ากลับเมินเฉยเสียงเล็กๆน่ารำคาญ เลสธีราห์เพียงแค่ต้องการสิ่งนี้... เขาแค่ต้องการวงแขนที่อบอุ่นและแข็งแกร่งพอมาโอบกอดเขาไว้

ไม่ใช่ชื่อเสียงและเกียรติยศนอกกายที่ต้องแลกด้วยใจอันเจ็บปวด

...เขาต้องการเพียงแค่เอเดรียนเท่านั้น

หากเขาเลือกเอเดรียนได้ เขาก็คงไม่ลังเล แต่สิ่งที่ชายหนุ่มเป็นในตอนนี้คือคนที่เลือกอะไรไม่ได้ เพราะทุกอย่างถูปูทางเอาไว้หมดแล้ว เขามีหน้าที่เพียงแค่เดินตามเท่านั้น เพื่อผลประโยชน์ของอาณาจักร อันเป็นเกียรติที่เซนทอร์ตนหนึ่งควรจะภูมิใจ

แต่การมีชีวิตเพื่อผู้อื่นแบบนี้มันมีความสุขจริงหรือ...

มือเรียวยกขึ้นแตะเสี้ยวหน้าของคนพูด "เอเดรียน..." ร่างโปร่งรั้งอีกฝ่ายเข้ามาหาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของทั้งคู่ ก่อนที่ริมฝีปากบางแตะแนบอีกฝ่ายและกดจูบช้าๆอ้อยอิ่ง แขนเรียวเคลื่อนขึ้นไปโอบกอดรอบลำคอแกร่งและเหนี่ยวรั้งให้รับจุมพิตที่รุนแรงขึ้นด้วยความปรารถนา ลิ้นอุ่นร้อนแลกรสชาติกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับหิวกระหาย ขณะที่ร่างกายพยายามเบียดเข้าแนบชิดจนแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างกัน ลมหายที่ไม่ค่อยเป็นจังหวะบ่งบอกได้ถึงความปรารถนาที่ก่อตัวขึ้นมาในสถานการณ์ไม่ค่อยเหมาะสม ที่นี่คือห้องพักของแม่ทัพใหญ่ และบรรยากาศทั้งหมดทั้งปวงก็ไม่เอื้ออำนวยให้คู่รัก

"เลสธีราห์..."

เอเดรียนดึงตัวเองกลับมาจากภวังค์ ทว่าลมหายใจสั่นพร่าก็ยังยากจะควบคุม เขาพยายามจะคลายวงแขนจากเอวคอด แต่อีกฝ่ายกลับรั้งมันเอาไว้โดยที่ไม่ยอมมองสบตา ราวกับชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป "ถ้าเจ้าไม่ห้ามข้า..." เอเดรียนแนบหน้าผากของตนเองกับอีกฝ่าย "ข้าก็ห้ามตัวเองไม่ได้หรอกนะ"

"ลืมสักพักได้ไหมว่าเราเป็นใคร" ร่างโปร่งกล่าวตอบ "เป็นแค่เจ้ากับข้าได้ไหม ในตอนนี้"

พวกเขาแนบริมฝีปากหากันอย่างโหยหา รุนแรงขึ้นอย่างไม่คิดจะหักห้ามตัวเองอีกต่อไป ผ้าคลุมไหล่สีเข้มถูกปลดออกอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนไปแหวกสาบเสื้อออก ขณะที่ตัวเองถูกดันให้ก้าวถอยไปถึงโต๊ะทำงานด้านหลัง แผ่นหลังโปร่งนอนแนบลงกับเนื้อไม้ ริมฝีปากยังไม่แยกห่างจากรสจูบที่ดูดดึง อิงแอบ แนบชิดคลอเคลียกันไม่ห่าง

เอเดรียนก้มลงจูบที่กลางอกเปลือย และลากไล้ลมหายใจยั่วเย้าให้ร่างเบื้องใต้สั่นสะท้าน ขณะที่มือใหญ่เคลื่อนลงต่ำและกอบกุมส่วนอ่อนไหวเอาไว้อย่างถะนุถนอม ริมฝีปากอุ่นสัมผัสไปตามกล้ามเนื้อหน้าท้องที่หดเกร็งกระตุกสั่น ก่อนที่จะครอบครองร่างกายอีกฝ่ายเอาไว้ในโพรงปาก ปล่อยให้เสียงลมหายใจขาดห้วงดังสะท้อนไปทั่วห้อง

"..อือ...!"

จังหวะของคนตรงหน้าทำให้ทั้งร่างขยับเคลื่อนตามอย่างควบคุมไม่ได้ อีกทั้งไม่ได้เร่งร้อนล่วงเข้ามาภายในอย่างที่เคยทำ ครั้งนี้เอเดรียนอ่อนโยนและใจเย็นกว่าทุกครั้ง และนั่นก็ทำให้เลสธีราห์ยิ่งปฏิเสธไม่ได้สักอึดใจ "อ... เอเดรียน..." ร่างโปร่งยกมือขึ้นปิดหน้า เขาจนมุมต่ออีกฝ่าย และรู้สึกแพ้พ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

คนถูกเรียกยืดตัวขึ้นและจูบขมับชื้นเหงื่อแผ่วเบาเป็นเชิงปลอมประโลม และหลังจากนั้นจึงแตะร่างของตนกับช่องทาง ก่อนจะกดล้ำเข้ามาอย่างสุดจะกลั้นได้อีกต่อไป "อะ...!!" ดวงตาสีฟ้าเบิกโพลงขึ้นพร้อมกับท่อนแขนที่กระหวัดเกี่ยวกอดหาหลักพยุง ท่อนขาเรียวขยับเกร็งและจิกเล็บอยู่กลางอากาศอย่างควบคุมไม่ได้ เขารับรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่ายที่ฝังลึกอยู่ในร่าง รับรู้ถึงแรงอารมณ์ที่ต้องการระบายออก

"อื้อ...!"

เปลือกตาบางปิดแน่นเมื่อร่างเบื้องบนเริ่มขยับ ลมหายใจขาดห้วงไม่เป็นจังหวะดังก้องไปทั่วห้องสลับกับเสียงครางด้วยความสุขสมและจังหวะที่ผิวกายกระทบกระแทก เขาแอ่นกายขึ้นรับแรงอารมณ์ที่ดุดันยิ่งขึ้นของผู้รุกราน และยอมสอดประสานมือกับอีกฝ่ายที่กอบกุมบีบกดราวให้กำลังใจ

"เจ้าไม่จำเป็นต้องกลั้นแบบนั้น เลส..."

กายแกร่งกระทั้นดันลึกเข้ามาภายใน และสัมผัสจุดอ่อนไหวจนทั้งร่างกระสันเกร็ง "อือ!!"

"ตอนนี้มีแค่ข้ากับเจ้าเท่านั้น" ยิ่งเขาส่งเสียงครางครือไม่แน่ชัด เบื้องบนก็ยิ่งเพิ่มกำลังราวกลั่นแกล้ง เขาจิกเล็บกับท่อนแขนตรงหน้า ใบหน้าที่แดงซ่านอับอายเอียงหลบสายตาที่พิจารณาหลงใหล ภาพตรงหน้าของเลสธีราห์พร่ามัว ด้วยแรงอารมณ์ที่ถ่าโถมทำให้เขาใกล้จะถึงจุด และหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกนอกจากท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว

กับความรู้สึกที่เหมือนกับได้รับการเติมเต็ม

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


สิ่งที่ยากกว่าการเขียนเรทคือการเลือกไม่ได้ว่าจะเตียงหรือโต๊ะหรือโซฟา  :hao3:

ออฟไลน์ RenaBee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
เป็นบทรักที่เศร้าจังฮือออออ เดาวัรต่อไปของทั้งคู่ไม่ออกเลยค่ะว่าจะหวานซึ้งต่อไปหรือเจ็บปวดกับการต้องแยกจาก  :hao5:

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
โต๊ะทำงานก็เร่าร้อนดีนะคะ //ผิด
เมื่อไรเขาจะได้อยู่ด้วยกันคะ  :o12:
เราสังเกตุเห็นว่าคำว่า สาร น่าจะเป็น สาส์นมากกว่าหรือเปล่าคะ? ถ้าเราผิดต้องขออภัย

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
โต๊ะทำงานก็เร่าร้อนดีนะคะ //ผิด
เมื่อไรเขาจะได้อยู่ด้วยกันคะ  :o12:
เราสังเกตุเห็นว่าคำว่า สาร น่าจะเป็น สาส์นมากกว่าหรือเปล่าคะ? ถ้าเราผิดต้องขออภัย

ตามพจนานุกรมไม่มี สาส์น จ้า มีแต่ "สาสน์" เน่อ (ซึ่งอ่านว่าสาด... ซึ่งฮาร์ดคอมาก 555)
จริงๆ สาสน์ ก็หมายถึงพวก... จดหมายทางราชการของผู้นำนะ

แต่ที่ใช้สารนี่คือติดมาจาก การส่งสารของคนทั่วไป ...ในกรณีนี้ที่เหนือหัวเขียนเองก็ควรใช้ สาสน์ เน้าะ

ขอบคุณที่ช่วยดูค่า >___<

ปล. ช่วยกันตีความราชบัณฑิต
http://www.royin.go.th/?knowledges=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%99-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อื้อออซึ้งอบอุ่นเติมเต็มคลอความเศร้า >//< TT //จากนี้ไปห่างไกลกันจะเกิดไรขึ้นบ้าง จะเลือกทางไหนยังไงเดาไม่ถูกเลย เอเดรียนคิดจะตกลงกับธีรัลโดยฆ่าท่านซินญอร์แล้วตั้งตัวเองเป็นผู้นำ เอเดรียเป็นอิสระได้ค่าธรรมเนียมเรือ+ไม่เกิดสงคราม แต่แอสทารอธคิดจะร่วมมือกับธีรัล ธีรัลจะเลือกทางไหน ถ้าเลือกแอสทารอธ เสียเรือไอน้ำแต่ได้ถล่มอาเดรีย กลับกันถ้าเอเดรียนโอเค ก็ไม่เกิดสงคราม ถึงจะเสียค่าธรรมเนียมเรือแต่ก็ได้หัวท่านซินญอร์ พอไม่เกิดสงคราม ทีนี้ละแอสทารอธจะทำไง เลสจะยังไง แต่ทำใจไม่ค่อยได้เลยถ้าเอเดรียนจะเอาหัวท่านซินญอร์ไปให้ธีรัลจริงๆ มันมีทางออกไหม ก็ไม่ลงนามปล่อยให้เกิดสงคราม อืมมมตามจริงก็อยากให้เกิดสงครามนะ แต่ว่ากดดันแทนเลสชิบหาย อาเดรียจะมั่นใจได้ขนาดไหนว่าจะไม่พัง โว้ยยยยยยยยคิดไม่ออกบอกไม่ถูก ทำได้แต่รอไรท์มาต่อละค่ะ เครียดดดดดดดด 5555555555555555 รอๆค่ะ อยากร่วมสงครามละ 555

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 23.1
«ตอบ #87 เมื่อ13-12-2016 08:30:12 »

ตอนที่ 23.1

ผู้นำหญิงกำลังให้อาหารนกในกรง ขณะที่แม่ทัพเรือเข้ามาพบ

"พระนาง... กำลังพลของเวเรนเซียพร้อมแล้ว"

ถึงแม้ว่านางจะไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นแต่อย่างไรมันก็คือการท้าทายมหาอำนาจอย่างหนึ่ง อาเดรียที่เป็นเมืองขึ้นธรรมดาจะหาญกล้าต่อกรกับธีสธรัลซึ่งเป็นมหาอำนาจอย่างนั้นหรือ อย่างนี้เมืองขึ้นอื่นของนางก็จะไม่พากันตีตนออกห่างหรืออย่างไร และสิ่งที่มหาอำนาจควรทำนั่นก็คือการประกาศความยิ่งใหญ่ให้ศัตรูได้จดจำอีกครั้ง

แม่ทัพเรือพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของนาง "ครั้งนี้ข้าระดมเรือรบหนึ่งร้อยลำ กับ..."

"เอาเรือเหล็กออกมา" ผู้นำอาณาจักรสั่งเสียงเรียบ "แบ่งกองเรือออกเป็นสองส่วน เท่านี้คงเข้าใจความคิดข้าใช่ไหม" แววตาดุดันเฉียบคมของราชินีเหลือบมองผู้นำนักรบที่รอรับคำสั่งอยู่เบื้องหลัง "แอสทารอธไม่ส่งเซเลสต์ออกรบทั้งหมดหรอก และเรือของพวกเขาก็ล้วนเป็นเรือไม้..."

"เช่นนั้น ข้าจะนำเรือเหล็กฝ่าเข้าไปในวงล้อม" แม่ทัพเรือพยักหน้าตาม "เข้าใจแล้วขอรับ"

"ระวังแอควาเรียร์ด้วย... ธนูแหวกสมุทรนั่นอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่าสิ่งใด"

แม้จะไม่เคยเห็นอำนาจของแอควาเรียร์โดยตรง แต่จากประสบการณ์ที่ได้เห็นพลังของธนูเอลฟ์ ราชินีแห่งธีสธรัลก็ตัดสินว่าอาวุธเหล่านั้นเป็นอาวุธที่น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร และมันมักสร้างความเสียหายอย่างไม่น่าเชื่อเสียด้วย

ใจของผู้นำหญิงไม่เคยต้องการสงคราม แต่นางก็ไม่อาจโอนอ่อนตามข้อเสนอของอาเดรียได้ทั้งหมด มิเช่นนั้นแล้วผู้ที่ถูกเพ่งเล็งและสั่นคลอนอาจเป็นตัวนางเอง ประชาชนของนางคงไม่ยินยอมหากธีสธรัลที่เคยรุ่งเรืองและมีอำนาจต้องก้มหัวให้กับเมืองขึ้นอย่างอาเดรีย นางคิดว่านางทำดีที่สุดแล้วในการเจรจา แต่ดูเหมือนว่าอาเดรียจะปรารถนาสงครามมากกว่า ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

ถึงแม้จะรู้แก่ใจว่าการที่อาเดรียมั่นอกมั่นใจมากขนาดนี้ก็เพราะมีแอสทารอธหนุนหลัง แต่ราชินีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะถ้าหากเมืองขึ้นอื่นรู้ว่านางอ่อนยอม พวกเขาเหล่านั้นจะไม่รวมหัวกันแล้วแว้งกันเมืองแม่อย่างธีสธรัลหรือไร

สงครามนี้จึงเป็นการประกาศอำนาจของธีสธรัล แม้ว่าจะไม่มีใครอยากสูญเสียอีกแล้วก็ตาม

--------------------------------------------------

คนหลายคนอาจรู้สึกดีที่ได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าอันหมายถึงการเริ่มต้นวันใหม่อีกวันหนึ่ง แต่สำหรับเลสธีราห์แล้ว เขากลับคิดว่ายามเช้ามาถึงเร็วจนเกินไปทั้งที่เพิ่งจะหลับตานอนไปได้ไม่นาน อีกทั้งยังเป็นวันใหม่ที่เขาไม่เคยต้องการให้มาถึงอีกด้วย ร่างโปร่งปรือตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเหล่านกส่งเสียงร้องอยู่ข้างหน้าตา ก่อนจะสูดหายใจลึกๆและถอดถอนออกมาด้วยความไม่สบายใจ  เซนทอร์หนุ่มรู้สึกได้ว่าคนข้างกายยังหลับสนิท และวางแขนข้างหนึ่งพาดอยู่บนเอวของเขาราวกับโอบกอด ซึ่งแม้จะเป็นสัมผัสที่ไม่ได้ใกล้ชิดมากมาย แต่ร่างโปร่งก็ลอบยิ้มกับตัวเองด้วยความยินดี

พวกเขาห่างเหินจากกันจนแทบจะลืมไปแล้วว่าความรู้สึกใกล้ชิดนั้นเป็นอย่างไร

หากเป็นไปได้ก็อยากจะหลับตาลงและจมอยู่ในวงแขนตรงหน้าให้อีกสักพัก หรือหากหยุดเวลาเอาไว้ได้ก็คงจะดีกว่าด้วยซ้ำไป เลสธีราห์เงยขึ้นมองใบหน้าคมที่ยังหลับใหลและทอดหายใจสม่ำเสมอ หยุดพิจารณาและจดจำลักษณะของคนตรงหน้าในเวลาที่พวกเขายังมีความรู้สึกดีต่อกัน ก่อนจะจรดปลายจมูกของตนกับอีกฝ่ายและลังเลที่จะจูบริมฝีปากนั้นเบาๆเป็นครั้งสุดท้าย

เขาควรจะไป... ไม่ควรเสียเวลาร่ำลาอาวรณ์แบบนี้

เซนทอร์หนุ่มหลับตาลงและถอยออกจากวงแขนแกร่ง แต่ทันทีที่ขยับตัว เอเดรียนก็กอดเอวของเขาแน่ขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายแนบริมฝีปากจูบคนตรงหน้าด้วยตัวเอง "อือ...!" นัยน์ตาสีฟ้าเบิกขึ้นด้วยความตกใจ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการแตะริมฝีปากเบาๆอย่างอ่อนโยน แต่เลสธีราห์ก็ประหลาดใจที่เขาไม่รู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว

เอเดรียนลืมตาขึ้นมองสบก่อนจะแนบหน้าผากของตนกับอีกฝ่าย "คิดว่าข้าไม่รู้สึกตัวรึ"

"ก็..." เซนทอร์รู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง แต่เขากลับไม่นึกโกรธ "ลมหายใจเจ้าปกติดี"

แม่ทัพหนุ่มหัวเราะลงคอ "ถ้าเจ้าตื่นเพราะเสียงนก ข้าก็ตื่นเพราะเสียงถอนหายใจของเจ้า" ร่างสูงหลับตาลง และค่อยๆคลายวงแขนออกด้วยรู้ว่าพวกเขาไม่มีเวลาพูดคุยกันมาก เลสธีราห์จะต้องเดินทางกลับแอสทารอธ กลับไปในที่ของตนที่ได้จากมา ...ซึ่งอาจหมายถึงการไปจากเขาตลอดกาล ดวงตาของพวกเขามองสบกันอีกครั้งและสัมผัสได้ถึงความโหยหาซึ่งกันและกัน แต่แม้จะอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ต่างฝ่ายก็รู้ว่าตนเองไม่สามารถเอื้อมมือไปไขว่คว้าคนตรงหน้าได้ แม้จะอยากประคองใบหน้าเข้ามาจูบอีกสักครั้งก็คงจะเป็นการเสียเวลาและยิ่งทำให้การจากลายากขึ้น

เอเดรียนเป็นฝ่ายลุกขึ้นจากเตียงก่อน เขาหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้น ละไปยังโต๊ะทำงานที่ข้าวของทุกอย่างถูกกวาดออกไปให้พ้นทางเมื่อคืนที่ผ่านมา และกระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้อง แต่แม่ทัพใหญ่ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะก้มเก็บ "..." ร่างสูงวางพาดเสื้อผ้าบนพนักเก้าอี้และพยายามจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่กลับรู้ว่าควรจะกล่าวอะไร เขาจึงผละไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดใหม่ออกมาแทน

"ข้าไม่มีชุดแบบที่เจ้าชอบใส่ แต่ว่า..." เซนทอร์ไม่นิยมสวมเสื้อ เอเดรียนจึงหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนหนึ่งออกมาแทน "เผื่อว่าอากาศจะหนาว เจ้าอาจต้องการผ้าห่ม" เลสธีราห์โคลงหัวเล็กน้อยแล้วจึงลุกขึ้นมาจากเตียงบ้าง เอเดรียนหันมาหาคู่สนทนาและคลี่ผ้าคลุมไหล่ของตนออกให้อีกฝ่ายดู "ผืนนี้อุ่นมาก..."

เซนทอร์หนุ่มรับมันมาถือไว้ หลังจากเห็นว่ามันเป็นผ้าผืนที่เอเดรียนชอบที่สุด

"ข้าคงได้ใช้มัน"

บทสนทาของพวกเขาสั้น ด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หรือทำอะไรต่อไป ...จะดีแค่ไหนถ้าพวกเขาทั้งคู่อยู่ในสถานะที่ต่างจากนี้ จะดีแค่ไหนถ้าการตื่นนอนมาพบหน้ากันเป็นความสงบสุขที่แท้จริง ไม่ใช่ตื่นมาเพื่อบอกลาเช่นนี้ "ข้าต้องไปแล้ว" ร่างโปร่งพึมพำ ขณะคลุมผ้าสีเข้มที่เคยเป็นสมบัติชิ้นโปรดของเอเดรียนกับบ่าของตน "หากรีรอ... คงจะไม่ดีนัก"

...ทำไมช่วงเวลาสงบสุขจึงได้สั้นเสียจริง

"ไปเถอะ" เอเดรียนทอดยิ้มจาง พยายามบังคับให้ตัวเองใจแข็งพอที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป "ท่านราชเลขารอเจ้าอยู่" เลสธีราห์เป็นเซนทอร์ และเขาควรจะอยู่กับพวกพ้องของตนที่แอสทารอธ เอเดรียนย้ำกับตัวเองด้วยคำนั้น เพื่อปลอบโยนตัวเอง และทบทวนสถานะของเขากับเลสธีราห์ ว่าแม้ครั้งหน้าจะได้พบกัน ก็คงไม่อาจได้อยู่ใกล้แบบนี้อีก

ข้ารักเจ้า เลสธีราห์...

...แต่เขาไม่ได้พูดมันอีก และเฝ้ามองแผ่นหลังของอีกฝ่ายหายออกไปจากห้องด้วยหัวใจหนักอึ้ง

--------------------------------------------------


หนีไปรับปริญญา (ใบที่ 2) มาค่ะ OTL เหนื่อยมวากกก... เลยอู้ด้วย 1 อาทิตย์ แฮ่ะๆๆ
//เปิดมาก็ดราม่ามาเลย

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 23.2
«ตอบ #88 เมื่อ15-12-2016 08:32:41 »

ตอนที่ 23.2

จาเร็ตต์มองการตกแต่งภายอันโอ่อ่าในของคฤหาสน์ฟลินทรัสต์ขณะที่เดินตามเจ้าของบ้านไปตามทางเดิน ภายในบ้านหลังนี้มีรูปสลักที่ทำจากไม้ ภาพวาดบนผนังที่แสดงถึงสงครามกลางทะเล การปะทะของเรือพายโบราณและการพุ่งอาวุธเข้าหากันอย่างดุเดือด  มีภาพการต่อสู้บนหลังม้าในสนามรบ ล้วนแล้วแต่แสดงถึงอานุภาพของอาวุธหลากหลายชนิด

อาวุธจริงที่ใช้ตกแต่งบนผนังเรียงรายตามทางเดินสามารถหยิบจัดขึ้นมาใช้งานได้ทุกชิ้นตั้งแต่ดาบ ขวาน หอก ทวน ง้าว เคียว หลากหลายชนิดและรูปร่างสุดจินตนาการ นี่คือบ้านของตระกูลที่เคยมีอิทธิพลในตลาดค้าอาวุธมาก แต่เมื่อผู้นำตระกูลถูกลอบสังหาร บุตรชายคนแรกของเขาก็วางมือและทิ้งซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก่อนจะหายตัวไป... และรับใช้อาณาจักรในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่จนถึงทุกวันนี้

แต่คนตรงหน้าเขาเอเรส ฟลินทรัสต์... กลับผันตัวมาเป็นผู้มีอิทธิพลทางทะเลแทน

อันหมายถึงการควบคุมเหล่าโจรสลัดแห่งเทเทส

"เหตุใดจึงต้องปั้นหน้านิ่งขนาดนั้นด้วย ไม่น่ามองเอาเสียเลย" เอเรสยิ้มเล่นหัวขณะนำทางอีกฝ่ายขึ้นไปยังห้องทำงาน หลังจากพูดคุยกับพี่ชายสั้นๆเมื่อวานนี้แล้ว เอเดรียนก็กล่าวว่าเขาจะส่งเลขาของตนมาทำหน้าที่ต่อซึ่งหมายถึงการหารือแผนการสู้รบของระหว่างแม่ทัพเอเดรียน และท่านชายซินญอร์เอง "หากเจ้ายิ้มเสียบ้าง วันที่น่าเบื่อนี่ก็คงจะสดใสขึ้นมาเลยเชียว"

"...ตอนนี้บ้านเมืองเรากำลังตึงเครียดอยู่นะ"

"ข้าเคยเครียดกับอาเดรียหรืออย่างไร" เอเรสแค่นหัวเราะ "เจ้าไม่สบายใจขึ้นมาสักนิดเลยหรือ ที่ในที่สุดพี่ชายข้าก็ตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไร" นัยน์ตาสีเข้มที่ถอดแบบมาจากพี่ชายหรี่ลงและเหลือบมองคู่สนทนา "เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของอาเดรีย" เอเรสเป็นผู้นำของเหล่าโจรสลัดและน่ากลัวเสียยิ่งกว่าการมีอิทธิเพียงแค่ในตลาดค้าอาวุธ พวกเขาไม่ค้าขายอย่างเป็นธรรมอีกต่อไป แต่ฉกขโมยช่วงชิงสิ่งที่ต้องการมาด้วยกำลัง

จาเร็ตต์ถอนใจเบา "ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะง่าย"

"ข้ารับผิดชอบเรื่องสงครามทางทะเลเอง และอีกอย่าง... เอเดรียนก็มีหนทางพูดคุยกับธีสธรัลแล้ว ตอนนี้เจ้าแค่ห่วงเรื่องภายในปราการก็พอ" คนพูดเดินไปถึงแผนที่ขนาดใหญ่อันเป็นสมบัติประจำตระกูลฟลินทรัสต์ และไล่มือไปตามส่วนที่อิทธิพลของเขาครอบคลุมไปถึง

"ท่านหญิงซินญอร่าจะส่งคนร่วมรบด้วยแน่" เอเรสว่า "ข้าสนับสนุนอาวุธพวกเจ้าได้นะ"

แม้เอเรสจะไม่ได้เอาดีทางการค้าอาวุธ แต่แน่นอนว่าโจรสลัดก็ปล้นเรือขนอาวุธมาเหมือนกัน "แต่ก็มีข้อแม้อย่างหนึ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนกัน หากเจ้าจะให้ข้ารับผิดชอบส่วนที่ไม่ใช่งานของตัวเอง" จาเร็ตต์มุ่นคิ้วอย่างไม่แน่ใจ เพราะเขาเองก็ยังไม่ได้ออกปากตกลงหรือแสดงท่าทีสนใจอะไรในข้อเสนอของเอเรส

"มาเป็นเลขาของข้าแทนน่ะนะ"

คนฟังอ้าปากค้างอย่างไม่รู้จะสรรหาคำใดมากล่าวตอบ เนื่องด้วยสำนวนการพูดของเอเรสไม่ใช่การชักชวนให้จาเร็ตต์มาทำงานด้วยแบบปกติ แต่มันคือการหยอกเย้าหยั่งเชิง และถ้าหากจาเร็ตต์ตอบตกลงก็เห็นทีว่าเขาจะเสียเชิงให้คนเจ้าเล่ห์คนนี้ "เหตุใดข้าจะต้องไปเป็นเลขาของเจ้าด้วย!"

"ข้าไม่เก่งในเรื่องการคำนวน" ชายหนุ่มว่า ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะทำงาน "แล้วก็... สงสารสายตาของพ่อบ้านแก่ๆที่ต้องมาทำหน้าที่นี้ให้ การเพ่งตัวเลขจำนวนมาก ทั้งๆที่เขาควรรับผิดชอบแค่งานหลักของตัวเอง" ใบหน้าที่คล้ายพี่ชายมากเหลือเกินเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่เอเดรียนไม่มีวันทำได้ "เมื่อไหร่ที่เอเดรียนเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย ข้าก็จะเป็นมือขวาของเขา และก็อยากได้เลขาที่ไว้ใจได้สักคนมาช่วยงาน"

"หากเอเดรียนมีชัยในการต่อสู้ ข้าก็จะเป็นมือขวาของเขาในอนาคต!" จาเร็ตต์ตอบโต้

"อา... เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นน้องชายแท้ๆของเขา"

"แต่เจ้าไว้ใจไม่ได้ เอเรส!"

ราชาโจรสลัดก้าวลงจากโต๊ะและขยับเข้ามาประชิดกับคนพูดพร้อมกับค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อจะมองคู่สนทนาในระดับสายตา "เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้ตัดสินว่าข้าไว้ใจไม่ได้น่ะ จาเร็ตต์" ระยะของพวกเขาใกล้มากพอที่ร่างโปร่งจะเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาอีกฝ่าย เลขาแม่ทัพพยายามสรรหาคำพูดมาด่าคนตรงหน้า แต่กลับทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

"เจ้าดูเป็นคนลึกลับน่าค้นหาดีนะ" เอเรสหัวเราะร่วน "แล้วข้าก็ไม่เกี่ยงด้วยว่าจะเป็นหญิงหรือชาย"

"หุบปากไปเลย!!"

ในเมื่อตอบโต้อะไรไม่ได้ จาเร็ตต์จึงได้แผดเสียงออกมาแบบนั้น ทำให้ฝูงนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้คฤหาสน์ถึงกับตกใจและบินแตกฮือออกมา เพราะเลขาหนุ่มเคยไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะมีใครมา 'ถูกใจ' เขา อีกทั้งใครคนนั้นยังเป็นชายอีกด้วย "เอเดรียนส่งข้ามาช่วยงานเจ้าชั่วคราวในฐานะเลขา ไม่ได้หมายความว่าจะให้เจ้ามาพูดแทะโลมข้าได้ โจฮาลล์มีหน้าที่ดูแลกองทัพด้านในปราการ ส่วนข้าจะคอยควบคุมเจ้าไม่ให้ออกนอกลู่ทางในสงครามกลางทะเล!"

"ข้าบอกพี่ไปแล้วว่าข้าถูกใจเลขาของเขา" คู่สนทนากลางตอบไม่รู้ร้อน และเดินไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานของตนเอง ก่อนจะหันมาหาจาเร็ตต์อีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มพึงใจ "และพี่ก็บอกว่าการห้ามปรามข้านับเป็นเรื่องเสียแรงและเปล่าประโยชน์ ดังนั้นหากข้าถูกใจ ก็เป็นเรื่องของข้า"

...เอเดรียน!!

จาเร็ตต์ไม่เคยก่นด่าเอเดรียนในใจแบบนี้มาก่อน ทว่าครั้งนี้เขากลับ อยากตะโกนให้ดังไปถึงบรรพบุรุษของพี่น้องคู่นี้เลยทีเดียว "ท่านเลขา... ข้าไม่มีอำนาจในการเรียกรวมพลโจรสลัดมาจัดทัพอย่างที่เจ้าคาดหวังหรอกนะ" เอเรสยังทอดยิ้มอยู่แบบนั้น "แต่ข้ามีวิธีทำให้พวกเขาออกรบสู้กับกองเรือเวเรนเซียของธีสธรัลได้ก็แล้วกัน"

--------------------------------------------------

เลสธีราห์แยกจากเหนือหัวและมารดาของเขาหลังจากเดินทางกลับมาถึง และมุ่งหน้าไปยังเมืองท่ามารินาด้วยเหตุผลเพื่อ 'การเตรียมตัว' แต่เซนทอร์หนุ่มก็พบว่าจิตใจของเขาแทบไม่อยู่กับเนื้อตัวเลยด้วยซ้ำ ร่างโปร่งก้าวขึ้นบันไดเวียนไปยังห้องด้านบนสุดของที่พักสำหรับผู้บัญชาการกองเรือ อันเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่มีช่องหน้าต่างขนาดใหญ่รอบด้านซึ่งสามารถมองเห็นท่าเรือทุกท่าในอ่าวมารินาได้อย่างชัดเจน

โต๊ะแผนที่ขนาดใหญ่วางตั้งอยู่กลางห้อง และเพดานทรงครึ่งวงกลมก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันจำลองเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนหรือที่ทุกคนรู้จักกันดีว่า แผนที่ดาว โต๊ะแผนที่มีกลไกที่สามารถทำให้หมุนได้รอบทิศทางตามการเปลี่ยนของวันเดือนปี และแผนที่ก็ยังเป็นกระดานวงกลมที่ซ้อนอยู่หลายชั้น ทำให้สามารถคาดเดาคลื่นลมและทิศทางของมรสุมที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นได้

เซนทอร์หนุ่มเท้าแขนกับโต๊ะใหญ่ และสัมผัสได้ถึงความนูนของเกลียวคลื่นบนแผนที่ใต้อุ้งมือของตน ชายหนุ่มกำลังมองทะเลเทเทสตอนเหนืออันเป็นน่านน้ำของแอสทารอธ ก่อนจะละสายตามองลงไปทงทิศใต้ซึ่งเป็นเขตของอาเดรีย สายตาว่างเปล่าของแม่ทัพบ่งบอกได้ว่าเลสธีราห์ไม่มีความเห็นใดกับความใกล้ชิดบนแผนที่ อาณาเขตบนพื้นดินของพวกเขาถูกแบ่งแยกด้วยแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลออกทะเล ในขณะที่อาณาเขตกลางทะเลก็มีเกาะเล็กๆประปรายเป็นแนวกั้น พวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดนี้ เหตุใดทั้งเซนทอร์และมนุษย์จึงไม่เคยรู้สึกว่ามีพันธมิตรอยู่เคียงข้างเลย

เพราะความที่เซนทอร์หยิ่งยโสหรือเป็นเพราะความเห็นแก่ได้ของมนุษย์กันแน่

เปลือกตาบางปิดลงก่อนที่เข่าทั้งสองข้างจะค่อยๆทรุดลงกับพื้น แขนแกร่งยังคงวางอยู่ที่เดิม แต่หน้าผากมนกลับกดแนบกับขอบโต๊ะเย็นด้วยความอึดอัด ใจที่เคยแข็งแกร่งแน่วแน่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความสับสน และเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ ทั้งที่คำบัญชาของเหนือหัวดาเรียสที่หยิบยื่นโอกาสที่เขาเคยต้องการเสมอมา แต่เลสธีราห์กลับไม่มีความรู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเสียอีกเพราะเขากำลังภาวนาให้ผู้นำอาณาจักรเปลี่ยนใจ

เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าคู่ควรที่จะเป็นผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์

และเขาก็ต้องการพิสูจน์ตนเองว่าเป็นเซนทอร์ตนหนึ่งไม่ต่างจากใครอื่น

ร่างโปร่งถอนใจยาวขณะพยายามหาเหตุผลให้ตัวเอง ด้วยการคิดถึงสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด และต้องการมาตลอด เหตุผลที่ทำให้เขาต้องเข้าไปในอาเดรียก็ด้วยสิ่งนั้น เขาแค่ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้างเท่านั้น และคนรอบข้างที่จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตก็คือเซนทอร์ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เอเดรียนยอมรับเขาทั้งที่เป็นแบบนี้อีกฝ่ายไม่เคยดูแคลนในสิ่งที่เขาเป็น ไม่เคยคาดหวังให้เขาทำอะไร และนั่นคือสิ่งที่เลสธีราห์พอใจที่สุด เขาจึงมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้แม่ทัพใหญ่

...เพราะมันคือช่วงเวลาที่เลสธีราห์ไม่รู้สึกว่าชีวิตต้องการอะไรอีกเลย

หากเอเดรียนไขว่คว้าเกียรติยศเพื่อให้ได้ครอบครองเซนทอร์ เลสธีราห์เองก็อยากจะเป็นอัศวินที่สามารถปกป้องดูแลคนรักของตนเองได้เช่นกัน แต่มันช่างน่าเสียดายที่แม้ความปรารถนาของพวกเขาจะแนวแน่สักเพียงใดก็คงไม่อาจทัดทานอำนาจของผู้นำอาณาจักรได้อยู่ดี เอเดรียนอาจคิดไม่ซื่อต่อผู้นำที่ไร้สามารถของตนได้ แต่เลสธีราห์ไม่สามารถขัดคำสั่งของเหนือหัวที่แสนดีของเขาได้จริงๆ

ที่เซนทอร์หนุ่มมีชีวิตกลับมายังแอสทารอธได้ก็เพราะเหนือหัวดาเรียส

และอัศวินย่อมต้องมีความกตัญญู...

ร่างโปร่งหลับตาลง ปล่อยให้หยดน้ำตาอุ่นไหลลงผ่านแก้ม ในขณะที่ริมฝีปากบางสั่นระริกด้วยอดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้สุดความสามารถ แต่เมื่ออยู่เพียงลำพังเช่นนี้ เลสธีราห์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอดทนเจ็บปวดอีกต่อไป เขาซบหน้ากับโต๊ะเย็นที่ไม่ได้ปลอบโยนใดๆ ฟังเสียงสะอื้นเสียใจอันทรมานของตัวเองในห้องกว้างที่อ้างว้างและไม่มีกระทั่งแสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน

ไม่มีใครโอบกอดเขาในครั้งนี้ กระทั่งคำปลอบว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในภายหน้าก็ไม่อาจได้ยิน อัศวินไม่อาจเผยความอ่อนแอให้ใครได้เห็น แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องการใครสักคนข้างกายมากที่สุดก็ตาม "เลสธีราห์..."

เสียงที่คุ้นเคยทำให้ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว แม้จะไม่ใช่เสียงที่เขาเฝ้าคิดถึงอยู่ก็ตาม

"ร... รีดาห์..."

รองผู้บัญชาการก้าวขึ้นมาจากบันได เสียงเกือกเหล็กกระทบกับพื้นไม้ดังก้องไปทั้งห้องจนน่าแปลกใจว่าเหตุใดเลสธีราห์จึงไม่ได้ยินเสียงเดินของรีดาห์เลย ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นพร้อมกับสูดหายใจเข้าเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ "ข้ากลับมาแล้ว..." มีหรือสหายสนิทที่สุดจะไม่รู้ว่าเลสธีราห์ในตอนนี้รู้สึกอย่างไร รีดาห์ไม่เอ่ยตอบประโยคแก้เก้อของอีกฝ่าย แต่เดินไปจุดไฟที่ตะเกียงน้ำมันเพื่อทำให้ห้องสว่างขึ้นแทน

"ข้าไม่เป็นไร..." ผู้บัญชาการแก้ตัวน้ำขุ่น แสร้งทำทีเป็นสนใจแผนที่ทางทะเลแทน

รีดาห์ก้าวเข้ามาหาสหายของตนก่อนจะคืนร่างเป็นมนุษย์เพื่อเผชิญหน้ากับคู่สนทนา "คิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ เลสธีราห์ ว่าเจ้า 'ไม่เป็นไร' น่ะ" สหายหนุ่มไม่คาดคั้น แต่เลี่ยงไปหาแผนที่ทางทะเลบนโต๊ะใหญ่แทน "แลกกับเรือจักรไอน้ำสิบลำ เราจะต้องเข้าพวกกับธีสธรัล และเพื่อกู้ชื่อเสียงตัวเองกลับมา เจ้าต้องเป็นคนนำทัพถล่มอ่าวออโรราของอาเดรีย" รีดาห์ทวนคำสั่งของเหนือหัวดาเรียส และสังเกตสีหน้าของคู่สนทนาไปด้วย ซึ่งเป็นไปตามคาด เลสธีราห์ดูเจ็บปวดกับคำสั่งถล่มอาเดรียมากกว่าการต้องไปเข้าพวกกับธีสธรัลเสียอีก

"เจ้าไปอยู่เมืองนั้นมาหลายเดือน... มีอะไรที่สูงค่ากว่าเรือจักรไอน้ำหรือเปล่าเล่า"

แต่คำถามต่อมาของรีดาห์ทำให้เลสธีราห์เงยหน้าขึ้นมองคนพูด "เจ้าอย่าได้คิดจะขัดคำสั่งของเหนือหัวดาเรียส..." เซนทอร์หนุ่มอ้าปากค้าง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองยังมีสัญญาข้อหนึ่งที่ได้ตกลงไว้กับเอเรส ฟลินทรัสต์ ราชาโจรสลัดแห่งเทเทส "...ปืนคาบศิลา"

รีดาห์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างมีความหวัง "มีใช่ไหม... สิ่งที่น่าสนใจกว่าเรือจักรไอน้ำ"

"แต่เรือนี้ถูกตัดสินโดยสภาขุนนางไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเสียงเดียว..."

"แล้วเจ้าฆ่าแม่ทัพใหญ่แห่งอาเดรียได้จริงหรือ เลสธีราห์" รีดาห์ถามออกมาตรงๆเมื่อเห็นว่าสหายของตนเริ่มลังเล "ต่อให้มันเป็นเรื่องที่สภาขุนนางลงความเห็นแล้ว แต่อำนาจของผู้บัญชาการกองเรือรบอยู่ในมือเจ้า เลสธีราห์" รองผู้บัญชาการกำหมัด "เอาชนะด้วยวิถีของอัศวิน"

"รีดาห์..." เลสธีราห์อ้าปากค้าง

คนพูดส่งยิ้มกลับเล็กน้อย "เจ้าเปลี่ยนชีวิตชายคนนั้นให้เป็นประโยชน์ของแอสทารอธไม่ได้เหรอ สหายข้า" แม้แอสทารอธจะเห็นเรือจักรไอน้ำเป็นประโยชน์สูงสุดของอาณาจักรตอนนี้ แต่หากต้องการจะขัดคำสั่งของเหนือหัวด้วยวิถีของอัศวิน เลสธีราห์จะต้องทำให้ชีวิตของเอเดรียนมีความสำคัญมากกว่าสิ่งใด

นั่นคือการช่วยเหลือให้เอเดรียนขึ้นเป็นผู้นำของอาณาจักรอาเดรีย

"ข้าทำได้..."

--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------


อา... ตอนที่ 23 แล้ว... จริงๆต้องออกเรือแล้วตามแพลน แต่ย่อหน้าสุดท้ายเราว่าอารมณ์มันกำลัง...
คือเลสธีราห์มีความหวังละไง ถ้าตัดไปฉากเรืออีกมันไม่พีคอ่าา ไว้ตอนหน้าละกันนะ 555

ออฟไลน์ khaosap

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    • Khaosap Writing
Re: ASTAROTH พันธนาการดวงดาว ตอนที่ 24.1
«ตอบ #89 เมื่อ18-12-2016 21:11:36 »

ตอนที่ 24.1

แม้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเสียมารยาท และก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวมากไปสักนิด แต่ในฐานะเพื่อนสนิท รีดาห์คิดว่าเขามีสิทธิ์ที่จะถามคำถามนี้กับเลสธีราห์ได้โดยที่ไม่โดนอีกฝ่ายดีดด้วยขาหลัง "เจ้าชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..." แน่นอนว่าความตรงไปตรงมาของสหายทำให้คนถูกถามชะงักปพักใหญ่ ทั้งเนื่องจากความทึ่งและความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"ถึงเจ้าจะไม่เคยมองสาวที่ไหนก็เถอะนะ"

"เจ้าไปรู้เรื่องนั้นมาจากไหน..." แต่แทนที่จะตอบถาม เลสธีราห์ถามกลับด้วยเสียงแผ่วเบา

รีดาห์หันไปมองดวงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า หลังจากนั่งสนทนากับสหายสนิทข้ามคืน และจบด้วยการไม่ได้นอนจนต้องมานั่งดูอาทิตย์ขึ้นเป็นเพื่อนกัน "ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครรู้หรอก กระทั่งแม่ของเจ้า มีแต่ข้า... กับเฟรดาเท่านั้น" รีดาห์รู้ดีว่าอีกฝ่ายกังวลอะไร ซึ่งความผิดของเขาฐานถูกมนุษย์จับได้ก็มากมายสาหัสเพียงพอแล้ว หากสภาขุนนางรู้เหตุผลที่เขาถูกจับได้อีก เลสธีราห์คิดว่าอย่างไรตนก็ไม่ได้รับการอภัยให้กลับมายังแอสทารอธแน่นอน

แม้ว่าความรักจะไม่ใช่เรื่องเสียหายเลยก็ตามที

"ใครคือเฟรดา" เซนทอร์หนุ่มกระพริบตาถี่ ด้วยเขาไม่คุ้นชื่อเสียงเรียงนามนั้นมาก่อน "เฟรดา..." และจู่ๆความทรงจำที่ไม่ได้สลักเสลาสำคัญก็ผุดขึ้นมาในหัว เป็นภาพใบหน้าของหญิงรับใช้ผิวเข้มอัธยาศัยดีในคฤหาสน์ราห์โมนา "เฟรดาที่เป็น..."

รีดาห์เลิกคิ้วและนึกย้อนว่าเลสธีราห์รู้จักเฟรดาหรือไม่

คู่สนทนาเดาได้จากสีหน้างงงวยไม่ปิดบังของอีกฝ่ายว่าพวกเขาคงไม่เคยพบกันในแอสทารอธ "เฟรดา หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนเขตแดนตะวันตก... น้องสาวต่างมารดาของแม่ทัพโมนาไงเล่า" หากพูดว่าเป็นน้องสาวต่างมารดาของแม่ทัพโมนาแล้ว เลธีราห์ก็อ้าปากค้างและนึกออกแทบจะในทันที "นางเป็นหนึ่งในสายสืบที่แฝงตัวอยู่ในอาเดรีย และเป็นหญิงรับใช้มีหน้าที่ล้างจานอยู่ในคฤหาสน์ที่เจ้าไปพักไง"

เซนทอร์ครึ่งเอลฟ์ได้แต่อ้าปากค้างอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

"เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย เลสธีราห์" สหายหนุ่มคาดคั้น "เจ้ารสนิยมเหมือนซาฮาลตั้งแต่เมื่อใด"

ไม่เป็นแค่เรื่องของเฟรดาเท่านั้นที่ทำให้แม่ทัพเรือตกตะลึง แต่คำพูดของรีดาห์ที่พาดพิงซาฮาลนั้นยิ่งทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่า จนไม่มีสมาธิจะคิดถึงคำตอบของตัวเอง "เจ้าว่ากระไร...  ซาฮาลน่ะรึ" เลสธีราห์คิดว่าเขาจากแอสทารอธไปไม่นาน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าซาฮาลจะมีคนรักเป็นชาย และเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาในระยะเวลาเพียงเท่านี้

...แต่ในระยะเวลาเพียงเท่านี้เขากลับผูกพันธ์กับเอเดรียนได้มากขนาดนี้เช่นกัน

เมื่อคิดถึงบุคคลผู้นั้น แม่ทัพหนุ่มก็มีสีหน้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ตาม "ข้าไม่ได้เลือกรักผู้ชาย รีดาห์" ร่างโปร่งพึมพำ "เขาแค่ไม่ใช่ผู้หญิง" เลสธีราห์อยากจะพูดว่า 'ข้าแค่รักเขา' ด้วยซ้ำ ทว่ากลับรู้สึกกระดากที่จะเอ่ย แม้กับเพื่อนสนิทของตัวเอง

"เจ้าแค่รักเขา..." รีดาห์รู้ใจสหายเสมอ เมื่อจบแล้วเขาก็ยักไหล่เบา "ฟังดูหวานดีนะ"

รองผู้บัญชาการไม่เข้าใจความสัมพันธ์นี้ เพราะเขาเองไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะดูแคลนความรักของผู้ใด "เจ้าเลือกเพศของเขาไม่ได้นี่นะ เลสธีราห์" รีดาห์พึมพำ "และข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ไม่ได้อยากเกิดเป็นหญิงเพื่อให้ได้ครองคู่กับเขา" สหายสนิทยิ้มจาง "หากเขาตอบรับเจ้าก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว"

"เจ้าไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสมหรือ" เลสธีราห์ถามเสียงเบา "เขาเป็นมนุษย์..."

"อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้ไปรักพวกเอลฟ์จากอัสคาห์"

"แต่เพราะข้า..." แม่ทัพหนุ่มกลืนน้ำลาย "เพราะข้าคิดถึงแต่เขา ถึงทำให้แอสทารอธต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย" แม้จะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่ความรู้สึกผิดก็ยังอยู่ในใจของเลสธีราห์อยู่ดี และมันคงจะไม่เลือนหายไปหากผู้ที่เอ่ยให้อภัยเขาไม่ใช่เหนือหัวดาเรียส

"ถ้าเจ้าทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้ามีประโยชน์ต่อแอสทารอธได้ ข้าคิดว่าข้อกังขาเหล่านี้จะหมดไป" รีดาห์ว่า "เจ้าเป็นครึ่งเอลฟ์ครึ่งเซนทอร์ เลสธีราห์... แต่ไม่มีใครกังขาความรักของท่านหญิงลีอาห์กับท่านทูตเธโอเดร์ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่ออาณาจักร"

"แต่พวกเขาก็ยอมรับในตัวข้า..."

"ไม่ใช่เพราะชาติกำเนิดของเจ้า" รีดาห์หันไปมองสหายของตน "แต่เพราะสถานะของท่านหญิง" คนพูดหันกลับไปมองดวงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาจนเกือบพ้นขอบฟ้า "เจ้าจึงต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง แม้ว่าเจ้าจะเคยพิสูจน์ไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อตอนประลองชิงตำแหน่งผู้นำแห่งเซเลสต์" เลสธีราห์รู้ว่าตนควรจะทำอะไร แต่เขากลับไม่เคยรับรู้เลยว่าเอเรสผู้เป็นน้องชายเอเดรียนคิดจะทำอะไร อาจจะเพราะตัวเองมัวแต่จมอยู่กับคำสั่งของเหนือหัวดาเรียสที่ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังและหมดพลังที่จะต่อสู้หรือรับรู้เรื่องใดๆ

"เอเดรียนจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำแห่งอาเดรีย" เซนทอร์หนุ่มว่า "หากข้าช่วยดันให้เขาไปถึงจุดนั้น เราจะสามารถต่อรองกับอาเดรียได้" เลสธีราห์ผละจากที่นั่งซึ่งก็คือขอบหน้าต่าง และกลับไปยังแผนที่ขนาดใหญ่บนโต๊ะ "หากข้าช่วยเหลืออาเดรีย สิ่งแรกที่เราจะได้รับ... ก็คืออาวุธที่ไม่มีกองทัพใดในตะวันตกเคยใช้" ร่างโปร่งดึงปืนคาบศิลาอันเป็นของกำนัลจากเอเรสขึ้นมาวางบนโต๊ะใหญ่ พร้อมกับสมุดหนังเล่มหนึ่งซึ่งภายในเอกสารที่เขียนด้วยลายมือ และประทับตรานกไฟของผู้ทรงอิทธิพลแห่งท่าเรือใต้

"สัญญาของตระกูลฟลินทรัสต์..."

ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าเซนทอร์จะสูญเสียอะไรหากไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่ระบุชัดเจนว่าแอสทารอธจะได้รับอะไรหากเลือกเข้าข้างอาเดรีย ซึ่งนอกจากปืนคาบศิลาแล้ว ยังมีข้อเสนออื่นอีกหนึ่งประการที่เลสธีราห์คิดว่าเหนือหัวดาเรียสคงไม่ปล่อยให้หลุดมือ "แม้เราจะไม่ได้ครอบครองศาสตร์การต่อเรือจักรไอน้ำในตอนนี้ แต่นี่ก็น่าจะค่ามากกว่าเรือจักรไอน้ำสิบลำของธีสธรัลกระมัง"

รีดาห์คว้าปืนคาบศิลาขึ้นมาดูด้วยความตื่นเต้น ด้วยรู้จักพลานุภาพของมันทว่าไม่เคยได้สัมผัส

"เราอาจไม่ต้องการทำสงคราม รีดาห์ แต่การได้ครอบครองมันเอาไว้จะเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับแอสทารอธ ไม่ว่าจะเจรจากับเมืองใด" เลสธีราห์ก้มลงมองแผนที่อีกครั้งและค่อยๆวางหมากสีน้ำเงินอันเป็นตัวแทนของธีสธรัลลงบนแผนที่ "แต่เหนือหัวดาเรียสกล่าวว่าธีสธรัลจะต้องยกกองทัพเวเรนเซียออกมาที่อ่าวออโรรา และนั่นคือทัพสนับสนุนของข้า นั่นหมายความว่าแอสทารอธตกลงเป็นพันธมิตรกับธีสธรัลแล้วอย่างนั้นรึ"

จริงอยู่ว่าเลสธีราห์สามารถทำให้ชีวิตของเอเดรียนมีประโยชน์กับแอสทารอธได้ แต่หากแอสทารอธตกลงเป็นพันธมิตรกับธีสธรัลแล้ว สิ่งที่เลสธีราห์คิดจะกระทำต่อไปก็เป็นการหักหน้าอาณาจักรตัวเองอย่างรุนแรง "ธีสธรัลยังไม่รู้ว่าเราเลือกเข้าข้างฝ่ายใดหรอก" รองผู้บัญชาการจรดยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะดึงซองหนังออกมาจากกระเป๋าข้างตัว "ข้ารู้ว่าเจ้าคงทำเราเสียหน้า หากปล่อยสัญญาพันธมิตรนี่หลุดไปถึงมือราชินีไวลด์"

"รีดาห์..." เลสธีราห์อ้าปากค้างน้อยๆ "พวกเราคงจะโดนทัณฑ์บนไม่น้อยเลยทีเดียว"

"นั่นขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่จะตามมาต่างหาก"

คำตอบนั้นทำให้คนฟังยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วก้มลงมองแผนที่ตรงหน้าต่อ "ในศึกครั้งที่แล้ว กษัตริย์แอชรอนเอาชนะอาเดรียได้ด้วยเรือรบห้าสิบลำ แต่ก็ด้วยความช่วยเหลือจากขุนนางทรยศของอาเดรีย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนใน แต่ธีสธรัลก็กำลังบอบช้ำ และคงไม่สามารถระดมพลได้เกินร้อยลำ ดังนั้นศึกทางน้ำก็มีแค่ธีสธรัล"

"แต่เรามีเซเลสต์เพียงลำเดียว"

เลสธีราห์เหลือบตาขึ้นมองสหายครั้งหนึ่งก่อนจะเหยียดยิ้ม "เรามี... แอควาเรียร์"

--------------------------------------------------

จาเร็ตต์ย้ายมาพักที่คฤหาสน์ฟลินทรัสต์สักระยะหนึ่งระหว่างที่เขาคอยช่วยงานเอเรส

พ่อบ้านเฒ่าจัดห้องรับรองเอาไว้ให้อย่างดีอีกทั้งนำอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงห้องเมื่อได้เวลา ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเดินออกไปไหน เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาในการวางแผนการทำงานได้อย่างเต็มที่ เพียงแต่อุปสรรคของเลขาหนุ่มไม่ใช่เรื่องเวลาอาหาร แต่ปัญหาของเขาก็คือเอเรส ฟลินทรัสต์ไม่วางแผนใดๆเลยต่างหาก

"เรากำลังจะเผชิญหน้ากับ... กองเรือเวเรนเซีย เจ้าไม่เดือดร้อนอะไรหน่อยหรือไง"

เมื่อมีโอกาสได้พบหน้าเอเรส จาเร็ตต์ก็ไม่รีรอที่จะถามซ้ำ แม้ว่าการพบครั้งอีกครั้งในวันนี้จะเป็นการที่อีกฝ่ายเข้ามาถึงในห้องพักของเขาโดยไม่ระบุจุดประสงค์ก็ตาม "อะไรกัน ข้าหายไปทั้งวันนี่เจ้าไม่ถามสักคำเลยเหรอว่าเหนื่อยหรือเปล่า แต่เซ้าซี้ให้ข้าวางแผนรบอย่างนั้นรึ" ร่างสูงแกล้งโวยเสียงดัง "ช่างเป็นคนที่ไม่สวยซ้ำยังใจร้ายอีกต่างหาก"

คนถูกต่อว่าอ้าปากค้างน้อยๆเมื่อถูกเรียกว่า 'คนไม่สวยซ้ำยังใจร้าย' เพราะต่อให้เขาเคยเห็นเอเรสเรียกเลสธีราห์ว่า 'คนสวย' มาแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเมื่อเจอกับตัวเองจะรู้สึกวังเวงได้ถึงเพียงนี้ "ข้าควรจะทำอย่างไร ถอดเสื้อนอกให้เจ้า คอยเดินตาม ถามว่าเรื่องราววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เช่นนั้นรึ"

เอเรสพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ชวนไปอาบน้ำให้สบายตัวด้วย"

จาเร็ตต์ถอนใจยาวๆอีกครั้งเมื่อประเด็นที่เอเรสพยายามนำมาสนทนาเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่เข้ากับสถานการณ์บ้านเมือง "ข้าไม่ใช่เลขาของเจ้า เอเรส" เอเรสสูงกว่าเอเดรียน และมีใบหน้าที่ขึงขังกว่าพี่ชาย แต่กลับมีแววตาที่ดูสนุกสนานมากกว่า ดังนั้นจาเร็ตต์จึงรู้สึกเหมือนมีสุนัขตัวโตมาตามขออาหาร "แล้วถ้าหากเหนื่อยจริง เจ้าก็คงกลับไปพักที่ห้องของตัวเองแล้ว คงไม่เข้ามา..." เอเรสถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง และกลิ้งเกลือกอยู่บนนั้นราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเจ้าของคฤหาสน์ก็ตาม

"นั่นเตียงข้า เนื้อตัวเจ้าสกปรกแบบนั้น ขึ้นไปนอนได้ยังไง"

เลขาแม่ทัพพยายามจะดึงแขนคู่สนทนาให้ลุกขึ้น แต่เอเรสก็ได้แต่คว้าหมอนใบโตเอากอดเอาไว้ "ถ้าเจ้าอนุญาตให้ข้านอนบนโซฟาแล้วคุยกับเจ้าทั้งคืน ข้าจะลุกจากเตียงก็ได้นะ" คนฟังมุ่นคิ้ว และหันไปมองโซฟาที่เอเรสพูดถึงโดยไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจะต้องยื่นข้อเสนอแบบนี้

"ข้าอยากพักผ่อน เอเรส... ออกไป!"

"วันนี้เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยแท้ๆ เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยมาห้าวันแล้ว" เอเรสอ้าปากหาว เขารู้ดีกว่าอีกฝ่ายคอยติดตามข่าวสารของเอเดรียนอยู่โดยตลอด แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายก็ตาม และคอยส่งข่าวรายงานแม่ทัพใหญ่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเขาอยู่เป็นระยะเสมอ "ไม่ถามสักคำหรือว่าข้าหายไปไหนมา" แต่ด้วยความที่จาเร็ตต์เป็นคนที่พูดน้อยอย่างไม่น่าเชื่อว่าไม่ได้เป็นใบ้ เอเรสจึงต้องลองหยอกอีกฝ่ายไปเรื่อยๆจนกว่าจาเร็ตต์จะยอมสนทนาด้วย

"เจ้าหายไปไหนมา..."

"อย่างน้อยรูปประโยคก็นับว่าผ่านอยู่หรอก" เอเรสถอนใจ "ช่วยไม่ได้นี่ ข้าอยู่คนเดียวมาหลายสิบปี พอมีเพื่อนคุยสักคนก็อยากคุยอีกนี่" เด็กตัวโตตรงหน้ากอดหมอนแน่นเข้าและพยายามจะช้อนตามองคนที่มีอายุน้อยกว่าตัวเอง

"ถ้าเจ้าไม่มีความคืบหน้าอะไรเป็นพิเศษ ก็เลิกก่อกวนข้าเสียทีเถอะ"

เอเรส ฟลินทรัสต์ลุกขึ้นง่ายๆตามที่ถูกดุ แต่ก็คว้าหมอนไปด้วยก่อนจะโถมตัวลงนอนบนโซฟา จาเร็ตต์มองตามการกระทำนั้นก่อนจะพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ "เอเรส หมอนข้า..." คนสนิทแม่ทัพกำหมัดแน่นและพยายามจะข่มความหงุดหงิดเอาไว้ แม้ว่าตอนนี้เขานึกอยากจะหาอะไรขว้างใส่คู่สนทนาแล้วก็ตาม

"เจ้าอยากได้แค่เตียงนี่ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะเอาหมอนด้วย"

คนที่ดูจะไม่มีอารมณ์ร่วมกับการหยอกเย้าเดินมาที่โซฟาพร้อมกับดึงหมอนของตนกลับไป เอเรสยอมปล่อยมือแต่โดยดี และลืมตาขึ้นมองแผ่นหลังโปร่งที่เดินกลับไปยังเตียงของตน "ทำกับเจ้าของบ้านได้ลงคอเชียวนะ นี่ขนาดยังไม่มีอำนาจในคฤหาสน์นะนี่"

จาเร็ตต์เลิกคิ้วขึ้นขณะเหลือบมองอีกฝ่าย "ข้าไม่เป็นเลขาของเจ้าหรอก"

"ในอนาคต พี่ก็ยกเจ้าให้ข้าอยู่ดี" เอเรสยิ้มตอบ

--------------------------------------------------

เซเลสต์ยังถอนสมอไม่ได้ เนื่องจากการติดตั้งปืนใหญ่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

รีดาห์เพิ่มจำนวนปืนใหญ่ที่ดาดฟ้าชั้นล่างตามหลักการทำศึกในระดับน้ำทะเล จากเดิมที่เขาคิดจะถอดปืนใหญ่ชั้นล่างออกทั้งหมดเพื่อความคล่องตัวในการเดินเรือ การติดตั้งปืนใหญ่ของเรือรบไม่ได้ใช้เวลาเพียงแค่วันหนึ่งหรือสองวัน แต่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ดังนั้นเลสธีราห์จึงรู้สึกทึ่งที่รีดาห์รู้จักเขาดีมากเสียจนเดาใจแม่ทัพหนุ่มออกหมดจด

อีกฝ่ายรู้แต่แรกแล้วว่าเขาไม่สามารถทำตามคำสั่งของเหนือหัวได้

ทั้งยังฉลาดพอที่จะหยุดการนำสาส์นจากแอสทารอธไปยังธีสธรัลได้ทันเวลาอีกด้วย แม้ว่านี่จะเป็นการกระทำที่เป็นความลับและขัดกับคำสั่งของเหนือหัวสูงสุดก็ตาม "ลมทะเลตอนนี้พัดพาเอาความหนาวเย็นมาด้วย" รองผู้บัญชาการพึมพำ "นับตั้งแต่ตอกเกือกนั่นมา ยิ่งอากาศหนาว ข้าก็รู้สึกหนาวเท้าไปด้วย" รีดาห์พูดถึงเกือกรูปไข่อันเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่จากดินแดนตะวันออก

เลสธีราห์ก้มมองเกือกเงาวับของคนพูด "เดินถนัดขึ้นหรือเปล่า"

"อย่างน้อยก็ไม่ลื่นเกือกตัวเองแบบเมื่อก่อนแล้ว"

"แต่ข้าคิดว่ามันเสียงดังนะ" เลสธีราห์ไหวไหล่ "ยิ่งเจ้าที่เดินปัดเป๋ไม่ไพเราะเสนาะหูเอาเสียเลย"

รีดาห์มุ่นคิ้วด้วยความเคืองเล็กน้อยเมื่อถูกต่อว่า เพราะนั่นเป็นคำพูดเดียวกับที่ซาฮาลเคยกล่าวเอาไว้ "เจ้าก็ดูสมกับซาฮาลดีหรอกนะ! เรื่องค่อนแคะเหน็บแนมข้าน่ะ!" เลสธีราห์หัวเราะเบาๆในคอเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังโดนสหาย 'งอน' เข้าแล้ว

"ข้าอาจจะชอบค่อนแคะเจ้า แต่ข้าไม่เหมาะกับคนอย่างซาฮาลหรอก"

รีดาห์ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะบอกเลสธีราห์เรื่องของซาฮาลหรือไม่ แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว เซนทอรืหนุ่มก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าหยิบยกขึ้นมาพูดเอาเสียเลย เพราะต่อให้สาธยายความทุ่มเทและจริงใจของซาฮาลยาวยืดแค่ไหน เลสธีราห์ก็มีใจให้คนอื่นไปแล้ว "ข้าเห็นเจ้าห่มผ้านั่นกันหนาวแล้วก็อยากมีบ้างสักผืน" รีดาห์มุ่งเป้าไปที่ผ้าคลุมไหล่ผืนใหญ่ที่เลสธีราห์ถืออยู่แทน "แต่ก็คิดว่ามันคงไม่ใช่แค่ผ้าคลุมไหล่ทั่วๆไป จะไปขอเจ้าห่มบ้างก็ไม่น่าจะดีนัก"

เลสธีราห์หัวเราะสั้นๆ "อืม... ของเอเดรียน" เขาตอบได้แค่นั้น เพราะรีดาห์สมควรรับรู้เพียงเท่านี้

"เจ้ายิ้มแบบนั้นทุกครั้งที่พูดชื่อนั่นเลยนะ" รีดาห์ล้อเลียน

เลสธีราห์ปัดมือในอากาศเพื่อให้สหายเลิกหยอก "ข้าคิดว่าผู้หญิงก็ทำให้เจ้ายิ้มได้ ถ้าเจ้าชอบนาง" รีดาห์หัวเราะเบาขณะคิดในใจว่า เหตุใดซาฮาลจึงไม่เคยยิ้มแบบนั้นบ้างเมื่อคิดถึงเลสธีราห์ หรือว่าที่เหนือหัวเป็นผู้ชายแข็งกระด้างปราศจากความรักหวานซึ้งโดยสิ้นเชิงเล่า แล้วความรักที่อีกฝ่ายมีต่อเลสธีราห์เป็นความรักประเภทใดกัน ซาอาลต้องการจะเอาชนะเพื่อให้ได้ครอบครองมากกว่าการปกป้องดูแลซึ่งกันและกันอย่างที่เลสธีราห์คิดจะทำด้วยซ้ำ

แต่รีดาห์ก็ไม่แน่ใจว่าหากคนอย่างซาฮาลยิ้มอย่างอ่อนโยนแบบนั้นขึ้นมา

...ในวันหน้าโลกจะแตกหรือไม่

"มนุษย์นั่นมันมีอะไรดีกว่าข้าหรือไร เลสธีราห์..." ด้วยความที่มัวแต่สนใจคู่สนทนา ทั้งรีดาห์ และเลสธีราห์ไม่รู้สึกถึงฝีเท้าของซาฮาลเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เซนทอร์ร่างสูงก็ก้าวเข้าประชิดตัวแม่ทัพแห่งเซเลสต์แล้ว "ข้าถามว่า... เจ้ามนุษย์นั่นมีอะไรดีกว่าข้า เจ้าถึงได้ยอมมันถึงขนาดนี้!"

"ซาฮาล!"

ขาหน้าทรงพลังยกขึ้นในอากาศและพุ่งกระแทกร่างคู่สนทนาด้วยความโกรธ แต่คนที่เข้ามารับแทนกลับเป็นรีดาห์ในร่างเซนทอร์ "ซาฮาล หยุด!" รีดาห์ยกมือขึ้นยันบ่ากว้าง ขาหลังที่ยืนหยัดไม่มั่นคงพยายามยันน้ำหนักของอีกฝ่ายกลับออกไป แต่ก็ทำได้เพียงต้านแรง "เลส... ถอยไป!" เลสธีราห์ถอยเท้าหนี เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับซาฮาลด้วยความตกใจ ร่างกายกำยำขยับกระแทกคนที่ขวางทางออกไปให้พ้นด้วยโทสะ จนเซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าเสียหลักตกลงไปในทะเล

ตูม!

"รีดาห์!" เขาอาจว่ายน้ำเก่งด้วยความที่สังกัดกองทัพเรือ แต่อย่างไรการถูกผลักตกเช่นนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายสำลักน้ำเข้าไปมากพอสมควร ร่างโปร่งโผล่ขึ้นมาพร้อมกับคว้าเสาท่าเรือเอาไว้เป็นหลักพยุงก่อนจะไอโขลกออกมาด้วยความรู้สึกแสบคอ เลสธีราห์ก้มมองหาบันไดเพื่อจะให้อีกฝ่ายได้ขึ้นจากน้ำ แต่ดูเหมือนว่านี่จะเป็นท่าน้ำลึกที่ไม่มีบันได ดังนั้นทางเดียวที่ทำได้ก็คือการปีนขึ้นฝั่งที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร

"ซาฮาล..." นัยน์ตาสีฟ้าตวัดมองผู้มาเยือนด้วยโทสะ "เตรียมอธิบายเรื่องนี้กับเหนือหัวได้เลย!"

เลสธีราห์แยกเขี้ยวใส่คนก่อเรื่อง แต่ซาฮาลที่พยายามสงบอารมณ์ตัวเองไว้ก็คว้าเข้าที่แขนของร่างโปร่งก่อนกระชากเข้าหาตัว "ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง เลสธีราห์!" โดยปกติแล้วเลสธีราห์มักอยู่ในร่างมนุษย์ แต่เมื่อถูกแรงมหาศาลของอีกฝ่ายฉุดกระชาก ร่างโปร่งก็คืนร่างเป็นสัตว์สี่เท้าในทันที และยกขาคู่หน้าขึ้นขู่อีกฝ่ายพร้อมกับสะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการ

ร่างกายท่อนล่างปกคลุมด้วยขนสั้นสีอ่อนเลื่อมเงาสะท้อนแสงแดดดูโดดเด่นเสียจนทำให้ลูกเรือและเซนทอร์ในบริเวณนั้นหันมาสนใจ ด้วยรู้ว่าผู้บัญชาการของพวกเขามักไม่อยู่ในร่างเซนทอร์ ดังนั้นนี่จึงเป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างเลสธีราห์และซาฮาลอย่างแน่นอน

ว่าที่เหนือหัวมีร่างกายกำยำสูงใหญ่ ดังนั้นเขาจึงขวางทางเดินจนเลสธีราห์ไม่สามารถเดินผ่านหนีไปได้ ซาฮาลก้าวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้าอีกก้าวและเริ่มใช้ความสูงของตนเข้าข่ม "นี่คือเหตุผลที่เจ้าถูกจับในอาเดรียสินะ เหตุผลที่เจ้าเปิดโปงความลับของแอสทารอธอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังไม่พยายามจะเอาตัวรอดกลับมายังมาตุภูมิอีกด้วย เป็นเพราะมนุษย์ที่ชื่อเอเดรียนนั่นสินะ!"

"เจ้าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง..."

เลสธีราห์ควรจะรู้ตัวเองว่าเขาเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย และด้วยความไม่แนบเนียนที่ซาฮาลสัมผัสได้ ยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นโมโหมากขึ้นกว่าเก่า "เจ้าคงจะไม่ฆ่ามันอีกด้วยใช่หรือไม่ เลสธีราห์... พูดออกมาเองเลยนี่ว่าหลงเจ้าสัตว์สองขานั่นมากแค่ไหน" ซาฮาลไล่ต้อน การก้าวเข้าหาทีละก้าวทำให้เลสธีราห์ต้องถอยเท้าหนี "ไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอย่างไรเลยใช่ไหม!"

"เจ้าดูถูกข้ามากไปแล้ว!" เลสธีราห์พยายามเสียงดังบ้าง "มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าสักนิด"

เซนทอร์ไม่สวมเสื้อ ดังนั้นซาฮาลจึงคว้ามือเข้าที่ลำคอระหงของคนตรงหน้าแทนและกระชากเข้ามาหาตัวด้วยโทสะ "ข้าเป็นคนเสนอให้เหนือหัวดาเรียสละเว้นเจ้า... เป็นคนเสนอหนทางให้เจ้าได้กลับมาอย่างสมเกียรติอย่างที่เจ้าต้องการ แต่ตอนนี้เจ้าจะหักหน้าข้าด้วยการปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมนุษย์นั้นรึไง!"

เซนทอร์ที่ตัวเล็กกว่าต้องหยัดตัวขึ้นยืนบนขาหลังของตัวเองและกัดฟันกรอดด้วยความรู้สึกเจ็บ

เลสธีราห์จิกเล็บกับมือใหญ่และดึงออกอย่างไม่ยอมแพ้ "ข้าไม่เคยขอให้เจ้าช่วย ซาฮาล!"

"ป่านนี้เจ้าคงถูกขังลืมอยู่ในอาเดรียไปแล้วถ้าไม่มีข้า!"

เลสธีราห์ดีดตัวออกห่างจากคู่สนทนาที่กำลังโกรธจัด และยกสองขาหน้าขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว "ถ้าเจ้าไม่แส่เข้ามายุ่ง ทุกอย่างคงจะไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้หรอก!" ร่างโปร่งตะคอกกลับ และตวัดธนูคู่ใจที่สะพายเอาไว้บนหลังขึ้นมาถือ แตะปลายนิ้วกับเส้นเอ็นที่ขึงตึงก่อนจะง้างขึ้นเอาเรื่อง ทะเลที่อยู่เบื้องหลังขยับเคลื่อนและผงาดเกลียวคลื่นขึ้นเตรียมพร้อมจะถ่าโถมด้วยเวทมนตร์

"เจ้าส่งข้าไปรบกับธีสธรัลเพื่อความสาแก่ใจของตัวเอง และถ้าข้าแพ้ขึ้นมา อาเดรียก็ไม่มีอะไรเหลือ อีกทั้งต้องตกเป็นเมืองขึ้นอีก เจ้าได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้ แอสทารอธจะได้อะไรจากแผนการนี้ของเจ้า! เพื่อเรือสิบลำเท่านั้นหรือ ซาฮาล!" เลสธีราห์กราดเกรี้ยว "เราแสวงหาความก้าวหน้า แต่ถ้าเราปล่อยให้อาเดรีย ธีสธรัล และไอย์ชวลเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เราจะยังมีบทบาทอะไรอีก!!"

"แล้วการที่เจ้าถูกขังอยู่อย่างนั้นทำให้แอสทารอธได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เลสธีราห์!!"

ซาฮาลย้อนบ้าง แม้เขาจะโกรธเสียจนตัวสั่นเทิ้ม แต่ด้วยความที่รู้ถึงอำนาจของธนูแหวกสมุทร ว่าที่เหนือหัวจึงได้ยั้งตัวเองเอาไว้ "ต้องการให้แอสทารอธทอดทิ้งเจ้าจริงๆอย่างนั้นรึ" คิ้วเข้มกดมุ่นขณะถามเสียงขุ่น "ข้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้า... เพื่อความต้องการของเจ้า... นี่เป็นวิถีของเซนทอร์ที่จะช่วยเหลือเจ้าทั้งนั้น แล้วมาพูดแบบนี้กับข้ารึ เนรคุณ!!"

"แล้ววิถีของเซนทอร์มันเคยทำให้ข้ามีความสุขหรือไร!"

เลสธีราห์ยอมลดมือลงบ้าง ก่อนตัวเองจะเผลอปล่อยสายธนูและอัดคลื่นสูงเบื้องหลังใส่ซาฮาลสักทีหนึ่ง เขาตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคือว่าที่เหนือหัว และการปองร้ายผู้นำสูงสุดก็มีค่าเท่ากับกบฏ "ข้าเคยมีความสุขกับวิถีเซนทอร์ที่พวกเจ้าภาคภูมิใจหรือเปล่า เพราะข้ามีเลือดเซนทอร์เพียงแค่ครึ่งเดียวแบบนี้ ข้าถึงต้องไล่ตามพวกเจ้ามาตลอดชีวิต" ร่างโปร่งสูดลมหายใจลึก "แอสทารอธจะทอดทิ้งข้าก็ได้... ในเมื่อข้ายังไม่มีอะไรดีพอที่จะเรียกตัวเองได้ว่าเซนทอร์ตนหนึ่ง" ผู้นำเซเลสต์ถอนใจ "ข้าจะกลับมาที่แอสทารอธก็ต่อเมื่อมีความภูมิใจอย่างเซนทอร์แล้วเท่านั้น"

นัยน์ตาสีฟ้าสดของอีกฝ่ายมองคู่สนทนาแน่วแน่ "ต่อให้มันต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ข้าก็จะไม่พึ่งพาใคร"

"แล้วเกียรติของเจ้าคืออะไร เลสธีราห์ หากไม่ใช่การต่อสู้ในสงครามอย่างแม่ทัพ"

คนถูกถามสูดลมหายใจเข้าลึก โดยที่นิ้วยังแตะสายธนูเอาไว้ เขารู้ดีว่าสิ่งที่จะออกจากปากของตนไปย่อมทำให้ซาฮาลอารมณ์เสีย แต่อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ยังเกรงอำนาจของแอควาเรียร์อยู่ "การที่สามารถ... ปกป้องคนที่ตัวเองรักเอาไว้ได้ และปกป้องบ้านเมืองของตนเอาไว้ได้ นั่นคือเกียรติของข้า"

"..."

"ข้าไม่ละอายที่ตนเองมีใจให้มนุษย์... และข้าก็ไม่เคยกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง ถ้ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะปกป้องแอสทารอธ" เลสธีราห์เบี่ยงตัวเลี่ยงออกมาจากอีกฝ่ายพร้อมกับคำพูดทิ้งท้าย "ข้ามีคนที่ให้เกียรติข้าแล้ว ซาฮาล ...เจ้าไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นมันให้ข้าอีก" เลสธีราห์ให้คำตอบราบเรียบ โดยไม่รู้เลยว่ามันเปรียบเสมือนคมดาบที่ฟาดฟันเข้าที่กลางอกของว่าที่ผู้นำแห่งแอสทารอธ

--------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด