ตอนที่ 8.2
การเจรจาไร้เสียงของแอสทารอธในวันนี้เปิดฉากด้วยรายการอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบโดยส่วนใหญ่ ส่วนเนื้อสัตว์ที่ปรากฎอยู่บนโต๊ะดูจะมีเพียงแฮมเนื้อหมูเท่านั้น และนอกเหนือจากนั้นก็เป็นไข่ และขนมปัง ซึ่งมันสร้างความกดดันอย่างประหลาดให้กับผู้มาเยือน
"เมื่อคืนนี้มีใครไปเมาเละเทะหัวราน้ำอยู่แถวไหนหรือเปล่า"
โจฮาลล์เอียงไปถามเอเดรียนที่พยายามประกอบอาหารเป็นแซนวิซแฮม จาเร็ตต์ที่นั่งอยู่ข้างกันก็ตักแฮมมาไว้ที่จานตัวเองถึงสามชิ้นและขนมปังอีกสองแผ่น ประกอบกับไข่ทอดชิ้นหนึ่งตามประสาคนไม่กินผัก ต่างจากเลสธีราห์ที่นั่งอยู่อีกข้างของเอเดรียนที่ดูจะมีความสุขเหลือเกินกับผักมากมายหลายชนิดตรงหน้า
"นี่ไม่ใช่การประชดประชันของแอสทารอธใช่ไหม"
พวกเขารู้ดีว่าเซนทอร์เป็นมังสวิรัติ แต่ก็ได้ยินมาว่าพวกครึ่งม้าจะแบ่งชั้นอาคันตุกะด้วยชนิดของเนื้อสัตว์ที่ใช้เลี้ยงระหว่างที่พวกเขาพำนักอยู่ โดยพวกเอลฟ์จะได้รับประทานเนื้อวาฬอย่างดี พวกภูตมักจะได้เนื้อกวาง และมนุษย์พวกแรกในรอบยี่สิบปีที่เข้ามาเหยียบแอสทารอธก็ได้รับเนื้อกวางเช่นกัน
ทว่าเช้านี้กลับเป็นผักเสียส่วนใหญ่...
"การเจรจาไร้เสียงจะเกิดขึ้นกับมื้ออาหารเย็นของคืนวันแรกเท่านั้น แล้วมื้อเช้าพวกเจ้าก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์หนักๆอย่างเนื้อกวาง เนื้อกระทิงไม่ใช่รึ ที่คฤหาสน์ราห์โมนายังเลี้ยงด้วยขนมปังปิ้งกับน้ำซุปเลย" เลสธีราห์คว้าผักใบใหญ่มาใส่ปาก เสียงของความกรอบอร่อยดังไปทั่วโต๊ะอาหารที่ยังคงงุนงงและเงียบกริบ
โจฮาลล์ย่นจมูก "ข้าว่าซุปผักยังให้ความรู้สึกดีกว่าผักทั้งต้นแบบนี้..."
"กินไปเถอะน่า" เอเดรียนเอ็ดคนสนิท "เซนทอร์อาจจะต้มซุปข้นไม่เป็นก็ได้ พวกเขาเป็นมังสวิรัตินี่ เจ้านึกถึงม้าเข้าไว้สิ" เลสธีราห์เหลือบมองคนพูดเล็กน้อยและพยายามจะพยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงแล้วเหตุผลที่เซนทอร์ไม่ทำซุปผักนั่นก็เพราะพวกเขาจะไม่นำผักไปต้มน้ำให้เสียรสชาติ เลสธีราห์ที่เคยลิ้มรสซุปผักมาครั้งหนึ่งก็ยังคิดอยู่ว่าฝีมือการทำอาหารของพวกมนุษย์นั้นไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยด้วยซ้ำ
"ถ้าพูดถึงม้า... เซนทอร์จะกินฟางแห้งด้วยไหม"
"เจ้าอย่าได้ล้อเลียนในเขตแดนของพวกเขาเชียวนะ!" จาเร็ตต์เอ็ดพี่ชายบ้าง เขาประกบขนมปังสองแผ่นกับแฮมทั้งหมดและไข่ทอดเป็นแซนวิซที่ไม่มีผัก ก่อนจะกัดคำหนึ่งเพื่อพบว่าแฮมของพวกเซนทอร์มีรสชาติที่ดีผิดคาด "ขนาดคนทำเป็นมังสวิรัตินะนี่"
"หนอย จาเร็ตต์! เจ้าเอาแฮมไปมากเท่านั้นแล้วจะพูดอะไรก็ได้นี่"
"ก็เจ้าตักช้า จะมาว่าอะไรข้าล่ะ"
"เป็นสูตรของพวกเอลฟ์น่ะ อาหารที่ทำจากเนื้อพวกนี้" เอเดรียนว่า "พวกเอลฟ์เป็นคนสอน... และอาหารที่ทำจากเนื้อก็จะทำกันเฉพาะในครัวของพระราชวังอัสเธียร์เท่านั้น โดยพ่อครัวและแม่ครัวที่ชำนาญการพิเศษที่ร่ำเรียนวิชามาจากชาวเอลฟ์ซึ่งสืบทอดกันมาหลายรุ่น" ทั้งโต๊ะหันไปมองคนพูด ก่อนจะพยักน้ารับรู้เบาๆ
"เจ้าไปรู้มาจากไหนน่ะเอเดรียน" โจฮาลล์เลิกคิ้ว
เลสธีราห์หัวเราะแล้วจึงถองศอกใส่คนข้างตัวเบาๆ "จำได้ขนาดนี้แล้วจะชวนข้ามาทำไมกัน" แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ เอเดรียนจำมาจากเลสธีราห์ พวกเขาเคยพูดคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง และเอเดรียนก็ดูจะสนใจเรื่องของแอสทารอธเป็นพิเศษ และตั้งอกตั้งใจฟังราวกับเด็กรอฟังนิทานเลยทีเดียว
"หรือเจ้าไม่เชื่อสิ่งที่ข้าพูดก็เลยพาข้ามาเพื่อให้แน่ใจ"
"ข้าบอกเจ้าแล้ว เลสธีราห์... ข้าถูกชะตากับเจ้า"
การพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมากลางโต๊ะอาหารทำให้คนฟังรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาทันทีอย่างช่วยไม่ได้ และถองศอกใส่อีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง "จ... เจ้าไม่เคยบอกข้าแบบนั้น!" ว่าแล้วร่างโปร่งก็หยิบผักใส่ปากตัวเองและเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย "เจ้าบอกว่าข้าช่วยเหลือเจ้าได้"
"แล้วเจ้าช่วยได้จริงหรือไม่เล่า"
"เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว!"
ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่อาหารประเภทผัก ผลไม้ และแป้งก็ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของคนที่ไม่ชอบผักอย่างโจฮาลล์อยู่ดี "เอเดรียน... เจ้ามีเนื้อเค็มติดมาบ้างไหม" ชายผมแดงกระซิบถาม และคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหัวของแม่ทัพอาเดรีย
"ข้าจะไปพกของแบบนั้นติดตัวมาได้ยังไง"
เลสธีราห์เอื้อมมือไปเลื่อนกระปุกแยมไปหาเอเดรียน เพื่อให้อีกฝ่ายส่งต่อไปให้โจฮาลล์ที่พยายามจะมองข้ามผักชามโตตรงหน้า "ถ้าเจ้ากินขนมปังได้" คนพูดหยิบผักใบเขียวขึ้นมากัดอีกคำหนึ่งและเคี้ยวกินเป็นปกติต่างจากโจฮาลล์ที่พยายามไม่แสดงสีหน้าด้วยความเกรงใจ
"ถูกปากหรือไร ผักสดน่ะหืม..." เอเดรียนถาม "เห็นเจ้าหยิบเอาไม่ขาดมือ ต่างจากโจฮาลล์ที่ลังเลเสียเหลือเกินกว่าควรจะหยิบอะไร" เซนทอร์หนุ่มชะงักไปสักพักแล้วจึงจัดการก้านผักในมือจนหมด ผู้นำทางคณะเองก็พยายามจะเลียนแบบบ้างด้วยการหยิบผักชนิดเดียวกันมากัดคำหนึ่ง
"นั่นสิ ทำไมเจ้าถึงกินได้อร่อยแบบนั้น นี่มันขมจะตายไป"
"ข้าถึงได้บอกให้เจ้ากินแยมอย่างไรเล่า" เลสธีราห์ตัดบท และหันไปหาแม่ทัพที่ดูจ้องจับผิดเขาเหลือเกิน "เจ้าเองไม่กินหรือไร ผักสดไม่อยู่ท้อง ยิ่งไม่กินจะยิ่งหิว เจรจาไม่รู้เรื่องด้วยนะ" ว่าแล้วเขาก็ยัดตะกร้าผักเขียวใส่มือเอเดรียนที่เริ่มหัวเราะ "อย่าหัวเราะแบบนั้นได้ไหม ข้าไม่ชอบ"
"อืม...ถึงขั้นออกคำสั่งให้ข้าเปลี่ยนเสียงหัวเราะเชียวรึ"
ร่างโปร่งมุ่นคิ้วกับประโยคล้อเลียน "เจ้าทำเหมือนข้าเป็นเด็ก"
"ถ้าไม่คิดว่าตัวเองเป็นเด็ก เจ้าก็ไม่เด็กหรอก" แม่ทัพหนุ่มพยายามจะปลอบ "ข้าไม่ชวนเด็กมาร่วมคณะด้วยหรอกน่า" เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพยายามปากหวาน เซนทอร์ก็ไหวไหล่เป็นเชิงให้อภัย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมพูดกับเอเดรียนอยู่ดี
"นี่ เจ้าเด็กผอม... ข้าว่าเจ้าจะเหมือนเด็กก็เพราะคุณพ่อยอมขอโทษแล้วยังหน้างอนี่ล่ะ"
คนถูกเรียกอ้าปากค้างและหันไปแย้งคนข้างตัวทันที "ข้าไม่ได้หน้างอสักหน่อย!"
ขุนนางคนอื่นที่ร่วมทางมาด้วยไม่มีปฏิกิริยาอะไรเมื่อกลุ่มผู้ติดตามของแม่ทัพเอเดรียนดูจะหยอกล้อเล่นกันเป็นครั้งที่สองในโต๊ะอาหาร บรรยากาศยามเช้าของแอสทารอธนี้เงียบสงบ และผ่อนคลายกว่าที่อาเดรียมาก ทั้งเสียงนกที่เริ่มออกหากิน เสียงลมไหวหวิวเมื่อเสียดสีกับต้นไม้ จะมีแต่เสียงฝีเท้าของเจ้าบ้านเท่านั้นที่ดังกวนใจ
เพราะเซนทอร์ตนหนึ่งมีสี่เท้า และเป็นสี่เท้าที่ก้าวไม่พร้อมกันเสียด้วย
ในระหว่างที่พวกเขากำลังถกเถียงกันนั่นเอง เสียงกีบเท้าหนักๆก็ดังขึ้นมา ซึ่งเลสธีราห์จำจังหวะการเดินแบบนั้นได้ดี เซนทอร์หนุ่มจึงก้มหน้าลงและเงี่ยหูรอฟังการมาถึงของอีกฝ่าย และน้ำเสียงดุดันหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์ "ท่านราชเลขาส่งข้ามาต้อนรับเจ้าในวันนี้" เมื่อฝ่ายนั้นมาถึง คณะทูตก็รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับในทันทีด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาท แต่ด้วยส่วนสูงของมนุษย์แล้วก็ไม่อาจทำให้เซนทอร์ผู้มาเยือนรู้สึกว่ากำลังพูดคุยอยู่ในระดับเดียวกันสักเท่าไหร่
อย่าว่าแต่เพียงพวกมนุษย์ แต่ในแอสทารอธนี้ ซาฮาลอาจเป็นเซนทอร์ที่สูง และสง่าที่สุด
"ใครเป็นคนเสนอตัวจะร่วมงานกับข้า"
เลสธีราห์ชำเลืองมองต้นเสียง และพบว่าสายตาของซาฮาลมองมาที่แผ่นหลังของเขาอย่างเจาะจง "การพูดคุยกับคณะทูตที่ไม่เปิดปากย่อมไม่มีความหมาย สู้คุยกับคนที่รู้เรื่องดีที่สุดเพียงคนเดียวจะดีกว่า" สำเนียงการพูดของอีกฝ่ายเข้มงวดและเด็ดเดี่ยวจนคณะทูตจากมหาคฤหาสน์เองยังไม่กล้าอาสา ดังนั้นจึงเป็นแม่ทัพเอเดรียนที่ยืดอกเจรจาตอบโต้
"ข้าเอง..." เอเดรียนสูงแค่อกของซาฮาล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียความสุขุมไป
"เช่นนั้นเราต้องหารือกัน" ซาฮาลหมุนตัวเดินนำออกไปจากโต๊ะอาหารพร้อมกับแนะนำตัวโดยไม่หันกลับมามอง "ข้าคือ ซาฮาล... ผู้บัญชาการกองเรือแห่งแอสทารอธ" เอเดรียนได้รับสัญญาณจากอีกฝ่ายให้เขาตามไป ชายหนุ่มจับดาบที่เอวเพื่อความมั่นใจครั้งหนึ่งแล้วจึงเลี่ยงออกไปจากโต๊ะอาหาร
"ข้าจะไปด้วย!"
ด้วยความที่อยากรู้ว่าซาฮาลจะพูดอะไร และอยากรู้ว่าเอเดรียนจะตอบโต้อย่างไร เลสธีราห์จึงเสนอตัวขึ้นมาพร้อมกับคว้าธนูข้างกายก้าวออกไปกับเอเดรียนด้วย "นี่เป็นการหารือระดับสูง" น่าแปลกที่เซนทอร์ร่างสูงจะยอมเหลือบสายตากลับมามองตามเสียงของเลสธีราห์ และต่อให้เขาวางท่าดุดันแค่ไหน ผู้บัญชาการเซเลสต์ก็ลอบถลึงตากลับไม่ยอมแพ้เช่นกัน
"เลสธีราห์..." เอเดรียนกระซิบปราม
แต่ร่างโปร่งข้างกายก็แยกเขี้ยวใส่เซนทอร์อย่างไม่กลัวเกรงอยู่ดี "ข้ามีหน้าที่ต้องดูแลผู้นำของข้า"
ซาฮาลพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินนำไปโดยไม่สนใจจะพูดซ้ำ เซนทอร์หนุ่มเดินนำทั้งคู่ออกมาด้านนอกพระราชวังโดยไม่กล่าวอะไร และมุ่งตรงออกไปทางตะวันออกซึ่งเป็นถนนทางยาวที่มุ่งสู่เมืองท่ามารินาแห่งแอสทารอธ "เจ้าไม่ควรวู่วาม จะเสียเรื่องเปล่า" เอเดรียนเอ็ดเบา "การเจรจานี้ไม่ใช่เพียงข้าที่ต้องรับผิดชอบ และทุกคนในคณะล้วนต้องรับผิดชอบร่วมกัน"
"เซนทอร์เคารพในคำว่าหน้าที่... ดังนั้นถ้าข้าพูดว่ามันเป็นหน้าที่ มันก็เป็นหน้าที่ของข้า"
เมื่อร่างโปร่งเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็น เอเดรียนก็เป็นฝ่ายเงียบเสียเอง นี่ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เขาจะสั่งสอนลูกน้อง แต่แม่ทัพใหญ่ก็เริ่มคิดว่าวันนี้เขาคงมีเรื่องต้องพูดกับเลสธีราห์อีกมากเลยทีเดียว เพราะในยามเช้านี้ เจ้าตัวก็เกือบจะทำเสียเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ
--------------------------------------------------
ซาฮาลก้าวเดินในจังหวะเชื่องช้าสม่ำเสมอ แม้จะเดินมาในเส้นทางทิศตะวันออก แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีความคิดจะให้อาคันตุกะจากต่างแดนเข้าไปในเมืองท่า ซาฮาลไม่ได้ตั้งใจจะพาเอเดรียนมาดูเรือรบ เพียงแค่เดินนำพวกเขาออกมาห่างจากพระราชวังอัสเธียร์เท่านั้น "ราชเลขาให้ข้ามีส่วนในการตัดสินใจเรื่องนี้"
"ในฐานะของผู้บัญชาการ และในฐานะของเซนทอร์"
จริงอยู่ว่าฝ่ายนั้นเป็นแค่ผู้บัญชาการกองเรือพาณิชย์ ซึ่งนั่นก็แปลว่าซาฮาลแทบจะไม่เคยต่อสู้ด้วยเรือรบเลยสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้คำว่าแม่ทัพกับตำแหน่งตนได้ เพราะเขาเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลความเรียบร้อยของเรือขนส่งขนส่ง ต่างจากเลสธีราห์ที่มีหน้าที่ป้องกันอาณาเขตทางทะเลที่ถูกรุกรานอยู่บ่อยๆ ดังนั้นคนที่เหมาะสมกับคำว่า 'แม่ทัพเรือ' น่าจะเป็นเลสธีราห์เสียมากกว่า
แต่เลสธีราห์ก็พอจะเข้าใจแม่ของตนที่ดันซาฮาลออกมารับหน้าแทนในวันนี้...
เพราะถ้าตัวตนของผู้บัญชาการกองเรือเซเลสต์ยังเป็นปริศนาจะสร้างความสงสัยขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้นซาฮาลซึ่งเป็นคนที่มีตำแหน่งเกือบจะเท่าเทียมกับเขาจึงต้องรับบทบาทนี้ไปก่อน แต่สิ่งที่เลสธีราห์กังวลจนต้องตามทั้งคู่ออกมาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องตัวตนของเขาที่แอสทารอธพยายามจะปกปิดเอาไว้ แต่เป็นเรื่องการเจรจาที่เขาอยากจะรู้ผลเหลือเกินว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
หากเขาจะต้องไปรบร่วมกับเอเดรียนจริงๆในฐานะของแม่ทัพเรือ เขาควรจะทำอะไรต่อไป...
เพราะเขาเพิ่งจะพยายามสร้างความเชื่อใจให้ฝ่ายนั้นในฐานะของพรานชาวบ้านธรรมดาๆ
"เจ้าคิดว่ากองเรือเซเลสต์ยิ่งใหญ่อย่างนั้นรึ"
เสียงต่ำๆของซาฮาลลอยมาเข้าหู เจ้าตัวเดินมาตามถนนที่เงียบสงบที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนินเขา และก้าวไปยืนบนจุดสูงสุดของเมืองหลวงเลาน์เรน เพื่อมองเมืองท่ามารินาซึ่งอยู่ไกลออกไป และเฝ้ามองสีหน้าประหลาดใจของเอเดรียนในยามที่เขาได้ทอดมองเมืองอันเจริญรุ่งเรืองและวุ่นวายของแอสทารอธเป็นครั้งแรก
อ่าวมารินาไม่โค้งเป็นวงกลมเหมือนอ่าวอาเดรีย แต่ตรงกันข้าม น้ำทะเลจากทะเลเดียวกันกัดเซาะแผ่นดินเข้ามาอย่างไร้รูปแบบจนเกิดแหลมมากมาย แบ่งท่าเรือออกเป็นหลายแห่ง เรือพาณิชย์ขนาดเล็กหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ไกลๆ โดยมีเซนทอร์ผู้ดูแลตรวจสภาพความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ "เคยเห็นมันสักกี่ครั้งเชียว มนุษย์..." นี่เป็นการเปิดสนทนาตามนิสัยของซาฮาล แต่เลสธีราห์ก็อดติติงในใจไม่ได้ว่านั่นเป็นลักษณะการพูดที่ไม่ได้ชวนฟังเลยสักนิด
"ข้าไม่สันทัดการสู้รบทางทะเล" เอเดรียนยืดอกยอมรับ "อีกทั้งอาเดรียก็ไม่มีกองทัพเรือ"
"อย่างนั้นเจ้าก็จะฝากความหวังเอาไว้กับความยิ่งใหญ่ที่มาจากลมปากของชาวประมงหรือยังไง"
"แล้วข้าจะต้องเคยประมือกับกองเรือเซเลสต์อย่างนั้นหรือ ถึงจะสามารถขอความช่วยเหลือได้" เลสธีราห์คิดว่าซาฮาลจงใจยั่วโมโหเอเดรียนเพื่อหาเรื่องปฏิเสธความช่วยเหลือ และดูเหมือนว่าแม่ทัพอาเดรียก็ใช่ว่าจะเป็นทูตที่สุภาพนัก "ข้ามิได้ฝากความหวังเอาไว้กับลมปากของชาวประมง แต่ในสถานการณ์นี้ คงมีแต่แอสทารอธเท่านั้นที่อาเดรียจะหันไปพึ่งพาได้ ข้ากล่าวไม่ถูกหรืออย่างไรที่จุดเด่นของเผ่าเซนทอร์คือกองเรือรบที่น่าเกรงขามที่สุดในแผ่นดินใหญ่"
นับว่าเอเดรียนผู้นี้มีวาทศิลป์อยู่บ้าง แต่สำหรับซาฮาลผู้ไม่เคยโอนอ่อนแล้วมันไม่ได้ผลเท่าไหร่
"คำเยินยอเหล่านั้นไม่สามารถแลกชีวิตของทหารเรือได้หรอกนะ ท่านแม่ทัพ"
เอเดรียนยักมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างใจเย็น "ข้าก็ได้เสนอเรื่องของเรือจักรไอน้ำไปแล้ว เซนทอร์ไม่สนใจสิ่งนั้นจริงๆหรือ" ร่างสูงก้าวไปยืนข้างเซนทอร์ร่างสูง แม้จะเว้นระยะห่างสักหนึ่งช่วงตัวก็ตาม "ทั้งเรือพาณิชย์ที่ต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง ทั้งเรือรบที่ต้องการความแข็งแกร่งในการต่อสู้ มีเหตุผลใดที่แอสทารอธจะปฏิเสธกัน"
ซาฮาลพิจารณาคนพูดด้วยการเหลือบมองทางหางตา
...เอเดรียนผู้นี้อาจมีความสามารถในการเจรจาบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะเก่งกาจ
"ข้าไม่ได้ปฏิเสธเรือไอน้ำ... แต่ข้าปฏิเสธในความไม่แน่นอน" เซนทอร์หนุ่มยกแขนขึ้นกอดอก "จักต้องได้รับชัยชนะเท่านั้นจึงจะบรรลุสัญญา และถ้าหากไม่ชนะขึ้นมาเล่า เซนทอร์ก็จะไม่ได้สิ่งใดเลยอย่างนั้นรึ" นัยน์ตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยขณะพูด "เหตุใดเผ่าของเราจะต้องกระโดดเข้าไปร่วมสงครามทั้งที่ไม่มีความแน่นอนในผลตอบแทนเล่า"
"ทุกอย่างย่อมมีการเสี่ยงไม่ใช่รึ" เลสธีราห์เอ่ยขึ้นอย่างอดทนต่อไปไม่ได้ "ที่พูดมานั่น อย่างกับทำนายว่า... กองเรือเซเลสต์จะไม่ชนะ เจ้าเป็นแม่ทัพประเภทใดจึงได้ดูแคลนกำลังพลของตนเองแบบนี้" เมื่อแม่ทัพตัวจริงออกมา ซาฮาลก็หันกลับไปมองและเบิกตาใส่คนพูดเป็นการปรามครั้งหนึ่ง แต่ร่างโปร่งกลับยิ่งก้าวเข้ามาหาอย่างไม่กลัวเกรง
"จะไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย แต่ก็อยากได้ผลประโยชน์... นี่เป็นวิธีการคิดของเซนทอร์หรืออย่างไร"
"เลสธีราห์!"
เอเดรียนตรงเข้ามาปราม แต่คนใต้บัญชากลับไม่ฟังเสียง "กองเรือเซเลสต์รับได้การขนานนามว่าเป็นจ้าวมหาสมุทรแห่งตะวันตก มีเรือรบอยู่ในสังกัดหลายร้อยลำ แต่สิ่งที่ข้าได้ยินจากแม่ทัพกองเรือที่ยิ่งใหญ่นั้นกลับเป็นความไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้ชัยชนะรึ"
ซาฮาลมุ่นคิ้วกดลงต่ำจนน่ากลัวและก้าวเท้ามาหาคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างเอาเรื่อง
"แล้วเจ้าจะส่งคนของตัวเองไปตายเพื่อความหวังล้มๆแล้งๆจากมนุษย์ที่แม้แต่จะหาความมั่นคงให้ตัวเองก็ทำไม่ได้อย่างนั้นรึ" สำหรับซาฮาลแล้ว อาเดรียเป็นเมืองที่ไม่มีจุดยืนและไม่มีความมั่นคง มันเป็นเมืองท่าที่เต็มไปด้วยพ่อค้าเห็นแก่ตน หากใครให้ประโยชน์มากกว่าก็จะเข้าข้างฝ่ายนั้น และในครั้งนี้ก็เช่นกัน หากแอสทารอธยื่นมือเข้าช่วย พวกพ่อค้าก็จะแสวงหากำไรและตักตวงผลประโยชน์จากพวกเขาให้ได้มากที่สุด หากเซเลสต์ชนะศึกก็คงเป็นผลดี แต่หากพ่ายแพ้ขึ้นมาก็คงไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่ไม่สามารถทำอะไรได้
เลสธีราห์เพียงแค่ไม่พอใจที่เขาดูแคลนกองทัพของตนเท่านั้น
...บุตรชายของท่านหญิงลีอาห์ไม่ได้คิดระวังนิสัยใจคอของมนุษย์เลยสักนิด
"เช่นนั้นแล้วแอสทารอธจะเปิดโอกาสเพื่ออะไร" ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนาไม่ยอมแพ้ "จะให้โอกาสทูตจากเมืองอื่นเข้ามาเพื่ออะไร หากพวกเจ้าไม่พร้อมที่จะเจรจาอะไรทั้งนั้นแบบนี้!" มือใหญ่วางกดลงบนบ่าของเลสธีราห์หลังจากเขาพูดจบ เอเดรียนดันร่างโปร่งออกไปให้พ้นทางและหันมองด้วยสีหน้าดุดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"เจ้ามีหน้าที่แค่มากับข้า... ไม่ใช่การเจรจา" นัยน์ตาสีเข้มเขม้นมองคนที่ตั้งท่าจะเถียง "เงียบซะ"
ร่างโปร่งพ่นลมหายใจไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมถอยไปแต่โดยดี แม่ทัพแห่งอาเดรียพยายามจะยิ้มให้เซนทอร์ร่างสูงอีกครั้ง แต่หลังจากถูกตอกจนหน้าชาไม่แพ้กัน ซาฮาลก็ไม่นึกอยากพูดคุยอะไรอีก "หน้าที่ของเจ้าในวันนี้คงจบแค่นี้ก่อน" เซนทอร์หนุ่มถอยเท้า "ถ้าราชเลขายังให้ที่พักต่อ พรุ่งนี้พวกเจ้าอาจจะหาคนที่ปากดีกว่านี้มาเจรจากับข้าได้กระมัง"
แล้วคนพูดก็กระแทกเท้าเดินผ่านเลสธีราห์ไปด้วยความหงุดหงิด
ความเงียบเกิดขึ้นเนิ่นนานหลังจากนั้น
เอเดรียนไม่พูดอะไรเลยสักพักใหญ่ อีกทั้งยังกำหมัดทั้งสองมือราวกับกำลังควบคุมอารมณ์และครุ่นคิดหาทางออกที่เหมาะสม เขาเดาความคิดของแม่ทัพเซนทอร์ไม่ออกว่าเหตุใดจึงเปิดประเด็นสนทนาแบบนั้น ฝ่ายนั้นตั้งใจจะหารือเรื่องใดกับเขากันแน่ และแอสทารอธจะยอมร่วมมือกับอาเดรียหรือไม่
...คำถามเหล่านี้คงมีคำตอบหากเลสธีราห์ไม่ขัดจังหวะเสียก่อน
เอเดรียนยอมรับว่าอีกฝ่ายมีนิสัยปากไวมากจนเขาเองก็ห้ามปรามไม่ทัน และด้วยความปากไวนั้นเองที่ทำให้การเจรจาในวันนี้ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีเอาเลยเสีย ร่างสูงเหลือบมองคู่สนทนาซึ่งยังแสดงสีหน้าไม่พอใจที่ถูกเขาขัดคอโดยไม่มีความรู้สึกผิดใดๆสักนิด "เซนทอร์แก้ปัญหากันแบบนี้หรือไง"
"จากนี้ไปไม่ต้องพูดอะไรอีก เข้าใจไหม"
เลสธีราห์มุ่นคิ้วมองเอเดรียนก่อนอ้าปากประท้วง "เป็นความผิดของข้ารึไง..."
...เพี๊ยะ!!
หลังมือของคู่สนทนาเหวี่ยงฟาดใส่ซีกหน้าข้างหนึ่งของเขาหลังจบจากประโยคนั้น "อ่ะ..!" ความรู้สึกแล่นจนหูอื้อทำให้ชายหนุ่มไม่กล้าหันไปสบตาแม่ทัพอาเดรีย เลสธีราห์ยกมือขึ้นแตะมุมปากของตนและมองหยดเลือดติดปลายนิ้วอย่างไม่เข้าใจ
"เราไม่จำเป็นต้องเอาชนะเขาในวันนี้... ถ้ามันทำให้เราต้องเดือดร้อนในวันพรุ่งนี้ เข้าใจไหม"
"..."
เลสธีราห์มองคู่สนทนาด้วยความตกตะลึง ด้วยความที่คิดไม่ถึงว่าจะถูกลงโทษด้วยวิธีแบบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่เคยถูกใครเหวี่ยงหลังมือฟาดเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้พวกเซนทอร์จะได้ชื่อว่าเป็นเผ่าที่ชอบใช้กำลังมากกว่าเผ่าอื่น แต่พวกเขาก็มักจะเอาชนะกันด้วยเกียรติมากกว่า และการต่อสู้อย่างสมเกียรติก็นับเป็นวิถีของอัศวินโดยแท้
"การเจรจานี้ไม่ได้มีผลแค่ตัวข้า หรือว่าเจ้า... แต่มันหมายถึงทั้งอาณาจักรอาเดรีย"
"แล้วสิ่งที่ข้าพูดมันไม่จริงหรืออย่างไร เจ้ายังยืนยันจะขอความเหลือจากแม่ทัพที่ไม่มั่นใจในกำลังพลของตนอย่างนั้นรึ... เจ้ายังยืนยันจะขอความช่วยเหลือจากข้า เพราะเจ้าคิดว่าข้าช่วยเจ้าได้ไม่ใช่รึไง" ไม่รู้ว่าบทสนทนาดำเนินมาถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เอเดรียนถอนใจด้วยความหนักอกและลดมือลงอย่างไม่อยากต่อกร
"ข้ากับเจ้ามันคือความเชื่อมั่น แต่การเจรจาระหว่างอาณาจักรมันไม่มีความเชื่อมั่นหรอก"
"ทำไมจะเชื่อมั่นไม่ได้เล่า..."
"มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เลสธีราห์" เอเดรียนตอบใจเย็น เขาเดินเข้าไปจับบ่าลูกน้องของตนที่เริ่มส่งเสียงดังจนเกินควร "เราควรกลับไปคุยในที่พัก ...พอเถอะ ขอบใจที่พยายามจะช่วยข้า" แม้อีกฝ่ายจะมีฝีมือการยิงธนูที่เหนือชั้น แต่นิสัยที่ยังคงความเป็นเด็กอยู่มากของเลสธีราห์ทำให้เอเดรียนรู้สึกเวียนหัว
แต่นั่นก็คือความพยายามของอีกฝ่ายที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่แล้ว
"พวกเซนทอร์ก็เรียกร้องประโยชน์จากเจ้าชัดเจนอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องเล่นแง่กันอีก"
แม่ทัพใหญ่โอบไหล่คู่สนทนาและพาเดินกลับที่พักพร้อมกับให้คำตอบ "เพราะต่อให้มีสัญญา ก็ไม่อาจเชื่อใจกันได้อยู่ดี"
--------------------------------------------------
หลังจากถูกเลสธีราห์ยอกย้อนเสียยกใหญ่ ซาฮาลก็กระฟัดกระเฟียดกลับมายังที่พักของตนซึ่งอยู่ที่ท่าเรือมารินา "เลสธีราห์ช่างทำเสียเรื่องนัก!" ร่างสูงจงใจพูดให้ท่านหญิงลีอาห์ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูทางเข้าของท่าเรือได้ยิน ราชเลขาหันกลับมามองคนอารมณ์เสียครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองเรือพาณิชย์สองลำที่กำลังจะเข้าเทียบท่า เซนทอร์ในร่างมนุษย์สองคนกระโดดลงมาจากเรือและแปลงกายกลับร่างเดิมแล้วจึงดึงเชือกยื้อเรือเอาไว้กับท่า
"ท่านหญิงรู้อยู่แล้วรึไง"
กิริยาที่ดูจะนิ่งเกินไปของราชเลขาทำให้ซาฮาลคิดอย่างนั้น และแทนที่เขาจะกลับห้องพักอย่างที่ตั้งใจไว้ ผู้บัญชาการกราเทียร์ก็เดินเข้ามาสนทนากับเซนทอร์หญิงแทน "ข้ารู้..." ลีอาห์ยอมรับ "มีหรือข้าจะไม่รู้ว่าเลสธีราห์จะทำเสียเรื่องถ้าเจอเจ้า"
"เช่นนั้นแล้ว เซนทอร์เราจะเปิดโอกาสให้เขามาเจรจาทำไม ในเมื่อไม่ตั้งใจจะยื่นมือเข้าช่วย"
ซาฮาลย้อนด้วยคำถามเดิมของเลสธีราห์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ท่านหญิงลีอาห์สะทกสะท้านสักเท่าไหร่ "ข้าส่งเจ้าไปพบหน้าเอเดรียนอย่างที่เจ้าอยากพบแล้วนี่" หญิงสาวว่า "เจ้ารู้ทันมนุษย์ยิ่งกว่าเลสธีราห์ และเจ้าก็รู้ว่าพวกอาเดรียไม่มีศาสตร์การสร้างเรือจักรไอน้ำอย่างที่พยายามจะแอบอ้าง ที่จงใจยื่นข้อเสนอนั้นมาก็เพื่อดึงความสนใจเท่านั้น เจ้าเองก็รู้... เซนทอร์เราจึงไม่อยากยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ใช่หรือไร"
"แล้วทำไมท่านหญิงจึงไม่ปฏิเสธไปเสียแต่เนิ่นเล่า"
"ข้าอยากจะรู้ว่าเลสธีราห์จะสามารถหาผลประโยชน์ประการอื่นให้เราได้หรือไม่ อาเดรียคงไม่ได้มีดีแค่นั้นหรอกไม่ใช่หรือ เพียงแค่เขาไม่ยอมเปิดเผยให้เรารู้เท่านั้น" อาเดรียคงไม่ได้มีดีแค่เป็นเมืองท่าหรือทางผ่าน พวกเขาอาจจะครอบครองอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมบอกใครเนื่องจาความหวาดกลัวจะถูกช่วงชิงไป และนั่นเป็นหน้าที่ของเลสธีราห์ที่จะต้องหาว่าความลับที่ว่านั้นคืออะไร
"เขาเป็นบุตรชายของท่าน เหตุใดจึงต้องใช้วิธีแบบนี้"
"เอเดรียนผู้นั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาเดรียที่หลบซ่อนตัวและคอยประคับประคองกองกำลังต้องห้ามของอาเดรียมาโดยตลอด และก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาเรียกเลสธีราห์เข้าไปพักในคฤหาสน์ด้วย ทำทีราวกับจะชักจูงให้มาเป็นคนสนิท แต่แม้จริงแล้วก็คือการคอยสอดส่องดูพฤติกรรมของเลสธีราห์ และป้องกันไม่ให้เขาเดินทางกลับแอสทารอธ"
ท่านหญิงลีอาห์หรี่ตาลงเล็กน้อย "นี่เป็นหนทางที่แนบเนียนที่สุดที่จะพูดคุยกับเลสธีราห์"
"แต่ในเมื่อเขาทำเสียเรื่องแบบนี้ไม่คิดว่าแม่ทัพจะไล่เขาออกจากคณะรึ"
ลีอาห์กลับตาลงครุ่นคิดสักพักก่อนให้คำตอบ "คนที่จะตัดสินว่าเสียเรื่องหรือไม่... คือข้าไม่ใช่หรืออย่างไร" มุมปากบางของคนพูดเหยียดยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มีเลศนัยอย่างที่สุด "อย่างน้อยนี่ก็เป็นการยืดเวลาตัดสินใจของเราออกไปได้มากแล้ว อาเดรียเพิ่งปิดท่ามาได้เจ็ดวัน เรายังอ่านความเคลื่อนไหวของเมืองอื่นไม่ได้หรอก แอสทารอธจะตัดสินใจได้ก็ต่อเมื่อเห็นท่าทีของไอย์ชวลกับธีสธรัลนั่นแหละ"
นอกจากจะต้องมองผลประโยชน์ของอาณาจักรแล้ว เหนือหัวดาเรียสก็กำชับมานักหนาว่าควรมองการตอบโต้ของอาณาจักรอื่นด้วย เพราะต่อให้ไม่มีใครคิดจะยุ่งกับพวกเซนทอร์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ากำลังพลของเซนทอร์จะเอาสามารถเอาชนะข้าศึกจากเมืองอื่นได้ หากเขาต้องรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเมืองใดสักเมือง เมืองนั้นควรจะเป็นเมืองใด
แอสทารอธเรียกตัวเองว่าเผ่านักรบโดยกำเนิด แต่ก็ยังมีฟาวสต์ที่เรียกตัวเองจักรวรรดิแห่งขุนศึก
และฟาวสต์กับแอสทารอธก็ไม่เคยประมือกันสักครั้ง
"ท่านหญิงส่งข้าไปให้แม่ทัพเอเดรียนจดจำใบหน้า... เพื่อไม่ให้ข้าเข้าไปยุ่งกับภารกิจของเลสธีราห์ในคราบมนุษย์ใช่หรือไม่" ในเมื่อลีอาห์ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าควรจะตอบโต้อะไร อีกทั้งยังมีแนวทางในการแก้ปัญหาอีกด้วย เหตุใดนางจึงหันมาไหว้วานให้เขาไป 'สนทนากับผู้นำคณะทูต' อีกครั้งกันเล่า หากไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้ "ท่านเองก็หาเหตุผลมาห้ามข้าไม่ได้เหมือนกัน"
"อืม... คงเป็นเช่นนั้น" คนเป็นแม่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม "เจ้าไปเถอะ ซาฮาล ข้าจะรับมือต่อเอง"
"แล้วท่านหญิงจะตอบโต้อย่างไร"
ลีอาห์ที่ตั้งใจจะเลี่ยงออกมาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบคำถาม "ถ้าเขาหาศาสตร์เรือจักรไอน้ำหรือสิ่งที่มีมูลค่าเพียงมายื่นให้เราได้เห็นเมื่อไหร่ เหนือหัวก็พร้อมจะส่งกองเรือเซเลสต์ออกศึก"
--------------------------------------------------
---------- TO BE CONTINUE ----------