Infinity Days
If music be the food of love, play on
หากความรักมีคีตาเป็นอาหาร จงขับขานให้ข้าอย่ารู้หาย
จักดื่มกินจนสิ้นอยากแล้วพรากตาย ดื่มด่ำคล้ายโลกนี้มีเพียงเรา
- William Shakespeare -
“มอร์นิ่ง! เดย์”
“มอร์นิ่งอลิซ วันนี้ตื่นเช้าแฮะ” เสียงทักทายหวานใสของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบซึ่งกำลังขะมักเขม้นกับการรดน้ำต้นดอกเวอร์บีน่ากล่าวขึ้น ขณะที่เพื่อนบ้านสาวอีกคนชะโงกหน้าออกมาจากระเบียงชั้นสองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างกัน นี่คือหน้าที่ของเขา หน้าที่...ในทุกเช้าหลังจากลืมตาขึ้นมาทักทายกับแสงแดดในรุ่งอรุณ
“ไม่ต้องมาแซวเลย ปกติก็ตื่นเช้าอยู่แล้วนะ”
“โอเค...เป็นปกติ” เด็กหนุ่มพึมพำ พลางพยักหน้าไปมาสองสามครั้ง
“เดี๋ยวไอไปอาบน้ำก่อน อ้อ! ลืมบอกไป พี่สาวไอจะไปเที่ยวแคลิฟอร์เนียสักอาทิตย์นึง ยูอยากได้อะไรเป็นพิเศษมั้ย”
“ไม่ล่ะ...ขอบใจ” แค่ตอนนี้ กับความอบอุ่นที่ได้รับมันก็เพียงพอเกินกว่าจะต้องการสิ่งใดแล้ว
เขาคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในหัวได้สักพัก จึงวางกระบอกฉีดน้ำสีเหลืองอ่อนไว้ตรงตำแหน่งเดิม ก่อนลากเท้าลงไปยังชั้นล่างของตึกแถว ซึ่งเปรียบเสมือนคาเฟ่กึ่งแกลอรี่เพื่อทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป...
‘เชอริแดน’ เป็นเมืองเล็กๆ ในรัฐอิลลินอยส์ของอเมริกา เขาอาศัยอยู่ที่นี่ได้เกือบห้าเดือนแล้ว ชีวิตคนไทยในต่างแดนเริ่มต้นอย่างขลุกขลักในช่วงแรก และมันก็ค่อยๆ ราบเรียบเป็นน้ำไหลเอื่อย ตอนเช้าอากาศแจ่มใสและปราศจากควันพิษเพราะอยู่ในหมู่บ้านเงียบสงบ ทำให้เจ้าของดวงตากลมโตมีความสุขอย่างที่ปรารถนามาตลอด
ปรารถนา...ว่าจะได้มา Work & Travel สักหกเดือน แต่เวลาที่เหลืออีกเพียงเดือนเดียวนั้น เขาได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันราบเรียบเหมือนที่ผ่านมาก็คงจะดีไม่น้อย
“เดย์มาทานเบรคฟาสต์ก่อน เดี๋ยวค่อยทำก็ได้” หญิงวัยกลางคนท่าทางจิตใจดีเอ่ยขึ้นด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆ นั่นทำให้คนที่ถูกขานเรียกรีบหันไปมองยังเจ้าของน้ำเสียงอบอุ่นทันที
“คุณทานก่อนเลย ผมขอจัดตรงนี้นิดหน่อย” พูดจบ เขาก็สาละวนกับการหยิบโน่นจัดนี่อย่างสนุกมือ
อย่างที่บอก ร้าน Graph cafe’ คือคาเฟ่กึ่งแกลอรี่ เพราะเจ้าของบ้านชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นพิเศษ และมันคงไม่ตื่นเต้นเลย หากเดย์...ผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีดำสนิทนั้นไม่ได้เรียนเอกถ่ายภาพ และรักภาพถ่ายยิ่งกว่าชีวิต
“เดย์...มาก่อน อย่าให้คุณแมททิวรอสิ”
“อ่า...ครับ”
สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนเดินผละออกจากข้าวของบนชั้นวางจนได้ แค่เอาความเกรงใจมาขู่มีหรือคนอย่างเขาจะไม่ยอมทำตาม นี่คงเป็นแผนเด็ดของผู้หญิงคนนี้แล้วสิ ให้ตาย...
โฮสต์ของเขาใจดี การอยู่บ้านกึ่งคาเฟ่นี้ถือเป็นความใฝ่ฝันที่เกินคาด ครอบครัวเกรเลอร์เป็นครอบครัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่สามคนพ่อแม่ลูก แมททิวเป็นหัวหน้าครอบครัว ทำงานเป็นคอลัมนิสต์ให้กับนิตยสารท่องเที่ยว มีภรรยาชาวไทยใจดีสุดกู่อย่างนภา และลูกสาวตัวน้อยๆ อย่างเด็กหญิงจนินที่อายุเพียง 5 ขวบ
และตอนนี้เขาก็ได้กลายเป็นสมาชิกคนที่สี่ของบ้านไปโดยปริยาย แม้ระเบียนประชากรมันจะไม่ได้ระบุอย่างนั้นก็เถอะ
“ทานเยอะๆ ออมเล็ตนี่ของโปรดเธอเลยนะ” แมททิวที่นั่งนิ่งอยู่นานผลักจานอาหารเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ทันทีที่เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้
“ขอบคุณครับคุณแมททิว” เจ้าตัวตอบเสียงเรียบ
“เออนี่เดย์ วีคเอนท์นี้ฉันกับแมทจะไปเยี่ยมญาติที่ซานฟราน ยังไงฝากร้านด้วยแล้วกัน” เธอบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ระยะเวลาห้าเดือนบ่งบอกได้อย่างดีว่าเดย์เป็นเด็กที่ไว้ใจได้มากแค่ไหน
“ได้ครับ...”
“แล้วที่สำคัญ”
“...”
“มหา’ลัยที่นิวยอร์กกำลังอยู่ในช่วงปิดเรียน เพราะฉะนั้นหลานชายของฉันก็เลยจะมาพักกับเราที่นี่ก่อนเปิดเทอม ยังไงวันเสาร์ฝากรอรับเขาด้วยนะ” เธอฝากฝังทุกสิ่งอย่างไว้ ก่อนจะเริ่มขยับช้อนและส้อม ให้ความสนใจกับการทานอาหารเช้า รวมถึงป้อนข้าวลูกสาวตัวน้อยๆ ไปพร้อมกัน
ทิ้งไว้เพียงเด็กหนุ่ม ที่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยโดยไม่พูดอะไรออกมา มันมีแต่คำถามและความคาดหวัง...หวังว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนจิตใจดี เป็นเพื่อนใหม่ เป็นความทรงจำอีกหนึ่งเดือนที่น่าประทับใจ แม้เขาจะกลัวการทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าอยู่มากก็ตาม…
เช้าวันเสาร์มาถึงราวกับนาฬิกาทำงานอย่างหนัก
เดย์หยิบภาพถ่ายมาติดไว้ตรงผนังของร้านเป็นการฆ่าเวลา เพื่อรอใครบางคนที่กำลังมาถึงในไม่ช้า วันนี้ที่ร้านคนไม่เยอะเท่าที่ควร อาจเพราะเป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่จุคนได้จำนวนหนึ่งทำให้บรรยากาศไม่พลุกพล่านจนน่าปวดหัว
“พี่เดย์ ลูกค้าเข้า! เอสเปรสโซร้อนแก้วนึง” เสียงหวานใสของเด็กหญิงวัยสิบหกซึ่งเป็นพนักงานพาร์ทไทม์เพียงคนเดียวของที่นี่กล่าวขึ้น
“โอเครอแป๊บนะ” เจ้าตัววางสก็อตเทปสองหน้า พร้อมกับกรรไกรลง ก่อนจะหันไปหยิบจับทำกาแฟตรงเคาท์เตอร์อย่างคล่องแคล่ว สมกับเป็นบาริสต้ามือหนึ่งของร้าน ซึ่งฝึกปรือฝีมือมาได้เกือบห้าเดือนเห็นจะได้
กรุ๊ง...กริ๊ง!
ประจวบกับเสียงกระดิ่งซึ่งแขวนอยู่ตรงประตูดังขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลูกค้าคนล่าสุดกำลังเดินเข้ามาภายในตัวร้าน
“ยินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานสาวทักทายลูกค้าเสียงสดใส
เจ้าของร่างสูงสาวเท้าเข้ามา ดวงตาเรียวยาวหรี่มองไปทั่วขณะที่สองมือยังถือข้าวของพะรุงพะรัง เขาวางของพวกนั้นไว้ริมประตู แต่มีสิ่งหนึ่งที่หวงแหนยิ่งกว่าอะไรและมันยังคงถูกแขวนไว้บนบ่าอยู่ นั่นคือกีตาร์แบรนด์ญี่ปุ่นตัวโปรด อย่าง Takamine แต่นั่นก็ยังไม่น่าสนใจเท่ากับคนที่หัวหมุนกับการทำกาแฟตรงเคาน์เตอร์
“ขอเบอเบิ้ลวิสกี้ครับ” เสียงทุ้มต่ำคล้ายกับเสียงเบสเอ่ยขึ้น น้ำเสียงนั้นแปลกประหลาดแต่ก็น่าฟัง เพราะมันรื่นหูคนฟังเข้าอย่างจังจนต้องหันมามองให้เต็มตา
ภาพที่เห็นคือผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง ใบหน้าขาวใสไร้ซึ่งหนวดเครา ดวงตาที่ดำสนิทเข้ากับสีผมที่เป็นสีเดียวกัน เขาใช้มือข้างหนึ่งพาดเคาน์เตอร์อย่างเป็นกันเอง ส่วนมืออีกข้างก็ถือสายคล้องกีตาร์เอาไว้ราวกับหวงแหนสุดชีวิต
“เอ่อ...ร้านเราไม่ขายเหล้าครับ” เดย์ตอบตามมารยาท
“งั้นขอ Pall mall ก็ได้”
“นี่ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อนะครับ” เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด บ่อยครั้งที่การทำงานมักเจอะเจอผู้คนแปลกประหลาดอยู่บ่อยๆ และเขาก็ชินที่จะต้องตอบคำถามพวกนั้นโดยไม่แสดงอารมณ์ร้ายๆ ออกมา เพราะลูกค้าก็คือลูกค้า ลูกค้าคือพระเจ้า
แม้คนตัวสูงหน้าตาหล่อเหลาบางคนจะเอาแต่ถามถึงเหล้ากับสูบบุหรี่ในร้านกาแฟก็ตาม
“แล้วถ้าฉันต้องการล่ะ”
“...”
“ถ้าบอกพนักงานให้ไปซื้อเหล้ากับบุหรี่มาให้แล้วค่อยสั่งกาแฟ นายยินดีจะทำมั้ย”
“งั้นต้องขออภัยครับ ทางร้านไม่ได้มีนโยบายให้พนักงานวิ่งโล่บริการนอกสถานที่” เดย์บ่นงุบงิบ แต่มันก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนสำหรับใครบางคนเช่นกัน
“เวรกรรม! บาริสต้าที่นี่โคตรดุเลย”
“ผมน่ะเหรอดุ คุณต่างหากที่กวนประสาทได้ที่”
“คงงั้นมั้ง”
“...”
“ฉันชื่อองศาเป็นหลานเจ้าของร้าน ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดจบก็รีบยื่นมือผ่านเคาน์เตอร์เพื่อเช็คแฮนด์กับเขา เดย์ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะไม่คิดว่าหลานชายของโฮสต์จะแปลกประหลาดเกินกว่าที่สมองจินตนาการเอาไว้
“...!!”
“จับมือสิ โธ่...เบื่อพวกความรู้สึกช้าว่ะ” สุดท้ายก็ตัดสินใจปัดมือขาวที่กำลังจับแก้วกาแฟเบาๆ เป็นเชิงทักทาย
พูดเอง เออเอง จับมือเอง และก็เดินตัวปลิวไปยังชั้นสองโดยไม่ถามชื่อเขาสักคำ
แปลกคน...
ทิ้งไว้เพียงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งวางอยู่บนพื้นระเกะระกะขวางทาง จนสาวสวยพาร์ทไทม์ต้องลากไปทิ้งไว้ตรงมุมร้านเพื่อความสะดวกในการเดินของลูกค้าท่านอื่นๆ
หลังจากทำกาแฟเสร็จและไม่มีลูกค้ารายใหม่เข้ามา เดย์จึงเปลี่ยนจากยืนนิ่งๆ เดินไปทั่วร้านตามนิสัยเด็กไม่ชอบอยู่นิ่ง กระทั่งสายตาปะทะเข้ากับกระเป๋าเดินทางใบเขื่อง ซึ่งถูกปากกาเคมีสีดำสนิทกับสติกเกอร์ลายประหลาดติดเอาไว้จนทั่ว มองดูเหมือนเด็กสามขวบกำลังหัดเรียนรู้ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปม พลางอ่านข้อความที่อยู่บนนั้น
‘If music be the food of love, play on : William Shakespeare’ “ท่าจะชอบดนตรีจริงๆ แฮะ” เจ้าตัวพึมพำเสียงแผ่ว
นอกจากนั้นก็มีข้อความอีกมากมายที่ถูกเขียนระบาย ราวกับเจ้าของไม่หวงแหนกระเป๋าใบนี้สักเท่าไหร่ หากเป็นที่ไทย การกระทำแบบนี้คงไม่ต่างจากการเขียนเฟรนด์ชิพให้กับเพื่อนก่อนจะแยกย้ายกันไป
‘ไอ้องศาหน้าหมา’ ตัวหนังสือภาษาไทยขนาดยักษ์ ที่ต่อให้เดินลากไปไกลขนาดไหนยังมองเห็นชัดเจนทำให้เขาหลุดขำ พลันยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลบเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หน้าหมาเลยเหรอ? หมาอะไรหล่อจัง
ดวงตากลมโตกวาดอ่านข้อความต่างๆ ไปทั่ว ส่วนใหญ่จะเป็นคำคมเกี่ยวกับดนตรี หรือบางครั้งมักจะเห็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษตวัดเป็นถั่วงอกคล้ายภาษาอาหรับ ให้เดาคงจะเป็นฝีมือบรรดาเพื่อนๆ ของคนตัวสูงที่พากันมาละเลงสีสันราวกับของชิ้นนี้เป็นกระดาษเปล่า
จนกระทั่ง...
‘If you love me let me know : K’ คงเป็นใครบางคน ที่รู้ว่าคนตัวสูงรู้สึกยังไง คงเป็นใครบางคน ที่มองเห็นแววตาลึกซึ้งอย่างเข้าใจ ถึงได้กล้าเขียนประโยคนั้นไว้บนกระเป๋า และมันก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าลายมือของคนอื่นมากโข
ความรักเป็นสิ่งสวยงามจริงๆ และเขาก็อดอิจฉาผู้ชายชื่อแปลกอย่างองศาไม่ได้ เพราะมีไม่กี่คนหรอกที่แอบชอบอีกฝ่ายแล้วเขารับรู้และรักตอบ เดย์เองก็อยากเจอเหมือนกัน...
“พี่เดย์ทำอะไรอยู่ ลูกค้ามาแล้ว” ร่างโปร่งสะดุ้งโหยง รีบหันขวับไปทางต้นเสียงก่อนจะสาวเท้าอย่างรีบเร่ง พร้อมกับโพล่งประโยคแก้ต่างให้ตัวเอง ที่เอาแต่แอบอู้งานมาอ่านข้อความของชาวบ้านจนเสียงานเสียการ
“โทษที จะไปแล้ว...”
วันนี้ปิดร้านค่อนข้างดึก กว่าจะเก็บของขนย้ายอะไรก็ปาไปเกือบสองทุ่ม ดีที่ดูเหมือนหลานชายโฮสต์จะไม่ค่อยสะทกสะท้านต่อความหิวสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่มาถึงก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง จนเขาต้องเป็นฝ่ายขึ้นไปตามตัวลงมาทานข้าวเนื่องจากเหลือกันอยู่แค่สองคน
เขาเองก็ไม่อยากกินข้าวคนเดียวอย่างเหงาหงอยนักหรอก
คิดได้เท่านั้นก็รีบเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ลองเคาะประตูสองสามครั้งแต่กลับไม่มีคนเปิด จึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ภาพแรกที่เห็นคือร่างสูงโปร่งกำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ใบหน้าอ่อนกว่าวัยฉุดให้คนมองย่างเท้าเข้าหาในระยะประชิด คล้ายกำลังสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ
เขาเพิ่งรู้เหตุผลว่าทำไมการพยายามเคาะประตูอย่างบ้าคลั่งถึงศูนย์เปล่า ก็เพราะเจ้าบ้านี่เอาแต่หยิบหูฟังขึ้นมาครอบหูและหลับไปทั้งอย่างนั้นต่างหาก
แต่ในเมื่อตั้งใจมาชวนกินข้าวแล้ว ก็ไม่อยากเสียเวลาจึงเอื้อมมือไปเขย่าไหล่กว้างเบาๆ
“นี่นาย! ตื่น! ไม่หิวหรือไง”
“...”
“องศา กับข้าวจะหมดแล้วนะ ฉันจะฟาดให้เรียบเลยถ้าขืนนายยังชักช้าอยู่”
“เสียงไก่เสียงกาที่ไหนวะ” อีกฝ่ายละเมอพูด ก่อนจะปรือตาขึ้นและได้สบกับคนตรงหน้านิ่งๆ มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่ดวงตาสองคู่ต่างไหววูบอย่างน่าประหลาด แต่ก็กลับมาเรียบนิ่งสงบอีกครั้งเมื่อเสียงหัวใจทำงานเป็นปกติ
“ไก่ที่ไหนเล่า ฉันชื่อเดย์ ขึ้นมาเรียกนายไปกินข้าวเย็น”
“อ่าฮะ” พยักหน้าเข้าใจ แต่ร่างกายไม่ยอมขยับไปไหน
“เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย ทำไมดูเป็นคนเข้าใจอะไรยากอย่างนี้”
“เฮ้อ...ฉันกำลังฟังเพลงโปรดของฉันอยู่ต่างหาก แต่นายก็ดันมารบกวนความสุขที่มีแค่สี่นาทีกับอีกสามสิบสี่วิของฉันลง” คนตัวสูงพูดเสียงเนือยๆ รีบชันตัวขึ้นมานั่งพลางขยี้ตาราวกับเด็กน้อยเพิ่งตื่น
แต่ทำไมมันถึงได้ดูน่ารักสำหรับคนมองก็ไม่รู้...
“กินข้าวแล้วค่อยขึ้นมาฟังก็ได้ จะฟังสักร้อยรอบก็ไม่มีใครว่านายหรอก” เดย์บ่นอย่างไม่จริงจัง ไม่กล้าจดจ้องใบหน้าหล่อเหลา เพราะยังรู้สึกประหม่ากับคนแปลกหน้าอยู่
“ถ้านายฟัง นายจะรู้ว่ามันดีแค่ไหนและฉันรอที่จะฟังในเวลานี้เท่านั้น” พูดจบก็ดึงหูฟัง Beats ออก ก่อนจะหยิบมันมาครอบไว้ให้คนที่ยืนทำตาปรอยในเวลาต่อมา
“...”
“Photograph ฟังไว้ แล้วนายจะหลงรักมัน”
ริมฝีปากได้รูป ใบหน้าขาวสะอาดกับจมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาหรี่ขวางเหมือนคนไม่สนโลกแต่กลับมีเสน่ห์อย่างน่าหลงใหล เขาแปลกใจที่ทำไมเลือดถึงได้สูบฉีดรุนแรงขนาดนั้น เพราะมันอาจทำให้เกิดสภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้ เพียง 3 วินาที...
“นายหลงรักเพลงของฉันหรือยัง” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยซ้ำ มันกำลังดังก้องในหูไม่หยุดจนเหมือนกับเขาได้ยินประโยคแสนธรรมดานั้นเพราะกว่าเพลงที่กำลังฟังอยู่เสียอีก
มันอาจเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดไว้
“ถ้าได้ฟังบ่อยๆ ก็อาจจะหลงรัก...มั้ง!”
ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกหน่อยเขาอาจหลงรัก...เจ้าของเพลงไปแล้วก็ได้... “กินมูมมามจังนายเนี่ย”
เหมือนการสนทนาที่ยาวนานนั้นจะถูกย่นระยะลงในเวลาอันสั้น ซึ่งมันกำลังแปรฝันตามกับความสัมพันธ์ที่กินเวลาไม่นานเช่นกัน แค่ได้คุย แค่ได้รู้จัก สนิทสนม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน ทำไมถึงรู้สึกว่าทั้งคู่รู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว
“นายก็มูมมามเหมือนกันแหละ เดย์...” องศาเริ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายให้ชินปาก หนึ่งเดือนต่อจากนี้จะเป็นเวลาที่เขาต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักใครอีกสักคนอย่างจริงจัง
“อืมว่าจะถามนานแล้ว นายเรียนที่ NYU เหรอ”
“ใช่”
“คณะอะไร”
“สคูลออฟอาร์ต ศิลปกรรมน่ะ แล้วไม่ต้องถามนะว่าสาขาอะไร เห็นแบกกีตาร์กับชอบฟังเพลงขนาดนี้นายคงพอเดาออก” เจ้าตัวพูดยาวเหยียด ซึ่งมันก็กระจ่างชัดในความสงสัยของเขาจนต้องพยักหน้าหงึกหงักและตักข้าวเข้าปากดับอาการบางอย่าง
บ้าไปแล้วเดย์ นายต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“รีบกินเถอะ เดี๋ยวข้าวก็ติดคอหรอก แล้วนายล่ะอยู่ที่ไทยเรียนอะไร”
“ฉันเรียนนิเทศเอกถ่ายภาพ”
“ถึงว่า...”
“ถึงว่าอะไร” ร่างโปร่งชิงถาม เมื่อเห็นใบหน้ากรุ้มกริ่มจากอีกฝ่ายตอบกลับมา
“ร้านของคุณน้าน่ะ เมื่อก่อนมักจะมีรูปแนวเดิมๆ ตลอด ซึ่งฉันรู้ดีว่ามันเป็นฝีมือการถ่ายภาพของแมททิว แต่นี่ไม่ใช่ นี่อีก นั่นอีก แต่ฉันชอบภาพนั้น นายเคยไปที่อิสตันบูลมาสินะ ฉันพยายามถ่ายภาพมุมนั้นตลอดแต่ก็ทำไม่ได้ ช่วงเมจิกอาวส์มันหมดซะก่อนน่ะ” นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังภาพถ่ายที่ถูกแปะไว้ตามผนังร้าน ราวกับเห็นภาพพวกนั้นมานานนับปี
“อ่า...นายนี่เก่งจริงๆ นอกจากหูดีแล้วสายตายังดีอีก” เดย์กล่าวชื่นชมเสียงเรียบ สองแก้มแดงก่ำซับสีเลือดเพราะไม่เคยคิดว่าจะมีใครมองเห็นรายละเอียดพวกนี้มาก่อน
“นี่ชมหรือด่า”
“ชมสิ คุณหมาหน้าหล่อ”
“ขอร้องอย่าเรียกแบบนี้ อยากโดนกระทืบเหมือนเพื่อนฉันอีกคนหรือไง” องศาพูดอย่างไม่จริงจัง ก่อนหน้านั้นบนโต๊ะอาหาร พวกเขาต่างสนทนากันเรื่องข้อความที่ถูกเขียนอยู่บนกระเป๋าเดินทาง หนึ่งในข้อความที่ได้รับการสนใจก็คือประโยค ‘ไอ้องศาหน้าหมา’ นั่นแหละ แต่เป็นหมาทั้งทีธรรมดาก็คงไม่ได้ ต้องเป็นหมาหน้าหล่อด้วยถึงจะถูก
“โดนนายกระทืบคงไม่เจ็บหรอกมั้ง”
“อยากลองมั้ย”
“ไม่ดีกว่า”
“อยู่ที่ไทยชอบทำอะไร”
“เดิน”
“เดินเหรอ?”
“ฉันชอบเดิน เดินไปเรื่อยๆ แล้วก็ถ่ายภาพ แล้วนายล่ะ”
“เดิน...”
“กวนตีนป่ะเนี่ย”
“เรื่องจริง เดินไปฟังเพลงไป สนุกดี”
“แปลกแฮะ”
“ฉันแปลกหรือนายแปลก”
“เปล่า...แปลกที่เพิ่งมาเจอคนที่ทำอะไรคล้ายๆ กันแต่ดันมาอยู่อีกมุมโลกต่างหาก” ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากทั้งคู่อีก มีเพียงเสียงลมหายใจกับเสียงกระทบกันของช้อนและส้อม ซึ่งดังขึ้นมาเพื่อกลบเสียงบางอย่างให้บรรเทาเบาบางไปเท่านั้น
เสียงของหัวใจสองดวงที่มันสอดประสานในจังหวะเดียวกัน
และเสียงของคำถาม ว่าทำไมถึงรู้สึกดีเพียงแค่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามและทานข้าวด้วยกัน
ทำไม...
เหลือเวลาอีก 15 วันก่อนกลับไทย...
“คุณเดย์ครับ มัวแต่รดน้ำต้นไม้อยู่นั่นแหละ วันนี้ร้านปิดนะ” เสียงทุ้มต่ำเหมือนเบสตะโกนจากด้านในตัวบ้าน ไปยังคนที่ยืนถือกระบอกฉีดน้ำอยู่หน้าระเบียง
“ร้านปิดแต่ต้นไม้ไม่ได้ปิดด้วยนี่ มันยังต้องการน้ำ” เจ้าตัวตอบกลับมา
คู่สามีภารยาและลูกน้อยครอบครัวเกรเลอร์กลับมาอยู่บ้านเป็นอาทิตย์แล้ว หลังจากไปเยี่ยมญาติแค่สองสามวัน พวกเขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมหลานชายกับเด็กหนุ่มจากต่างแดนถึงได้สนิทกันรวดเร็วขนาดนั้น เพราะถ้านับดูดีๆ เวลาสองอาทิตย์มันก็น้อยเกินไปสำหรับการรู้จักใครบางคนอย่างลึกซึ้งจริงๆ
และก็อดกลัวไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ฉันเพื่อนแม้จะเนิ่นนานแต่บางทีก็เจ็บปวด เมื่อใครบางคนต้องจากไปในสักวันหนึ่ง...
“รดเสร็จแล้วรีบมาเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เรามีเดทกันนะเว้ย”
“ดูพูดเข้า วันนี้มันเป็นแฟมิลี่เดย์ต่างหากล่ะ” เดย์พูดยิ้มๆ วันนี้คือวันหยุดของครอบครัว และพวกเขากำลังพากันมุ่งหน้าไปแถวทะเลสาบมิชิแกนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
คนตัวสูงมีกีตาร์หนึ่งตัว ส่วนอีกคนมีกล้องโพลารอยด์ตัวโปรด ด้านโฮสต์ใจดีจัดแจงอาหารทานง่ายๆ และอุปกรณ์จำเป็นยัดใส่รถตู้สีขาวคันเก่า ก่อนจะออกตัวพร้อมกับเสียงเพลงยุค 70 ที่เปิดคลอไปตลอดทาง ที่นี่มีเสียงหัวเราะ มีประโยคบอกเล่าที่ติดสำเนียงแปร่งๆ มีรอยยิ้ม
และบางมุม...ก็มองเห็นความรักค่อยๆ เติบโตขึ้นในหัวใจของใครบางคน
“อ้าวเด็กๆ ไปเดินเล่นก่อนเถอะ ตอนนี้จนินหลับไปแล้ว น้าว่าจะดูเจ้าตัวยุ่งก่อน”
น้าสาวใจดีเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนองศากับเดย์จะมองหน้ากันเหมือนรู้งาน พวกเขาชอบธรรมชาติ ชอบบรรยากาศที่ไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน และมันคงจะดีถ้าเวลานี้ได้หยิบเสื่อผืนเล็กกับกีตาร์หนึ่งตัวสำหรับคนตัวสูง และกล้องถ่ายรูปโพลารอยด์อีกหนึ่งตัวสำหรับตากล้องจำเป็น
“ไปกันเลยมั้ย” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำถามด้วยแววตาตื่นเต้น
“ไปสิ อยากไปรับลมจะแย่” เดย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“บรรยากาศดีโคตรๆ” องศาพูดขึ้น พลางเหยียดแขนยืดเส้นยืดสายเป็นการใหญ่ หลังจากหย่อนก้นลงบนเสื่อผืนน้อยสำหรับนั่งคนเดียว แต่ตอนนี้มันกลับเบียดเสียดด้วยร่างบางของใครอีกคน
เสื่อผืนเล็กก็จริง แต่เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัด...กลับกัน มันอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเดย์ได้ค้นพบความแปลกประหลาดจากองศาอยู่หลายอย่าง หนึ่งคือเขากับคนตัวสูงชอบอะไรคล้ายๆ กัน คล้าย...จนแทบจะเป็นสิ่งเดียวกันด้วยซ้ำ
สององศาเป็นพวกติสต์จัดและชอบนอนหัวค่ำ เป็นภาระให้เขาต้องขึ้นมาปลุกลงไปกินข้าวอยู่เสมอ
และสามเขามีความรู้สึกบางอย่างกับอีกฝ่าย แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคือความรู้สึกที่เรียกว่าอะไร รู้เพียงว่าแค่นึกถึงมันก็ทำให้เข้าเผลอยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ต้องถ่ายรูปเอาไว้” เดย์หยิบกล้องขึ้นมาโฟกัสบรรยากาศตรงหน้าพร้อมกดชัตเตอร์อย่างตั้งใจ นี่คือเสน่ห์ของโพลารอยด์ เพราะเขาต้องมั่นใจว่าภาพนั้นควรแค่แก่การเก็บไว้จริงๆ ถึงมันจะผิดพลาดไปบ้างก็ตาม
“ฉันก็ต้องร้องเพลงสินะ”
“เออว่าจะถามนานแล้ว ทำไมนายถึงติดกีตาร์ตัวนี้จัง ทั้งที่นายมีเงินพอจะซื้อตัวที่สวยและดีกว่านี้หลายเท่า” เดย์สังเกตมานานแล้ว ช่วงเวลาสองสัปดาห์ที่ได้ใช้ชีวิตเป็นคนข้างห้องกัน เขาค้นพบความล้ำค่าอีกหนึ่งอย่างในชีวิตขององศา และมันกลายเป็นความสงสัยที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่
“ตัวที่สวยหรือแพงมีค่ากว่าตรงไหนล่ะ มันอาจมีคุณค่าในระยะเวลาหนึ่ง แต่ในเรื่องของจิตใจมันต่างกัน กีตาร์ตัวนี้เป็นของพ่อฉัน แม่ฉันซื้อให้ตอนวันที่พวกเขาแต่งงานกัน มันเลยเป็นเหมือน...สัญญาทางใจล่ะมั้ง ตราบใดที่มีกีตาร์ตัวนี้ ความรักของเขาก็ยังส่งมาถึงฉันเสมอ”
“เพิ่งเข้าใจวันนี้นี่เอง...”
“แล้วนายล่ะ มีสิ่งที่รักมากๆ มั้ย แต่ถ้าให้ทายคงเป็นภาพถ่าย”
“ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ภาพถ่าย” ใบหน้าขาวสะอาดแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ก้มมองดูกล้องในมือของตัวเอง ก่อนจะยกขึ้นมาประชิดดวงตาข้างหนึ่งและกดชัดเตอร์ทันที
ในระยะใกล้นี้เขามองเห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายเท่านั้น กระดาษการ์ดสีขาวเลื่อนขึ้นก่อนที่มือบางจะหยิบขึ้นมาสะบัดสองสามครั้ง และปรากฏภาพจางๆ ขึ้นในเวลาต่อมา
“สิ่งที่ฉันรัก มันคือความทรงจำต่างหาก ขอนะ!” “อืม...” คนตัวสูงไม่พูดอะไรต่อ มองดูอีกฝ่ายกำรูปที่เพิ่งถ่ายไว้ในมือ เหม่อมองออกไปข้างหน้าที่เต็มไปด้วยความเวิ้งว้างของทะเลสาบไกลสุดลูกหูลูกตา
“อีกไม่นานฉันก็จะกลับแล้ว ก็เลยอยากเก็บความทรงจำเอาไว้ให้มากที่สุด” เจ้าตัวทำลายความเงียบลง แม้ขณะที่พูดถึงน้ำเสียงจะเริ่มแหบพร่าแค่ไหน แต่ก็ยังมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเสมอ
องศาไม่ได้พูดอะไร นอกจากหยิบกีตาร์ตัวเก่งขึ้นมาพร้อมกับร้องเพลงๆ หนึ่ง
“Loving can hurt, loving can hurt sometimes…”
เดย์มองหน้าของอีกฝ่าย องศามองเฟล็ตกีตาร์พลางๆ ก่อนจะเงยขึ้นมองเพื่อนต่างแดนเป็นการบอก ยังมีบางอย่างที่เขาอยากให้รู้ ก่อนเวลามันจะไม่คอยท่า
ไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกไหน แค่เขารู้สึกดีที่มีความทรงจำดีๆ ถูกบันทึกเอาไว้แม้ไม่ใช่เพียงรูปถ่าย แต่หมายถึงบางอย่างที่บันทึกเอาไว้ในหัวและกำลังฝังแน่นไม่เลือนหาย
But it's the only thing that I know
When it gets hard, you know it can get hard sometimes
It is the only thing that makes us feel alive
We keep this love in a photograph
We made these memories for ourselves
Where our eyes are never closing
Hearts are never broken
And time's forever frozen still
So you can keep me
Inside the pocket of your ripped jeans
Holding me closer 'til our eyes meet
You won't ever be alone, wait for me to come home อ่านต่อด้านล่างค่ะ