Miracle of WISH ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งคำอธิษฐาน
-8-
โปรดอย่าถามว่าฉันเป็นใครเมื่อในอดีต และโปรดอย่าถามว่าอดีตฉันเคยรักใคร.. เอิ่มม ไม่ใช่พี่แจ้ ดนุพล นะครับ นี่ผมเอง จันทร์สุดหล่อหลานครูเอี่ยมเองครับ แต่ที่คิดถึงเพลงนี้ขึ้นมาเพราะทุกคนคงอยากจะรู้เรื่องราวในอดีตชาติของผม ซึ่งผมเองก็ไม่ได้มีความสามารถพิเศษในการระลึกชาติหรือย้อนเวลากลับไปหาอดีตได้ เรื่องเดียวที่ผมรู้คือความฝันและความฝันนั้นก็มีแค่เรื่องเดียว เรื่องเดิม อีกทั้งคนๆ เดิมที่อยู่ในความฝันก็ยังโผล่มาเหมือนผีแล้วมากัดต้นคอผมให้ได้เป็นรอยอีก ถูกต้องแล้วครับคนที่ผมกำลังเจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใยอยู่ตอนนี้ก็คือ ไอ้หัวงูที่ชื่อยู นั่นแหละครับ
“คุณจันทร์เป็นอะไรเนี่ย?”
กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ดีๆ ก็โดนไอ้คุณโซ่ตีมือดัง
‘เผี๊ยะ!’ เพราะผมเอาแต่เกาต้นคอจนเห่อแดงเป็นปื้น
“ถ้าคันก็ทายาสิครับ แล้วรีบๆ แต่งตัวแล้วออกไปกินข้าว เดี๋ยวก็สายกันพอดี”
บ่นยิ่งกว่าแม่มลอีกนะครับเนี่ย แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดี
วันนี้ผมต้องไปมหาวิทยาลัยเป็นวันแรก ดังนั้นไอ้โซ่จึงลุกขึ้นมาปลุกผมตั้งแต่ตี 5 และตั้งใจจะออกจากห้องพักตอน 6 โมงเช้าเพราะเราจะต้องไปศึกษาการเดินทางโดยรถไฟฟ้ามหานครและเผื่อเวลาหลงทาง แต่ทุกคนรู้อะไรมั๊ยว่าจริงๆ แล้วไอ้โซ่มันตื่นก่อนผมตั้งนานเพื่อที่จะมาเตรียมทำข้าวต้ม กุนเชียงทอด และยำไข่เค็ม ให้ผมกินมื้อเช้า นี่ละครับเหตุผลที่ผมไม่เคยดื้อเวลามันบ่นเลยสักครั้ง
“คุณจันทร์อย่าลืมโทรหาครูเอี่ยมก่อนออกจากห้องนะครับ”
ตะโกนสั่งมาจากในครัว ผมก็ได้แต่ตะโกนกลับไปว่า
‘เรียบร้อยแล้ว’ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจะต้องเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองและยังเป็นก้าวแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ผมก็เลยต้องโทรไปขอพรเอาฤกษ์เอาชัยจากพระในบ้านของผมเท่านั้นเอง
แต่งตัวในชุดนักศึกษาแบบถูกกฎระเบียบเป๊ะพร้อมสะพายกระเป๋าผ้าที่แม่มลซื้อให้เป็นของขวัญจากตลาดแล้วเดินออกมานั่งกินข้าวต้มกับไอ้โซ่
“คุณจันทร์ตื่นเต้นมั๊ย?”
“มาก”
“คุณจันทร์ของไอ้โซ่เก่งอยู่แล้ว”
รอยยิ้มโคตรจริงใจถูกส่งมาให้ นับว่าเป็นกำลังใจที่ดีเยี่ยมสำหรับผมเลยครับ ว่าแต่ทำไมไอ้โซ่ไม่แต่งตัวล่ะ?
“แล้วทำไมยังใส่ชุดนอน??”
คนถูกถามก้มลงมองสำรวจตัวเองแบบงงๆ
“ก็ผมตื่นมาทำกับข้าวให้คุณจันทร์ไงครับ”
“อ้าว!”
แล้วไม่ไปด้วยกันรึไง? ไม่ได้นะโว้ย! อย่าทิ้งให้ผมไปคนเดียวเชียวนะ นี่มันกรุงเทพมหานครเมืองฟ้าอมรรัตนโกสินทร์ไม่ใช่ทุ่งนาบ้านสวนนะโว้ยเพื่อน คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตายไม่เคยได้ยินรึไง?
ปิ๊งป่องงงงงงงงเสียงสัญญาณที่พ่อต้อมเคยบอกว่ามีแขกมาหาดังขึ้นเล่นเอาผมสะดุ้งแทบสำลัก ใครกันมาเยี่ยมเยียนเราในเวลาเช้าแบบนี้ ผิดกับคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามที่ทำเพียงเลิกคิ้วนิดๆ แล้ววางช้อนลุกขึ้นเดินไปกดปุ่มข้างประตูจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียง
‘กริ๊ก’ ปลดล็อค... อ้าวเฮ้ย! จะเปิดประตูให้ใครเข้ามาในห้องก็ปรึกษากันก่อนสิเพื่อน
“คุณจันทร์กำลังทานข้าวอยู่ในครัวครับ คุณพี่ทานข้าวด้วยกันสิครับ”
ด้วยน้ำเสียงอันมีสัมมาคาราวะของไอ้โซ่ ทำให้ผมต้องรีบชะโงกคอมองไปทางประตูด้วยความสงสัย แล้วก็ได้พบว่าชีวิตของผมมันคงถึงทางตันแล้วจริงๆ ล่ะครับ
ไอ้โซ่เดินนำแขกที่ผมไม่ได้เชิญเข้ามานั่งข้างๆ ผม แถมยังตักข้าวต้มใส่ถ้วยบริหารเสิร์ฟให้อีกด้วย
“ไม่ต้องเกรงใจนะครับคุณพี่ทานให้อร่อยเลยครับ ทานกันเสร็จแล้วไม่ต้องเก็บล้างนะครับ วางไว้แบบนี้แหละเดี๋ยวผมมาจัดการเอง ยังไงผมรบกวนฝากคุณจันทร์ด้วยนะครับ”
พูดยาวยืดอย่างคล่องแคล่วแถมปิดท้ายด้วยยกมือไหว้คู่สนทนา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าได้นัดแนะกันมาเรียบร้อยแล้ว แต่จะตอนไหนเมื่อไหร่ไว้ว่างๆ ค่อยจับไอ้โซ่มาบีบคอเค้นออกมาครับ
“คุณจันทร์อย่าดื้อกับคุณพี่เค้านะครับ”
แน่ะ มีมาสั่งกันอีก สั่งเสร็จแล้วแทนที่จะอยู่เป็นเพื่อนกันต่อไอ้โซ่ดันเดินกลับเข้าห้องตัวเองทิ้งให้ผมนั่งงงเป็นหมาหงอยอยู่คนเดียว
“กินข้าวต่อสิ”
“มาได้ยังไง?”
“ก็เดินเข้ามาเมื่อกี้ไง”
ตอบกวนตีนอีกแล้วครับ ผมรู้ว่าคนตรงหน้าของผมเข้าใจคำถามว่าผมหมายความถึงไปหลอกลวงเพื่อนของผมยังไงถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ต่างหาก
“ตัวแค่นี้เหวี่ยงเก่งนะเนี่ย”
“มากกว่านี้ก็เก่ง เพราะฉะนั้นอย่ามากวนตีนบ่อยๆ”
นี่ผมกำลังพูดจริงจังนะครับ แต่คนฟังเอาแต่นั่งอมยิ้ม แบบนี้มันเรียกว่าท้าทายกันนี่หว่า
“รู้แล้วว่าเก่ง กินข้าวต่อเถอะ”
อ้าวเฮ้ย! ทำไมไม่กวนตีนต่อเล่ากำลังมันส์เลย แล้วดูสิครับมีการตักยำไข่เค็มให้ผมโดยเลือกเฉพาะแค่ไข่แดงส่วนตัวเองกินไข่ขาว คิดว่าแมนตายล่ะไอ้เสือไบหัวงูเอ้ย! คิดว่าจะได้แอ้มก้นผมง่ายๆ รึไง ชิส์ แต่... ทำไมแค่โดนเอาใจนิดหน่อยหัวใจของผมมันสั่นระริกระรี้แบบนี้ละเนี่ย
โอเคครับ ยอมแพ้กับความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจ ต่อให้ทำเป็นหยิ่งไปแต่ข้างในมันหวั่นไหวทุกที เพราะผมรู้ดีว่าคนๆ นี้คือคนที่ผมรอมานานจริงๆ
เรานั่งกินข้าวกันเงียบๆ และผมก็ปล่อยให้อีกฝ่ายตักกับข้าวใส่ถ้วยให้เรื่อยๆ จนอิ่ม ผมจึงลุกขึ้นเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วให้ตัวเองและส่งให้คนที่เอาแต่นั่งอมยิ้ม
“ถ้าจะจีบผมแบบจริงจังก็จัดการเรื่องคุณเดือนให้เรียบร้อยซะ”
จะถือว่าเป็นคำสั่งก็ได้นะเพราะผมเอาจริงครับ
“ฉันไม่เคยเป็นแฟนกับมิกิ”
“ตลก.. ไม่เป็นแฟนแต่จะหมั้นกันเร็วๆ นี้”
ขอเบ้ปากพร้อมมองบนได้มั๊ยละครับ
“มันเป็นการเข้าใจผิด”
“ยังไง?”
“ตั้งแต่ครั้งแรกฉันเคยบอกคุณรวินท์นิภาไปว่าอยากจะเจอลูกสาวของคุณ เธอก็เลยคิดว่าฉันสนใจในตัวมิกิ แต่จะพูดไปฉันก็สนใจในตัวมิกิจริงๆ นั่นแหละเพราะมิกิคือตัวแปรสำคัญที่จะนำให้ฉันได้มาพบกับเธอ.. ทซึกิ..”
“คุณหลอกใช้พี่สาวผม?”
“มันเป็นโชคชะตา”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเคลียร์ให้ผมด้วยก่อนชะตาผมจะถึงฆาต”
คิ้วเข้มขมวดอย่างไม่พอใจ ไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิดรึเปล่า
“คุณเดือนคงฆ่าผมตายแน่ๆ ที่แย่งผู้ชายของเธอ”
ดวงตาสีเข้มดูดุดันขึ้น แต่ผมกลับรู้สึกว่ากำลังถูกตัดพ้อ และมันทำให้ผมเจ็บปวดลึกๆ อยู่ภายในใจ
“แล้วเธอจะยอม... เหมือนเมื่อก่อนรึไง?”
ทั้งน้ำเสียงและแววตาทำให้ผมชาวูบไปทั้งตัว ราวกับว่าผมเคยทำอะไรผิดพลาดมาก่อน และราวกับว่า... ผมเคยทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวดจนปางตาย
“อย่าทำให้ซ้ำรอยเดิมอีก ขอแค่เธอเข้มแข็งและไม่ปล่อยมือไปจากฉัน”
อดีต หรือ ความฝันนั้น คนที่เจ็บปวดที่สุดคือผมหรือคนตรงหน้ากันแน่?
“งั้นก็จับมือไว้สิ”
ผมยื่นมือออกไปตรงหน้าโดยไม่ลังเล และในเสี้ยววินาทีผมก็เห็นแววตาอันคมกล้าวูบไหว ยามที่ฝ่ามือใหญ่อันแสนอบอุ่นโอบรัดประสานมือของผมไว้ ดวงตาของเราประสานกันแน่นิ่ง ร่างกายก็พลันสั่นสะท้านราวต้องมนต์ในมโนใต้สำนึกผมเห็นภาพผู้ชายตรงหน้าสวมชุดแบบผู้ชายญี่ปุ่นโบราณ ผมยาวปรกหน้า สวมกิหรือเสื้อผ้าดิบสีแดงเลือดนกคู่กับฮากามะหรือกางเกงสีเทาเข้มและในมือก็มือถือดาบไว้แน่น ในขณะที่ตัวผมสวมชุดกิโมโนสำหรับผู้ชายที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมเนื้อดีสีน้ำเงิน
จู่ๆ น้ำตาของผมก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ทซึกิ”
ผมรีบปาดหยาดน้ำตรงหางตา สูดลมหายใจเพื่อเรียกสติพร้อมกับยกยิ้มมุมปากให้คนตรงหน้า
“จับไว้ให้แน่นๆ ละกัน หลุดมือเมื่อไหร่ ไอ้จู๋ของคุณก็หลุดเมื่อนั้น”
กระชับมืออีกฝ่ายให้แน่นขึ้น ยักคิ้วหนึ่งที ก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบกระเป๋าผ้าเพื่อเตรียมตัวออกไปพบโลกกว้างในรั้วมหาวิทยาลัย
.
.
.
.
.
เท่าที่เคยดูหนังเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอ เวลาที่เหมยลี่กับลุงเจอกันบนรถไฟฟ้ามันก็ไม่ได้เบียดเสียดจนแทบจะได้เสียกันนี่หว่า แต่ชีวิตจริงมันแตกต่างกันเหลือเกินครับ คลื่นชีวิตมหาศาลพร้อมใจกันบดเบียดเข้ามาจนแผนหลังผมแนบแน่นไปกับผนังรถไฟส่วนด้านหน้าก็เป็นแผ่นอกของผู้ชายที่ชื่ออิเคดะยู ผมละอยากรู้จริงๆ ว่าเขาใช้น้ำหอมอะไรทำไมมันถึงทำให้จมูกของผมติดแหง็กอยู่ตรงเต้ากล้ามแน่นๆ ได้อยู่หมัด
“คุณใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไรเหรอ?”
“ทำไม?”
“ก็หอมดี”
นี่ผมพูดจริงๆ นะครับ ปกติผมไม่ชอบน้ำหอมฝรั่งเพราะมันทำให้ผมแสบจมูก แต่กลิ่นที่เขาใช้มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย
“ไว้คืนนี้มาที่ห้องสิ”
“ห้อง?”
“หนึ่งแปดศูนย์เก้า”
ขอใช้ความคิดนิดนึงครับ ผมอยู่ห้องหนึ่งแปดศูนย์แปดแล้วพี่เขาอยู่หนึ่งแปดศูนย์เก้า อืม.. ชัดเจนเห็นแจ้งเลยครับ
“นี่กะตามจีบผมจริงจังถึงขนาดมาอยู่ห้องฝั่งตรงกันข้ามเลยเหรอ?”
“จะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอด้วย”
“เฮ้ย! เอาจริงดิ”
ตกใจจริงๆ นะครับ แต่ระดับดวามดังของน้ำเสียงไม่ได้เว่อร์วังอะไรหรอกเพราะอยู่ในที่สาธารณะ เพราะฉะนั้นเอาแค่ได้ยินมุ้งมิ้งกันสองคนก็พอ
ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้ ใกล้มากจนผมเริ่มระแวงกลัวจะมีใครแอบถ่ายคลิปพวกเราไปลงโซเชียลแบบที่เห็นในข่าวบ่อยๆ ยิ่งตอนนี้ผมใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศซะด้วย มันไม่ดีไม่งามครับอย่าทำตามเชียวนะ ผมจึงต้องใช้มือดันหน้าอกกว้างเอาไว้ แล้วเอียงหน้าหลบ ให้ใบหูสัมผัสลมหายใจอุ่นพร้อมคำกระซิบชวนสยิว
“เอา.. จริงสิ”
แจ่มแจ้งขนาดนี้จะให้ผมแก้ผ้าตรงนี้เสียเลยดีมั๊ยครับ และเพื่อไม่ให้ใจเตลิดเลยเถิดไปมากกว่านี้ผมควรดึงสติกลับมาอย่างไว
“มาตามจีบเด็กแบบนี้งานการไม่ทำบ้างรึไง?”
“ถ้าไม่ทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปเป็นสินสอดขอลูกชายเขาล่ะ”
เอาเข้าไปสิ หยอดได้เป็นหยอด ผมล่ะอยากจะรู้จักคนสอนภาษาไทยคุณเขาจริงๆ
“รู้ไว้ก็ดี ผมน่ะหลานรักลูกรัก”
จะบอกให้พ่อต้อมเรียกให้หนักเลยคอยดู
“อ่อ คุณแม่กับคุณเดือนไม่ยอมง่ายๆ แน่”
“อีกไม่นานเธอคงต้องรับมือ”
“แล้วคุณจะช่วยผมยังไง?”
“เธอคือคนของฉัน ทซึกิ.. ขอแค่เธอเข้มแข็งและเชื่อใจฉัน.. แค่นั้น”
อีกแล้วครับ น้ำเสียงและแววตาสะท้อนความผิดหวัง ผมชักจะเริ่มมั่นใจแล้วว่า
‘ทซึกิ’ ในอดีตคงได้ทำอะไรบางอย่างที่ทำร้ายจิตใจผู้ชายตรงหน้าผมแน่นอน ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ทำร้ายคุณอิเคดะยู แต่เป็นคุณอิเดะยูในอดีตต่างหาก
“ผมไม่ใช่ทซึกิ.. แต่ผมคือศศิน คุณเรียกผมว่าจันทร์ก็ได้ และจันทร์คนนี้ก็จะไม่เป็นเหมือนทซึกิคนนั้นหรอกนะ”
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้พูดแบบนี้ออกมา อาจจะเป็นใต้จิตสำนึกหรือเพราะผมไม่ใช่ทซึกิคนเดิมอีกต่อไป
“จันทร์”
ดวงตาสีเข้มกลับมาส่องประกายคมกล้าเช่นเดิม และผมก็ชอบเสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกชื่อผมจริงๆ
“พี่ยู”
“หืม?”
ใบหน้าคมเอียงคอน้อยๆ พร้อมอมยิ้มเหมือนไม่เชื่อว่าได้ยินสรรพนามที่ผมเพิ่งเปล่งเสียงออกไป ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่ามันทั้งหล่อและน่ารักจนใจสั่นริกๆ เลย ผู้ชายตัวโตๆ คิ้วเข้มหน้าดุ๊ดุจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย
“อ อีกนานมั๊ยกว่าจะถึง?”
หลบตาแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไวก่อนที่ผมจะระทวยไปมากกว่านี้
“สถานีสุดท้าย ประมาณอีกยี่สิบนาที”
“ส่งจันทร์เสร็จแล้วพี่ยูจะกลับเลยมั๊ย?”
แน่ะ ยิ้มอีกแล้ว กะอีแค่เรียกแทนตัวว่าจันทร์กับพี่ยูแค่เนี๊ยะต้องยิ้มใหญ่เบอร์นี้เลยเหรอ?
“จะมารับ?”
แกล้งถามไปแบบนั้นแหละครับ รู้หรอกว่าต้องทำงาน
“ต้องไปทำงานต่อสินะ”
อีกฝ่ายพยักหน้า
“แล้วพี่ยูไปทำงานยังไง นั่งรถไฟฟ้าไปแบบนี้อีกนะเหรอ?”
“มาซารุเอารถมารับ”
“มาซารุ?”
“ลูกน้องคนสนิท”
แหม ต้องมีคำว่า
'คนสนิท' ต่อท้ายด้วยนะ
“สนิทแค่ไหนแล้วหล่อมั๊ย?”
“หึง?”
“แล้วจันทร์มีสิทธิปะละ?”
คำตอบคือรอยยิ้มและการพยักหน้า ผมนี่ยิ้มแฉ่งเลย
“เธอไม่ใช่ทซึกิจริงๆ”
“ไม่ใช่ทซึกิแล้วไงล่ะ? ไม่ชอบแล้ว?”
“ชอบมากกว่าเดิมต่างหาก”
บ้าไปแล้ว.. แต่ที่บ้าหนักสุดคือตัวผมเองนี่แหละ แค่โดนหยอดนิดหน่อยก็ยิ้มแก้มแทบจะแตก
ด้วยความเขินผมเลยแกล้งจิ้มกล้ามเนื้อตรงหน้าท้องไปจึกๆ รู้เลยครับว่าคนตรงหน้าออกกำลังกายเป็นประจำอย่างแน่นอน เราทั้งคู่เงียบกันไปครู่หนึ่ง เสียงประกาศแจ้งสถานีดังขึ้น ผู้คนเริ่มขยับตัว เมื่อรถไฟฟ้าจอดสนิท บานประตูฝั่งซ้ายเปิดคนที่อยู่ด้านในก็ทยอยออก คนที่อยู่ด้านนอกก็เบียดกลับเข้ามา และตอนนี้ผมใกล้จะเป็นกล้วยทับแล้วล่ะครับ แนบสนิทชิดเชื้อแบบมีเสื้อผ้ากั้นกับคนตัวโตซะจนต้องใช้แขนตัวเองโอบรอบเอวสอบเอาไว้ ความสูงของผมอยู่ในระดับแผงอกอันแข็งแรงด้วยความอยากรู้ผมจึงแอบขยับหูแนบฟังเสียงจังหวะหัวใจสักหน่อย หึหึหึ ตกลงผมเป็นเกย์ใช่มั๊ยครับเนี่ย???
“มีหนึ่งคำถาม”
กำลังสับสนใจเพศของตัวเองอยู่ดีๆ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มจรุงหัวใจ
“ว่า?”
เงยหน้าขึ้นมองตาปริบๆ แม่จ้าวเว้ยย-- เพิ่งเห็นข้อดีของความเตี้ยก็วันนี้แหละครับ มุมเสยแบบที่อีกฝ่ายก้มลงมามองมันดีต่อหัวใจเหลือเกิน
“เธอจำฉันได้ตั้งแต่ครั้งแรกใช่มั๊ย?”
จะตอบว่าไงดีล่ะครับ ในฝันผมก็เห็นแค่ดวงตา จำได้แค่ดวงตาเท่านั้น และตอนนี้ผมก็กำลังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอยู่
“ในความฝันผมอ่านความหมายในดวงตาคุณไม่ออก”
“เพราะทซึกิ.. เกลียดและโกรธฉัน”
“เกลียดและโกรธ?”
“สักวันเธอจะรู้คำตอบนั้นเอง”
ผมไม่รู้หรอกครับว่าสักวันนั้นมันคือวันไหนและเมื่อไหร่ เอาไว้เป็นเรื่องของอนาคตละกันครับ
“อย่าพูดถึงทซึกิอีกเลย พูดถึงพี่ยูกับจันทร์ดีกว่า”
ยิ้มจนตาปิดแก้เขินให้เลยครับ
“อยากรู้เรื่องอะไร?”
“ทุกเรื่องของอิเคดะยู”
“คืนนี้จะเล่าให้ฟัง”
“ห้ามมอมเหล้าจันทร์นะ โนแอลกอลฮอล์โอเค๊?”
“โอเค”
โดนหยิกแก้มด้วยครับ ให้ตายเถอะ เขินจนตัวจะแตกแล้วเนี่ยเมื่อไหร่จะถึงสักที แต่จะว่าไปอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ มันอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยไม่มีความตะขิดตะขวงใจเลยสักนิดอย่างกับว่าเราทั้งคู่รู้จักกันมานาน
.
.
.
.
.
หลังจากส่งผมจนถึงหน้าคณะ กิจกรรมมากมายที่ถูกเตรียมไว้สำหรับน้องใหม่ก็ทำให้ผมเกือบปรับตัวไม่ทัน โดยเฉพาะเพื่อนร่วมคณะที่ผมคิดว่าคงจะเป็นลูกชาวสวนหลานเกษตรกรแบบผมแต่ที่ไหนได้ครับ 90% เป็นเด็กในเมืองกรุงนี่แหละ ยังสับสนว่าวัวคือควายกันอยู่เลย และยิ่งกว่านั้นเมื่อนับรวมกันแล้วประชากรในคณะโดยส่วนใหญ่ก็ยังเป็นสตรีเพศมากกว่าบุรุษเพศอีกนะครับ แต่ถึงยังไงไอ้จันทร์หลานครูเอี่ยมก็ยังคงเป็นคนเดิม แม้ใครจะมองด้วยสายตาชื่นชมในความบ้านนอกคอกนาแต่มันกลับทำให้ผมภูมิใจตรงที่ว่าผมเลือกเรียนในสิ่งที่ผมสามารถจะนำความรู้กลับไปพัฒนาบ้านเกิดได้จริงครับ
เช้ายันเย็นกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยวันแรกเล่นเอาผมหมดสภาพเลยครับ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพียงแค่เดินมาถึงหน้าคณะและได้เห็นหน้าของคนที่ทำตามสัญญา บอกว่าจะมารอรับกลับผมก็หายเหนื่อยเลยละครับ
“อย่าบอกนะว่านั่งรอทั้งวัน”
คนฟังหัวเราะในลำคอพร้อมส่ายหน้า
“บอกแล้วไงว่าต้องไปทำงานหาเงินค่าสินสอด”
ผมขอชื่นชมอีกฝ่ายอยู่ในใจเพราะถ้าขืนพูดออกไปกลัวว่าจะทำให้ได้ใจครับ
“วันนี้คงเหนื่อยทั้งวัน เปลี่ยนเป็นนั่งรถกลับมั๊ย?”
ฝ่ามือใหญ่ลูบหัวของผมอย่างอ่อนโยน และผมก็รู้ครับว่ารถส่วนตัวพร้อมคนขับของคุณชายอิเคดะมันหรูหราขนาดไหน แต่วันนี้ขอปฏิเสธก่อนละกันครับ
“ไม่เหนื่อยรึไง?”
ใบหน้าคมก็จุดรอยยิ้มละลายหัวใจ
“เหนื่อยครับ แต่ถ้าจันทร์นั่งรถพี่ยูกลับแล้วถ้าวันไหนพี่ยูไม่ได้มารับจันทร์จะกลับที่พักยังไง สอนมาแล้วต้องสอนขากลับด้วยสิ”
เหตุผลของผมฟังแล้วสมน้ำสมเนื้อใช่มั๊ยครับ แต่ทำไมผมได้ยินเสียงคุณเดือนด่าว่า
‘แร่ดสิ้นดี!’ ดังแว่วอยู่ในหัวก็ไม่รู้ หึหึ
และเราก็เดินทางกลับด้วยการใช้บริการรถไฟฟ้ามหานครอีกเช่นเคย ขามาว่าคนเยอะแล้วขากลับนี่หฤโหดมากกว่าอีกครับ เบียดเสียดอัดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋องอย่างที่ผมต้องการให้เป็น หึหึหึ แต่อย่างที่บอกว่าผมมีบอร์ดี้การ์ดส่วนตัวเพราะฉะนั้นต่อให้ความอึดอัดยัดเยียดมีมากแค่ไหนผมก็ยังสามารถยืนหลับคอพับคออ่อนซบหน้าอกแน่นๆ ชนิดที่ว่าไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดจนถึงปลายทาง เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าผมจะได้ไปนั่งดมน้ำหอมในห้องฝั่งตรงกันข้ามรึเปล่า เพราะถึงห้องพักปุ๊ป ได้อาบน้ำจนสบายตัวและกินข้าวจนอิ่ม ดังนั้นแค่หัวถึงหมอนผมก็หลับเป็นตายจนยันเช้าเลยครับ
.
.
.
.
.
.
TBC..
น้องจันทร์อย่าใจง่ายสิลูกกกกก อย่าใจง๊ายยยยยย ***เสียงจากรินเอง ฮ่าาาาา