
********************************************************************************
ตอนที่ 54
“...........อะไร”ผมไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นคำถามแบบไหน เพราะทั้งไม่แน่ใจว่ามันนั่งอยู่จริงหรือเปล่า ไม่รู้ว่าเข้ามาทำไม ไม่รู้ว่าต้องการอะไร แล้วผม...ควรทำอย่างไร
“....นุบอกแล้วใช่มั้ยว่าจะกลับพรุ่งนี้”
“อืม”ผมตอบในลำคอเบาๆ แล้วพยักหน้าเสริมอีกที
“แล้วจะเอายังไง”
“ห๊ะ!”
“จะกลับไปพร้อมกันหรือเปล่า”
“... เปล่า”ผมตอบพลางนึกแปลกใจตัวเองที่ไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย แต่นั่นอาจเป็นเพราะผมอยากอยู่กับแม่ก็ได้ ผมว่าที่น่าแปลกใจกว่าความคิดผมก็คือความคิดมันนี่ล่ะ นึกยังไงถึงได้ถามผมแบบนี้
“.....อย่าล็อคห้องล่ะ เดี๋ยวมานอนด้วย ไม่มีที่นอน”
“เฮ้ย! แล้วบ้านคุณล่ะ”ผมจำได้ว่ามันมีสองห้องนอนนะ
“จะให้นอนฟังเสียงพวกนั้นทั้งคืนรึไง”
“........”ไม่อยากจะย้อนถามเลยว่าเสียงอะไร แล้วบ้านพักแบบนั้นก็คงไม่เก็บเสียงเสียด้วยสิ
“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะตายหรอก ทำอย่างกับไม่เคยนอนด้วยกัน ถ้าคิดจะปล้ำน่ะปล้ำตั้งแต่อยู่คอนโดไปแล้ว”
“.......”ที่เงียบนี่ไม่ใช่เห็นด้วยนะครับ แต่รู้สึกเหมือนถ้าพูดมากกว่านี้ผมอาจจะอ้วกออกมา แค่ยืนให้ตรงก็ยากแล้ว
“เมา ก็มานอน”มันพูดจบก็ลุกออกไป ส่วนผมก็เดินเซๆ มาล้มตัวนอนบนเตียง แต่รู้สึกเหมือนมึนหนักยิ่งกว่าเก่า ผมอยากจะเถียงคำพูดที่ว่า’คิดจะปล้ำ’ของมัน เพราะความจริงแล้วมันไม่ได้แค่คิด แต่มันเคยทำไปแล้วต่างหาก ผมควรจะไปขอนอนกับแม่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง หรือผมควรจะล็อคห้องแล้วหาอะไรมาดันประตูไว้....ผมก็แค่คิด ไม่รู้ทำไมทั้งๆ ที่รู้สึกมึนขนาดนี้ก็ยังคิดจะเชื่อคำพูดของมัน....ทุกอย่างคงสรุปได้เพียง เหตุผลเดียวคือ...ผมเมา
ผมนอนหลับไปสักพักก็เริ่มรู้สึกอึดอัด ขยับตัวไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงคิดว่าถูกผีอำ แต่เพราะเคยรู้สึกแบบนี้ว่าแล้วเลยตัดความคิดนั้นออกไปได้ และแน่นอนว่าทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมาสิ่งแรกที่เห็นคือหน้าของอีกคน
"นอนนิ่งๆ สิ"เมื่อผมเริ่มขยับตัวเพียงเล็กน้อย เจ้าของอ้อมกอดที่ถือวิสาสะก็เริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความรำคาญ
"ออกไป"
"พรุ่งนี้นุก็กลับแล้ว จะนอนอยู่ห้องนี้ต่อรึเปล่า"มันพูดพร้อมกับปิดเปลือกตาลง
"ไม่นอนที่นี่แล้วจะนอนที่ไหนล่ะ"
"ก็ให้กุญแจบ้านไปแล้วไง"
"....ทิ้งไปแล้ว"
"ไม่ได้อยู่ในลิ้นชักหัวเตียงหรอกเหรอ"
"....จะนอนก็นอนเฉยๆ ถอยออกไปห่างๆ ด้วย"
" ก็ไม่ได้กอดแน่นนี่ ไม่ถอยออกไปเองล่ะ"มันพูดจบผมถึงได้รู้สึกตัวว่าวงแขนที่รัดแน่นในตอนแรก คลายออกไปมากแล้ว ผมรีบถอยห่างออกไปจนสุดขอบเตียง มือที่เคยกอดไว้ก็เลื่อนออกจนหลุดไปจากตัว มันนอนหลับตานิ่ง ไม่ได้พยายามยื้อยุดหรือแสดงอาการอะไรอีก ผมมองผ่านความมืด อาศัยแสงไฟสลัวๆ จากด้านนอกทำให้เห็นใบหน้าอีกคนอย่างเลือนลาง ผมเชื่อว่ามันคงเมามาก ถึงคำพูดและน้ำเสียงไม่อ้อแอ้เหมือนคนเมา แต่...การที่ผมยังรอดปลอดภัยนี่สิที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น ผมค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเตรียมก้าวลงจากเตียง หากไม่มีมือของคนเมามาจับไว้ก็คงลุกออกจากห้องไปได้แล้ว ตกลงแล้วมันเมาจริงหรือแกล้งเมากันแน่
ผมนั่งพิงหัวเตียงหลังจากที่ พยายามแกะมือมันออกแต่ก็ทำไม่สำเร็จ คนเมาที่แข็งแรงกว่าผมทำให้รู้สึกหงุดหงิด จะเรียกว่าใช้กำลังบังคับก็...ไม่ใช่เสียทีเดียว นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้มองหน้ามันชัดๆ เป็นครั้งแรกที่นั่งนิ่งโดยไม่ได้คิดอะไรอยู่ในหัว...ทั้งๆ ที่มีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย แต่...มันเหนื่อย เหมือนเป็นหลงอยู่เส้นทางที่ไม่มีทางออก ทางออกที่เตรียมไว้นั้นก็ไม่สามารถเดินเข้าไปหาได้เพราะอุปสรรคหลายอย่างที่คาดไม่ถึง ทางออกใหม่ไม่สามารถเรียกได้ว่าทางออก เพราะมันมีปัญหาตามมาเมื่อต้องเลือกทางออกที่มีมากกว่าหนึ่ง....ไม่ว่าทาง ไหน....ก็ไม่ดีทั้งนั้น
รุ่งเช้าหลังจากที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในท่า เดิมที่เผลอนั่งหลับ ผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลุกออกมาช่วยแม่กับแม่บ้านเตรียมอาหาร ความจริงเรียกว่าผมเป็นลูกมือให้แม่บ้านเสียมากกว่า เพราะแม่ไปเตรียมของฝากให้กับพวกที่จะกลับวันนี้ แม่ถามว่าผมจะอยู่ถึงเปิดเทอมเลยใช่มั้ย และผมตอบว่าใช่ เพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ผมไม่รู้ว่าคำถามเหล่านี้มีคำตอบให้ด้วยหรือ ในเมื่อผมไม่มีที่ของตัวเองให้กลับ และก็เชื่อด้วยว่าต่อให้อยากกลับ...ก็คงไม่สามารถกลับไปคนเดียวได้
"ตื่นเช้าจริงนะหนู"ป้าภาเดินเข้ามาในครัวหลังจากไปเดินออกกำลังกายด้านนอกมาเกือบชั่วโมง
"แม่หัดตั้งแต่เด็กน่ะครับ แล้วคุณป้าออกไปวิ่งอย่างนี้ทุกวันเลยหรือครับ"
" ไม่หรอกจ๊ะ ส่วนมากต้องรอให้ตานพบ่นก่อนถึงค่อยทำ รายนั้นชอบจู้จี้เรื่องของกินบ้างล่ะ ออกกำลังบ้างล่ะ ป้าล่ะปวดหัว รู้งี้ไม่ให้เรียนหมอก็ดีหรอก"
"พี่นพคงรักคุณป้ามากน่ะครับ แต่นี่พายว่าคุณป้าก็ดูแข็งแรงดีออก ดูสุขภาพดีกว่าแม่พายตั้งเยอะ ป้าน่าจะชวนแม่ออกกำลังกายเป็นเพื่อนนะครับ"
"พายไม่รู้อะไร แม่เราน่ะว่าป้าทุกทีที่ชวน อ้างว่าเดินตลาดเหนื่อยกว่าเดินในรีสอร์ท จะแลกงานกับป้าทุกที ป้าไม่เอาด้วยหรอก"ป้าภาพูดไปหัวเราะไป ผมก็พอจะเข้าใจนะครับ เดินเฉยๆ ย่อมสบายกว่าเดินหิ้วของหนักๆ อยู่แล้ว
"แล้วนี่แม่เราเขาไปไหนล่ะ"
"ไปเตรียมของฝากครับ"
"อ้อ...จู้จี้จุกจิกเหมือนเดิม เจ้าตั้มน่ะพาแม่เรามาอยู่เพื่อเป็นเพื่อนคุยกับป้า แต่นี่ดูสิ ป้าต้องคอยตามหาตัวอยู่เรื่อย"
" แม่ก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ ตั้งแต่เด็กพายไม่เคยเห็นแม่หยุดทำงานเลยสักครั้ง อย่างน้อยๆ ถ้านั่งดูละครก็ยังต้องหยิบเสื้อมาเย็บไปด้วย ก่อนทำกับข้าวก็จะเอาผ้าไปแช่ไว้เตรียมซัก พายเห็นตั้งแต่เด็กจนชินแล้วล่ะครับ"ผมนึกถึงเมื่อตอนที่ยังได้อยู่ด้วยกัน แม่ชอบทำอะไรสองอย่างพร้อมกัน ถ้าทำไม่ได้ก็จะให้ผมช่วย กินข้าวเสร็จแม่ก็ไปซักผ้า ผมก็กวาดบ้านถูบ้านล้างจาน หลังจากช่วยแม่ตากผ้าเสร็จพื้นบ้านก็แห้งพอดี
ผมยกจานอาหารไปตั้ง โต๊ะไว้รอป้าภาที่ไปอาบน้ำ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันตื่นขึ้นมา พวกทีมงานที่จะกลับวันนี้คงออกเดินทางแต่เช้า เห็นว่าจะแวะเที่ยวแถวๆ นี้กันก่อน นุเดินอมยิ้มแกมเขินเข้ามาหาผมก่อนจะขอตัวไปเก็บของในห้อง ความจริงผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่านุกับพี่นัทชอบกัน ผมเชื่อว่านุไม่ได้เคารพมันแบบที่พูดกับผม ความเคารพที่มีให้คนหนึ่งคนคงไม่ทำให้ทำร้ายเพื่อนสนิทได้ลงหรอก สีหน้าแววตาที่ผิดหวังและเสียใจในวันนั้นของนุยังคงชัดเจน แต่ก็ต้องยอมรับผม...การเห็นนุกับพี่นัทอยู่ข้างๆ กันดูจะเหมาะสมมากกว่าตอนที่อยู่กับมัน นุเป็นคนหัวอ่อน มักโดนใครต่อใครหลอกเอาง่ายๆ และเลือกที่จะทนอยู่เสมอ ขณะที่พี่นัทก็ดูใจดี ถึงแม้บางครั้งจะแสดงท่าทีแปลกๆ กับผมในช่วงแรก แต่ก็ไม่มีอะไร หากพันธะของพี่นัทหมดลงเร็วๆ ผมคงยินดีกับนุมากกว่านี้
"ไว้กลับไปเมื่อไหร่นุจะไปเยี่ยมบ่อยๆ นะ โทรหาบ้างนะ นุยังเป็นห่วงพายเสมอนะ"นุยืนจับมือผมไว้ คนอื่นๆ เริ่มทยอยกับเก็บของขึ้นรถ
"พายก็เป็นห่วงนุนะ ถ้าพี่นัทเขายังหย่าไม่สำเร็จนุก็เผื่อๆ ใจไว้ก่อนนะ พายไม่อยากให้ไปยุ่งมากน่ะ กลัวอีกฝ่ายเขาตามมาหาเรื่อง"
" นุเข้มแข็งขึ้นมากแล้วล่ะ พายไม่ต้องห่วง อีกอย่างถ้าพี่นัททำอะไรไม่ดีนุก็จะฟ้องพี่ตั้ม ให้พี่ตั้มจัดการให้หมอบเลย"นุพูดเหน็บพี่นัทที่ยืนอยู่ไม่ห่าง และท่าทางจะได้ยินทุกคำ
"อืม ไว้กลับไปเมื่อไหร่จะแวะไปหาแล้วกันนะ ขึ้นรถเถอะ"ผมยกมือขยี้หัวนุเบาๆ และได้รับเป็นเสียงหัวเราะกลับมา
ผม ยืนมองรถที่เลี้ยวลงไปจากบ้านจนหายลับไป ยอมรับว่าใจหายเมื่อถึงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวจริงๆ ถึงจะมีแม่อยู่ด้วย แต่แม่ก็ไม่ได้ว่างคุยกับผมตลอดเวลา และ...ผมก็ไม่สามารถคุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง ก่อนหน้านี้ผมพยายามทำตัวห่างกับนุ ด้วยเหตุผลที่ให้กับตัวเองว่านุไม่เข้าข้างผม และพยายามพูดให้ผมคล้อยตามเหตุผลของนุอยู่บ่อยๆ แต่พอต้องอยู่คนเดียวจริงๆ กลับรู้สึกอึดอัด ซึ่งความเป็นจริงแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรน่าอึดอัดเลย บรรยากาศดี ผู้คนรอบข้างก็ดี แถมมันก็ไม่เข้ามายุ่งอะไรกับผมด้วย แต่...ผมก็ยังรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดอยู่ดี
วันนี้ทั้งวันผมใช้เวลา ว่างด้วยการนั่งดูหนังกับพี่หน่อย ส่วนพี่นพเริ่มกลับไปทำงานเต็มที่หลังจากหยุดมานาน อีกสองวันพี่หน่อยก็จะกลับแล้วเหมือนกัน ตอนแรกผมคิดว่าเวลาที่เหลือคงน่าเบื่อน่าดู แต่ไม่เป็นอย่างนั้นอีกเมื่อพี่นพขอให้ช่วยตรวจบัญชีของคลีนิค ผมเองก็เต็มใจช่วยเพราะยังไม่ได้ตอบแทนตั้งแต่คราวที่ให้พี่หน่อยเป็นที่ ปรึกษา และอีกงานที่ป้าภาขอร้องให้ผมช่วยทำก็คือ...ดูแลเรื่องอาหาร ซึ่งความจริงแล้วผมไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะปกติก็คอยช่วยแม่อยู่แล้ว แต่นี่เห็นบอกว่าทางครัวที่ร้านหน้าไร่มีปัญหา แม่ครัวลาพักระยะยาว แม่ผมเลยอาสาไปทำแทน ผมเลยต้องรับหน้าที่นี้คนเดียว
เช้าวันแรกของ การทำหน้าที่ค่อนข้างสบายเพราะเครื่องปรุงและส่วนประกอบอื่นๆ มีเหลือเฟือสำหรับสามวัน แต่ที่แย่...และลำบากที่สุดก็เป็นเรื่อง...ปิ่นโต ผมไม่เคยสังเกตุว่ามันไม่ค่อยเข้ามากินข้าวในบ้านนี้ มีเพียงบางมื้อเท่านั้นที่จะแวะมา ส่วนใหญ่แล้วจะมีคนงานเอากับข้าวจากที่นี่แบ่งไปส่งที่บ้านหลังนั้น และตอนนี้...ผมต้องทำหน้าที่นั้น
ผมยืนอยู่หน้าบ้านหลังจากเคาะประตู เรียกอยู่นานแต่ยังไม่มีคนลุกมาเปิด เดาเอาว่าคงไม่อยู่หรือไม่ก็ยังไม่ตื่น กุญแจที่ถูกยัดเยียดมาได้ใช้ประโยชน์เป็นครั้งแรก คราวก่อนที่มาผมไม่ได้สังเกตุอะไรมากมาย แต่พอดูดีๆ ถึงรู้ว่าบ้านหลังนี้...เหมือนห้องพักเสียมากกว่าบ้าน ข้าวของส่วนตัวน้อยชิ้น แต่คงไม่แปลกอะไรผมช่วงก่อนหน้านี้ผมก็เห็นมันค้างที่คอนโดตลอด นานๆ กลับมาทีเลยต้องเคลียร์งานที่ค้างไว้เลยไม่มีเวลามายุ่งกับผม
"เข้ามาด้อมๆ มองๆ อะไร"เสียงพูดจากเจ้าของบ้านทำให้ผมชะงักมือที่กำลังเทกับข้าวใส่จาน
"เอาข้าวมาส่ง"ผมตอบกลับโดยไม่หันไปมอง คาดว่าจะยืนอยู่ไม่ห่างจากผมเท่าไหร่
"รู้แล้ว แม่ใหญ่บอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว"
"ที่ไหนมี Internet ให้ใช้บ้าง"
" จะทำอะไร"มันเดินมาเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ผมเลื่อนจานชามที่เทเรียบร้อยไปไว้ตรงหน้า เพื่อให้คนที่พร้อมลงมือกินได้หยิบจับสะดวกๆ
"ต้องลงทะเบียนของเทอมสอง"
"มาใช้ที่นี่ก็ได้ อยู่ในห้องนอนน่ะ"
"....ที่อื่นไม่มีเหรอ"
"ไม่มี จะใช้ก็มาใช้ที่นี่ แล้วต้องจ่ายค่าเทอมยังไง โอนเข้าธนาคารเหรอ"
"อืม เดี๋ยวไปโอนแถวตลาดก็ได้"
"มีเงินรึไง อย่าบอกนะว่าไปเอากับน้าพิมพ์"
"ใช่ ทำไม เอาไม่ได้เหรอ"
"น้าพิมพ์เขาไม่ได้เงินเดือนเยอะแยะอะไร จะไปแย่งเงินเดือนแม่ตัวเองทำไม จะไปโอนวันไหนก็บอกเดี๋ยวพี่พาไป"
" ไม่ต้อง ไปเองได้ อีกอย่างเงินที่ให้น่ะ...ก็เอามาจากบัญชีคุณน่ะแหล่ะ"ผมพูดจบก็เก็บปิ่นโต แล้วเดินออกมา ได้ยินเสียงตะโกนตามหลังว่าจะพาไปธนาคารเอง ไม่ว่ายังไง...มันก็ยังชอบบังคับเหมือนเดิม
กิจวัตรประจำวันของผมวน เวียนกันซ้ำๆ เช้าก็ไปตลาดพร้อมกับแม่ กลับมาทำอาหาร จัดบางส่วนใส่ปิ่นโตไปให้บ้านเล็ก และมักจะเจอมันหลังจากผมเข้าไปยืนอยู่ในครัวเพื่อเทอาหาร หลังจากนั้นก็กลับมานั่งทำบัญชีให้พี่นพ และมีของพี่หน่อยเพิ่มมาหลังจากที่พี่หน่อยกลับไปแล้วส่งแฟ็กซ์มาให้ ทำอาหารกลางวันแล้วก็นั่งทำบัญชีต่อ ทำอาหารเย็นแล้วก็ใส่ปิ่นโตไปเทไว้ให้พร้อมกับล้างจานที่มันกินเสร็จเมื่อ เช้า พอล้างจานเสร็จมันก็กลับมาพอดี บทสนทนามักเป็นไปด้วยคำถามเกี่ยวกับกิจกรรมในวันนั้น แต่ก็ถามตอบไม่เกินสามคำผมหรือมันก็ต้องมีอันให้พูดกระทบกระทั่งกันทุกครั้ง
"บอกไม่ฟัง บอกแล้วว่าเดี๋ยวพาไปเอง จะได้เก็บเงินนั่นไว้ใช้อย่างอื่น"
"ก็วันนี้ว่าง ไม่อยากรอ"
"ดื้อเหมือนที่น้าพิมพ์บอกไม่มีผิด แล้วออกไปจากไร่ยังไง"
"ติดรถพนักงานที่รีสอร์ทออกไป"
" มันเรื่องอะไรต้องไปขอความช่วยเหลือคนอื่นเนี่ย ทีหลังจะไปไหนมาไหนก็โทรไปตามสิ อยู่ใกล้กันแค่นี้ หรือว่าต้องเฝ้าไว้เหมือนเมื่อก่อน"
"กลัวตายล่ะ ลองทำอะไรอีกผมจะไปบอกป้าภากับพี่นพ"ผมกล้าพูดแบบนี้เพราะรู้แล้วว่ามันเกรง ใจสองคนนี้มากๆ พี่นพถึงจะดูใจดีและสุภาพ แต่หลังจากได้พูดคุยกับคนงานและแม่บ้านอีกคนแล้วก็รู้ว่าไม่จริงเลย พี่นพเป็นคนดุมาก และค่อนข้างเรียกว่าโหดได้เลย เห็นบอกว่าคุณลุงเสียไปตั้งแต่พี่นพยังวัยรุ่น อายุแค่นั้นต้องคุมคนงานและไร่ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ก็มีผ่านเรื่องราวมาเยอะ รวมถึงป้าภาด้วย แต่ยังไงทั้งสองคนก็ยัง....ดีกว่าอีกคนเยอะ
"แม่ไม่ไปไม่ได้เหรอ"ผม หนุนนอนบนตักแม่แล้วถามเชิงอ้อนวอนเมื่อรู้ว่าแม่กับป้าภาจะไปแจกการ์ดอีก แล้ว คราวไปแถบๆ จังหวัดที่ติดทะเลาหลายจังหวัด กว่าจะกลับมาผมก็คงเปิดเทอมแล้ว
"ไม่ได้หรอก จะให้แม่ทิ้งป้าภาไปได้ไง"แม่พูดปนหัวเราะเมื่อเห็นผมงอแงเหมือนเด็กอีกครั้ง
"งั้นพายไปด้วย"
"ดูพูดเข้า จะไปได้ไงกัน อาทิตย์หน้าก็เปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ก็พายไม่อยากอยู่คนเดียวนี่"
" คนเดียวที่ไหน พี่ตั้มก็อยู่ พี่นพก็อยู่"แม่พูดสองชื่อนั้นมาก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกผมดีขึ้นแล้ว รายแรกผมแทบจะหลบหลีกตลอดเวลาที่ทำได้ อีกรายผมก็ไม่ได้สนิทพอจะเข้าไปพูดคุยหยอกล้อ แต่ถึงจะอ้อนยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้ผมตามไป แถมก่อนขึ้นรถยังฝากฝังผมไว้กับมัน ป้าภาก็บอกให้อยู่ด้วยกันดีๆ อย่าทะเลาะกัน ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ เปิดปากคุยกันเมื่อไหร่ก็เถียงกันประจำ
" ถ้าเบื่อจะมาเล่นเน็ตที่นี่ก็ได้ งานบัญชีสองคนนั้นเขาไม่เร่งหรอก"มันพูดขณะทานอาหารเย็น ส่วนผมกำลังยืนล้างจานชามที่ค้างจากเมื่อเช้า
"ปกติก็ไม่ค่อยเล่นอยู่แล้ว ไม่รู้จะเล่นอะไร"
"ไม่เล่นเอ็มเหมือนคนอื่นๆ เหรอ ขนาดพวกพี่ยังเล่นกันเลย"
"ไม่มีเวลาเล่น ปกติเรียนเสร็จก็ทำงาน ว่างก็อ่านหนังสือ ทิวเคยสมัครเมลล์ให้แต่ก็ไม่ได้เล่นเลยสักที"
"พูดถึงมันทำไม คิดถึงรึไง"นี่ไง พูดกันได้ไม่กี่ประโยคก็เริ่มหาเรื่องทะเลาะกับผมอีกแล้ว
"ก็...คิดถึง"
"พาย!!!"
"นี่คุณรักผมจริงๆ น่ะเหรอ อาการแบบนี้คือหึงใช่มั้ยเนี่ย"ผมถามกลับโดยพยายามข่มอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองไว้
".....เคยพูดเล่นด้วยเหรอ"
" นั่นสิ...แต่ผมก็คิดถึงทิวจริงๆ นะ ถึงจะไม่ได้พูดออกมาเท่าไหร่แต่ก็นึกถึงตลอด ผมเองก็ยังงงตัวเองเหมือนกัน แค่พูดชื่อทิวก็รู้สึกคิดถึงมากๆ ขึ้นมาเลย"ผมพูดเหมือนเพ้อ แต่มันคือความรู้สึกของผมจริงๆ นานแล้วที่ไม่ได้ติดต่อกันเลย ไม่ได้ข่าวคราวเลย เกือบสี่ปีที่รู้จักกันมา เราไม่เคยต้องห่างกันนานขนาดนี้
"พูดแบบนี้หมายความว่าไง"ผมได้ยินเสียงวางช้อนเลื่อนจานดังจากด้านหลัง ท่าทางโมโหแบบนี้ก็เริ่มชินเสียแล้ว
" ไม่ได้พูดประชดคุณหรอกน่ะ ผมพูดเพราะรู้สึกจริงๆ ผมรู้จักทิวมานานนะครับ และตลอดเวลาเราก็ไม่เคยห่างกันเลย ถึงไม่ได้เจอหน้าทิวก็ยังโทรหาผมตลอด"
"......อยากเจอมันงั้นสิ"
"....... ไม่รู้เหมือนกัน...เหมือนกับที่ผมยังอยู่กับคุณแบบนี้นี่ล่ะ...ผมเองก็ไม่ รู้ว่าทำไม และไม่รู้ด้วยว่าตัวเองรู้สึกอะไรอยู่....ผมไม่รู้หรอกว่า....เมื่อไหร่ เรื่องเหล่านี้จะจบลง....เมื่อไหร่ที่ผมควรตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง....แต่ คิดว่าคง...ไม่นาน"
"จะทำอะไรพาย ไม่มีเรื่องอะไรให้ตัดสินใจหรอก อย่าคิดอะไรให้มันมากนักเลย อยู่แบบนี้ก็สบายดีไม่ใช่เหรอ"มันพูดค่อนข้างรัวและเร็ว จะเรียกว่าลนลานก็เกือบจะใช่....กลัวอะไรงั้นเหรอ
".....มันสบายจริงๆ น่ะแหล่ะ....สบายจริงๆ นะ"
" พาย....อย่าคิด....อย่าทำอะไรเลย"ไม่มีเสียงตะคอก ไม่มีคำตะโกนว่าร้าย น้ำเสียงทุ้มนุ่มจนคล้ายคำอ้อนวอน หากผมหันกลับไปมองสีหน้า...คงจะแน่ใจว่าอ้อนวอนจริงๆ หรือไม่....แต่ผมก็ยังคงหันหลังให้อยู่
"......กลัวอะไรเหรอครับ...."
".........."
"... เดี๋ยวผมก็จะเปิดเทอมแล้ว...ยังไงก็ขอกลับก่อนเปิดเทอมสักวันสองวันแล้วกัน นะครับ แล้วก็...ขอมือถือคืนด้วย"ผมรู้ว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นของที่มันให้ไว้ ใช้ ผมสามารถซื่อเครื่องใหม่ได้ แต่...ใช้เครื่องนั้นจะดีกว่า ผมคิดว่าการที่มันให้ใช้เครื่องนั้นไม่ใช่เพราะอยากให้ผมตัดขาดจากทิวอย่าง เดียว แต่คงอยากชดใช้โทรศัพท์ผมที่มันทำพังไปด้วย
"จะเอาไว้โทรหามันงั้นสิ"
" ผมจำเบอร์ของทิวได้ ถ้าอยากโทร...คงโทรหานานแล้ว คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ"มีเพียงไม่กี่เบอร์ที่ผมจำได้ และโทรศัพท์ที่มันยึดไว้ก็อยู่ในห้องนอนมัน บางครั้งแม่บ้านมาทำความสะอาดช่วงบ่ายผมก็เป็นคนมาเปิดประตู และก็เห็นโทรศัพท์เครื่องนั้นวางไว้ในห้องนอน ไม่ยากเลยถ้าจะเอากลับมา
"ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมไม่เอาโทรศัพท์เครื่องนั้นไป ทั้งๆ ที่วางไว้ให้เห็นตลอด"
"........ มันยังไม่ถึงเวลาไง"ใช่...มันยังไม่ถึงเวลาที่จะทำแบบนั้น ยังไม่ถึงเวลาที่จะตัดสินใจ แต่...คงอีกไม่นาน....การได้พบกับทิว...คงทำให้ผมเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น.... อย่างน้อยก็ความรู้สึกของตัวเอง
*******************************************************************
แอร้ยยยยยยยยยยยยยย
HAPPY NEW YEAR

คนอ่านทู้กกกคน