^
^

ฮ่วยยย มาเสยเราทำไมฟระ

ไม่ต่อซะเลยนี่

:เตะ1:

มาแบบสั้นๆละกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 30หลังจากที่ผมยกน้ำมาให้แล้วกลับมาบนห้อง ความตั้งใจที่จะปัดกวาดก็ต้องล้มเลิกไปเพราะเจ้าของห้องบอกว่ามีแม่บ้านทำ ความสะอาดประจำ และจะมาทำตอนเย็น ผมเลยเปลี่ยนมาเป็นจัดของต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทางตามเดิม รวมทั้งปัดฝุ่นตามโซฟาและโต๊ะนิดหน่อย ใช้เวลาชั่วโมงกว่าพวกข้างล่างก็ยังไม่ขึ้นมา ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่แล้วลงมือทำอาหาร ผมเริ่มหิวหลังจากใช้แรงงานไปนิดหน่อย คาดว่าคนอื่นก็น่าจะหิวเหมือนกัน
ต้มยำไก่น้ำข้นส่งกลิ่นหอมแข่งกับผัดพริกแกงหมู ไข่ตุ๋นใกล้สุกหลังการใส่ในไมโครเวฟได้สักพัก คะน้าในมือกำลังสไลพอคำเพื่อผัดเป็นอย่างสุดท้าย
"หอมจังครับ ทำอะไรกินเหรอพาย"พี่นัทส่งเสียงร้องทักทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา แล้วตามด้วยอีกสองคน
"กำลังจะผัดคะน้าครับ ต้มยำ ไข่ตุ๋น ผัดพริกแกงเสร็จแล้ว พอกินกันมั้ยครับ"ผมถามพร้อมหันไปตั้งกะทะ
"แค่นี้ก็พอแล้วครับ ลาภปากแฮะวันนี้"พี่นัทเดินมาท้าวแขนกับโต๊ะเล็กๆ ที่กั้นระหว่างครัวกับห้องนั่งเล่น
"ถ้าทำกับแกล้มให้สักอย่างสองอย่างจะดีมากเลยนะพาย"พี่อั๋นทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
"กลัวของที่มีจะไม่พอนะครับ ยังไงหลังกินข้าวพายไปซื้อมาทำให้ได้นะ"
"ที่ทำอยู่ก็พอแล้ว พวกมึงก็ไปล้างตัวหรืออาบน้ำกันไป ไม่เหนียวตัวหรือไงวะ"
"กูยืมผ้าเช็ดตัวด้วย"พี่นัทผละจากโต๊ะไปหามันที่ยืนอยู่กลางห้อง
"กูยืมเสื้อผ้าใส่เลยดีกว่า เหงื่อแม่งชุ่มไม่หมด"
"จะเอาอะไรก็หากันเอาเอง กูไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน"
" ผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำมีแขวนไว้ห้องละผืน ลิ้นชักล่างของตู้เสื้อผ้าก็มีพับไว้อยู่ ส่วนเสื้อผ้าผมจัดใส่ตู้หมดแล้ว"ผมพูดโดยไม่หันกลับไปเพราะกำลังง่วนอยู่กับ อาหารในกะทะ แต่ก็ยังได้ยินเสียงผิวปากเหมือนแซว และคำพูดเบาๆ อีกสองสามคำก่อนจะได้ยินเสียงเปิดปิดประตู หันมาอีกทีก็หายไปจากห้องนั่งเล่นกันหมดแล้ว
"อร่อยดี ฝีมือใช้ได้เลยนะเนี่ย"พี่อั๋นชมไปชิมไป ผมแอบอมยิ้มภูมิใจกับฝีมือตัวเองที่ได้รับการฝึกฝนจากแม่มาตั้งแต่เด็ก
"แม่ให้เป็นลูกมือตั้งแต่เด็กน่ะครับ แต่แม่ยังทำอร่อยกว่าอยู่ดี แถมยังทำขนมไทยเก่งด้วย"
" อิจฉามึงว่ะไอ้ตั้ม สงสัยอย่างนี้ต้องมาฝากท้องที่นี่บ่อยๆ แล้ว"พี่อั๋นพูดพร้อมมองผมสลับกับมัน ผมก็ยิ้มๆ ให้ไม่ได้ตอบอะไร ถึงจะเต็มใจทำให้กินแต่นี่ก็ไม่ใช่ห้องผม
"ตามใจ"มันตอบรับคำพูดพี่อั๋นแล้วก็ลงมือกินต่อ
"งั้นต่อไปนี้มาทำงานกูขอฝากท้องทุกมื้อเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องสั่งข้าวจากร้านข้างล่าง แม่งแพงเว่อร์"
".... มึงไม่ให้เมียมึงทำข้าวกล่องมาให้ล่ะ ข้าวกล่องน้อยกับครอบครัวสุขสันต์"มันมองหน้าพี่นัทนิ่งๆ ก่อนจะพูดออกมาและทำให้พี่นัททำสีหน้าแบบแปลกๆ
"ห่านี่ แค่นี้ก็ต้องแขว่ะกูด้วย"
" เออ แล้วเมื่อไหร่มึงจะหย่าวะ แยกกันอยู่นานแล้วไม่ใช่เหรอ"พี่อั๋นถามขึ้นมา ผมก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องหรอกนะ แต่คุยกลางโต๊ะอาหารเลยต้องนั่งฟังแบบเลี่ยงไม่ได้ ท่าทางเขาคงไม่ได้อยากปิดเท่าไหร่มั้ง ถึงได้พูดทั้งๆ ที่คนนอกแบบผมนั่งอยู่
"ก็เจรจาอยู่ เรื่องเดิมๆ นั่นล่ะ"พี่นัทพูดน้ำเสียงปนหงุดหงิดและเหนื่อยใจ
"ให้กูช่วยเจรจาให้มั้ย ไม่คิดค่าบริการ"คำพูดมันเกือบทำให้พี่นัทสำลักข้าวที่เคี้ยวอยู่ คาดว่าการเจรจาของมันคงไม่ใช่วิธีที่ดีแน่ๆ
" ไม่ต้องเลยมึง ถึงกูไม่รักแต่ก็แคร์ก็ห่วงเขาอยู่ ขืนให้มึงมายุ่งกูกลัวจากไม่กี่ล้านจะกลายเป็นหลักสิบล้านเพื่อเรียกค่าเสีย หายน่ะสิ"
"ตกลงนี่ห่วงเขาหรือหวงเงินวะ ฟังแล้วสับสน"พี่อั๋นพูดไปก็หัวเราะไป แต่ผมเห็นด้วยนะ
"ก็ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ ยังไงเรื่องนี้กูก็ผิด ช่างมันเถอะวะ พูดแล้วเครียด"
"อยากให้เครียดเร็วๆ ก็ให้ตั้มมันจัดการให้สิ รับรองเร็วทันใจ"
" ไม่ต้องยุเลยไอ้อั๋น เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนเถอะ น้องแพรนางฟ้าของมึงน่ะ บินกลับสวรรค์ไปสงสัยไม่มาให้มึงเห็นอีกแล้วมั้ง"ชื่อที่พี่นัทพูดเรียกความ สนใจจากผมได้ ท่าทางจะเป็นคนที่พี่อั๋นชอบอยู่
"เฮ้อ...อย่าพูดงี้ดิวะ พูดแล้วก็คิดถึง"
"คิดถึงก็ไปหาสิ"มันพูดออก และเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นด้วย ท่าทางพี่อั๋นรักมากแล้วทำไมต้องทนคิดถึงด้วย
" โทรไปยังไม่เคยรับสาย กูไปหาแล้วจะได้เจอรึไง วันๆ ได้แต่ส่งอีเมลล์ไปหา แต่ว่าๆ วันก่อนน้องแพรตอบกลับมาหากูด้วยนะมึง โคตรปลื้มน่ะ"
"ตอบมาว่าไง"
"บอกว่า..สบายดีค่ะ..."พี่อั๋นดัดเสียงคล้ายผู้หญิง ถึงผมไม่อยากฟังแต่ก็เกือบหลุดหัวเราะ
"แค่นี้น่ะนะที่มึงปลื้ม อ่อนว่ะ"พี่นัทส่ายหน้ายิ้มๆ แสดงตัวเหมือนเหนือกว่าพี่อั๋น
" แค่นี้ก็ดีแล้วสำหรับกู นึกว่าต้องนานกว่านี้ซะอีกเขาถึงจะตอบกลับ กูนั่งอ่านข้อความซ้ำไปซ้ำมาทั้งคืนไม่ได้นอนเลย ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงว่ะ ถ้าเขายอมคุยกับกูเมื่อไหร่กูจะบินไปหาทันทีเลย"
"อิ่มแล้วเหรอพาย สงสัยทนฟังมึงเพ้อไม่ได้ว่ะไอ้อั๋น"
" เปล่าครับ อิ่มแล้วจริงๆ มีเฉาก๊วยในตู้เย็น จะกินกันมั้ยครับ เดี๋ยวพายทำให้"ผมรีบแก้ตัวจากคำพูดของพี่นัท กลัวพี่อั๋นเข้าใจผิด ปกติถ้าทำกับข้าวเองผมมักกินน้อยกว่าปกติ
"ของพี่ขอหวานพอดีๆ ส่วนไอ้นัทขอหวานมากๆ ทดแทนชีวิตรักมัน ของไอ้ตั้มนี่งดหวานครับ น้ำหวานที่ได้ดื่มไปเกินลิมิตแล้ว กลัวมันเป็นเบาหวาน"
"พรุ่งนี้ผม ไปเรียนเองนะ"ผมพูดขึ้นมาขัดจังหวะการพูดคุยนิดหน่อย แต่คิดว่าอยู่ต่อหน้าเพื่อนมันคงจะไม่ทำอะไรผมมาก หรืออย่างน้อยอาจมีคนเข้าข้างผมบ้าง
"ไม่ได้"
"ผมไม่หนีไปไหนหรอก ขอไปเองกลับเองเถอะ ไม่อยากเด่นให้คนอื่นเอาไปพูดไม่ดี"
"กลัวใครจะเห็นมากกว่ามั้ง"
"ไม่ได้กลัวเรื่องนั้น เพราะยังไงเขาก็รู้แล้ว แต่ไม่อยากเด่น ไม่อยากตอบคำถามคนอื่น"
"ไม่ได้ก็คือไม่ได้ จบ"
จบก็จบ ขี้เกียจเถียงให้เป็นเรื่อง ผมทำเฉาก๊วยใส่ถ้วยไว้สามถ้วยแล้วแช่ตู้เย็นรอให้พวกนั้นกินเสร็จแล้วมาหยิบไปเอง
หลัง จากอาหารคาวหวานหมดไปทุกคนก็ทยอยกันออกไป พี่นัทต้องไปทำธุระต่อ พี่อั๋นรถเพิ่งซ่อมเสร็จ วันนี้เลยขับรถมาคืน มันเลยต้องขับไปส่งพี่อั๋น พร้อมกำชับให้ผมอยู่ที่ห้องรอแม่บ้านมาทำความสะอาด ระหว่างรอผมก็จัดของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ต่อ แม่บ้านที่มาทำความสะอาดเป็นแม่บ้านที่ทำอยู่ประจำทุกวันอังคารกับศุกร์ แต่ช่วงก่อนที่ผมไม่เคยเห็นเพราะมันโทรเลื่อนให้มาทำวันอื่น ฟังจากที่เธอเล่ารู้สึกว่าแทบทุกห้องในคอนโดฯนี้เป็นฝีมือเธอทั้งนั้น หลังจากทำห้องข้างบนเสร็จผมก็ไปเปิดห้องข้างล่างให้เธอทำ พอเสร็จผมก็ลงไปล็อคห้องแล้วกลับขึ้นมานอนดูทีวีในห้องนอน เจ้าของห้องยังไม่กลับทำให้พอจะอยู่อย่างสบายอารมณ์ได้หน่อย
ผมคิด ว่าอยู่รวมกับมันได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าเข้าใจมันมากขึ้น เพียงแต่รู้วิธีหลีกเลี่ยงนิดหน่อย บางครั้งที่คิดว่าเดาการกระทำมันถูก แต่กลับเป็นตรงข้าม อย่างที่ลานจอดรถผมคิดว่าคงไม่รอด แต่ก็รอดมาได้ ตรงข้ามกับเรื่องที่ขอไปกลับเองมันดันห้าม ทั้งๆ ที่ผมอธิบายเหตุผลไม่ได้พูดประชดประชันอะไร แต่นั่นทำให้รู้ว่าถ้ามันแรงแล้วผมแรง เรื่องมักจบไม่สวยและผมจะเจ็บเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพราะคำพูดหรือการกระทำ แต่ถ้ามันแรงแล้วผมนิ่ง มันก็จะโมโหอยู่คนเดียว แต่ผมไม่เป็นไร นี่ทำให้เดาได้ว่ามันคงไม่ชอบให้ใครประชด แต่ไม่แน่ว่าชอบให้นิ่งใส่หรือเปล่า การกระทำของมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ล้วนๆ ไม่มีคำว่าเหตุผลเลยสักนิด
นอนดูโทรทัศน์ไปสักพักก็นึกได้ว่า โทรศัพท์ผมยังไม่ได้คืน และยังวางอยู่ใต้หมอน ความตั้งใจที่จะหยิบมาชาร์จแบตฯหายไป เมื่อพบว่าแบตฯลดไปแค่ขีดเดียว ข้อความในโทรศัพท์กว่ายี่สิบข้อความจากคนๆ เดียว
'พายเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนมากหรือเปล่า โทรกลับมาทิวด้วย'
'พายรับสายทิวหน่อย โทรกลับก็ได้ เป็นอะไรมากมั้ย'
'พายคุยกับทิวหน่อยนะ ทิวอยากได้ยินเสียง อยากรู้ว่าพายสบายดี'
'พายทำไมไม่มาเรียน เจ็บมากเหรอ อยู่ที่ไหนเดี๋ยวทิวไปรับ โทรกลับหาทิวเถอะนะ'
'พายอย่าทำอย่างนี้เลย รับสายทิวเถอะ ทิวห่วงพายมากนะ'
'ขอร้องล่ะพาย รับสายทิวนะครับ อย่าทำกับทิวแบบนี้'
'ไม่ว่ายังไงความรู้สึกทิวยังเหมือนเดิมนะ รับสายทิวเถอะนะ ขอร้อง'
'ทิวคิดถึงพาย กลับมาหาทิวเถอะ'
ตัว อักษรที่ผ่านตาสื่อถึงอารมณ์และน้ำเสียงเหมือนทิวมายืนอยู่ตรงหน้า กลับไปหาทิวงั้นเหรอ....ถ้าบอกก่อนหน้านี้ผมจะกลับไปมั้ย ใช่...ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงขอความช่วยเหลือจากทิว แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว...เพราะตัวผมเอง
"ทำหน้าเหมือนจะตาย คิดถึงมันมากรึไง"เสียงห้วนๆ ดังจากคนที่ยืนพิงกรอบประตูห้องนอน ผมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในมือไปสอดไว้ใต้หมอนแล้วล้มตัวลงนอน
"ทำไม มันโทรมารึไง ใกล้ตายรึยังล่ะ จะไปซ้ำให้"
" พรุ่งนี้ผมเรียนบ่ายโมง"ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนสีหน้า ไม่แสดงว่าโกรธหรือไม่พอใจ ไม่มีน้ำตาเพื่อแสดงความอ่อนแอ รู้ดีว่าการร้องไห้ต่อหน้ามันไม่สามารถเรียกความสงสารหรือเห็นใจได้ หรือถ้าได้..ผมก็ไม่ต้องการ
เสียงประตูห้องนอนปิดเสียงดังแสดงถึง ความไม่พอใจของคนที่เดินออกไป นับว่าผมเดาถูกเรื่องการกระทำของมัน ถ้าผมนิ่ง ผมไม่เจ็บ และอารมณ์หงุดหงิดของมันทำให้อดดีใจลึกๆ ไม่ได้
รถยนต์คันหรูจอดเทียบฟุตบาตหน้าตึกคณะ หลังจากได้รับคำสั่งให้รอกลับผมก็เดินออกจากรถแล้วเข้าไปในตึกทันที รถยนต์เคลื่อนตัวออกไปจนพ้นระยะการมองเห็น ผมเดินย้อนกลับออกมาเพื่อเดินไปเรียนตึกอื่นที่ต้องนั่งเรียนจริงๆ ถึงจะรู้ตารางเรียน แต่มันไม่รู้ว่าเรียนที่ไหน อย่างน้อยผมก็เลี่ยงด้วยวิธีนี้ได้
เพื่อนร่วมคณะหลายคนแปลกใจกับ ร่องรอยที่เหลือบนใบหน้า แต่ไม่ค่อยกล้าเข้ามาถามเพราะคงรู้อยู่แล้วว่าเกิดจากการกระทำแบบไหน แต่คงแปลกใจที่ผมเรียบๆ แบบผมจะไปมีเรื่องวิวาทกับใคร ห้องเรียนดำเนินไปอย่างเชื่องหน้าในความรู้สึก คนที่เลี่ยงไม่พบหรือพูดคุยกับไม่มาให้เห็น และผมเพิ่งรู้จากเพื่อนคนอื่นว่าทิวไม่มาเรียนพร้อมๆ กับผม วันนี้ก็ไม่มาอีก ทิวเจ็บมากหรือเปล่า ผมเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย คิดว่าพวกทิวเยอะกว่าจะไม่เจ็บหนักซะอีก ผมน่าจะรับสายทิวเพื่อสอบถามอาการบ้าง มีแต่ทิวแสดงความห่วงใยกับผมฝ่ายเดียวเลย
หลังจากหมดชั่วเรียนเรียนในตอนบ่ายสาม เพื่อนคนอื่นเดินย้ายห้องเพื่อไปเรียนวิชาต่อไป ส่วนผมเดินแยกกับคนอื่นเพื่อโทรหาทิว
"ทิวเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนมากหรือเปล่า"หลังจากกดโทรออก ยังไม่ทันได้ยินเสียงสัญญาณก็มีคนรับสายทันที
" พาย! พายเป็นไงบ้าง หาหมอรึยัง ทำไมไม่รับสายทิว ไม่โทรหาทิว ทิวเป็นห่วงมากรู้มั้ย"น้ำเสียงทิวร้อนรน แสดงความเป็นห่วงเป็นใยยิ่งกว่าคำพูดมากมายที่ผมได้อ่าน
"ทิว...พายขอโทษ พายมาเรียนแล้วไม่เจอทิว ตอนนี้ทิวเป็นไง ทำไมไม่มาเรียนล่ะ"
"หัวแตกน่ะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวาน"ทิวพูดเสียงอ่อยๆ แต่แค่ได้ยินก็รู้สึกตัวชาวูบแล้ว
"หัวแตก!! ทิวอยู่ไหนเนี่ย อยู่คอนโดใช่มั้ย เดี๋ยวพายไปหานะ"ผมรีบเดินกึ่งวิ่งออกจากตึก ผมไม่เคยเห็นทิวเจ็บหนักถึงขึ้นนี้เลย
" จะมาจริงเหรอ ให้ทิวไปรับมั้ย อยู่ที่มหาลัยฯใช่มั้ย เดี๋ยวทิวไปรับดีกว่า"ทิวรีบอาสาแต่ได้ยินเสียงคนอื่นดังอยู่ใกล้ๆ สงสัยพวกนั้นก็อยู่ที่นั่นด้วย อย่างน้อยก็ทำให้เบาใจได้บ้างว่ามีคนดูแลทิวอยู่
"ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพายไปเอง รออยู่นั่นนะ หัวแตกแล้วทำไมไม่บอกพายล่ะเนี่ย แค่หัวแตกอย่างเดียวใช่มั้ย"
"ก็พายไม่รับสายทิวนี่นา แต่เย็บแค่สามเข็มเอง พายรีบๆ มานะ ทิวจะรอ"
" ทิวนอนรอไปก่อนนะ เดี๋ยวพายรีบนั่งแท็กซี่ไปเลย แค่นี้นะ"ผมรีบเดินให้ถึงหน้ามหาลัยฯ แล้วเรียกแท็กซี่โดยบอกจุดหมายทันที ตั้งแต่เกิดผมก็ไม่เคยหัวแตกด้วยสิ แค่โดนต่อยผมยังเจ็บจะตายเลย แล้วหัวแตกนี่เจ็บมากมั้ย มันทำให้เพื่อนผมเจ็บถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(หัวเราะทำไม?)
