มาช้ายังดีกว่าไม่มาเนอะั

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 28เสียงเรียกข้างหูยังคงถามซ้ำในคำถามเดิม และได้รับความเงียบจากผมแทนคำตอบเช่นเคย ไม่ได้คิดจะตีรวน ไม่ได้คิดจะยั่วโทสะ เพียงแต่ไม่รู้ว่า....ต้องพูดอะไร....มันถึงจะพอใจ
“จะไปเรียนมั้ย ถามหลายรอบแล้วนะ สายมากแล้วด้วย”
“.........”
“ถ้าไม่ไปเรียนก็ลุกไปกินข้าวจะได้กินยา”
“........”
“แม่ง...พูดกับคนใบ้อยู่รึเปล่าวะกู”
ยังครับ ยังไม่จบ นึกว่ามันจะถอดใจเลิกยุ่งกับผมที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง มันเดินออกไปสักพักก็เดินกลับเข้ามาพร้อมเก้าอี้กับชามข้าวต้ม มีซองยาแก้อักเสบแถมมาอีกหนึ่งซอง ถึงผมจะนอนเฉยๆ แต่ไม่ได้แกล้งว่าหลับ แค่...ไม่อยากขยับก็แค่นั้น
“.....พาย...ลุกมากินข้าวก่อนจะได้กินยา แก้มบวมไม่รู้สึกรึไง”มันก็ถามแปลก แก้มผม ทำไมผมจะไม่รู้สึก จะอ้าปากหรือกลืนน้ำลายยังเจ็บเลย รู้สึกปากจะแตกด้วย
“...........”
“วางไว้ให้ตรงนี้แล้วกัน ไว้บ่ายๆ เสร็จงานแล้วจะกลับ.......อย่าออกไปไหนนะ”มาอีกแล้วคำสั่งประจำวัน สั่งมาเถอะ ชีวิตผมกลายเป็นของคุณแล้วนี่ สั่งได้ตามสบาย ถ้าให้ไปตายตอนนี้ ผมยังยินดีเลย
หลังจากได้ยินเสียงปิดประตูห้องผมก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนชุด มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วเหมือนมองคนอื่น ใบหน้าบวมแดงเป็นริ้วๆ ผมเดินไปหยิบชามข้าวต้มกับเก้าอี้ออกมาไว้ข้างนอก นำข้าวต้มไปอุ่นใหม่แล้วก็มานั่งกินหน้าโทรทัศน์ หลังจากชิมคำแรกเข้าไปก็นึกโทษตัวเองว่าไม่น่าเอาไปอุ่นจนร้อนเลย เพราะมันยิ่งทำให้แสบแผลในปากมากกว่าเดิม
อาหารเช้าจบไปอย่างรวดเร็วเพราะผมฝืนกินได้เพียงไม่กี่คำ เสียงโทรศัพท์มือถือที่ถูกยัดเยียดให้เป็นของผมดังขึ้น....ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใครคือคนที่โทรมา มันดังต่อเนื่องหลายครั้งจนผมต้องเดินไปเปลี่ยนเป็นระบบสั่นเพราะไม่กล้าที่จะกดตัดสาย...หรือปิดเครื่อง.....ปลายสายที่กำลังพยายามโทรหาเพื่อพูดคุยกับผมคงร้อนใจและอึดอัดใจ....นั่นไม่ต่างจากตัวผมเลย.....ผมเองก็อยากคุยกับทิวนะ.....อยากได้ยินเสียง.....แต่....ผมยังไม่พร้อม......ผมกลัวคำถามของทิว....ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไร......ถ้าผมบอกทิวก่อนหน้านี้ ทิวจะช่วยผมได้มั้ย ตอนนี้มันสายไปหมดแล้วใช่มั้ย เพราะผมมัวแต่กลัวนั่น กลัวนี่ ถือดีว่าตัวเองคงแก้ปัญหาได้.....แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว......แม่ผมอยู่ที่ไหน......ถ้าผมทำอะไรลงไป......แม่ผมจะเป็นอะไรมั้ย.......คนแบบมันหากอยากทำอะไรกับคนสำคัญของผมขึ้นมา....ผมคงปกป้องใครไม่ได้......ไม่สิ......ตอนนี้.....ไม่มีอะไรเหลือให้ปกป้องอีกแล้ว
“....ย...พาย…..”เสียงเรียกข้างหูทำให้ต้องเงยหน้าจากโทรศัพท์ที่หยุดสั่นไปนานแล้ว
“.........”
“เอ่อ...กินข้าวบ้างรึยัง”
“.......”
“คือไอ้ตั้มมันให้พี่มารับพายไปหามันข้างนอกน่ะ เดี๋ยวบริษัทขนย้ายเขาจะเข้ามาย้ายของในห้องนี้ พายออกไปข้างนอกกับพี่ก่อนแล้วกันนะ”
“........”ผมเดินไปเปลี่ยนชุดเดินนำออกมาจากห้องแทนคำตอบ
ระหว่างทางคนขับคงอึดอัดจากการที่ผมไม่สนทนาตอบพอสมควร พี่นัทขับมาในเส้นทางคุ้นตา เมื่อก่อนผมเคยแวะเวียนมาบ่อยๆ ผมรู้สึกตื่นเต้นระคนยินดีที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
“พี่ขอทำธุระที่บริษัทก่อน เดี๋ยวพายขึ้นไปรอพี่บนห้องก่อน สักชั่วโมงพี่จะขึ้นไปหา หยิบจับอะไรในห้องได้ตามสะดวกเลย นี่กุญแจ ห้อง 5021”กุญแจห้องถูกยื่นมาใส่มือ พี่นัทเดินย้อนออกไปหน้าคอนโด ผมมองเห็นเขาเข้าไปในตึกที่คาดว่าจะเป็นบริษัทอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้ผมขอไปหาคนที่เพิ่งนึกถึงก่อนดีกว่า แม้ไม่ได้มานานแต่ก็จำหมายเลขห้องได้ไม่เคยลืม
กริ่งหน้าห้องถูกกดย้ำสองสามครั้ง แล้วผมก็ยืนรออย่างไม่แน่ใจว่า คนที่ต้องการพบจะอยู่รึไม่ ได้แต่ภาวนาให้อยู่ เพราะตอนนี้....ผมต้องการคุยกับใครสักคนที่ไว้ใจได้....และคนๆ นี้เป็นหนึ่งในนั้น
“อ้าว...พาย”
“พี่หน่อย...พาย....”ทันทีที่เห็นหน้าผมก็ยิ้มออกเป็นครั้งแรกของวัน
“....เข้ามาก่อนมา พี่ผัดผักบุ้งค้างไว้อยู่บนเตา เดี๋ยวมันจะไหม้”พี่หน่อยรีบพูดแล้วก็วิ่งกลับเข้าไปด้านใน ผมอมยิ้มน้อยๆ กับท่าทีนั้นก่อนจะเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูแทนเจ้าของห้อง
พี่หน่อยวุ่นๆ อยู่ในครัวแต่ก็ส่งเสียงพูดคุยกับผมตลอด ไถ่ถามว่ากินอะไรมาหรือยัง อยากกินอะไรมั้ย พี่เขาจะทำให้ ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะเท่าที่พี่หน่อยทำก็สามอย่างแล้ว
ตลอดมื้ออาหารพี่หน่อยไม่ถามถึงเรื่องแผลบนหน้าผมสักคำ ผมฟังพี่หน่อยเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง พี่หน่อยเพิ่งไปสัมนาและแวะไปหาพี่นพด้วย ช่วงนี้กำลังลาพักร้อนอยู่เลยว่าง ไม่งั้นผมก็คงไม่เจอ หลังจากกินอาหารและผมอาสาล้างให้เรียบร้อย พี่หน่อยพาผมมานั่งบนโซฟานุ่มๆ ที่คุ้นเคย
"พี่จะไม่ถามนะ ถ้าพายอยากเล่าอะไรก็เล่ามา พี่ไม่อยากบังคับ แต่พายรู้ใช่มั้ยว่าพี่เป็นห่วงพาย ไม่ใช่ในฐานะคนไข้ แต่พี่คิดกับพายเหมือนน้อง"
".....พี่หน่อยว่า....ถ้ามีคนมาทำร้ายเรา....ต้องทำยังไง...เราถึงจะเข้าใจเขาได้....."
“แล้วทำไมพายถึงอยากเข้าใจเขาล่ะ พี่ว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จะทำความเข้าใจกับคนหนึ่งคนยังไงหรอกนะ มันอยู่ที่ความรู้สึกของเรามากกว่า ถ้าเราคิดว่าเขาก็แค่คนหนึ่งคน....การจะทำความเข้าใจเขา มันก็เหมือนกันการเริ่มหาเพื่อนใหม่ ทุกอย่างมันจะง่าย ถ้าความรู้สึกเราเริ่มที่ศูนย์ แต่ถ้าพายอยากเข้าใจคนที่เราให้คะแนนเขาติดลบอยู่เนี่ย มันยากสักหน่อย เพราะเราติดลบเขาไปแล้ว”
“......พายไม่ได้อยากคิดกับ...เขาในแง่บวก พายแค่อยากเข้าใจ.........บางทีถ้าพายเข้าใจอะไรมากขึ้น พายอาจ....รู้สึกดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้”
“เอ่อ....พาย....”พี่หน่อยเหมือนชั่งใจว่าจะถามผมดีมั้ย แต่ผมคิดว่ายังไม่พร้อมตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น
“ไม่เป็นไรครับพี่หน่อย พายรบกวนพี่นานแล้ว เดี๋ยวพายต้องรีบกลับแล้วล่ะ”ผมพูดแทรกพร้อมลุกขึ้นเตรียมพร้อมเดินออกจากห้อง
“....งั้นก็ได้ พายมีอะไรก็โทรมาคุยกับพี่นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว”
“...เอ่อ...พายขอนามบัตรพี่หน่อยอีกได้มั้ย พาย....เปลี่ยนเบอร์แล้วน่ะครับ เบอร์พี่ก็เลยหายไป”ผมพูดจบพี่หน่อยก็เดินไปหยิบนามบัตรที่เก็บไว้ในกระเป๋ามายื่นให้ผม
ผมออกจากห้องพี่หน่อยก็รีบตรงไปห้องพี่นัท หวังว่าเจ้าของห้องจะยังไม่กลับมานะ ผมไม่อยากให้พวกมันรู้ว่าผมเหลือคนรู้จักอยู่อีก กลัวจะไม่มีโอกาสกลับมาที่นี่น่ะครับ
สิ่งที่ผมถามที่หน่อยไป ถึงจะถามไม่ตรงกับความคิดตัวเอง และก็ได้คำตอบที่ไม่ถูกใจเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ คำพูดของพี่หน่อยทำให้ผมคิดได้....คิดได้เยอะซะด้วย...บางที....จิตแพทย์ก็ช่วยเราได้หลายอย่างเหมือนกันนะ อย่างน้อยการที่ได้เล่าอะไรออกไปบ้างก็ทำให้สงบลงและมีสติมากขึ้น มากพอที่จะตัดสินใจว่าต่อไปนี้....
ผมควรจะทำอะไร
“ขอโทษนะพาย งานมันติดพันน่ะ เราออกไปกันเลยเถอะ ไอ้ตั้มมันโทรมาตามพี่แล้ว”พี่นัทเข้ามาถึงก็วิ่งวุ่นหยิบของในห้องแล้วก็รีบเดินนำผมออกไป ผมค่อนข้างแปลกใจกับห้องนี้มาก อย่างที่รู้...พี่นัทแต่งงานแล้ว แต่ข้าวของทุกอย่างภายในห้องมีไม่มีร่องรอยเครื่องใช้แบบผู้หญิงเลย มันเหมือนห้องชายโสดเสียมากกว่า
“เราจะไปไหนกันเหรอครับ”เป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับพี่นัทในวันนี้ พี่เขาดูจะดีใจอยู่เหมือนกัน แต่นี่มันแค่เริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนตัวเอง อย่างที่บอกไง....ผมคิดได้แล้ว
“ไปซื้อของก่อนมั้ง แล้วเดี๋ยวค่อยไปกินข้าวกัน”ท่าทางพี่นัทก็คงถูกมันใช้โดยไม่ได้บอกเหตุผลมาเหมือนกัน คนอย่างมันนี่ไม่น่าจะมีเพื่อนได้เลยนะ แปลกใจจริงๆ
พี่นัทพาผมมาที่ห้างสรรพสินค้า สงสัยมันคงมาทำงาน เพราะที่ห้างนี้มีร้านซึ่งจะเป็นที่ทำงานของผมในอนาคตอันใกล้ พี่นัทพาผมไปที่ร้านเสื้อ มันยืนรออยู่ด้านในอยู่แล้ว เพิ่งมองหน้ามันชัดๆ ก็ตอนนี้....ท่าทางเมื่อวานจะโดนหนักเหมือนกัน
“ไปลองสูทสิ”มันพูดพร้อมพยักเพยิดไปทางพนักงานของร้านที่ยืนถือเสื้ออยู่ในมือ
เสื้อที่สั่งตัดทุกอย่างลงตัวไม่มีปัญหา ใส่ออกมาแล้วดูแปลกไปเลยครับ ผมคิดว่าถ้าเรียนจบแล้วคงไม่เหมาะกับงานที่ต้องใส่สูทผูกไทด์แน่ๆ มันดูขัดกับตัวผมยังไงไม่รู้ ดูทางการจนน่าอึดอัด
หลังจากออกจากร้านเสื้อก็ตรงไปร้านเฟอร์นิเจอร์ สองคนนั้นก็เลือกๆ โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เอกสารแล้วก็อีกสารพัด โดยมีผมเดินตามอย่างไร้อารมณ์ จนมาถึงมุมสำหรับของตกแต่งบ้าน
“ชอบตู้กับโต๊ะตัวไหนไปเลือกสิ”คำพูดพร้อมท่าทางที่หันมาทางผมทำให้รู้ว่า...มันกำลังพูดกับผม
“เลือกไปทำไม”ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่เงียบใส่เหมือนเมื่อเช้า
“ก็เอาไว้ใส่เสื้อผ้าพายกับวางคอมฯ ไง ถามแปลกๆ”
“แล้วจะเอาไปไว้ไหน....ผมหมายถึงตู้กับโต๊ะน่ะ ห้องคุณมันก็ไม่ได้ใหญ่พอที่จะเพิ่มของพวกนี้เข้าไปแล้วนี่”
“เออน่ะ บอกให้เลือกก็เลือกเถอะ”
“......ที่ถามน่ะเพราะว่าจะช่วยประหยัดหรอกนะ ของผมก็ไม่จำเป็นจะต้องแยกกับคุณด้วย ถ้าคุณไม่รังเกียจน่ะนะ จะซื้อก็ซื้อแค่โต๊ะคอมฯ อย่างเดียวก็ได้”ตอนแรกว่าจะเงียบไม่พูดอะไร แต่....เปลี่ยนใจ....ถ้าผมไม่ติดลบให้มัน....อะไรๆ คงง่ายขึ้นใช่มั้ย
“........ซื้อตู้เสื้อผ้าไปด้วย เลือกที่มันใหญ่กว่าในห้องแล้วกัน จะเอาสีไหนแบบไหนตามสบาย เดี๋ยวพี่จะไปดูอย่างอื่นตรงนั้นกับไอ้นัท”
“.....อืม”ผมพยักหน้ารับแล้วก็เดินดูโต๊ะคอมฯ ก่อน เลือกไม่ยากหรอกผม ถึงจะเป็นเงินคนอื่น แต่ผมก็เลือกตามอำนาจเงินของตัวเองอยู่ดี อันไหนถูก...เลือกอันนั้น ส่วนตู้เสื้อผ้าผมก็เลือกใหญ่กว่าเดิม ที่ห้องมันจะเป็นแบบฝาเลื่อนสองบานใหญ่ๆ ผมก็เลือกที่คล้ายๆ กันแต่ใหญ่กว่าเกือบครึ่ง ที่ทำไปใช่ว่าผมจะหลงในเงินตราของมันนะครับ แต่เพราะรู้ดีแก่ใจว่า...ขัดไม่ได้ ผมถึงไม่พูดอะไรมาก แค่ขออธิบายเหตุผลและฟังเหตุผลบ้าง อย่างน้อย....
จะได้เข้าใจหลังจากมันจ่ายเงินและคุยเรื่องการส่งสินค้าเรียบร้อย พวกเราก็มารวมกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในห้าง ที่ร้านมีพี่อั๋นนั่งรออยู่แล้ว และก็สั่งอาหารมากินล่วงหน้าไปบ้างแล้วด้วย พนักงานที่คอยบริการมักทำสีหน้าแปลกๆ บางคนยิ้ม บางคนสงสัย ก็ชายสามคนนั่งหน้าช้ำปากบวมชัดขนาดนี้จะไม่แปลกได้ไง
“พายชอบกินอาหารญี่ปุ่นมั้ย”พี่อั๋นถามผม คงเพราะเห็นผมไม่ได้สั่งอะไร คอยกินของที่คนอื่นสั่งอย่างเดียวดีกว่า
“ก็กินบ่อยอยู่ครับ แถวๆ มหาฯลัยมีร้านถูกๆ อยู่ เพื่อนชอบพาไปกิน”
“อืม แถวนั้นพี่เคยไปกินเหมือนกัน ปลาสดดี ราคานักศึกษา”พี่อั๋นคงจะชอบอาหารญี่ปุ่น ดูจากสีหน้าที่มีความสุขขนาดนี้ก็รู้
“กินกับเพื่อนคนไหน ผัวเก่าคนเมื่อวานน่ะเหรอ”อารมณ์สงบๆ ของผมจะพุ่งปรี๊ดก็เพราะคำพูดแบบนี้ของมันนั่นล่ะ
“อืม....ถ้าหมายถึงคนที่ต่อยจนหน้าคุณช้ำๆ แบบนี้ล่ะก็...ใช่ครับ”ผมทำท่านึกสักพักก่อนตอบ
“ฮ่าๆๆๆ เด็กมึงปากดีไม่ลดละเลยว่ะ”พี่อั๋นหัวเราะร่วนโดยมีพี่นัทแอบหัวเราะเบาๆ อีกคน
“.....อย่างอื่นก็ดีว่ะ”คำพูดสองแง่สองง่ามที่ผมฟังจนชิน และชินพอที่จะกล้าตอบโต้
“.....ขอบคุณที่ชม แต่....คุณ....ยังดีไม่พอสำหรับผมนะ…..ไม่ค่อยถึงใจเท่าไหร่”
---------------------------------------------------------------------------------------------------
