เค้าขอโตสที่มาช้านะคะ ;=;
งานเยอะจริงๆ ค่ะ
แต่ตอนนี้ว่างเพิ่มอีกวันแล้วเพราะดรอปวิชาโปรแกรมซีบรัชมา
และอีกเหตุผลนึงคือปั่นเจคราทมาส่งค่ะ
ขอสารภาพว่าไม่เคยวาดคนผิวดำมาก่อนเลย
วาดไม่เสร็จด้วยแง่ เหลือผมกับหูอีกข้างและก็เก็บงานนิดหน่อย
ปล.จ้างเราได้นะแง่มๆ คิดไม่แพงๆ
ตอนที่9 มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตขี้สงสัย พูดห่ามๆ หน่อยก็ขึ้เสือก บางทีก็เสือกจนเกิดเรื่อง
ผมจับทุกอย่างที่ขวางหน้ายัดเข้าปากโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น เพื่อระบายความหงุดหงิดคับแค้นใจจากเรื่องเมื่อก่อนหน้าที่โดนเจคราทกระทำไว้
“ค่อยๆ ก็ได้เซน อาหารไม่วิ่งหนีนายไปไหนหรอกน่า” เอเดนว่าขึ้นเมื่อผมฝาดจบไปอีกจาน และก็อีกจาน
ตอนนี้เราอยู่ในงานของเจเดน ผมได้นั่งร่วมโตะกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว และคนอื่นๆ ที่ก็ได้ร่วมงานปาตี้สละโสดกันเมื่อคืนนี้นั่นแหละ
ในทีแรกที่มาถึงโตะ คอนก็เอาแต่ถามอยู่นั่นแหละว่าผมทำอะไรอยู่ เพราะกว่าจะมาถึงก็เย็นมากแล้ว งานพิธีจบไปแล้วและตอนนี้คืองานเลี้ยงช่วงค่ำ หมอนั่นซึ่งก็คือเจคราทนั่นแหละ ได้ทำอะไรผมหรือเปล่า และพอเจคราทบอกว่าทำเรื่องภาษาผัวเมียเขาทำกันเท่านั้นแหละ
นอกจากคนอื่นๆ ที่หน้าแดงแล้วก็มีแค่สองคนนี้ที่พยายามวางมัวกันให้ได้เลย จนผมต้องขู่ว่าจะไปนั่งโตะอื่นพวกเขาถึงได้หยุดกัน
อา จริงๆ ตอนแรกก็เกือบจะขู่เจคราทให้ไปนั่งโตะอื่นเหมือนกัน แต่กลัวหมอนี่จะโมโหแล้วผมจะโดรมัน ‘ทำโทษ’ เอาอีก
จากนั้นผมก็แนะนำเจคราทและทุกคนให้รู้จักกันอีกที พวกเขาค่อนข้างเกร็งและหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเจคราท ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าหมอนี่จะน่ากลัวที่ตรงไหน…...อืม นอกจากความหื่นของมันที่ไม่มีใครรู้(?)นอกจากผม ถ้าเป็นร่างเอเลี่ยนเต็มตัวสิถึงค่อยน่ากลัวขึ้นมาหน่อย
โดยเฉพาะ ‘ไอนั่น’ ที่ไม่รู้ว่าจะใหญ่ไปถึงไหน ใหญ่พอๆ กับขานักซูโม่ญี่ปุ่นเลยทีเดียว
แต่หลังจากคุยกันได้สักพัก ทุกคนก็ค่อยเกร็งน้อยลงเมื่อได้เจอกับความสุภาพจอมปลอมของเจคราทเข้าไป ผมจึงส่งให้เขาไปหยิบขนมมาเพิ่มเมื่อเอเดนและเจอราดเพื่อนสมัยเรียนอีกคนที่ร่วมงานปาตี้เมื่อคืนนี้เริ่มจะแฉผมซะแล้ว
แต่ส่สัยจะกินพวกน้ำมากไปหน่อย เลยเริ่มปวดฉี่อย่างกระทันหัน ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีของเสียในลำไส้เพราะส่วนนึงได้กลายเป็นมดลูกและดูดซึมสานอาหารทุกส่วนจนไม่เหลือแม้แต่กากไปแล้วก็เถอะ แต่พวกเหงื่อกับเยี่ยวยังต้องขับออกมาอยู่
เนื่องจากเจคราทยังไม่กลับมา ผมจึงตัดสินใจไปคนเดียวหลังจากฝากพวกเขาบอกเจคราทให้ไม่ต้องตามมาแล้ว ผมก็รีบลุกไปห้องน้ำทันที
หลังทำทุระเสร็จ ผมก็กำลังจะเดินกลับ แต่ดันแจ๊กพ๊อตแตกเจอเรื่องอย่างว่าเข้าซะก่อน
อา ไม่ใช่คนกำลังเอากันหรอกครับ ผมแค่เจอคนรู้จักโดนกลุ่มคนที่ไม่น่าไว้วางใจลากเข้าห้องน้ำมาโดยมีบางอย่างที่คล้ายปืนจี้อยู่ต่างหาก
พวกนั้นก็คงไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีคนอยู่ในห้องน้ำนี่ด้วย อันเนื่องมาจากมันอยู่ค่อนข้างจะลึกลับไปสักหน่อย แถมยังต้องเลี้ยวอีกหลายแยกด้วย แต่ที่ผมมาเข้าที่นี่เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ก็มีแต่คนต่อคิวยาวเต็มไปหมด เลยพยายามเสี่ยงดวงมาจนเจอห้องน้ำแห่งนี้เข้า
พวกมันหนึ่งในห้าย่างสามขุมเข้ามาหาผม ส่วนที่เหลืออีกสี่คนก็พยายามต้อนยามิสเพื่อนที่ทำงานของเอเดนเข้าไปในห้องน้ำตรงกลาง เขาพยายามบอกพวกมันให้ปล่อยผมไป ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกมันไม่มีทางทำตามเขาอยู่แล้ว
ถึงจะสงสัยว่าผู้ชายตัวโตๆ อัดกันเข้าไปในห้องน้ำเล็กๆ ได้ยังไง แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดมากเมื่อเจ้าคนที่ย่างสามขุมเข้ามามันเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อขนสีขาวงอกออกมาจากทุกรูขุมขน และร่างก็ขยายขนาดขึ้นจนสูงเกือบถึงเพดาน และมีเขึ้ยวซีกใหญ่เต็มปาก
ดูๆ ไปดูแล้วก็เหมือนเยติอย่างบอกไม่ถูก
มันแสยะยิ้มน้ำลายยืดแล้วพุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องกระเด็นไปชนกำแพงอีกฝั่งอย่างแรงจากพลังจิตของผมที่เจคราทปลุกให้
ใช่ครับคุณฟังไม่ผิด มันคือพลังจิตจริงๆ จะว่าไปแล้วก็ยาวแต่ขอสรุปสั้นๆ ว่า มนุษย์โลกส่วนใหญ่ก็มีพลังจิตกันแทบทุกคน แต่ที่เอาออกมาใช้ได้จริงๆ คือหนึ่งในล้านคน แถมหนึ่งในล้านที่ว่ากว่าครึ่งยังใช้ได้แบบงูๆ ปลาๆ อีกด้วย
ส่วนผมก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ ส่วนใหญ่ที่มีพลังจิตแต่ไม่อาจใช้ได้ จนเมื่อถูกกระตุ้นด้วยยีนของเจคราทที่มากับน้ำลายพวกนั้นที่ผมกินเข้าไป แล้วถูกกระตุ้นอีกทีด้วยการกัดและปล่อยสารกระตุ้นเข้มข้นเข้ามาแถวสันหลังของผมนั่นเอง
เจ้าเยตินั่นกระตุกอยู่สองสามทีก่อนจะแน่นิ่งไป ผมจึงรีบเข้าไปในห้องส้วมที่ยามิสถูกพาตัวข้ามาแต่กลับพบว่าในนั้นช่างว่างเปล่า ไม่เจอใครแม้แต่คนเดียว
ผมพยายามหาทุกซอกทุกมุม แต่ก็ยังไม่เจอช่องทางลับเลยแม้แต่น้อย หรือผมจะต้องลองเข้าไปในโถส้วมแล้วกดชักโครกตัวเองลงไปแบบแฮรี่พ๊อตเตอร์ดี ไม่แน่ดีไม่ดีผมอาจจะไปโผล่ในกระทรวงเวทย์มนตร์บ้างก็ได้นะ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดไร้สาระอยู่นั้น ก็มีปีเตอร์สุดหล่อตัวหนึ่งบินเข้ามา ผมเกือบจะร้องกรี้ดแล้ววิ่งหนีออกมาแล้วถ้าไม่เห็นว่าอยู่ดีๆ มันก็บิน ‘เข้า’ ไปในภาพทุ่งทานตะวันที่ติดไว้บนผนังด้านหลังโถส้วม
อันที่จริงผมก็แอบคิดนะว่ามันจะติดรูปวาดไว้บนผนังห้องน้ำทุกห้องทำแปะอะไร แต่ตอนนี้คิดว่ารู้แล้ว ผมจึงไม่รอช้าเอื้อมมืออันสั่นเทาเข้าไปในรูปวาดที่ก็ไม่ได้ใหญ่พอที่ตัวคนๆ หนึ่งจะผ่านไปได้นั่นเลย
ที่สั่นไม่ใช่เพราะอะไร ผมกลัวปีเตอร์ที่เพิ่งบินเข้าไปมันจะยังอยู่แถวนั้นต่างหากล่ะ
เมื่อเอื้อมมือไปแตะที่รูปภาพนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดมหาสารดูดผมเข้าไปในรูปภาพนั่นทันที
และเมื่อรู้ตัวอีกที ผมก็มาปรากฏอยู่บนทางเดินสีขาวแห่งหนึ่งซึ่งปูด้วยพรมสีแดงเลือดนกและข้างกำแพงฝั่งขวามีเลขหกกับตัวหนังสือที่ผมอ่านไม่ออกติดอยู่
อือหือ โคตรแฟนตาซีอะ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีผัวเป็นเอเลี่ยน แถมยังมีเอเลี่ยนอีกตัวในท้อง ผมคงนึกว่าตัวเองหลุดมาในโลกแฟนตาซีซะแล้ว
ผมพยายามเดินคลำทางไปเรื่อยๆ หวังว่าจะโชคดี ได้เจอเพื่อนที่ทำงานของเอเดนคนนั้น อันที่จริงถ้าผมฉลาดกว่านี้อีกสักนิด ก่อนเข้ามาผมน่าจะโทรบอกเจคราทก่อน แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อควักโทรศัพทร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่บังคับให้เจคราทซื้อให้ขึ้นมาแล้วพบว่าเครื่องดับไปแล้วและก็เปิดไม่ติดซะด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แบตยังเต็มอยู่เลย
ผมใช้เวลาตัดสินใจได้ไม่นานก็เดินตามหาเพื่อนของเพื่อนคนนั้นต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น(เสือก)ที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์โลกส่วนใหญ่
พยายามเงียหูฟังเสียงรอบข้างเผื่อจะได้ยินเสียงฝีเท้าพวกนั้น แต่ก็ค่อนข้างจะจับยากอยู่ เนื่องจากพื้นปูด้วยพรมซึ่งค่อนข้างจะเก็บเสียงพอดู
โชคยังดีที่ผมมาห่างจากพวกเขาไม่มากนัก จึงพอจะแยกแยะเสียงกลุ่มคนที่มีห้าคนไม่ห่างจากนี้ได้ และเมื่อผมค้นพบเป้าหมายแล้วจึงรีบตามไปอย่างระมัดระวังทันทีเพื่อจะได้ลอบจู่โจมพวกมันได้
แอบรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ แฮะ เหมือนเป็นตัวเอกที่กำลังหลงเข้ามาในองค์กรอะไรสักอย่างเลย แล้วสักพักก็ได้ล่วงรู้แผนการร้ายบางอย่าง จนสุดท้ายก็โดนเก็บอย่างเงียบๆ แล้วมารู้ความจริงตอนเป็นวิญญานไปแล้วว่าผมมันก็แค่ตัวละครใช้แล้วทิ้ง พระเอกจริงๆ คือเจคราทต่างหาก
เอิ่ม เลิกคิดไร้สาระแล้วรีบตามหาต่อดีกว่า
อ๊ะ เจอเป้าหมายแล้ว
พวกมันสี่คนยืนล้อมหน้าล้อมหลังยามิสเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาหนีออกมาได้ ผมจึงใช้พลังจิต นึกถึงก้อนพลังใหญ่ๆ แล้วส่งไปอัดคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของเขาทันทีจนมันสองคนสลบไป ยามิสจึงใช้จังหวะนั้นหวดขาฟาดคนข้างหลังที่ถือปืนจี้เขาอยู่จนล้มลงแล้ววิ่งมาทางผม
“ไปเร็ว”
เขาว่าก่อนจะฉุดมือผมให้วิ่งกลับไปทางเดิม และมื่อมาถึงภาพวาดทุ่งทานตะวันยามิสก็กระโจนเข้าไปแตะภาพวาดนั้นทันที พวกเราจึงถูกดูดเข้าไปและมาโผล่ในห้องน้ำห้องเดิม
แต่ยังไม่ทันจะได้หายเหนื่อย เขาก็ฉุดผมเข้าไปในห้องน้ำริมสุดก่อนจะเอื้อมมือไปแตะภาพวาดดอกบัวแล้วเราก็โดนดูดเข้าไปในภาพวาดอีกแล้ว
แต่คราวนี้ไม่ได้โผล่ออกมาในทางเดินสีขาว แต่กลับเป็นห้องโถงใหญ่ที่มีคนอยู่ประปราย พวกเขาบางคนหันมามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปทำธุระของตัวเอง ดูเหมือนจะไม่มีใครแปลกใจที่พวกเราเพิ่งจะวาปออกมาจากรูปภาพเลยสักนิดเดียว
“อ่าว คุณยามิสสวัสดีครับ”
มีผู้ชายร่างเล็กคนหนึ่งเดินมาหาพวกเราด้วยท่าทางที่เป็นมิตร ดูท่าทางเขาจะรู้จักกับยามิสด้วย
“รีบพาฉันไปหาท่านประทานเดี๋ยวนี้!” แต่ยามิสกลับกระชากคอเสื้อเขามาเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด
ชายคนนั้นเหมือนจะอยากถาม แต่เมื่อเจอสายตาของยามิสเข้าไปก็ได้แต่ทำตามที่เขาสั่ง
พวกเราเดินมาเข้าสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นลิฟท์ แต่มันเป็นทรงกลมซึ่งรอบด้านเป็นกระจกใสและดูไฮเท็คมาก ผู้ชายที่เข้ามาทักยามิสคนนั้นเอาบัตรบางอย่างไปแนบกับแท่นข้างผนังแล้วกดอะไรบางอย่างบนหน้าจอ
ผมรู้สึกวูบเหมือนพื้นลอยๆ และนอกกระจกใสมีเพียงภาพเป็นเส้นๆ เพียงแค่ห้าวิเราก็มาถึงที่หมายแล้ว เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ก็มีเพียงแค่ทางเดินที่ไม่ใหญ่มากนัก
ข้างหน้ามีเค้าเตอร์อยู่ข้างประตู และมีเพียงพี่เข้มใส่แว่นดำคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่เท่านั้น เขารีบลุกขึ้นมาขวางพวกเราทันที
“เข้าไม่ได้ครับ ตอนนี้ท่านประทานมีแขกอยู่”
“ช่างหัวแขกแม่ง! นี่เรื่องสำคัญเปิดประตู!!”
ยามิสไม่ฟังที่พี่เข้มคนนั้นพูด เขาเดินผ่านหน้ายามเฝ้าประตูเข้าไปทันที ซึ่งก็ดูเหมือนยามคนนี้จะไม่กล้าทำอะไรเขาด้วยจึงได้แต่ทำตามที่ยามิสสั่ง ส่วนผมที่ยังถูกยามิสจับมือไม่ปล่อยมาตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้แต่ซอยเท้าเร็วๆ ตามเขาเข้าไปในห้อง
“ออนส์!” ยามิสตะโกนเสร็จก็ปล่อยมือผมแล้ววิ่งเข้าไปหาคนในห้องทันที
ในห้องมีคนอยู่แค่สี่คนกำลังหันหน้าคุยกันอยู่ เมื่อยามิสตะโกนเรียกชื่อใครสักคนในนั้น สองคนที่หันหลังอยู่ก็หันมาทางพวกเราทันที และผมจะไม่ตกใจเลยถ้าไม่ใช่ว่าสองคนนั้น คนหนึ่งคือเพื่อนของผมซึ่งเป็นจ้าวบ่าวที่ตอนนี้ควรจะอยู่ในห้องหอ กับอีกคนที่เป็น ‘พ่อ’ ของสิ่งมีชีวิตในท้องของผมตอนนี้
“เซน! คุณไม่เป็นไรใช่ไหม โอ้ขอบคุณพระเจ้า”
เจคราทรีบวิ่งมาหาหาผมทันที เขายกตัวผมขึ้นมากอดไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก ก่อนจะปล่อยแล้ววางลง
ว่าแต่เอเลี่ยนมันเชื่อเรื่องพระเจ้าด้วยหรอ?
ผมถามเขาทันทีว่าทำไมเขากับเอ็ดดี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เจคราทจึงเล่าให้ฟังว่า เพราะเห็นผมหายไปนานและรู้สึกสังหรไม่ดีจึงออกมาตามหาผมซึ่งเอเดนก็ขอตามมาช่วยด้วยโดยดมกลิ่นและจับสัมผัสพลังงานจากตัวผมมาเรื่อยๆ จนมาถึงห้องน้ำต้นเหตุ และเจอเอเลี่ยนขนยาวตัวหนึ่งนอนหมดสติอยู่ เจคราทสัมผัสได้ถึงพลังงานของผมบนตัวเอเลี่ยนตัวนั้นจึงจัดการปลุกมันขึ้นมาแล้วซ้อมอย่างหนัก แต่ให้ตายยังไงมันก็ไม่บอกอะไรสักที เขาจึงตัดสินใจจะฆ่ามันซะ แต่โดนเอเดนห้ามซะก่อน แล้วบอกจะจัดการเอง เขาจึงปล่อยให้เอเดนจัดการโดยการพ่นอะไรสักอย่างใส่หน้าเอเลี่ยนขนยาวตัวนั้นจนมันหมดสติไปอีกรอบแล้วโทรเรียกใครสักคนมา จากนั้นจึงพาเขามาที่นี่ผ่านรูปวาดดอกบัว และพามาพบคนที่เขาเองก็รู้จักเหมือนกัน เนื่องจากเป็นรองกับตันบนยานเขาเอง…..
พูดง่ายๆ ก็คือคนชื่อออนส์นี่ก็เป็นเอเลี่ยนเผ่าพันธุ์เดียวกับเจคราทเหมือนกัน แต่ที่น่าตกใจจนลูกแทบไหลออกมาก็คือเจคราทเป็นถึงหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์การนาซ่าและยังเป็นหนึ่งในผู้บริหารอีกด้วย แต่หลังจากที่ไปเป็นอาจารย์สอนคณะโบราณคดีสาขามานุษยวิทยาในมหาลัยที่ผมเรียนอยู่และได้เจอผมเข้า เขาก็โยนหน้าที่ให้รองกับตันตัวเองจัดการทันทีอย่างไร้ความรับผิดชอบสุดๆ
ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจ แม้แต่เอเดนเองก็ตกใจที่รู้ว่าเจคราทคืออาจารย์เจย์คนนั้น
พูดถึงเอเดน เจ้าหมอนี่ก็มีปูมหลังที่น่าทึ่งเหมือนกัน เมื่อถามไปถามมาดันพบว่าหมอนี่รู้จักที่นี่ได้ไง มันดันตอบว่าจริงๆ แล้วพ่อมันเป็นฑูตจากดาวอัลทีน่าที่แสนห่างไกล แต่ไม่ได้ไกลเท่าเจคราท
สรุปสั้นๆ ง่ายคือมันเป็นครึ่งเอเลี่ยนนั่นเอง!
โอ้ ให้ตาย นี่รอบตัวผมมีใครเป็นคนธรรมดาๆ กับเขามั่งไหม……..