.
.
.
วันต่อมาทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนปกติ วันนี้ผมมีเรียนตอนแปดโมง แต่เพราะเมื่อคืนมัวแต่ไล่อ่านคอมเม้นต์เพลินไปหน่อย ตื่นมาอีกทีก็เกือบแปดโมงไปแล้ว ผมถึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบเพื่อมาเรียนให้ทัน ตอนมาถึงอาจารย์ก็กำลังเช็กชื่อพอดี ผมกวาดตามองที่ว่างแล้วเห็นว่าไอ้ตั้มมันจองไว้เสียไกล บวกกับอาจารย์แม่จิกตามองมาจนผมไม่กล้าเดินผ่านหน้าแก เลยได้แต่ส่ายหน้าให้ไอ้ตั้มแล้วหย่อนก้นลงนั่งแถวหน้าสุดใกล้ๆกับกลุ่มผู้หญิงในห้อง
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ผมก็ปลีกตัวออกไปรับโรมกินข้าวกลางวัน โรมบ่นว่าอยากกินนมปั่นหลังมอผมก็เลยพาเขาไปและไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรเข้า
“มึงจะให้จู่ๆกูเดินเข้าไปแล้วบอก แทนคุณ เราชอบนาย เป็นแฟนกันมั้ย แบบนี้หรอ ตลกแดกล่ะสัด” เพื่อนของยูที่นั่งอยู่ด้วยเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม เขาอ้าปากเหวอแล้วทำท่าจะสะกิดยูให้รู้ตัว แต่ผมส่ายหน้าไปมาพร้อมแนบนิ้วชี้ปิดปากให้เพื่อนเขาเงียบๆเข้าไว้
“กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้กูอึดอัด แต่กูกับแทนคุณไม่ใช่คนที่รู้จักกันมาก่อน มีแค่กูนี่ที่รู้จักเขาแค่ฝ่ายเดียว กูไม่หน้าด้านพอที่จะทำแบบนั้นหรอก”
“รู้แบบนี้แล้ว มึงยังจะคิดให้กูไปบอกมันอีกหรือเปล่าล่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นก็ลองจีบดูก่อนมั้ย” ผมพูดออกไปพร้อมกับที่ยูสะดุ้งไหล่กระตุก เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมหน้าตาหลังแว่นนั้นโตขึ้นด้วยความตกใจ หน้าตาเขาเอ๋อกว่าครั้งไหนๆที่ผมได้เห็น จนต้องพยายามเก๊กหน้าขรึมไม่ให้หลุดขำออกมาก่อน
พอโรมไปสั่งนมปั่นมาเรียบร้อยพร้อมกับเผื่อแผ่โอริโอ้ปั่นที่ผมโคตรไม่ชอบแต่ก็กินเพราะไม่อยากทำลายน้ำใจของเพื่อนก็ตั้งท่าออกจากร้านทันที เพราะโรมมีเรียนต่อ ซึ่งผมเองก็มีเรียนต่อเหมือนกัน โชคดีที่เพื่อนของยูไม่ว่างไปส่งยูผมถึงได้ไปส่งเขาแบบที่ไม่ต้องอ้าปากพูดอะไรมากมาย ดูท่าเพื่อนเขาเองก็พร้อมจะช่วยเหลือให้ยูจีบผม รวมถึงโรมเองที่พยายามให้ผมกับยูลงเอยกัน
ผมอ้างกับยูว่าไปส่งโรมก่อนเพราะเขามีเรียนเร็วกว่าแต่ความจริงคือผมต้องการยืดเวลาที่จะอยู่กับยูมากกว่า ผมมองตามหลังโรมที่เดินลงจากรถไปด้วยความครุ่นคิดว่าโรมมีบางอย่างปิดบังผมอยู่ก่อนที่จะดึงสติมาแล้วเห็นว่ายูกำลังเหม่อ สีหน้าดูมีอะไรมากวนใจ
ผมเรียกเขามานั่งข้างหน้าและสังเกตจากสีหน้าของยูบวกกับการที่ได้ฟังยูคุยกับเพื่อนที่ผ่านมา ผมรู้ได้ทันทีว่ายูไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ รวมถึงจากการที่ได้ใกล้ชิดกับเขาในช่วงนี้ก็ทำให้ผมรู้ว่ายูไม่คิดที่จะเข้ามาหาผมแน่นอนถ้าผมไม่ทำอะไรบ้าง พอมาส่งเขาที่คณะ ผมก็บีบบังคับขอไลน์และเบอร์ฯของยูมาจนได้ รวมถึงไม่ลืมที่จะย้ำให้ยูจีบผม แต่ผมไม่รู้ว่ายูจะทำมันจริงๆไหม
ผมวนรถไปที่คณะของโรมอีกครั้งเพราะมันอยู่ไม่ไกลจากคณะของผมเท่าไหร่ เห็นเพื่อนของโรมคนหนึ่งกำลังจะวิ่งเข้าตึก ผมรีบวิ่งลงจากรถไปตัดหน้าเขาก่อน
“เดี๋ยว! ขอถามอะไรหน่อย”
“มีอะไร กูรีบ” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาว่องไว
“ช่วงนี้มีรายงานอะไรของเภสัชที่ต้องทำส่งป่าว”
“อืม...เท่าที่จำได้ไม่มีนะ มันใกล้สอบมิดเทอมแล้วไง เฮ้ย กูไปก่อนนะเดี๋ยวสาย” ผมขบคิดในหัวอย่างหนักหลังจากได้ยินสิ่งที่คนๆนั้นบอก ประกอบกับที่น้องเจ้าเล่าว่าพี่หนึ่งมาที่จังหวัดนี้ เห็นบอกว่ามาออกหน่วยกับที่คณะซึ่งอยู่ต่างอำเภอกับที่ผมเรียนอยู่
ไม่มีทางหรอกที่โรมจะไปเจอกับพี่หนึ่งในเมื่อโรมบอกว่าจะตัดใจ แต่ผมก็อดที่จะสงสัยในตัวโรมไม่ได้อยู่ดี ผมเป็นห่วงเขาไม่อยากให้เขาต้องจมกับความรักที่มันไม่มีวันเป็นไปได้ ทั้งที่โรมเป็นคนที่ให้คำแนะนำกับผมตลอดเวลา คอยผลักดันผมให้เปิดโอกาสกับตัวเอง แต่เขากลับกำลังถอยหลังลงไปในบ่อมืดที่หาทางขึ้นไม่ได้ ผมเข้าใจว่าโรมรู้สึกผิดกับผมและอยากไถ่โทษกับความผิดนั้น แต่ผมเองก็ไม่อยากให้โรมต้องมาเจ็บช้ำอยู่คนเดียวเสียหน่อย
ถ้าจะให้ผิดจริงๆตอนนั้นคงต้องบอกว่าเราผิดด้วยกันทั้งหมด
เย็นนั้นหลังจากที่กลับมาที่ห้อง ผมถึงได้พยายามหาอะไรที่ทำให้คลายความตึงเครียดได้ ซึ่งในช่วงเวลานี้สิ่งที่จะทำให้ผมรู้สึกดีได้ก็มีแค่ยู ผมเข้าไปดูความเคลื่อนไหวที่เป็นเรื่องของผมกับตัวเล็ก มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ผมจมอยู่ในโลกโซเชี่ยลนั้นจนเกือบสามทุ่ม ผมถึงได้ลองทักยูไปดูเพื่อเช็กว่าโรมกลับมาหรือยัง ความจริงหาเรื่องคุยนั่นแหละและกำลังคิดว่ายูจะหยอดมุกเพื่อจีบบ้างไหม แต่ไม่เลยผมประเมินยูผิดไปมาก
ผมต้องหาวิธีกระตุ้นเขาใหม่ด้วยการโพสสเตตัสแกล้งเขาซึ่งไม่คิดว่าเขาจะเล่นไปกับผมด้วย
บะหมี่ เกี๊ยว ได้โพสต์
บอกเองไม่ใช่หรอ ว่าให้จีบได้น่ะ – TK Krittidumrong มีความสุขได้ไม่เท่าไหร่ไอโฟนผมก็แผดเสียงร้องออกมาอย่างดัง มองเห็นเป็นเบอร์ของไอ้ตั้มพอกดรับก็ได้ยินเสียงเพลงดังกระหึ่ม
“แดกเหล้ากันไหมมึง”
“ไม่ว่ะ กูขอบาย”
“โหยไรวะ แฟนมึงยังมานั่งดริ๊งได้เลย”
“แฟนกู?”
“ก็เด็กเภสัชเพื่อนสนิทมึงไง” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนจะถามไอ้ตั้มว่ามันอยู่ที่ไหน พอได้พิกัดแล้วผมก็รีบไปยังจุดหมายทันที
ร้านที่ว่าเป็นร้านอาหารกึ่งผับที่ห้อยท้ายป้ายชื่อร้านว่า Bar & Restaurant ซึ่งอยู่ไกลจากมอไปเกือบ 2 กิโลเมตร ผมโทรหาไอ้ตั้มเพื่อเรียกมันออกมาหา คุยกับมันเล็กน้อยได้ใจความว่าก่อนหน้านี้เมื่อชั่วโมงก่อนมันเห็นโรมนั่งคุยกับผู้ชายคนหนึ่งและพอคนนั้นออกไป โรมก็ยังคงนั่งกินต่อ ไอ้ตั้มพาผมมายังจุดที่โรมนั่งอยู่ ท่าทางตอนนี้กำลังเมาได้ที่เลยทีเดียว
“โรม” เขาหันมาตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นผมน้ำตาเขาก็ไหลออกมาทันที
“เดี๋ยวผมไปส่งที่ห้อง” ไอ้ตั้มช่วยผมประคองโรมไปที่รถโดยที่เขาไม่ได้อิดออดอะไรเราเข้ามานั่งอยู่ในรถของผมที่สตาร์ทเครื่องเปิดแอร์ทิ้งไว้แต่ยังไม่เคลื่อนตัวออก โรมฟุบหน้าลงบนคอนโซลรถแล้วร้องไห้ออกมา ปกติเขาไม่ใช่คนที่ชอบมาในที่แบบนี้สักเท่าไหร่ เหล้าก็แทบไม่กินเลยด้วยซ้ำ มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ไม่นานผมก็ได้คำตอบ เมื่อโรมเล่าทุกอย่างทั้งน้ำตาให้ผมฟัง
“มันจบแล้ว คุณ”
“ผมแอบมาเจอกับพี่หนึ่ง ผมดูโง่ไหมคุณ ที่ผมตัดใจจากเขาไม่ได้สักที แต่ตอนนี้มันจบแล้ว เขากับผมเรากลายเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันมาเจอกันได้อีก...ฮึก...พี่หนึ่ง.....พี่หนึ่งจะแต่งงานกับพี่มิลาน.....เขาบอกว่าเขาขอโทษ...แต่....แต่จะให้ผมทนเห็นเขากับพี่มิลานอยู่ด้วยกันได้ยังไง...ในเมื่อผม...ผมยังรักเขาอยู่.....ผมโคตรโง่เลยใช่ไหมคุณ”วันนั้นผมไปส่งโรมที่หอพักนิสิต ก่อนที่จะต่อสายหาพี่หนึ่งซึ่งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรอการติดต่อจากผมอยู่แล้ว เรานัดเจอกันที่คอนโดของผม ในขณะที่ผมกำลังรออยู่บริเวณล็อบบี้อย่างร้อนใจ พี่หนึ่งก็โผล่มาด้วยสีหน้าที่ดูอิดโรย
“ขึ้นไปคุยบนห้อง” เราเดินขึ้นมาถึงห้องได้ก็เปิดประเด็นในสิ่งที่ต่างคนต่างรู้อยู่แล้ว พี่หนึ่งทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาหน้าทีวีก่อนจะพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
“พี่ขอโทษคุณ พี่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะมาจบแบบนี้”
“พี่หนึ่ง ผมถามจริงๆ พี่รักโรมจริงๆหรือเปล่า” น้ำเสียงของผมไม่ได้กระโชกเกรี้ยวกราด ผมถามออกไปด้วยท่าทางสบาย ให้รู้ว่าเวลานี้ความรู้สึกของผมที่มีต่อโรมมันไม่ได้เกินเลยไปไกลกว่าเพื่อนแล้วแน่นอน
“รัก แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกคุณ พี่เป็นความหวังของครอบครัว พี่แบกทุกอย่างเอาไว้ พ่อเองก็อยากให้พี่แต่งงานกับมิลานด้วย พี่รู้ว่ามันมีเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจแอบแฝงอยู่ด้วย แต่พี่เต็มใจ”
“แล้วพี่จะกลับมาหาโรมอีกทำไม ในเมื่อเลิกกันไปแล้วจะติดต่อกันเพื่ออะไร”
“พี่แค่อยากจะมาบอกกับโรมด้วยตัวเอง อีกอย่างพี่กับโรมเรายังไม่ได้เลิกกันทีเดียว ครั้งนั้นที่พี่บอกเลิกเขาก็เพื่อนายนะคุณ พี่เห็นนายเสียใจแบบนั้นพี่ทนไม่ได้”
“พี่ไม่ต้องทำอะไรเพื่อผม ผมไม่ได้ร้องขอ”
“พี่ขอโทษ แต่พี่คิดว่าทางออกนี้คือทางออกเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น”
“แต่ทางที่พี่เลือกตอนนี้ มันทำให้โรมเสียใจมาก...”
“แล้วคุณคิดว่าพี่ไม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดนี้เลยหรือไง”
“...พี่รู้ไหมว่าความรู้สึกคนเรามันเหมือนสิ่งก่อสร้าง เวลาที่จะทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างได้มันใช้เวลานานแต่เวลาที่ทำลายน่ะแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ต่อจากนี้ไปผมหวังว่าพี่ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับโรมอีก ถ้าพี่เลือกแล้วพี่ก็ต้องตัดให้ขาด”
“อืม....พี่ฝากโรมด้วยนะ”
“ผมไม่รับฝาก โรมไม่ใช่สิ่งของที่จะพี่นึกจะโยนทิ้งให้คนอื่นแบบนี้”พี่หนึ่งมองหน้าผมนิ่งอย่างไม่เชื่อว่าผมจะตอบเขาออกไปแบบนั้น
“ผมอยากจะบอกให้พี่รู้เอาไว้ เรื่องของผมกับโรมมันไม่มีอะไรพิเศษ ผมกับเขาเราเป็นแค่เพื่อนสนิทที่หวังดีต่อกันเท่านั้น พี่เลิกทำตัวเป็นพระเอกผู้เสียสละได้แล้ว ผมไม่มองว่าพี่เป็นฮีโร่ในสายตาของผมหรอกนะ พี่เป็นหนึ่ง”หลังจากที่พี่หนึ่งกลับไปแล้ว ผมก็นอนไม่หลับทั้งคืน ผมพอรู้มาว่าพี่มิลานพี่สาวของโรมแอบชอบพี่หนึ่ง ตอนนั้นโรมอยู่ม. 2 พี่หนึ่งอยู่ม. 6 พวกเขานัดกันไปเดินเที่ยวห้างโดยที่ผมไม่รู้เพราะมีซ้อมกีฬาสี และพี่มิลานก็บังเอิญมาเจอเข้าพอดี ตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้คบกันแต่ก็สนิทกันในระดับหนึ่ง หลังจากวันนั้นพี่มิลานก็เอาแต่ถามถึงเรื่องพี่หนึ่งกับโรมซึ่งโรมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนเมื่อพี่หนึ่งไปเรียนต่อและติดที่เดียวกันกับพี่มิลานแต่อยู่คนละคณะ พี่มิลานก็เริ่มตามติดพี่หนึ่ง แต่พี่หนึ่งยังไม่มีทีท่าเล่นด้วยอะไร จนเมื่อขึ้นปี 3 ที่เริ่มเกิดเรื่องนั้นขึ้นและพี่หนึ่งก็มาบอกเลิกโรมพร้อมไปคบกับพี่มิลานแทน
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสองบ้าน ซึ่งพวกผู้ใหญ่ก็เห็นดีเห็นงามด้วยกับเรื่องที่พวกเขาคบกัน โดยเฉพาะพ่อของโรมที่เอ็นดูพี่หนึ่งเป็นพิเศษเพราะอนาคตเป็นหมอเหมือนกัน จนเมื่อปีที่แล้วที่พวกเขาคุยกันถึงเรื่องงานแต่งของทั้งคู่หลังเรียนจบ ตอนนั้นพี่หนึ่งยังคงปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วเรื่องมันจะมาลงเอยแบบนี้
.
.
ผมเป็นห่วงโรมแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ นอกจากการคอยตามดูอยู่แบบนี้ ซึ่งวันนี้เขามีเรียนทั้งวันผมถึงไม่กังวลว่าโรมจะแอบไปเจอพี่หนึ่งอีกหรือเปล่า หลังจากไปรับส่งเขาแล้วผมก็มาเรียนตามปกติในช่วงเช้า พอเลิกเรียนก็ตั้งใจที่จะไปรับโรมกินข้าว แต่ระหว่างที่ขับรถจะไปนั้นผมกลับเจอยูเข้า ความคิดที่จะไปกินข้าวกับโรมเลยพับไว้แค่นั้น ก่อนจะลากยูออกไปด้วย
ผมพาเขามาที่ทะเล ตรงพื้นที่ที่ไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านเพราะต้องการความสงบ ให้จิตใจของผมได้รู้สึกผ่อนคลายไปบ้าง ดูเหมือนยูจะไม่มีความกระตือรือร้นหรืออะไรก็ตามในการรุกจีบผม ผมอยากรู้มากว่าเขารักผมจริงๆหรือแค่ความรู้สึกชอบแบบผิวเผินเหมือนที่หลายๆคนเป็น บางทีเขาอาจจะแค่เป็นแฟนคลับตัวเล็กๆที่ไม่ได้อยากจะเป็นแฟนผมจริงๆก็ได้
แต่พอได้ฟังสิ่งที่เขาพูด มันก็ทำให้หัวใจที่คิดว่ามืดบอดของผมนั้นพบแสงสว่าง
มันเหมือนว่าสิ่งที่ผมกำลังตามหานั้น ผมได้เจอกับมันแล้ว
“สำหรับกูอ่ะน่ะ ไม่เคยคิดหรอกนะว่าจะได้มึงมาเป็นแฟน กูน่ะ...ก็แค่คนๆนึงที่รู้จักมึงแค่ฝ่ายเดียว เป็นแค่ แทนคุณ กฤติดำรง ที่กูรู้จักแค่เพียงเปลือกภายนอกที่เขาอยากให้กูหรือแม้แต่แฟนคลับของเขาได้รู้จัก จนตอนนี้กูกับมึงได้มารู้จักกันแบบจริงจังเพียงเพราะเรื่องบังเอิญกะโหลกกะลาอะไรไม่รู้ อาจจะมาจากความเอ๋อป้ำเป๋อของกูเอง”
“...จนเมื่อวานนี้ที่มึงมาบอกว่า จีบสิ กูให้โอกาสแฟนคลับตัวเล็กๆอย่างมึงจีบกูได้นะ พอมึงทำแบบนั้น ในใจกูอยากบอกว่ากูโคตรดีใจมาก แต่ลึกๆแล้วกูก็กลัว กูไม่อยากคาดหวังอะไรทั้งนั้น มึงรู้ไหมว่ามันจะเจ็บแค่ไหนถ้าเกิดว่าเราวางความหวังไว้มากเกินไป
“...บางทีสำหรับกูแล้ว แค่ได้รักก็มีความสุขมากแล้ว แค่กูเห็นมึงยิ้มได้ มีความสุขกับชีวิตของมึงโดยที่กูยืนมองมึงจากมุมของกู แค่นั้นมันก็มีความสุขที่หัวใจกูแล้ว แต่พอมึงบอกว่าอย่าทิ้งโอกาสที่มึงยื่นมาให้ กูก็จะลองสู้ดู ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของมันจะออกมารูปแบบไหนกูก็จะไม่เสียใจที่กูได้ลองทำ กูอาจจะแค่เจ็บ ก็แค่ร้องไห้ แต่ไม่นานเวลามันก็จะเยียวยากูไปเอง”
“......ความรักสำหรับกู ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผล ฟังแค่เสียงของหัวใจ เสียงของความรู้สึกก็เพียงพอ...กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจากมึงเลยสักนิด แค่ได้เห็นมึงยิ้มได้กูก็มีความสุขแล้ว” ผมรู้แล้วว่าฟองอากาศในหัวใจของผมที่รอวันแตกมันคืออะไร...มันคือการรอคอยและความหวังของผม ที่ตอนนี้มันระเบิดตัวออกมาว่าผมจะไม่ผิดหวังอีกแล้วกับความรักครั้งนี้
ถ้าหากผมโอบอุ้มและรักษามันไว้ให้ดี
จากคำตอบของยูวันนั้น ผมได้เรียนรู้ว่ายูเป็นคนที่ค่อนข้างคิดมาก แม้ว่าเขาจะเป็นคนแสดงออกอย่างเปิดเผยแต่เขามักจะชอบคิดอะไรต่างๆไปเอง คิดแบบที่ไม่ยอมหาคำตอบด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็พยายามบอกเขาเสมอว่าเขาคือคนที่ผมเปิดทั้งโอกาสและพร้อมในการสานสัมพันธ์ แต่ก็มีบ้างที่ยูทำท่าจะถอดใจในโอกาสที่ผมให้อยู่หลายครั้ง เขาทำท่าวิ่งเข้าหาผมแล้วก็วิ่งหนีผมเหมือนกลัวอะไรอยู่ ผมมารู้ในทีหลังเพราะบังคับให้เขาพูด จนผมรู้ว่าเขากลัวเรื่องของผมกับโรมว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ผมถึงได้เล่าให้เขาฟังทุกอย่าง แต่เหมือนว่ามันคงทำให้ยูยังไม่สบายใจเขาถึงได้ขออะไรบางอย่างกับผม
“ที่มึงเคยบอกว่า กูสามารถเอาแต่ใจตัวเอง เห็นแก่ตัวใส่มึงได้ ถ้ากูจะขอใช้สิทธินั้นได้ไหม”
“อยากขออะไรล่ะ”
“เปลี่ยนภาพพักหน้าจอไอโฟนมึงได้ไหม”
“กูขอเหตุผล”
“ถ้ากูบอกว่า กูหวงมึง เป็นเหตุผลพอไหม”หลังจากที่ฟังประโยคนั้นก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างได้ ผมมองยูที่นอนหลับไปแล้วเพราะลมหายใจที่เข้าออกจากสม่ำเสมอ เขาคงเหนื่อยและเพลียมาก ผมหันกลับไปหยิบไอโฟนขึ้นมา แวบหนึ่งที่ผมนึกขึ้นได้ว่าผมเคยบอกอะไรกับโรมไว้ ผมหันไปมองยูอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนภาพพักหน้าจอของตัวเองเป็นรูปอื่น พร้อมทั้งลบภาพเก่าทิ้งไปด้วย พอวางไอโฟนคืนที่เดิมผมก็หันมามองยูอีกครั้ง
ภายในความมืดที่มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟข้างหัวเตียง ผมเห็นเขากระชับกอดหมอนข้างแน่นเหมือนเด็ก อย่าหาว่าผมฉวยโอกาสเลย แต่ภาพที่เห็นตอนนี้ยูน่ารักมากจนผมห้ามใจตัวเองไม่ได้ ผมเกลี่ยวนิ้วลงไปที่ข้างแก้มของยูแล้วทัดปอยผมข้างหูให้เขา ก่อนจะโน้มตัวลงไปกดจมูกฝังลงที่แก้มนิ่มๆ พร้อมกระซิบข้างหูเขา
“ฝันดีนะ ตัวเล็ก”สองวันต่อจากนั้น หลังจากที่ผมไปส่งยูที่หอแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปเจอกับเขาเลย มีพูดคุยกันผ่านไลน์บ้างแค่เล็กน้อย ผมเอาแต่ตามติดโรมเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้แอบไปไหนอีก เมื่อผมมั่นใจว่าโรมไม่ได้ติดต่อกับพี่หนึ่งแล้วผมก็เบาใจ โรมบอกกับผมว่าเขาคิดทางออกของเรื่องนี้ไว้แล้วที่จะทำให้เขาตัดใจจากพี่หนึ่งได้จริง แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
วันต่อมาผมต้องไปค่ายอาสาและผมดีใจมากที่เห็นว่ายูก็มาที่นี่ด้วย แต่ผมมีความรู้สึกว่ายูดูแปลกๆ จนผมทนไม่ไหวต้องถามเขาออกไป ซึ่งคำตอบที่ได้รับทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายคิดมากแทน
“แล้วคำพูดมึงมันเชื่อถือได้แค่ไหนล่ะ” ผมยอมรับว่าความรู้สึกแรกที่ผมได้ยินยูพูดแบบนั้น ผมน้อยใจเขาแต่ผมไม่อยากให้เราต้องทะเลาะกันเลยเดินหนีเขามา ส่วนในใจของผมมันกำลังว้าวุ่นไปหมด พอเก็บของเรียบร้อยผมก็ลงมารอเขาที่ข้างล่าง เดินวนไปวนมาแบบที่คิดไม่ตกว่ายูจะตามมาไหม ผมคิดว่าผมทำทุกอย่างชัดเจนแล้ว แต่มันอาจจะเป็นการชัดเจนแค่ในมุมของผม แต่กับยูมันคงเป็นความรู้สึกคลุมเครืออยู่ก็ได้
จนผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งลงมาตามทางบันได มันทำให้ผมหยุดเดินไปมาแล้วมองไปยังต้นเสียง ผมกำลังภาวนาอยู่ในใจว่า หากคนที่เดินลงมาเป็นยูผมจะเดินหน้าทำทุกอย่างให้ชัดเจนมากกว่านี้ แต่ถ้าหากไม่ใช่ยู....
“กว่าจะมา”
“รอกูอยู่ จริงๆหรอ” หากว่าคนที่วิ่งลงมาตอนนั้นไม่ใช่ยู ผมก็จะวิ่งขึ้นไปหาเขาแทน
ทุกอย่างคลีคลายลงเมื่อผมได้รู้ว่ายูเป็นอะไรไป มันมาจากการที่ผมหายไปนั่นเอง ผมไม่คิดว่าเรื่องของคุณโรมในกระแสโซเชี่ยลจะสร้างความแคลงใจให้ยูจนเดินเป๋ออกนอกเส้นทางการพัฒนาความสัมพันธ์ของเราได้ แต่ผมก็รู้สึกดีมากที่ยูรักผมขนาดนี้ เพราะสุดท้ายเขาก็ไม่ละทิ้งความพยายามที่จะเข้าใกล้ผมอยู่ดี
การมาเข้าค่ายสองวันนี้ทำให้ผมได้คิดอะไรบางอย่างออก ระหว่างที่เราได้พักผ่อนก่อนกลับไปที่มอ ผมพักสายตาและปล่อยความคิดทบทวนกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
หากว่าผมต้องการโอบอุ้มและรักษาความรักที่ยูมีให้กับผม
ผมก็ควรเลือกที่จะตัดความรู้สึกบางอย่างทิ้ง ความรู้สึกที่มันทำให้ก่อเกิดแต่ปัญหาและกลายมาเป็นพันธะติดอยู่ในใจผม ซึ่งมันไม่มีผลดีต่อคนที่จะเดินเคียงคู่ในอนาคตไปกับผมอย่างยูเลยสักนิด คนที่เอาแต่คิดมาก ติดอยู่กับความไม่มั่นใจของตัวเอง และชอบเก็บทุกปัญหาไว้ในใจตัวเองคนเดียว
เพราะอย่างนั้นแล้ว ผมถึงต้องเลือกที่จะปล่อยปัญหาที่มันได้กลายเป็นพันธะภาระของผม
ผมจะปล่อยให้เรื่องโรมมันเป็นเรื่องของโรมที่ต้องแก้ไขเอาเอง ซึ่งเขารับปากแล้วว่าเขามีทางออกกับเรื่องนั้นแล้วและผมในฐานะเพื่อนก็ควรที่จะเชื่อใจเขา
พร้อมกับหันมาสร้างพันธะใหม่ขึ้นมาแทน
“มาลองคบกันไหม”
“แล้วถ้าคบกัน...จะต้องเลิกกันเหมือนที่โรมขอคบกับมึงครั้งนั้นไหม”
“ไม่เหมือนเลยยู...เพราะครั้งนี้กูเป็นคนเริ่ม”
“ตกลง...งั้นเรามาลองคบกันดู”พันธะที่ไม่ใช่ปัญหาและพันธะที่ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นความสุขที่ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
นี่แหละ ความลับทั้งหมดของผม
จบตอนไม่มีอะไรจะกล่าว