สวัสดีค่ะ
ราคาฝันเดินทางมาถึงตอนจบแล้ว เป็นยังไงกันบ้างคะ?
ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนสุดท้าย หากมีช่วงใดตอนใดของนิยายเรื่องนี้ที่ส่งผลผู้อ่านบางท่านรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบใจ แป้งต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้จากใจจริงค่ะ สัญญาว่าเมื่อกลับมาพร้อมกับนิยายเรื่องต่อไปแป้งจะพัฒนางานเขียนให้ดีขึ้น มากน้อยเพียงใดไม่อาจทราบได้ แต่ยืนยันว่ามีความตั้งใจจริงที่จะพัฒนาค่ะ
สำหรับการรวมเล่ม แป้งได้ลงรายละเอียดการสั่งจองไว้ในลิงค์ทางด้านล่างนี้แล้วค่ะ ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853---------------
ราคาฝัน # 38
“พ่อได้ดูที่ชาติให้สัมภาษณ์กับนักข่าววันเปิดตัวแพ็คเกจใหม่ด้วยนะ”
ถ้อยคำที่ดังขึ้นจากปากผู้เป็นบิดาหลังจากการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วๆไปจบลงทำให้ชายหนุ่มต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ ก้อนความวิตกตีขึ้นมาจุกอยู่ที่กลางอกอีกครั้งแล้ว
หากจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ผู้ชายแบบธีรชาติรู้สึกกลัวขึ้นมาได้ สิ่งนั้นก็คงเป็นความนึกคิดของคนที่เขารัก แน่นอนว่าใจบุพการีต้องนำมาเป็นอันดับหนึ่ง
“ครับ..แล้วคุณพ่อมีความเห็นว่ายังไงบ้าง?”
ดวงตาคู่คมที่ดูเหมือนกับดวงตาของเขาแทบทุกกระเบียดนิ้วกำลังจับจ้องมาอย่างแน่วแน่
“...ที่ชาติตอบนักข่าวไปแบบนั้น แสดงว่าเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?...” โดยไม่ต้องมีคำขยายความใดๆ คนฟังก็เข้าใจได้ทันทีว่าผู้เป็นพ่อกำลังหมายความถึงช่วงไหนของการสัมภาษณ์
...‘..ผมได้พูดในส่วนที่ผมจำเป็นต้องพูดไปครบแล้ว อะไรที่นอกเหนือจากนี้ผมขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว..’... ...ต้องเป็นคำตอบแสนคลุมเครือในส่วนนี้แน่นอน...
ธีรชาติเผลอตัวเม้มปากแน่นขณะกลั้นใจพยักหน้าตอบออกไป แม้ว่าในวงสังคมชายหนุ่มจะมีฐานะที่ทำให้ผู้คนข้างข้างต้องเกรงอกเกรงใจ แต่เมื่อมานั่งอยู่ต่อหน้าบิดาซึ่งเป็นผู้เลี้ยงเขามาเองกับมือตั้งแต่สมัยที่ยังเปล่งเสียงร้องได้เพียงอ้อแอ้ๆ ผู้บริหารระดับสูงคนนี้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองนั้นเป็นแค่เด็กไม่รู้ประสา
“เป็นเรื่องจริงครับ” เขาสารภาพออกไปตามตรง
เกิดเป็นความเงียบขึ้นปกคลุมบรรยากาศรอบโต๊ะอาหารไปครู่ใหญ่ จรัสนิ่งพิจารณาสีหน้าของลูกชายอยู่นานจนคนถูกมองเริ่มมีเหงื่อซึมชื้นออกมาตามไรหน้าผากและแผ่นหลัง
“ไม่เห็นมีวี่แวว..” ชายสูงวัยกล่าวขึ้นอีกครั้ง สองคิ้วสีดอกเลาทรงหนาขมวดเข้าหากันน้อยๆ “...พ่อไม่เคยคิดว่าชาติจะมีรสนิยมแบบนี้มาก่อน เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน?”
“..ก็..ตั้งแต่เจอจินดานี่แหละครับ..”
“..จินดา?..อ้อ..เป็นเจ้าจินดาจริงด้วยหรือนี่? ถึงว่าสิ..พ่อก็รู้สึกแปลกๆอยู่แล้วเชียว” ทีนี้จรัสก็สามารถเข้าใจถึงที่มาของความทุ่มเทเอาใจใส่เกินปกติที่ลูกชายของตนมีต่อสถาปนิกไฟแรงคนนั้นขึ้นมาได้สักที “เจ้าหนุ่มนั่นมีรสนิยมแบบนี้อยู่แล้วเรอะ?”
“ไม่ใช่ครับ จินดาเองก็เป็นเหมือนผม” ท่าทีแสนเคร่งขรึมของคนตรงหน้าบอกให้ธีรชาติรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเป็นกังวล “ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกให้คุณพ่อทราบด้วยตัวเอง”
นักธุรกิจผู้ทรงอำนาจส่ายศีรษะไปมาเบาๆทั้งที่เรียวคิ้วก็ยังคงขมวดเข้าหากัน “ชาติรู้ใช่ไหมว่าถ้าเลือกทางนี้แล้วอนาคตจะต้องเจอกับอะไรบ้าง?”
ชายหนุ่มพยักหน้าทันที “ทราบครับ”
“มั่นใจจริงหรือเปล่าว่าไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ?”
“มั่นใจครับ”
“คิดว่าตัวเองอยู่กับอนาคตแบบนั้นได้แน่เหรอ?”
“อยู่ได้แน่นอนครับคุณพ่อ ก่อนตัดสินใจผมก็ไตร่ตรองมาดีแล้ว”
เมื่อได้รับคำตอบแสนชัดเจนมาจนครบทุกคำถามชายสูงวัยก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้ก่อนยกสองแขนขึ้นกอดอก ช้อนส้อมที่อยู่ในมือเมื่อสักครู่ถูกวางพักไว้บนจานตรงหน้าชั่วคราว
“แม่เขาโกรธนะชาติ..” จรัสเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากนั่งจ้องตาบุตรชายนิ่งๆอยู่ครู่ใหญ่ “..ตอนเห็นข่าวนี่โมโหมากว่าทำไมชาติไม่ปฏิเสธให้ชัด เขาเกือบจะโทรฯถามให้รู้เรื่องตั้งแต่คืนวันนั้นแล้วแต่พ่อห้ามไว้ก่อน”
จบประโยคของผู้เป็นพ่อธีรชาติก็กดปลายคางก้มหน้าลงต่ำ แม้ไม่ได้แปลกใจนักแต่ฟังแล้วก็อดรู้สึกปวดหนึบในอกขึ้นมาไม่ได้
ดวงตาคู่คมเบนกลับขึ้นมาสบกับบิดาอีกครั้ง “เดี๋ยวผมจะรีบหาเวลาเข้าไปอธิบายกับคุณแม่เอง”
“อย่าเพิ่งเลย” จรัสรีบค้านทันที “ให้เวลาแม่ได้ทำใจอีกสักพักเถอะ เข้าไปคุยตอนนี้ก็มีแต่จะใช้อารมณ์ ชาติก็รู้นิสัยเขาดี..ระหว่างนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อไปก่อน เดี๋ยวพอเริ่มเย็นลงเมื่อไหร่น่าจะคุยง่ายขึ้นอีกเยอะ เขาไม่ใจร้ายหรอก คงแค่ห่วงลูกตามประสาแม่”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเข้าหากันอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับคำแนะนำเพียงเบาๆ
“ไม่ง่ายนะชาติ พ่อเตือนไว้เลยว่ามันไม่ง่าย” ผู้อาวุโสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าครั้งใด ดวงตาคู่คมจับจ้องแน่วแน่ไปยังสีหน้าเคร่งเครียดของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “พวกเรายืนอยู่ในที่แจ้ง ทำอะไรใครก็เห็น ทำอะไรใครก็สนใจ ต่อไปชาติกับคนของชาติอาจต้องเจอปัญหาอีกเยอะ..
ถ้ามั่นใจแล้วว่าการเลือกทางนี้มันคุ้มค่าจริงๆก็ช่วยดูแลชีวิตตัวเองให้ดีด้วย คนที่บ้านเป็นห่วง”
บางสิ่งในแววตาของคนฟังเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากประโยคของผู้เป็นบิดาจบลง
“คุณพ่อ..ไม่เสียใจใช่ไหมครับ?”
นักธุรกิจสูงวัยส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เสียใจ แค่ตกใจ..ชาติก็รู้ว่าพ่อจะเสียใจก็ต่อเมื่อเห็นความล้มเหลว ตราบใดที่ลูกมีความสุขดีคนเป็นพ่อจะเสียใจไปทำไม?”
รอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากความโล่งอกค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มทีละน้อย
...พ่อยังคงเชื่อเขาอยู่เสมอ...
...ไม่ว่าเมื่อไหร่การตัดสินใจของเขาก็ไม่เคยเป็นแค่ขยะไร้ค่าสำหรับชายคนนี้...
“ขอบคุณที่ไว้ใจครับพ่อ”
จรัสพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ช้อนส้อมถูกเจ้าสัวผู้โด่งดังหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือด้วยท่าทางผ่อนคลายอีกครั้ง
“โตจนเป็นเจ้าคนนายคนได้ขนาดนี้ไม่ไว้ใจก็แย่แล้ว” ชายสูงวัยตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มข้างมุมปาก “..เดี๋ยวรอแม่เขาหายโกรธเมื่อไหร่ชาติก็พาเจ้าจินดามาให้พวกเราทำความรู้จักบ้างแล้วกันนะ..”
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัวของร้านเหล้าเจ้าเก่ง เสียงหัวเราะเฮฮาของบรรดาสถาปนิกและมัณฑนากรพลังงานสูงจากบริษัททอมทอมสตูดิโอดังเคล้าดนตรีอะคูสติกอยู่อย่างต่อเนื่อง หากลูกค้ารายไหนเข้ามาใหม่ก็คงต้องสะดุดตาเข้ากับโต๊ะตัวยาวซึ่งถูกจับจองไว้โดยพวกเขาเป็นจุดแรกแน่ๆ
“เบาหน่อยแว่น...นี่มันเยอะไปแล้ว” โกวิทรีบยกมือขึ้นดึงก้นแก้วบรรจุเครื่องดื่มสีเหลืองทองของเจ้าเด็กไม่รู้จักประมาณตนข้างกายไว้เมื่อเห็นว่ามันถูกกระดกขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเกิดเมาขึ้นมาแบบคืนนั้นอีก คราวนี้กูปล่อยให้มึงนอนเฝ้าร้านเขาจริงๆนะ”
“ผมยังดื่มไม่ถึงแก้วเลยพี่โก๋”
“สำหรับคนคออ่อนครึ่งแก้วก็ถือว่าเยอะมากแล้ว..พอ”
“โธ่..”
บทสนทนาโต้ตอบของคนทั้งสองอยู่ในสายตาของชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน รอยยิ้มล้อเลียนปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนใสที่ยามนี้เริ่มจะขึ้นสีแดงเรื่อเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“ผมกล้าพนันเลยว่าหลังจากพรุ่งนี้ไปพี่โก๋ต้องคิดถึงน้องแน่ๆ”
ถ้อยคำจากเจ้ารุ่นน้องตัวดีเรียกให้คนเป็นเจ้าของชื่อต้องสะบัดหน้าขวับ “กูส่งเด็กฝึกงานจบมากี่รุ่นแล้วไอ้จิน? ชินจนไม่รู้จะชินยังไงแล้ว”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็สั่นศีรษะทันที “ไม่เหมือนกันอะผมว่า กับน้องคนอื่นพี่ดูแลเขาใกล้ชิดแบบนี้เหรอ? ผมก็เห็นมีแต่ไอ้ต้นนี่แหละที่พี่เลี้ยงดูปูเสื่ออย่างกับเป็นลูกตัวเอง”
จบประโยคของจินดาสายตาสองคู่ของคนที่กำลังถูกพูดถึงก็เหลือบมองกันราวกับเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ
...แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่โกวิทก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความประดักประเดิดที่เกิดขึ้นคั่นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองได้เป็นอย่างดี...
ฝ่ามือหนาใหญ่ยกขึ้นโบกไปมาตรงหน้าหลังจากที่ดึงความสนใจกลับมาอยู่กับคำพูดเมื่อสักครู่ของรุ่นน้องคนสนิทได้อีกครั้ง “..มึงเวอร์แล้วจิน กูก็ดูแลแบบนี้ทุกคน..”
...แม้ปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ที่จริงในใจกลับตระหนักดีว่ามันไม่จริง...
...เขาไม่ได้ดูแลเด็กฝึกงานแบบนี้ทุกคน...
ครบสองเดือนเต็มแล้วนับตั้งแต่วันแรกที่ต้นตระการโผล่เข้ามาฝากเนื้อฝากตัวเป็นเด็กในปกครอง จนตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เด็กหนุ่มต้องกลับไปเรียนหนังสือตามปกติเสียที
...เวลาผ่านไปเร็วดีแท้...
แม้งานเลี้ยงส่งบรรดาเด็กฝึกงานทั้งสี่ห้าชีวิตกลับสู่รั้วมหาวิทยาลัยในค่ำคืนนี้จะดูครื้นเครงตามที่บรรดาพี่ๆตั้งใจไว้ แต่น่าแปลกว่าโกวิทกลับรู้สึกไม่มีอารมณ์ร่วมเอาเสียเลย
...ในใจมันห่อเหี่ยวอย่างไรไม่รู้...
“เฮ้ย..แย่แล้ว!” จู่ๆเจ้าเด็กที่นั่งอยู่ข้างกันก็อุทานขึ้นมาเช่นนั้น สองมือผอมบางขยับลูบๆคลำๆไปตามส่วนต่างๆของร่างกายด้วยท่าทางรีบร้อน “ผมลืมเอากุญแจรั้วที่หอมา สงสัยต้องกลับก่อนแล้วครับพี่ๆ เดี๋ยวเขาล็อครั้วแล้วจะเข้าไม่ได้”
“อ้าว!” โกวิทร้องเสียงดัง “แล้วมาลืมอะไรวันนี้วะ!”
“มันเลือกวันได้ที่ไหนล่ะ...ผมขอโทษนะครับพี่ๆ คงต้องกลับแล้วจริงๆ”
“โธ่ น่าเสียดาย..เลี้ยงส่งทั้งที” จินดากล่าวออกมาเสียงอ่อน “คืนนี้ไปนอนห้องพี่ก่อนไหม? พรุ่งนี้ค่อยกลับหอก็ได้ จะได้อยู่ด้วยกันจนจบ”
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะไปมาเบาๆ “ผมต้องกลับไปให้อาหารปลาด้วยครับ เมื่อเช้าก่อนออกมาให้มันกินไปนิดเดียวเอง”
บรรดารุ่นพี่รอบโต๊ะบ่นเสียอกเสียดายกันเซ็งแซ่ จะมีก็แต่คุณพี่เลี้ยงคนสำคัญเท่านั้นที่เอาแต่นั่งกอดอกขมวดคิ้วปั้นหน้าไม่สบอารมณ์อยู่เงียบๆเพียงผู้เดียว
เด็กหนุ่มเก็บข้าวเก็บของก่อนลุกขึ้นจากที่นั่ง สองมือยกประนมไหวเหล่าผู้อาวุโสกว่าไปรอบวง “ขอบคุณพี่ๆทุกคนมากเลยนะครับที่ช่วยดูแลแล้วก็สอนงานผมมาตลอดสองเดือน อยู่ที่นี่ผมสนุกมาก...”
...แม้ทุกประโยคจากปากเด็กหนุ่มจะฟังดูเหมือนถูกส่งไปให้รุ่นพี่ทุกคน ทว่าสายตาใต้กรอบแว่นคู่นั้นกลับเบนไปตกอยู่ที่ใครคนหนึ่งบ่อยเป็นพิเศษ...
“...แล้วก็ ถ้าหากผมเคยทำให้พี่คนไหนไม่ชอบใจหรือรำคาญ ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ”
ฟังมาถึงตรงนี้ใบหน้าดุดันของโกวิทก็ถูกกดลงต่ำจนปลายคางครึ้มเคราแทบชิดอก
...ไม่อยากฟังเลย...
เหล่าพนักงานจากทอมทอมฯต่างก็แย่งกันอวยพรหลานรักของผู้เป็นนาย บ้างขอให้เรียนจบไวๆ บ้างขอให้ธีสิสตอนปีห้าได้เกรดเอ จนกระทั่งไม่มีใครต้องการพูดอะไรขึ้นมาอีก...
“เฮ้ยไอ้โก๋ ไม่พูดอะไรกับน้องหน่อยเหรอ? ประคบประหงมกันมาตั้งสองเดือน นั่งนิ่งเป็นก้อนหินเลยนะมึง”
คำกระตุ้นจากนายแม็คเรียกให้โกวิทต้องเงยหน้ากลับขึ้นมาสบตาเด็กหนุ่มในความดูแลอีกครั้ง
...เหมือนเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ...
...ถ้อยคำตรงใจมากมายวิ่งวนให้วุ่นอยู่ในห้วงความคิด ทว่ากลับไม่มีคำใดเลยที่ชายหนุ่มเห็นว่าเหมาะสมพอที่จะปล่อยให้มันเล็ดลอดผ่านริมฝีปากออกมา...
“โชคดี” สถาปนิกร่างหนากล่าวสั้นๆเพียงเท่านั้นก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางเบา
“อะไรวะเฮีย? แค่นี้เองเหรอ?” จินดาท้วงขึ้นมาโดยพลัน “แม่งไม่ซึ้งเลยอะ”
“เออ มีปัญญาพูดแค่นี้แหละ”
“โห่ อะไรว้า..”
ต้นตระการยกสองมือขึ้นประนมตรงหน้าอีกครั้ง “แค่นี้ก็เป็นคำอวยพรที่ดีมากแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับพี่โก๋ ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องเลย”
“..อ..อืม..ไม่เป็นไร..”
“ผมกลับก่อนนะครับทุกคน”
แล้วในที่สุดเด็กหนุ่มก็หันหลังเดินออกจากวงสังสรรค์ไปจริงๆ
โกวิททอดสายตามองตามร่างกายผอมบางที่เคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆด้วยรู้สึกวูบโหวงในอก
...มันใจหาย...
...ไม่แน่ใจนักว่าทำไม รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกหดหู่เอามากๆ...
“อ้าว ไปไหนวะพี่?” จินดาเอ่ยถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรุ่นพี่ที่เคารพวางธนบัตรไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“กูกลับละ...ฝากจ่ายเงินด้วย”
.
.
“แว่น!”
สองเท้าที่ย่างไปตามฟุตบาธผิวขรุขระหยุดชะงักลงทันทีเมื่อคำสรรพนามอันแสนคุ้นเคยดังเข้าหูมา เด็กหนุ่มหันขวับไปหาต้นเสียงด้วยความตกใจ “พี่โก๋!”
ร่างสูงใหญ่ของโกวิทวิ่งเหยาะเข้ามาใกล้ก่อนจะหยุดลงเมื่อระยะห่างเหลือเพียงไม่ถึงเมตร “ทำไมเดินเร็วจังวะ? หา? เกือบตามไม่ทันแล้ว”
“..ม..มีอะไรเหรอครับ? อ๊ะ! หรือว่าผมลืมจ่ายเงิน?”
“ใช่ที่ไหนเล่า วันนี้พี่ๆเขาเลี้ยงมึงไง” สถาปนิกหนุ่มกล่าวเจือเสียงหอบหายใจ “นี่กลับยังไง? รถเมล์ใช่ไหม?”
“..ใช่ครับ..”
“งั้นไปกับกูไป วันนี้กูเอารถมา เดี๋ยวขับไปส่ง”
“โอย ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนเปล่าๆ...พี่โก๋กลับไปนั่งในร้านต่อเถอะ”
โกวิทไม่เสียเวลายืนเถียงกับเด็กหนุ่มอยู่ตรงนี้นานนัก เขาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้อย่างถือวิสาสะก่อนจะออกแรงดึงเบาๆให้เดินไปด้วยกัน “ให้กูไปส่งนะแว่น...วันนี้กูอยากไปส่งมึง”
“..พี่โก๋..”
โกวิทหันมองคนทางด้านหลังเพียงเล็กน้อย แววตาอ่อนแสงอย่างที่ต้นตระการไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนักคือสิ่งที่พี่ชายปากร้ายคนนี้กำลังส่งมาให้เขา
“ไหนๆก็ดูแลมาตั้งสองเดือนแล้ว ขอกูดูแลให้มันตลอดรอดฝั่งอย่างที่กู๋มึงไว้ใจแล้วกัน”.
.
ล้อทั้งสี่ค่อยๆชะลอการหมุนลงก่อนจะมาหยุดสนิทอยู่เบื้องหน้าอาคารห้าชั้นในย่านซึ่งไม่ห่างจากที่ตั้งมหาวิทยาลัยของต้นตระการ
...ทำไมมันเร็วนักวะ?...
โดยปกติแล้วการได้ขับรถในช่วงหลังสี่ทุ่มมักทำให้โกวิทอารมณ์ดีได้เสมอเนื่องจากบนท้องถนนนั้นไม่มีรถราคันอื่นๆมาเบียดเสียดให้รำคาญใจ
...แต่สำหรับวันนี้เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น...
...ความโล่งของเส้นทางสัญจรมันส่งผลให้เขาเดินทางมาถึงที่หมายเร็วเกินไป...
น่าแปลกว่าทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากพูดอยากถาม แต่ตลอดทางที่ผ่านมาบรรยากาศภายในห้องโดยสารกลับมีเพียงความเงียบปกคลุมไว้เท่านั้น แม้กระทั่งตอนนี้เองโสตประสาทของพวกเขาก็ยังคงรับได้แค่เสียงเครื่องยนต์ไม่น่าพิสมัย
...คนที่ควรลงจากรถไม่ยอมขยับเขยื้อน ในขณะที่คนเป็นเจ้าของรถก็ไม่คิดออกปากไล่...
ฝ่ามืออุ่นหนาข้างซ้ายของโกวิทขยับขึ้นไปวางแหมะลงบนศีรษะกลมๆน่าเอ็นดูของเจ้าหนูข้างกาย ใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ยังคงตั้งตรงไม่หันเข้าหากัน
ต้นตระการหลับตาลงรับสัมผัสทันที
“..รีบเรียนให้จบนะ..”
โกวิทเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้นด้วยระดับเสียงซึ่งแผ่วเบาผิดปกติวิสัย
“..เรียนจบเมื่อไหร่ก็กลับมาทำงานด้วยกัน..”
เสียงสูดน้ำมูกดังซื้ดซ้าดเรียกให้คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยต้องหันมองในที่สุด เป็นเพราะดวงตาใต้กรอบแว่นคู่นั้นกำลังหลับสนิทเขาจึงไม่สามารถมองเห็นความแดงช้ำของมันได้ แต่ถึงอย่างไรหยาดน้ำใสๆที่กลิ้งลงมาตามผิวแก้มก็บ่งบอกให้เขาได้รู้อย่างง่ายดายว่ายามนี้เด็กหนุ่มกำลังปี่แตกอีกครั้งแล้ว
“ร้องทำไม? ขี้มูกโป่งอย่างกับเด็กอนุบาล”
เด็กหนุ่มไม่ตอบเพียงแต่ส่ายศีรษะไปมาเบาๆ ดวงตายังคงปิดแน่นไม่มีทีท่าว่าจะลืมขึ้น
เมื่อได้เห็นดังนั้นรอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่มักดูดุดันอยู่เสมอ
...เขาว่าเขารู้นะ...
...เขาคิดว่าเขามองความรู้สึกของต้นตระการออก...
“ขี้แยจังเลยแว่นเอ๊ย..” โกวิทโยกศีรษะของเด็กหนุ่มไปมาอย่างนึกเอ็นดู “..กลับมาเจอกูใหม่คราวหน้าต้องเข้มแข็งกว่านี้นะรู้ไหม?”
ต้นตระการค่อยๆเปิดตาขึ้นอีกครั้ง “..พ..พี่โก๋อย่าเพิ่งลาออกไปทำงานที่อื่นนะครับ..ผมเรียนจบเมื่อไหร่ ผมจะรีบกลับมาช่วยงานพี่โก๋อีก..”
“เออ กูจะไปไหนได้ ทำงานกับกู๋มึงนี่แหละสบายใจที่สุดแล้ว..ไปเถอะ รีบเข้าตึกไป อีกไม่กี่นาทีเขาก็จะล็อครั้วแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ในที่สุดเมื่อถึงเวลาสมควรพวกเขาทั้งคู่จึงจำต้องยุติบทสนทนาแสนอ้อยอิ่งไว้เพียงเท่านี้
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาจนความเปียกชื้นกระจายไปทั่วสองข้างแก้ม ถ้อยคำร่ำลาถูกเอ่ยออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ตลอดทางจะถูกปลดออก
โกวิทจับจ้องทุกอิริยาบถของต้นตระการโดยไม่วอกแวกราวกับต้องการเก็บทุกรายละเอียดใส่ใจไว้ เป็นเพราะไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้ไปจะมีโอกาสได้เจอเจ้าเด็กแว่นคนดีอีกบ้างหรือเปล่า จึงอยากจะมองให้นานที่สุด
...เบอร์ก็มี ไลน์ก็มี...
...แต่จะกล้าติดต่อกันแค่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน...
แล้วในจังหวะที่ประตูรถกำลังจะถูกเปิดออกอยู่แล้วนั้น ฝ่ามือผอมบางของเด็กหนุ่มก็ชะงักลงอย่างกะทันหันจนคนที่เฝ้ามองต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
...กำลังจะเปิดปากเอ่ยถามถึงสาเหตุอยู่แล้วเชียว แต่คำตอบก็ดันถูกชิงเฉลยออกมาก่อนเสียได้...
ดวงตาคมดุเบิกกว้างขึ้นทันทีที่รับรู้ได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นจากบริเวณริมฝีปาก ต้นคอของเขาถูกสองมือของเด็กหนุ่มรั้งให้โน้มเข้าหาด้วยท่าทางงกเงิ่น
...ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมาก...
...เร็วเสียจนโกวิทเกือบจะตั้งตัวไม่ทัน...
ต้นตระการถอนใบหน้าออกอย่างว่องไว เด็กหนุ่มลนลานตั้งท่าจะกระโดดหนีลงจากรถไปดื้อๆหลังจากได้กระทำการอุกอาจกับรุ่นพี่ผู้น่าเกรงขามจนสำเร็จ
“เฮ้ย! เดี๋ยว!” โกวิทร้องลั่นห้องโดยสารก่อนจะยื่นมือออกไปดึงตัวเด็กหนุ่มไว้
...ไม่ว่าอย่างไรคนแก่พรรษาก็ยังคงเก๋าเกมกว่าอยู่วันยังค่ำ...
จากที่เป็นฝ่ายถูกรุ่นน้องบุก คราวนี้โกวิทไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียเหลี่ยมเจ้าเด็กเมื่อวานซืนอีกต่อไป สถาปนิกหนุ่มตรงเข้ารุกรานริมฝีปากของต้นตระการราวกับต้องการเอาคืน ยิ่งไปกว่านั้น สัมผัสของเขาก็ยังแนบแน่นชวนให้ใบหน้าร้อนวูบวาบเสียยิ่งกว่าที่อีกฝ่ายมอบให้เมื่อสักครู่อีกด้วย
โกวิทประคองแนวสันกรามขนาดเหมาะมือไว้ในขณะที่ริมฝีปากก็ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม ความอุ่นร้อนจากร่างกายของเด็กหนุ่มทำให้เขายิ่งไม่อยากคิดถึงครรลองหรือขนบใดให้ปวดสมองอีกต่อไป
จุมพิตไม่คาดฝันดำเนินไปเช่นนั้นอยู่นานหลายวินาที จนกระทั่งเสียงก๊อกแก๊กจากรั้วหอพักที่กำลังจะถูกผู้ดูแลคล้องกุญแจดังเข้าหูมานั่นแหละต้นตระการถึงจะดึงตัวเองออกจากกิจกรรมแสนเคลิบเคลิ้มมาได้
ตอนนี้เด็กหนุ่มมีอาการไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงสักตัวที่กำลังจะถูกเจ้าของจับใส่กรง ลูกตาลอกแลกไร้จุดโฟกัสอันมั่นคง สีหน้าที่แสดงออกมานั้นดูตื่นกลัวทว่าก็ยังชวนมองชวนแหย่ในสายตาของคนเลี้ยงอยู่ดี
“..ข..ขอโทษครับ!..” ต้นตระการละล่ำละลักกล่าวออกมาเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่คิดเงยหน้าขึ้นสบตาอีกเลย แล้วในที่สุดประตูรถก็ถูกเปิดออกจริงๆสักที
โกวิทนั่งใจเต้นตึกตักมองเด็กหนุ่มที่ตาลีตาเหลือกหนีเขาลงจากรถไปด้วยความรู้สึกแปลกใหม่
...นานขนาดไหนแล้วที่ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้...
...ตื่นเต้น ดีใจ เขินอาย อบอุ่น...
...ทุกอารมณ์เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันอย่างกับว่าเขาเหมาซื้อมันมายกแพ็คอย่างไรอย่างนั้น...
ชายหนุ่มพลิกแผงบังแดดเหนือหัวให้กระจกบานน้อยที่ถูกติดตั้งอยู่อีกฝั่งของมันปรากฏสู่สายตา สีหน้าสีตาของตัวเองคือสิ่งที่ต้องการสำรวจที่สุดในยามนี้ และทันทีที่ได้เห็นเงาสะท้อนจนสมใจเสียงหัวเราะจากลำคอก็ถูกเปล่งออกมาในทันที
...แหม...
...บ้าจัง...
โกวิทยกสองมือขึ้นถูหน้าตัวเองอย่างแรงจนตอหนวดตอเคราที่โผล่พ้นผิวหนังออกมาทิ่มฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บไปหมด
...อยากจะจับเจ้าหนูนั่นมาดีดกะโหลกสักทีสองที...
...โทษฐานที่ทำเขาเขินจนหน้าแดงเป็นสาวน้อยวัยใสไปหมดแล้ว...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
