ราคาฝัน # 24
เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์มุดหายเข้าใต้เส้นขอบฟ้า ตะเกียงดวงน้อยจำนวนนับสิบก็ถูกจุดขึ้นเพื่อให้ความสว่างแทนแสงธรรมชาติไปทั่วลานกว้างริมหมู่บ้าน
เหล่าพนักงานชายส่วนมากยังคงไม่หลบเข้าเต๊นท์กันไปไหนเมื่อบรรยากาศโดยรอบนั้นดูครึกครื้นเกินกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้แม้ว่าวันนี้ทั้งวันพวกเขาจะเพิ่งผ่านการใช้พละกำลังกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อยก็ตาม ผิดกับบรรดาสาวๆที่พากันอาบน้ำปะแป้งเตรียมตัวเข้านอนกันไปหมดแล้ว
“วันนี้ไอ้แม็คเจอเนื้อคู่” หลังจากประเด็นว่าด้วยเรื่องความสวยงามของทิวทิศน์บนยอดดอยจบลง เรื่องราวในวงสนทนาก็เปลี่ยนไปสู่หัวข้อที่ดูจะใกล้ตัวขึ้นมาอีกหน่อย
“น้องเขาน่ารักมากเลยพวกมึง ตอนกูได้แผลเมื่อช่วงบ่ายเขาเป็นคนไปหายามาให้กูด้วย...แต่ไม่กล้าคุยอะ สวยเกิน” คนที่ถูกแซวขึ้นมาบอกเล่าโดยไม่คิดขยักความในใจ
“คนไหนวะพี่?” จินดาเอ่ยถามพร้อมด้วยรอยยิ้มล้อเลียนบนใบหน้า
“คนที่วันนี้ใส่เสื้อสีชมพู...มึงก็น่าจะรู้จักนี่ เมื่อเช้ากูเห็นมึงคุยกับเขาด้วย”
“หืม?..เมื่อเช้าผมคุยกับเขาด้วยเหรอ? ใครวะ?...อ๋อ! คุณบัวแน่เลย ที่แก้มยุ้ยๆ วันนี้ถักเปียใช่ไหม?”
“เออ คนนั้นแหละ! ชื่อบัวเหรอ? มึงไปรู้จักเขาได้‘ไงวะ?”
“เขาเป็นเลขาฯของพี่ชา..เอ๊ย..คุณชาติไง ช่วงนี้เจอกันบ่อยหน่อย”
คำสรรพนามที่เกือบจะหลุดลอดผ่านกลีบปากออกมาถูกจินดาตะครุบเอาไว้ได้ทัน
...ชอบลืมตัวทุกทีว่าอยู่ที่นี่ไม่ควรแสดงท่าทีสนิทสนมกับธีรชาติจนเกินไป...
แล้วก็ช่างเป็นจังหวะที่เหมาะเจาะเสียนี่กระไร ร่างกายสูงใหญ่ของคนที่อยู่ในความคิดปรากฏขึ้นในระยะการมองเห็นของสถาปนิกหนุ่มตอนนั้นพอดี
ธีรชาติหยุดยืนมองมาทางวงสนทนาของพวกเขาจากตำแหน่งที่ห่างออกไปราวๆสิบกว่าเมตร และเมื่อสายตาได้สบกัน ผู้บริหารคนดังก็ทำไม้ทำมือส่งสัญญาณให้เขาเช็คโทรศัพท์มือถือทันที
จินดาทำตามซิกแนลโดยไม่มีการอิดออด
‘มาที่เต๊นท์พี่หน่อยสิ’ ข้อความในไลน์ที่เพิ่งได้รับมาไม่ถึงหนึ่งนาทีเป็นเครื่องยืนยันที่ดีเหลือเกินว่าเครือข่ายของลิงเกอร์ฯนี่มันครอบคลุมทุกภาคทุกส่วนของเมืองไทยจริงๆ
‘ตอนนี้เลยเหรอ?’ จินดาพิมพ์ส่งกลับไปเช่นนั้น
‘ใช่ มาหน่อยๆ รบกวนเวลาไม่นานหรอก’ “เขามีแฟนหรือยังวะ? มึงพอจะรู้ไหม?” คำถามว่าด้วยเรื่องสาวสวยที่บุพเพนำพาของนายแม็คยังคงถูกส่งมาให้ หากแต่คราวนี้จินดาไม่ได้มีทีท่ากระตือรือร้นสนอกสนใจเท่าเมื่อครู่อีกแล้ว
“ผมไม่รู้อะ ไว้เดี๋ยวจะลองสืบดูให้นะ” กล่าวจบชายหนุ่มก็ทิ้งช่วงเวลาไว้ให้บทสนทนาได้ดำเนินห่างตัวออกไปอีกสักพักจนเมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสมเขาจึงค่อยๆปลีกตัวออกจากวงไปอย่างเงียบเชียบ
สถาปนิกรุ่นเล็กหันซ้ายมองขวาขณะเดินไปยังที่หมาย ในใจก็รู้สึกขบขันอยู่ไม่น้อยที่ต้องทำตัวหลบๆซ่อนๆอย่างกับเป็นพวกคู่รักดาราทั้งที่พวกเขาสองคนก็ออกจากคุยกันเหมือนเพื่อนพ้องปกติทั่วไป...คิดว่านะ...
...ก็แค่ขี้เกียจตอบคำถามใครต่อใครว่าทำไมสนิทกัน...
...เคยลำบากใจตอนถูกโกวิทถามมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะต้องรู้สึกแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง...
“มีอะไรเหรอพี่?” จินดาเอ่ยถามคนที่ยืนฉีกยิ้มรอเขาอยู่หน้าเต๊นท์ส่วนตัวก่อนแล้ว
แก้วกระดาษบรรจุเครื่องดื่มร้อนควันฉุยแก้วหนึ่งถูกส่งมาตรงหน้าสถาปนิกหนุ่ม
“คนในหมู่บ้านเขาชงชาไว้ให้ พี่ก็เลยเอามาเผื่อจิน เห็นอากาศมันเย็นๆ ดื่มแล้วน่าจะอุ่นขึ้นนะ”
“ขอบคุณคร้าบ..แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่เดินเข้าไปในวง? ชาแก้วเดียว อุตส่าห์ไลน์เรียกออกมา ตอนแรกผมก็นึกว่าพี่มีเรื่องอะไรสำคัญจะไหว้วานซะอีก”
“ก็พี่เห็นจินไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ว่าเราสนิทกัน กลัวว่าเดี๋ยวเดินเข้าไปแล้วจินจะวางตัวลำบากเปล่าๆ”
“แหม..ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย ถ้าแค่นั่งคุยปกติก็ไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อพยางค์สุดท้ายในประโยคของจินดาสิ้นสุดลง รอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนให้คนมองรู้สึกหวั่นใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายโดยพลัน
“พูดอย่างกับว่าปกติเราไม่ได้นั่งคุยกันปกติ...ปกติเราสองคนทำอะไรแปลกๆกันหรือไง?”
ถ้อยคำของธีรชาติก่อให้เกิดเป็นภาพมอนทาจประกอบเพลงหวานเลี่ยนชวนจั๊กจี้หัวใจขึ้นในห้วงคำนึงของคนฟัง จินดาผงะไปเล็กน้อยขณะที่ซีนแสนชิดใกล้จำนวนมากที่เคยเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคนผุดขึ้นเตือนความจำอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆที่จะจินตนาการถึงพวกมัน แต่พอสั่งให้ตัวเองหยุดคิดสมองมันกลับดื้อดึงเสียนี่
...นอนกอดบ้างล่ะ...
...หอมหัวบ้างล่ะ...
...จุ๊บหน้าผากปลอบใจบ้างล่ะ...
...เพิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนก็ตอนนี้แหละว่าโมเม้นต์ ‘แปลกๆ’ ระหว่างเขากับธีรชาติมันมีเยอะแยะไม่ใช่เล่น...
“..อ่า..คือ..มันก็..ไม่ใช่อย่างนั้น..” สถาปนิกหนุ่มออกอาการอึกอักพูดจาไม่เต็มคำและเมื่อตระหนักได้ว่าคงไม่สามารถควบคุมลักษณะท่าทางของตัวเองได้ดีไปมากกว่านี้ สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อๆและทำหลับหูหลับตามองข้ามรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้าของธีรชาติไป “..ว่าแต่..ชานี่หอมดีนะพี่ ชาวบ้านปลูกเองเลยใช่ไหม?..”
“อืม” ธีรชาติตอบเพียงแค่นั้นทั้งที่ยังคงสีหน้าไว้เช่นเดิม
“ดีเนอะ ปลูกชากินเองได้ด้วย..เอ่อ..ผมว่าผมควรกลับไปได้แล้วล่ะ ออกมานานเดี๋ยวเขาสงสัยว่าหายไปไหน...พี่ก็ไปนั่งเล่นด้วยกันสิ ตรงนั้นบรรยากาศดีมากเลยนะ”
“ไม่ล่ะ ถ้าพี่เข้าไปเพื่อนจินคงเกร็งกันหมด คืนนี้พี่ขอนั่งเช็คงานเงียบๆในเต๊นท์ดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ? แล้วแต่...ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เจอกันครับ”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป...มีอีกเรื่อง จินรอตรงนี้แป๊บนะ” ธีรชาติกล่าวเช่นนั้นแล้วจึงมุดตัวหายเข้าไปในเต๊นท์ทิ้งให้จินดาได้แต่ยืนเกาหัวแกรกๆด้วยความงุนงงอยู่ทางด้านนอกเพียงผู้เดียว ก่อนที่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาร่างกายสูงใหญ่จะโผล่ออกมาอีกครั้ง
คราวนี้ผู้บริหารหนุ่มถือเสื้อกันหนาวตัวหนา ถุงเท้า และผ้าพันคอเนื้อดีติดมือออกมาด้วย
“เอ้า..เอาไปใส่ซะ”
“ฮะ? ทำไมอะ? ที่ผมใส่อยู่ตอนนี้มันก็โอเคดีอยู่แล้วนะ”
“พี่ไม่ได้หมายถึงให้ใส่ตอนนี้ เก็บไว้ใส่ตอนนอน”
จินดากะพริบตาปริบๆมองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“ดึกๆบนดอยมันหนาว เสื้อที่จินใส่อยู่หนาไม่พอหรอก ตอนนี้เดินไปเดินมาร่างกายเลยยังอบอุ่นอยู่ แต่พอนอนนิ่งๆเมื่อไหร่จินจะตัวแข็งเลยล่ะ..เอาเสื้อพี่ไปใส่ รับรองอุ่นทั้งคืน”
“ถ้าผมเอาของพี่ไปแล้วพี่จะใส่อะไร?”
“พี่มีของพี่อยู่แล้ว อันนี้เตรียมมาให้จินโดยเฉพาะ”
“..โอ้โห..ดูแลผมดีไปแล้วมั้งพี่...”
“ไม่ได้หรอก..ขืนปล่อยให้หนาว เดี๋ยวกลางดึกจินก็จะไปกอดคุณโก๋”
“บ้า ใครจะไปทำแบบนั้น”
“จะใครล่ะ? ก็คุณนี่แหละครับที่จะทำแบบนั้นคุณจินดา จินไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนหลับตัวเองขี้หนาวขนาดไหน ข้อนี้พี่ต้องรู้ดีกว่าจินแน่นอน” ธีรชาติตอบออกไปด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ สีหน้าเป็นต่อที่แสดงออกไปทำเอาคู่สนทนาถึงกับขมวดคิ้วฉับ แต่แม้กระนั้นสถาปนิกหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ยอมรับเสื้อผ้าที่ถูกยัดใส่มือมาถือไว้แบบงงๆ
“พี่จะมารู้ดีกว่าผมได้ไง? นี่ร่างกายผมนะ”
“รู้สิ...ขนาดแอร์ยี่สิบสี่องศาที่คอนโดฯยังทำให้จินกอดพี่ทุกคืนได้เลย แล้วนี่มันบนดอย พี่มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าคืนนี้จินจะต้องหนาวมากๆ”
จู่ๆจินดาก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นวาบที่แล่นริ้วกระจายไปทั่วสองข้างแก้ม สิ่งที่สะดุดหูไม่ใช่การฟันธงว่าคืนนี้เขาจะต้องหนาว หากแต่เป็นประโยคก่อนหน้าต่างหาก
“..ผ..ผมกอดพี่ทุกคืนอะไร? เอาอะไรมาพูด? ตลกละ...”
“ไม่ตลก..พูดจริง ตอนจินมาอยู่ที่ห้องพี่
เราสองคนนอนกอดกันทุกคืนเลยนะ...”
ลำพังแค่เนื้อความก็ทำให้คนฟังปั้นหน้าได้ลำบากพออยู่แล้ว นี่ธีรชาติกลับยังอุตริเพิ่มความประดักประเดิดให้สถานการณ์ด้วยการเลือกใช้สุ้มเสียงแหบกระเส่าราวกับต้องการจะหยอกเย้าให้อายเล่นเข้าไปอีกอีก คราวนี้จินดาจึงแทบจะหดหัวหลบลงใต้คอเสื้อเลยทีเดียว
“มั่ว! พี่ต่างหากที่เข้ามากอดผมก่อน”
“นั่นมันแค่บางคืนเท่านั้นแหละ ส่วนมากน่ะจินเป็นคนเข้ามาซุกพี่เองทั้งนั้น ถ้าไม่เชื่อลองกลับไปถามผีที่คอนโดฯดูได้...ว่าแต่เคยรู้สึกตัวด้วยเหรอว่าถูกพี่กอด? แล้วทำไมไม่บอกกันบ้างล่ะ?”
“พูดอย่างนี้แปลว่าพี่ตั้งใจกอดนี่หว่า! ผมนึกมาตลอดว่าพี่ละเมอ!”
ได้ยินดังนั้นธีรชาติก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที “ละเมอที่ไหน ปกติพี่นอนนิ่งอย่างกับขอนไม้...ถ้าพี่กอดก็แปลว่าพี่ตั้งใจกอด รู้ไว้ซะนะเด็กน้อย..”
“โอย...พี่เพี้ยนแล้ว พี่ต้องเพี้ยนแน่ๆ...ไม่เจอกันหลายวันไปทำอะไรมา? เพี้ยนกว่าเดิมเยอะเลย” พูดไปสองมือจะขยับเกาหัวเกาหูไป ลูกดำขลับส่ายลอกแลก เดี๋ยวมองซ้ายเดี๋ยวมองขวา เรียกง่ายๆว่ามองมันทุกอย่างยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือดวงตาที่ตอนนี้กำลังฉายประกายวิบวับของคนตรงหน้า
“เพี้ยนไม่เพี้ยนไว้เราคอยดูกัน พี่ว่าอีกไม่นานเดี๋ยวจินก็คงเพี้ยนพอๆกับพี่นี่ล่ะ แต่ตอนนี้จินจะต้องรับปากพี่มาก่อนว่าคืนนี้จะใส่เสื้อ ถุงเท้า แล้วก็ผ้าพันคอที่พี่ให้ไป...ห้ามตื่นมาถอดตอนกลางดึกด้วย”
“แบบนี้มันบังคับกันชัดๆ”
“ไม่รู้แหละ ยังไงพี่ก็ไม่ให้จินกอดคุณโก๋ คืนนี้ใส่ด้วย..รับปากมาเร็ว”
“ถ้าผมไม่รับปากจะเกิดอะไรขึ้น?”
นักธุรกิจคนดังนิ่งคิดไปครู่ ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย “..พี่ก็จะลากจินมานอนเต๊นท์พี่แทน เอาให้คนเขารู้กันไปเลยว่าเราสนิทกันขนาดไหน..แบบนี้ฟังดูเข้าท่าดีเนอะ”
“อ้าวเฮ้ย! บังคับไม่พอยังข่มขู่อีก..ร้ายเกินไปแล้ว! รับปากก็ได้..รับปากก็ได้ กลัวจนขนลุกขนชันไปหมดเลยเนี่ย!” จินดาพ่นถ้อยคำทั้งหมดออกมาในรวดเดียวด้วยจังหวะรัวเร็วก่อนจะส่งเสียงจึกจักใส่หน้าธีรชาติไปเป็นการปิดถ้อยคำครึ่งแรก “ผมไม่คุยกับพี่แล้ว เดี๋ยวคืนนี้นอนไม่หลับ ไปก่อนล่ะ..บาย..อ้อ ขอบคุณมากครับสำหรับชาแล้วก็เสื้อ...จะดื่มให้หมดแล้วก็จะใส่ไม่ถอดเลย! พรุ่งนี้คอยดู คราวนี้ผมไปจริงๆละ..บาย!”
เหตุการณ์เล็กๆที่ชวนให้ธีรชาติทั้งขบขันทั้งรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจในคราวเดียวสำหรับค่ำคืนนี้จบลงตรงที่จินดาจ้ำอ้าวห่างออกไปด้วยท่าทางเหมือนคนสติแตกโดยมีเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจจากเขาดังไล่หลังเป็นการปิดท้าย
...ถึงไม่สามารถนอนร่วมเต๊นท์กันในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนแบบนี้ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะแค่ได้เห็นปฏิกิริยาของจินดาเข้าไปคืนนี้เขาก็คงหลับฝันดีไปจนถึงเช้าแล้ว...
...ก็จะไม่ให้ฝันดีได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่หมายมั่นปั้นมือมาตั้งแต่ยังไม่ออกจากกรุงเทพฯมันกำลังไปได้สวยดีทีเดียว...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
