บานประตูห้องทำงานที่ถูกผลักเข้ามาเรียกให้สถาปนิกรุ่นใหญ่ต้องละสายตาออกจากงานในมือเพื่อมองแขกผู้มาเยือน
“มีอะไรไอ้โก๋?”
โกวิทฉีกยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติให้ผู้เป็นนายก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้ามาหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ว่างหน้าโต๊ะทำงานไม้ตัวสวย “ป๋า..ว่างคุยไหม?”
“มึงจะมาพูดเรื่องไอ้จินใช่ไหม?” ต้อมถามกลับไปอย่างคนรู้ทัน
“ช่าย..”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึง ไปทำงานต่อไป”
“เกี่ยวซี่...” โกวิทตอบออกมาเช่นนั้นแม้ในใจจะนึกหวั่นอยู่ไม่น้อย “...ที่จริง ผมเองก็รู้เรื่องที่น้องมันทำมาสักพักนึงแล้ว ผมช่วยมันปิด ผมก็มีความผิดใช่ไหม?”
เพียงเท่านั้นต้อมก็ขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะขึ้นเสียงใส่ลูกน้องคนสนิทโดยพลัน “มึงรู้แล้วทำไมมึงไม่บอกกู!?”
“ก็...ถ้าป๋ารู้ก่อนป๋าก็ต้องให้มันวางมือจากโปรเจ็คต์นั้นใช่ไหมล่ะ? ผมเห็นไอ้จินมันตั้งใจมาก ก็เลยอยากให้มันได้ทำตลอดรอดฝั่ง..แต่น้องมันยืนยันชัดเจนเลยนะป๋าว่าพอจบไฟนอลพรีเซ็นต์เมื่อไหร่มันจะมาเล่าให้ป๋าฟังทุกอย่าง...เชื่อเหอะว่ามันไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ ป๋าก็รู้ว่าไอ้จินมันอยากทำโปรเจ็คต์แบบนี้ยิ่งกว่าอะไรดี”
จบประโยคยืดยาวของโกวิทต้อมก็นั่งนิ่งทำหูทวนลม ไม่หือไม่อือ เพียงแต่แสดงสีหน้าถมึงทึงแล้วดึงสายตากลับไปสู่จอคอมพิวเตอร์อีกครั้งเท่านั้น ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้นคนเป็นลูกน้องก็ได้แต่ต้องลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
วันนี้จินดากับสถาปนิกร่วมทีมอีกสองคนถูกผู้รับเหมาเรียกตัวไปดูปัญหาในไซต์ที่เขาใหญ่กะทันหัน ไอ้ลูกหมานั่นเลยยังไม่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับป๋าเพิ่มเติม
“...ป๋าไม่ได้กะจะเอามันออกใช่ไหม?...” โกวิทตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้คนถูกถามเพียงยักไหล่เบาๆ
“อย่าทำ’งั้นเลยนะป๋านะ ผมขอร้อง...น้องมันยังเด็ก...”
“เด็กบ้านมึงสิไอ้โก๋! อายุยี่สิบเจ็ดแถวบ้านกูมีเมียมีลูกเป็นโขยงแล้ว...แล้วทำไม? ถ้ากูคิดจะเอามันออกมึงจะทำไม? ถ้าคนมันเลี้ยงไว้ไม่ได้จริงๆน่ะนะ กูยอมปล่อยให้ไปๆซะดีกว่าเก็บไว้ใกล้มือ กูมันเป็นเจ้านายที่หัวช้าไอ้โก๋เอ๊ย ตามลูกน้องฉลาดๆอย่างพวกมึงไม่ทันหรอก” ถ้อยคำประชดประชันถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงกระด้างไม่รื่นหู “..มึงเองก็อีกคน เห็นดีเห็นงามกับมัน เดี๋ยวกูลงดาบกับมึงด้วยดีไหมล่ะ?”
“โธ่ป๋า...ไม่เชื่อใจมันสักนิดเลยเหรอ? อยู่กันมาตั้งนาน...”
“ไม่รู้โว้ย! ไปๆๆ ออกไปได้แล้ว กูจะทำงาน อย่าเพิ่งมายุ่ง”
ในระหว่างที่โกวิทยังไม่แน่ใจนักว่าควรดื้อดึงช่วยตื๊อแทนรุ่นน้องคนสนิทต่อไปดีหรือไม่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเขาไว้เสียก่อน
“ใครอีกวะ! วุ่นวายจริงเว้ยวันนี้...เข้ามา!” สถาปนิกรุ่นใหญ่กระแทกเสียงด้วยความหงุดหงิด ในใจเตรียมพร้อมจะพ่นคำบ่นคำด่าออกไปอีกระลอกหากคนที่มาขอเข้าพบคราวนี้ไม่ได้มีธุระเกี่ยวกับกิจหลวงแบบไอ้ลูกน้องหน้าหนวดที่ยังคงนั่งคลี่ยิ้มเจื่อนอยู่ตรงหน้านี่ “อ้าวแนท มีอะไร?”
“ป๋าคะ..มีแขกมาขอเข้าพบค่ะ” สาวน้อยเจ้าของตำแหน่งพนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์โผล่หน้าเข้ามากล่าวกับผู้เป็นนายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามประสาผู้หญิงทำให้คนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีจำต้องปรับท่าทีให้อ่อนลง
“แขกจากไหนอะ? วันนี้พี่ไม่ได้นัดใครไว้สักหน่อย”
“คุณธีรชาติ จากลิงเกอร์คอร์ปฯค่ะ”
ทันทีที่ชื่อของแขกคนสำคัญลอดผ่านริมฝีปากฉ่ำวาวของหญิงสาวออกมา สถาปนิกผู้ฟังทั้งสองก็หันหน้าสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย
ต้อมเอ่ยปากอนุญาตให้เจ้าหล่อนไปเชิญธีรชาติเข้ามาได้แม้ว่าจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าธุระประการใดที่พาให้ผู้บริหารชื่อดังคนนั้นเดินทางมาหาเขาถึงที่นี่ได้
“ไอ้โก๋ มึงไม่ได้ยินเหรอว่ากูจะมีแขก..ออกไปสิ”
“ขอผมอยู่ฟังด้วยนะป๋านะ เดี๋ยวเดียวเอง”
“มึงนี่นะ!”
ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้งในตอนนั้น คราวนี้คนที่โผล่หน้าเข้ามาไม่ใช่สาวน้อยหน้าเคาน์เตอร์อีกแล้วหากแต่เป็นชายหนุ่มเจ้าของร่างกายผึ่งผายและรอยยิ้มชวนมอง
“สวัสดีครับพี่ต้อม แล้วก็คุณโก๋ด้วยครับ”
“สวัสดีชาติ ลมอะไรหอบมา? พี่ตกใจหมดเลย...นั่งก่อนๆ”
“ต้องขอโทษด้วยครับพี่ที่จู่ๆก็โผล่มาแบบนี้ วันนี้ผมมาที่นี่เพราะอยากคุยกับพี่เรื่องของคุณจินดา” นักธุรกิจหนุ่มไม่เสียเวลารีบตรงเข้าประเด็น “เพราะเรื่องมันเกี่ยวกับลิงเกอร์ฯด้วย ผมก็เลยอยากเอาข้อมูลในส่วนที่ผมรู้มาแชร์ให้พี่ฟัง”
หากนี่เป็นการตีเลขหวย โกวิทคงได้เงินเข้ากระเป๋าไปหลายบาทเลยทีเดียว เดาไว้แล้วไม่มีผิดว่าธุระของธีรชาติในวันนี้จะต้องเกี่ยวกับจินดาอย่างแน่นอน
“ชาติรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
“รู้ครับ ที่ผ่านมาผมได้เห็นขั้นตอนการทำงานของคุณจินมาโดยตลอด แล้วก็รู้ดีด้วยว่าเขาแอบทำงานนี้ด้วยตัวเอง อันนี้ผมต้องขอโทษพี่ต้อมด้วยจริงๆที่ช่วยเขาปิดเป็นความลับ ผมเองก็มีส่วนผิด”
สถาปนิกรุ่นใหญ่นิ่งฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ผมเข้าใจดีว่าแต่ละบริษัทมีมาตรการจัดการกับความผิดของพนักงานกำหนดเอาไว้เป็นเรื่องภายในอยู่แล้ว ผมไม่ได้คิดเข้าไปก้าวก่ายตรงส่วนนี้ครับ ต้องออกตัวไว้ก่อน...เพียงแต่ทราบมาว่าตอนนี้พี่ต้อมกำลังสงสัยในเจตนาของคุณจิน ท่าทางเขาเครียดเรื่องนี้มาก ดูแล้วน่าจะเครียดกว่าการรอรับบทลงโทษด้วยซ้ำ” กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้บริหารหนุ่มทายาทตระกูลดังก็หยิบเอาเอกสารปึกหนึ่งขนาดไม่หนาไม่บางที่เตรียมติดตัวมาด้วยออกจากแฟ้มก่อนส่งให้คู่สนทนา “ตั้งแต่เริ่มโปรเจ็คต์ คุณจินเข้ามาพรีเซ็นต์งานให้พวกผมฟังประมาณห้าถึงหกครั้งได้ นี่เป็นมินิทการประชุมครั้งที่ผ่านๆมา ผมอยากรบกวนให้พี่ลองอ่านรายละเอียดในเอกสารพวกนี้ดู...”
เกิดเป็นความเงียบขึ้นปกคลุมห้องทำงานเล็กๆห้องนี้ไปพักใหญ่ ต้อมสบตากับธีรชาติอยู่ครู่ราวกับต้องการอ่านใจว่าคุณเศรษฐีหนุ่มคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนในที่สุดเอกสารปึกที่วางอยู่ตรงหน้าจะถูกหยิบขึ้นมาเปิดอ่านเนื้อหาภายในทีละชุด
โกวิทพยายามสอดสายตามองไปยังตัวอักษรหลายสิบบรรทัดในบันทึกการประชุมพวกนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่น่าเสียดายว่าตำแหน่งที่เขานั่งอยู่นี้ถือว่าไกลเกินไปสักหน่อย
“คุณโก๋จะดูด้วยก็ได้นะครับ ในเอกสารไม่ได้มีอะไรที่เป็นความลับ” ธีรชาติกล่าวขึ้นเหมือนรู้ใจ
“อะ..งั้นขออนุญาตนะครับ”
โกวิทเลือกหยิบเอกสารฉบับที่หัวหน้าของตนอ่านจบแล้วมาเป็นฉบับแรก หลังจากนั้นจึงต่อด้วยฉบับถัดไปตามที่ต้อมเรียงไว้ไม่ผิดเพี้ยน
สาระสำคัญข้อหนึ่งที่มองเห็นได้จากการอ่านบันทึกเหล่านี้คือ ในการพรีเซ็นต์สามครั้งแรกนั้นไม่มีการกล่าวถึงชื่อบริษัทเลยสักครั้ง สรรพนามที่ใช้เรียกผู้นำเสนอคือ ‘คุณจินดา’ ไม่ใช่ ‘ทอมทอมสตูดิโอ’ แต่เมื่อมาถึงการพรีเซ็นต์ครั้งที่สี่เป็นต้นไป ชื่อของทอมทอมฯก็โผล่มาให้เห็นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
“ในช่วงแรกที่งานโดนติเยอะๆคุณจินไม่เคยเอ่ยชื่อบริษัทขึ้นมาแม้แต่ครั้งเดียว ตอนอยู่ในห้องประชุมเขาออกตัวชัดเจนว่ามาพรีเซ็นต์ด้วยตัวเอง ถึงรายละเอียดส่วนนี้จะไม่ได้ถูกเขียนไว้ในมินิทแต่ผมขอยืนยันว่าเขาทำอย่างนั้นจริงๆ ที่คุณภพเข้าใจผิดเป็นเพราะคุณภพไม่ได้ดูแลโปรเจ็คต์นี้โดยตรงครับ...แล้วถ้าพี่ต้อมลองสังเกตดูจะเห็นว่าตั้งแต่การประชุมครั้งที่สี่ ฟีดแบ็คที่บอร์ดมีให้ดีไซน์ของคุณจินจะเริ่มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตอนนั้นชื่อของทอมทอมฯก็เริ่มถูกเขาให้เครดิตมากขึ้นด้วย ยิ่งฟีดแบ็คเป็นบวกเท่าไหร่คุณจินก็ยิ่งปูเรื่องให้ดีไซน์กลายเป็นของทอมทอมฯไม่ใช่ของตัวเองคนเดียวบ่อยขึ้นเท่านั้น...เขาตั้งใจไว้จริงๆนะครับพี่ว่าจะคว้างานนี้มาให้บริษัทให้ได้...”
ธีรชาติสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วจึงยื่นของบางอย่างไปตรงหน้าสถาปนิกรุ่นใหญ่อีกครั้ง
“...แล้วถ้าพี่ต้อมยังพอมีเวลาผมก็อยากให้ลองเปิดไฟล์งานของคุณจินในแฟรชไดรฟ์อันนี้ดูด้วยนะครับ ผมอยากให้พี่ได้เห็นว่าโปรเจ็คต์นี้มันถูกลูกน้องของพี่พัฒนามาได้ไกลขนาดไหนแล้ว...ผมว่าน่าเสียดายถ้าจะให้มันจบลงแค่ตรงนี้...”
.
.
.
คุยไปคุยมาจากบ่ายแก่ๆก็ปาเข้าไปจนเกือบหกโมงเย็น
ธีรชาติเดินออกจากห้องทำงานของต้อมมาโดยที่ในใจก็ยังหวั่นๆอยู่ว่าสิ่งที่ตนทำในวันนี้จะมีประโยชน์ต่อตัวจินดามากน้อยขนาดไหน เมื่อครู่ต้อมไม่ได้ให้บทสรุปใดๆกับเขาว่าจะทำอย่างไรกับความผิดของเจ้าพนักงานห้าวเป้งรายนี้ดี ชายวัยกลางคนเพียงแต่รับฟังทุกสิ่งที่เขาพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยเท่านั้น
...ดูท่าทางคงยังไม่หายโกรธ...
“คุณชาติ..”
เสียงเรียกจากโกวิทที่เดินตามออกมาจากห้องหยุดฝีเท้าของผู้บริหารหนุ่มคนดังไว้
“ครับ?”
“เดี๋ยวคุณชาติมีธุระที่ไหนต่ออีกไหมครับ?” โกวิทถามเขามาเช่นนั้น
“ไม่แล้วล่ะ คุณโก๋มีอะไรหรือเปล่า?”
สถาปนิกหนุ่มคลี่ยิ้มเจื่อนพิลึกก่อนจะเอ่ยคำชวนที่ทำให้ธีรชาติต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“..สนใจไปหาอะไรดื่มกันหน่อยไหม?..”
.
.
.
“มื้อนี้ผมขอเลี้ยงนะ คุณชาติช่วยน้องชายผมไว้”
“ไม่ต้องเลี้ยงหรอก ยังไม่รู้เลยครับว่าพี่ต้อมจะใจอ่อนลงบ้างหรือเปล่า..อีกอย่างผมเองก็เป็นเพื่อนจินเหมือนกัน เรื่องแค่นี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง”
โกวิทส่งเสียงหัวเราะผ่านลำคอออกมาเบาๆก่อนจะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นจิบ จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังงงตัวเองไม่หายว่าเมื่อครู่อะไรดลใจให้เอ่ยปากชวนธีรชาติออกมานั่งกรึ๊บยามโพล้เพล้ด้วยกันแบบนี้
...สนิทรึ? ก็เปล่า...
...ประทับใจเป็นการส่วนตัวยิ่งไม่ใช่...
...รู้แค่ว่าวันนี้อยากจะเลี้ยงข้าว อยากจะขอบคุณแทนไอ้ลูกหมามันสักหน่อย เพราะในขณะที่เขาได้แต่เอ่ยคำแก้ตัวโง่ๆซึ่งไม่เป็นประโยชน์แทนมัน ธีรชาติกลับตระเตรียมเอกสารยืนยันความบริสุทธิ์ใจมาให้เป็นอย่างดี...
...ใครอ่อนด๋อยกว่าใครงานนี้ก็เห็นชัดๆอยู่แล้ว...
“คุณชาตินี่น่าอิจฉานะครับ...” จู่ๆโกวิทก็เปิดประโยคขึ้นมาแบบนั้นหลังจากปล่อยให้บรรยากาศบนโต๊ะถูกความเงียบครอบงำไว้เกือบนาที
“น่าอิจฉายังไงครับ?”
“...เป็นคนที่ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จไปหมด พูดอะไรใครก็หยุดฟัง ขนาดดื้อๆอย่างไอ้จิน พออยู่กับคุณมันยังดูเชื่องขึ้นมาเลย”
ได้ยินดังนั้นผู้บริหารหนุ่มก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆพลางนึกไปถึงอิริยาบถตอน ‘เชื่อง’ ของบุคคลที่กำลังถูกพูดถึง
...ตอนที่ยอมให้เขากอด ตอนที่กอดเขาตอบ และตอนที่นั่งนิ่งให้เขาจุมพิตหน้าผาก...
...ท่าทีเหล่านี้พอจะเรียกว่าเป็นอาการของคนเชื่องได้ไหมนะ?...
โกวิทวางสายตาพิจารณาสีหน้าของเพื่อนร่วมโต๊ะ ยิ่งได้เห็นท่าทางมีความสุขยามเอ่ยถึงจินดา เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมองภาพสะท้อนของตัวเอง
...จะผิดกันหน่อยก็ตรงระยะทางที่เหลือก่อนถึงเส้นชัยนี่แหละ...
...ของตัวเขานั้นเหลือยาวเป็นโยชน์ แต่ดูเหมือนของธีรชาติจะเหลืออีกเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น...
“ไอ้จินมันนับถือคุณชาติมากนะครับ” โกวิทกล่าวต่อด้วยจังหวะการพูดอันเนิบช้า สายตาไม่ได้จับจ้องอยู่ที่คู่สนทนาอีกต่อไป แล้วที่จริงในใจมันก็นึกไปถึงอีกคำ แต่เพราะไม่อยากจะพูดออกมาให้แสลงปากเท่าไหร่ คำว่า ‘นับถือ’ จึงถูกเลือกมาใช้แทน
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”
“คุณรู้หรือเปล่าว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ไอ้จินมันพูดถึงคุณให้ผมฟังตลอดเลย เดี๋ยวๆก็พี่ชาติอย่างนั้นเดี๋ยวๆก็พี่ชาติอย่างนี้ นั่งปั่นงานไปผมก็ได้ฟังเรื่องของคุณไป จนแทบจะรู้จักคุณมากพอๆกับที่ไอ้จินรู้จักแล้วล่ะ”
น่าแปลกว่าทั้งที่สถาปนิกหนุ่มก็ส่งเสียงหัวเราะขื่นๆปิดท้ายประโยคของตัวเอง แต่ในใจเขากลับไม่รู้สึกถึงความขบขันแม้สักนิด
...เห็นทีว่าไอ้โก๋คนนี้มันชักจะเริ่มเพี้ยนๆหน่อยแล้ว...
...อยู่ดีไม่ว่าดีก็เอาข้อมูลลับมาแพร่งพรายให้ผู้เล่นฝั่งตรงข้ามดีใจเล่นเสียอย่างนั้น...
TBC.
รายละเอียดรวมเล่มราคาฝัน ท่านใดสนใจลองเข้าไปดูกันนะคะ :http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57030.msg3540853#msg3540853
