บทที่ 12
ขบวนรถม้าออกเดินทางจากประตูวังหลวงทางทิศเหนือในตอนฟ้ามืด เส้นทางที่ใช้นั้นเลี่ยงออกไปยังชานเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงหมู่บ้านต่างๆ ทำให้ตลอดเส้นทางนั้นมีอุปสรรคเล็กน้อยอย่างพวกธารน้ำ และป่าไม้โปร่งตามแนวแม่น้ำสายหลักของฮานึล
ในตอนที่สูรยาทิตย์ส่องสว่างทั่วทั้งผืนนภาบ่งบอกถึงช่วงเวลาอรุณรุ่งของวันใหม่ ขบวนรถม้าซึ่งเดินทางมาหนึ่งชั่วยามเต็มโดยไม่หยุดพักก็ได้มาถึงที่หมาย บริเวณเนินเขาพยอนซูทางทิศตะวันตกคือจุดนัดพบของราชครูแห่งเชินอัน
บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าขบวนรถม้า คือชายหนุ่มร่างสูงสง่าผู้มีนัยน์ตาเรียวคมราวศรเพลิงที่พร้อมจะพุ่งใส่ใครก็ตามที่เผลอสบสายตา กลุ่มผมสีดำยาวที่มัดรวบไว้ขับให้เจ้าตัวน่าเกรงขามมากขึ้นเมื่อความดุดันของสีดำตัดกับเสื้อผ้าสีขาวสว่างตาภายใต้ผ้าคลุมสีแดงเข้ม
ชองจีรยง รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งฮานึลตวัดขาลงจากม้าสีหมอก แววตาเฉียบคมไม่แพ้อีกฝ่ายจ้องสบคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ความเป็นผู้อยู่เหนืออำนาจในทุกสรรพสิ่งแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทนกับความกดดันที่เกิดขึ้นนี้ได้ ยกเว้นเพียงชายต่างแคว้นผู้นี้ที่ยังคงสีหน้าและท่าทางไว้เช่นเดิม
“ยินดีที่ได้พบท่าน องค์รัชทายาท” แม้คำพูดจะแสดงถึงความเคารพ ทว่าท่าทางของปาร์คยองจูกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เขาเพียงแต่ยืนมองอีกฝ่ายราวกับไม่ใช่คนพิเศษเท่าใดนัก
“ข้าคงบอกไม่ได้ว่าเป็นความยินดี” จีรยงเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ยาถอนพิษ แลกกับวังชอนซา ข้ามาเพื่อสิ่งนี้” นั่นหมายความว่ารัชทายาทหนุ่มไม่ต้องการเสียเวลาพูดอะไรให้มากความ ร่างสูงหันไปบอกให้หมอหลวงจากึนเปิดม่านหน้ารถม้าเพื่อให้เห็นว่าร่างของวังชอนซาอยู่ในนั้นจริง
ยองจูมองคนตรงหน้าอย่างหยั่งเชิง ก่อนจะล้วงหยิบขวดยาใบเล็กจากอกเสื้อ “ปล่อยรถม้าไว้ตรงนั้น คนของข้าจะเป็นคนดูแลต่อเอง” จบคำพูดนั้น กลุ่มคนบนหลังม้าจำนวนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากเงาของพุ่มไม้ แล้วตรงไปล้อมวงรถม้าไว้ บังคับให้รัชทายาทหนุ่มและแพทย์หลวงต้องขยับออกมายืนอยู่ที่ฝั่งตรงกันข้าม
ยองจูก้าวออกมาด้านหน้า แล้วโยนขวดยาให้หมอหลวงชราที่รีบยื่นมือออกมารับอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
“ข้าแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องให้คนของท่านตรวจสอบ เพราะคนของท่านจะไม่มีวันรู้ว่ามันเป็นยาถอนพิษจริงหรือไม่ ...ข้าขอเสนอให้องค์รัชทายาทรีบเอายากลับไปให้คนของท่านเสียตอนนี้จะดีกว่า เพราะหากช้าไปกว่านี้ แม้แต่ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ร่างสูงของราชครูหนุ่มตวัดตัวขึ้นหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม “การแลกเปลี่ยนเป็นอันสำเร็จ” กล่าวทิ้งไว้เพียงเท่านั้น ยองจูก็ควบม้านำขบวนรถม้าที่มีคนของตัวเองคอยควบคุมอยู่จากไปในทันที
หมอหลวงจากึนก้มลงตรวจสอบขวดยาในมือ ก่อนจะพบว่ามันเป็นอย่างที่ราชครูผู้นั้นว่าไว้ ตัวยาพวกนี้ตนไม่รู้จักแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับพิษร้ายกาจในร่างกายของคุณชายฮีอูที่ตนก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาทูลตอบองค์รัชทายาทไปตามความสัตย์จริงเช่นนั้น และโดยไม่มีคำตอบรับของนายเหนือหัว ขวดยาใบเล็กก็ถูกส่งให้กับผู้เป็นนายได้เก็บเอาไว้ ก่อนที่คนทั้งสองและทหารติดตามอีกสองคนที่เป็นคนควบรถม้ามาเมื่อครู่จะรีบมุ่งหน้ากลับไปยังวังหลวงโดยเร็ว
จีรยงกำขวดยาในอกเสื้อแน่นขณะที่ควบม้าไปข้างหน้า เขาไม่สงสัยเรื่องยาถอนพิษว่าจะเป็นกลลวงหรือไม่ หลังจากที่ได้เจอกับราชครูผู้นั้นด้วยตนเองแล้ว จีรยงก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เขาจะประมาทด้วยแม้แต่น้อย ไม่ต้องแสดงฝีมือให้เห็น ก็รู้สึกได้ถึงวรยุทธที่แข็งแกร่ง ความสามารถของคนผู้นั้นตัวเขายังไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อมองจากสิ่งเหล่านี้ การยึดคำสัตย์ไม่กลับกลอกของจอมยุทธก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าปาร์คยองจูจะทำตามข้อตกลงที่ได้ตั้งไว้
...ปาร์คยองจู สักวัน ข้าต้องได้เจออีกแน่ และคนที่จะแข็งแกร่งกว่าก็คือข้า
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
ครั้งแรกที่ได้เห็นสภาพร่างกายของวังชอนซา ราชครูหนุ่มถึงกับโกรธจนระงับอารมณ์แทบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนตามร่างกาย ก็มีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด เนื้อตัวร้อนเป็นไฟด้วยพิษไข้ที่รุมเร้า แต่ที่ทำให้อารมณ์ของปาร์คยองจูแทบจะระเบิดออกมาคือส่วนลับที่ถูกกระทำรุนแรงจนเกิดบาดแผลฉีกขาด
วังชอนซาไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ข้อนี้เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้วจากโหราศาสตร์ที่ได้ศึกษามา ธาตุเย็นและธาตุร้อนในกายถูกทำลายจนเสียสมดุล อันตรายข้อนี้ยองจูคิดไว้แล้วว่าต้องเกิดขึ้นเมื่อลูกศิษย์ของตนตกอยู่ในกำมือศัตรูอย่างชองจีรยง แต่ถึงขนาดทำร้ายร่างกายมากถึงเพียงนี้ เขาคงประเมินเหตุการณ์น้อยเกินไป
สำหรับคิมซอนอิน โอรสองค์โตแห่งเชินอันผู้นี้ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้ารับตำแหน่งการเป็นองค์วังชอนซา ในเมื่อคิมซอนอินเป็นบุตรชายโดยตรงของผู้นำชนเผ่าชินซองรุ่นก่อน ซ้ำยังเป็นบุตรชายที่มีสายเลือดโดยตรงจากผู้เฒ่าซังซู ยังผลให้คำจารึกบนแท่นหินเหนือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำของหุบเขาชินซองเป็นไปตามคำทำนายอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เหล่าผู้อาวุโสในชินซอง รวมถึงตัวของยองจูเองนั้นรู้ดีแก่ใจต่อเรื่องสำคัญนี้
คิมซอนอิน ไม่ใช่เพียงตัวแทนต่อตำแหน่งของวังชอนซา แต่คิมซอนอินคือผู้ที่ถูกเลือกจากสวรรค์แล้ว
ความจริงเหล่านี้ทำให้ราชครูหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเมื่อพบว่าสิ่งที่ทุกคนหวาดกลัวอาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดความผิดพลาดต่อผู้ที่ถูกเลือก มีเพียงสองทางเท่านั้นที่จะตัดสินเรื่องราวทั้งหมด หากไม่เป็นแสงสว่าง หนทางเดียวที่เหลืออยู่ของวังชอนซาผู้นี้ก็คือความมืดมิดตลอดกาล
“ท่านราชครู...” เสียงของอูรัม หนึ่งในผู้ฝึกวิชาลับแห่งชนเผ่าชินซองเอ่ยเรียกราชครูหนุ่มผู้มีฐานะสูงกว่า ขณะที่ตนค่อยๆ ประคองร่างอ่อนแรงของวังชอนซาลงอย่างนุ่มนวล
ยองจูที่ยืนอยู่หน้ากระโจมพักหลังจากที่ออกเดินทางมาจนพระอาทิตย์ตกดินหันกลับไปมองตามเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม เขาเดินกลับเข้าไปในกระโจมขนาดกลาง แล้วหยุดยืนใกล้กับร่างของซอนอินที่ยังคงนอนสลบไสล
“อีกสองวันกว่าจะออกจากฮานึล ข้าเกรงว่า ธาตุเย็นอาจจะต้านพลังปรวนแปรต่อไปได้อีกไม่นาน”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่จะให้ออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก เห็นทีจะเป็นการเร่งให้พลังธาตุทั้งหมดแตกซ่านเสียมากกว่า” ดวงตาคมของผู้พูดจ้องมองแผ่นหลังขาวนวลที่ปรากฏภาพเลืองแสงน่าประหลาด เรียวคิ้วเข้มกดลึกลงอย่างใช้ความคิด ยองจูนั่งลงบนแท่นไม้ เขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของร่างบางเบาๆ กระแสอุ่นร้อนแผ่กำจายจากฝ่ามือกว้างสู่ผิวเนื้อร้อนระอุด้วยพิษไข้ ไอควันสีอ่อนหมุนวนปะทะกันภายใต้ฝ่ามือของร่างสูง
ระหว่างที่ใช้พลังธาตุประคองความสมดุลให้กับวังชอนซา ความกังวลบางอย่างก็ได้ก่อตัวขึ้นในใจของราชครูหนุ่ม
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
คุณชายฮีอูหายไป
เกิดความโกลาหลในตอนรุ่งสางเมื่อนางกำนัลนันโซพบว่าบนเตียงของผู้เป็นนายนั้นว่างเปล่า หลังจากเมื่อวานที่องค์รัชทายาทนำยาถอนพิษมา คุณชายฮีอูยังคงไม่ได้สติ แต่นอกเหนือจากนั้นดูเหมือนว่าจะหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งอาการกระอักเลือด และอาการผิดปกติอื่นๆ หมอหลวงทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับยาถอนพิษที่เป็นราวกับยาวิเศษ เมื่อการรักษาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกนอกจากรอให้คุณชายฮีอูฟื้นสติ ภายในห้องนอนนี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวน ยิ่งองค์รัชทายาทเป็นผู้ดูแลคุณชายฮีอูด้วยพระองค์เอง ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ห้องนอนเลยแม้แต่คนเดียว ทว่าในตอนรุ่งสาง เพียงแค่องค์รัชทายาททรงออกว่าราชกิจได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางกำนัลคนสนิทของคุณชายฮีอูกลับเข้าไปในห้องแล้วพบเพียงความว่างเปล่าไร้ร่างเล็กบางที่น่าจะนอนอยู่บนเตียง
นายทหารเวรยามหน้าตำหนักออกตามหาคุณชายฮีอูหลังได้ยินเสียงนางกำนัลสาวร้องบอกในทันที ทั้งด้านในและโดยรอบของตำหนักไม่มีวี่แววของคุณชายฮีอูแม้แต่น้อย รวมถึงสุนัขจิ้งจอกขนฟูที่มักจะนอนคดตัวอยู่ใกล้ๆ ร่างเล็กไม่ห่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ความถูกส่งถึงองค์รัชทายาทในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ทหารเกือบทั้งวังถูกสั่งให้ออกตามหาคุณชายฮีอูจนเกิดความวุ่นวายไปหมด หมูบ้านที่อยู่ในเขตเมืองหลวงถูกค้นทุกบ้าน ไม่เว้นแม้แต่กระท่อมไม้ของชาวไร่ชาวสวนตามชานเมือง ทางครอบครัวตระกูลคิมเองก็ได้แต่กระวนกระวายใจ เรื่องยาพิษเพิ่งผ่านพ้นไปไม่เท่าไหร่ ลูกชายคนสำคัญกลับหายตัวไปเสียอีก
เป็นเวลากว่าค่อนวันที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของฮีอู
“ฝ่าบาทจะทรงเสด็จไหนพะย่ะค่ะ?!” โทซองรีบร้อนทูลถามนายเหนือหัวที่กำลังจะขึ้นหลังม้า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มเดาได้ไม่ยากว่าไม่ส่วนใดส่วนหนึ่งต้องเชื่อมโยงกับราชครูหนุ่มจากเชินอันเป็นแน่ ดังนั้นการที่คุณชายฮีอูหายไป ก็อาจจะเป็นกลลวงหลอกล่อให้ฝ่าบาทของตนติดกับก็เป็นได้
“อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยฝ่าบาท ปล่อยให้พวกกระหม่อมจัดการเองเถิดพะย่ะค่ะ” กึมซองเองก็ช่วยห้ามอย่างไม่สบายใจ ด้วยความกังวลที่มีไม่ต่างจากแฝดผู้พี่
“เจ้าหรือข้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ!” ร่างสูงบนหลังอาชาสีขาวคู่ใจหันไปตวาดกร้าวกับองครักษ์หนุ่ม “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะคิดเช่นไร ในเมื่อข้าสูญเสียฮีอู ราชครูนั่นก็ไม่มีสิทธิ์ได้คิมซอนอินไปเช่นกัน!!”
“แต่ว่าฝ่าบาท หากเรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเชินอันล่ะพะย่ะค่ะ! หากคุณชายฮีอูหายไปด้วยเหตุผลอื่น ฮานึลกับเชินอันมิต้องขัดแย้งกันเพราะความเข้าใจผิดหรือ?!!”
“เจ้าคิดว่าข้าสนใจนักหรือไงว่าฮานึลกับเชินอันจะยังเป็นพันธมิตรกันหรือไม่?” ดวงตาคมวาวโรจน์จ้องใบหน้าเรียวคมของโทซองนิ่ง “ข้าไม่เชื่อว่าที่ฮีอูหายไปจะไม่ได้เป็นเพราะราชครูนั่น และข้าก็จะไม่ยอมเสียเวลารอคอยข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น!”
ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เหลือให้สองแฝดหนุ่มได้รั้งองค์รัชทายาทไว้อีก ทั้งสองคนจำต้องรีบตวัดตัวขึ้นหลังม้าแล้วออกเดินทางตามหลังนายเหนือหัวไปอย่างรวดเร็ว
ม่านฟ้ากว้างไกลเริ่มถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดของยามค่ำคืนที่เย็นยะเยือก แนวไม้ไหวลู่ลมไปตามแรงพัดผ่านของม้าเร็วทั้งสามตัว สามบุรุษหนุ่มบนหลังอานไม่แม้แต่จะผ่อนแรงลงทั้งที่ออกเดินทางมาตลอดสองชั่วยามโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งเข้ายามหนึ่ง พวกเขาจำเป็นต้องหยุดเพื่อให้ม้าได้พักฝีเท้า
จีรยงเลือกที่จะนั่งพักสายตาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง โดยมีองครักษ์ทั้งสองคนคอยเฝ้ายามอยู่ไม่ไกลนัก
อาจจะเป็นเพราะความเครียด อาการล้าของกล้ามเนื้อ หรือความกังวลใจที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้ร่างสูงรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ เขาลดเปลือกตาลงจนปิดสนิท
ทั้งที่คิดว่าจะพักสายตาไม่นาน แต่พอรู้สึกตัวอีกที จีรยงกลับเห็นใครบางคนจากความทรงจำในส่วนลึกปรากฏอยู่ตรงหน้า ...ก่อนที่เขาจะทันได้หยุดยั้งความคิดเช่นทุกครั้งที่เคยทำ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอ ความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้านั้นคือคำจำกัดความเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในห้วงความคิด ‘งดงาม’ นั่นคือความเป็นจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ก็ไม่ได้อยากที่จะยอมรับมัน
วังชอนซางดงามเกินกว่าที่เคยได้ยินมา
ร่างกายบอบบาง ไร้เดียงสา แววตาเป็นประกายใสซื่อ บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ทั้งที่เป็นถึงโอรสของกษัตริย์ แต่กลับไม่เอาอ่าวเรื่องวรยุทธ ซ้ำยังมีรูปโฉมงดงามเกินบุรุษเพศ เพียงแค่เห็น ก็อดจะเกิดความหงุดหงิดขึ้นในใจไม่ได้ ...หรือความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิด คือการที่ถูกคนตรงหน้ายั่วอารมณ์โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ปั่นป่วนความรู้สึกของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามจะไม่สนใจ แต่กลับมีบ่อยครั้งที่กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าตนเองปล่อยความรู้สึกให้หลงใหลไปกับร่างบางตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
อดไม่ได้ที่จะแกล้ง รอยยิ้มเล็กๆ ที่ถูกเจ้าตัวซ่อนไว้ยามที่ได้สบตากัน เสียงหวานยามที่เอื้อนเอ่ย น่าฟังแม้จะเป็นน้ำเสียงแข็งกร้าวยามใส่อารมณ์กับเขา แววตาดุดันเต็มไปด้วยประกายสดใส ริมฝีปากบางสีหวานฉ่ำยามที่มันเม้มแน่นเข้าหากัน...
คิดถึงตรงนี้ กระแสอุ่นบางอย่างในวันที่ได้ลิ้มลองรสจูบกับริมฝีปากสีหวานครั้งแรกนั้นก็ได้ไหลวนอุ่นซ่านอยู่ในอก เป็นจูบที่ยาวนานและหอมหวานกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยรู้สึก จูบซ้ำๆ อย่างไม่คิดเบื่อ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมนุ่ม รสหวานจางๆ จากริมฝีปากสีสด ร่างบอบบางที่โอบกอดไว้แนบอกยังรู้สึกได้ในวงแขนคู่นี้
“ไม่เอาแล้ว...หยุด...พอที เจ็บ...ฮึก.....ไม่.......”
จู่ๆ ภาพในคืนวันที่เขาได้ทารุณร่างบอบบางก็ปรากฏแทนที่ความทรงจำแสนหวาน ใบหน้าสวยงามนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หยดน้ำตามากมายหลั่งไหลลงตามผิวแก้มราวสายน้ำ เสียงที่เคยอ่อนหวานนั้นแหบแห้งขาดห้วงและสั่นเครือ ร่างกายขาวนวลเรียบลื่นเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำ
หากไม่ใช่เพราะฮีอูถูกวางยาพิษ เขาคิดไม่ออกเลยว่ายังจะมีเหตุผลใดที่ทำให้เขารู้สึกอยากทำร้ายคนตรงหน้านี้ได้มากถึงเพียงนี้อีก หากไม่ใช่เพราะคนสำคัญของเขาต้องเจ็บ ...หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการให้ร่างบางต้องได้รับความทรมานมากขนาดนี้
สิ่งที่เขาต้องการคือการที่เชินอันย่อยยับ โดยที่โอรสองค์โตตกเป็นทาสของฮานึล ชัยชนะที่รอคอยดำเนินไปตามแผน ต่อให้เป็นเชลยศึกก็ตามที อย่างมาก...ก็แค่ทำให้ยอมอยู่ใต้อำนาจของเขา เชื่อฟังเขา ต้องการเขา ทำให้คนผู้นั้นขาดเขาไม่ได้ ทำให้คิดเพียงแต่เรื่องของเขา
ทำให้คิมซอนอิน เป็นคนของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว...
ความน่าละอายของเชินอันที่เกิดจากคิมซอนอิน เป็นความสำเร็จที่น่ายินดีไม่น้อย สูญเสียแคว้น สูญเสียบุตรชาย ในแผ่นดินนี้ ความแข็งแกร่งเท่านั้นคือผู้ชนะ กษัตริย์ที่ไม่คิดจะทำศึกเพื่อเป็นที่หนึ่ง ก็ไม่สมควรจะปกครองผู้ใด การแก่งแย่งชิงดีทางอำนาจ ไม่นานจากแคว้นอื่นที่ห่างไกลก็จะรุกรานมาถึง หากไม่เตรียมพร้อม แม้แต่ประชาชนสักคนก็ไม่มีเหลือให้ได้ปกครอง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่การใช้เชลยศึกเป็นเครื่องมือการทำสงคราม กลายเป็นความรู้สึกอื่นที่เพิ่มเติมเข้ามา
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คิมซอนอิน เริ่มมีตัวตนในสายตาของเขา
จีรยงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้...