วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59  (อ่าน 23419 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
บอกได้คำเดียวว่า รอวันวังชอนซาเอาคืน :z6: :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ เรารักน้องเจี้ยบ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากชูนิ้วกลางให้อีเมะรัวๆๆ :katai1: :katai1: อย่านะ อย่าให้ลูกสาวฉันเอาคืนนะ จะเอาให้สมใจเลยยยยยย

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
รู้สึกว่า องครัชทายาท อยู่ดีๆก็เลวขึ้นมาแบบไม่มีที่มาที่ไป เหมือนเป็นโรคสองบุคลิกเลย  คือมันไม่เป็นเหตุเป็นผล

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 12
 
 
ขบวนรถม้าออกเดินทางจากประตูวังหลวงทางทิศเหนือในตอนฟ้ามืด เส้นทางที่ใช้นั้นเลี่ยงออกไปยังชานเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงหมู่บ้านต่างๆ ทำให้ตลอดเส้นทางนั้นมีอุปสรรคเล็กน้อยอย่างพวกธารน้ำ และป่าไม้โปร่งตามแนวแม่น้ำสายหลักของฮานึล
 
ในตอนที่สูรยาทิตย์ส่องสว่างทั่วทั้งผืนนภาบ่งบอกถึงช่วงเวลาอรุณรุ่งของวันใหม่ ขบวนรถม้าซึ่งเดินทางมาหนึ่งชั่วยามเต็มโดยไม่หยุดพักก็ได้มาถึงที่หมาย บริเวณเนินเขาพยอนซูทางทิศตะวันตกคือจุดนัดพบของราชครูแห่งเชินอัน
 
บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าขบวนรถม้า คือชายหนุ่มร่างสูงสง่าผู้มีนัยน์ตาเรียวคมราวศรเพลิงที่พร้อมจะพุ่งใส่ใครก็ตามที่เผลอสบสายตา กลุ่มผมสีดำยาวที่มัดรวบไว้ขับให้เจ้าตัวน่าเกรงขามมากขึ้นเมื่อความดุดันของสีดำตัดกับเสื้อผ้าสีขาวสว่างตาภายใต้ผ้าคลุมสีแดงเข้ม
 
ชองจีรยง รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งฮานึลตวัดขาลงจากม้าสีหมอก แววตาเฉียบคมไม่แพ้อีกฝ่ายจ้องสบคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ความเป็นผู้อยู่เหนืออำนาจในทุกสรรพสิ่งแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถทนกับความกดดันที่เกิดขึ้นนี้ได้ ยกเว้นเพียงชายต่างแคว้นผู้นี้ที่ยังคงสีหน้าและท่าทางไว้เช่นเดิม
 
“ยินดีที่ได้พบท่าน องค์รัชทายาท” แม้คำพูดจะแสดงถึงความเคารพ ทว่าท่าทางของปาร์คยองจูกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เขาเพียงแต่ยืนมองอีกฝ่ายราวกับไม่ใช่คนพิเศษเท่าใดนัก
 
“ข้าคงบอกไม่ได้ว่าเป็นความยินดี” จีรยงเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ยาถอนพิษ แลกกับวังชอนซา ข้ามาเพื่อสิ่งนี้” นั่นหมายความว่ารัชทายาทหนุ่มไม่ต้องการเสียเวลาพูดอะไรให้มากความ ร่างสูงหันไปบอกให้หมอหลวงจากึนเปิดม่านหน้ารถม้าเพื่อให้เห็นว่าร่างของวังชอนซาอยู่ในนั้นจริง
 
ยองจูมองคนตรงหน้าอย่างหยั่งเชิง ก่อนจะล้วงหยิบขวดยาใบเล็กจากอกเสื้อ “ปล่อยรถม้าไว้ตรงนั้น คนของข้าจะเป็นคนดูแลต่อเอง” จบคำพูดนั้น กลุ่มคนบนหลังม้าจำนวนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากเงาของพุ่มไม้ แล้วตรงไปล้อมวงรถม้าไว้ บังคับให้รัชทายาทหนุ่มและแพทย์หลวงต้องขยับออกมายืนอยู่ที่ฝั่งตรงกันข้าม
 
ยองจูก้าวออกมาด้านหน้า แล้วโยนขวดยาให้หมอหลวงชราที่รีบยื่นมือออกมารับอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
 
“ข้าแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องให้คนของท่านตรวจสอบ เพราะคนของท่านจะไม่มีวันรู้ว่ามันเป็นยาถอนพิษจริงหรือไม่ ...ข้าขอเสนอให้องค์รัชทายาทรีบเอายากลับไปให้คนของท่านเสียตอนนี้จะดีกว่า เพราะหากช้าไปกว่านี้ แม้แต่ข้าเองก็ช่วยอะไรไม่ได้”
 
ร่างสูงของราชครูหนุ่มตวัดตัวขึ้นหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม “การแลกเปลี่ยนเป็นอันสำเร็จ” กล่าวทิ้งไว้เพียงเท่านั้น ยองจูก็ควบม้านำขบวนรถม้าที่มีคนของตัวเองคอยควบคุมอยู่จากไปในทันที
 
หมอหลวงจากึนก้มลงตรวจสอบขวดยาในมือ ก่อนจะพบว่ามันเป็นอย่างที่ราชครูผู้นั้นว่าไว้ ตัวยาพวกนี้ตนไม่รู้จักแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับพิษร้ายกาจในร่างกายของคุณชายฮีอูที่ตนก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาทูลตอบองค์รัชทายาทไปตามความสัตย์จริงเช่นนั้น และโดยไม่มีคำตอบรับของนายเหนือหัว ขวดยาใบเล็กก็ถูกส่งให้กับผู้เป็นนายได้เก็บเอาไว้ ก่อนที่คนทั้งสองและทหารติดตามอีกสองคนที่เป็นคนควบรถม้ามาเมื่อครู่จะรีบมุ่งหน้ากลับไปยังวังหลวงโดยเร็ว
 
จีรยงกำขวดยาในอกเสื้อแน่นขณะที่ควบม้าไปข้างหน้า เขาไม่สงสัยเรื่องยาถอนพิษว่าจะเป็นกลลวงหรือไม่ หลังจากที่ได้เจอกับราชครูผู้นั้นด้วยตนเองแล้ว จีรยงก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่เขาจะประมาทด้วยแม้แต่น้อย ไม่ต้องแสดงฝีมือให้เห็น ก็รู้สึกได้ถึงวรยุทธที่แข็งแกร่ง ความสามารถของคนผู้นั้นตัวเขายังไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อมองจากสิ่งเหล่านี้ การยึดคำสัตย์ไม่กลับกลอกของจอมยุทธก็น่าจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าปาร์คยองจูจะทำตามข้อตกลงที่ได้ตั้งไว้
 

...ปาร์คยองจู สักวัน ข้าต้องได้เจออีกแน่ และคนที่จะแข็งแกร่งกว่าก็คือข้า
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
ครั้งแรกที่ได้เห็นสภาพร่างกายของวังชอนซา ราชครูหนุ่มถึงกับโกรธจนระงับอารมณ์แทบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนตามร่างกาย ก็มีแต่รอยช้ำเต็มไปหมด เนื้อตัวร้อนเป็นไฟด้วยพิษไข้ที่รุมเร้า แต่ที่ทำให้อารมณ์ของปาร์คยองจูแทบจะระเบิดออกมาคือส่วนลับที่ถูกกระทำรุนแรงจนเกิดบาดแผลฉีกขาด
 
วังชอนซาไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป ข้อนี้เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้วจากโหราศาสตร์ที่ได้ศึกษามา ธาตุเย็นและธาตุร้อนในกายถูกทำลายจนเสียสมดุล อันตรายข้อนี้ยองจูคิดไว้แล้วว่าต้องเกิดขึ้นเมื่อลูกศิษย์ของตนตกอยู่ในกำมือศัตรูอย่างชองจีรยง แต่ถึงขนาดทำร้ายร่างกายมากถึงเพียงนี้ เขาคงประเมินเหตุการณ์น้อยเกินไป
 
สำหรับคิมซอนอิน โอรสองค์โตแห่งเชินอันผู้นี้ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้ารับตำแหน่งการเป็นองค์วังชอนซา ในเมื่อคิมซอนอินเป็นบุตรชายโดยตรงของผู้นำชนเผ่าชินซองรุ่นก่อน ซ้ำยังเป็นบุตรชายที่มีสายเลือดโดยตรงจากผู้เฒ่าซังซู ยังผลให้คำจารึกบนแท่นหินเหนือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำของหุบเขาชินซองเป็นไปตามคำทำนายอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เหล่าผู้อาวุโสในชินซอง รวมถึงตัวของยองจูเองนั้นรู้ดีแก่ใจต่อเรื่องสำคัญนี้
 
คิมซอนอิน ไม่ใช่เพียงตัวแทนต่อตำแหน่งของวังชอนซา แต่คิมซอนอินคือผู้ที่ถูกเลือกจากสวรรค์แล้ว
 
ความจริงเหล่านี้ทำให้ราชครูหนุ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเมื่อพบว่าสิ่งที่ทุกคนหวาดกลัวอาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดความผิดพลาดต่อผู้ที่ถูกเลือก มีเพียงสองทางเท่านั้นที่จะตัดสินเรื่องราวทั้งหมด หากไม่เป็นแสงสว่าง หนทางเดียวที่เหลืออยู่ของวังชอนซาผู้นี้ก็คือความมืดมิดตลอดกาล
 

 
“ท่านราชครู...” เสียงของอูรัม หนึ่งในผู้ฝึกวิชาลับแห่งชนเผ่าชินซองเอ่ยเรียกราชครูหนุ่มผู้มีฐานะสูงกว่า ขณะที่ตนค่อยๆ ประคองร่างอ่อนแรงของวังชอนซาลงอย่างนุ่มนวล
 
ยองจูที่ยืนอยู่หน้ากระโจมพักหลังจากที่ออกเดินทางมาจนพระอาทิตย์ตกดินหันกลับไปมองตามเสียงเรียกของเด็กหนุ่ม เขาเดินกลับเข้าไปในกระโจมขนาดกลาง แล้วหยุดยืนใกล้กับร่างของซอนอินที่ยังคงนอนสลบไสล
 
“อีกสองวันกว่าจะออกจากฮานึล ข้าเกรงว่า ธาตุเย็นอาจจะต้านพลังปรวนแปรต่อไปได้อีกไม่นาน”
 
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่จะให้ออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก เห็นทีจะเป็นการเร่งให้พลังธาตุทั้งหมดแตกซ่านเสียมากกว่า” ดวงตาคมของผู้พูดจ้องมองแผ่นหลังขาวนวลที่ปรากฏภาพเลืองแสงน่าประหลาด เรียวคิ้วเข้มกดลึกลงอย่างใช้ความคิด ยองจูนั่งลงบนแท่นไม้ เขาลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของร่างบางเบาๆ กระแสอุ่นร้อนแผ่กำจายจากฝ่ามือกว้างสู่ผิวเนื้อร้อนระอุด้วยพิษไข้ ไอควันสีอ่อนหมุนวนปะทะกันภายใต้ฝ่ามือของร่างสูง
 

ระหว่างที่ใช้พลังธาตุประคองความสมดุลให้กับวังชอนซา ความกังวลบางอย่างก็ได้ก่อตัวขึ้นในใจของราชครูหนุ่ม
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
คุณชายฮีอูหายไป
 
เกิดความโกลาหลในตอนรุ่งสางเมื่อนางกำนัลนันโซพบว่าบนเตียงของผู้เป็นนายนั้นว่างเปล่า หลังจากเมื่อวานที่องค์รัชทายาทนำยาถอนพิษมา คุณชายฮีอูยังคงไม่ได้สติ แต่นอกเหนือจากนั้นดูเหมือนว่าจะหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งอาการกระอักเลือด และอาการผิดปกติอื่นๆ หมอหลวงทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับยาถอนพิษที่เป็นราวกับยาวิเศษ เมื่อการรักษาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกนอกจากรอให้คุณชายฮีอูฟื้นสติ ภายในห้องนอนนี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวน ยิ่งองค์รัชทายาทเป็นผู้ดูแลคุณชายฮีอูด้วยพระองค์เอง ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ห้องนอนเลยแม้แต่คนเดียว ทว่าในตอนรุ่งสาง เพียงแค่องค์รัชทายาททรงออกว่าราชกิจได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางกำนัลคนสนิทของคุณชายฮีอูกลับเข้าไปในห้องแล้วพบเพียงความว่างเปล่าไร้ร่างเล็กบางที่น่าจะนอนอยู่บนเตียง
 
นายทหารเวรยามหน้าตำหนักออกตามหาคุณชายฮีอูหลังได้ยินเสียงนางกำนัลสาวร้องบอกในทันที ทั้งด้านในและโดยรอบของตำหนักไม่มีวี่แววของคุณชายฮีอูแม้แต่น้อย รวมถึงสุนัขจิ้งจอกขนฟูที่มักจะนอนคดตัวอยู่ใกล้ๆ ร่างเล็กไม่ห่างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
 
ความถูกส่งถึงองค์รัชทายาทในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ทหารเกือบทั้งวังถูกสั่งให้ออกตามหาคุณชายฮีอูจนเกิดความวุ่นวายไปหมด หมูบ้านที่อยู่ในเขตเมืองหลวงถูกค้นทุกบ้าน ไม่เว้นแม้แต่กระท่อมไม้ของชาวไร่ชาวสวนตามชานเมือง ทางครอบครัวตระกูลคิมเองก็ได้แต่กระวนกระวายใจ เรื่องยาพิษเพิ่งผ่านพ้นไปไม่เท่าไหร่ ลูกชายคนสำคัญกลับหายตัวไปเสียอีก
 
เป็นเวลากว่าค่อนวันที่ไม่มีความคืบหน้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของฮีอู
 
“ฝ่าบาทจะทรงเสด็จไหนพะย่ะค่ะ?!” โทซองรีบร้อนทูลถามนายเหนือหัวที่กำลังจะขึ้นหลังม้า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มเดาได้ไม่ยากว่าไม่ส่วนใดส่วนหนึ่งต้องเชื่อมโยงกับราชครูหนุ่มจากเชินอันเป็นแน่ ดังนั้นการที่คุณชายฮีอูหายไป ก็อาจจะเป็นกลลวงหลอกล่อให้ฝ่าบาทของตนติดกับก็เป็นได้
 
“อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยฝ่าบาท ปล่อยให้พวกกระหม่อมจัดการเองเถิดพะย่ะค่ะ” กึมซองเองก็ช่วยห้ามอย่างไม่สบายใจ ด้วยความกังวลที่มีไม่ต่างจากแฝดผู้พี่
 
“เจ้าหรือข้าที่เป็นผู้ตัดสินใจ!” ร่างสูงบนหลังอาชาสีขาวคู่ใจหันไปตวาดกร้าวกับองครักษ์หนุ่ม “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะคิดเช่นไร  ในเมื่อข้าสูญเสียฮีอู ราชครูนั่นก็ไม่มีสิทธิ์ได้คิมซอนอินไปเช่นกัน!!”
 
“แต่ว่าฝ่าบาท หากเรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเชินอันล่ะพะย่ะค่ะ! หากคุณชายฮีอูหายไปด้วยเหตุผลอื่น ฮานึลกับเชินอันมิต้องขัดแย้งกันเพราะความเข้าใจผิดหรือ?!!”
 
“เจ้าคิดว่าข้าสนใจนักหรือไงว่าฮานึลกับเชินอันจะยังเป็นพันธมิตรกันหรือไม่?” ดวงตาคมวาวโรจน์จ้องใบหน้าเรียวคมของโทซองนิ่ง “ข้าไม่เชื่อว่าที่ฮีอูหายไปจะไม่ได้เป็นเพราะราชครูนั่น และข้าก็จะไม่ยอมเสียเวลารอคอยข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น!”
 
ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เหลือให้สองแฝดหนุ่มได้รั้งองค์รัชทายาทไว้อีก ทั้งสองคนจำต้องรีบตวัดตัวขึ้นหลังม้าแล้วออกเดินทางตามหลังนายเหนือหัวไปอย่างรวดเร็ว
 
ม่านฟ้ากว้างไกลเริ่มถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดของยามค่ำคืนที่เย็นยะเยือก แนวไม้ไหวลู่ลมไปตามแรงพัดผ่านของม้าเร็วทั้งสามตัว สามบุรุษหนุ่มบนหลังอานไม่แม้แต่จะผ่อนแรงลงทั้งที่ออกเดินทางมาตลอดสองชั่วยามโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งเข้ายามหนึ่ง พวกเขาจำเป็นต้องหยุดเพื่อให้ม้าได้พักฝีเท้า
 
จีรยงเลือกที่จะนั่งพักสายตาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง โดยมีองครักษ์ทั้งสองคนคอยเฝ้ายามอยู่ไม่ไกลนัก
 
อาจจะเป็นเพราะความเครียด อาการล้าของกล้ามเนื้อ หรือความกังวลใจที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ทำให้ร่างสูงรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ เขาลดเปลือกตาลงจนปิดสนิท
 

 

 

ทั้งที่คิดว่าจะพักสายตาไม่นาน แต่พอรู้สึกตัวอีกที จีรยงกลับเห็นใครบางคนจากความทรงจำในส่วนลึกปรากฏอยู่ตรงหน้า ...ก่อนที่เขาจะทันได้หยุดยั้งความคิดเช่นทุกครั้งที่เคยทำ
 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอ ความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้านั้นคือคำจำกัดความเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในห้วงความคิด ‘งดงาม’ นั่นคือความเป็นจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ก็ไม่ได้อยากที่จะยอมรับมัน
 
วังชอนซางดงามเกินกว่าที่เคยได้ยินมา
 
ร่างกายบอบบาง ไร้เดียงสา แววตาเป็นประกายใสซื่อ บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ ทั้งที่เป็นถึงโอรสของกษัตริย์ แต่กลับไม่เอาอ่าวเรื่องวรยุทธ ซ้ำยังมีรูปโฉมงดงามเกินบุรุษเพศ เพียงแค่เห็น ก็อดจะเกิดความหงุดหงิดขึ้นในใจไม่ได้ ...หรือความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหงุดหงิด คือการที่ถูกคนตรงหน้ายั่วอารมณ์โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ปั่นป่วนความรู้สึกของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามจะไม่สนใจ แต่กลับมีบ่อยครั้งที่กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าตนเองปล่อยความรู้สึกให้หลงใหลไปกับร่างบางตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
 
อดไม่ได้ที่จะแกล้ง รอยยิ้มเล็กๆ ที่ถูกเจ้าตัวซ่อนไว้ยามที่ได้สบตากัน เสียงหวานยามที่เอื้อนเอ่ย น่าฟังแม้จะเป็นน้ำเสียงแข็งกร้าวยามใส่อารมณ์กับเขา แววตาดุดันเต็มไปด้วยประกายสดใส ริมฝีปากบางสีหวานฉ่ำยามที่มันเม้มแน่นเข้าหากัน...
 
คิดถึงตรงนี้ กระแสอุ่นบางอย่างในวันที่ได้ลิ้มลองรสจูบกับริมฝีปากสีหวานครั้งแรกนั้นก็ได้ไหลวนอุ่นซ่านอยู่ในอก เป็นจูบที่ยาวนานและหอมหวานกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยรู้สึก จูบซ้ำๆ อย่างไม่คิดเบื่อ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมนุ่ม รสหวานจางๆ จากริมฝีปากสีสด ร่างบอบบางที่โอบกอดไว้แนบอกยังรู้สึกได้ในวงแขนคู่นี้
 

 

“ไม่เอาแล้ว...หยุด...พอที เจ็บ...ฮึก.....ไม่.......”
 

 
จู่ๆ ภาพในคืนวันที่เขาได้ทารุณร่างบอบบางก็ปรากฏแทนที่ความทรงจำแสนหวาน ใบหน้าสวยงามนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด หยดน้ำตามากมายหลั่งไหลลงตามผิวแก้มราวสายน้ำ เสียงที่เคยอ่อนหวานนั้นแหบแห้งขาดห้วงและสั่นเครือ ร่างกายขาวนวลเรียบลื่นเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำ
 
หากไม่ใช่เพราะฮีอูถูกวางยาพิษ เขาคิดไม่ออกเลยว่ายังจะมีเหตุผลใดที่ทำให้เขารู้สึกอยากทำร้ายคนตรงหน้านี้ได้มากถึงเพียงนี้อีก หากไม่ใช่เพราะคนสำคัญของเขาต้องเจ็บ ...หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการให้ร่างบางต้องได้รับความทรมานมากขนาดนี้
 
สิ่งที่เขาต้องการคือการที่เชินอันย่อยยับ โดยที่โอรสองค์โตตกเป็นทาสของฮานึล ชัยชนะที่รอคอยดำเนินไปตามแผน ต่อให้เป็นเชลยศึกก็ตามที อย่างมาก...ก็แค่ทำให้ยอมอยู่ใต้อำนาจของเขา เชื่อฟังเขา ต้องการเขา ทำให้คนผู้นั้นขาดเขาไม่ได้ ทำให้คิดเพียงแต่เรื่องของเขา
 

 
ทำให้คิมซอนอิน เป็นคนของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว...
 

 
ความน่าละอายของเชินอันที่เกิดจากคิมซอนอิน เป็นความสำเร็จที่น่ายินดีไม่น้อย สูญเสียแคว้น สูญเสียบุตรชาย ในแผ่นดินนี้ ความแข็งแกร่งเท่านั้นคือผู้ชนะ กษัตริย์ที่ไม่คิดจะทำศึกเพื่อเป็นที่หนึ่ง ก็ไม่สมควรจะปกครองผู้ใด การแก่งแย่งชิงดีทางอำนาจ ไม่นานจากแคว้นอื่นที่ห่างไกลก็จะรุกรานมาถึง หากไม่เตรียมพร้อม แม้แต่ประชาชนสักคนก็ไม่มีเหลือให้ได้ปกครอง
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่การใช้เชลยศึกเป็นเครื่องมือการทำสงคราม กลายเป็นความรู้สึกอื่นที่เพิ่มเติมเข้ามา
 
ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่คิมซอนอิน เริ่มมีตัวตนในสายตาของเขา
 

 
จีรยงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้...
 


ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


 

 

 
หลังการหยุดพักไม่นาน จีรยงปลุกตัวเองขึ้นจากห้วงนิทราแสนสั้น ทันทีที่ภาพแห่งความเป็นจริงปรากฏอยู่เบื้องหน้า ภาพของหงส์งามได้ถูกฝังลึกลงในหัวใจของมังกรหนุ่ม ปิดผนึกทุกความรู้สึกที่ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ มีเพียงฮีอูเท่านั้น
 
“ไปต่อ” เสียงทุ้มห้วนสั่งให้องครักษ์แฝดเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง
 
ระหว่างที่ควบม้าฝ่าความมืดของค่ำคืนไปนั้น กึมซองก็ได้เบียดม้าของตนเองไปใกล้ผู้เป็นพี่ แล้วโยกตัวเข้าไปใกล้
 
“เจ้าคิดว่าราชครูของเชินอันผู้นั้นจะพาวังชอนซาออกจากแคว้นเราไปหรือยัง?”
 
“ผ่านมาสองวันแล้ว หากคนพวกนั้นไม่หยุดพัก เพลานี้น่าจะออกจากเขตฮานึลไปไกลพอควร ...กึมซอง! เจ้าอย่าเบียดข้านักได้ไหมเนี่ย!”
 
“ขอโทษๆ ก็ข้าเหนื่อยแล้วนี่ ง่วงด้วย! ต่อให้ข้ามีแรงมากแค่ไหนก็ไม่พอหรอกถ้าจะให้ขี่ม้าทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้” เด็กหนุ่มโอดครวญเสียงอ่อน แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชะรอความเร็วลงแม้แต่น้อย และยังไม่หยุดกระซิบกระซาบกับผู้เป็นพี่ “เมื่อครู่เราพักกันยังไม่ทันจะหายเหนื่อยเลย เหตุใดฝ่าบาทถึงได้รีบร้อนนัก จะอย่างไรเราก็ยังไม่แน่ชัดด้วยซ้ำเรื่องของคุณชายฮีอู”
 
โทซองถอนหายใจหนักๆ ไปหนึ่งที ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหัวของกึมซองเบาๆ โดยที่จังหวะการควบม้านั้นยังคงความเร็วเช่นเดิม “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าอ่อนซ้อมเรื่องสมาธิ พอต้องมาทำอะไรนานๆ เข้าหน่อยสติก็เริ่มรวน ...เจ้าก็รู้ดีนี่ ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคุณชายฮีอู ฝ่าบาททรงไม่เคยปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ”
 
“มันก็จริงของเจ้า แต่ว่า...ข้าแค่สมมตินะ ถ้าเกิดว่าเราไปเจอขบวนรถม้าของราชครูนั่นแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เรื่องที่คุณชายฮีอูหายไป ฝ่าบาทจะยังคงเอาเรื่องคนพวกนั้นอีกหรือไม่?”
 
“สวรรค์เท่านั้นแหละที่รู้ว่าคุณชายฮีอูหายไปเพราะเหตุใด”
 
“เจ้าจะบอกว่า ไม่ว่าราชครูปาร์คผู้นั้นจะพูดอะไร ล้วนหาข้อเท็จจริงไม่ได้งั้นหรือ?”
 
“เจ้าคิดเช่นไรล่ะ?” เมื่อโดนคำถามสวนกลับ เด็กหนุ่มก็ถึงกับขมวดคิ้วยุ่งครุ่นคิด จะว่ามีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้มันก็ถูก นอกจากตัวของคุณชายฮีอูแล้ว ใครจะรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด และถ้าหากไปถามความเอากับคนที่เป็นศัตรู ต่อให้ฝ่ายนั้นพูดความจริง ก็ไม่มีหลักฐานอะไรให้เราเชื่อถือได้ เท่ากับว่า จะถามหรือไม่ถาม ตอบหรือไม่ตอบ ก็มีค่าเท่ากัน
 
“เช่นนั้น ฝ่าบาทคงไม่ยอมปล่อยให้วังชอนซากลับเชินอันเป็นแน่ ในเมื่อคุณชายฮีอูหายตัวไป”
 
“นั่นเป็นเหตุผลที่เรากำลังไล่ตามขบวนรถม้าอยู่” โทซองต่อประโยคให้น้องชาย ก่อนจะพูดทิ้งท้ายพลางเร่งความเร็วเมื่อร่างสูงของนายเหนือหัวเริ่มห่างจากพวกตนมากขึ้นกว่าเดิม
 

 
“...และจนกว่าจะพบคุณชายฮีอู เจ้าคิดว่าคิมซอนอินมีสิทธิ์รอดพ้นกำมือของฝ่าบาทไปไหนได้งั้นหรือ?”
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
พ้นป่าไม้โปร่งทางตอนเหนือของฮานึล บริเวณโดยรอบต่อจากนั้นทั้งหมดเป็นพื้นที่ว่างโล่ง ทางฝั่งซ้ายคือเนินภูเขาลูกใหญ่บ่งบอกสัญลักษณ์ของเขตแคว้นฮานึล เมื่อข้ามสะพานไม้ของแม่น้ำหลักตรงหน้าไป ก็จะพ้นจากฮานึลโดยสมบูรณ์
 
ร่างสูงควบม้าไปข้างหน้าเล็กน้อย เรียวคิ้วเข้มกดลึกเมื่อเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ กลุ่มควันหนาแน่นอบอวลจนมองไม่เห็นว่าอีกฟากฝั่งของสะพานไม้เกิดอะไรขึ้น
 
“ไฟไหม้หรือ??!!” กึมซองหันไปถามคนข้างตัว อาการงัวเงียที่มีมาตลอดวันแม้จะเข้าช่วงสายของวันแล้วก็ตามพลันหายเป็นปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่จู่ๆ ก็มืดครึ้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน
 
ไม่ใช่ฟ้าที่มืดครึ้มเพราะเมฆฝน แต่เป็นฟ้าที่กำลังก่อพายุขนาดย่อมขึ้นมาอย่างฉับพลัน กลุ่มควันที่ปรากฏเริ่มขยับเคลื่อนเป็นวงกลมคล้ายมังกรตัวใหญ่พุ่งทะยานสู่เบื้องบนเป็นวงกว้าง ลมพายุพัดตีรุนแรงจนสะพานไม้ขยับไหว ผิวน้ำตีระลอกกระทบฝั่ง
 
“พี่ใหญ่ว่าไงล่ะ! มันเกิดอะไรขึ้น?”
 
“ข้าไม่รู้” โทซองเอ่ยตอบน้องชายโดยที่สายตายังจับจ้องความแปลกประหลาดตรงหน้า เขาขยับเชือกให้ม้าเดินหน้าไปอีกสามสี่ก้าว “ฝ่าบาท จะทรงข้ามไปหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
รัชทายาทหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร แต่กลับควบม้าไปยังสะพานไม้แทนคำตอบ
 
โทซองและกึมซองตามหลังผู้เป็นนายไปอย่างใกล้ชิดเพื่อคุ้มกันความปลอดภัย ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่า หากเป็นภัยธรรมชาติแล้ว จะเอาชนะมันได้อย่างไร
 
น่าแปลก ที่ถึงจะมีพายุรุนแรงเพียงใด หรือเมฆดำพยับก่อตัวมากเท่าไหร่ เพลิงกัลป์ที่โชติช่วงก็ยังคงอยู่ในวงล้อมของกลุ่มพายุลูกใหญ่ไม่ได้ขยายอาณาเขตออกมาเลยแม้แต่น้อย
 
ทั้งสามคนควบม้าไปรอบๆ หมอกควันหนา จีรยงยกท่อนแขนขึ้นป้องเศษฝุ่นที่พัดกระจ่ายออกมา เรียวตาคมหรี่ลงพยายามมองเข้าไปตรงจุดกึ่งกลางของความวุ่นวาย
 
และเพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง เสียงทุ้มก้องกังวานก็ตะโกนลั่นสั่งให้องค์รักษ์ทั้งสองถอยห่างออกไปโดยเร็ว
 

 
“ถอยออกมา!!!!!!!!”
 

 
สิ้นคำพูดนั้นเพียงลมหายใจ แรงระเบิดที่มีมากจนพื้นดินสะเทือนก็เกิดขึ้น จากจุดกึ่งกลางนั้น เปลวไฟแดงฉานได้พุ่งขึ้นสูงราวกับภูเขาไฟ ก่อนแตกกระจายเป็นวงกว้าง สะเก็ดสีเพลิงตกลงมาราวปุยหิมะ ก่อนที่จะกลายเป็นขนนกสีดำสนิทค่อยๆ ร่วงลงกระทบพื้นดินเชื่องช้า พร้อมกับกลุ่มควัน และเมฆครึ้มมลายหายไปอย่างน่าประหลาด
 
“แค่กๆ! นี่มัน...เรื่องอะไรกันเนี่ย!!” ร่างเล็กที่กลิ้งคลุกๆ ลงมาจากหลังม้าตะเกียดตะกายพยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ใบหน้าเรียวเล็กเปรอะเปื้อนเศษหญ้าทั้งยังสำลักควันไม่หยุด จนคนเป็นพี่ต้องมาตบหลังช่วยอีกแรง
 
“เร็วเข้า ฝ่าบาททรงหายไปไหนแล้ว” โทซองฉุดน้องชายเดินฝ่าควันจางๆ ที่เริ่มสลายตัวเข้าไปยังวงล้อมของกลุ่มควันหนาที่ก่อตัวอยู่เมื่อครู่ สะเปะสะปะไม่นานนัก เด็กหนุ่มทั้งสองก็เห็นเงาตะคุ่มของคนสองคนอยู่ห่างไปไม่ไกล พวกเขาเดินผ่านซากไม้ที่กระจัดกระจ่ายอยู่เกลื่อนพื้น คาดเดาว่าคงเป็นรถม้าที่พังยับไม่เหลือให้ประกอบใหม่ รวมถึงร่างของคนจำนวนหนึ่งที่ทั่วทั้งตัวกลายเป็นสีดำไหม้เกรียมนอนเกลื่อนอยู่โดยรอบ
 
โทซองและกึมซองไม่ได้สนใจศพไร้วิญญาณพวกนั้น เพราะเมื่อม่านตาของเด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น สายตาของพวกเขาทั้งสองได้ถูกดึงดูดไปยังภาพที่เกินจะจินตนาการตรงหน้าเข้าเสียก่อน
 
“สวรรค์ ข้าตายไปแล้วหรือไง?” เสียงของกึมซองไม่อาจส่งผ่านถึงพี่ชายที่มีอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน
 

 
 
ในที่ตรงนั้น จุดกึ่งกลางของวงล้อมที่ต้นหญ้าทุกต้นมอดไหม้เป็นวงกลมขนาดกว้างใหญ่ ท่ามกลางขนนกสีดำที่ค่อยๆ ร่วงลงมา ท่ามกลางหมอกควันสีจางที่กลืนหายไปในอากาศ ที่ตรงนั้นปรากฏร่างบอบบางของวังชอนซาซึ่งนั่งอ่อนแรงอยู่กับพื้น
 

โดยที่เรือนร่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยปีกสีดำขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างกายภายใต้อาภรณ์ขาวที่ขาดวิ่นเอาไว้
 

 
 
ความตกตะลึงทำให้เด็กหนุ่มฝาแฝดนิ่งค้างอยู่กับที่ ต่างจากร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของวังชอนซา
 
นัยน์ตารัตติกาลลุ่มลึกจ้องมองสภาพร่างกายของผู้ที่เคยเป็นเชลยศึก ปีกสีดำที่งอกออกมาจากกลางแผ่นหลังขาวนวลไม่ได้ทำให้ผู้มองรู้สึกกลัว ไม่ใช่เพราะทำใจยอมรับความผิดแปลกนี้ได้ในทันที แต่เป็นเพราะสภาพของคนตรงหน้านั้นไม่ผิดไปจากคนที่กำลังหวาดกลัวอย่างที่สุด
 
ท่อนแขนผอมบางกอดตัวเองแน่นด้วยอาการสั่นรุนแรง ปลายเล็บแหลมจิกลึกลงกับท่อนเนื้อบนต้นแขนจนเกิดเลือดซิบ ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำขลับแผ่สยายยุ่ง ดวงหน้าสวยขาวซีดแต่กลับยังคงความงดงามราวกับรูปลักษณ์ของเทพสวรรค์ ทว่า...ดวงตาที่เคยเป็นประกายสดใส ในตอนนี้เต็มไปด้วยม่านน้ำตามากมาย รวมถึงแววตาเหม่อลอยไม่จับจุดสิ่งใด ซ้ำริมฝีปากบางยังขยับพึมพำฟังไม่ได้ความราวกับต้องมนต์
 
จีรยงย่อตัวลงนั่งตรงหน้าร่างบาง มือหยาบใหญ่แตะลงเบาๆ ที่ท่อนแขนเล็ก ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะสะดุ้งขนาดที่เงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขา ปีกขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยขนนกนุ่มสีดำขยับแผ่ออกกว้าง ทำให้เกิดแรงลมขึ้นวูบหนึ่ง
 
เขาขยับมือออกด้วยความสับสน แต่กลับถูกมือที่เล็กกว่าคว้าแขนเสื้อเอาไว้ด้วยอาการสั่นเทา
 
“เจ้า...” สมองพยายามประมวลผล แต่ก็ยากเกินกว่าจะหาคำพูดใด จีรยงยังไม่อาจเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าได้
 
“ไม่...อย่าทิ้งข้า ...อย่า....ฮึก....อย่าทิ้งข้า ได้โปรด.......” เสียงที่เคยฟังแว่วหวานบัดนี้ให้เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างหาคำอธิบายไม่ได้
 
มือเล็กพยายามฉุดรั้งไม่ให้ร่างสูงขยับไปไหน สายตาเว้าวอนราวลูกนกหลงทิศ กลีบปากระเรื่อคล้ายสีลูกท้อเม้มแน่นสั่นระริก
 
ซอนอินไม่อาจคิดอะไรได้อีก มีคนที่ตายเพราะเขานอนเกลื่อนอยู่รอบตัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาทำให้สมองและร่างกายปฏิเสธการรับรู้ที่มากเกินรับไหว ร่างสูงที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ คือคนคนเดียวที่เขาต้องการมากกว่าสิ่งใด...มากกว่าใครทั้งหมด
 
“ชองจีรยง ถ้าเจ้าไม่ต้องการข้า ก็ฆ่าข้าเสียตอนนี้...ฮึก...ได้โปรดหยุดข้า หยุดลมหายใจของข้า หยุดร่างกายของข้า ...หยุดหัวใจของข้า......ฮึก......” พลันเสียงแหบแห้งที่อ่อนลง ร่างบางก็ทรุดฮวบลงกับอกกว้าง
 
จีรยงประคองไหล่เล็กไว้ เขาสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อที่ยังรุ่มร้อน ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าตัวมีไข้ หรือเพราะเหตุผลอื่น แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่วงแขนทั้งสองข้างของเขาก็ได้คว้าร่างตรงหน้าเข้ามากอดไว้แนบอกก่อนได้คิดอะไรอื่นอีก
 
“ฝ่าบาท...” เสียงของโทซองดังอยู่ด้านหลัง
 
“ตรวจสอบศพทั้งหมดว่ามีราชครูปาร์คยองจูหรือไม่” เสียงทุ้มเอ่ยสั่งความ เขาปลดเสื้อคลุมตัวนอกของตนออกเพื่อนำมาห่อหุ้มร่างบางที่ตอนนี้ปีกทั้งสองข้างได้หุบแนบสนิทกับแผ่นหลังบาง “กึมซอง เจ้าไปจัดหารถม้ามาให้ข้า”
 
“รถม้า? ฝ่าบาทจะทรงพา... กระหม่อมหมายความว่า ฝ่าบาท....” เด็กหนุ่มอธิบายไม่ถูก กึมซองไม่แน่ใจว่านายเหนือหัวของตนจะทรงพาวังชอนซาที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ กลับเข้าวังจริงๆ น่ะหรือ?! ต่อให้เป็นชาวบ้านทั่วไป ก็น่าจะดูออกว่า วังชอนซา ผู้นี้นั้นไม่ใช่คนปกติ!!
 
“ยูกึมซอง” โดนขานชื่อเต็มยศ ความสงสัยที่มีเป็นอันปลิวหายไปในสายลมทันที
 
“กระหม่อมจะจัดหามาโดยเร็วพะย่ะค่ะ!”
 
หลังกึมซองควบม้าไปได้ไม่ไกล โทซองก็ได้เอ่ยคำพูดหนึ่งขึ้นมาขณะที่ร่างสูงอีกคนกำลังอุ้มร่างอ่อนแรงขึ้น
 
“ฝ่าบาท ทรงเคยได้ยินคำจารึกของชนเผ่าชินซองไหมพะย่ะค่ะ?”
 
“คำจารึก?”
 
“พะย่ะค่ะ คำจารึกบนแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน กระหม่อมคิดว่า คิมซอนอินผู้นี้อาจเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากสวรรค์แล้วก็เป็นได้ ทว่า...มีเพียงสองทางที่สวรรค์เลือกที่จะให้เป็น คือแสงสว่าง กับความมืดมิด นั่นคือ มีคุณสมบัติที่จะอยู่ หรือจากไปด้วยการเสียสละเลือดเนื้อ”
 
จีรยงก้มลงมองเสี้ยวหน้าสวยที่แนบชิดอยู่กับอก ก่อนเงยขึ้นมองนายทหารคนสนิท “เจ้าจะบอกว่า คิมซอนอินคือตัวแทนของเทพเจ้าทงซก แต่ไม่ใช่ตัวแทนของการมีอยู่ที่นักบวชพวกนั้นต้องการงั้นหรือ?”
 
“กระหม่อมคิดว่า การที่มีศพคนพวกนี้มากเกินกว่าจะเป็นขบวนรถม้าของราชครูปาร์ค คือสิ่งที่บอกให้รู้ว่ามีคนต้องการสังหารวังชอนซาก่อนที่ปีกสีดำจะปรากฏขึ้น เพราะนักบวชพวกนั้นกลัวว่าพลังอำนาจมืดอาจทำร้ายแสงสว่างบนโลกมนุษย์ ...และจากที่เห็น ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนั้นจะต้านพลังของวังชอนซาไม่ได้เลย”
 
“หึ ความงมงายของพวกนักบวชช่างน่าสมเพช” จีรยงพ่นเสียงในคออย่างดูแคลน “จะโลกหรือสวรรค์ คนที่เอาตัวเองยังไม่รอดอย่างคิมซอนอินจะมีปัญญาทำอะไรได้?” แววเนตรคมดุจมังกรในสายหมอกทอดลงมองคนในวงแขน
 

 
“จะเป็นเทพเจ้าก็ช่าง เป็นปีศาจก็ดี สุดท้ายแล้ว สิ่งเดียวที่คิมซอนอินจะเป็นได้ คืออยู่ใต้การควบคุมของข้า!”
 

 
วาจาของรัชทายาทหนุ่มที่เอ่ยกังวานทั่วทั้งลานกว้างนั้นมาพร้อมกับสายลมแรงวูบหนึ่งที่พัดผ่าน แม้ว่าโทซองจะรู้สึกไม่สบายใจนักกับการตัดสินใจของนายเหนือหัวที่จะพาวังชอนซากลับเข้าวัง แต่อะไรบางอย่างได้บอกกับเด็กหนุ่มว่า การที่คิมซอนอินเกิดมา และการที่องค์รัชทายาทชองจีรยงไม่สนพระทัยการตัดสินของตำนานพวกนี้ นั้นอาจเป็นสิ่งที่สวรรค์ต้องการก็เป็นได้
 
ถึงกระนั้น ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วสวรรค์กำหนดสิ่งใดไว้ หากแต่ หนทางของคิมซอนอินที่มีได้ในตอนนี้ คือการกลับเข้าวังหลวงแห่งแคว้นฮานึลเพียงเท่านั้น
 
ใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าในกลุ่มคนที่ถูกไฟเผาไหม้ร่างกายจนเกรียมทั้งหมดนี้ไม่มีร่างของราชครูแห่งเชินอัน ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้าขณะที่หนึ่งรถม้า และบุรุษหนุ่มทั้งหมดเดินทางกลับไปยังวังหลวง
 
 

หงส์ที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกมังกรแห่งฮานึลพากลับมายังดินแดนที่เป็นจุดเริ่มต้นระหว่างพวกเขาอีกครั้ง
 

 

ทว่า การกลับเข้าวังครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นได้อีกตลอดกาล
 

 

.
.
 

 

 

บุรุษหนึ่งผู้เกิดลัคนาสถิตราศีกุมภ์ ธุมเกตุบังเกิดฉายประภาทั่วทิศทิฆัมพร เพลิงพลายส่องสว่างสู่ทุกสรรพสิ่งเหนือธราดล สายโลหิตแห่งผู้นำทิศาดรบูรพาถือกำเนิด ...วังชอนซา
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน
 

 

ออฟไลน์ magic-moon

  • mgKapleGD
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Pretty Girls from your city for night
เฮ้อ ปวดหัว ยังไม่เชียร์พนะเอกนะ สงสารนายเอก ขอให้ราชครูคูกับฮีอู

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เฝ้านับวันเวลารอชอนซาเอาคืนจีรยง  :interest: :z6: :z6: :z6: :z6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมพระเอกเรื่องนี้ดูเป็นตัวร้ายจัง ตัวเองก็มีคนรักอยู่แล้ว (หรือเปล่านะ) ยังมาทำร้ายนายเอกซ้ำ ๆ

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

บทที่ 13


 
ตำนานกล่าวขานเกี่ยวกับเรื่องของ ‘เทพเจ้าทงซก’ เทพเจ้าผู้ปกปักษ์รักษาทิศบูรพานั้นถูกพูดกันปากต่อปากมาหลายชั่วอายุคนนัก ทว่า เรื่องราวมากมายที่ใครต่อใครได้ล่วงรู้กลับเป็นเพียงแค่ตำนานของความเชื่อและความศรัทธาเพียงเท่านั้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าตำนาน ไม่ใช่เพียงนิทานก่อนนอน หากแต่คำจารึกบนแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ เปรียบดั่งคำทำนายที่จะกลายเป็นความจริงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในชั่วอายุคนแต่ละรอบ หนึ่งในลูกหลานผู้สืบเชื้อสายแห่งชินซอง จะกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากสวรรค์
 
...ทันทีที่ลมหายใจแรกของทารกน้อยนามว่าคิมซอนอินได้เริ่มต้นขึ้น แม้แต่สวรรค์ผู้ลิขิตชะตา ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเส้นด้ายบางๆ ที่ผูกชีวิตของเด็กคนนี้ได้
 
 
ชะตาชีวิตของคิมซอนอิน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ชั่วนิจนิรันดร์...
 
.
.
.
 
 
“เกิดอันใดขึ้นหรือท่านราชครูปาร์ค?” เสียงกังวลของอูรัมเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าร่างสูงของราชครูคนสำคัญได้เผากระดาษจดหมายด้วยเปลวเพลิงจากฝ่ามือจนกลายเป็นผุยผง ยิ่งเห็นว่าสีหน้าคมเข้มนั้นเคร่งเครียดขึ้นมา อูรัมที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าก็ยิ่งเกิดความกังวล
 
“เราจะไม่เดินทางกลับเชินอัน” ยองจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เรียวคิ้วของชายหนุ่มกดลึกเข้าหากัน “...และจะไม่กลับไปยังชินซองด้วย”
 
“เพราะเหตุใด?!” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสับสน “จดหมายนั่น มาจากราชเลขาแบซองจีไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใด...?”
 
ใจความในจดหมาย อูรัมไม่อาจรู้ แต่เพราะมันมาจากราชเลขาแบซองจี ผู้ซึ่งเป็นคนสนิทของราชินีซองอึน ก็น่าจะเป็นจดหมายที่เกี่ยวกับองค์วังชอนซาไม่ใช่หรือ แล้วจะให้เดา ก็มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น บุตรชายของตนเองถูกจับไปเป็นเชลยศึกนานขนาดนี้ ก็ต้องรู้สึกเป็นห่วง เมื่อรู้ข่าวจากสารน์ที่ราชครูปาร์คส่งไป ...นอกจากจะบอกให้รีบเดินทางกลับเข้าวังแล้ว ยังจะมีเหตุผลใดอีกเล่า?
 
ยองจูไม่เอ่ยตอบเด็กหนุ่มในทันที เขารีบเดินกลับเข้าไปในกระโจมพักแรมไม่รอช้า
 
“ท่านราชครู...” ทันทีที่ร่างสูงปรากฏตัวอยู่หน้าทางเข้า เสียงหวานแหบแห้งของร่างบางก็ร้องขึ้น ท่าทางเหมือนจะพยายามลุกจากที่นอนอย่างอ่อนแรงทำให้ราชครูหนุ่มต้องรีบก้าวเข้าไปช่วยประคอง
 
“ทรงฟื้นนานหรือยัง?” ยองจูเอ่ยถามขณะที่มือก็ประคองให้ร่างบางได้นั่งพิงกับอกของตน
 
ซอนอินทิ้งศีรษะซบอกกว้าง พลางเอ่ยเสียเบา “สักพักแล้ว...ข้า ...ข้าอยู่ที่ไหน แล้วทำไมท่านราชครูถึง..อึก!!” เอ่ยถามได้ไม่กี่คำ อะไรบางอย่างในอกก็บีบรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งกาย มือเล็กรีบยกขึ้นกดทับแผ่นอกด้วยความทรมาน ลมหายใจพลันติดขัด อึดอัดจนน้ำตาซึมคลอหน่วง
 
“อย่าพึ่งคิดอะไรตอนนี้ทั้งนั้น ร่างกายขององค์วังชอนซายังไม่แข็งแรงนัก ธาตุในกายแปรปรวนจนเสียสมดุล” ขณะที่เอ่ยคำพูด ยองจูก็ค่อยๆ ประคองร่างบางขึ้นอุ้มแนบอก “...เรายังต้องออกเดินทางอีกไกล หลับเสียก่อนเถิด ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น หม่อมฉันจะถวายด้วยชีวิตเพื่อปกป้องท่านให้ถึงที่สุด”
 
ไม่เข้าใจเลยสักนิด... ซอนอินไม่เข้าใจสิ่งที่คนเป็นอาจารย์เอ่ยบอกแม้สักคำ ในหัวสับสนไปหมด เหตุการณ์ก่อนหน้ายังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดไม่จางหาย ความโหดร้ายที่ชองจีรยงมอบให้ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดกับร่างกาย สายตาคมกร้าวที่ราวกับจะกระชากลมหายใจของเขาเป็นเหมือนมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจ
 
เจ็บจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...
 
ความสับสนที่พบว่าตื่นขึ้นมาก็มีราชครูยองจูอยู่ข้างกายยังผลให้ซอนอินปวดศีรษะเพราะคิดอะไรไม่ออก อีกฝ่ายไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ฟัง ซ้ำยังบอกให้เขาไม่ต้องคิดอะไรอีก ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คิมซอนอินคนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้สิ่งใดเลยอย่างนั้นใช่ไหม ตัวเขาไม่มีความสำคัญกับผู้ใดเลยใช่หรือเปล่า
 
ไร้ค่าเสียจริงคิมซอนอิน เสียงในความคิดตอกย้ำถึงความเป็นจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า ชองจีรยงปล่อยเขาออกมาโดยไม่บอกอะไรกับเขาเลย ทั้งราชครูยองจูที่ทำราวกับว่าเขาไม่ต้องรู้อะไรทั้งนั้น ให้ทำตามคำสั่งเพียงเท่านั้น ...น่าสมเพชจนแม้แต่ตัวเองยังคิดเช่นนั้น
 
ซอนอินซุกกายเข้าหาอกกว้างของคนที่อุ้มตนอยู่มากขึ้น ฝังใบหน้าลงแนบสนิท มือเล็กเกาะยึดเสื้อของร่างสูงไว้แน่นด้วยอาการสั่นน้อยๆ คล้ายลูกแมวที่ถูกเจ้าของทิ้งขว้าง
 
ยองจูกระชับร่างบอบช้ำทั้งตัวและหัวใจไว้แนบอก เขาไม่รู้ว่าตลอดช่วงเวลาที่ซอนอินตกอยู่ในกำมือของชองจีรยงเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเป็นไปในทิศทางใด เหตุใดลูกศิษย์ของเขาถึงได้อ่อนไหวมากเช่นนี้ นอกจากร่างกายสวยงามนี้แล้ว ชองจีรยงยังจะได้หัวใจแสนบริสุทธิ์ดวงนี้ด้วยอีกงั้นหรือ? คำถามนี้ ปาร์คยองจูก็ได้แต่หวัง ว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น
 
“ท่านราชครู ท่านจะไม่ทิ้งข้าใช่ไหม ...หากข้าหลับ เมื่อลืมตาอีกครั้ง ท่านก็ยังจะอยู่กับข้าใช่หรือเปล่า” เสียงหวานเอ่ยผ่านแผ่นอกหนา คนที่หวังให้ต้องการในตัวเขากลับไม่เคยคิดจะสนใจแม้เพียงนิด เช่นนั้นแล้ว คนที่จะอยู่เคียงข้างเขาก็มีเพียงราชครูปาร์คยองจูเท่านั้น นอกจากอาจารย์คนนี้แล้ว ซอนอินก็ไม่เห็นว่ายังจะมีใครต้องการเขาเลยสักคน
 
เพราะมีเพียงคนเดียว ซอนอินจึงอยากจะมั่นใจ ว่าตนจะไม่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
 
“หม่อมฉันจะอยู่ตรงหน้า เมื่อทรงลืมตาตื่น”
 
 
 
“ท่านราชครู ทำแบบนี้มันจะดีหรือ?” หลังจากที่จัดการเก็บกระโจมพักแรมแล้ว ยองจูได้พาร่างของซอนอินที่นอนหลับด้วยความอ่อนแรงไว้ในรถม้า ร่างสูงจัดการคลุมผ้าให้กับเรือนร่างคนสำคัญจนเรียบร้อย ก่อนจะลงจากตัวรถม้าแล้วหันกลับไปหาเจ้าของเสียงที่เอ่ยถาม
 
“ราชเลขาแบซองจีคิดจะให้ข้าปลิดชีพองค์วังชอนซา เพียงเพราะคำทำนายนั่น” หลายวันก่อนเขาพอจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าเรื่องทำนองนี้จะต้องเกิดขึ้น ในเมื่อคิมซอนอินถูกทำลายความบริสุทธิ์ก่อนที่จะถึงเดือนเจ็ด การตัดสินของพระเจ้าจึงเป็นไปตามสิ่งที่เกิดขึ้น การบูชาร่างกายเพื่อเทพเจ้าทงซก หากผิดคำพูดก็มีแต่หายนะของความมืดมิดที่รอคอย ความเชื่อที่ว่าหากผู้ที่ได้รับตำแหน่งเป็นวังชอนซาจะต้องดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ในหุบเขาชินซองเพื่อประกาศตัวการเป็นตัวแทนของเทพเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับซอนอินแม้แต่น้อย ชะตาของซอนอินเกิดมาเพื่อเป็นคนที่ถูกเลือกไว้แต่แรกแล้ว คิมซอนอินมีสายเลือดของเทพไหลเวียนอยู่ในกายมาตั้งแต่ต้น
 
“แต่ท่านคิดดีแน่แล้วหรือว่าไม่ใช่กลลวงของผู้ใด แบซองจีเป็นคนสนิทของทั้งองค์กษัตริย์และองค์ราชินี จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทั้งสองพระองค์จะคิดฆ่าบุตรชายของตนเองได้?”
 
“ไม่ใช่กลลวงของผู้ใดทั้งนั้น อาทิตย์ก่อนผู้เฒ่าลีซางลอบส่งนกนำสาส์นมาถึงข้า ในตอนนี้คำทำนายบนแท่นหินสร้างความหวาดกลัวแก่เหล่านักบวชในชนเผ่าจนถึงขั้นเรียกชุมนุมกันวุ่นวายไปหมด คำตัดสินสุดท้ายที่ได้คือหยุดวังชอนซาเสียก่อนที่จะถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลง”
 
“แต่ถึงอย่างนั้น องค์ราชินีทรงยอมได้หรือ? องค์วังชอนซาเป็นถึงบุตรชายคนโตของพระนางเชียวนะ” อูรัมยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อยู่ในช่วงฝึกฝนวรยุทธให้ก้าวไกล ดังนั้นเรื่องภายในบางอย่างของชินซอง แม้แต่ตนที่เป็นลูกหลานก็ยังล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้ไม่ลึกซึ้งพอ
 
“ตั้งแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นวังชอนซา แม้แต่องค์กษัตริย์เองก็ไม่อาจกำหนดอะไรในตัวขององค์ชายซอนอินได้อีกต่อไป การรับหน้าที่เป็นตัวแทนเทพเจ้าทงซกถือเป็นสิทธิ์ขาดของเหล่านักบวชในการตัดสินใจต่อความประสงค์ที่สมควร หากนักบวชเห็นพ้องว่าควรทำเช่นไร ก็ไม่อาจต่อต้านอะไรได้อีก”
 
ยองจูสะบัดตัวขึ้นหลังอาชาสีน้ำตาลเข้ม “...และหากจะให้ข้าพูดตรงๆ องค์ราชินีเองก็ทรงคาดการณ์ไว้อยู่แล้วตั้งแต่ที่องค์วังชอนซาถูกลักพาตัวไป ว่าถึงที่สุดแล้ว บุตรชายของพระนางคงไม่มีทางบริสุทธิ์ได้เหมือนเช่นเดิม ...วันที่พระนางสั่งให้ข้าลอบเข้าฮานึลมา พระนางเองก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ผล การพาองค์วังชอนซาออกมาจากวังหลวงฮานึลไม่ใช่เรื่องง่าย และคำสั่งสุดท้ายที่ข้าไม่อาจยอมรับได้แม้จะเป็นคำสั่งขององค์ราชินีแห่งเชินอันก็ตาม คือคำสั่งที่บอกให้ข้าทำตามความประสงค์ของเหล่านักบวชพวกนั้น”
 
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นยามที่ตวัดตัวขึ้นหลังม้าอีกตัว “ถ้าเช่นนั้น ผู้เฒ่าลีซางก็ทำผิดต่อชนเผ่าน่ะสิ!”
 
เรียวตาคมดุจเหยี่ยวกลางเวหาแหงนเงยมองท้องฟ้าสีมืดครึ้มในคำคืน แววตาสีแดงฉานฉายประกายสะท้อนกับแสงจันทร์สีนวล ยามที่เจ้าตัวเอื้อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ข้าเองก็ทรยศต่อชนเผ่า ข้าไม่เห็นพ้องกับนักบวชพวกนั้น ไม่ว่าจะใครก็ตาม ชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับลมปากหรือคำทำนายในตำนาน คิมซอนอินไม่ใช่สิ่งของไร้ชีวิต ลมหายใจของเขามีความสำคัญเทียบเท่าตัวข้าเอง”
 
ราชครูหนุ่มเลื่อนสายตาลงจ้องมองเด็กหนุ่ม “...เจ้าจะตัดสินใจเช่นไรข้าไม่คิดบังคับ”
 
ศีรษะเล็กรีบสะบัดซ้ายขวารัวๆ ก่อนตอบฉะฉานเสียงดังฟังชัด “องค์วังชอนซาเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครที่ข้าเคยรู้จัก หากจะมีใครไร้มลทินที่สุดในแผ่นดินนี้ ข้าคิดว่าเป็นองค์ชายซอนอินแต่เพียงเท่านั้น การตัดสินของนักบวชเกินไปจริงๆ ไม่มีใครรู้แน่ชัดจริงๆ เสียหน่อยว่าสวรรค์ตัดสินชะตาขององค์ชายซอนอินไว้ว่าอย่างไร บางทีสิ่งที่พวกนักบวชคิดอาจจะไม่ถูกก็ได้...ข้าก็เป็นอีกคนที่จะทรยศชนเผ่าเพื่อปกป้ององค์ชายซอนอินไว้ด้วยเช่นกัน!!”
 
“ข้าดีใจที่เจ้าคิดเช่นนี้” ยองจูระบายยิ้มบางให้กับเด็กหนุ่มที่ถือเป็นลูกศิษย์อีกคน ก่อนจะหันไปหากลุ่มคนติดตามที่ซื่อสัตย์ต่อผู้เฒ่าลีซาง เสียงทุ้มตะโกนก้องภายในป่าที่เงียบสงัด “แบ่งเป็นสองกลุ่ม! พวกเจ้าห้าคนมากับข้า ส่วนอินจอง พูซา ซันแท นัมจา ไปกับอูรัม เราจะแยกไปกันคนละเส้นทาง องค์วังชอนซาจะไปกับกลุ่มของพวกเจ้า กลุ่มของข้าจะเป็นตัวล่อล่วงหน้าไปก่อน ในวันพรุ่งตอนฟ้าสาง นักบวชผู้ฝึกวรยุทธจะต้องดักเข้าโจมตีเป็นแน่ เพื่อให้องค์วังชอนซาปลอดภัย จนกว่าการสู้จะสิ้นสุด พวกเจ้าอย่าเพิ่งเคลื่อนไหวเด็ดขาด พ้นสะพานที่ข้ามแม่น้ำข้างหน้าก็ให้ปักหลักไว้ก่อน เข้าใจหรือไม่?!”
 
“รับทราบขอรับ!!”
 
ร่างสูงโปร่งชักม้าเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่กระตือรือร้นต่อหน้าที่สำคัญ “ข้าไว้ใจเจ้านะอูรัม จงปกป้ององค์วังชอนซาไว้ด้วยชีวิต”
 
“ข้าจะปกป้ององค์วังชอนซาจนสิ้นลมหายใจขอรับท่านราชครู!”
 
“ดี! ออกเดินทางได้!!!”
 
 
 
ท่ามกลางเมฆฟ้าครึ้มที่ปกคลุมยามค่ำคืน สายลมเย็นของอากาศพัดต้องกลุ่มคนบนหลังม้าที่เคลื่อนตัวฝ่าความมืดไปอย่างรวดเร็วนั้น จุดเล็กๆ ของดวงดาวบนฟ้าได้ปรากฏขึ้นอยู่ในที่ไกลแสนไกล หมอกหนาที่ลอยตัวต่ำได้บดบังแสงสว่างเล็กๆ นั้นจนทำให้ราชครูผู้เก่งกาจไม่อาจมองเห็นลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
 
ไม่มีใครคาดคิด ว่าในตอนที่แสงแรกของอรุณรุ่งได้เริ่มต้น คือความพินาศครั้งใหญ่หลวงที่เกิดกับพวกเขา
 
 
“เร็วเข้าอูรัม! เจ้าต้องตัดสินใจตอนนี้ว่าจะเอายังไง!!!”
 
“ท่านราชครูอาจไม่รอดก็เป็นได้! เราจะเอายังไงกันต่อ!!!”
 
“พูซา! เจ้านำรถม้าขององค์วังชอนซาย้อนกลับไปที่ฮานึลเร็วเข้า ส่วนทางนี้....!!!”
 
“ไม่ทันแล้ว!! เราถูกล้อมแล้ว มันเป็นกับดัก!!!”
 
“ล้อมรถม้าไว้เร็วเข้า! อย่าให้เข้าถึงตัวองค์วังชอนซา!!!!”
 
 
เสียงโหวกเหวกและแรงสั่นสะเทือนของรถม้าปลุกให้คนที่นอนหลับใหลตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา เปลือกตาบางปรือปรอยด้วยความอ่อนล้า ตามร่างกายยังปวดแปลบจากบาดแผลฟกช้ำและบาดแผลฉีกขาดในส่วนลับ
 
หัวสมองยังไม่อาจรับรู้ความเป็นไปรอบด้านที่เกิดขึ้น ในหัวยังมึนงงและปวดหนึบจนแทบระเบิด แรงกระแทกแรงๆ ก็ปะทะเข้าที่ด้านข้างของรถม้าจนศีรษะกระแทกผนังไม้อย่างแรง
 
เกิดอะไรขึ้น?! คำถามเพิ่งจะผุดขึ้นในหัวสมอง ม่านประตูตรงหน้าก็ถูกเลิกขึ้น ก่อนที่ใบหน้าที่แสนคุ้นตาจะปรากฏให้เห็น
 
“ท่านราชเลขาแบซองจี!!” ริมฝีปากบางระบายยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนสนิทของผู้เป็นแม่ ร่างบอบบางไร้แรงพยายามลุกขึ้น แต่ก็สะดุดปลายผ้าล้มลงกับพื้นไม้ ความเจ็บแล่นปราดจากส่วนเร้นลับด้านล่างขึ้นมาทันที มือบางสั่นกึกกักกำผืนผ้าแน่น น้ำตาเอ่อซึมในดวงตาคู่สวย ใบหน้าเรียวได้รูปเงยขึ้นมองผู้สูงอายุที่ตนนับถือเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งด้วยสีหน้าเรียกร้องอย่างเด็กคนหนึ่งด้วยความเคยชิน ทว่า นัยน์ตาที่ฉายแววระคนดีใจนั้นค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม แววตาที่เคยคุ้นบัดนี้มีแต่ความว่างเปล่าที่ซอนอินไม่รู้จัก
 
“ท่านราชเลขา?” ซอนอินร้องเรียกด้วยความไม่เข้าใจ หากเป็นทุกที เพียงแค่เขามีบาดแผลเท่ารูเข็ม ราชเลขาแบซองจีก็วุ่นวายเดือดร้อนดูแลเขาอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ สายตาที่เคยอบอุ่นยามมองมาที่เขา ในเวลานี้ไม่มีหลงเหลือให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
 
“องค์วังชอนซา ทรงยกโทษให้กระหม่อมด้วยพะย่ะค่ะ”
 
“ยกโทษ? ทำไม... อ๊ะ! อื้อ!!!!” มือเล็กรีบตะกายขึ้นจับมือใหญ่หยาบกร้านที่คว้าลำคอของเขาอย่างรุนแรง ลมหายใจที่ถูกปิดกั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้าของร่างบาง
 
“ป...ปล่อย....อื้อ!!!” แรงกระชากจากมือที่คว้าลำคอขาวนั้นยังผลให้ร่างของซอนอินเซถลาไปตามแรงฉุดออกมาจากรถม้า ร่างทั้งร่างทรุดฮวบลงกับผืนหญ้าโดยแรง
 
มือเล็กตะเกียดตะกายพยายามดึงมือของชายสูงวัยให้พ้นจากลำคออย่างทุลักทุเล
 
“อย่าขัดขืนอีกเลยพะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นจะทรงทรมานมากกว่านี้”
 
เสียงทุ้มต่ำของแบซองจีพาเอาซอนอินตัวสั่นไปทั้งกาย ดวงตาคู่สวยจ้องมองราชเลขาตรงหน้าอย่างไม่อาจเข้าใจ ริมฝีปากบางแห้งผากขยับเอื้อนเอ่ยไร้เสียงเพื่อถามถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้กับตน
 
“กระหม่อมไม่อาจฝืนชะตาสวรรค์ได้ องค์วังชอนซาทรงกระทำผิดต่อคำสัตย์ ร่างกายของท่านจะนำพามาแต่ความอัปยศแก่พวกเราทุกคน”
 
ศีรษะที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำยาวส่ายไปมาทั้งที่ยังถูกบีบรัดที่รอบลำคอด้วยแรงมือที่ไม่ลดลงแม้แต่น้อย ความตื่นกลัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้นพร้อมกับคำถามมากมาย อากาศที่ค่อยๆ จะหมดไปทำให้ร่างบางทุ่มกำลังเท่าที่จะมีได้ทั้งหมดจิกเล็บลงไปบนหลังมือหยาบกร้าน
 
...แต่ก็ไร้ผล
 
“ทรงอย่าพยายามอีกเลยพะย่ะค่ะ ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณแก่พระมารดาของพระองค์เถิด”
 
ตอบแทนเสด็จแม่? นัยน์ตาสีนิลจ้องมองคนพูดนิ่งค้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน รับสั่งของเสด็จแม่งั้นหรือที่ทำให้ราชเลขาพยายามทำร้ายเขาเช่นนี้?
 
เสด็จแม่ของเขาน่ะหรือที่สั่งให้คนมาฆ่าเขา?
 
ไม่จริงใช่ไหม?
 
สิ่งที่ได้ยินนำพาให้มือบางทั้งสองตกลงข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง คำพูดของราชเลขาดังก้องอยู่ในโสตประสาทพร้อมๆ กับหยาดน้ำตามากมายที่ไหลลงจากหางตาเชื่องช้า ในตอนนี้ ซอนอินไม่อาจมีแรงต่อต้านอะไรได้อีกต่อไป เสียงของความวุ่นวายรอบตัวค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ ความเงียบสงัดโรยตัวลงมากดทับทุกสัมผัสของร่างกาย ขณะที่ลมหายใจของเขาก็ใกล้จะสิ้นสุดลง
 
 
“เสด็จแม่จะรักลูกมากกว่าใครใช่หรือเปล่า?”
 
“เจ้าเป็นลูกของแม่ จะไม่รักได้อย่างไร?”
 
“แล้วรักที่สุดหรือเปล่า?”
 
“อ้อนเก่งจริงนะเรา พอหัดพูดได้ไม่เท่าไหร่ก็อ้อนเชียวนะ มาให้แม่กอดหน่อยมา ...ลูกเป็นดวงใจของแม่นะซอนอิน เหตุใดแม่จะไม่รักลูกมากกว่าใครล่ะ หืม?”
 
“ถ้างั้น รักมากกว่าเสด็จพ่อด้วยใช่ไหม??”
 
“รักมากกว่าเสด็จพ่อด้วย”
 
“รักมากกว่าท่านปู่ด้วย??”
 
“มากกว่าท่านปู่ด้วย”
 
“คิก คิก...ลูกก็รักเสด็จแม่มากกว่าใครเลย!!!”
 
 
...รักงั้นหรือ? มันเป็นอย่างไรนะ ซอนอินได้แต่ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาโดยตลอดเพียงลำพังยามที่อยู่ในตำหนักส่วนวังหลังของเชินอัน สิ่งที่เรียกว่าความรัก แท้จริงแล้ว มันไร้ค่าใช่หรือเปล่า เป็นเพียงแค่ลมปากที่ไร้ความสำคัญเฉกเช่นตัวตนของเขาสินะ
 
ไร้ค่า...
 
ไร้ความหมาย...
 
ชีวิตที่ไม่มีใครต้องการ จะอยู่ต่อไปอีกทำไม?
 
เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ตายไปซะแบบนี้แหละดีแล้ว...
 
 
เปลือกตาบางชื้นน้ำตาหลับลงแนบสนิท ปล่อยให้มือคู่นั้นปลิดลมหายใจของตนเองไปอย่างยอมจำนน ไม่คิดจะขัดขืนเรียกร้องอะไรอีกต่อไป ซอนอินไม่มีแก่ใจจะฝืนอะไรได้อีกแล้วเมื่อรับรู้ว่าคนที่เป็นมารดาคาดหวังให้เขาตาย ...เช่นนั้นเขาก็จะตายตามพระประสงค์ของเสด็จแม่อย่างที่พระนางต้องการ
 
หากแต่ ทันทีที่หลับตาและความมืดมิดบดบังทุกสิ่งทุกอย่าง ใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในม่านหมอกของความนึกคิด เสียงทุ้มห้าวก้องกังวานดังสะท้อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ...เสียงของใครบางคนที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวสะท้านเยือกขึ้นมายามที่คิดว่าต่อจากนี้ไปจะไม่ได้พบเจอกับคนผู้นั้นอีกแล้วชั่วนิจนิรันดร์
 
น่าขำเสียจริงคิมซอนอิน แม้แต่วินาทีสุดท้ายของชีวิต เจ้าก็ยังจะคิดถึงชองจีรยงที่ไม่เคยเหลียวมองตนเลยสักครั้ง ที่ผ่านมายังเจ็บไม่พอสินะ การตกเป็นของเล่นให้กับชายผู้นั้นยังสร้างความเสียใจไม่พออย่างนั้นใช่ไหม
 
ไม่เคยพอ...
 
ต่อให้เจ็บมากกว่านี้ก็ตาม ซอนอินรู้ดีว่าตนเองไม่อาจเพียงพอเลยสักครั้งหากเป็นเรื่องของชองจีรยง
 
แต่ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว เขากำลังจะตาย...
 
นับจากนี้จะไม่มีคนที่ชื่อคิมซอนอินอีกแล้ว...
 
หัวใจของเขาที่ร้องหาแต่ชองจีรยงจนวินาทีสุดท้าย ...จะเรียกว่าเป็นความรักได้หรือเปล่า?
 
 
สิ่งที่เรียกว่ารัก คือความรู้สึกแบบนี้ใช่ไหม?
 
 
ก่อนที่สติจะดับวูบ ก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ก่อนที่ร่างกายจะไม่เป็นเช่นเดิม ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป คำถามสุดท้ายที่ดังก้องอยู่ในหัวใจ เป็นสิ่งเดียวที่ซอนอินหวังจะได้คำตอบยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
 
 
ชองจีรยง ...ข้ารักเจ้าใช่หรือเปล่า?
 
.
.
.
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ภายในตำหนักโยกันซึ่งตั้งอยู่ในเขตของวังหลวงฮานึลเงียบสะงัดในช่วงบ่ายของวัน อากาศอบอ้าวเมื่อใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนทำให้นางกำนัลสาวประจำตำหนักต้องผลัดเปลี่ยนกันเช็ดตัวให้กับร่างบางบนเตียงอยู่ตลอดทั้งวัน
 
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับผู้เป็นนายที่ยังนอนซมไข้ได้ไม่นาน ร่างสูงสง่าขององค์รัชทายาทก็ได้เสด็จมาถึงหน้าประตูตำหนัก นางกำนัลสองสาวรีบออกไปต้อนรับด้วยความเคยชินดั่งเช่นตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
 
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชองจีรยง องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันแห่งฮานึลเอ่ยถามสาวใช้ พลางเดินเข้าตำหนักอย่างไม่สนใจพิธีรีตองใดๆ ช่วงขายาวก้าวเดินไปจนถึงห้องนอนราวกับพระองค์รอคอยที่จะเข้ามาให้ห้องนี้มาโดยตลอด
 
“ทูลฝ่าบาท องค์วังชอนซายังไม่ฟื้นเลยเพคะ แต่เมื่อตอนสาย หม่อมฉันได้ยินเสียงขององค์วังชอนซาทรงพึมพำคล้ายละเมอเพคะ ...เป็นครั้งแรกเลยเพคะที่องค์วังชอนซาทรงมีปฏิกิริยาอื่นนอกไปจากการนอนหลับใหลเช่นที่ผ่านมา” แบยอนอาก้มศีรษะเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม โดยมีน้องสาวคอยจับปลายผ้าห่มหลบออกเพื่อให้นายเหนือหัวได้นั่งลงบนเตียงข้างกายร่างบอบบาง
 
ร่างสูงโบกมือปัดในอากาศบอกให้นางกำนัลทั้งสองออกไปจากห้อง นัยน์ตาคมเลื่อนสายตาลงมองดวงหน้าขาวไร้ที่ติ ข้อนิ้วหนาเกลี่ยผิวแก้มอุ่นนุ่มแผ่วเบา คล้ายกลัวว่าหากจับต้องแรงไปคนตรงหน้าอาจแหลกสลายได้ในชั่วพริบตา
 
ยิ่งนับวัน จีรยงกลับพบว่าคิมซอนอินเปราะบางมากขึ้นทุกวัน
 
ถึงเจ้าตัวจะยังไม่ฟื้น แม้ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ทว่า ทุกครั้งที่ดูเหมือนว่าคนคนนี้กำลังฝันร้าย สีหน้าเจ็บปวดแสนทรมานที่ได้เห็นก็ทำให้เขาค้นพบอีกด้านของคนคนนี้ ว่าความจริงแล้ว นอกจากจะปกป้องตัวเองไม่ได้ คิมซอนอินยังอ่อนแอราวกับคนที่ไม่เคยพบเจอสิ่งดีๆ ในชีวิตเลยสักครั้ง
 
หลายวันที่ผ่านมา ยิ่งได้เห็นถึงความอ่อนแอภายใต้เกราะแข็งแกร่งที่เจ้าตัวสร้างขึ้น จีรยงก็ยิ่งอยากรู้เรื่องราวของคนคนนี้มากขึ้น เหตุใดคนที่มีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นผู้ที่มีคนเคารพนับถือของใครต่อใครอย่างองค์วังชอนซาผู้นี้ถึงได้เก็บซ่อนความทุกข์ได้มากถึงเพียงนี้
 
ความโกรธมากมายที่สุมอกเกี่ยวกับการหายตัวไปของคิมฮีอูมีมากจนสามารถทำลายร่างตรงหน้านี้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แต่พอได้เห็นร่างบางที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วก็คร้านจะคิดแค้นได้อีก ถึงจะยังตะขิดตะขวงใจเกี่ยวกับราชครูปาร์คยองจูผู้นั้น แต่จากสายตาของเขา ต่อให้คิมซอนอินฟื้นขึ้นมาก็คงจะไม่รู้เรื่องอยู่ดี แล้วยังจะปีกสีดำที่เขาเห็นในวันนั้นอีก ...คิดได้เลยว่าแม้แต่เจ้าตัวเองก็คงจะไม่รู้สาเหตุ
 
ภาพของร่างบอบบางที่ถูกปกคลุมด้วยปีกสีดำขนาดใหญ่ดูสับสนจนทำอะไรไม่ถูกยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ สีหน้าหวาดกลัวและท่าทางที่หวาดหวั่นต่อทุกสิ่งรอบกายทำให้หงส์ที่เคยสง่างามกลับกลายเป็นเพียงลูกนกที่ถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพัง
 
คิมซอนอินที่เป็นเช่นนั้น สร้างความรู้สึกบางอย่างในใจของชายหนุ่มให้เกิดความหวั่นไหว จีรยงไม่อาจหาคำตอบให้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ รู้เพียงอย่างเดียวว่าไม่อาจปล่อยเชลยคนนี้ให้หลุดมือไปได้ก็เท่านั้น
 
ปีกสีดำ... ขณะที่นึกถึงวันที่แสนวุ่นวายคราวนั้น มือหนาก็เคลื่อนจากผิวแก้มไปเกลี่ยปอยผมนุ่มลื่นอย่างเบามือ ...ในวันนั้น เมื่อเดินทางกลับถึงวังหลวง ตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปในรถม้าเพื่อจะอุ้มร่างที่หมดสตินั้น ปีกสีดำที่เคยปรากฏอยู่บนแผ่นหลังขาวสว่างก่อนหน้านั้นได้หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนถึงวันนี้ ชายหนุ่มยังไม่อาจไขปริศนาเกี่ยวกับร่างบางได้เลย
 
ความลับของชนเผ่าชินซองมีมากมายนักที่ไม่เคยเปิดเผย ...แต่ใครจะสนกัน? ไม่ว่าคิมซอนอินจะเป็นอะไร จีรยงก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าคนคนนี้จะต้องเป็นคนใต้อาณัติขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลผู้นี้เท่านั้น
 
 
“ฮึก!”
 
 
จู่ๆ เปลือกตาบางก็เปิดขึ้นกะทันหัน ดวงตากลมโตเหม่อลอยอยู่เพียงครู่ ก่อนจะสบเข้ากับใบหน้าคมเข้มของคนที่นั่งอยู่ข้างกาย
 
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยพูดกับคนตรงหน้ามาก่อน
 
ลูกแก้วสีนิลจ้องมองคนถามนิ่งค้าง ก่อนที่มือเรียวเล็กจะยกขึ้นทาบแก้มสากของคนเหนือร่าง แววตาที่ฉายออกมานั้นเหมือนกับเจ้าตัวยังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน คล้ายสายตาของคนที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้เห็น
 
จีรยงปล่อยให้คนตัวเล็กลูบใบหน้าของตนโดยไม่เอ่ยอะไรอีก เขากำลังรอคอยว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร
 
 
“...ชองจีรยง”
 
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบแห้งไม่ต่างจากเด็กที่หัดพูดเป็นครั้งแรก ทั้งยังฟังดูอ่อนแรง น้ำเสียงที่หลุดรอดจากกลีบปากบางนั้นเบาเสียจนแทบจะกลืนหายไปกับสายลม
 
“ความจำเจ้าไม่ได้เลอะเลือนนี่? ยินดีด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยตอบแววตาสงสัยของคนสวย มือข้างขวาของซอนอินยังคงไม่ละไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม
 
“ทำไมถึงไม่ฆ่าข้า?”
 
“ไม่มีเหตุผล”
 
“การจะฆ่าใครสักคน ในสายตาของเจ้าจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยงั้นหรือ?”
 
“ใครสักคนที่เจ้าว่า ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ยกเว้นแต่คนของข้า” จีรยงกุมมือเล็กที่ทาบแก้มของตนไว้หลวมๆ
 
“แต่ข้าไม่ใช่คนของเจ้า”
 
“เจ้าย่อมเป็นคนของข้า ลืมไปแล้วหรืออย่างไร ทุกอย่างของเจ้าเป็นของข้าตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน”
 
“ถ้าเช่นนั้น...” ซอนอินกระชับมือตอบมือหนาที่กอบกุมด้วยแรงที่มีน้อยนิด “...หัวใจของข้า เจ้าจะยอมรับด้วยหรือไม่?”
 
ซอนอินใช้สายตาเว้าวอนอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรต่อไปแล้วจริงๆ
 
“หากว่าตัวของข้าเป็นของเจ้าแล้ว แล้วหัวใจของข้าจะทำเช่นไร”
 
คำถามที่เกินกว่าจะคาดคิดทำให้เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มคล้ายเห็นเรื่องสนุกที่น่าสนใจ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้าใกล้ดวงหน้าสวย ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนอย่างนุ่มนวล ก่อนกระซิบใกล้ใบหูเล็กด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก  แต่กลับดังก้องสะท้อนเข้าไปถึงในอกของคนฟัง
 
 
“หัวใจขององค์วังชอนซา ผู้ใดเลยจะกล้าปฏิเสธ หากทรงยกให้หม่อมฉันแล้ว วันข้างหน้าอย่าได้เสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
 
 
ขณะที่ริมฝีปากหนาเคลื่อนทับลงมาแนบสนิท เปลือกตาบางก็ได้หลับลงอีกครั้ง รสจูบอ่อนหวานที่ได้รับครั้งนี้เป็นราวกับข้อสัญญาแลกเปลี่ยนของกันและกัน
 
รู้ว่าเป็นกับดัก แต่ซอนอินก็คิดว่าคำหลอกล่อขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลช่างเป็นกับดักแสนหวานเสียเหลือเกิน ต่อให้ต้องเจ็บมากเพียงไร หากเป็นชายผู้นี้เขาก็ยอมทั้งนั้น
 
ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมา หัวใจของเขาก็ร้องเรียกแต่คนตรงหน้านี้เท่านั้น ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร จะต้องเจ็บมากกว่าที่เคยกี่ร้อยพันเท่าเขาก็ไม่สนอีกแล้ว
 
 
เพราะซอนอินรู้แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าความรัก สำหรับเขาก็คือ ชองจีรยง...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตัวเอกพาเข้าดราม่าอยู่เรื่อย
รอตอนต่อไปค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 14

 
หงิง~ หงิง~
 
 
“ไม่เอาน่าอิงอิง เจ้าอย่าดิ้นนักจะได้ไหม!” เสียงหวานฟังอ่อนแรง พยายามขึ้นเสียงขู่ให้สุนัขจิ้งจอกหิมะตัวเล็กในวงแขนหยุดดิ้นอย่างสุดความสามารถ
 
แต่ไม่ว่าจะดุ หรือจะตีหน้าโหดเท่าที่จะทำได้มากแค่ไหน เจ้าตัวกลมขนฟูก็ยังไม่ยอมนิ่งเสียที อุ้งเท้าเล็กตวัดใส่ดวงหน้าขาวไม่ให้เจ้าของได้ตั้งตัว ก่อนจะกระโดดปุลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
 
“อิงอิง! เจ้าจะไปไหน โอ้ย!....อิงอิง!”
 
ศีรษะพลันปวดแปลบขึ้นมา แรงที่มีน้อยยิ่งลดหายเป็นเท่าตัว ฮีอูกัดริมฝีปากแน่นฝืนร่างกายให้ก้าวเดินต่อ มือเล็กกดศีรษะขณะที่พยายามออกเดินให้ทันสัตว์เลี้ยง พิษในร่างกายที่เพิ่งสลายไปได้ไม่นานยังคงส่งผลให้ร่างกายไม่เป็นไปตามที่ต้องการ จะก้าวเดินแต่ละทีก็ติดขัดไปหมด
 
ด้วยหนทางที่เป็นป่าสนโปร่ง ทำให้ร่างเล็กมองเห็นในระยะไกลสายตาว่าสุนัขจิ้งจอกของตนกำลังวิ่งข้ามสะพานไม้ตรงปลายสุดของแนวป่า เมื่อพาร่างกายแสนเหนื่อยล้ามาถึงที่ฟากหนึ่งของแม่น้ำแล้ว ฮีอูก็เห็นร่องรอยของการต่อสู้ในบริเวณว่างโล่งของพื้นที่นั้น มีซากไม้ที่ถูกเผ่าไหม้ และกลิ่นคาวเลือดยังลอยอบอวล บนพื้นหญ้ามีร่องรอยไหม้สีดำเกรียมเป็นวงกลมขนาดกว้างอย่างแปลกประหลาด ร่างเล็กมองไปรอบๆ บริเวณอย่างฉงน ก่อนจะเห็นกกลุ่มทหารจำนวนหนึ่งอยู่ไกลๆ คิดว่าน่าจะเป็นนายทหารที่ได้รับมอบหมายมาจัดการพื้นที่แห่งนี้
 
ร่างเล็กรีบหลบไปหลังพุ่มไม้ใหญ่ ถึงอย่างไรเรื่องที่เขาหลบหนีมาก็น่าจะรู้ถึงทหารทุกคนแล้ว
 
ฮีอูหลบหนีออกมาจากวังทันทีที่สบโอกาส เขาติดสินบนกับนายทหารเฝ้าประตูนายหนึ่ง จะว่าติดสินบนก็ไม่ใช่นัก นายทหารคนนั้นเป็นญาติกับสาวใช้ที่บ้านของเขาเอง เมื่อเห็นความต้องการของเขา ฝ่ายนั้นก็สุดจะคัดค้านได้ เห็นแก่ความเมตตาของตระกูลเขาที่มีให้มาโดยตลอดจึงจำยอมที่จะปล่อยเขาออกมา
 
ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทจะทรงทำเช่นไร จะทรงกริ้วมากแค่ไหนหากรู้ว่าเขาหนีจากพระองค์มา พระองค์ต้องส่งทหารมาตามจับเขากลับไปแน่ ถึงจะรู้สึกผิดมากเพียงไร แต่ฮีอูก็ตัดสินใจในวินาทีที่ลมหายใจของเขาหวนกลับมาอีกครั้งแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในชีวิต ขอเพียงเขาได้ทำตามหัวใจที่เรียกร้องนี้ในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะตกนรกหรือถูกสาปแช่งที่ผิดต่อองค์รัชทายาทชองจีรยง ฮีอูก็พร้อมจะยอมรับคำตัดสินเหล่านั้น
 
...ยาถอนพิษมาพร้อมลมหายใจที่กลับคืนมา ยองจูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ
 
 
หงิง~
 
 
เสียงร้องของอิงอิงดังแว่วลึกเข้าไปด้านหลังของพุ่มไม้ที่ฮีอูหลบอยู่ ร่างเล็กละสายตาจากภาพเบื้องหน้าแล้วก้มตัวต่ำเดินไปตามเสียงร้องของอิงอิง
 
แมกไม้หนาทึบทำให้ต้องเสียเวลาในการปัดกิ่งก้านที่รกตามทางเดิน กว่าจะถึงตัวเจ้าสัตว์เลี้ยง ผิวขาวของคนตัวเล็กก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทางยาวมีเลือดซึมเล็กน้อย ปัดใบไม้ตามตัว เงยหน้าขึ้น ภาพร่างสูงของใครคนหนึ่งที่นอนจมกองเลือดก็ปรากฏแก่สายตา
 
“ยองจู!” ฮีอูถลาลงไปนั่งข้างกายเจ้าของชื่อ
 
ความน่ากลัวของบาดแผลที่ถูกแทงด้วยกระบี่ส่งผลให้ดวงตาเรียวเล็กเอ่อคลอด้วยหยดน้ำใส ฮีอูไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวของยองจู ไม่เพียงแต่แผลที่เกิดจากของมีคม ร่องรอยดำไหม้ตามข้อมือและท่อนแขนซ้ายนั้นดูก็รู้ว่าเป็นวรยุทธเก่งกล้าที่เกิดจากการทำลายธาตุในกายให้แปรปรวน
 
ฮีอูเลื่อนสายตาขึ้นมองดวงหน้าคมเข้มที่บัดนี้มองเห็นแต่เพียงเลือดสีแดงสดเปรอะอยู่ทั่ว ดูเหมือนว่าบริเวณเปลือกตาทั้งสองข้างของยองจูจะถูกปลายกระบี่ตวัดผ่าน ฮีอูจับอิงอิงที่เลียข้างแก้มของยองจูให้ออกห่าง เขาแตะข้อมือหนาเพื่อจับชีพจร ยังเต้นอยู่ ...แต่ก็อ่อนแรงนัก
 
...ใครกันที่ทำร้ายท่านถึงเพียงนี้
 
ในเวลานี้ ยองจูแทบจะเรียกไม่ได้ว่ายังมีชีวิต ฮีอูคิดว่าหากไม่ใช่เพราะยองจูฝึกวรยุทธมาจนแกร่งกล้าแล้วละก็ อาจจะสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว ไม่รู้ว่ายองจูอยู่ในสภาพนี้นานแค่ไหนแล้ว เมื่อมองจากรอยเลือดตามพื้นหญ้า พอจะทำให้เดาได้ว่ายองจูพยายามที่จะพาตัวเองไปให้ถึงบริเวณลานโล่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ แต่เพราะคงจะหมดสติลงเสียก่อน ถึงได้มานอนสลบอยู่ตรงนี้
 
ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตา หรือเพราะอิงอิงมีอะไรบางอย่างที่เชื่อมหายองจู ถึงทำให้เขาได้มาเจอร่างสูงที่นี่ ...จะเพราะอะไรก็ตามแต่ จากวันนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่ห่างจากยองจูอีกเป็นครั้งที่สอง
 
 
 
หลังจากจ่ายเงินให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นค่าลากเกวียนมาจนถึงเนินเขาของหมู่บ้านชาวสวน ฮีอูก็ขอร้องให้เด็กคนนั้นช่วยอุ้มร่างหมดสติของยองจูเข้าไปในกระท่อมไม้ที่ตนเพิ่งขอซื้อมาจากหญิงร่างท้วมเจ้าของไร่เมื่อครู่
 
“โห เลือดท่วมขนาดนี้ เขายังไม่ตายอีกหรือ?” เด็กหนุ่มชาวไร่เอ่ยอย่างตกตะลึงเมื่อวางร่างคนเจ็บลงบนเตียง
 
“ยังหรอก นี่ เจ้าช่วยอะไรเราอีกสักอย่างได้ไหม?”
 
“ได้สิ คุณชายมีอะไรให้ข้าช่วยอีกก็บอกมาเถอะ ท่านให้ค่าจ้างข้าเสียเยอะแยะจนไม่ต้องไปทำสวนให้แม่ได้ตั้งสองอาทิตย์เชียวนะ” คนพูดฉีกยิ้มกว้าง ความใสซื่อที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างไม่มีพิษมีภัยทำให้ร่างเล็กรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
 
“เราอยากได้สมุนไพรประมาณสิบอย่าง เจ้าช่วยหาให้เราได้ไหม?”
 
“สมุนไพรเหรอ? ความจริงบ้านข้าปลูกพวกสมุนไพรขายด้วย ยังไงถ้าชนิดไหนไม่มี ข้าจะไปซื้อที่ตัวเมืองมาแทนแล้วกัน”
 
“จริงเหรอ! บ้านเจ้าปลูกสมุนไพรเหรอ? ถ้าเช่นนั้น ให้เราไปเลือกดูได้ไหม? เราจะจ่ายให้สมราคาแน่นอน”
 
เด็กหนุ่มหัวเราะร่วนพลางว่า “ฮ่าๆ แม่ข้าต้องเพิ่มวันหยุดให้ข้ายาวเลย ได้ลูกค้าเงินหนักขนาดนี้” แล้วก็กวักมือเรียกให้ร่างเล็กเดินตามลงเนินเขาไปอย่างอารมณ์ดี “...ไม่ไกลมากหรอก บ้านของข้าอยู่ที่หมู่บ้านตรงเชิงเขา หากคุณชายมีอะไรอยากให้ช่วยก็มาหาได้เลย อ่ะ นั่นไง บ้านข้าเอง...”
 
ร่างเล็กรีบเดินตามเด็กหนุ่มจนเรียกว่าจะเป็นการวิ่งตามเสียมากกว่า พอมองไปยังทางที่เด็กหนุ่มชี้ไป ก็เห็นหญิงวัยกลางคนกำลังตากผ้าอยู่ที่ลานหน้าบ้าน
 
ระหว่างที่วิ่งไล่ตาม เด็กหนุ่มที่เดินนำมาตลอดทางก็หันขวับกลับมาอย่างกะทันหัน
 
“...อ๊ะ ข้าลืมบอก เอามืออุดหูไว้นะ”
 
“...ห่ะ...อะไรนะ?...” กำลังหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ยังไม่ทันเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เสียงแหลมสูงแบบที่เสียงของระฆังหลักเมืองยังต้องยอมแพ้ก็แผดลั่นขึ้น
 
“คิ-ม-มู-ฮ-ย-อ-น !!!!!!!!” หลังเน้นคำเรียกชื่อ ก็ต่อด้วยประโยคยาวเหยียดที่จับใจความแทบไม่ทัน “แกหายไปไหนมาตั้งแต่เช้าห๊ะ! บอกให้ไปเก็บกะหล่ำปลีกับหัวหอมยังไม่ได้เลยสักอย่าง! แล้วจะเอาอะไรไปขายที่ตลาดห๊ะ ไอ้ลูกคนนี้นี่พึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ! ดูสิ พระอาทิตย์จะตกดินอยู่รอมร่อเพิ่งจะโผล่หัวกลับบ้าน มันน่านั~ก!!!”
 
ฮีอูเห็นอะไรไหวๆ พุ่งเข้ามา ดูคล้ายท่อนไม้ที่ใช้ตากผ้าก็รีบก้มหลบอย่างตกใจ
 
“แม่ฟังก่อนสิ!” มูฮยอน เด็กหนุ่มที่ฮีอูเพิ่งจะรู้จักชื่อรีบปราดเข้าไปหาผู้เป็นแม่ “เห็นไหมว่าผมมีแขกน่ะ คุณชายคนนี้เค้าจะมาซื้อสมุนไพรของเรานะ!”
 
กว่าจะพูดคุยถามหาสมุนไพรที่ต้องการ ก็เสียเวลาไปมากโขอยู่ เมื่อได้ตัวยาเพียงพอแล้วฮีอูก็กล่าวขอบคุณพร้อมจ่ายเงินก้อนสุดท้ายที่มี ก่อนจะรีบขึ้นเขากลับไปยังกระท่อมไม้โดยเร็ว
 
กระท่อมไม้ที่เขาใช้ปิ่นปักผมและกำไลซึ่งทำจากทองคำแท้แลกเป็นเงินมาซื้อนั้นมีข้าวของพร้อมทุกอย่างที่เขาต้องการ ในครัวมีอุปกรณ์การทำอาหารพร้อมสรรพ ใช้เวลาต้มยา สลับกับเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ร่างสูงพร้อมกับทำแผลอยู่ราว 1 ชั่วยามถึงจะเสร็จ
 
ฮีอูประคองศีรษะของยองจูขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้อนยาสมุนไพร ยาในถ้วยครึ่งหนึ่งล้นออกมาจากริมฝีปากหยักหนา ทำให้ฮีอูต้องกลับไปเทมาเพิ่มแล้วป้อนอีกครั้ง
 
หนึ่งอาทิตย์เต็มที่ฮีอูไม่ได้ทำอะไรนอกจากดูแลคนเจ็บอยู่ข้างกายไม่ห่าง มูฮยอนคอยหอบเอาอาหารสดมาให้ทุกสองวัน แม้ว่าฮีอูจะบอกกับเด็กหนุ่มแล้วว่าตนไม่เหลือเงินจะจ่ายให้ แต่มูฮยอนก็บอกเพียงว่าปลาพวกนี้เป็นปลาที่เหลือจากเอาไปขายที่ตลาด ไม่มากเกินไปที่จะแบ่งให้คนรู้จัก
 
“คนผู้นั้นยังไม่ฟื้นอีกเหรอ?” วันนี้เป็นอีกวันที่มูฮยอนเอาหัวกะหล่ำปลีมาฝาก
 
“อืม เราพยายามดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว คิดว่าอีกไม่นาน...” จู่ๆ เสียงดังโครมใหญ่ก็ดังขึ้นภายในกระท่อมไม้ ฮีอูและมูฮยอนรีบเข้าไปด้านในก็เห็นว่าร่างสูงล้มอยู่ที่ข้างเตียง ฮีอูรีบปราดเข้าไปช่วยพยุง โดยมีมูฮยอนประคองแขนร่างสูงไว้อีกข้าง
 
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง อย่าเพิ่งขยับร่างกายตอนนี้นะ” จับคนเจ็บขึ้นนั่งบนเตียงได้สำเร็จ มือเล็กก็ยกปลายผ้าห่มขึ้นคลุมร่างสูงไว้จนถึงอก
 
“ข้า...โอ้ย!!” เสียงทุ้มเอ่ยได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องร้องด้วยความเจ็บ มือหนาที่พันรอบด้วยผ้าสีขาวยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของตนเอง ปลายนิ้วเรียวแตะบริเวณดวงตาที่ถูกผ้าพันไว้โดยรอบ “ตา...ตาของข้า...”
 
“ท่านได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา ต้องรักษาอีกสักพักถึงจะหาย” ฮีอูเอ่ยตอบอย่างกังวลเมื่อเห็นท่าทางของยองจูเหมือนกับจะลุกจากเตียงเสียให้ได้ “...รวมถึงร่างกายของท่านด้วย บาดแผลของท่านหากไม่รักษาให้ดีจะทำให้เป็นแผลเรื้อรังได้นะ”
 
“ข้าเสียเวลาไม่ได้...ข้าต้องไป...” ร่างสูงสะบัดผ้าออกจากตัวทั้งที่มองอะไรไม่เห็น แต่ก็ถูกมือเล็กคว้าต้นแขนไว้ให้นอนลงที่เดิม เพียงแค่โดนจับที่แขน ความเจ็บปวดอย่างร้ายกาจก็แล่นปราดไปทั่วกาย จนเสียงทุ้มเผลอร้องออกมา
 
“เห็นหรือเปล่าว่าแม้แต่จะขยับตัว ท่านก็เจ็บร้าวไปหมดเช่นนี้ ท่านยังจะคิดไปที่ใดอีก ...เชื่อเราเถอะ พักรักษาตัวก่อน เพราะต่อให้ท่านอยากจะออกไปจริงๆ ละก็ เราบอกได้เลยว่ายังไม่ทันจะได้ไปถึงไหนท่านก็สลบเหมือดก่อนอย่างแน่นอน” ฮีอูเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วน หงุดหงิดที่เห็นว่ายองจูบาดเจ็บถึงเพียงนี้ยังจะคิดออกไปหาใครอื่นอีก
 
“เชื่อคุณชายเถอะครับ ข้าว่าเจ้าเองก็น่าจะเจ็บจนทนไม่ไหวนะ นอนพักเถอะ” มูฮยอนเอ่ยเสริมทับ
 
“คุณชาย?” ร่างสูงดูสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว เขาทวนคำของเด็กหนุ่มเมื่อครู่
 
“ก็คุณชายผู้นี้อย่างไรเล่า อาทิตย์หนึ่งเต็มๆ เลยที่ท่านไม่ได้สติ คุณชายผู้นี้คอยดูแลมาโดยตลอดเลย”
 
หนึ่งอาทิตย์? ...ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วหรือ? ยองจูทวนคำของเด็กหนุ่มด้วยความกังวล เหตุการณ์ก่อนหน้าหวนเข้ามาในความทรงจำอย่างรวดเร็ว หลังถูกพวกนักบวชเล่นงานใส่เขาพร้อมกันถึงแปดคน กว่าที่เขาจะหยุดพวกนั้นได้ร่างกายของเขาก็แทบจะฉีกออกจากกันเสียทุกส่วน เปลวไฟและหมอกควันที่เห็นเบื้องหลังทำให้เขาฝืนสังขารออกเดินกลับไป เสียงสู้ฟันกันของกลุ่มคนทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว ในหัวมีแต่คำสั่งที่ต้องกลับไปช่วยวังชอนซา ทว่า ร่างกายไม่อาจทานทนได้อย่างที่ใจต้องการ เขาหมดสติก่อนจะได้เห็นว่าวังชอนซาปลอดภัยหรือไม่
 
ผ่านอาทิตย์หนึ่งมาแล้ว ซอนอินจะเป็นอย่างไรบ้าง จะปลอดภัยหรือเปล่า หรือถูกพวกนักบวชสังหารไปแล้วกันแน่ หากดวงตายังใช้การได้ เพียงแค่ได้มองผืนฟ้าเขาก็จะรู้ถึงตัวตนของคิมซอนอิน เพราะซอนอินไม่ใช่เพียงโอรสของกษัตริย์ ไม่ใช่เพียงตัวแทนของเทพเจ้าทงซก แต่คิมซอนอินคือส่วนหนึ่งของท้องฟ้า เป็นส่วนหนึ่งของเทพเจ้าเบื้องบน เป็นเทพวิหคเพลิงแห่งทิศตะวันออกอย่างแท้จริง
 
ดวงตาใช้การไม่ได้ อย่าว่าแต่ร่างกาย พลังธาตุของเขาตอนนี้ก็ใช่ว่าจะมีมากถึงกับช่วยชีวิตผู้ใดได้ ...เช่นนั้น เขาควรเชื่อใจในสิ่งที่สวรรค์เป็นผู้ลิขิต
 
“ข้าขอบคุณมากในความช่วยเหลือ ...ไม่ทราบว่า คุณชายชื่ออะไรหรือ?”
 
เห็นได้ชัดว่ายองจูจำน้ำเสียงของฮีอูไม่ได้แม้แต่น้อย ร่างเล็กเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน
 
“อ๊ะ จริงด้วย! ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคุณชายมีนามว่าอะไร?” มูฮยอนตื่นเต้นขึ้นมาทันที
 
 
“เราชื่อฮีมิน”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ปากกาขนนกถูกวางลงบนแท่นหมึก
 
“รอยเลือดใกล้กับลานโล่ง?” เสียงทุ้มทวนคำจากนายทหารปลายแถวที่คุกเข่าก้มศีรษะอยู่เบื้องหน้าโต๊ะอักษรภายในห้องทรงงานขององค์รัชทายาท
 
“พะ...พะย่ะค่ะ” ความประหม่าของนายทหารนั้นเห็นได้ง่ายนัก น้อยครั้งในชีวิตที่ทหารปลายแถวอย่างชายผู้นี้จะได้มาอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทชองจีรยง
 
“...กระหม่อมเห็นว่ามันแปลกประหลาด เพราะตรงที่ต่อสู้กันอยู่ห่างจากจุดที่พบรอยเลือด เมื่อตามรอยเลือดไปเรื่อยๆ ก็พบกับร่องรอยของการต่อสู่ที่ห่างออกไปจากจุดแรกพอสมควรพะย่ะค่ะ”
 
ดวงตาคมดุจลูกแก้วลึกล้ำของเจ้าแห่งมังกรจ้องมองนายทหารแน่นิ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาสบกับองครักษ์ส่วนพระองค์
 
“เจ้าว่าเช่นไรโทซอง”
 
เด็กหนุ่มร่างสูงโค้งกายก่อนตอบรับสั่ง “กระหม่อมได้ไปดูที่เกิดเหตุตามรอยเลือดนั้นแล้ว เป็นการต่อสู้ของราชครูปาร์คยองจูไม่ผิดแน่ มีการใช้วรยุทธที่รุนแรงมาก กระหม่อมคิดว่าการต่อสู้ของนักบวชชินซองแบ่งเป็นสองกลุ่มพะย่ะค่ะ”
 
เรียวคิ้วเข้มกดลึกอย่างใช้ความคิด รอยเลือดที่พบหยุดอยู่กับที่ก่อนจะไปถึงที่ที่เขาพบวังชอนซา เช่นนั้นเวลานี้ ราชครูปาร์คยองจูก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ ดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ราชครูนั่นคงรู้มาล่วงหน้าว่าจะถูกโจมตีจึงวางแผนแบ่งเป็นสองกลุ่ม แต่คาดการณ์ผิดทำให้ต้องวกกลับมาที่ลานกว้างนั้นอีกครั้งเพื่อช่วยวังชอนซา แต่ก็ช้าไป...
 
มีเรื่องเกี่ยวเนื่องของชนเผ่าและแคว้นตัวเองให้ต้องต่อต้านเช่นนี้ การหายตัวไปของฮีอูไม่น่าที่ราชครูนั่นจะลงมือ ...แต่ก็ยังไม่อาจวางใจได้
 
“ทางบ้านตระกูลคิมเป็นอย่างไรบ้าง”
 
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลยพะย่ะค่ะ ท่านหญิงคิมเองก็ได้แต่เศร้าเสียใจ ยังดีที่มีบุตรสาวคนโตคอยปลอบใจอยู่ไม่ห่าง”
 
“อืม... นายพลคัง ส่งคนไปบอกท่านหญิงคิมและราชเลขาคิมฮยอนจา ว่าข้าจะพยายามหาตัวของฮีอูให้พบโดยเร็วที่สุด”
 
“น้อมรับพะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนเจ้าของชื่อก้มศีรษะต่ำรับคำสั่ง
 
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ...โทซอง เจ้าอยู่ก่อน”
 
เมื่อภายในห้องทรงงานเหลือเพียงสองคน ร่างสูงสง่าก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “โทซอง เจ้าคอยส่งคนของเราไปสอดแนมที่เชินอันเป็นระยะ การใช้ตัวประกันไม่เป็นผลอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนว่าทางเชินอันจะไม่ไยดีต่อหงส์ตัวนี้แม้สักนิด สำหรับวังชอนซาข้าไม่คิดคืนพวกมันแน่ เช่นเดียวกับเชินอันที่ต้องตกเป็นของข้า ...สงครามระหว่างเชินอันและฮานึลจะไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
 
สุรเสียงทุ้มห้าวที่ตรัสนั้นบอกให้เด็กหนุ่มได้รู้ว่านายเหนือหัวของตนไม่มีแม้แต่ความลังเลที่จะดำเนินแผนการนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าอาจจะต้องสังหารพระบิดาขององค์วังชอนซาก็ตาม โทซองไม่ใคร่เข้าใจนายของตนมากนัก ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงพาองค์วังชอนซากลับมาก็แสดงออกแต่ความห่วงใยแก่ฝ่ายนั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่การทำสงครามครั้งนี้ ไม่เท่ากับทำร้ายจิตใจขององค์วังชอนซาไปด้วยหรือ?
 
“ออกไปได้แล้ว ...เดี๋ยว ผลไม้ที่ข้าสั่งให้เจ้าไปจัดการ หามาได้หรือยัง?”
 
“ผลอิงผิง หากไม่ใช่ที่เชินอันเกรงว่าจะหาที่ดีไม่ได้ ...กระหม่อมจึงฝากให้คนสอดแนมนำกลับมา คิดว่าเย็นนี้น่าจะได้แล้วพะย่ะค่ะ”
 
“ดี ถ้าเรียบร้อยแล้วก็นำมาให้ข้าที่ตำหนักโยกัน”
 
“พะย่ะค่ะ”
 
นั่นอย่างไรเล่า! ขณะที่เดินออกจากห้องทรงอักษร โทซองก็ได้แต่พึมพำอยู่กับตัวเองในใจ ตั้งแต่ที่องค์วังชอนซาฟื้นก็แทบไม่ยอมทานอะไร ตอนที่นางกำนัลยอนอาทูลว่าเคยได้ยินองค์วังชอนซาบอกว่าชอบทานผลไม้อิงผิงมาก เช้าตรู่พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้เขาไปหาผลไม้ชนิดนั้น เฮ้อ องค์รัชทายาททรงเป็นห่วงองค์วังชอนซาถึงเพียงนี้ ยังทรงคิดทำศึกต่อไปอีกได้อย่างไรกัน
 
...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
 
 
 
 
 
วันนี้ภายในตำหนักโยกันก็ยังคงมีแต่เสียงสาวใช้สองคนกำลังเอ่ยอ้อนวอนร่างบางอยู่เช่นเคย
 
“ทานอีกสักหน่อยเถิดเพคะองค์วังชอนซา”
 
ช้อนสีทองถูกยกขึ้นใกล้ริมฝีปากบาง “ทานอีกคำเดียวก็ได้เพคะ” นางกำนัลยอนอาพยายามรบเร้าอีกครั้งอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ได้เพียงการส่ายหน้าตอบกลับมา พร้อมมือเรียวที่จับมือของสาวใช้ให้วางช้อนลง
 
“แต่ว่าเพิ่งทรงหายไข้ บาดแผลตามร่างกายก็พึ่งจะฟื้นตัว ทานอีกสักหน่อยเถิดเพคะ”
 
“ข้าอิ่มแล้ว”
 
ซอนอินไม่รอให้นางกำนัลได้พูดอะไรอีกก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร เขาเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนเช่นเคย หากไม่ถูกเรียกให้ออกมาทานอาหาร ซอนอินก็จะเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ริมหน้าต่างในห้องนอนกับเจ้านกตัวน้อย เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ที่ฟื้นขึ้นมา ไม่เพียงแต่เก็บตัว นิสัยน่ารักบางอย่างที่นางกำนัลสองสาวเคยรู้จักก็ลดหายไปจนหมด ไม่ช่างคุยเหมือนแต่ก่อน รอยยิ้มที่สวยราวบุบผาแรกแย้มก็ไม่มีให้เห็นอีกเลย
 
นับวันร่างกายของหงส์แสนงามผ่ายผอมลงทุกวันจนยอนอาและโซยอนอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็สุดจะฝืนนายของพวกเธอให้ยอมทานอาหาร พวกนางก็ได้แต่ดูแลอยู่ห่างๆ เช่นนี้ ไม่กล้าเข้าไปรบกวนเวลาส่วนตัวของผู้เป็นนายมากจนเกินไป
 
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ซอนอินลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงทั้งที่ก่อนหน้านี้เขานั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เมื่อมองผ่านผ้าม่านออกไปก็เห็นว่าท้องฟ้ามืดครึ้มแล้ว
 
ยังง่วงอยู่เลย... เสียงในใจเอ่ยบอกให้หลับตาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้พาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงทุ้มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
 
“จะไม่ทานอาหารเย็นหรือ?”
 
ซอนอินหันไปตามเสียงของคนที่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
 
“...ไม่อยากทาน”
 
ดวงหน้าสวยหันหลบสายตาของคนที่เดินเข้ามาใกล้ มือเล็กยกปลายผ้าห่มขึ้นสูงจนชิดปลายคาง
 
เห็นท่าทางปฏิเสธเต็มที่ของร่างบางแล้วก็ให้นึกขัดใจขึ้นมา รัชทายาทหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างเตียง จับปลายผ้าที่มือเล็กพยายามยึดไว้ให้พ้นตัว
 
“อยากหรือไม่อยาก เจ้าก็ต้องทาน”
 
“ข้าไม่หิว”
 
“เจ้าไม่หิว แต่ร่างกายเจ้าน่ะจะแย่เอา” ว่าพลางถลกผ้าห่มจนพ้นตัวได้ในที่สุด เรือนร่างบอบบางภายใต้อาภรณ์สีขาวดูเปราะบางจนน่ากลัวว่าหากจับแรงเกินไปอาจจะหักเป็นสองท่อน
 
มือหนาจับคนตัวเล็กกว่าให้ลุกขึ้นนั่ง ซอนอินเองก็ไม่มีแก่ใจจะต่อต้านอีกฝ่าย ทำให้เพียงแรงฉุดเดียว ร่างทั้งร่างของซอนอินก็ลอยมานั่งลงบนตักของคนตัวสูงอย่างง่ายดาย
 
จีรยงโอบเอวเล็กไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เขาใช้อีกมือสอดผ่านทบอาภรณ์เข้าลูบผิวเนื้อนุ่มลื่นบริเวณอกแบบบาง
 
ซอนอินตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย มือทั้งสองยึดชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่น ดวงหน้าขาวระเรื่อสีจาง
 
“เห็นไหม ตัวเจ้ามีแต่กระดูก จับตรงไหนก็แห้งไปหมด หากคิดว่าจะยกร่างกายเจ้าให้ข้าแล้ว ก็ช่วยทำให้เป็นที่น่าพอใจด้วย ไม่เช่นนั้น เจ้าก็เป็นแค่สิ่งไร้ค่าที่ข้าไม่ต้องการ”
 
มือเล็กที่กำชายแขนเสื้อเนื้อดีออกแรงแน่นขึ้น ริมฝีปากบางสีสดเม้มแน่นอย่างที่เจ้าตัวพยายามอดทนต่อความรู้สึกบางอย่างไว้
 
พระพักตร์คมก้มลงมองร่างบางในอ้อมแขน เขาเกี่ยวเส้นผมนุ่มลื่นที่ยุ่งสยายขึ้นทัดใบหูเล็กจนเห็นเนินแก้มสีขาวสว่างถนัดตา ปลายจมูกโด่งแตะสัมผัสผิวหอมนุ่มบริเวณนั้นแผ่วเบา
 
“สองสามวันมานี้เจ้าเอาแต่เงียบ ข้าจะบอกให้รู้ว่าข้าเกลียดการเล่นตุ๊กตามากที่สุด”
 
ริมฝีปากหยักกดลงที่หลังใบหูเล็ก ก่อนส่งปลายลิ้นเข้าชิมความหวาน พลางกระซิบเบา “...อย่าทำให้ข้าเบื่อ คิมซอนอิน”
 
น้ำเสียงทุ้มที่ได้ฟังทำให้ซอนอินหลุดสะอื้น เสียงหวานเอ่ยสั่นพร่า “...ทานไม่ลง มันจะอ้วก ...ข้าทานไม่ได้ ฮึก... ข้าไม่รู้สึกว่าหิว แล้วข้าก็กลืนของพวกนั้นลงไม่ได้ ข้า...ฮึก ข้าฝืนตัวเองไม่ได้”
 
ก็เท่านี้ที่จีรยงต้องการ ซอนอินไม่ได้ร้องไห้ออกมาเลยสักครั้งตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา หากเป็นไปตามปกติแล้ว จีรยงเชื่อว่าซอนอินเป็นคนอ่อนไหวได้ง่าย เจอเรื่องกระทบกระเทือนใจมามีหรือจะไม่ร้อง เจ้าตัวเอาแต่ฝืนอยู่เช่นนี้ถึงได้ทำให้ร่างกายต่อต้าน
 
...คิดจะมาเข้มแข็งเอาตอนนี้ เจ้าทำไม่ได้หรอกซอนอิน
 
จีรยงจับให้คนตัวเล็กนั่งหันหน้าเข้าหากัน แล้วกดศีรษะกลมที่ปกคลุมด้วยเส้นผมบางนุ่มสลวยลงกับอก มือหนากอดกระชับร่างเล็กที่สั่นไม่หยุดไว้แนบกาย
 
“...ฮึก ฮือ...” ซอนอินยิ่งสะอื้นหนักเมื่อถูกความอบอุ่นอ่อนโยนจากคนตรงหน้าส่งผ่านมาให้ “...ฮือ ข้าไร้ประโยชน์ ข้าไร้ความหมาย ฮึก ไม่มีใครต้องการข้าแม้แต่ท่านแม่ ฮือๆ...” ความรู้สึกที่เก็บกดเอาไว้ถาโถมเข้ามาในคราวเดียว ไม่อยากจะยอมรับถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่ก็หนีความจริงไม่พ้น
 
ความจริงที่ว่าวังชอนซาเป็นแค่ความว่างเปล่า คิมซอนอินเป็นแค่อากาศที่ถูกลบเลือน...
 
...ไม่มีเขา ก็ไม่มีผู้ใดเดือดร้อน
 
น่าสมเพช...
 
จีรยงทนปลอบคนร้องไห้ได้ไม่นานก็ผละมือออก เขาไม่ชินกับการดูแลใครอย่างนี้ แม้แต่กับฮีอูเองก็ตาม ฝ่ายนั้นไม่เคยร้องไห้หรือแสดงความอ่อนแอเช่นนี้ต่อหน้าเขา เป็นเรื่องยากนักที่คนอย่างเขาจะทนเห็นได้นานนัก
 
“ฟังข้าให้ดีคิมซอนอิน” จีรยงจับไหล่เล็กไว้แน่นทั้งสองข้าง “เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองตาข้า”
 
คนตัวเล็กไม่ยอมเงยหน้าแต่โดยดี เอาแต่ก้มหน้าสะอึกสะอื้นไม่สนใจคนตัวสูงแม้แต่น้อย จนกระทั่งมือใหญ่ต้องเป็นฝ่ายเชยคางเล็กให้สบสายตากัน
 
“หยุดคิดถึงคนเหล่านั้น ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่ที่เชินอันอีกแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องคิด คือข้าคนนี้ จะความสุขหรือความทุกข์ ต้องเกิดจากข้าแต่เพียงผู้เดียว ...ไม่มีใครตัดสินเจ้าได้ว่าควรอยู่หรือตาย นอกจากข้า ...เข้าใจหรือเปล่าคิมซอนอิน ลืมคนพวกนั้นไปซะ ลืมเชินอัน และลืมเผ่าชินซองของเจ้าไปเสีย”
 
“...แต่สักวัน เจ้าก็ต้องทิ้งข้า” เสียงหวานเอ่ยพลางจ้องสายตาลึกเข้าไปในแววตาอีกฝ่าย
 
“ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าเป็น หากเจ้าไม่ทำให้ข้าเบื่อ ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทิ้งเจ้า”
 
ไร้หนทางให้เลือกเดิน ซอนอินมองเห็นแต่เพียงเส้นทางเส้นเดียวตรงหน้า ที่สุดของปลายทางนั้นซอนอินไม่อาจมองเห็นว่าคืออะไร หากก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ จะต้องพบเจอสิ่งใดไม่อาจล่วงรู้ได้เลย แต่จะให้ยืนอยู่กับที่เช่นนี้น่ะหรือ? หากไม่ก้าวเดิน ก็เหลือเพียงเขาตามลำพัง ...ไม่เอาแล้ว พอแล้วกับการถูกลืม เขาไม่ต้องการอยู่คนเดียวอีกแล้ว
 
ในเมื่อหัวใจของเขายกให้ชองจีรยงไปแล้ว จะถอยหลังกลับไม่ได้เด็ดขาด
 
จุดมุ่งหมายของเขาเริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่วินาทีที่ฟื้นขึ้นมา การไขว่คว้าหัวใจของคนตรงหน้านี้อย่างไรเล่าที่เขาสมควรจะทำ แม้โอกาสจะน้อยเท่าผงธุลี แต่การได้คาดหวังบางสิ่งบางอย่างก็เป็นดั่งน้ำที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของชีวิต
 
“...ข้าเข้าใจแล้ว” หลังมือบางปาดหยาดน้ำตามากมายให้พ้นดวงหน้า มือเล็กเกาะเกี่ยวบ่ากว้างตรงหน้าแล้วซบข้างแก้มลงแนบสนิท “รู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อยแล้ว”
 
ริมฝีปากหยักหนายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตัวเล็กว่าง่าย “งั้นมาทานอาหารเย็นกัน ข้าเอาของที่เจ้าชอบทานมาด้วย” ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียง ฉุดคนสวยให้ลุกตาม แล้วกุมมือเล็กเดินนำออกไปจากตัวห้อง
 
“ของที่ข้าชอบทาน?”
 
“ผลอิงผิงอย่างไรเล่า”
 
“เอ๋! จริงเหรอ!! เจ้าหามาให้ข้าเหรอ?”
 
“ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร?”
 
“เช่นนั้นก็ต้องขอบพระทัยฝ่าบาท”
 
“เก็บคำพูดของเจ้าไว้ตอบแทนข้าบนเตียงเถอะ”
 
 
ระหว่างที่เดินตามแผ่นหลังสูงเบื้องหน้า ซอนอินเอาแต่มองมือของตนที่ยังถูกกุมไว้แน่น ความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดมาที่ฝ่ามือนั้นเป็นราวกับสิ่งหลอกล่อสำหรับเขา
 
กับดักที่เลือกกระโดดลงไปนี้ จะมีสักหนทางไหมที่เขาจะเอาชนะได้ ความหวังเพียงน้อยนิดที่จะครอบครองหัวใจของมังกรหนุ่มผู้นี้จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
 
 
ความรักของชองจีรยง เขาจะสามารถคว้ามาได้หรือเปล่านะ?
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 

 

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สำหรับจีรยงคือหลุมรักที่มีแต่หนามแหลมคมรอชอนซาอยู่ :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 15
   

สัมผัสเล้าโลมตามร่างกายทำให้มวลอากาศรอบตัวเต็มไปด้วยไอความร้อน หยดเหงื่อไหลซึมตามไรผม โพรงจมูกทำงานไม่ได้อย่างใจยามที่ปอดร้องหาอากาศจนต้องรับเข้าทางริมฝีปากแทน กระนั้นแล้ว ซอนอินก็ยังรู้สึกเหมือนว่าจะขาดใจเสียให้ได้ เพราะเพียงแค่ริมฝีปากหยักหนาผละออกเข้าหาส่วนอื่นของร่างกายได้ไม่นาน ก็วกกลับเข้ามาบดเบียดกลีบปากบางสลับกันอยู่อย่างนั้น
 
เสื้อผ้าสีขาวถูกปลดเปลื้องออกจนหมด สิ่งที่สะท้อนแก่เนตรคมกร้าวคือเรือนร่างบอบบางขาวผ่อง สัดส่วนโค้งเว้าของร่างกายที่ได้เห็นนั้นงดงามราวประติมากรรมสรรค์สร้างของจิตรกรเอก ผิวขาวนุ่มลื่นมือนั่นอีกเล่าที่ไม่ว่าจะสัมผัสสักเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าเพียงพอ ยิ่งรู้จักร่างกายนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากเรียกร้องมากขึ้นเท่านั้น ...ไม่มีวันพอ
 
“อึ...อืม หายใจ...ไม่ออก”
 
เสียงหวานเอ่ยท้วงผ่านรสจูบเร่าร้อนอย่างยากลำบาก มือเรียวเกาะบ่ากว้างสมส่วนไว้แน่น ทั้งมือหยาบใหญ่ที่ประโลมทั่วเนินอก และเนินสะโพก ทั้งรสจูบที่เรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกอย่างที่ถูกเล้าโลมพร้อมกันนั้นล้วนทำให้ร่างเล็กไขว่คว้าหาอากาศได้ยากเหลือเกิน ยามที่ปลายนิ้วแข็งกดเน้นย้ำบนเรือนกายได้ถูกจุดก็แทบอยากจะร้องออกมา แต่ก็ติดที่ยังถูกปิดปากอยู่เช่นนี้
 
ซอนอินรู้สึกเหมือนว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง หัวสมองพร่าเลือน สติหลุดลอย ประสาทสัมผัสที่เหลือดูจะเป็นใจกันอย่างพร้อมเพรียงอยู่ที่ปลายนิ้วของคนร่างสูงที่เอาแต่เคล้าคลึงร่างกายของเขา จับตรงไหนก็ล้วนแต่ทำให้รู้สึกดีไปเสียหมด เหมือนมีกระแสธารแล่นปราดไปตามจุดที่โดนสัมผัสอย่างไรอย่างนั้น
 
“อือ...อืม....” ดวงหน้าหวานเอนซบหมอน ตั้งใจจะหลบปลายลิ้นสากที่ลากไล้ข้างลำคอ แต่กลายเป็นเปิดโอกาสให้คนตัวสูงได้สัมผัสบริเวณนั้นมากยิ่งขึ้น
 
“อ่ะ!....เจ็บ....” ร่างบางครางออกมาด้วยความเจ็บเมื่อถูกกัดเข้าที่ลำคอ
 
ร่องรอยสีกุหลาบที่มีกว่าสามจุดบริเวณลำคอระหงถูกเน้นย้ำซ้ำรอยเดิมจนกลายเป็นสีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตารัตติกาลจ้องมองรอยแดงที่เด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางผิวขาวสว่างตาอย่างพอใจ
 
เห็นสายตาของคนตัวสูงแล้ว ดวงหน้าสวยก็ระเรื่อสีเข้มด้วยความเขินอาย ซอนอินบิดกายน้อยๆ อยู่ภายใต้การทาบทับของร่างสูงใหญ่ พยายามเบือนหน้าหนี แต่ก็ถูกจับปลายคางให้หันมาสบตาจนได้
 
อย่าว่าแต่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ดังโครมครามอยู่ตอนนี้เลย แม้แต่กระพริบตาต้องทำอย่างไรซอนอินก็ลืมไปแล้ว เพียงแค่สบตากันโดยที่ร่างกายยังแนบชิด ซอนอินก็ไม่อาจละสายตาหรือปล่อยให้สมองคิดอะไรอื่นได้เลย สิ่งเดียวที่รับรู้อยู่ตอนนี้คือชองจีรยงเพียงเท่านั้น
 
“ยั่วยวนกันอย่างนี้ คิดจะยอมข้าถึงขั้นไหนกันล่ะ?” ขณะที่เสียงทุ้มเอ่ยถาม ข้อนิ้วหนาก็เกลี่ยเส้นผมนุ่มชื้นเหงื่อให้พ้นพวงแก้มใสที่แดงจัดขึ้นกว่าเมื่อครู่จนแทบจะกลายเป็นสีเดียวกับผลลูกท้อ
 
“ยะ...ยั่วอะไรกัน...” ซอนอินเอ่ยตะกุกตะกัก มือเล็กรีบยกขึ้นดันอกหนาที่ทำท่าจะแนบกายลงมา สีหน้าหวาดหวั่นปรากฏบนดวงหน้าสวยอย่างเป็นกังวล
 
จีรยงจุดรอยยิ้มเล็กๆ แล้วก้มลงกระซิบเสียงเบา “คิดจะทรมานข้าไปจนถึงเมื่อไหร่ หืม? แผลของเจ้าหายดีแล้วแท้ๆ อย่าใจร้ายกับข้านักเลยซอนอิน”
 
ใจร้ายอะไรกัน? คนสวยตัดพ้ออยู่ในใจ อดคิดไม่ได้ว่าคนที่ใจร้ายน่าจะเป็นจีรยงเองเสียมากกว่า จริงอยู่ที่แผลของเขาหายดีแล้ว แต่เขาก็ยังหวาดกลัวกับความเจ็บปวดที่คนตรงหน้าเคยยัดเยียดขืนใจเขาด้วยแท่งหยกบดแป้ง รวมถึงก่อนหน้านี้ด้วยที่ใช้กำลังบังคับเขาให้ยอมจำนน ใช่ว่าซอนอินจะรังเกียจสัมผัสจากจีรยง แต่ทุกครั้งที่จีรยงพยายามล่วงล้ำเข้ามา เขาก็อดไม่ได้ที่จะต่อต้าน ร่างกายปฏิเสธไปเองเนื่องจากยังจำความรู้สึกจากความโหดร้ายที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน
 
ตั้งแต่ที่ฟื้นขึ้นมาก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว หนึ่งเดือนที่ซอนอินว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังจีรยงแต่โดยดี ซอนอินยอมให้จีรยงปลุกเร้าร่างกายตนเองอย่างเต็มใจ เว้นแต่เพียงการกอดอย่างลึกซึ้งเท่านั้นที่ซอนอินกลัวเกินกว่าจะยอมได้
 
“...เจ้าเบื่อข้าแล้วใช่ไหม” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป ซอนอินรู้ดีว่าการต่อต้านแบบนี้เป็นการขัดความต้องการของจีรยง ทั้งที่เคยบอกว่ายกร่างกายให้อีกฝ่ายแล้วแท้ๆ แต่กลับทำไม่ได้อย่างที่พูด ...ไม่รุ้ว่าจะโดนทิ้งเมื่อไหร่ แรกๆ ก็อาจจะยังสนุกกับร่างกายของเขาเท่าที่จะสัมผัสได้ แต่ต่อไป ซอนอินไม่แน่ใจเลยว่าจีรยงยังจะทนเขาที่เอาแต่ใจแบบนี้ได้นานสักแค่ไหน
 
ปลายนิ้วหยาบลากลงจากใบหน้าสวย ผ่านช่วงลำคอเพรียว เรื่อยลงแตะเน้นย้ำบนเนินอกสีสวย กดน้ำหนักบดเบียดจนเม็ดสีชมพูแข็งขึงสั่นระริก
 
ซอนอินหลุดเสียงร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
 
“ถ้าข้าบอกว่าเบื่อ เจ้าจะยอมให้ข้ากอดหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยทั้งที่ยังส่งปลายลิ้นดุนดันเนินอกอีกข้างจนได้ยินเสียงเปียกลื่น
 
ร่างบางบิดกายอย่างทรมานเมื่อถูกปลุกเร้าอย่างเร่าร้อน เสียงที่ดังสะท้อนเข้าหูมีแต่จะเพิ่มความอายให้กับคนตัวเล็กกว่า
 
“...ถะ...ถ้าหากเจ้าต้องการ......”
 
เปลือกตาบางปิดลงเมื่อมีริมฝีปากอุ่นแนบซับหยาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ที่พูดออกไปนั้นเต็มไปด้วยความกลัว แต่สิ่งที่ซอนอินกลัวมากที่สุดคือการที่จีรยงไม่ต้องการเขาอีกแล้ว
 
“เอาเถิด ข้าจะรอเจ้าอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
 
คำพูดนั้นทำเอาดวงตากลมโตลืมขึ้นจ้องสบอีกฝ่าย ความรู้สึกอุ่นซ่านบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกจนแทบจะห้ามรอยยิ้มแห่งความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ ความอ่อนโยนที่คนตรงหน้ามอบให้เป็นสิ่งที่ร่างบางฝันถึงมาโดยตลอด การที่ได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตนเช่นนี้เป็นราวกับแสงแห่งความหวังที่สว่างไสวอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ
 
ไม่ผิดใช่ไหมที่เขาจะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าจีรยงเริ่มจะสนใจเขาบ้างแล้ว
 
เศษเสี้ยวของหัวใจ ถึงแม้จะเล็กน้อยสักเพียงไหนก็ตาม...
 
“...แต่เจ้าเตรียมใจไว้ได้เลย เพราะข้าจะคิดรวบยอดเจ้าให้คุ้มกับที่เฝ้ารอ” คนตัวสูงพลิกกายลงนอนแล้วจับร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งอยู่บนอกของเขาเอง มือหยาบใหญ่เคล้นคลึงสะโพกบาง ดึงตัวของคนสวยขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะส่งริมฝีปากเข้าปลุกเร้าส่วนไวสัมผัสที่ชื้นแฉะมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
 
“ฮ่ะ!...อา....”
 
ซอนอินกดมือทั้งสองข้างลงกับหมอนด้วยอาการเกร็ง ส่วนกลางลำตัวที่ถูกปลุกเร้าอย่างช่ำชองทำให้ร่างทั้งร่างสะท้านวาบ ทั้งอาย ทั้งสุขสม ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรเมื่อถูกเร่งจังหวะจนแทบหายใจไม่ทัน ร่างกายก็เป็นไปตามแรงอารมณ์ที่ฉุดกระชากขึ้นลงไม่หยุด ไม่ได้ตั้งใจ แต่สะโพกก็แอ่นไปตามการชักนำอย่างว่าง่าย
 
และเพราะเป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่ายต่อการถูกปลุกเร้า ไม่นานนักซอนอินก็ปลดปล่อยออกมาภายในโพรงปากอุ่นร้อนที่ยังครอบครองตัวตนของเขาเอาไว้อยู่
 
“อ๊า!....”
 
“หึ ออกมาเยอะเชียว” ซอนอินได้แต่ก้มหน้าจนปลายคางติดอก ไม่กล้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่เปรอะเปื้อนสิ่งที่ตนเพิ่งปลดปล่อยออกไป แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อถูกฉุดต้นแขนให้ก้มลงจูบแนบสนิท รสชาติของตนเองเป็นอย่างไรซอนอินเพิ่งจะรู้ก็วันนี้เอง
 
“...ถึงตาเจ้าแล้ว”
 
“เอ๊ะ?”
 
“เจ้าไม่ยอมให้ข้ากอด ดังนั้นเจ้าก็ต้องช่วยให้ข้าพึงพอใจเป็นการตอบแทนสิ”
 
“ตอบแทน...” ศีรษะเล็กเอียงไปด้านข้างด้วยความไม่เข้าใจ
 
“ใช้ปากของเจ้าอย่างไรเล่า”
 
 
ไม่แปลกใจเลยที่ตัวเองจะรู้สึกเจ็บถึงเพียงนั้นยามที่โดนกกกอด ซอนอินพยายามกลืนสัดส่วนตรงหน้าอย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอีกฝ่ายถึงจะพอใจ ทำได้แค่ขยับเข้าออกอย่างเงอะๆ งะๆ อยู่อย่างนั้น จนได้ยินเสียงทุ้มสั่งว่าให้ใช้ลิ้นด้วย
 
แค่นี้ก็คับจะแย่แล้ว ยังจะให้ขยับลิ้นอีกงั้นเหรอ?
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่ง ไม่แพ้เส้นผมสีดำยาวที่ถูกมือใหญ่ขยำเสียจนสยายเต็มแผ่นหลังเพื่อกดให้ศีรษะเล็กขยับไปตามความต้องการ ซอนอินไร้เดียงสาต่อเรื่องบนเตียงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จีรยงจะเกิดความขัดใจในบางจังหวะ แต่นับว่าการไม่ประสีประสาของซอนอินก็ช่วยปลุกอารมณ์ให้ชายหนุ่มได้ดีเช่นกัน
 
“อะ...อา...ซอนอินอา...”
 
ได้ยินเสียงทุ้มครางอย่างสุขสมเช่นนี้ ซอนอินก็พลอยสุขใจไปด้วย
 
หากสนองความต้องการให้กับจีรยงได้ด้วยวิธีนี้ ซอนอินก็คิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักทีเดียว
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย
 
ความสิ้นหวังที่เกิดขึ้นทำให้ยองจูอยากจะฆ่าตัวตายเสียให้จบเรื่อง ในตอนนี้นอกจากตาจะยังใช้การไม่ได้ สัมผัสอื่นที่เขาเคยร่ำเรียนฝึกวิชามาก็ดูท่าจะหายไปหมดแล้วเช่นกัน ซ้ำธาตุในกายก็ปรวนแปรไร้ระบบระเบียบ ไม่มีเหลือทั้งพลังวรยุทธและพลังพิเศษ ในตอนนี้ ปาร์คยองจูไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านที่พิการเลยแม้แต่น้อย
 
น่าสมเพชสิ้นดี!
 
หลังคำสบถในใจนั้น ยองจูก็ทุบกำปั้นลงกับเสาเตียงข้างตัวเต็มแรง ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาทันที แต่ยองจูก็ไม่ได้ร้องออกมา เวลานี้เขาโกรธตัวเองจนอยากจะลงโทษร่างกายที่ไร้ประโยชน์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะสาสมกับความล้มเหลวในหน้าที่
 
หนึ่งเดือนมาแล้วที่เขายังทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนอยู่บนเตียง หนึ่งเดือนที่เขาไม่รู้ว่าซอนอินเป็นอย่างไร ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเกิดความกังวล แม้จะเห็นเพียงความมืดมิด แต่ยองจูก็ไม่อาจหลับลงได้เลย
 
“ยองจู...” พร้อมเสียงเล็กๆ นั้น มือของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็แตะข้อมือเจ้าของชื่อ “อาหารเย็นเสร็จแล้วนะ ไปทานกันเถอะ”
 
“เอายามาให้ข้าก็พอ”
 
“ถ้าเอาแต่ทานยาไม่ทานข้าวก็ไม่มีความหมายหรอกนะ” เสียงกดเข้มขึ้นเพื่อดุคนตัวสูง ฮีอูจับข้อมือของยองจูแน่นขึ้นแล้วออกแรงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นตาม “...เรารู้ว่าท่านมีบางสิ่งที่ต้องออกไปหา แต่เชื่อเราเถอะว่าตอนนี้ท่านทำอะไรไม่ได้ ถ้ายังเอาแต่ทำร้ายตัวเองอย่างนี้จะหายได้อย่างไร อะ!”
 
มือเล็กถูกสะบัดออกเต็มแรง “เจ้าจะรู้อะไร! ถ้าไม่พอใจก็ปล่อยข้าเอาไว้เสียสิ! ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาดูแล ไม่ได้ขอที่จะมีชีวิตอยู่อย่างคนที่ทำอะไรไม่ได้อย่างนี้!!” เสียงทุ้มใหญ่ที่ตะโกนก้องบ่งบอกว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์ที่สุดจะทนแล้วจริงๆ
 
ฮีอูมองยองจูที่ทุบมือลงกับหน้าอกตัวเองเป็นการระบายความโกรธจนเลือดสีแดงซึมผ่านผ้าสีขาวที่พันทบไว้ออกมา ไม่รู้หรอกว่ายองจูต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน ไม่รู้หรอกว่าภายในใจของคนผู้นี้ทรมานมากเพียงไร แต่ที่ฮีอูรับรู้คือความเจ็บแสนสาหัสราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบก้อนเนื้อในอกให้หยุดเต้นทุกครั้งที่เห็นคนตรงหน้าทำร้ายตัวเอง
 
ยองจูเจ็บ ฮีอูก็เจ็บ
 
น้ำตาเม็ดใสไหลรื้นลงจากดวงตาคู่สวย เขาพอจะจินตนาการได้บ้างว่ามันเป็นการสูญเสียที่ร้ายแรงแค่ไหน ยองจูเคยเป็นราชครูผู้เก่งกาจ เป็นคนของเผ่าชินซองที่ฝึกวิชาลับจนบรรลุขั้นสูงเทียบเท่าอาจารย์ผู้สอน ทว่าในตอนนี้กลับไม่หลงเหลือความสามารถพวกนั้นเลยสักอย่างเดียว
 
เขาจะทำอะไรให้ชายที่ตนรักสุดหัวใจได้บ้าง จะมีทางไหนที่ฮีอูช่วยเหลือยองจูได้...
 
ความเจ็บปวดของยองจู หากเป็นไปได้ฮีอูก็อยากจะรับไว้เสียเอง
 
ฮีอูทนมองเห็นยองจูทำร้ายตัวเองนานกว่านี้ไม่ได้ เขาคว้ามือของยองจูไว้ด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่มีเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของฝ่ายนั้น
 
“พอเสียที! ท่านคิดว่าเราทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรกัน! เราจะปล่อยให้ท่านตายอยู่ในป่านั่นก็ย่อมได้ แต่เราก็ไม่ทำ! เราเป็นคนช่วยชีวิตท่านไว้นะยองจู ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็เห็นแก่คนที่ช่วยชีวิตท่านไว้บ้างเถอะ! หยุดทำร้ายตัวเองเสียที ต่อให้ท่านคิดว่าตายไปเสียยังดีกว่า แต่คิดบ้างไหมว่าคนที่รอท่านอยู่ไม่ว่าจะที่ใดก็ตามจะรู้สึกอย่างไร!!”
 
ยองจูไม่ได้ขืนแรงอีก คำพูดของฮีอูทำให้ยองจูสงบใจลงได้มากทีเดียว ใช่ เขาจะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าซอนอินตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
 
คราวนี้ไม่มีการต่อต้านอะไรอีก ฮีอูประคองยองจูให้นั่งลงที่โต๊ะอาหาร เขาจับมือใหญ่ให้สัมผัสกับตะเกียบ ก่อนจะเลื่อนจานข้าวไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม
 
“ทางขวาคือผัดผัก ตรงกลางคือซุปไก่ต้ม เราวางช้อนไว้ในจานรองข้างๆ ถ้วยข้าวของท่าน ส่วนทางซ้ายคือกิมจิ แก้วน้ำอยู่ทางขวา”
 
หลังจากนั้นก็มีเพียงเสียงตะเกียบ เสียงช้อนที่กะทบภาชนะกระเบื้องดังขึ้นอยู่เป็นระยะภายในกระท่อมไม้หลังเล็กเพียงเท่านั้น
 
เมื่อทานยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว ฮีอูก็เตรียมจะลุกจากที่นอนของร่างสูง แต่ก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ให้นั่งลงตามเดิม
 
“...ขอบคุณ”
 
ฮีอูจ้องมองคนพูดนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร” และทำท่าจะลุกขึ้น
 
“เดี๋ยวก่อน ข้าถามอะไรเจ้าสักอย่างได้ไหม”
 
“ว่ามาสิ” ฮีอูวางอุปกรณ์ทำแผลลงข้างตัว แล้วรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
 
ยองจูหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า?”
 
รอยยิ้มเล็กดูฝืดฝืนเต็มทนที่ต้องตอบคำถามนั้น “ไม่หรอก เราไม่เคยรู้จักกัน” ฮีอูไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เขาไม่เคยรู้จักยองจู ราชครูปาร์คยองจูไม่ใช่คนที่เขารู้จัก แต่เป็นยองจูในกระท่อมไม้นั้นต่างหากที่เขาเคยรู้จัก แต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่จบลงไปแล้วในที่แห่งนั้น
 
ร่างสูงตรงหน้านี้ ฮีอูไม่เคยรู้จักเลยสักนิด ทั้งอย่างนั้นแล้ว ฮีอูก็ไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้หยุดรักชายที่หลอกลวงเขาได้เลย
 
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราขอตัวนะ”
 
ยองจูปล่อยข้อมือของฮีอู เขารู้สึกถึงน้ำหนักบนเตียงที่เบาขึ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป ขณะที่ยังครุ่นคิดในคำตอบที่ได้ฟัง กลับมีอะไรบางอย่างที่สะกิดใจของชายหนุ่มว่ามันไม่ใช่อย่างที่อีกฝ่ายพูด อะไรบางอย่างที่เขาเองก็หวังจะซ้อนทับภาพของใครคนหนึ่งให้เป็นอย่างใจต้องการ
 
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน คนผู้นั้นไม่มีทางจะอยู่ที่นี่ได้
 
 
“ฮีอู...”
 
 
ยองจูพึมพำชื่อของคนในห้วงความคิดแผ่วเบา ก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นพาให้ความคิดจมลงสู่ห้วงแห่งนิทรารมย์
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
การกลับเข้าวังขององค์ชายรองชองจีมุนนั้นได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี เนื่องจากองค์ชายรองไม่ได้กลับมาเพียงพระองค์เดียว แต่กลับมาพร้อมกับราชทูตคนสำคัญแห่งแคว้นพกซอ องค์หญิงห้านามว่าอันแฮซู
 
จีมุนถูกส่งตัวไปตั้งแต่เมื่อเกือบสองเดือนก่อนเพื่อเจรจาการทำสัญญาทางน่านน้ำกับแคว้นพกซอ แต่เพราะในเวลานั้นพกซอกำลังอยู่ในช่วงทำสงครามกับแคว้นทางเหนืออยู่ทำให้การเจรจาล้าช้าไปมาก จนกระทั่งสามอาทิตย์ก่อน ศึกสงครามก็ยังยืดเยื้อไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ องค์ชายสามอันชิลฮยอนซึ่งเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งจึงส่งน้องสาวให้มายังฮานึลเพื่อเป็นผู้ตัดสินใจการทำสัญญาครั้งนี้แทน
 
หากเอ่ยนามถึงองค์หญิงห้าแห่งแคว้นพกซอแล้วล่ะก็ เป็นที่รู้กันว่านางเป็นสตรีที่งดงามเพียงใด เป็นเด็กสาวที่มีความสามารถทางด้านการคำนวณข้อได้เสียในการวางแผนระบบต่างๆ ภายในแคว้นได้อย่างดีเยี่ยมจนเป็นที่ล่ำลือไปหลายแคว้น ความงดงามของเธอเป็นที่หมายปองขององค์ชายแคว้นน้อยใหญ่อยู่มากมาย ทว่า ภายในใจขององค์หญิงห้าผู้นี้นั้นกลับมีตัวเลือกไว้เพียงคนเดียวมาตั้งนานแล้ว
 
คนผู้นั้นก็คือชายตรงหน้านี้อย่างไรเล่า
 
“ยินดีต้อนรับองค์หญิงห้าสู่แคว้นฮานึล” เจ้าของร่างสูงสง่าในชุดว่าราชการสีทองอร่ามโค้งศีรษะให้สตรีตรงหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย
 
“หากมีสิ่งใดที่ต้องประสงค์ก็ขอให้บอกมาได้เลย อย่าได้เกรงใจ ชองจีรยงยินดีที่จะดูแลองค์หญิงห้าให้ดีที่สุด” รอยยิ้มของบุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจ้าวแห่งมังกรผู้เกรียงไกรนั้นได้สะกดแววตาของเด็กสาวให้นิ่งค้างจ้องมองอย่างหลงใหล
 
“ถ้าอย่างไรองค์หญิงห้าทรงเข้าที่พักก่อนเถิด ข้าจะให้คนนำทางไป”
 
“คนนำทางงั้นหรือ? ข้าไม่ต้องการ องค์รัชทายาทชองจีรยงนำทางให้ข้าได้หรือไม่?” เสียงหวานใสราวเสียงกระดิ่งเอื้อนเอ่ยกับชายตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ สมกับวัยของเจ้าตัว
 
การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ซ้ำยังเป็นการเอาใจผู้ที่อยากจะร่วมทำการค้าด้วยกัน มีหรือที่จีรยงจะปฏิเสธความต้องการของนาง
 
“เช่นนั้น ข้าจะนำทางให้ท่านเอง”
 
ขบวนขององค์หญิงห้าที่ประกอบไปด้วยสาวใช้จำนวนสิบคน และองครักษ์อีกสี่นาย รวมถึงข้าวของอีกสองรถม้าค่อยๆ ทยอยผ่านเข้าไปยังด้านในของส่วนตำหนักที่ไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
 
“ข้าว่าองค์หญิงห้าผู้นี้ดูร้ายๆ ยังไงอยู่นะ” กึมซองอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกับผู้เป็นพี่ชายขณะเดินตามหลังขบวนคนตรงหน้าไป
 
โทซองเพียงปรายสายตาลงมองน้องชายอย่างหน่ายใจกับนิสัยสอดรู้สอดเห็น
 
“อะไรเล่า! ข้าก็แค่ออกความเห็นเท่านั้นแหละ!!” เสียงเล็กหงุงหงิงตอบโต้แฝดผู้พี่เมื่อเห็นสายตาตำหนิตอบกลับมา ร่างเล็กขมุบขมิบปากพึมพำทำนองว่า ไว้เดี๋ยวไปเล่าให้พวกยอนอากับโซยอนฟังดีกว่า
 
 
เป็นธรรมเนียมของแคว้นทั่วไป ที่เมื่อมีแขกมาก็ต้องมีการจัดเลี้ยงต้อนรับในตอนค่ำ
 
อาหารรสเลิศ รวมถึงการแสดงเล็กๆ น้อยๆ เป็นการต้อนรับแขกนั้นถูกจัดอย่างสมเกียรติให้แก่องค์หญิงห้าแห่งแคว้นพกซอ
 
ระหว่างที่มีการแสดงระบำไฟ จีรยงก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ตอนนี้เป็นช่วงท้ายๆ ของงานแล้วจีรยงจึงเห็นสมควรที่จะขอตัวเสียที
 
“เอ๋? ท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือ?” เด็กสาวร้องถามอย่างสงสัย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะกลับด้วย”
 
“อย่าเพิ่งกลับเลยองค์หญิงห้า งานเลี้ยงนี้เป็นของท่าน หากเจ้าของงานไม่อยู่ งานจะสนุกได้อย่างไร?”
 
“แต่ถ้าท่านไม่อยู่ งานก็ไม่สนุกอยู่ดี”
 
น้ำเสียงฟังเอาแต่ใจจะว่าน่าเอ็นดูก็น่าเอ็นดูอยู่เพราะคนพูดก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหก ซ้ำยังตัวเล็กน่ารักชวนมอง
 
“ตามใจท่านแล้วกัน”
 
“ถ้าเช่นนั้น ท่านไปส่งข้าที่ตำหนักด้วยได้ไหม?”
 
“ได้”
 
จีรยงไม่เอ่ยอะไรต่ออีก ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากจะไปหาใครอีกคนมากเท่านั้น ชายหนุ่มเดินนำราชทูตคนสำคัญออกจากโถงจัดเลี้ยงโดยมีขบวนทหารตามติดเป็นแถว
 
“โทซอง” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกองครักษ์ให้ขยับเข้ามาเดินใกล้ๆ
 
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท?” เด็กหนุ่มก้มศีรษะเล็กน้อย
 
“ไปสั่งความให้นางกำนัลจัดเตรียมชุดวันพรุ่งของข้าไว้ที่ตำหนักโยกัน คืนนี้ข้าจะค้างที่นั่น”
 
“พะย่ะค่ะ” หลังตอบรับ เด็กหนุ่มก็ปลีกตัวออกไปจากแถวขบวนทันที จีรยงไม่ได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อคิดได้ว่าคืนนี้ยังมีเวลาอยู่กับคนร่างบางทั้งคืน
 
แฮซูลอบมองสีหน้าคมเข้ม คำรับสั่งเมื่อครู่นางได้ยินชัดเจน และนางก็ยังรู้ด้วยว่าที่ตำหนักโยกันมีผู้ใดพักอาศัยอยู่ ตามที่เสด็จพี่ชิลฮยอนเคยบอก ในเวลานี้ทางฮานึลทำการต้อนรับราชทูตคนสำคัญของแคว้นเชินอันอยู่ เป็นที่น่าสงสัยถึงการมาอยู่ที่ฮานึลของราชทูตคนนี้ไม่น้อย แรกเริ่มเพราะเกิดจากเรื่องภัยพิบัติของเพลิงกัลป์ แต่นี่ก็ผ่านมาร่วมสามสี่เดือนแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าฮานึลจะเชิญแขกผู้นี้กลับเลยแม้แต่น้อย
 
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองที่เสด็จพี่เคยพูดถึงอีกเล่าที่น่าสงสัย
 
 
ระหว่างที่เดินเคียงคู่ร่างสูงขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลไปนั้น ดวงหน้าสวยของเด็กสาวก็ได้ปรากฏรอยยิ้มเฉียบบางอย่างแฝงเลศนัย
 
...หึ คิมซอนอิน อย่างนั้นหรือ อยากจะพบเหลือเกินว่าคู่แข่งคนนี้จะน่ากลัวเพียงไร
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตัวแปร (ฝ่ายร้าย) เพิ่มเข้ามาอีกแล้วสินะ

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
สงสารซอนอิน อยากจะให้จีรยงรักซอนอินมากๆ แบบรู้ใจตัวเองจริงๆ สงสารยองจูด้วย เฮ้อ

ออฟไลน์ noozzz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
โอ้ววว sm โดนพระเอกทำร้ายสารพัดยังไม่เข็ด

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2


บทที่ 16

 

โถงว่าราชการในเช้าวันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศวุ่นวายสับสน เสียงพูดคุยของเหล่าขุนนางดังสลับกันไปไม่หยุดจนกระทั่งนายทหารเวรยามหน้าประตูร้องบอกการเสด็จมาถึงขององค์รัชทายาทชองจีรยง
 
เสียงที่ดังระงมเมื่อครู่พลันเงียบลงในฉับพลัน ทุกสายตาต่างก้มมองผู้เป็นนายเหนือหัวเดินผ่านไปจนถึงที่ประทับด้านหน้า เมื่อร่างสูงสง่ารับสั่งให้ลุกขึ้นได้ เหล่าข้าหลวงก็พากันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงก่อนเงยหน้าขึ้น
 
“ฝ่าบาท อาการของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเช่นไรบ้างพะย่ะค่ะ?” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็นตัวแทนของทุกคนเพื่อจะถามถึงพระอาการของกษัตริย์ชองฮวาจีที่ล้มป่วยหนักเมื่อสามวันก่อน ในตอนนี้ทั่วทั้งวังต่างใจคอไม่ดีกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
 
“ดีขึ้นแล้ว” จีรยงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เช่นเคย ความสุขุมไม่หวั่นเกรงต่อเหตุการณ์ต่างๆ นี้เองที่ทำให้ขุนนางทุกแขนงให้ความเคารพนับถือในว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไปพระองค์นี้
 
นายพลซูวอน หนึ่งในทหารหลวงชั้นสูงขยับเดินออกมาจากแถวแล้วโค้งกายต่ำก่อนเริ่มถวายรายงานสำคัญ เนื่องจากในเวลานี้ทางฮานึลกำลังอยู่ในช่วงประกาศทำศึกอย่างเป็นทางการกับแคว้นคันเซ ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของฮานึล ดังนั้นความเคลื่อนไหวของคันเซจึงอยู่ในสายตาของผู้นำทัพโดยตลอด เพราะหากการปะทะกันครั้งนี้ไม่เป็นผลสำเร็จ อาจก่อให้เกิดการกุมอำนาจของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณช่วงรอยต่อทะเลสาบของทั้งสองแคว้นได้ หากชาวบ้านเหล่านั้นโอนเอียงไปหาอีกพวกแล้วละก็ ผลเสียที่ฮานึลจะได้รับก็อาจเป็นปัญหาในภายภาคหน้าได้มากพอสมควร เพราะบริเวณทะเลสาบตรงนั้นถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีต่อการวางแผนรบได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าบริเวณอื่น
 
“ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าแคว้นเล็กยอฮวาจะให้ความร่วมมือกับคันเซตามสายข่าวที่สืบรู้มาอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ”
 
แคว้นเล็กยอฮวาเป็นแคว้นที่อยู่ถัดจากทะเลสาบเออินชุน เป็นแคว้นที่ไม่ได้มีอิทธิพลต่อการเมืองใดๆ การปกครองของแคว้นเล็กยอฮวานั้นมีผู้นำราชวงศ์ไม่กี่พระองค์ อาศัยจากการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีกษัตริย์และชาวบ้านที่รักใคร่กัน อยู่อย่างพอเพียง ทว่า แคว้นเล็กๆ แห่งนี้ถือเป็นแคว้นที่มีกำลังการผลิตอาวุธชั้นเลิศที่สุดเท่าที่แคว้นใดจะสามารถทำได้ รายได้หลักที่หมุนเวียนภายในยอฮวาก็มาจากการส่งออกอาวุธเหล่านี้ แม้แต่ทางฮานึลเองยังต้องสั่งลูกธนูเงินจากยอฮวา
 
แล้วเหตุใด แคว้นที่ไม่คิดจะแย่งชิงอำนาจถึงได้ร่วมมือกับคันเซ? ซ้ำหากเป็นจริงดังว่า การรบครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด
 
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าราชบุตรเขยขององค์หญิงเยอินจะเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้? กระหม่อมมองไม่เห็นเหตุผลอื่นใดเลยที่ยอฮวาจะร่วมมือกับคันเซ ในเวลานี้ องค์หญิงเยอินเป็นราชธิดาเพียงพระองค์เดียว ซ้ำผู้เป็นกษัตริย์ก็เตรียมสละราชบันลังก์แล้วด้วย ...ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นราชบุตรเขย องค์ชายสองแห่งแคว้นพกซอแน่!”
 
หลายเสียงเอ่ยพ้องเห็นด้วยกับนายพลซูวอน ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าองค์ชายสองแห่งแคว้นพกซอ อันแจอุค นั้นทะเยอทะยานมากเพียงไร แต่ทว่าความสามารถกลับไม่เป็นที่ประจักษ์ แม้แต่ในพกซอเองยังไม่มีใครสนใจในตัวของอันแจอุคสักเท่าใด ส่วนหนึ่งอาจเพราะองค์ชายสองเป็นบุตรของสนมที่เลื่อนขั้นมาจากนางโลม การศึกษานั้นก็อยู่ในระดับกลาง เป็นบุคคลที่ไม่มีอะไรโดดเด่น เมื่อเห็นหนทางจะผลักดันตนเองให้เป็นผู้นำได้ก็ไม่รอช้า การอภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งแคว้นเล็กยอฮวาจึงเป็นเหมือนการเบิกทางให้คนผู้นี้ได้คว้าอำนาจมาเป็นของตนเองเท่าที่จะทำได้
 
ร่างสูงยืดตัวขึ้นยืนจากที่ประทับ ท่วงท่าอิริยาบถขององค์รัชทายาทที่เปลี่ยนไปทำให้เสียงของเหล่าขุนนางเงียบลง ดวงเนตรคมกร้าวกวาดมองกลุ่มคนตรงหน้าก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เบื้องหน้า บนโต๊ะขนาดใหญ่มีผังเมืองการรบภูมิศาสตร์ของคันเซอย่างละเอียด
 
เรียวคิ้วเข้มกดลึกลงยามที่เจ้าของรูปหน้าคมเข้มใช้ความคิด ริมฝีปากหยักขยับพึมพำคำนวณผลได้ผลเสียต่อแผนรบกับตนเองไม่นานนัก ก่อนเอ่ยขึ้นกับนายพลทหาร “หากยอฮวาร่วมมือกับคันเซ กองกำลังม้าและพลธนูที่อยู่ทางเชิงเขาเออินชุนต้องเพิ่มอีกห้าพันนาย กระจายให้รอบไม่ให้มีช่องทางออกได้ทั้งด้านข้างและด้านหลัง ออกคำสั่งให้ชัดเจนว่าให้ปะทะแค่กับทหารเท่านั้น ชาวบ้านแม้แต่คนเดียวก็ห้ามแตะต้อง”
 
“แต่ฝ่าบาท หากรับสั่งเช่นนี้ เราจะเสียเปรียบนะพะย่ะค่ะ”
 
“อย่าได้ห่วงเรื่องนั้นนัก ข้าเห็นสำคัญต่อชาวบ้านริมทะเลสาบมากกว่า ถึงอย่างไรยอฮวาก็เคยเป็นพันธมิตรกับเรา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าชาวบ้านพวกนั้นจะทนรับให้อันแจอุคเป็นผู้นำบ้านเมืองได้ ดีไม่ดี เราเองเสียอีกที่จะได้เปรียบในการรบครั้งนี้ เพราะหากชาวบ้านต่อต้านอันแจอุคล่ะก็ มีเหลือทางเดียวคือสนับสนุนทหารของเรา แต่ถ้าไม่ เราเองก็มีกำลังมากพอจะเอาชนะได้อยู่แล้ว จะมีก็แต่ว่าใช้เวลามากน้อยแค่ไหนเท่านั้น”
 
รับสั่งขององค์รัชทายาทนำพาให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนออกปากชื่นชมยกย่องต่อไหวพริบและความคิดของชายหนุ่ม แม้จะยังมีพระชนมายุเพียง 22 ชันษา แต่ความสามารถไม่เป็นรองกษัตริย์องค์ปัจจุบันแม้แต่น้อย
 
สงครามระหว่างแคว้นของคันเซถูกหยิบยกมาถกปัญหาอย่างต่อเนื่อง แผนการรบที่วางไว้ตอนแรกมีการปรับเปลี่ยนใหม่ให้รองรับกองทหารของฝ่ายศัตรูที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มกองกำลังทัพหลวงที่เจ็ด ซึ่งมีองค์ชายชองจีรยงเป็นแม่ทัพด้วยตนเองร่วมออกรบครั้งนี้ด้วย
 
“ฝ่าบาทจะออกเดินทางทันทีที่มีการปะทะเลยหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
 
“หากรอให้เกิดการปะทะก่อนมิต้องเสียเวลาหรืออย่างไร? ...อีกสองอาทิตย์ข้าจะนำกองทัพที่เจ็ดตามขบวนของเจ้าออกไปตั้งแต่รุ่งสาง เมื่อถึงค่ายทหาร ข้าจะออกคำสั่งโจมตีด้วยตนเอง”
 
“เช่นนั้นกระหม่อมจะรีบจัดการทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จถึงพะย่ะค่ะ!”
 
หลังสรุปเรื่องของคันเซ ภายในโถงว่าราชการก็เหลือเพียงขุนนางฝ่ายการเมืองการปกครองด้านต่างๆ รายงานเกี่ยวกับความเสียหายของชาวไร่ชาวนาในแถบภูเขาที่เคยเกิดเพลิงกัลป์ครั้งก่อนเป็นไปในทางที่ดีขึ้นจนได้ผลผลิตเทียบเท่าคุณภาพเดิมนั้นยังผลให้รัชทายาทหนุ่มพอใจเป็นอย่างมาก เพราะการฟื้นฟูสภาพพื้นที่บริเวณที่เสียหายนั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ยากมากทีเดียว รายได้ที่ขาดหายไปนานหลายเดือนของชาวบ้านจะได้กลับสู่สภาวะปกติเสียที
 
กว่าที่ราชทายาทหนุ่มจะเสร็จสิ้นการประชุมที่โถงว่าราชการ ท้องฟ้าก็คล้อยบ่ายมากแล้ว
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ริมหน้าต่าง กรงนกเปิดอ้าไร้สิ่งมีชีวิตที่เคยอาศัยอยู่ด้านในนั้นเป็นเหตุผลให้คนร่างบางขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาของตำหนักโยกันในเวลานี้
 
“องค์วังชอนซาเพคะ ทรงลงมาเถิด! นกน้อยตัวนั้นอาจจะบินหายไปแล้วก็ได้นะเพคะ!!”
 
“นั่นสิเพคะ! เชื่อพี่สาวหม่อมฉันเถิดนะเพคะ ทรงลงมาเถิด!!”
 
นางกำนัลสองสาวตะโกนบอกผู้เป็นนายด้วยความกังวล ยิ่งเห็นท่าทางน่าหวาดเสียวไม่ต่างจากครั้งก่อนแล้วก็กลัวจับใจว่าหงส์งามจะพลัดตกลงมาอย่างเมื่อคราวนั้น
 
“เวลานี้กึมซองหายไปไหนของเขากันนะ!” ยอนอาบ่นหงุดหงิดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้
 
โซยอนเองก็พลอยต่อว่ากึมซองไปด้วย ทั้งที่เด็กหนุ่มนั้นมีหน้าที่คอยคุ้มครององค์วังชอนซาตามรับสั่งของฝ่าบาทไม่ให้คลาดสายตา แต่ตั้งแต่เช้าวันนี้นางยังไม่เห็นเงาของกึมซองเลยแม้แต่น้อย
 
“แย่แน่ๆ โอ้ย! ข้าจะทำอย่างไรดี!!!” ยอนอาเริ่มสงบสติอารมณ์ไม่ได้เมื่อเจ้านายไม่คิดจะลงจากหลังคาง่ายๆ ซ้ำยังดื้อไม่ยอมฟังคำเตือนของพวกนางอีก จะว่าอะไรไปก็ไม่ได้เพราะนางก็เป็นแค่สาวใช้
 
แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับองค์วังชอนซา พวกนางมิแย่หรอกหรือ?!
 
“สวรรค์ ขออย่าให้องค์วังชอนซาของหม่อมฉันทรงเป็นอะไรไปเลยเถิด!” ก้มหน้ากุมมืออ้อนวอนได้ไม่ทันไร เสียงหวีดร้องอย่างตกใจของน้องสาวก็ดังแทรกผ่านกลบคำร้องขอต่อสวรรค์ของยอนอาไปเสียสนิท
 
“กรี๊ดดด----”
 
“องค์วังชอนซา~!!”
 
 
ซอนอินรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ย้อนกลับไปหาอดีตอย่างไรอย่างนั้น เมื่อลืมตาขึ้นมาพบใบหน้าของคนที่รวบตัวของเขาไว้ได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะตกกระแทกพื้นแบบไม่ตายก็พิการกันไปข้าง
 
“ข้าชักสงสัยแล้วล่ะว่าเจ้าเป็นหงส์ฟ้าหรือเป็นไก่ฟ้ากันแน่?”
 
“ชองจีมุน!!!!”
 
หลังคำเรียกชื่อที่แสนจะสูงปรี๊ดแต่ไม่ระแคะระคายหูคนฟัง ร่างเล็กก็ดิ้นขลุกๆ ในอ้อมแขนใหญ่ลงมายืนหน้ายุ่งหัวยุ่ง แต่ริมฝีปากบางกลับระบายยิ้มกว้างอย่างไม่สนสภาพตัวเองที่ดูไม่ได้เลยสักนิด
 
...แต่กระนั้นจีมุนก็ยังมองเห็นแต่ความน่ารักในตัวของคนตรงหน้าอยู่วันยันค่ำ
 
“เจ้ากลับมาตั้งสามวันแล้วทำไมเพิ่งจะมาหาข้าล่ะ!” เจอหน้าปุ๊บก็ขึ้นเสียงทันที
 
จีมุนหัวเราะในคอกับท่าทางแก้มป่องพองลมจนหน้าอูมของคนตัวเล็กกว่า เขาจับร่างบางให้ขยับเข้ามาใกล้แล้วปัดเศษฝุ่นตามตัวให้ ก่อนจะเช็ดคราบสีดำบนผิวแก้มนุ่มที่คงเปื้อนมาจากฝุ่นบนหลังคาตอนที่กลิ้งตกลงมา
 
ซอนอินเอียงหัวไปด้านข้างตามแรงมืออีกฝ่าย
 
“นี่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากลับมาพร้อมองค์หญิงห้าจากแคว้นพกซอเหรอ?”
 
“อืม”
 
“แล้ว...เค้าเป็นอย่างไรเหรอ?”
 
“อะไรเป็นอย่างไรล่ะ?”
 
“ก็...” ซอนอินเม้มริมฝีปากทำท่าครุ่นคิด เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
 
จีมุนจิ้มนิ้วเข้ากับหว่างคิ้วคนสวย เกือบจะพร้อมๆ กับที่ยอนอาและโซยอนวิ่งเข้ามาถึงที่ด้านข้างของตำหนัก พวกนางพากันตบอกโล่งใจที่เห็นว่าองค์วังชอนซายังปลอดภัยไม่มีอะไรบุบสลาย ก่อนจะก้มหัวให้องค์ชายรองอย่างนอบน้อมแล้วปลีกตัวกลับเข้าไปในตำหนัก
 
“อยากรู้เหรอว่าองค์หญิงสามนางสวยหรือไม่?” คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้นเสียเอง และมันก็ตรงใจร่างบางเสียด้วย
 
ซอนอินไม่กล้าเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย จะให้บอกตรงๆ ได้อย่างไรเล่าว่าเขาอยากรู้ว่าแขกต่างเมืองผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้ทำให้เกิดข่าวลือในวังว่านางจะได้อภิเษกกับองค์รัชทายาทชองจีรยง
 
ความจริงแล้วเรื่องที่เขาได้ยินมานี้ก็ไม่ได้มีมูลแต่อย่างใด เป็นเพียงเรื่องที่บอกกันปากต่อปากในกลุ่มนางกำนัล ไม่ควรจะเชื่อง่ายๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าข่าวลือนี้จะกลายเป็นจริงขึ้นมาในสักวัน
 
เพราะอย่างไรแล้ว ชองจีรยงก็ต้องมีคู่สมรส และมีทายาทสืบราชวงศ์
 
 
แต่...
 
 
หากเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้ร่างสูงได้คู่กับใครคนอื่น...
 
 
พลันความคิดสะดุดลง ...แย่จริง! ทำไมถึงได้คิดโลภมากอย่างนี้นะคิมซอนอิน
 
ดูเหมือนท่าทางและสีหน้าที่เผยออกมาไม่อาจปิดบังสายตาของอีกฝ่ายที่เฝ้ามองอยู่ได้ จีมุนลูบข้างแก้มเนียนแผ่วเบาอย่างอ่อนโยน จับปลายคางมนให้เงยขึ้นสบสายตา
 
“ใครจะว่าเช่นไรข้าไม่อาจรู้ ในสายตาของข้า ไม่มีผู้ใดงดงามได้เท่าคิมซอนอิน คนตรงหน้าข้าคนนี้อีกแล้ว”
 
สายตาสบประสานกันอย่างที่ซอนอินเองก็ไม่อาจละจากอีกฝ่ายได้ ความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่แนบอยู่ข้างผิวแก้ม และวงแขนใหญ่ที่โอบแผ่นหลัง ล้วนเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ราวกับการสัมผัสเหล่านี้กำลังพันธนาการร่างกายและจิตใจให้โอนอ่อนคล้อยตามอย่างยากจะฝืนได้
 
ซอนอินแทบจะหยุดหายใจตอนที่ใบหน้าของร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ ถึงแม้อยากจะหลีกหนีไปมากสักเท่าใด แต่ขาก็ไม่อาจขยับได้ แม้แต่มือจะยกขึ้นห้ามยังทำไมได้ เหมือนร่างกายชาหนึบไปหมด
 
ตอนที่รู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้ต้องหลับตา ลมหายใจร้อนที่ต้องสัมผัสใบหน้าอยู่เมื่อครู่ก็พลันหายไปเสียเฉยๆ รู้สึกตัวอีกทีร่างทั้งร่างก็จมแนบสนิทอยู่กับอกของร่างสูงอีกคนที่ซอนอินเองก็ไม่ทันได้สังเกตว่าเจ้าของมือใหญ่ที่กำรอบแขนเขาเสียแน่นอยู่ตอนนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
 
“คุยอะไรกันอยู่?”
 
ประโยคแสนธรรมดา แต่ทำไมคนตัวเล็กถึงรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไรพิกลก็ไม่รู้ได้
 
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก หม่อมฉันเพียงแวะมาทักทายองค์วังชอนซาก็เท่านั้น” จีมุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าและท่าทางสุภาพอย่างไม่มีอะไรผิดแปลก ผิดจากคนตัวเล็กที่ยังหน้าซีดอยู่ในวงแขนขององค์รัชทายาททั้งที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมต้องนึกกลัวคนตัวสูงเช่นนี้ด้วย
 
“ทักทายกันเสร็จหรือยัง?”
 
“เสด็จพี่มีสิ่งใดรีบร้อนหรือ? ถ้าอย่างไร เรามานั่งคุยกันสามคนน่าจะดี” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นนิสัย ซอนอินเองก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่เคยมีสักครั้งที่ตนจะเห็นพี่น้องสองคนนี้นั่งคุยกัน อย่าว่าแต่พูดคุย เดินด้วยกันเขายังไม่เคยเห็นสักครั้ง!
 
“นั่นสิ! ให้จีมุนอยู่คุยที่ตำหนักโยกันด้วยสิ” ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองดวงหน้าคมของคนที่ยังรวบรัดร่างของตนไว้อย่างแน่นหนา ทว่าเรียวคิ้วเข้มที่กดลึกทำให้คนสวยมึนงงที่เห็นสีหน้าไม่พอใจปรากฏบนใบหน้านั้น
 
โกรธอะไรของเขากัน?
 
ซอนอินไม่รู้ว่าจีรยงเป็นอะไร แต่จีมุนรู้ดีว่าผู้เป็นพี่ของตนกำลังไม่พอใจสิ่งใดอยู่ ยิ่งรู้ จีมุนก็ยิ่งอยากทำลายความเย็นชาที่เคลือบคนตรงหน้านี้ไว้ให้มลายหายไป
 
“เสด็จพี่ว่าอย่างไร? หม่อมฉันเองก็อยากอยู่คุยต่อจากเมื่อครู่กับซอนอินเช่นกัน”
 
คำเรียกชื่ออย่างสนิทสนมทำให้มือใหญ่บีบท่อนแขนเล็กแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทว่าคนที่ถูกรวบรัดกลับเจ็บจนต้องร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมาเบาๆ
 
“เสด็จพี่?”
 
“...จะคุยอะไรกันก็เชิญ” จบคำพูดนั้น ซอนอินก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ร่างสูงสะบัดชุดทรงเดินจากไปในทันที
 
ท่ามกลางความมึนงงของคนร่างบางที่มองตามแผ่นหลังกว้างเดินจากไปอย่างไม่เข้าใจ เสียงของจีมุนก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
 
“ซอนอิน เราเข้าไปข้างในตำหนักกันเถอะ ตัวเจ้ามอมแมมไปหมดแล้ว ไปเปลี่ยนชุดดีกว่านะ”
 
“อ่ะ อือ อืม....” ซอนอินละสายตาจากร่างสูงที่เดินหายไปหลังสวนหย่อมขนาดใหญ่ ร่างบางเดินตามแรงจูงมือของจีมุนกลับเข้าไปในตำหนักทั้งๆ ที่ยังมีคำถามวิ่งวนอยู่ในหัว
 
 
...หรือเขาจะทำอะไรให้จีรยงไม่พอใจหรือเปล่านะ?
 
...คิมซอนอิน เจ้าทำผิดพลาดเรื่องอะไรไปกันแน่?!
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
เลยเวลาอาหารเที่ยงมาได้พักใหญ่แล้ว แต่เสียงหวานที่มักเรียกให้เขาไปทานอาหารยังไม่ดังขึ้นเลย
 
ยองจูขยับผ้าห่มออกให้พ้นตัว เขาคลำมือลงไปที่เสาเตียง โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะค่อยๆ ไล่ไปตามตู้ตามผนังกำแพง ขาที่ไม่ค่อยมีแรงขยับเดินไม่ได้ดังใจคิด แต่ร่างสูงก็พยายามสูดหายใจเข้าลึก แล้วออกก้าวเดินต่อไป
 
จะว่าไปแล้ว เขาแทบไม่ค่อยได้เดินไปไหนไกลนัก วนเวียนอยู่แต่ในบ้านมาตลอด ถือโอกาสนี้ลองออกไปด้านนอกตัวบ้านบ้างท่าจะดี
 
ถึงจะคิดไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงยองจูก็ไม่รู้อยู่ดีว่าประตูทางออกนั้นอยู่ส่วนไหนของตัวบ้าน เดินวนไปวนมาอยู่พักใหญ่จนเผลอเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ไม่รู้สึกคุ้นเคย กลิ่นหอมอ่อนๆ กลิ่นเดียวกับตัวของคนที่คอยดูแลเขาอยู่ข้างกายทำให้เดาได้ว่าห้องนี้คงเป็นห้องส่วนตัวของฮีมิน
 
ยองจูตัดสินใจจะหมุนตัวกลับเพื่อเดินออก เพราะการเข้าห้องคนอื่นโดยพละการไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ทว่าเท้ากลับสะดุดขาตู้เข้าจนทำให้ล้มลงกับพื้นไม่เป็นท่า
 
เจ็บตามตัวจนแทบอยากจะร้อง
 
บาดแผลฟกช้ำตามร่างกายยองจูไม่มีวันได้เห็นว่าน่ากลัวมากเพียงใดเพราะตาที่ยังถูกปิดสนิท แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่าคงไม่ใช้สีเนื้อปกติธรรมดาเป็นแน่
 
มือใหญ่ไล่หาเครื่องเรือนข้างตัวเพื่อพยุงกายลุกขึ้น เขาคลำไปจับที่ขอบโต๊ะทางขวาได้ถนัดมือก็ออกแรงลุกขึ้นยืน ในตอนนั้นเองที่ปลายนิ้วของเขาไปจับโดนวัตถุอะไรบางอย่างเข้าโดยบังเอิญ
 
 
“ยองจู ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เสียงเล็กดังขึ้นที่ด้านหน้าตัวห้อง
 
เห็นร่างสูงไม่ขยับก็เตรียมเดินเข้าไปหา แต่เท้าที่กำลังก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็พลันหยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยผ่านความเงียบขึ้นมา เมื่อเลื่อนสายตาลงมองที่มือของร่างสูงก็เห็นว่าฝ่ายนั้นกำสร้อยข้อมือที่เจ้าตัวเป็นคนทำให้เขาสมัยอยู่ที่กระท่อมไว้ในมือแน่น
 
 
“คิมฮีอู”
 
 
 
ราวกับเสียงที่ได้ยินเป็นเหมือนแท่งน้ำแข็งที่แหลมคมทิ่มแทงลงทั่วทุกส่วนของร่างกาย
 
 
...เหตุผลที่หนีออกมา ก็เพราะมีเพียงท่านที่ทำให้เราอยากมีลมหายใจอีกครั้ง
 
...เหตุผลที่ปิดบัง ก็เพราะไม่อยากถูกท่านส่งตัวเรากลับไปเพื่อแลกกับใครอีกคน
 
 
ปาร์คยองจู ...ไม่ว่าท่านจะหลอกเราว่าเป็นใคร จะเป็นเพียงยองจูในกระท่อมไม้คนนั้น หรือจะเป็นราชครูคนสำคัญของวังชอนซา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ท่านก็ยังเป็นเพียงคนเดียวที่หัวใจของเราเรียกร้อง
 
 
ได้โปรด... อย่าส่งเรากลับไปให้ใครอีกเลย
 
อย่าผลักไสเราไปจากท่านเลยนะยองจู...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
เข้ายามหนึ่งแล้ว แต่คนร่างบางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้านอนแม้แต่น้อย
 
ซอนอินนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง เรียวนิ้วสวยเขี่ยกรงนกที่ว่างเปล่าตรงหน้าอย่างใจลอย เมื่อหลายชั่วยามก่อนเขายังคิดกังวลเรื่องที่เจ้านกน้อยหลุดหายไปจากกรงอยู่เลย แต่ในตอนนี้ในหัวกลับมีแต่ภาพของร่างสูงที่เดินจากไปเมื่อตอนบ่าย
 
หลังจากที่ได้นั่งคุยกับจีมุนจนเย็น ฝ่ายนั้นก็ขอตัวกลับตำหนัก จากนั้นซอนอินก็เอาแต่นั่งรอว่าเมื่อไหร่ชองจีรยงจะมา ถึงแม้ว่าจีรยงจะไม่ได้มาทานอาหารเย็นที่ตำหนักโยกันทุกวัน แต่ก็อดรอไม่ได้ว่าวันนี้จะมา ทว่า ล่วงเลยมาจนค่ำมืดก็ยังไม่เห็นวี่แววของฝ่ายนั้น
 
ความกังวลใจที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายยังผลให้ซอนอินนอนไม่หลับ อยากจะถามให้รู้เรื่องว่าเป็นอะไร หากเขาทำอะไรให้ฝ่ายนั้นไม่พอใจก็อยากจะแก้ตัว ไม่ว่าสิ่งไหนก็จะพยายามทำให้ได้
 
ตอนที่ซอนอินรู้สึกถึงสายตาที่เย็นชาของจีรยงเมื่อตอนบ่ายนั้นมันทำให้เขานึกถึงความสัมพันธ์แรกเริ่มระหว่างพวกเขา สายตาที่มองเขาอย่างเฉยชา สายตาที่ไม่มีแม้แต่ความสนใจในตัวตนของเขา ...สายตาที่บอกว่า คิมซอนอินไม่มีความสำคัญใดๆ กับชองจีรยง
 
ไม่เอานะ... ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว...
 
ขอร้องล่ะ อย่าเกลียดข้า...
 
 
“...แค่เจ้าเท่านั้น อย่าเกลียดข้าเลย......”
 
.
.
.
 
“ทำไมตำหนักยังสว่างอยู่อีก?”
 
“อ่ะ ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ ...เพลานี้องค์วังชอนซาทรงยังไม่บรรทมเลยเพคะ หม่อมฉันกับโซยอนก็เลยต้องอยู่รอถวายงานที่หน้าห้องเพคะ” ยอนอารีบรายงานบอกนายเหนือหัวที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามาในตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่ ซ้ำยังมาพระองค์เดียว ไม่มีขบวนเดินตาม
 
ร่างสูงยกมือปัดไปในอากาศ “พวกเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว ดับไฟเสียให้หมด ข้าจะพานายของเจ้าเข้านอนเอง”
 
“รับทราบเพคะ”
 
จีรยงผลักบานประตูเข้าไปในห้อง ภาพแรกที่เห็นคือร่างบอบบางภายใต้ชุดสีขาวสว่างฟุบหลับอยู่ที่ขอบหน้าต่างซึ่งเปิดอ้าพาเอาลมเย็นเฉียบของค่ำคืนเข้ามาด้านในจนรู้สึกถึงไอเย็นไปทั้งห้อง
 
ร่างสูงอดบ่นในใจไม่ได้ที่เห็นว่าซอนอินมักจะนอนหลับไม่รู้เรื่องที่ริมหน้าต่างเช่นนี้อยู่เป็นประจำ
 
จีรยงสอดวงแขนขึ้นอุ้มคนหลับไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดายคล้ายอุ้มปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น เมื่อวางร่างบางลงกับที่นอนแล้วเขาก็เดินไปปิดหน้าต่าง ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงที่เตียงข้างกายคนหลับ
 
มือหนาเกลี่ยเส้นผมสีดำนุ่มลื่นดุจแพรไหมเนื้อดีให้พ้นดวงหน้าขาว เขาไล้ปลายนิ้วไปตามรูปหน้าของซอนอินราวต้องมนต์สะกด
 
ใช่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกมนต์สะกดจากคนตรงหน้านี้ปั่นป่วนความรู้สึก เป็นครั้งแรกที่เขานึกหวงใครได้มากเท่านี้ เพียงแค่เห็นจีมุนแตะต้องซอนอินเขาก็ทนมองไม่ได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับซอนอินรุนแรงเกินกว่าที่เขาจะคาดคิด และมันก็ทำให้เขาปฏิเสธที่จะยอมรับมัน
 
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นแตกต่างจากที่เขารู้สึกกับฮีอูจนน่ากลัวว่าจะให้ผลที่ต่างกัน ยิ่งนับวันซอนอินก็ยิ่งมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขามากขึ้น มาก...จนอาจจะเรียกได้ว่าสร้างความหวั่นไหวให้กับใจของเขาได้เพียงพอต่อคำว่าหลงใหล
 
 
คิมซอนอินทำให้เขาหลงใหล จีรยงไม่อาจปฏิเสธความจริงนี้ได้อีกต่อไป
 
 
จีรยงแนบจูบลงที่หน้าผากมนแผ่วเบา พาตัวเองเข้าใต้ผ้าผวยผืนเดียวกัน สอดแขนช้อนร่างบางเข้าไว้ในอ้อมกอดอย่างหลวมๆ ภายใต้แสงไฟสลัวจากโคมไฟ นัยน์ตาคมจ้องมองใบหน้ายามหลับของหงส์งามนิ่งค้าง เนิ่นนาน และโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มก็ได้หลับใหลไปพร้อมกับความเงียบงันของค่ำคืน
 
 
ลมหายใจของคนทั้งสองขยับเข้าออกเป็นจังหวะเดียวกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนนั้นเอง
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
จีรยงปฏิเสธที่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อชอนซา
ระวังจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้ในวันที่สายไป

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อยากให้รัชทายาทได้บทเรียนซะบ้าง
ปล.เชียร์คู่ราชครู  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ห่วงเรื่ององค์หญิงห้าแคว้นพกซอนี่แหละ ยังไงคงต้องได้ดราม่า อยู่ที่ว่าจีรยงจะจัดการได้เร็วแค่ไหน ลุ้นคู่ยองจูกับฮีอูด้วย

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ซอนอิน รู้สึกตัวเร๊วเร็ว อย่ามัวแต่กลุ้มใจ ตื่นๆๆ

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 17

 
บรรยากาศอึดอัดกดทับคนทั้งสองจนยากจะสั่งให้ร่างกายควบคุมระดับการหายใจให้เป็นปกติ ที่ด้านหนึ่งของโต๊ะไม้กลางห้อง ฮีอูนั่งก้มหน้านิ่งแม้จะรู้ว่าถึงอย่างไรร่างสูงตรงข้ามไม่สามารถจ้องมองตนได้ก็ตาม
 
หลังจากที่ยองจูเรียกชื่อเขาไปเมื่อตอนบ่าย ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อไปอีก มูฮยอนก็เคาะประตูตะโกนเรียกโหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน ทำให้การสนทนาต้องหยุดไป ฮีอูบอกยองจูเพียงว่าต้องออกไปที่ตลาดกับมูฮยอนเพื่อเอาตัวยาที่เพิ่งปรุงเสร็จไปฝากขายที่ตลาดกลางในหมู่บ้าน และโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ฮีอูก็พูดต่อไปอย่างปกติว่าเตรียมอาหารเสร็จแล้ว จากนั้นก็เดินเข้าไปประคองแขนของยองจูที่ไม่คิดขัดขืนหรือพูดอะไรออกมาไปยังโต๊ะอาหาร จากตอนนั้นก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วจนฟ้ามืด กว่าที่ฮีอูจะกลับเข้ามาในบ้าน และพบว่ายองจูยังนั่งอยู่ที่เดิม และอาหารก็ยังไม่ลดปริมาณลงเลยแม้แต่น้อย
 
ทุกอย่างวางนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน แม้แต่เม็ดข้าวที่เรียงตัวกันอยู่ในถ้วยชาม
 
ยองจูรับรู้ถึงการมาของฮีอู แต่ก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ทางด้านฮีอูเองก็กระอักกระอวนจนรู้สึกจุกแน่นในอกไปหมด ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปเมื่อถูกจับได้แล้วว่าตนเองเป็นใคร
 
ไม่กล้าที่จะร้องขอ เพราะรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์
 
แต่ถ้าจะให้เงียบต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ ฮีอูก็รู้สึกได้ว่าตัวเขาเองจะต้องขาดอากาศหายใจตายไปก่อนเพราะความกดดันเป็นแน่
 
“อาหารเย็นหมดแล้ว เราไปทำให้ใหม่แล้วกัน ถึงอย่างไรก็ต้องทำอาหารค่ำอยู่แล้ว”
 
เป็นการทำลายความเงียบที่อ้อมค้อมที่สุด แต่ฮีอูก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อแล้ว เขาลุกขึ้นเพื่อเตรียมยกจานชามออกไป
 
ไม่รู้ว่าเพราะความเคยชินที่อยู่ดูแลกันมามากกว่าหนึ่งเดือนหรือเปล่าที่ทำให้มือใหญ่คว้าข้อมือเล็กของคนที่เดินอ้อมโต๊ะมายืนอยู่ด้านข้างได้อย่างแม่นยำ
 
“ทำไมต้องโกหก”
 
เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นทำให้คนฟังอยากจะย้อนคำถามกลับไปเหมือนกัน ...ทำไมต้องหลอกกันด้วย?
 
“ไม่สำคัญที่ท่านจำเป็นต้องรู้หรอก” ฮีอูแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดนานนักที่จะตอบสวนกลับไป “ถึงท่านจะไม่พอใจยังไง ตอนนี้เราก็จะทำหน้าที่ดูแลท่านอยู่ดี ไม่ว่ายังไงเราก็ไม่ปล่อยให้ท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ตามลำพังแน่”
 
ฮีอูบิดข้อมือออกจากการกอบกุม ทว่าขืนแรงไปก็เปล่าประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะปล่อย
 
“เจ้า...” เสียงทุ้มเอ่ยค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินกลับไปยังเตียงนอนที่อยู่ไม่ห่างกันด้วยความเคยชิน
 
ร่างเล็กมองยองจูที่ทรุดกายลงนั่งบนเตียงด้วยความไม่เข้าใจ เมื่อครู่ยองจูอยากจะพูดอะไรกันแน่?
 
คิดไป ...ก็ไม่ได้คำตอบ
 

 
อาหารค่ำผ่านพ้นไปด้วยความเงียบ ยองจูทานยาตามปกติ ในตอนนี้ที่เหลือก็เพียงเปลี่ยนผ้าพันแผลและใส่ยาตามร่างกายให้เท่านั้น
 
ทั้งที่ก็ทำเหมือนเคย แต่มือเล็กกลับสั่นไปหมด ผ้าสีขาวค่อยๆ ถูกปลดออกทีละชั้น จนกระทั่งมองเห็นท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำน่ากลัวเกือบจะทั่วทั้งแขน แทบไม่มีสีผิวที่เป็นปกติ
 
ฮีอูโปะยาลงไปอย่างเบามือ พยายามหยุดอาการสั่นไม่ให้รุนแรงมากเกินไป แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเมื่อความเงียบคอยเป็นแรงกดดันอยู่เช่นนี้ อีกทั้งความคิดในสมองก็ไม่ยอมหยุดเสียที
 
ได้ยินแต่เสียงตัวเองร้องบอกว่าความสัมพันธ์นี้คงยืดต่อไปได้อีกไม่นาน
 
พลันน้ำตาหยดลงอย่างไม่ทันได้รู้ตัว
 
หยดน้ำอุ่นๆ ที่ตกกระทบท่อนแขนทำให้ร่างสูงรับรู้ได้ว่าคนตัวเล็กกำลังร้องไห้ ช่วงเวลาผ่านไปในความเงียบ แม้จะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเลย แต่ยองจูก็รู้ว่าคนตรงหน้ายังไม่หยุดร้องไห้
 
เขาเองก็สับสน การที่ได้รู้ว่าฮีมินคือฮีอูมันทำให้เขาเรียงลำดับความคิดยุ่งเหยิงไปหมด คิดมาเสมอว่าจะไม่มีวันพบเจอคนตรงหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง แต่อยู่ๆ กลับเป็นคนที่มาช่วยชีวิตเอาไว้ คอยดูแลอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด เป็นอย่างนี้แล้ว ความตั้งใจเดิมที่มีก็สั่นคลอนไปหมด
 
รู้ดีแก่ใจ ว่าหากเจอกันอีกครั้ง หากคิมฮีอูมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง มือคู่นี้ของเขาคงไม่อาจปล่อยให้จากไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง
 
กับคิมฮีอูคนนี้ ยองจูไม่อาจหยุดความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นกับหัวใจได้เลย
 

 
และจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยองจูอยากจะทิ้งทุกอย่างออกไปก่อนชั่วคราว แล้วสนเพียงความรู้สึกของตนเอง และความรู้สึกของคนตรงหน้าแต่เพียงเท่านั้น
 

 
“...ขอโทษ” พร้อมเสียงทุ้มที่เอ่ยนั้น มืออบอุ่นก็เลื่อนขึ้นทาบผิวหน้าของคนตัวเล็กแผ่วเบา ปลายนิ้วหยาบไล้สัมผัสเบาๆ ไปตามดวงหน้าหวาน
 
ฮีอูปล่อยอุปกรณ์ทำแผลในมือลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เสียงสะอื้นที่ทนเก็บกลั้นเอาไว้พังทลายลงพร้อมทำนบน้ำตาที่ไหลรื้นลงสองข้างแก้มอย่างห้ามไม่อยู่
 
เสียงเล็กสะอึกสะอื้นหนักหน่วง ขณะที่มีมือใหญ่ทาบใบหน้าอยู่เช่นนั้น
 
“ฮึก....ฮือออ...”
 
“ข้าขอโทษที่ทำร้ายเจ้า”
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมาทั้งที่ยังร้องไห้ มือขาวทั้งคู่ยึดชายเสื้อคนตัวสูงไว้ด้วยอาการสั่นสะท้าน
 
“ข้าขอโทษที่หลอกเจ้า...”
 
ฮีอูยังคงสั่นศีรษะปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นแม้ว่าอีกคนจะมองไม่เห็นก็ตาม คำขอโทษใดๆ ฮีอูก็ไม่ต้องการทั้งนั้น ไม่จำเป็นเลยกับวาจาที่เป็นเพียงอากาศธาตุ สิ่งที่ฮีอูต้องการคือคนตรงหน้านี้ต่างหาก
 
“ฮึก...อย่าทิ้งเราไปอีก...ได้ไหมยองจู ฮึก ฮืออ”
 
มือเล็กจับยึดชายเสื้อแน่นขึ้น แผ่นอกบางกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง
 
ในตอนนี้ ฮีอูเพียงต้องการรั้งยองจูอย่างไม่สนเหตุผลอื่นใด
 
“ฮึก...ถ้าจะจากเราไปอีก ฮึก ก็ช่วยพาลมหายใจของเราไปด้วย ฮือๆ ...ไม่มีท่าน เราก็อยู่ไม่ได้ ...ยองจู เราทำทุกอย่างเพื่อท่านได้ทั้งนั้น แค่เพียงอย่างเดียวที่เรายอมไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมเด็ดขาด ฮึกฮือ... แค่เรื่องนี้เท่านั้น....” มือสั่นเทายกขึ้นนาบกับมือใหญ่ที่จับใบหน้าของตนอยู่ให้เลื่อนลงมาที่บริเวณหน้าอก
 
เสียงคลื่นหัวใจบ่งบอกการมีชีวิตอยู่แล่นผ่านจากฝ่ามือใหญ่ที่ทาบทับไปสู่การรับรู้ของร่างสูง
 
“...หากเป็นความต้องการของท่าน จะให้เราไปตายที่ไหนก็ได้ แต่แค่สิ่งนี้เท่านั้นที่เรายอมให้ท่านผลักไสไปไม่ได้ หัวใจของเรา ความรู้สึกของเรา ความรักของเรา... ยองจูอย่าปฏิเสธอีกเลยนะ ฮึก... หากท่านเองก็มีใจ ได้โปรด บอกให้เรารับรู้ด้วยเถิด ปาร์คยองจู”
 
อย่าทำเมินเฉยอีกเลย ขอร้องล่ะ ตอบรับความรู้สึกที่ท่วมท้นจนแทบจะหยุดลมหายใจในทุกวินาทีนี้ทีเถิด
 

 
ร่างสูงไม่ได้ใช้คำพูดในการตอบรับความในใจของคนตัวเล็ก เขาเพียงแต่ปล่อยให้ช่วงเวลาดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้า รับรู้ถึงมือเล็กๆ ที่กอบกุมมือของเขาด้วยอาการสั่นน้อยๆ ซึมซับเสียงหัวใจของคนตรงหน้าที่ร้องบอกว่ารักเขามากเพียงไร
 
รัก... ความรู้สึกที่ยองจูไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีวันได้สัมผัส
 
สิ่งที่เรียกว่าความรัก แท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่? ที่ผ่านในชีวิต ยองจูรู้จักเพียงคำว่าหน้าที่ ตั้งแต่เล็ก สิ่งที่ถูกพร่ำสอนมาคือการปกป้องดูแลคิมซอนอิน มีชีวิตอยู่เพื่อคิมซอนอิน และเพราะตลอดมาข้างกายเขามีแต่เพียงลูกศิษย์คนนี้คนเดียวเท่านั้น จึงไม่คิดสนใจเรื่องอื่นใดนอกเหนือจากคนสำคัญคนนี้เลย ด้วยความใกล้ชิดนี้ ยองจูเองเคยคิดด้วยซ้ำว่าคนที่จะทำให้เขารู้สึกดีๆ ได้ก็มีแต่เพียงคิมซอนอินเท่านั้น
 
หากจะรักใครสักคน ก็คงเป็นคนคนนี้
 
ทว่า... คิมฮีอูกลับทำลายทุกอย่างที่เขาเคยเข้าใจมาตลอด
 
เขาหวงและห่วงซอนอิน รักและทะนุถนอมมากกว่าใคร ยอมแลกชีวิตได้อย่างไม่ต้องคิด ความรู้สึกเหล่านั้นเกิดมาจากความรักอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่รักอย่างที่ยองจูเข้าใจมาตลอด เขารักซอนอินเหมือนครอบครัว รักซอนอินเหมือนกับน้องชาย เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต
 
คิมซอนอินสำคัญสำหรับเขามากที่สุด...
 
หากแต่ในตอนนี้ คนอีกคนหนึ่งก็ได้ครอบครองหัวใจของเขาไว้จนหมดแล้วเช่นกัน
 
จะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี เขาควรจะยอมรับใช่ไหม? แล้วหากวันข้างหน้าเขาต้องเลือกระหว่างซอนอินกับฮีอูเล่า เขาจะทำเช่นไร? หากปล่อยให้ความรู้สึกเป็นผู้นำ แล้วที่สุดของทางออกเขาจะฝ่าฟันมันไปได้อย่างไร?
 
ซอนอินเป็นครอบครัวของเขา ส่วนฮีอูก็เป็นคนที่เขาอยากจะตอบรับความรู้สึกที่มี
 

 
หากวันข้างหน้าต้องเลือกแล้วล่ะก็ ยองจูไม่อาจมองเห็นคำตอบได้เลย
 

 
และเพื่อไม่ให้คนตรงหน้านี้ต้องเสียใจมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังไม่อาจเลือกคิมฮีอูแทนซอนอินได้โดยไม่สนข้อแม้ เขาก็ไม่ควรสร้างบาดแผลในใจให้กับฮีอูมากไปกว่านี้
 

 
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ กว่าที่เสียงสะอื้นไห้จะเงียบลง ดูเหมือนฮีอูจะตัดใจที่จะรอฟังคำตอบรับของร่างสูง ร่างเล็กเช็ดน้ำตาด้วยชายแขนเสื้อสองสามที คว้าอุปกรณ์ทำแผลไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะลุกจากเตียงไปโดยไม่พูดอะไรอื่นอีก
 
ฮีอูเก็บข้าวของเข้าที่ เรียงต้นสมุนไพรที่จะใช้ทำยาลงบนโต๊ะไม้อย่างเป็นระเบียบ ดับเตาไฟที่เคี่ยวตัวยาค้างไว้เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน นั่งรอให้ยาที่ต้มหายร้อนอยู่เงียบๆ ภายในห้องครัวที่เหลือเพียงแสงไฟจากโคมสองดวงบนโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าหวานดูเหม่อลอยยามที่ต้องแสงสีเหลืองอ่อน ดวงตาคู่สวยไม่สะท้อนประกายสดใส บานหน้าต่างทางซ้ายเปิดโล่งเผยให้เห็นดวงจันทร์สีนวลที่ลอยเด่นอยู่กลางผืนนภาอย่างโดดเดี่ยว บรรยากาศรอบตัวของร่างเล็กนั้นทั้งดูซึมเศร้าและอ้างว้างจับใจ
 
เช้าแล้ว ตัวยาก็เย็นจนชืด แต่ร่างเล็กๆ ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องครัวกลับยังไม่คิดจะเทยาเหล่านั้นลงในขวดแก้วใบเล็กเพื่อเตรียมขายในตอนฟ้าสาง อีกหนึ่งชั่วยามมูฮยอนก็จะมาตามแล้ว การขายยารักษาโรคนี้เป็นเพียงวิธีเดียวที่ฮีอูจะหาเงินมาใช้จ่ายได้ ทว่า ตอนนี้ฮีอูไม่ได้สนใจเลยสักนิด ความผิดหวังที่เกาะกินหัวใจของฮีอูนั้นบดบังทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าไปจนหมด
 

 
โบร๋ววววววววววว!!!
 

 
จู่ๆ เสียงหอนของสุนัขจิ้งจอกก็ดังขึ้น ฮีอูกระพริบตาปริบราวกับเพิ่งหลุดออกจากห้วงภวังค์ เสียงหอนของสุนัขจิ้งจอกดังขึ้นอีกสองครั้ง คราวนี้ฮีอูได้ยินอย่างชัดเจน และถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว มือเล็กผลักบานประตูหลังของห้องครัวออกไปที่ลานโล่งข้างตัวบ้าน ดวงตาเรียวเล็กกวาดมองไปยังเพิงไม้เล็กๆ ทันที พร้อมกับเท้าที่ออกวิ่งด้วยความตกตื่น
 
อิงอิง ไม่เคยหอนเสียงดังขนาดนี้!
 
ความตกตื่นและความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นในทันที ฮีอูทำเพิงไม้ล้อมคอกไว้เล็กๆ ให้อิงอิงอยู่ตรงเนินเขาไม่ห่างจากตัวบ้านมากนัก เขากลัวว่าหากเลี้ยงไว้ใกล้ๆ ยองจูจะได้ยินเสียงของอิงอิง
 
เท้าเล็กก้าวกระชั้นถี่มากขึ้น หัวใจก็เต้นโครมครามรุนแรงเมื่อมองเห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งรุมล้อมอยู่บริเวณนั้นมากกว่าสามคน และหนึ่งในนั้นกำลังใช้ทวนปลายแหลมแหย่เข้าไปในคอกเพื่อไล่ต้อนสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยให้ออกมา
 
“ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!”
 
“เฮ้ย มีคนมา” ชายคนหนึ่งในกลุ่มตะโกนขึ้นเมื่อเห็นฮีอูวิ่งตรงเข้ามา
 
“สงสัยจะเป็นเจ้าของ กันมันไว้อย่าให้เข้ามา ตอนนี้สุนัขจิ้งจอกกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ยังไงก็ต้องจับกลับไปให้ได้!”
 
“ปล่อยน่ะ!! อย่าทำร้ายอิงอิง!!” ทันทีที่ฮีอูวิ่งมาถึง ชายตัวใหญ่สองคนก็พุ่งตัวเข้ายึดแขนทั้งสองข้างของฮีอูไว้แน่น ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด เพราะแรงและขนาดของร่างกายที่ต่างกันกว่าเท่าตัว
 
“อย่าดิ้นนักสิวะ!”
 
“ปล่อยนะ!! ช่วยด้วยยยย!!!!”
 

 
เพี้ยะ!!!
 

 
“แหกปากอีกคำเดียว ข้าปาดคอเจ้าแน่!” มีดเงินเย็นเฉียบถูกกดแนบลงกับลำคอขาว ฮีอูฝืนดิ้นอย่างไม่ยอม และไม่สนใจว่าที่มุมปากจะมีเลือดซึมออกมาจากการถูกตบเมื่อครู่ จนรู้สึกถึงความเจ็บแสบตรงช่วงลำคอขึ้นมาเมื่อถูกมีดบาดลงกับผิวเนื้อ
 
ดวงตาของฮีอูสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว เสียงของอิงอิงดังก้องสะท้อนไปทั่วทุ่งหญ้า แต่เพราะบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนเขาเพียงหลังเดียว ผู้คนที่หมู่บ้านตรงเชิงเขาคงไม่มีทางได้ยินเป็นแน่
 
 
ไม่สิ อีกเดี๋ยวมูฮยอนก็จะมาแล้ว ขอให้ทันทีเถิด!
 

 
“ได้ตัวแล้ว!” มือของคนที่ถือหอกอยู่ข้างหนึ่งชูสุนัขจิ้งจอกหิมะตัวเล็กให้คนในกลุ่มเห็น
 
ฮีอูสะอื้นฮักอย่างเจ็บปวดเมื่อเห็นว่าที่ขาของอิงอิงโดนแทงเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดสีแดงสดเปรอะเปื้อนขนสีขาวสว่างดูน่ากลัว
 
“ไม่นะ อย่าเอาอิงอิงไป ขอร้องล่ะ!”
 
“หุบปากน่าคุณชายตกยาก ถ้าจนนักก็กลับบ้านไปเสียสิ ชาวบ้านเค้าลือกันว่าแกเป็นลูกคนรวยนี่? แค่สุนัขจิ้งจอกตัวเดียว ยกให้พวกเราเถอะ” ชายคนที่จับอิงอิงแสยะยิ้มชั่วร้าย ทว่ายิ้มนั้นกลับต้องค้างอยู่บนใบหน้าที่ซีดขาวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นสัตว์ร้ายน่ากลัว
 
“ลูกพี่เป็นอะไรไป?!” ชายฉกรรจ์สามคนในกลุ่มมองหัวหน้าของตนเองอย่างมึนงง ก่อนหันสายตาตามอย่างสงสัย และเมื่อคนทั้งหมดหมุนกายหันไปมองด้านหลัง ความตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโจรทั้งกลุ่ม
 
ที่สุดปลายสายตาของทุกคนนั้น คือร่างสูงในชุดคลุมสีเข้มที่สวมอย่างรุ่มร่าม ตามเนื้อตัวมีผ้าสีขาวผืนยาวหลายเส้นพันเกือบจะทั่วร่าง ที่ศีรษะก็มีเศษผ้าหลุดลุ่ยที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะกระชากทึ้งออกไปจนเผยให้เห็นนัยน์ตาข้างหนึ่งที่เป็นสีแดงฉานราวกับมีเพลิงกัลป์โชติช่วงอยู่ในดวงตาคมคู่นั้น
 
ทั้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งกลุ่มตกตื่นคือมวลสารโดยรอบของร่างสูง ไอควันสีดำสนิทลอยวนอยู่รอบร่างทั้งร่างราวกับเป็นเกราะอีกชั้นหนึ่ง และเพียงแค่คนคนนั้นยกมือที่เต็มไปด้วยร่อยรอยของบาดแผลฟกช้ำขึ้น หอกปลายแหลมในมือของโจรก็ถูกดึงกระชากออกมาอยู่ในมือร่างสูงคล้ายมีเอ็นเบ็ดตวัดเกี่ยวเข้าหาตัว
 
“นั่นมัน... อะไรกัน!!!”
 
โจรคนหนึ่งร้องถามเสียงหลง ในขณะที่ร่างเล็กก็ได้แต่พึมพำชื่อยองจูออกมาเบาๆ อย่างตกใจ
 
“ปล่อยคนของข้า แล้วก็ปล่อยสุนัขจิ้งจอกซะ” เสียงทุ้มไม่ได้ตะโกนดังนัก แต่กลับฟังกดดันอย่างที่สุด
 
“ปล่อยให้โง่! เห้ย ยืนบื้ออะไรอยู่ วิ่งสิวะ!!....อ๊าคคคคค” ยังไม่ทันจะได้ขยับเท้า ขาของคนพูดก็บิดงอไม่เป็นท่า คนที่เหลือเห็นดังนั้นก็รีบก้าวถอยหลังสีหน้าตื่น ปล่อยร่างเล็กลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
 
ฮีอูรีบถลาไปคว้าอิงอิงที่ถูกโยนลงพื้นอย่างไม่ไยดี ร่างกลมๆ ของสัตว์ตัวน้อยสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ดวงตาเม็ดเล็กสีดำหรี่ปรือเคล้าน้ำตาด้วยความเจ็บจากบาดแผล
 
ก่อนที่จะมีใครโดนบิดขาเป็นคนที่สอง กลุ่มคนทั้งหมดก็พากันวิ่งกุลีกุจอลงเนินเขาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พ้นสายตาไปเท่านั้น ร่างสูงที่ยืนอยู่ก็ทรุดฮวบลงกับผืนหญ้าทันที
 

 
“ยองจู!!!!”
 

 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 

 
เป็นฝันที่วุ่นวายดีพิลึก
 
ซอนอินตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ดวงหน้าสวยงามขมวดยุ่งยับย่นไปหมด จนนางกำนัลสาวแบยอนอาอดไม่ได้ต้องเอ่ยถามขณะสางเส้นผมให้ผู้เป็นนายอย่างเบามือ
 
“เป็นอะไรไปหรือเพคะองค์วังชอนซา?”
 
“ข้าฝันแปลกๆ”
 
“ฝัน? ทรงฝันถึงสิ่งใดเพคะ?” โซยอนที่กำลังเปลี่ยนชุดทรงให้เอ่ยถามด้วยความสนใจ
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง คิ้วบางกดลึกอย่างใช้ความคิดนึกย้อนกลับไปหารายละเอียดในความฝัน “ข้าฝันว่าข้าเห็นตัวเอง ไม่สิ ข้าฝันว่าข้ากำลังคุยกับตัวเองที่เป็นอีกคนหนึ่ง อ๊า!~ ข้าจะอธิบายอย่างไรดีนะ เอาเป็นว่า ข้าฝันว่าตัวข้ามีสองคน แบบนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือเปล่า?”
 
สาวใช้ทั้งสองย่นคิ้วตาม “แบบที่เป็นเหมือนฝาแฝด อย่างกึมซอง โทซอง ใช่ไหมเพคะ?”
 
ซอนอินมองยอนอานิ่งคิด ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เหมือน แต่ก็คล้ายๆ มันเหมือนกับว่าข้าส่องกระจกดูตัวเองอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะ ทั้งหน้าตา รูปร่าง เหมือนกันไปหมด”
 
“ฝันประหลาดแท้”
 
“ทูลให้ฝ่าบาททราบดีไหมเพคะ? จะได้ให้นักโหราศาสตร์มาตีความหมายให้อย่างไรล่ะ!”
 
“ไม่เอาหรอก เรื่องไม่เป็นเรื่อง น่าขายหน้าออกจะตายไป กับแค่ฝัน”
 
คนตัวเล็กยู่หน้าเมื่อนึกว่าตนเองต้องเล่าความฝันให้คนตัวสูงฟัง ถ้าไม่โดนหัวเราะเยาะก็แปลกไปล่ะ!
 
ซอนอินถูกสองสาวเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา สางเส้นผมจนเสร็จ ก่อนจะออกมายังห้องทานอาหาร ร่างบางจัดการกับข้าวต้มตรงหน้าจนหมดในเวลาไม่นาน นั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่ที่ศาลาในสวนจำลองจนถึงช่วงสายที่แดดเริ่มแรงจัด
 
อากาศร้อนจนต้องตัดใจที่จะเฝ้ามองท้องฟ้าเผื่อว่าจะได้เห็นเจ้านกน้อยบินกลับมา ร่างบอบบางลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเพื่อจะเดินกลับเข้าตำหนัก ทว่าก็ชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งเข้าเต็มอกเสียนี่
 
ดวงหน้าสวยจมมิดกับอกของร่างสูง ทั้งเนื้อผ้า และกลิ่นกาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร
 
“ทำไมไม่ปลุกข้าล่ะ? เมื่อคืนเจ้ามาใช่ไหม?” คนสวยตัดพ้อทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง เอวของเขาถูกรวบไว้ด้วยวงแขนของคนตรงหน้า
 
“ใครกันเล่าที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่ริมหน้าต่าง ขนาดข้าอุ้มยังไม่รู้สึกตัว พอเช้าขึ้นมาเห็นว่ายังนอนหลับตาพริ้มก็ไม่อยากรบกวน” ริมฝีปากอุ่นหยอกเย้าผิวแก้มนุ่มของคนในวงแขน ก่อนจะเริ่มรุกไล่ไปหาริมฝีปากสีสวย
 
ซอนอินหลับตาลงตอบรับจูบแรกของวันอย่างว่าง่าย ยิ่งเห็นว่าท่าทางของร่างสูงในวันนี้ไม่มีเค้าความโกรธเคืองอย่างเมื่อวานก็พลอยโอนอ่อนผ่อนตาม ตอบรับเรียวลิ้นที่ล่วงล้ำเข้ามาด้วยการเกี่ยวกระหวัดเข้าหา อึกอักเล็กน้อยกับการจูบไม่เว้นจังหวะหายใจ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
 
จีรยงก้มลงจูบซับมุมปากฉ่ำหวานให้จนสะอาด
 
“ตัวเจ้าอุ่นไปหมดแล้ว เข้าตำหนักเถิด”
 

 
ตำหนักโยกันในตอนสายอบอวลไปด้วยกลิ่นไอแดด มีเพียงแต่ในห้องนอนที่เจือกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สีขาวที่ชวนให้รู้สึกลุ่มหลงไม่ต่างจากกายงดงามของเจ้าของห้อง
 
ซอนอินถูกฉุดลงมาให้นั่งที่ตักขององค์รัชทายาทแห่งฮานึล ร่างผอมบางภายใต้อาภรณ์สีขาวสว่างตาเอนซบอิงกายร่างสูงด้วยท่าทางออดอ้อนเล็กน้อย วงแขนเล็กๆ วาดรอบลำคออีกฝ่ายไว้อย่างหลวมๆ ดวงหน้าใสระเรื่อสีแดงยามที่ถูกมือใหญ่สอดผ่านทบเสื้อเข้าลูบไล้แผ่นอกชื้นเหงื่อ
 
“ข้าเช็ดตัวให้เจ้าดีไหม?” จมูกโด่งซุกซนอยู่แถวบริเวณลำคอขาว ลิ้นสากลากไล้ใบหูของคนตัวเล็กอย่างหยอกเย้า ขณะที่มือยังสำรวจผิวเนียนนุ่มลื่นน่าสัมผัส
 
คนสวยช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองคนพูดอย่างเขินอาย “เจ้ามีเวลาว่างนักหรืออย่างไร องค์รัชทายาทชองจีรยง?” คำถามแฝงนัยของหงส์งามทำเอาจีรยงอดไม่ได้ที่จะก้มลงงับกลีบปากที่ช่างพูดเสียทีหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว
 
นับวันคนสวยของเขาชักจะก้าวหน้าขึ้นมากทีเดียว
 
จีรยงเอ่ยกระซิบ “หม่อมฉันมีเวลาปรนนิบัติองค์วังชอนซาทั้งวัน อยู่ถวายงานให้ถึงยามค่ำยังได้”
 

 

 
เพราะองค์รัชทายาทแห่งฮานึลรับสั่งว่าทรงว่างทั้งวัน ดังนั้น ตลอดทั้งวันนางกำนัลสาวของตำหนักโยกันจึงได้ยินเพียงแต่เสียงแว่วหวานหอบกระเส่าเล็ดลอดออกมาจากภายในห้องบรรทมให้คนฟังได้รู้สึกหน้าร้อนหูร้อนไปตามๆ กัน
 
“องค์รัชทายาทก็ทรงนักเชียว อาหารเที่ยงก็ไม่ทรงเสวย นี่ก็ใกล้พลบค่ำแล้วยังไม่ทรงปล่อยองค์วังชอนซาของพวกเราออกมาอีก” แม้คำพูดของยอนอาจะฟังเหมือนขุ่นใจในการกระทำของนายเหนือหัว  แต่ใบหน้าของนางนั้นยิ้มแก้มแทบปริ
 
ก็แน่ล่ะสิ นางพอใจที่องค์วังชอนซาเป็นที่ต้องการขององค์รัชทายาทมากกว่าใครนี่นา!
 
“เจ้าไม่รู้สิใช่ไหมยอนอา ว่าอีกสองอาทิตย์องค์รัชทายาทจะทรงออกรบ หากไม่ประสงค์จะใช้เวลาส่วนพระองค์กับองค์วังชอนซาให้มากๆ สิพวกเจ้าค่อยโอดครวญ” กึมซองที่นั่งเอนหลังพิงกับผนังเงยหน้าขึ้นมองนางกำนัลสาวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ เนื่องจากเด็กหนุ่มเพิ่งกวาดขนมหวานที่ยอนอานำมาทานเล่นกับผู้เป็นน้องอยู่ที่หน้าห้องเพื่อรอถวายงานเสียจนเกลี้ยงชาม
 
“เห๋? องค์รัชทายาทหรือจะทรงออกรบ?!”
 
“กับผู้ใดกัน?”
 
เกี่ยวกับเรื่องศึกสงครามบ้านเมืองแล้วละก็ สำหรับพวกนางกำนัลสาวใช้ก็เหมือนเป็นเรื่องนอกเหนือจากสารบบในชีวิตประจำวันโดยสิ้นเชิง
 
กึมซองยืดตัวขึ้นยืน แล้วเอ่ยตอบสองพี่น้อง “ฝ่าบาททรงวางแผนไว้ว่าจะนำทัพที่เจ็ดออกรบกับแคว้นคันเซด้วยพระองค์เอง โดยมีกองทัพนายพลซูวอนเป็นกำลังหนุนเสริมอีกแรง”
 
โซยอนยกมือทาบหน้าอก “ใช้ทหารถึงสองกองทัพเลยหรือ? ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้” เด็กสาวเป็นประเภทอ่อนไหวง่ายต่อเรื่องน่าหวาดเสียว จึงทำให้อดตื่นกลัวไม่ได้
 
“เพราะคันเซใช้ยอฮวาเป็นอาวุธในครั้งนี้น่ะสิ เฮ้อ ช่างเถิด พูดไปพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ข้าว่า เรามาคุยเรื่องที่พวกเจ้าเข้าใจเป็นอย่างดีกันดีกว่านะ” กึมซองถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นปัดไปมาในอากาศ ก่อนยิ้มทะเล้น “นี่ ข้าขอถามหน่อย ฝ่าบาททรงค้างแรมกับองค์วังชอนซาเกือบทุกวันเลยใช่ไหม?”
 
ยอนอาพยักหน้าตอบ “ใช่สิ องค์วังชอนซาของพวกเรางดงามถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็เถอะ อดพระทัยไม่ไหวหรอก!”
 
“ถ้าเช่นนั้น ข่าวลือที่ว่าองค์หญิงห้าจะทรงอภิเษกสมรสกับฝ่าบาทก็ไม่น่าจะเป็นจริงน่ะสิ...แค่ตอนนี้น่ะนะ”
 
“อะไรกัน เจ้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกันหรือกึมซอง? แล้วตอนนี้ ของเจ้านี่หมายความว่าอย่างไร”
 
“เค้าพูดกันตั้งแต่ประตูวังหน้าจนสุดกำแพงวังหลังนั่นแหละ” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ “แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ใช่ว่าเรื่องนี้จะไม่มีมูลความจริงเสียเมื่อไหร่ ถึงตอนนี้ฝ่าบาทจะทรงชอบพอองค์วังชอนซาก็เถอะ”
 
“พูดอะไรของเจ้าน่ะกึมซอง!! รู้อะไรก็เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ยอนอาแทบจะพุ่งไปคว้าคอองครักษ์หนุ่มอยู่รอมร่อ
 
กึมซองไอค่อกแค่กเพราะน้ำชาติดคอตอนโดนเด็กสาวพุ่งตัวเข้ามากระชากเสื้อ
 
“เรื่องการเปิดน่านน้ำการค้าจากแคว้นพกซอนั่นแหละ องค์หญิงห้าต้องการใช้การอภิเษกเป็นข้อแลกเปลี่ยน”
 
“ร้ายกาจ!” ยอนอากระแทกเสียงอย่างลืมตัว
 
“ฝ่าบาทไม่ได้ตอบรับข้อเสนอใช่ไหม?” โซยอนรีบแทรกคำถามก่อนที่พี่สาวจะโวยวาย
 
“ข้าไม่รู้หรอก เป็นเรื่องส่วนพระองค์น่ะ ไม่ได้เจรจากันในที่ประชุม ข้าแค่บังเอิญได้ยินมาจากพี่ชายข้า”
 
“แล้วเจ้าก็เอามาป่าวประกาศ ข้าควรจะลงโทษเจ้าเสียหน่อยดีไหม ยูกึมซอง” เสียงทุ้มหนักที่ดังแทรกขึ้นทำให้คนทั้งสามสะดุ้งโหยงกับการปรากฏตัวของโทซอง
 
ยอนอาไม่รอช้ารีบรบเร้าขูดรีดความจริงโดยพลัน
 
“อย่าถามข้าเลย เรื่องส่วนพระองค์ข้าไม่อยากสอด อีกอย่าง ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็เป็นผู้ตัดสินพระทัย พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์หรอก” โทซองไม่สนใจสีหน้าขัดใจของเด็กทั้งสาม เขากระแอมไอเล็กน้อยปรับสีหน้าให้เรียบนิ่ง แล้วก้าวเข้าไปยืนชิดบานประตู เคาะลงไปสองสามที
 
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ กระหม่อมยูโทซอง เพลานี้องค์หญิงอันแฮซูไม่ยอมเสวยอาหารเย็น เรียกร้องให้ตามฝ่าบาทไปหาที่ตำหนักพะย่ะค่ะ”
 
.
.
.
 
“พะ...พอ...ฮ่ะ ฮั่ก...โทซอง...มา อื้อ!!” ซอนอินบิดกายทรมานต่อความวูบไหวที่ถูกปลุกเร้า มือขาวจับขยุ้มเส้นผมหนานุ่มที่ซุกอยู่ตรงหว่างขาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ที่จะเรียกร้องมากขึ้น
 
จีรยงจับเนินสะโพกเล็กยกขึ้นสูงแล้วส่งปลายลิ้นหยอกเย้า เร่งทวีความพลุ่งพล่านในกายให้กับคนสวยจนหลุดเสียงร้องชวนฟังออกมาอีกครั้ง
 
ดวงหน้าขาวเต็มรื้นไปด้วยน้ำตาจากการถูกกลั่นแกล้งไม่รู้จบมาทั้งวัน ร่างกายเหนื่อยล้าจนแทบสลบแต่คนตัวสูงก็ไม่ยอมให้ได้พัก นอนซบกายกันนิ่งได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกจับพลิกหน้าพลิกหลังโลมเลียตะโบมจูบจนเนื้อตัวมีแต่ร่องรอยน่าอายเต็มไปหมด นับเวลามาจนถึงตอนนี้ซอนอินก็จำไม่ได้ว่าตนเองถูกช่วยจนเสร็จไปสาม หรือสี่ครั้งกันแน่
 
“ฮ๊ะ!! ฮ๊า อื้ออออ....!!!”
 
ดวงหน้าสวยแหงนเงยขึ้นพลางร้องออกมาสุดเสียงยามที่กลั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ความสุขสมในกามารมณ์ถูกปลดปล่อยในช่องปากขององค์รัชทายาทหนุ่มทุกหยาดหยด
 
อายจนไม่เหลือความอายแล้วในเวลานี้ คนสวยได้แต่สมเพชตัวเองในใจ
 
“ปากบอกว่าพอ แต่ร่างกายเจ้าดูอย่างไรก็ไม่คิดว่าพอเลยนะ องค์วังชอนซา” ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก ซ้ำยังใช้ปลายลิ้นเลียคราบขาวข้นที่มุมปากให้คนขี้อายรีบเบือนสายตาหนีเสียอีก
 
ร่างสูงหยัดกายขึ้นนั่งหลังตรงทั้งที่ยังยึดต้นขาเล็กไว้ข้างตัวไม่ให้ได้ปกปิดส่วนที่หน้าอายซึ่งในตอนนี้ก็ยังสั่นระริกหลังการปลดปล่อยไปเมื่อครู่ เมื่อมองจากสายตาขององค์รัชทายาทหนุ่มในตอนนี้แล้ว เรือนร่างขาวผ่องเต็มไปด้วยอารมณ์ในรสเพศของหงส์แสนงามนั้นช่างดูเย้ายวนเสียยิ่งกว่าสาวนางโลมที่มีประสบการณ์เรื่องบนเตียงเสียอีก
 
จีรยงยกต้นขาข้างหนึ่งของซอนอินขึ้นแล้วไล้ริมฝีปากจูบไปตามผิวเนื้อนุ่มหอมเบาๆ ลากปลายลิ้นไปตามท่อนขาเรียวเรื่อยราวกับกำลังเพลิดเพลิน จนกระทั้งไปถึงปลายเท้าเล็ก ที่แม้แต่ตรงส่วนนี้ก็ยังทั้งนุ่มและหอมจนไม่น่าเชื่อ คนที่หันหน้าหนีเมื่อครู่สะดุ้งเล็กน้อยหันกลับมามองอย่างตกใจ
 
ตัวเป็นถึงองค์รัชทายาท เหตุใดถึงได้ใช้ริมฝีปากกับปลายเท้าของเขาเช่นนี้กัน!
 
“เป็นอะไร หืม? ตกใจที่ข้าทำเช่นนี้หรือ?” เห็นคนตัวเล็กเบิกตาโตแล้วชายหนุ่มก็ยกคิ้วขึ้นถาม ก่อนจะก้มลงจูบหนักๆ ที่ปลายนิ้วเท้าของร่างบาง
 
ซอนอินสะดุ้งเตรียมจะชักเท้ากลับ แต่ก็ถูกยึดข้อเท้าไว้เสียแน่น แล้วก็ต้องรีบหลับตาอย่างรวดเร็วด้วยความเสียวซ่านเมื่อปลายนิ้วเท้าข้างนั้นถูกลิ้นอุ่นร้อนดูดดุนหนักหน่วงครบทั้งห้านิ้ว
 
“จำไว้นะ ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกายเจ้า เป็นของข้าทั้งหมด อย่าได้ทรยศคนที่เป็นเจ้าของร่างกายเจ้าเป็นอันขาด”
 
จีรยงก้มลงประกบริมฝีปากบวมช้ำอีกครั้งทิ้งท้าย ก่อนจะลุกจากที่นอน แล้วคว้าเพียงเสื้อคลุมตัวนอกที่ถอดวางไว้ขึ้นสวม เมื่อมองจากสายตาของคนอ่อนแรงบนเตียงแล้ว ก็ให้รู้สึกอายอย่างที่สุด ดูเอาเถิด อีกคนนอนเปลือยเปล่าไม่เหลือเศษผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกาย แต่อีกคนยังสวมชุดทรงว่าราชการเสียเรียบร้อย
 
เอาเปรียบกันจริงๆ!
 
ร่างสูงที่สวมเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จแล้วก็ก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากชื้นเหงื่อของคนสวย เรียวคิ้วเข้มขมวดนิดๆ เมื่อผละริมฝีปากออกมา
 
“บอกว่าจะเช็ดตัวให้เจ้าแท้ๆ กลายเป็นว่าข้าทำให้เจ้าเปียกเยอะกว่าเดิมเสียอีก” พูดจาหน้าไม่อายอีกแล้ว ซอนอินได้แต่ส่งสายตาต่อว่าอย่างหมดแรง จะโวยวายยังไม่มีเสียงเลย รู้สึกแสบคอไปหมด
 
“เฮ้อ ข้าคิดว่าจะว่างแล้วเชียวนะ เอาเถิด หากคืนนี้ข้ามาได้ก็จะมาแล้วกัน เจ้าก็ไม่ต้องรอหรอก หากง่วงก็หลับก่อนได้เลย”
 
หลังแผ่นหลังขององค์รัชทายาทแห่งฮานึลก้าวออกไปจากบานประตู ดวงหน้าสวยที่เชื่อมแสงน่ามองอยู่เมื่อครู่ก็พลันเศร้าหมองลง ตั้งแต่ที่โทซองเคาะประตูเรียกเมื่อครู่ เขาก็เอาแต่คิดถึงคำพูดของโทซองที่ว่าองค์หญิงห้าต้องการให้จีรยงไปหาที่ตำหนัก
 
ทั้งสองคนสนิทสนมกันถึงขั้นไหนกัน ถึงได้เรียกหากันง่ายๆ เช่นนี้?
 
แล้วท่าทางของร่างสูงที่คิดจะทิ้งเขาไว้เช่นนี้ก็ทำได้อย่างไม่สนใจนี่อีกเล่า เหมือนตัวเขาเองเป็นแค่คนในหอเริงรมย์ อยากจะมายุ่งวุ่นวายด้วยก็มา อยากจะผละจากก็ไปง่ายๆ ไม่ต่างกันเลยสักนิด
 

ระหว่างที่ถูกนางกำนัลสาวพาไปอาบน้ำ ซอนอินก็ยังไม่หลุดจากห้วงแห่งความคิด
 

 
ที่ว่าตัวของเขาเป็นของจีรยง ก็เพียงแค่ร่างกายจริงๆ ใช่ไหม?
 
ความรู้สึกของเขา วันใดกันจะส่งไปถึงใจของคนผู้นั้นได้
 

 
ซอนอินไม่อาจล่วงรู้คำตอบของตนเองในข้อนี้ได้เลย
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

จบตอน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำซอนอินอยู่กับความเสียใจอีกแล้ว

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
องค์หญิง 5 นี้มัน่า :fire:

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
คอยดูเถอะจีรยง ไม่มีเขาแล้วจะรู้สึก
 :hao7:

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 18

 
จริงหรือเปล่า ที่องค์รัชทายาททรงรับสั่งว่าจะอภิเษกสมรสกับองค์หญิงห้าแห่งแคว้นพกซอ
 
ซอนอินอยากจะถามคำถามนี้กับร่างสูงเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าพอ ความกล้าของซอนอินหมดไปแล้วตั้งแต่คืนวันนั้น วันที่ร่างสูงผละจากเขาไปหาองค์หญิงแฮซู นับเวลามาจนถึงวันนี้ก็ร่วมสองอาทิตย์แล้วที่ชองจีรยงไม่ได้มาที่ตำหนักโยกันอีกเลย
 
เป็นสองอาทิตย์ที่ซอนอินรู้ตัวแล้วว่าตนเองไม่สามารถครอบครองหัวใจของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลผู้นี้ได้เลย
 
พยายามสักเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่มีวันสำเร็จ ทุ่มเททุกอย่างเท่าที่ตัวเขาจะมีได้ ศักดิ์ศรีและร่างกาย จิตวิญญาณและหัวใจ ตัวตนของคิมซอนอินไม่มีความหมายหรือความสำคัญใดๆ ต่อองค์รัชทายาทแห่งฮานึลแม้แต่น้อย
 
ของเล่น ...ใช่ เขาเป็นเพียงของเล่นในความแปลกใหม่ของร่างสูงเท่านั้น ทั้งก่อนหน้าเขา และถัดจากเขา ชายผู้นั้นยังมีหญิงสาวและเด็กหนุ่มมากมายคอยปรนนิบัติ
 
ยังจำได้ดีถึงช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันทั้งที่อีกฝ่ายนั้นมีแต่กลิ่นกายของใครอีกคนที่เพิ่งได้กกกอดกันมา เขาที่ได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นทั้งเจ็บทั้งทรมาน เหมือนหัวใจถูกบีบขยำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก้อนเนื้อในอกใกล้แหลกสลายเต็มที ตัวเขาที่เป็นเช่นนี้ ไม่อยากจะรับรู้อะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อชองจีรยง เป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากรู้จักมันเลย
 
อยากย้อนทุกอย่างให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม
 
อยากให้เขาเป็นเพียงคิมซอนอินที่มีแต่เรื่องการสวดขอพรต่อเทพเจ้า
 
เป็นวังชอนซาที่อาศัยอยู่แต่ในวังหลัง
 
ไม่ต้องพบเจอใคร ไม่ต้องรู้จักใคร ...ไม่ต้องรักใคร
 
 
แต่ซอนอินก็รู้ดี ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
 
ความรู้สึกของเขาถลำลึกมากเกินกว่าจะถอยกลับ รักจนไม่อาจมองเห็นถึงจุดสิ้นสุด รักจนแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่สามารถบอกได้ว่าทำไม ทำไมเขาถึงรักคนที่ให้แต่ความเจ็บปวดคนนี้นัก ทำไมถึงได้รักคนที่เป็นศัตรูต่อแคว้น ทำไมถึงได้รักผู้ชายที่ไม่เคยเห็นค่าในตัวเขา
 
ทำไมถึงได้รักชองจีรยง...
 
รักจนทรมานไปทั้งหัวใจ
 
น้ำตาที่ควรจะไหล ในเวลานี้กลับเหือดแห้ง ซอนอินนั่งเหม่อมองปลาตัวใหญ่สองตัวแหวกว่ายอยู่ในสวนจำลองเพียงลำพัง เขาปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงร่างสูงของใครอีกคน ขณะที่สายตาก็ทอดมองสระน้ำขนาดย่อมเบื้องหน้า
 
ดวงหน้าขาวหมดจดทอประกายระยิบต้องกับแสงแดดอ่อนๆ ที่กระทบผิวน้ำ ความงดงามของวังชอนซาไม่เคยเป็นที่ครหาต่อผู้พบเห็น แม้แต่คนที่ไม่เคยได้ยลรูปโฉมยังพูดกันปากต่อปากราวกับเป็นนิทานก่อนนอนว่าวังชอนซารูปโฉมงามเพียงใด ทั้งงามและสง่าสมกับที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าทงซก
 
ทว่า ความงดงามที่ชาวบ้านเล่าลือกัน จะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความงามนี้บ้าง แม้ว่าดวงหน้าสวยสะคราญตาดวงนี้จะสะกดสายตาของใครต่อใครได้ แต่ความจริงแล้วความสวยนี้ฉาบทับด้วยความเศร้าหมองของเจ้าตัวที่ผู้ใดก็ไม่อาจหยั่งถึง
 
ยิ่งในเวลาที่หัวใจอ่อนแอเช่นนี้ ร่างบอบบางที่นั่งอยู่ภายในศาลาแห่งนี้ช่างดูโดดเดี่ยวยิ่งนัก หากจะให้กล่าวเปรียบเทียบแล้ว ก็ราวกับเป็นนกแสนงามในกรงทองที่ประเมินราคาไม่ได้ ไม่มีผู้ใดยอมทุ่มเงินซื้อของมีราคาที่ทำได้เพียงแค่เชยชม แม้จะสูงค่า แต่ก็ไร้ประโยชน์ ...วังชอนซาที่น่าสงสารจึงเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีแต่ความว้าเหว่โอบล้อมร่างกาย ความสุขและความทุกข์ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก
 
วังชอนซา เป็นบุคคลที่คนทั้งแผ่นดินต้องการ แต่กลับไม่เป็นที่ต้องการของคนที่รัก
 
ดวงหน้าสวยนิ่งเรียบพลันปรากฏรอยยิ้มฝืดฝืน รอยยิ้มที่ราวกับจะเย้ยหยันตัวตนอันไร้ค่าของตัวเอง ซอนอินหัวเราะในลำคอคล้ายเหยียดหยามตัวตนที่เป็นอยู่ แล้วม่านตาที่แห้งสนิทอยู่เมื่อครู่ก็พลันฉ่ำน้ำขึ้นมา ภาพเบื้องหน้าที่เห็นตัวปลาสีส้มกำลังแหวกว่ายหมุนเป็นวงกลมในสระเล็กๆ พร่าเลือนสั่นไหว
ยังจะร้องไห้ได้อีกทั้งที่ก็ร้องอยู่ทุกคืน คิดไปแล้วก็ได้แต่ยิ้มหยันทั้งน้ำตาที่พบว่าตัวเองอ่อนแอเพียงใด
 
...เมื่อไหร่จะสิ้นสุดกันนะ ความรู้สึกแบบนี้
 
 
 
ช่วงหัวค่ำ ที่ตำหนักโยกันมีแขกผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน
 
“ยินดีต้อนรับ องค์หญิงอันแฮซู” ร่างบางเจ้าของตำหนักในเวลานี้เอ่ยต้อนรับเด็กสาวตรงหน้าอย่างสุภาพ มือเรียวผายออกเล็กน้อยเพื่อเชื้อเชิญให้แขกผู้สูงส่งได้นั่งที่เก้าอี้รับรอง
 
“ท่านคือคิมซอนอินสินะ” เด็กสาวไม่สนใจท่าทางเป็นมิตรของคนตรงหน้า ไม่สนใจจะเรียกอีกฝ่ายด้วยตำแหน่งที่คนทั้งแผ่นดินยกย่องด้วยซ้ำ ริมฝีปากสีแดงสดระบายยิ้มน้อยๆ ที่ดูไร้เดียงสา ...หากจะมองอย่างผิวเผิน
 
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ไม่ได้เรียกก็อย่าเสนอหน้าเข้ามา ข้าไม่ได้จะมานั่งจิบชาอะไรกับนายของเจ้า” แฮซูตวัดน้ำเสียงใส่นางกำนัลสองพี่น้องที่ช่วยกันรินน้ำชาอย่างไม่ไยดี
 
ไม่ใช่เจ้านาย ไยต้องฟัง? หากจะคิดก็คิดได้อยู่หรอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่อยู่สูงกว่าก็ถือเป็นนายทั้งนั้น คงเพราะยอนอาและโซยอนอาศัยอยู่กับซอนอินมากเกินไป จึงได้เข้าข้างผู้เป็นนายและต่อต้านผู้ที่ไม่ให้เกียรตินายของตนเสียเต็มที่จนเป็นนิสัย
 
ซอนอินละสายตาจากเด็กสาวที่มีอายุห่างจากเขาเพียงปีเศษ แล้ววาดรอยยิ้มบางให้สาวใช้ทั้งสองคน เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด มีอะไรแล้วข้าจะเรียก”
 
“เพคะ องค์วังชอนซา” เด็กสาวทั้งสองจำต้องยอมปล่อยให้ผู้เป็นนายอยู่ในห้องตามลำพังกับอสรพิษร้ายกาจที่ยอนอาเพิ่งให้คำเปรียบเทียบได้เมื่อครู่
 
ซอนอินเดินนำไปนั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง โดยไม่คิดจะเชิญชวนอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง อยากจะยืนเขาก็ไม่บังคับ “องค์หญิงอันแฮซูมีสิ่งใดกับหม่อมฉันหรือ?”
 
ว่ากันตามศักดิ์แล้ว คนทั้งสองก็ถือเป็นลูกกษัตริย์เหมือนกัน ดังนั้นท่าทางที่แสดงออกของซอนอินจึงเป็นไปในทางให้เกียรติกันแบบที่บุรุษมีต่อสตรีเท่านั้น
 
อันแฮซู หมุนกายหันไปยังทิศทางตรงข้ามกับร่างบาง นางเดินไปยังโต๊ะเครื่องเรือนรอบห้อง ใช้ปลายนิ้วแตะวัตถุภาชนะเครื่องเคลือบไปเรื่อยๆ ทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ซอนอินพูด อันที่จริงแล้ว นางทำราวกับในห้องนี้มีเพียงนางคนเดียวมากกว่า
 
ผ่านไปในความเงียบที่ซอนอินยังนั่งนิ่งรอให้อีกฝ่ายเป็นคนพูด
 
ปลายนิ้วของเด็กสาวหยุดลงที่อ่างแจกันซึ่งวางอยู่ใกล้กับบานหน้าต่าง ในอ่างกระเบื้องเคลือบลวดลายวิจิตรบรรจงนั้นมีดอกไม้สีทองอร่ามลอยเอื่อยอยู่เหนือผิวน้ำ
 
ดอกไม้ที่มีกลีบหกแฉก ซ้อนทับกันสามสี่ชั้น ตัวดอกและรากล้วนเป็นสีทองทั้งสิ้น ความสง่าสูงศักดิ์ของดอกไม้ชนิดนี้จึงเป็นเพียงดอกไม้ชนิดเดียวที่ปลูกขึ้นแต่เพียงในวังหลวงเท่านั้น และเพราะสายพันธุ์ของดอกไม้ชนิดนี้ก่อกำเนิดที่ฮานึล ทั่วทั้งผืนแผ่นดินนี้จึงมี ดอกซากึมฮา เลี้ยงไว้ในสระน้ำรอบตำหนักองค์รัชทายาทและกษัตริย์แห่งฮานึลเพียงเท่านั้น
 
แล้วเหตุใด ในตำหนักโยกันท้ายวังนี่ถึงได้มีดอกซากึมฮา!
 
“องค์หญิงจะทรงทำสิ่งใด!” ซอนอินลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้เมื่อเห็นเด็กสาวรวบดอกซากึมฮาขึ้นไว้ในกำมือ
 
ดวงตาสีนิลไหวระริกกับภาพของคนตรงหน้าที่บีบดอกไม้ในมือจนแหลกเละ ก่อนจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง ซอนอินกำมือแน่นอยู่ข้างตัว นึกไปถึงวันที่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้ครั้งแรกแล้วรู้สึกถูกใจเป็นที่สุด เป็นดอกไม้ที่องค์รัชทายาททรงประทานให้กับคนของตำหนักโยกันเป็นกรณีพิเศษ
 
แน่นอนที่ความหมายของดอกซากึมฮาจะหมายถึงตัวแทนของผู้นำแห่งฮานึล ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงดู ที่ผ่านมา แม้แต่พระญาติเองยังไม่อาจเอื้อมจะเป็นเจ้าของด้วยซ้ำ
 
เป็นดอกไม้แสนสำคัญถึงเพียงนั้นแท้ๆ กลับถูกผู้หญิงตรงหน้าทำลายจนย่อยยับต่อหน้าต่อตา
 
“ของสิ่งนี้ไม่เหมาะจะอยู่กับคนอย่างท่านหรอก คิมซอนอิน” แฮซูระบายยิ้มเหยียดหยาม ดวงตาเรียวคมจ้องเขม็งคนร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาดูถูกอย่างไม่ปิดบัง
 
“องค์หญิงไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าสิ่งใดเหมาะกับข้าหรือสิ่งใดไม่เหมาะกับข้า” ถึงคราวนี้ แม้แต่มารยาท ซอนอินก็ไม่อยากจะรักษาอีกต่อไปแล้ว
 
“ตัดสินงั้นหรือ? แม้แต่ชาวบ้านยังแทบไม่ต้องคิดว่าคนอย่างท่านไม่สมควรแม้แต่จะอยู่ที่ฮานึลด้วยซ้ำ!” แฮซูไม่ปล่อยช่องว่างให้อีกคนได้สวนคำ นางก้าวเดินเข้าไปใกล้ร่างบางแล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราวกับคุยกับขอทานไม่ต่างกัน
 
“ท่านปิดข้าไม่ได้หรอก ตำแหน่งวังชอนซาของท่านน่ะ ความจริงแล้วตอนนี้มันก็เป็นแค่เปลือกนอก แคว้นของท่านไม่ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่อีกต่อไปสิใช่ไหม หึ มาทำตัวเป็นหงส์ให้ใครๆ เค้านับหน้าถือตาพากันยกย่อง ทั้งที่คิมซอนอินก็เป็นได้แค่กาฝาก เกาะติดองค์ชายใหญ่แห่งฮานึลไม่ยอมปล่อย ไหนท่านลองบอกข้าสิ ว่าท่านมาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร?”
 
คำพูดทุกคำของเด็กสาวตีแสกหน้าคนฟังจนแตกละเอียด ไม่รู้ว่าองค์หญิงห้าผู้นี้รู้เรื่องราวของเขามากน้อยแค่ไหน ใช่สิ วังชอนซาอะไรนั่น สำหรับเขามันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครอ้างสิทธิ์เป็นตัวแทนเทพเจ้าได้หากผู้นำชนเผ่าไม่เห็นชอบ แล้วจากการที่เขาถูกลอบฆ่า ตัวเขายังจะเหลือสิทธิ์อะไรในการครองตำแหน่งสูงศักดิ์นี้อีก
 
...เหตุผลเดียวที่เขายังอยู่ที่นี่ ก็เพราะชองจีรยง
 
“ว่าอย่างไรเล่าคิมซอนอิน ท่านเป็นถึงบุตรชายของกษัตริย์ กลับลดศักดิ์ศรียอมอยู่ภายใต้อำนาจของแคว้นศัตรูอย่างว่าง่าย ท่านไม่นึกละอายใจบ้างเลยหรืออย่างไร? หรือความละอายในตัวท่านมันไม่เคยมีแต่แรก? นั่นสินะ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ทำตัวเหมือนหญิงสาวในหอนางโลมเช่นนี้หรอก”
 
แฮซูหยุดปลายเท้าตรงหน้าร่างบางที่สูงกว่าตน นางระบายยิ้มคล้ายสนุกเสียเต็มประดา ยิ่งเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ให้นึกสนุกมากขึ้นหลายเท่าตัว “ท่านควรประเมินตัวเองเสียใหม่นะ กับการที่มาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทจีรยงเช่นนี้ มันถูกต้องแล้วหรือ? ข้าเองก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับการที่มีท่านอยู่ที่นี่หรอกนะ แต่บอกตามตรงว่าข้ารู้สึกเกะกะขวางหูขวางตาที่มีท่านเหลือเกิน ที่ข้ามาพูดกับท่านก็เพราะอยากให้ท่านคิดให้ดีๆ ว่าอยากจะเป็นคนที่อยู่อย่างปิดบังเช่นนี้ตลอดไปหรือเปล่า วันข้างหน้า ต่อให้ไม่ใช่ข้าที่เป็นชายาเคียงคู่กับองค์ชายจีรยง แต่แน่นอนว่าข้ายอมเป็นสนมให้คนผู้นั้นได้อย่างเต็มใจ ส่วนท่าน...ก็ยังจะเป็นแค่คนที่อยู่ในตำหนักโยกันในส่วนของวังหลังเช่นนี้ เป็นวังชอนซาที่ถูกลืมเลือนยามที่แคว้นของท่านแต่งตั้งวังชอนซาคนใหม่ขึ้นมา”
 
เด็กสาวลากปลายนิ้วไล้โครงหน้าเรียวได้รูปของซอนอิน “...แล้วสักวัน ข้าแน่ใจเลยว่าองค์รัชทายาทจะต้องทรงเบื่อหน่ายบุรุษรูปงามอย่างท่าน ระหว่างหญิงที่มีบุตรให้ กับชายที่ทำให้ได้ก็แค่ความใคร่ คิดดูให้ดีก็แล้วกันว่าท่านยังสมควรอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า”
 
 
องค์หญิงอันแฮซูกลับไปแล้ว
 
ภายในห้องรับรองแขกเหลือเพียงแต่ความเงียบงัน ร่างบางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สิ่งที่เพิ่งได้ยินมาทำให้ร่างทั้งร่างไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ ทุกประสาทสัมผัสของร่างกายชาด้านไปหมด ในหัวหมุนคว้างราวกับถูกโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
 
 
ตัวเขาที่ยังยืนอยู่ที่นี่ ...ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องใช่ไหม
หัวใจที่มีเพียงแต่ชองจีรยง ...ไม่สมควรจะเกิดขึ้นใช่หรือเปล่า
 
คนอย่างเขา ไม่สมควรจะรักใครเลยสินะ...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ฮีอูวางตะกร้ากับข้าวลงบนโต๊ะไม้ภายในห้องครัว ตามด้วยไก่อีกสองตัวที่ถูกลอกขนออกไปจนเหลือแต่เนื้อสีชมพูน่าทาน ยกหลังมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้าด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพักหอบหายใจ
 
เหนื่อย!
 
อดจะโอดครวญไม่ได้ เดินขึ้นเขามาด้วยข้าวของพะรุงพะรังแบบนี้จะให้ทนยิ้มยังไงไหว ดวงตาเรียวสวยหันมองหม้อต้มยาข้างตัว ไฟที่จุดไว้ตั้งแต่เช้าตอนนี้มอดดับไปแล้ว เหนื่อยอีกแล้วไหมละ!
 
ร่างเล็กตบข้างแก้มตัวเองสองสามทีเป็นการเรียกกำลังใจและกำลังกาย เขาลุกขึ้นถลกชายแขนเสื้อ ก่อนหันไปหยิบฟืนเพื่อเตรียมจุดเตาไฟอีกครั้ง
 
ไม่นานนัก ยาในหม้อก็เดือดปุดๆ อย่างน่าพอใจ
 
ยาต้มสามถ้วย ซุปไก่เข้มข้นสองถ้วย ปิดท้ายด้วยน้ำสมุนไพรสีเขียวเข้มที่คนทำเองเห็นแล้วยังอยากจะอ้วกอีกหนึ่งถ้วยใหญ่ ถูกวางลงบนโต๊ะอาหารเรียงเป็นแถวน่ากระดานอย่างเรียบร้อย
 
“ขาดอะไรหรือเปล่านะ” ดวงหน้าน่ารักที่มีเค้าของความเหนื่อยล้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ปลายนิ้วก็ชี้ไปยังถ้วยบนโต๊ะเพื่อนับว่าทุกอย่างครบหรือยัง กำลังไล่นับไปด้วยความตั้งใจ พลันวงแขนปริศนาก็รวบเอวเล็กคอดของเจ้าตัวจากด้านหลังไม่ให้ทันระวังตัว จนเผลอร้อง “อ๊ะ” ออกมาเสียดังลั่น แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นใครเท่านั้นแหละ คนตัวเล็กก็จัดการสั่งสอนด้วยการหยิกแรงๆ บนท่อนแขนนั้นอย่างไม่ออมมือ
 
“อ๊ะๆ เจ็บ โอ้ย เจ็บๆ ขอโทษคร๊าบบบบ~”
 
“เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยนะมูฮยอน!”
 
“แหะๆ ก็เห็นพี่ฮีอูแล้วอยากกอดอ่ะ” เด็กหนุ่มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลบเกลื่อน
 
มูฮยอนขอโทษร่างเล็กอีกครั้งแล้วยกถาดไม้มาวางบนโต๊ะ จัดเรียงถ้วยชามทั้งหมดลงไปอย่างระมัดระวัง ระหว่างที่จัดการลำเลียงถ้วยซุปเด็กหนุ่มก็ชวนเจ้าของบ้านคุยเล่นไปเรื่อย ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้คนทั้งสองมีความสนิทสนมกันมากขึ้น จากแต่เดิมที่มูฮยอนเรียกร่างเล็กว่าคุณชาย ก็เปลี่ยนมาเรียกว่าพี่ฮีอู
 
“อี๋~ นี่พี่ฮีอูทำอะไรให้คนรักพี่ดื่มอ่ะ” เห็นน้ำเขียวๆ แล้วมูฮยอนก็ต้องหันหน้าหนี
 
“บอกว่าไม่ใช่คนรัก...สมุนไพรนี่จะช่วยให้เลือดที่คั่งอยู่ลดลงเร็วขึ้นน่ะ”
 
“อ๊ะๆ ไม่ใช่ก็ไม่ไช่” มูฮยอนพยักหน้าหงึกหงักรับคำ พลางประคองร่างสูงที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นอย่างเบามือเพื่อให้คนตัวเล็กได้ทำการกรอกยาได้ถนัด
 
ตอนเย็นของทุกวัน มูฮยอนจะแวะมาที่บ้านของฮีอูเพื่อช่วยดูแลร่างสูงที่เจ็บหนัก ในวันที่เกิดเรื่องคราวนั้น มูฮยอนมาถึงที่เกิดเหตุตอนที่ร่างสูงสลบไปแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ยังสามารถวิ่งลงเนินเขาด้วยทางลัดจนไปบอกกับผู้ดูแลหมู่บ้านได้ทัน ทำให้โจรทั้งหมดถูกรวบตัวจับส่งทางการได้อย่างฉิวเฉียด
 
“อ่ะ จริงสิ พี่ฮีอูมาจากในเมืองหลวงใช่ไหม?” เมื่อวางร่างหมดสติลงนอนตามเดิมแล้ว มูฮยอนก็หันไปหาคนตัวเล็กที่จัดเก็บถ้วยชามอยู่ข้างตัว
 
“อืม มีอะไรหรือ?”
 
“อย่างนี้พี่ฮีอูก็ต้องรู้จักวังชอนซาน่ะสิ! ข้าน่ะเคยได้ยินเค้าเล่าๆ กัน ไม่มีโอกาสไปในเมืองหลวงเลยไม่เคยได้เห็นเลย พี่ฮีอูเคยเห็นไหม?”
 
คำถามของเด็กหนุ่มทำเอาฮีอูชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบ “ถึงจะบอกว่ามาจากเมืองหลวงก็เถอะ แต่ผู้ที่เป็นวังชอนซาน่ะ ใช่ว่าจะมาเดินเปิดเผยหน้าตาให้ชาวบ้านได้เห็นกันเสียเมื่อไหร่”
 
“ว้า น่าเสียดาย ข้าล่ะอยากเห็นสักครั้ง นี่ก็ไม่รู้เนอะ ว่าองค์รัชทายาทจะส่งตัววังชอนซาคืนเชินอันเมื่อไหร่ ...ข้าได้ยินมานะ ว่าตอนที่วังชอนซามาถึงฮานึลปุ๊บ พายุฝนก็เทกระหน่ำลงมาจนไฟป่าดับไปเลย!”
 
“อยู่ๆ ทำไมเจ้าถึงถามเรื่องของวังชอนซาล่ะ?”
 
“อ้อ พอดีมีชาวบ้านต่างแคว้นที่เพิ่งแวะมาพักแรมที่หมู่บ้านเค้าถามหามาน่ะ ข้าก็เลยเพิ่งคิดได้ว่าที่แคว้นเรากำลังต้อนรับแขกคนสำคัญอย่างวังชอนซาอยู่”
 
“ชาวต่างแคว้น?”
 
“ช่าย~ ดูๆ ไปก็เหมือนพวกนักบวชมากกว่าจะเป็นชาวบ้านนะ”
 
คนของเผ่าชินซองหรือ? พลันสีหน้าของฮีอูเป็นกังวลขึ้นมา ตอนที่เขาพบร่างของยองจู ก็ดูเหมือนสถานที่ตรงนั้นมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง วังชอนซาที่น่าจะแลกตัวกับเขาเรียบร้อยแล้วก็ไม่อยู่ในที่ตรงนั้น เป็นไปได้ว่าองค์รัชทายาททรงรับตัววังชอนซากลับเข้าวัง เพราะข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวังชอนซาก็ไม่มีให้ได้ยิน ในเมื่อทางชินซองมาตามหาตัวเช่นนี้ ความเป็นไปได้นี้ก็น่าจะใกล้เคียงที่สุด
 
ถ้าอย่างนั้น ยองจูก็ต้องพยายามพาวังชอนซาออกมาจากวังหลวงน่ะสิ?
 
เขา ...จะถูกแลกตัวอีกครั้งหรือเปล่านะ
 
 
“พี่ฮีอูเป็นอะไร?” เห็นว่าเงียบไปนาน ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มก็ขยับเข้าใกล้พลางถามอย่างเป็นห่วง “ไม่สบายหรือเปล่า หลายวันมานี้ดูพี่เหนื่อยๆ นะ พักผ่อนเยอะๆ หน่อยสิ มีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”
 
“อืม เปล่า คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”
 
“ข้าว่าพี่น่าจะดื่มยาบำรุงสักหน่อยนะ มัวแต่ดูแลคนรัก เอ้ย ดูแลคนเจ็บอยู่เนี่ย ตัวเองจะแย่เอานะ”
 
“เข้าใจแล้วน่า” ร่างเล็กตีหน้าย่นใส่คนรู้ดี ก่อนจะลุกขึ้นยืน “มูฮยอนจะทานอะไรก่อนกลับไหม เดี๋ยวจะทำให้ทาน”
 
“ไม่เป็นไร พอดีแม่บอกว่าจะทำของโปรดของข้าตอนอาหารเย็นน่ะ สักพักข้าก็จะกลับแล้วล่ะ”
 
“ตามใจเจ้าละกัน ถ้างั้นจะไปดูอิงอิงก่อนกลับไหมล่ะ ตอนนี้อิงอิงเริ่มเดินได้แล้วนะ”
 
“จริงเหรอ! ไปๆๆ” พูดถึงอิงอิงขึ้นมา เด็กหนุ่มก็ยิ้มร่าหน้าบาน ก็ตั้งแต่แรกน่ะ คนที่คอยไปดูแลสุนัขจิ้งจอกที่เพิงไม้อยู่เสมอๆ ก็คือมูฮยอนนี่แหละ
 
พลบค่ำ หลังจากที่มูฮยอนขอตัวกลับบ้านไปแล้ว ฮีอูก็จัดการกับปากท้องของตัวเองภายในห้องครัว จากนั้นจึงเก็บกวาดเครื่องใช้และวัตถุดิบทำยาต่ออีกราวครึ่งชั่วยาม ถึงจะได้มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งพักหายใจหายคอได้บ้าง
 
อาจเป็นเพราะไม่ค่อยจะได้ทำงานใช้แรงงานหนักอย่างนี้มาก่อน พอทำไปสักพักร่างกายจึงเริ่มประท้วง ปวดไปหมดทั้งตัว คิดแล้วก็เพิ่งจะได้รู้ตัวว่าตนเองอยู่สุขสบายมากแค่ไหนที่ผ่านมา
 
ขณะที่นั่งทุบไหล่ตัวเองสลับไปมาซ้ายขวา เรื่องที่เพิ่งได้คุยกับมูฮยอนก็ไหลเข้าสู่กระบวนการคิดอีกครั้งจนได้ ไม่ต้องพักกันแล้ววันนี้
 
ฮีอูทอดสายตามองไปยังร่างสูงโปร่งที่นอนสลบอยู่บนเตียงอย่างเลื่อนลอย หากว่าเป็นอย่างที่เขาคาดเดาจริง ยองจูจะต้องพยายามหาหนทางพาคิมซอนอินออกมาจากวังหลวงเป็นแน่ เชื่อได้เลยว่า หากฟื้นขึ้นมาแล้วรู้เรื่องนี้เข้า เจ้าตัวคงไม่สนใจร่างกายตัวเองแล้วออกเดินทางทันที
 
จะปิดบังเอาไว้ดีหรือเปล่า ...ความคิดที่แล่นเข้ามาทำให้คนตัวเล็กอยากจะกัดลิ้นตาย เพื่อความรักแล้ว ถึงกับยอมโกหกเชียวหรือ? คิมฮีอู เจ้าจะถลำลึกไปกับความรู้สึกมากเกินไปแล้ว
 
 
เขาจะเสียใจก็ไม่เป็นไร ขอแค่ยองจูไม่เสียใจ ก็พอ...
 
 
“รีบๆ หายเข้าล่ะ คนที่ท่านอยากจะไปหากำลังรอท่านอยู่นะ ยองจู”
 
 
ดีที่สุดแล้ว ...เขาที่ทำเพื่อยองจูได้ทุกอย่าง ดีที่สุดแล้วจริงๆ...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

(ต่อ)

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
อ้าว จะออกศึกแล้วรึ คำตอบก็ไม่ตอบ ไม่ทำอะไรให้มั่นใจได้ซักอย่าง ถ้าซอนอินทำตัวเป็นนางพญาขึ้นมาก็คงดี จะได้เห็นจีรยงต้องหมอบแทบเท้า แต่เรื่องที่มีนักบวชเข้ามาก็น่าห่วง จีรยงก็จะออกศึก หวังว่าจะตามไปช่วยทัน ยองจูกับฮีอูนี่ก็ต้องลุ้นอีก

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :ling1: :ling1:
อยากอ่านต่อออออออ
สนุกมากเลยค่ะ
ชอบคู่รองมากๆ ชอบคนสู้ชีวิตแบบฮีอู

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด