7
“หลับสบายดีไหมเรา” คุณพิกุลเอ่ยทักทายลูกชายคนสนิท ที่ตอนนี้ต้องเป็นของลูกชายของเธออีกคน อัษฎาเดินออกจากห้องด้วยความเบลอนิดๆ พอเจอหน้าเจ้านายของแม่ก็รีบยกมือไหว้ตามความคุ้นชิน “ไม่ต้องไหว้หรอก อัดเป็นลูกของฉันอีกคนแล้วนี่นะ คิดซะว่า ฉันเป็นแม่อีกคนแล้วกัน”
“ครับคุณนาย”
“แน่ะ เรียกว่าแม่สิ เรียกคุณนายอะไรกันหืม เราน่ะ”
“ครับ คุณแม่” ไม่คุ้นปากซะจริง อัษฎาเม้มริมฝีปากแน่น ปกติเคยแต่เรียกแม่ตัวเอง หรือมีบ้างที่เรียกแม่ของเพื่อนสนิทว่าแม่
“แล้วพี่เขาล่ะ ยังไม่ตื่นอีกหรือ” คุณพิกุลเอ่ยถามหลังจากจิบกาแฟหอมกรุ่นแล้ว
“เข้าไปในไร่ตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ” นาฬิกายังไม่ทันบอกเวลาตีสี่ซะด้วยซ้ำที่ใหญ่ออกไปจากห้อง
“ช่วงนี้คงรีบทำงาน มานั่งนี่สิอัด” แม่คนที่สองเอ่ยขึ้น ทำให้ต้องเดินไปนั่งข้างๆ “พี่เขาน่ะนะ เมื่อก่อนไม่ได้ปากร้ายขนาดนี้ ตั้งแต่หนูพิณ เอ่อ ภรรยาพี่เขาเสีย เลยกลายเป็นคนเก็บตัว อารมณ์ก็ร้อน ขี้โมโหอีก ถ้าพี่เขาพูดหรือทำอะไรให้ขัดเคืองใจละก็ ให้อภัยพี่เขาด้วยนะลูก” คุณพิกุลคงกลัวอัษฎาจะขัดเคืองในสิ่งที่ลูกชายคนโตทำ
“ครับ” แม้จะตอบรับแต่ก็ยากที่จะปฏิเสธว่าไม่ได้โกรธหรือโมโห บางทีการกระทำก็เกินเหตุ จะไม่ให้ฉุนเฉียวเลยก็คงไม่ได้
“ทานข้าวเช้านะ แม่ให้เขาเตรียมไว้แล้ว” บอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเช่นเดียวกับแม่แท้ๆ
ระหว่างมื้อเช้ากำลังจะเริ่ม เล็กเดินสะโหลสะเหลออกมา ดูท่าคงจะนอนไม่เต็มอิ่ม หากไม่ได้กลิ่นละมุดที่ติดตัวออกมาด้วยคงจะคิดว่าทำงานจนดึกแน่แท้ คุณพิกุลจ้องหน้าลูกชายคนเล็กอย่างเคืองขุ่น
“เมื่อวานดื่มหนักล่ะสิ” เสียงเข้มจากมารดาทำเอาคนดื่มหนักยิ้มแหยๆ
“นิดหน่อยครับ ก็งานแต่งพี่ใหญ่ทั้งที” เล็กว่า สายตาเหลือบมองพี่สะใภ้ตัวเองที่เป็นผู้ชาย “คุณพี่สะใภ้หลับสบายหรือเปล่าครับ หรือว่าจ้ำจี้...”
“เล็ก! ไปพูดแบบนั้นได้ยังไง” คุณพิกุลรีบพูดขัดเมื่อเล็กพูดล้ำเส้นเรื่องส่วนตัวเกินไป
“ไม่เป็นไรครับ ผมนอนหลับสบายดีครับคุณเล็ก” อัษฎายิ้มให้คุณพิกุลก่อนตอบน้องชายของใหญ่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณเล็กนั่นแหละครับ ดื่มมากหากเป็นอะไรขึ้นมา ไม่สงสารน้องต้นหรือครับ” คำพูดของพี่สะใภ้เล่นเอาคนเอ่ยแซวหยุดกึก มือที่เอื้อมไปหยิบพริกไทยป่นถึงกับค้างเติ่ง
“นั่นสิ ดื่มเยอะๆ จะตายเร็ว ลูกแกก็จะขาดทั้งพ่อ ขาดทั้งแม่” อดไม่ได้ที่จะว่าให้ลูกชายคนเล็ก คุณพิกุลหน้านิ่งเมื่อเห็นลูกชายเอาแต่ก้มหน้า
“ผมขอโทษครับ” น้ำเสียงเสียใจปนอยู่จนคนที่มองทั้งสองรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“กินๆ ข้าวต้มจะเย็นแล้วนั่น”
การพูดคุยเริ่มกลับเป็นปกติ เล็กยังเอ่ยแซวพี่สะใภ้อยู่เนืองๆ แม้แม่จะปรามบ้างเมื่อพูดเกินไป แต่อัษฎาก็ยิ้ม จนมีคนเดินหน้าง้ำงอเข้ามานั่งด้วย การสนทนาทุกอย่างเลยชะงัก ใหญ่นั่งกอดอกเอนหลังพิงพนัก ดวงตาดุจ้องหน้าน้องชาย แม่และภรรยามาดๆ ของตัวเอง โดยเฉพาะคนสุดท้ายที่มีขมวดคิ้วร่วมอยู่
“กินข้าวไหมครับ” อัษฎารู้สึกกดดันขึ้นมาเมื่อถูกจ้องเลยเอ่ยถาม
“เออ หิวจะตายอยู่แล้ว” น้ำเสียงดุดันแต่แฝงความน้อยใจอัษฎารู้สึกได้ คนถูกดุยิ้มนิดๆ ก่อนลุกไปเตรียมชามพร้อมตักข้าวต้มให้ ทุกอย่างที่อัษฎาทำ ใหญ่จะจ้องมองอยู่ตลอด ขนาดที่ว่า ถูกแม่และน้องจ้องกลับยังไม่สังเกต หากเล็กไม่เอ่ยออกมา ใหญ่ก็ยังคงจ้องภรรยาคนใหม่ไม่วางตาแน่
“นี่พี่ใหญ่กะจ้องพี่สะใภ้ให้พรุนเลยหรือไง” เอ่ยหยอกพร้อมเสียงล้อ ยังมีคุณพิกุลที่ขำไปด้วยจนใหญ่ต้องรีบปั้นหน้านิ่ง
“ใครจ้อง” ยังมีหน้ามาปฏิเสธ เล็กขำพรืดให้กับท่าทางฟอร์มจัดของพี่ชาย
“ไม่มีใครจ้องหรอก ผมกับแม่คงตาฝาด เนอะแม่” เล็กหันไปพยักพเยิดกับแม่เลยได้เสียงหัวเราะร่วนกลับมา
“ไร้สาระ” ใหญ่ว่า มือก็เริ่มจ้วงกินข้าวต้มจนลืมว่ามันร้อนจัด แค่เข้าปากก็ต้องรีบคายออกมา “ร้อนๆ”
“คุณใหญ่ไม่เป่าก่อนเล่า” อัษฎารีบหยิบทิชชู่ส่งให้ พร้อมช่วยเช็ดตามโต๊ะเมื่อบางส่วนถูกพ่นออกมา
“ทำไมไม่บอกว่ามันร้อน” ยังมีหน้ามาโทษคนอื่น อัษฎาคิด
ใหญ่ท่าทางฉุนเฉียวแต่ก็ดูไม่ได้จริงจัง คงอยากเรียกร้องความสนใจมากกว่า คุณพิกุลจ้องลูกชายคนโตกับสะใภ้อย่างพิจารณา แม้จะดูไม่เข้ากันเท่าไหร่ แต่มีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า อีกไม่นานพวกเขาจะรักกัน...แม้ไม่รู้เมื่อไหร่ก็ตาม
“ผมขอโทษ” อัษฎาเอ่ยออกมา คนถูกข้าวต้มลวกปากทำหน้าบึ้ง คงรู้ตัวว่าคนขอโทษไม่ได้ผิดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ฟอร์มจัด
“พี่ใหญ่นี่นะ ทำตัวเหมือนลูกชายผมเลย” เล็กที่มองดูอยู่แล้วรีบขัดขึ้น
“เหมือนยังไง” ถามกลับเสียงเขียว
“ก็เอาแต่ใจแถมเรียกร้องความสนใจไง” ใหญ่หน้าหุบเมื่อได้ยิน แต่จะลุกออกจากโต๊ะก็รู้สึกแปลกๆ เมื่ออัษฎากำลังใช้ช้อนคนข้าวต้มพร้อมเป่าคลายร้อนชามของเขา “นั่นแน่ะ ไม่เถียงด้วย”
“เงียบไปเลย”
“นี่ครับ น่าจะคลายร้อนแล้ว” ใหญ่จ้องชามข้ามต้มก่อนจะเริ่มกิน มันไม่ค่อยร้อนอย่างตอนแรกแล้วจริงๆ พอคำแรกผ่านไป คำต่อๆ ไปก็ตามมาติดๆ พอรู้สึกตัวอีกทีข้าวต้มชามใหญ่ก็หมด
“คงอร่อยมากสินะ” คุณพิกุลมองดูลูกชายจัดการข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย แต่ข้าวต้มก็เหมือนกับทุกวัน ใหญ่แทบกินแค่ครึ่งชามด้วยซ้ำหากเป็นทุกที แต่ข้าวต้มมื้อนี้ตักเต็มชามถูกจัดการไม่เหลือ แบบนี้คงไม่ใช่ข้าวต้มอร่อยแล้วล่ะ คงเพราะคนนั่งข้างๆ ทำให้เจริญอาหาร
“งั้นๆ แหละครับ” เหมือนจะรู้สึกตัวว่าถูกจ้อง ใหญ่รีบวางช้อนแล้วทำหน้านิ่งกลบเกลื่อนความเขิน จะว่าไป นี่เขากินเรียบไม่เหลือสักเม็ดแบบนี้ได้ยังไง ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง คงเพราะเข้าไร่เช้าเลยหิวแน่ๆ น่าจะเป็นเหตุผลนี้แหละ
มื้อเช้าจบลง คุณพิกุลก็ขอตัวกลับรีสอร์ทในตัวเมืองพร้อมหลานชายที่เพิ่งตื่นนอน คงจะนอนดึกพร้อมพ่อตัวเองแน่ๆ พอคิดแล้วก็อยากหยิกลูกชายคนเล็กให้เนื้อเขียว
อัษฎาเข้าไปในไร่ก่อนเพราะไม่อยากถูกบ่น เพราะตอนลุกจากโต๊ะกินข้าวก็ถูกบ่นว่านอนกรนไปที นี่เขาไม่ได้นอนกรนสักนิด หากอัดเสียงได้จะเอาให้ฟังเลยว่าเป็นเสียงใครกันแน่ที่กรนจนคนอื่นนอนไม่ได้
ขายาวก้าวเข้าไปเหยียบในโรงคัดแยกดอกดาวเรือง พวกสาวๆ ที่นั่งคุยกันอยู่ก็เงียบลงถนัดตาจนบรรยากาศเริ่มแปลกๆ อัษฎาเดินยิ้มแย้มเข้าไปทักทายเช่นเดิม หากทุกคนกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมพูดคุย
“เป็นอะไรหรือครับ” ทนไม่ได้ที่จะไม่ถาม
“เอ่อ คุณนาย คือ...” แค่เริ่มต้นก็รู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียแล้ว อัษฎาขมวดคิ้วแล้วจ้องหน้าทุกคน
“ผมคือน้องอัด ไอ้อัด พี่อัดของทุกคนเหมือนเดิมนั่นแหละครับ ไม่ใช่คุณนงคุณนายอะไรเลย คุยกับผมแบบเดิมเถอะครับ” น้ำเสียงอ้อนวอนตามหลังทำเอาสาวๆ ที่นั่งก้มหน้าต่างสบตากันเป็นแถวๆ
“แต่ถ้าคุณนายใหญ่รู้ พวกเราจะถูกตัดเงินเดือน...”
“คุณนายใหญ่ไม่ว่าอยู่แล้วครับ ไม่มีใครว่าอะไรเลย ผมก็ยังเป็นผม” บอกพร้อมรอยยิ้ม
“ได้ค่ะ แต่คุณนาย เอ้ย น้องอัดจะไม่ว่าพวกพี่ทีหลังใช่ไหมคะ”
“ไม่อย่างแน่นอนครับ”
คนงานสาวๆ พากันถอนหายใจออกมาคนละเฮือกสองเฮือก เพราะตอนเจอหน้ากัน ทุกคนต่างก็พูดคุยเรื่องที่ต้องเจอหน้าภรรยาคนใหม่ของเจ้านาย ต่างก็ไม่รู้จะวางตัว วางท่าทีอย่างไรด้วย หากพูดธรรมดาด้วยก็กลัวถูกกล่าวหาว่าเล่นหัว เลยพากันนิ่งเงียบใส่อย่างเช่นคราวแรกที่อัษฎาเดินเข้ามา
“พวกเราขอถามหน่อยได้หรือเปล่าคะ” แม้จะพูดคุยเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็คงไม่สมควรพูดห้วนๆ เลยต้องสุภาพสักหน่อย ป้าจันยื่นหน้าไปถามภรรยาของเจ้านายด้วยความใคร่รู้ ดูเหมือนทุกคนก็คงอยากจะรู้เช่นกัน อัษฎายิ้มพร้อมพยักหน้าทำให้ป้าจันหันซ้ายหันขวาก่อนจะถาม “ทำไมคุณถึงแต่งงานกับคุณใหญ่หรือคะ”
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอกครับ เรียกอัดเหมือนเดิมดีกว่า” รู้สึกขัดๆ กับการถูกคนสนิทเรียกว่าคุณ
“ก็ได้ๆ ทำไมอัดถึงแต่งงานกับคุณใหญ่ล่ะ” ป้าจันถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ที่เคยได้ยินมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” คำถามอีกแบบจากป้าน้อมที่แทรกเข้ามา อัษฎาและทุกคนหันไปมอง “ก็ที่เขาบอกว่า ตอนสมัยไร่ยังเล็กๆ คุณนายใหญ่เชิญหมอดูมาทำนาย แล้วเขาก็บอกว่า ทั้งคุณใหญ่คุณเล็กต้องมีคนใดคนหนึ่งมีคู่ผิดปกติ”
“ผิดปกติยังไงป้าน้อม” แก้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “หรือว่าต้องพิการ?”
“พิการอะไรของเอ็งนังแก้ว คู่ผิดปกติก็แบบ ชายกับชาย เหมือนที่คุณใหญ่แต่งงานกับตาอัดนี่ไง” คำพูดของป้าน้อมทำเอาคนงานสาวๆ ตาโต ก่อนหันไปจ้องอัษฎา “ใช่ไหม”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ” ตอบแบบนี้คงจะดีที่สุด อัษฎายิ้มให้กับทุกคนที่ทำหน้าเบ้เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ
การทำงานที่ยังสนุกสนานจากการพูดคุยทำลายความตึงเครียดไปได้จนหมด ทุกคนดูจะลืมด้วยซ้ำว่าชายหนึ่งเดียวของที่นี่เป็นสะใภ้ของไร่ บางคนยังพูดจาเล่นหัวราวกับอัษฎาเป็นคนงานคนหนึ่งไ แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีโกรธเคือง เขารู้สึกชอบที่นี่ แม้งานจะหนักกว่าที่เก่ามากโข แต่ทำแล้วมีความสุข จะทำให้รู้สึกคลายเหนื่อย
อย่างที่เขาบอก คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก คงจะคล้ายๆ เช่นนี้
เวลาเดินเร็วราวกับติดปีก มองนาฬิกาข้างผนังอีกทีก็เที่ยงซะแล้ว ทุกทีอัษฎาจะเดินไปกินกับแม่ที่ครัว แต่วันนี้ ทุกคนทำกับข้าวมาน่ากินทุกอย่าง อย่างน้ำพริกอ่อง น้ำพริกปลาทู หรือแม้แต่ยอดฟักทองผัดไข่ก็ยังดูน่าทาน สาวๆ ทั้งหมดชวนอัษฎากินด้วยกัน เด็กหนุ่มจึงขอฝากท้องมื้ออร่อย
ความอร่อยมาพร้อมกับความสุข บรรยากาศทำให้ยิ่งเจริญอาหาร ข้าวในจานพร่องจนเกือบหมดหากประตูโรงงานไม่ถูกกระชากออก คนเปิดตีหน้ายุ่ง ดวงตาคมกวาดมองไปรอบๆ จนเจอคนที่ตามหา อัษฎาที่รู้สึกถึงความเกร็งของเพื่อนร่วมงานจึงเอ่ยขอตัวพร้อมกับดึงแขนเจ้าของไร่หน้าดุให้พ้นเขตโรงงาน พอเดินออกมาหน่อย ใหญ่ก็เริ่มโวยวาย
“นี่มันกี่โมงแล้ว ฉันกับไอ้เล็กรอกินข้าวอยู่” น้ำเสียงไม่พอใจจากคนรอกินข้าวจนต้องออกมาตามหาซะเอง
“ผมต้องไปกินข้าวกับคุณใหญ่ด้วยหรือครับ” ถามออกไปด้วยความไม่รู้ กลับได้เสียงจิ๊จ๊ะตอบกลับมา
“เออ ก็นายเป็นเมียฉะ...เมียเจ้าของไร่ ก็ต้องไปกินที่ออฟฟิตสิ” คนตาดุรีบเสหน้ามองไปทางอื่น อัษฎาเลยโค้งศีรษะขอโทษนิดๆ
“ขอโทษครับ ต่อไปผมจะรีบไป”
“รู้แล้วก็รีบไป ฉันหิว” คนหิวกำลังจะเดิน หากคนถูกตามหากลับยังยืนอยู่ที่เดิม
“แต่ผมอิ่มแล้ว...” อัษฎาบอก ดวงตากลมกระพริบปริบๆ
“แต่ฉันยังไม่ได้กิน” แม้ที่ได้ยินจะฟังดูแปลกๆ แต่อัษฎาก็เลือกที่จะเดินตามในที่สุด ท้องไม่ติดกันสักหน่อย
ประตูออฟฟิตเปิดออก เล็กเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมองพี่ชายที่เดินหน้าบึ้ง มีพี่สะใภ้เดินตามหลังด้วยใบหน้าแปลกๆ คล้ายกับสงสัยหรือสับสนบางอย่าง
“มาแล้วเหรอ” เล็กรีบทักทายเพราะดูพี่ชายจะอารมณ์บ่จอย
“ครับ ขอโทษที่ปล่อยให้คุณเล็กรอ” อัษฎาเลื่อนเก้าอี้นั่งข้างคนหน้าบึ้ง เล็กเดินยิ้มออกมานั่งฝั่งตรงข้ามดวงตาจ้องพี่ชายที่เก๊กขรึมอย่างน่าหมั่นไส้
“ผมก็ยังไม่ค่อยหิวหรอกครับ ปกติก็กินช้าตลอด แต่ไม่รู้ทำไมมื้อนี้คนกินช้ากว่าถึงอยากกินตรงเวลาก็ไม่รู้” น้ำเสียงเชิงล้อทำเอาใหญ่ถลึงตาใส่ อัษฎาขำเบาๆ มือก็คอยตักข้าวใส่จานแจกจ่าย “ทำไมตักน้อยจังครับ” ถามเมื่อข้าวในจานอัษฎามีแค่นิดหน่อย
“พอดีผมทานมาบ้างแล้วครับ”
“พูดมาก กินๆ หิวจะตายอยู่แล้ว” ใหญ่พูดแทรกออกมาทำให้คนคุยกันอยู่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ
ท่าทางคนหิวจัดกินไม่เร่งรีบสักนิด หรือกับข้าวไม่อร่อย มื้อนี้เป็นต้มยำไก่แล้วก็ผัดผักรวม ดูแล้วก็น่าอร่อยจะตาย อัษฎาชิมทุกอย่างรสชาติไม่มีที่ติเช่นทุกครั้ง ขนาดเล็กยังทานไวกว่าคนบ่นหิวซะด้วยซ้ำ
“คุณใหญ่ไม่ชอบกินเหรอ” ถามออกมา แต่ได้สายตาเหล่มองเป็นคำตอบ “ลองนี่สิ ผมว่าอร่อย” นี่ของอัษฎาคือถั่วลันเตา พอถูกวางในจาน ใหญ่ใช้ช้อนเขี่ยไว้ด้านข้างทำให้คนตักให้ยักไหล่และสนใจจานตัวเองแทน พอเห็นว่าไม่มีใครมอง ช้อนข้าวก็ถูกยกขึ้นอย่างไวพร้อมถั่วลันเตา
เพราะไม่สังเกตว่าถูกจับตามองจากคนตรงข้าม ใหญ่เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว คนเป็นน้องเมื่อเห็นก็ไม่กล้าหัวเราะ กลัวพี่ชายจะเก๊กหน้าทำฟอร์มจัดอีก เลยปล่อยเลยตามเลย พยายามก้มหน้าแต่แท้จริงยังจับท่าทางของพี่ชายอยู่
“อัดไม่ตักต้มยำไก่ให้พี่ใหญ่บ้างล่ะ ขานี้เขาชอบกินตับไก่มากเลยนะ ไม่รู้แม่ครัวเขาจะตักมาให้หรือเปล่า” เล็กรีบเสนอ ไม่สนพี่ชายจะถลึงตาใส่
“ตับไก่เหรอ เมื่อกี้ผมเห็นนะ” คนถูกบอกไม่รู้อะไร มือก็รีบหยิบช้อนกลางแล้วคนหาจนเจอ ตับไก่ชิ้นโตถูกตักใส่จานที่เคยปฏิเสธถั่วลันเตา อัษฎามองหาผักอร่อยที่ตักให้แต่ไม่ยักจะมี หรืออาจถูกเขี่ยทิ้งไปแล้ว
“ยุ่งจริง” ใหญ่แขวะน้องชาย มือก็ใช้ส้อมจิ้มตับไก่กิน ท่ามกลางเสียงขำของเล็ก และอัษฎาที่มองสองพี่น้องแบบสงสัยปนงงงวย
มื้อเที่ยงจบเอาจวบบ่าย อัษฎาเก็บปิ่นโตและจานข้าวไปวางไว้ที่อ่างล้างเพื่อรอแม่บ้านมาเก็บ ตอนแรกเสนอตัวล้างให้ แต่เล็กรีบห้ามและบอกว่าอีกเดี๋ยวบ้านบ้านจะมาเก็บไปล้างเอง อัษฎาเลยเปลี่ยนใจขอตัวกลับไปทำงาน เล็กหัวเราะนิดๆ แล้วอนุญาตเมื่อเห็นพี่ชายยังนั่งก้มหน้าอ่านเอกสารในแฟ้ม มันคงจะไม่น่าขำถ้าหากแฟ้มนั้นถูกเซ็นแล้วเรียบร้อย
เมื่ออัษฎาไปแล้ว เล็กก็ลุกจากหน้าคอมพิวเตอร์มานั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของพี่ชาย ที่เห็นอยู่ว่าแอบมองตามหลังภรรยาคนใหม่ไป และเมื่อเห็นน้องชายมานั่ง ใหญ่ก็กระแอมแล้ววางแฟ้มลง
“อะไร” ถามด้วยน้ำเสียงที่ห้วน
“พี่ใหญ่นี่นะ”
“อะไรของแก”
“ลดลงซะบ้างไอ้ฟอร์มจัดเนี่ย” อดไม่ได้ที่จะว่า เล็กเริ่มรู้สึกเห็นใจพี่สะใภ้ซะจริง
“ฉันฟอร์มจัดที่ไหน” ใหญ่ไม่ยอมรับ แถมยังยกแฟ้มขึ้นมาทำเหมือนว่ายุ่ง
“แฟ้มนั่นไม่ต้องอ่านแล้วละมั้งครับ” คนถูกรู้ทันรีบวางแฟ้มลงพลางกระแอมกลบเกลื่อน “พี่ไม่เห็นใจอัดเขาเหรอ ถูกพี่บ่นบ้าง ด่าบ้าง ที่จริงมื้อเที่ยงนี้เราแทบจะกินตอนบ่ายด้วยซ้ำ” เล็กว่า เพราะใกล้เที่ยงพี่ชายเปิดประตูเข้ามาแล้วก็นั่งจ้องนาฬิกา พอถึงเที่ยงตรงก็เอาแต่มองประตู ครั้นพอผ่านไปไม่กี่นาทีก็เริ่มกระวนกระวายเดินไปเดินมา ยิ่งพอเที่ยงครึ่งยิ่งทำหน้าเหมือนไม่พอใจหนัก ปากก็บ่นทำไมยังไม่มา สุดท้ายคงทนไม่ไหวเลยออกไปตาม แบบนี้ไม่เรียกฟอร์มจัดแล้วจะให้เรียกว่าอะไรกัน
“เห็นใจ? ทำไมต้องเห็นใจ ฉันไม่ได้ไปกินหัวเขาสักหน่อย”
“เฮ้อ ตามใจพี่ละกัน แต่ผมขอเตือนไว้นะ ขืนพี่ทำแบบนี้มากๆ เข้า เขาทนไม่ได้หนีไปพี่จะรู้สึก” เล็กบอกทิ้งท้ายแล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง จากตายว่าทรมานแล้ว จากเป็นเช่นเขาทรมานยิ่งกว่า เล็กไม่อยากให้พี่ชายต้องมานั่งเสียใจแบบตัวเอง
หลังจากน้องชายเดินไปแล้ว ใหญ่ขมวดคิ้วคิดถึงคำพูด แม้เขาจะปากร้าย อารมณ์ร้อน แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรสักหน่อย แล้วเด็กนั่นก็ไม่ได้มีท่าทีจะโวยวาย ก็ที่บ่นมันเรื่องจริงทั้งนั้น...มั้ง
ใหญ่ยกมือขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิง ความคิดกำลังสับสนจนนั่งต่อไม่ได้ ขายาวรีบก้าวออกจากออฟฟิต จุดหมายคือในไร่ พอไปถึงก็รีบทำงานนั่นนี่ ทำตัวให้ดูยุ่ง แต่สมองกลับมีแต่คำพูดน้องชายเต็มไปหมดจนน่าหงุดหงิด
“เออคุณใหญ่ครับ” ลุงเหมือนรีบขัดขึ้นมาจนคนที่ขยันทำงานหันมามองตาดุ
“อะไร” ถามกลับเสียงดัง ทำให้คนงานแถวนั้นตกใจ
“องุ่นพวงนั้นยังตัดไม่ได้นะครับ” ลุงเหมือนชี้ไปที่พวงองุ่นที่อยู่ในมือใหญ่ข้างหนึ่ง อีกข้างกำลังจะลงน้ำหนักมือเพื่อตัด พอเห็นว่าองุ่นยังเล็กและเขียวก็รีบปล่อย
“ทำไมยังไม่สุกวะ” คล้ายกับพาลลงองุ่น ใหญ่ยื่นกรรไกรคืนหัวหน้าคนงานแล้วเดินออกจากไร่ทันที สร้างความสงสัยให้แก่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ เพราะไม่รู้เจ้าของไร่ไปอารมณ์เสียจากที่ไหนมาจนทำให้ไม่มีสมาธิ
อารมณ์ร้อนเช่นนี้ต้องหาวิธีดับ ใหญ่เลือกจะขับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เข้าไปในป่า น้ำตกเย็นๆ คงจะดับความร้อนในใจลงได้บ้าง นี่เขาเป็นบ้าอะไรอยู่ ไม่เคยร้อนขนาดนี้มาก่อน เพราะอัษฎากับคำพูดของน้องชายนั่นทีเดียว
“โมโหโว้ย” พูดจบ ร่างกำยำก็พุ่งลงน้ำทันที ผืนน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ร่างสูงดำอยู่ในน้ำนานสองนานจนเริ่มสงบลงถึงโผล่พ้นน้ำขึ้นมา หากความสงบกลับถูกรบกวนจากคนที่ทำให้ต้องมาหาความเย็น “มาทำไม” เสียงตะคอกถามคนที่ยืนอยู่บนฝั่ง
“แม่ให้มาถามว่า คุณใหญ่จะกินต้มส้มปลา หรือปลาเผาดี” อัษฎาเอ่ยถามออกมา ที่ตามมาทันเพราะเห็นใหญ่ขับมอเตอร์ไซค์พุ่งมา เขาก็รีบขอยืมอีกคันจากคนงานที่เพิ่งขับมาจอด แม้จะไม่ใช่คันที่ไต่ตามเขาได้ เลยต้องจอดทิ้งไว้ชายป่าแล้ววิ่งเข้ามา เหงื่อจึงท่วมกายทำให้เสื้อสีขาวเปียกชุ่มจนเห็นรูปร่างชัดเจน คนที่สงบแล้วเผลอมองรูปร่างบอบบาง แม้ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเช่นผู้หญิง แต่ดวงตาก็มิอาจหันหนี “คุณใหญ่”
“มานี่” ใหญ่กวักมือเรียกอัษฎาไปใกล้ฝั่ง มือกร้านยื่นมาตรงหน้า คงจะให้ช่วยฉุด แต่พอมือนิ่มยื่นไปจับไม่ทันไรก็ถูกแรงมหาศาลดึงจนต้องพุ่งลงไปในน้ำ
คนที่ลงน้ำไม่ทันตั้งตัวรีบตะกายจนพ้นผิวน้ำ ปากแดงไอคอกแค่กเมื่อสำลักน้ำไปมาก อัษฎาตวัดสายตามองอย่างขุ่นเคือง คนที่ทำยังลอยหน้าลอยตาหัวเราะ จนต้องวักน้ำใส่
“นี่” น้ำที่พุ่งเข้ามาขณะอ้าปากเลยพลอยกลืนเข้าไป
“สม” ไม่มีการขอโทษจนคนต้องกลืนน้ำตกโผเข้าไปหา แม้อัษฎาจะหลบได้แต่ก็ไม่รอดพ้น แขนยาวยื่นไปล็อกคอจากด้านหลังแล้วลากไปมา “คุณใหญ่ผมเจ็บ” อัษฎาพยายามดิ้นแต่คนที่ล็อกคอไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย เสียงหัวเราะยังดังอยู่ชิดใบหู
“ไม่” คนปฏิเสธยังคงรู้สึกสนุกที่ได้แกล้ง กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังกอดอัษฎาอยู่ก็ตอนที่คนตรงหน้าเอียงแก้มมาชนกับปาก
คล้ายกับเวลาหยุดเดิน ดวงตาสองคู่สบกันอยู่เนินนาน แก้มขาวเนียนและหอมเมื่อได้อยู่ใกล้ ปากแดงที่เจ้าตัวเผลอแลบลิ้นเลียยิ่งดูน่าหลงใหล เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วกับเสียงน้ำตกที่กระเซนแทบถูกลบเลือน ทุกอย่างดูหยุดนิ่ง แต่มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว ดวงตาดุจ้องริมฝีปากแดงอิ่มเนิ่นนานและคงไม่รู้ตัวว่ากำลังยื่นหน้าเข้าไปใกล้
...ริมฝีปากแดงถูกประกบชิด ดวงตากลมค่อยๆ หลับตาลง ความนุ่มนวลอ่อนโยนยามปากหนาขยับจูบ ท่าทางที่เอี้ยวผิดธรรมชาติหมุนกลับมา มือขาวจับบ่าหนาไว้แน่น พอๆ กับมือกร้านที่โอบรอบเอวบางไว้แล้วออกแรงดึงเข้ามาแนบชิด
บรรยากาศเป็นใจทำให้เผลอใจไป กว่าจะรู้ตัวใหญ่ก็รีบผลักคนในอ้อมกอดออก หน้าคมก้มงุดแล้วรีบว่ายกลับขึ้นฝั่ง หัวที่ปียกน้ำสะบัดไปมาหาเหตุผลที่เผลอจูบไป เพราะปากแดงนั่นยั่วเขาเอง กะจะมาหาอะไรเย็นๆ ดับ แต่นี่กลับยิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก
อัษฎาที่ถูกทิ้งเคว้งอยู่ท่ามกลางน้ำตกยังยืนนิ่ง ตกใจ ใช่ เขาตกใจ ไม่คิดว่าจะถูกจูบ สติสตังเริ่มกลับมาเต็ม ชายหนุ่มรีบว่ายขึ้นฝั่ง เสื้อผ้าเปียกโชกนั่นไม่น่าห่วงเท่าโทรศัพท์มือถือที่เปียกน้ำไปด้วย อัษฎาเดินย้อนกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ ตอนนี้รู้สึกไม่กล้ามองหน้าใหญ่เลย ไม่รู้จะทำหน้ายังไง แต่ที่แน่ๆ
...เจ้าของไร่ตาดุช่างจูบเก่งมากจริงๆ
...TBC ขอโทษที่หายไปนานค่า พอดีกำลังคลานเป็นหอยทากปั่นตอนพิเศษกลอยประเกรียนลงเล่มอยู่ เลยอาจหายไปบ้าง โปรดให้อภัยด้วยค่าาา
