Just you and I : 31
“ไอ้กลอย มึงหัดทำเพื่อส่วนรวมบ้างค่ะ อย่าเอาเปรียบและเบียดเบียนผู้อื่นให้มากนัก” ผมกำลังถูกเทศนาโดยอีเข็มครับ หลังจากเจอหน้ามันก็โวยวายเรื่องมันเป็นสปายให้พี่โช แต่พอหลังจากนั้นมันก็ไปบอกไอ้ประธานรุ่นส่งงานให้ผมทำ มันแก้แค้นผมอยู่ใช่มั้ย
“โธ่ มึง หน้าอย่างกูเนี่ยนะ”
“ค่ะ หน้าแมวๆ อย่างมึงนี่แหละ อย่าเยอะ”
งานที่ผมต้องทำคือการไปเป็นพี่ตีเนียนพร้อมรุ่นน้องเพื่อปะปนไปกับเด็กปีหนึ่งที่กำลังจะเข้ามา ที่จริงงานนี้ควรมีแต่ปีสองไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมปีสามอย่างผมต้องทำด้วย ปีที่แล้วก็ผมนี่แหละครับ ไปตีสนิทกับกลุ่มไอ้รอนเลยโดนมันตามเล่นหัวอยู่ทุกวันนี้
“ทำไมมึงไม่ให้เด็กปีสองไปสองคนละวะ” ไอ้ทูถามครับ ไอ้เชี่ยนี่ลอยตัวไม่ต้องทำอะไร ส่วนไอ้สักมันเป็นพี่ว้าก แต่คณะผมมันว้ากไม่โหดแต่เน้นฮา เอาไอ้สักไปปั้นหน้าโหดก็พอ ตอนนี้มันเริ่มไว้หนวดตามคำสั่งท่านประธานรุ่น
“ปีสองก็ส่วนหนึ่ง ปีเราก็ส่วนหนึ่ง จะได้รู้อะไรเยอะขึ้นไงคะดอก อย่าถามมาก เซนต์เลยค่ะ อย่าเวิ้น” อีเข็มยื่นเอกสารให้ผมลงชื่อ ปีสามขออยู่แบบสงบๆ หน่อยไม่ได้หรือไงวะ สายตาโหดกดดันให้ผมเขียนชื่อตัวเองลงไปท้ายชื่อน้องปีสอง “เรียบร้อย” พอได้สมใจมันก็ถีบหัวผมส่ง
เรื่องสปายผมไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย โคตรไม่ยุติธรรม
“เอาน่ามึง หน้ามึงให้อยู่แล้ว” ไอ้ต๋องตบบ่าปลอบใจผมครับ
“ใช่ มึงต้องภูมิใจที่หน้ามึงดูอ่อนกว่าวัยที่เกือบจะสามสิบ” สามสิบพ่อง ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้เชี่ยเคที่หัวเราะคิกคัก
“แต่กูขออย่างเดียวนะ” ไอ้สักดูเคร่งเครียดจนพวกผมต้องตั้งใจฟังมัน “ขอแค่มึงอย่าหาผัวเพิ่มเป็นพอ” แล้วพวกมันก็หัวเราะจนท้องแข็ง
“ไอ้เชี่ย ไปไกลๆ ตีนกูเลย ไป๊”
ไล่พวกมันแต่เป็นผมที่เดินออกมาเอง แล้วจะไล่พวกมันทำไมไม่เข้าใจ แต่ที่เดินออกมานั่นเพราะโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงมันสั่นด้วยส่วนหนึ่ง คงจะเป็นคนที่อีเข็มมันเทิดทูน ผมจำได้ดีกับประโยคก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง
‘กูอาสาเป็นให้พี่เขา เพราะพี่เขาคือเมะในฝันของกูค่ะอีดอก’
ปล่อยมันฝันถึงซะให้พอ
ผมออกมาหลบหาที่สงบๆ เพื่อจะรับโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วหลายรอบ ผมบอกไปแล้วว่าเลิกประชุมประมาณเที่ยงๆ แต่พี่แกเล่นกระหน่ำโทรตั้งแต่เข็มยาวเข็มสั้นซ้อนทับกันมาจนถึงตอนนี้เกือบจะชั่วโมงหนึ่งแล้วครับ โทษผมไม่ได้ที่มันเลิกช้า ต้องโทษไอ้ประธานรุ่นที่มันพูดมาก
(เลิกหรือยังวะ) มาแบบนี้คงเริ่มอารมณ์เสีย
“ใกล้แล้ว พี่โชมาแล้วเหรอ” ผมหันซ้ายหันขวามองหาเพื่อพี่แกจะมาอยู่รอ แต่ก็ไม่เห็น
(กำลังเลี้ยวเข้าไป)
“อ่อ”
พอได้ยินผมก็รีบสาวเท้ากลับไปที่ลานใต้ตึกที่เราประชุมกัน หยิบเป้ขึ้นสะพายบ่าปุ๊บก็โดนสายตามองแรงจากเฮดรุ่น แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรนอกจากคุยกันเองมันเลยได้แค่มอง ผมบอกลาเพื่อนๆ แล้วรีบวิ่งออกมา ประจวบที่โชขับรถปาดมาหน้าตึกพอดิบพอดี
รีบยื่นมือเปิดประตูแล้วสอดตัวลงไปนั่ง ที่ต้องรีบเพราะตอนบ่ายผมมีนัดครับ ไม่ใช่นัดกับพี่โช แต่นัดกับแม่ของพี่เขานั่นแหละครับ คือวันนี้เป็นวันเกิดของพ่อพี่โช และผมก็ต้องไปทำอาหาร จะขัดก็ไม่ได้เพราะเหมือนถูกบังคับกลายๆ จากแม่และพี่สาวพี่โช
ผมแกะซองขนมปังแล้วยื่นไปจ่อปากคนขับ พี่โชเหล่ตามองนิดๆ ก่อนจะอ้าปากกัดขนมปังไป สงสัยจะหิว เพราะตอนแรกเรานัดว่าจะไปกินข้าวก่อนกลับบ้าน แต่ผมกลับเลิกช้าพี่โชก็คงไม่ยอมกินก่อน ผมเลยไปซื้อขนมปังมาเตรียมไว้ (ฉลาดมากไอ้กลอย) พี่โชเลยดูอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกที่ผมขึ้นมาบนรถ
แอร์รถยังไม่หนาวเท่ารังสีรอบตัวพี่โชเลยครับเมื่อกี้นี้
“ผมไม่ออกไปเหมือนคราวที่แล้วได้หรือเปล่า” เริ่มชวนคุยเพราะการจราจรมันติดแน่น ปิดเทอมแล้วทำไมรถยังติด ไม่กลอยไม่เข้าใจ
“ทำไมไม่อยากออกไป” พี่โชถามหลังจากกัดขนมปังที่ผมป้อนอีกรอบ
“ก็วันนี้คนเยอะแน่เลย ผมออกไปแล้วรู้สึกแปลกๆ อ่ะ” สายตาของญาติพี่โชตอนนั้นดูเป็นมิตรทุกคน แต่วันนี้มีคนอื่นด้วย ผมกลัวพี่โชจะถูกมองไม่ดี
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ก็คนกันเองทั้งนั้น” ได้แต่ทำหน้ามุ้ยหลังจากได้ยินคำตอบ คนกันเองของพี่แต่ไม่ใช่ของผมไง โด่ พี่โชเห็นผมเงียบเลยยื่นมือมายีหัวผมซะฟู “ออกไปก็ยืนอยู่ข้างพี่ตลอดจะได้ไม่ต้องรู้สึกแปลก”
“นั่นยิ่งแล้วใหญ่เหอะ” ผมว่า “พี่เป็นลูกชายเลยนะ คนต้องสนใจมากอยู่แล้ว” แถมหล่ออีก
“คิดมาก”
คิดมากดีกว่าคิดน้อยนะ มันต้องมีพวกบรรดาคุณหญิง คุณนายที่อยากถวายลูก หลานให้แน่ๆ เหมือนแบบในละครที่แม่ผมชอบดู แล้วผมก็จะถูกเหยียดในวงกว้าง ผมไม่ใช่คนติดละครนะ แค่ได้ดูก่อนนอนทุกคืนก็แค่นั้น
ฝ่ารถติดมาเกือบชั่วโมง รถสปอร์ตคาร์สีดำมันวาวก็จอดนิ่งในโรงจอดประจำ ผมสูดเอาอากาศเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะเปิดประตูรถออก แค่ยืนอยู่ข้างรถก็ถูกมองจากคนที่มาช่วยงาน อาจเพราะมากับลูกชายเจ้าของงานด้วย วันนี้แม้จะจ้างโรงแรมทำทั้งหมด แต่ผมก็ยังต้องมาทำอาหารเพิ่มอีก ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม
“มาแล้วๆๆ” เสียงร้องดังลั่นทันทีที่ผมก้าวขาเข้าไปในบ้าน คนที่ร้องก็พี่สาวใช้ตัวเล็กที่รีบวิ่งมาจับแขนผมแล้วลากให้เข้าไปในห้องครัว
ผมยกมือไหว้พี่ๆ ทุกคนที่เตรียมของอยู่ในห้องครับ ป้านีตบไหล่ผมเบาๆ เพราะแกเคยบอกไม่ให้ผมไหว้ แต่ผมเป็นคนมีมารยาท แล้วแม่ก็สอนว่าให้ไหว้คนแก่กว่าเสมอ
“วันนี้จะทำแกงอะไรเหรอครับ” ผมมองผักที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ มีทั้งมะเขือ ฟักเขียวหรือฟักแฟง ผักคะน้า ดูเหมือนมันไม่เข้ากันเท่าไหร่ เอามารวมกันก็คงไม่อร่อย
“มะเขือนี่เราจะทำแกงเขียวหวานค่ะ ส่วนฟักเขียวจะทำต้มจืดใส่กระดูกหมู แล้วผักคะน้านี่เอาออกมาเกิน” ป้านีว่า ผมว่าป้าแกก็เป็นคนตลกนะครับ
จากนั้นผมก็มือไม่ว่าง เพราะต้องช่วยหั่นนั่นปอกนี่ ยิ่งไปกว่านั้นคือป้านีสอนให้ผมแกะสลักฟักที่จะใส่ในแกงจืด ผมอยากจะบอกป้านีว่า ถ้าป้าทำเองคงจะเสร็จไปนานแล้วแถมไม่ต้องเอาทิ้งแบบนี้ ถังขยะมีฟักที่หักสองท่อนค่อนถัง ฝีมือผมนั่นแหละครับ ทุกครั้งที่ต้องเอาทิ้งผมแทบจะร้องไห้
“ค่อยๆ ทำค่ะ ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด” ป้านีปลอบ
“ครับ” ผมรับคำ “แล้วทำไมเราต้องทำเพิ่มละครับ กับข้าวด้านนอกก็น่าจะเยอะพอแล้วนะ” ถามในสิ่งที่สงสัยแต่ทุกคนในห้องครัวต่างพากันหัวเราะคิกคักจนผมแปลกใจ
“คุณท่านอยากให้ทุกคนได้ชิมฝีมือว่าที่ลูกสะใภ้ค่ะ” พี่สาวใช้ตัวเล็กกระซิบ (เสียงดัง) บอก
เอ่อ ใครเอาหน้าผมไปต้มหรือเปล่า รู้สึกร้อนๆ พิกล
ใช้เวลานานพอสมควรกับการทำแกงเขียวหวานไก่ ผมตำน้ำพริกเอง สูตรของแม่ครับ คราวที่แล้วที่มาก็ทำ ซึ่งลุงและป้าของพี่โชชมกันใหญ่ แถมขอกลับบ้านด้วย แอบภูมิใจนิดๆ ถ้าแม่รู้ว่าทุกคนชอบแม่ผมคงดีใจ ที่สำคัญ มีลูกเก่งขนาดนี้ต้องยืดแน่ๆ
เวลาบ่ายคล้อย หม้อแกงสองหม้อก็ถูกยกออกไปเตรียมไว้ด้านนอกพร้อมขนมจีน ผมแอบมองอยู่ห่างๆ กับพี่สาวใช้ตัวเล็ก อาหารที่โรงแรมจัดมาค่อนข้างดูดี แต่น่าจะไม่อิ่มเพราะปริมาณช่างเหมือนเอามาแค่โชว์ ซึ่งคนที่ดูอยู่ข้างๆ ผมก็พยักหน้าเห็นด้วย
“คุณน้องกลอยไม่ไปอาบน้ำเหรอคะ แขกคุณท่านเริ่มมาแล้วนะ” หน้าบ้านเริ่มมีคนเดินเข้ามาแล้วครับ
“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ผมไม่รีบ” และไม่อยากออกไปด้วย เราสองคนแอบดูอยู่อีกครู่ใหญ่ก่อนผมจะขอตัวไปอาบน้ำ ถ้าไม่ไปมีหวังถูกอุ้มพาดบ่าอีกแน่
ผมค่อยๆ ย่องผ่านห้องรับแขกเพื่อขึ้นไปห้องพี่โชที่อยู่ชั้นสอง แต่ก้าวขาขึ้นบันไดขั้นแรก เสียงกับแรงก็กระแทกตัวผมจนล้มลง ดีที่มันไม่แรงเลยแค่ขัดยอกนิดหน่อย คนที่ชนเป็นสาวตัวเล็กหลานของเจ้าของบ้าน น้องบีมยิ้มโชว์ฟันหลอ
“น้ากลอยมาเมื่อไหร่คะ ทำไมน้องบีมไม่เห็น” เสียงใสถาม ผมลูบหัวน้องเบาๆ เพราะความน่ารักน่าชัง
“มานานแล้วครับ พี่อยู่ในครัว” แม้น้องบีมจะเรียกผมน้า แต่ผมว่ามันดูแก่ไป เรียกพี่ก็พอ
“ไปอยู่ทำไมในนั้นคะ น้องบีมเลยไม่เห็นเลย” เสียงเจื้อยแจ้วถามต่อ “น้าโชก็ไม่เห็นบอก น้องบีมต้องไปโป้งน้าโชแล้ว” ปากแดงยู่อย่างน่ารักจนผมขำ
“โป้งเลยครับ” ผมเห็นด้วย แล้วผมก็ขอตัวไปอาบน้ำ น้องบีมพยักหน้ารับรู้พร้อมกับเดินตามผมขึ้นไปด้วย “มีอะไรเหรอครับ” ผมหันไปถามร่างเล็กที่สาวเท้าสั้นๆ ขึ้นตามมา
“น้องบีมจะไปนั่งรอน้ากลอยในห้องค่ะ” น้องยิ้มแย้มผมเลยพยักหน้า เพิ่งสังเกตว่าน้องบีมไม่เรียกผมน้าสะใภ้แล้ว เรียกน้ากลอยยังรู้สึกดีกว่า แต่ใจจริงเรียกพี่ดีกว่ามาก
ผมเคาะห้องพี่โชจนคนด้านในเปิดประตูออกมารับ พี่โชอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย สวมสูทเหมือนกับตอนทำงาน แต่ตอนนี้ดูสบายๆ เพราะไม่ได้ผูกไทด์ พอเห็นผมยืนอยู่หน้าประตู พี่โชก็ยิ้มรับแล้วจะอ้าแขนกอด แต่ผมขยับตัวห่างจนพี่โชขมวดคิ้ว
“ผมตัวเหม็นจะตาย” พอได้ยินคนหน้าบึ้งเลยพยักหน้านิดๆ แล้วให้ผมเข้าไปอาบน้ำ ขณะพี่โชจะดึงประตูปิด แรงเล็กๆ ยึดไว้จนพี่โชต้องก้มมอง ผมก็ลืมบอกว่าด้านหลังผมมีน้องบีมมาด้วย
“น้าโชอ่ะ น้องบีมโป้งแล้ว” หลานสาวตัวน้อยยกนิ้วโป้งสองข้างยื่นใส่น้าตัวเอง ผมมองแล้วก็ขำเมื่อเห็นพี่โชเลิกคิ้วมอง
“มาโป้งน้าโชทำไมครับ” พี่โชนั่งลง ยื่นมือไปลูบแก้มป่องของน้องบีม
“ก็น้าโชไม่บอกน้องบีมว่าน้ากลอยมา”
“ก็น้องบีมไม่ถามนี่ครับ”
“น้องบีมมองไม่เห็นก็เลยไม่ได้ถามนี่นา”
มองสองน้าหลานพูดกันก็ดูน่ารักดี พี่โชเวลาอยู่กับหลานดูเป็นคนอบอุ่น แววตาอ่อนโยนเหมือนเป็นอีกคน ผมมองอีกครู่เดียวก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย กลิ่นเหงื่อกับกลิ่นแกงเขียวหวานติดตามตัวจนรู้สึกเหม็น พออาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่เห็นสองน้าหลาน คงจะลงไปรออยู่ด้านล่าง
ชุดที่พี่โชเตรียมไว้ให้เป็นเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงสแล็คเข้ารูปสีดำ กางเกงก็ไม่ติดใจ แต่ทำไมเชิ้ตผมต้องสีชมพูวะ ของพี่โชเมื่อกี้เป็นสีขาว ผมก็อยากใส่สีขาวอ่ะ แต่เตรียมไว้ให้แล้วไม่ใส่ก็ไม่ได้ ก่อนออกไปก็ทาแป้งเด็ก (ของผม) ที่หน้าสักนิดกลบความมันกับพ่นน้ำหอมกลิ่นที่ผมชอบ ก็ของพี่โชนั่นแหละครับ หอมดี ส่องกระจกเช็คความพร้อมอีกรอบก่อนจะลงไปด้านล่าง
ด้านล่างผู้คนเริ่มพลุกพล่าน ทั้งหญิงทั้งชายเดินกันจนเต็มสนามหญ้าหน้าบ้าน บางคนผมก็รู้จักเพราะเคยเห็น หรือว่าญาติพี่โชบางคนผมก็พอรู้จัก อย่างคุณหมอสาที่เห็นหน้าผมปุ๊บก็รีบลากส้นแหลมเข้ามา
“อุ้ย มองหาตั้งนานคิดว่าจะไม่มา” หมอสามาถึงก็ยื่นมือมาควงแขนผมเลยครับ ผมกำลังจะยกมือไหว้เลยได้แต่ก้มหัวทักทายแทน
“อ่าครับ ผมเพิ่งไปอาบน้ำมา” ผมบอกพลางเอนตัวหนีจมูกโด่งที่ยื่นเข้ามาแถวซอกคอ “เอ่อ”
“แหม ตัวหอมนะเนี่ย” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดูแล้วไว้ใจไม่ได้ แต่ก็หนีไม่ได้ “ป่ะ ออกไปรู้จักคนข้างนอกกัน”
แม้ผมจะพยายามขืนตัวเองแต่แรงดึงก็มากพอที่จะพาผมมายืนยิ้มแหยอยู่หน้ากลุ่มหนุ่มสาวประมาณหกคน ทุกคนมองผมอย่างสนใจ โดยเฉพาะหญิงสาวที่สวมชุดเดรสสีโอรส
“น่ารักจัง” คำชมที่ผมได้ยินชัดที่สุดจากสาวชุดโอรส หมอสาก็ยิ้มยืดเหมือนโดนชมเอง “ใครอ่ะสา” พอถูกถาม หมอสาก็ยิ้มกริ่มจนผมกลัวคำตอบที่จะออกจากปากสีแดง
“ว่าที่น้องสะใภ้” นั่นไง ผมคิดไม่ผิด
“หา?” ทุกคนดูตกใจกับคำตอบ แต่สาวชุดโอรสยิ้มแย้มไม่มีทางทีตกใจ
“น่ารักเหมือนในรูปจริงๆ ด้วย” คำชมยังออกมาอีกรอบจนผมแปลกใจ รูปอะไรหว่า
“ใช่มะๆ ฉันบอกแล้วว่าตัวจริงน่ารัก” หมอสาพูดไปยิ้มไป
“คนนี้เหรอที่ให้ดูรูปน่ะ” ผู้ชายร่างสูง (แต่ปากแดง) มองผมตั้งหัวจรดเท้า ก่อนยิ้มออกมา “ดูดีว่ะ”
“ใช่มะๆ” หมอสาก็ยังดูชอบใจอีก
“ชื่ออะไรเหรอจ๊ะ” สาวชุดสีแดงถามผม ดวงตาดูเป็นประกายจนผมต้องยิ้มกว้างให้
“เอ่อ ชื่อกลอยครับ” ตอบยังไม่เสร็จดีกลุ่มนี้ก็แอบกรี๊ดเบาๆ จนผมผงะ เริ่มกลัวครับแบบนี้
“ชื่อเข้ากับหน้าอ่ะ ว่าแต่ คบน้องโชมานานหรือยังจ๊ะ” ดูเหมือนนี่คือสิ่งที่ทุกคนกำลังรอคอย ดูแต่ละคนจ้องอย่างตั้งใจ แล้วพี่โชหายไปไหนวะ ปล่อยให้ผมถูกรุมเนี่ย
“เอ่อ ไม่นานครับ” แม้จะหวั่นๆ แต่ก็ตอบ ตาก็คอยแลมองหาคนที่พาผมมาเมื่อเช้า
“นี่ขนาดไม่นานนะแก ป้ายังรักขนาดนี้ แล้วก็แกงเขียวหวานที่บอกอร่อยก็ฝีมือคนนี้นี่แหละ” หมอสาชมผมออกหน้าออกตามากถึงมากที่สุด
“จริงเหรอ ว้าว อร่อยมากเลยค่ะ พวกเราจัดไปอย่างเยอะจนแน่นท้องไปหมด”
“นี่ถ้าเอาถุงมาด้วยคงห่อกลับบ้านแล้ว”
ไม่รู้พูดจริงหรือแกล้งหลอก แต่ผมก็แอบยืดนิดๆ นะ มีคนชมกับข้าวฝีมือผม รู้แบบนี้ตอนแม่สอนน่าจะตั้งใจมากกว่านี้ ผมเลยทำได้แค่ไม่กี่อย่าง
หลังจากถูกซักไซ้จนพอใจ หมอสาก็พาผมมาอีกกลุ่มซึ่งผมพอจะรู้จักครับ เคยเจอเมื่อตอนงานสิ้นปี หนึ่งในนั้นก็พ่อของหมอสาที่เคยรักษาหัวเข่าให้ผม ผมยกมือไหว้ทุกคนอย่างช้าๆ คือเอาจริงๆ นะ ผมก็ยังแอบกลัวญาติของพี่โชอยู่ดี
“ไงล่ะเรา หัวเข่าหายดีแล้วใช่มั้ย” พ่อของหมอสาถามผมพร้อมรอยยิ้ม
“ครับ ขอบคุณนะครับ” ยกมือไหว้อีกรอบจนผู้หญิงที่ยืนข้างๆ หัวเราะออกมา (แม่ของหมอสาครับ)
“ไม่แปลกที่คุณพี่จะชอบนะคะ” แม่ของหมอสายังสวยสะพรั่งเหมือนสาววัยรุ่นครับ ดูไม่แก่นั่นแหละ หมอสาคงได้แม่มาเยอะ
“นั่นสิ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมถึงยอมให้คบ” คนนี้เป็นลุงของพี่โช เจอครั้งแรกเคยมองผมด้วยหางตา ตอนนี้ก็ยังมองแบบนั้นอยู่ ดีที่หมอสากระซิบว่าแกนิสัยแบบนั้นแต่เป็นคนไม่มีอะไร
“ก็บ้านนี้เขาไม่หัวโบราณเหมือนคุณนี่คะ” ภรรยาของลุงพี่โชพูดเหน็บสามีตัวเอง คนโดนถึงกับกระแอมเบาๆ “ว่าแต่ หนูทำแกงเขียวหวานใช่มั้ย ฉันจำรสชาติได้”
“ครับ”
“ยังอร่อยเหมือนเดิมนะ” แล้วผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณ รู้สึกได้ยืดอีกแล้ว
จากนั้นหมอสาก็พาผมไปที่นั่นที่นี่แล้วก็บอกว่าผมทำแกงเขียวหวาน แล้วก็ได้คำชมจากทุกคนจนแทบจะลอยแทนลูกโป่งอยู่แล้ว
ไม่นานหลังจากลอยได้ ผมก็ขยับมายืนใกล้หมอสาเมื่อพ่อและแม่ของพี่โชเดินควงกันออกมา ด้านหลังมีพี่โชกับพี่ชีสเดินตาม น้องบีมถูกคุณพ่ออุ้มอยู่ เด็กตัวน้อยโบกมือให้ผมด้วย ทำไมรู้สึกว่างานวันเกิดมันโคตรอลังการดาวล้านดวงขนาดนี้ เหมือนกับเปิดตัวคนสำคัญของประเทศก็ว่าได้ หมอสาแอบกระซิบว่าโคตรเว่อร์ ซึ่งผมก็พยักหน้าเห็นด้วย
พ่อของพี่โชเดินไปทักทายบรรดาผู้ร่วมงานอย่างเป็นกันเอง แม้แต่แม่บ้านของบริษัท พ่อพี่โชยังคุยอย่างยิ้มแย้ม ผมว่า คนเป็นผู้นำต้องเป็นแบบนี้นะ ไม่ใช่คอยแต่ชี้นิ้วสั่ง คอตั้งตลอดเวลา แบบนั้นลูกน้องไม่รักหรอกครับ ถ้าเราทำให้ลูกน้องรัก งานที่ออกมาก็จะดีตาม ทุกคนก็มีความสุขเวลาทำงาน
“ไม่ไปหาโชเหรอ มองหาจนคอจะหมุนรอบทิศแล้ว” เสียงหัวเราะเล็กๆ ทำให้ผมยืดคอมองดู และก็จริง พี่โชมองหาบางอย่างจนคอแทบจะหมุนได้รอบ
“จะดีเหรอครับ” โคตรไม่มีความมั่นใจ
“ดีสิ ป่ะ เดี๋ยวพี่พาไป”
ผมถูกหมอสาลากมาหาพี่โชที่ยืนหน้างออยู่ ดวงตาคมจ้องแขนของผมที่มีมือหมอสาคล้องอยู่ ผมรีบลดแขนลงจนหมอสายกมือตัวเองออก คงจะเข้าใจเลยไม่ได้ว่าอะไร
“ก็ว่าหายไปไหน ที่แท้ถูกเธอลากไปนี่เอง” พี่ชีสว่า ก่อนหมอสาจะควงแขนพี่ชีสไปที่อื่นแทน โดยปล่อยให้ผมยืนอยู่กับพี่โชสองคน
คนตัวสูงกว่าจ้องนิ่งจนผมต้องยิ้มให้ กลัวจะออกฤทธิ์เดช พี่โชหน้างอเหมือนเด็กโดนขัดใจ
“พี่โช” ผมเรียกเบาๆ เพื่อเตือนให้รู้ถึงสิ่งที่เคยตกลงกันว่ารู้สึกอะไรให้พูด เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะต้องทะเลาะกันอีก
“พี่รออยู่ในห้องรับแขกตั้งนาน” น้ำเสียงติดงอนจนผมแอบขำ
“ก็ผมไม่เห็นนี่ ออกมาก็เจอหมอสาแล้วก็ถูกดึงออกมาเลย” ผมบอก ตอนลงมาก็มองหาแล้วนะ แต่ไม่เห็นใคร “พี่โชกินข้าวหรือยัง แกงที่ผมทำจะหมดแล้วด้วย” เมื่อกี้แอบไปที่โต๊ะมา พี่ตัวเล็กบอกแกงแทบไม่เหลือ
“ยัง”
“หิวหรือเปล่า” พี่โชไม่ตอบแต่เดินมาใกล้แล้ววางหน้าผากบนบ่าของผม
“ค่อยกลับไปกินที่ห้อง”
“เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก แล้วจะได้กลับกี่โมงก็ไม่รู้” วันเกิดพ่อทั้งทีพี่โชก็น่าจะอยู่และควรจะนอนที่บ้านด้วย
“กลับเลยก็ได้” พูดเหมือนเด็กเอาแต่ใจจนผมต้องส่ายหน้า ก่อนดันให้ยืนดีๆ แม้ตรงที่ผมกับพี่โชยืนจะเป็นมุมสวน แต่คนก็มองเห็นอยู่ดี
“ได้ไง วันเกิดพ่อพี่ทั้งทีนะ แล้วพี่น่าจะนอนบ้านด้วย” ผมบอก แต่พี่โชส่ายหน้า
“ถ้านอนนี่ หลานพี่ได้ขอมานอนด้วยแน่”
“ก็ไม่เห็นเป็นไร” ผมตอบแล้วก็ต้องรีบย่นคอหนีเมื่อมีเสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูพร้อมกับเป่าลมร้อน
“มีคนมานอนด้วยทำอะไรไม่ถนัด”
“พี่เลิกหื่นสักวันได้ป่ะเนี่ย”
ผมโวยวายแล้วรีบเดินหนี พี่โชแม่งหัวเราะเหมือนผู้ร้ายแล้วก็เดินตามหลังผมมา บ้าจริงเชียว
ภายในงานยังคงคึกคัก เพลงที่บรรเลงเพิ่มบรรยากาศให้ดูสนุก เพราะยิ่งดึก ดนตรียิ่งมันส์ แต่งานนี้ไร้แอลกอฮอล์ทุกอย่าง ดังนั้นคนที่เต้นรำในงานจึงเมาน้ำเปล่าไม่ก็น้ำผลไม้ ผมยืนหัวเราะเพื่อน (ปากแดง) หมอสาที่กำลังเต้นเป็นเอลวิสแถมมูนวอร์กแบบไมเคิลด้วย ก่อนจะมีมือเล็กๆ มาสะกิดให้ก้มมอง
“น้ากลอยคะ คุณยายเรียกค่ะ” คุณยาย...แม่พี่โชสินะ ผมเดินตามหลานพี่โชไปโดยมีพี่โชเดินตามมาติดๆ แต่ถ้าจะให้ดี ไม่ต้องติดขนาดนี้ก็ได้ นี่พี่แทบจะสิงผมแล้วครับ
“พี่เดินห่างๆ หน่อยได้ป่ะ” กระซิบเบาๆ แต่อีกคนพูดมาผมก็เลยเลือกจะเดินไปเงียบๆ
“เดี๋ยวพี่หลงทำไง เพราะแค่นี้ก็หลงจนหาทางกลับไม่เจอแล้ว”
เอาที่พี่สบายใจเลยครับ เอาให้ผมเขินซะให้พอ
แม่ของพี่โชยืนรอผมอยู่ด้านหลังเวที ไม่ใช่เวทีใหญ่โตเหมือนหมอลำ มีแค่ฟลอร์เล็กๆ วางแล้วตกแต่งดอกไม้กับผ้าสีขาวให้พริ้วตามแรงลมก็แค่นั้น ตรงกลางมีไมค์โคโฟนวางอยู่ ผมยกมือไหว้พ่อของพี่โชที่เดินผ่านหน้าไป ท่านแค่ชายตามองนิดๆ แต่เหมือนดูดกลืนพลังวิญญาณผมไปด้วย
พอพ่อของพี่โชขึ้นไปยืนเด่นกลางเวที เพลงและเสียงพูดคุยก็เงียบลง ผมยืนมองอยู่ด้านข้าง พี่โชใบหน้าจะคล้ายแม่มากกว่า แต่สายตานี่ถอดแบบของพ่อมาเป๊ะ เวลาที่ท่านจ้องมองไปด้านหน้ารู้สึกถึงพลังที่มันเอ่อล้นออกมา ยิ่งน้ำเสียงเหมือนมีมนต์สะกดทำให้ผู้คนหลงใหล (เริ่มเหมือนหนังจีนกำลังภายใน) ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
คำกล่าวขอบคุณบรรดาแขกเกรื่อจบลงเรียกเสียงปรบมือดังทั่วสารทิศ แม้แต่ด้านหลังผมก็ยังปรบมือให้ ท่านขอบคุณพนักงานทุกคนแม้แต่พี่ยามกับลุงยามที่พากันน้ำตาไหล ซึ้งในคำพูด ก่อนท่านจะเรียกลูกสาว ลูกชายและลูกเขยให้ขึ้นไปยืนข้างๆ และแนะนำว่าในอนาคตบริษัทจะดำเนินต่อไปโดยรุ่นของลูกๆ ที่ถูกปลูกฝังแบบที่ท่านเคยโตมา ซึ่งพนักงานต่างก็ชื่นชมยินดี
พอเห็นพี่โชยืนตรงนั้นแล้ว ระยะห่างของผมมันมากซะจริงๆ
ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นจนจุกทำให้ต้องย่นหน้า ไม่ใช่น้อยใจ แต่หิวนั่นเอง อย่ามองผมด้วยสายตาเชิงตำหนิ ผมไม่ได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยแบบผู้หญิงที่กังวลเรื่องฐานะ แล้วผมก็ไม่ใช่คนดีที่จะถอยหลังให้คนที่คู่ควร แต่ถ้าเกิดวันไหนที่ผมจะไป วันนั้นคือวันที่พี่โชต้องเอ่ยปากไล่ผมเอง ไม่งั้นเอาเต่ามาลากผมก็ไม่ไป
ผมกำลังจะหมุนตัวเดินออกไป แม่พี่โชกลับยื่นมือมาผลักให้ผมเซออกไปยืนข้างกับสามีของพี่ชีส จนทุกคนตกใจ...แต่ผมยิ่งกว่าตกใจอีก แถมไมค์ยังหอนขึ้นมาซะเฉยๆ มันเหมือนเป็นลางไม่ค่อยดี ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษทุกคนที่ขัดจังหวะ พอจะก้าวเดินก็ถูกมือใหญ่ดึงไว้ ไม่ใช่มือพี่โชครับ
“อ่า ผมลืมแนะนำอีกคนไป” พ่อพี่โชพูดออกไมค์ ผมแทบอยากจะแหวกอากาศหนี นี่ถ้ามีประตูวิเศษของโดราเอม่อนคงหยิบออกมาแล้วเดินหนีหายไปแล้ว พี่ชีสช่วยดึงผมอีกแรงแล้วดันให้ไปยืนข้างพี่โช “เด็กคนนี้...” เสียงเว้นวรรคกับสายตาที่ถูกจ้องเล่นเอาน้ำลายเหนียวจนกลืนไม่ลง “ไม่นานจะก้าวเข้ามาในฐานะผู้ช่วยของลูกชายของผม”
เหมือนจะโล่งอกแต่ก็แอบเสียใจนิดๆ อธิบายไม่ถูก พี่โชจับมือผมไว้แน่น เหงื่อจากมือผมมันชื้นจนพี่โชหันมามอง คือผมตื่นเต้นมากตอนนี้ มันมากซะจนกลัวจะปวดขี้
“และฐานะคนของตระกูล” คงจะหาคำมาอธิบายสถานะตัวผมลำบาก จะให้บอกว่าลูกสะใภ้มันก็คงกระดากปาก แต่ถึงแบบนั้น ทุกคนก็คงจะเข้าใจดีว่าคนของตระกูลคืออะไร ยกเว้น....
“คุณตาขา คนของตระกูลคืออะไรเหรอคะ” เสียงเล็กถามตาตัวเอง แต่ติดตรงมันออกไมค์ไปด้วย น้องบีมอยู่ในอ้อมกอดของพ่อแกนั่นแหละครับ
พอได้ยินคำถามทุกคนต่างก็หัวเราะกัน พี่ชีสเลยยิ้มส่งท้ายก่อนพาสามีและลูกลงไปจากเวที น้องยังจะถามต่อแต่ถูกพี่ชีสปิดปากไว้
แล้วผมลงไปได้หรือยังหว่า
กำลังจะอ้าปากถามพี่โช เสียงบอกให้สนุกเต็มที่ก็ดังขัดมาซะก่อน ก่อนที่ผมจะลงไปพร้อมกับพี่โช หมอสารีบพุ่งมาหาก่อนใครเพื่อน เธอยื่นแก้วแชมเปญจให้ผมแต่พี่โชกระแอมเลยยกดื่มเอง
“คุณลุงขา ประกาศแบบนี้เลยนะคะ” หมอสาเอ่ยแซวลุงของตัวเอง (ก็พ่อคนข้างผมนี่แหละ)
“ก็นิดหน่อย” แล้วก็เหล่ตามามองผม “ทำได้ดี”
คำชมนั่นผมไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เลยเงยหน้ามองพี่โชที่ยิ้มให้พ่อตัวเอง
“ผมทำอะไรดี” ผมรู้ว่าผมเป็นคนดี แต่ไอ้ทำได้ดีมันคืออะไร
“เรื่องงาน...ไม่เข้าใจเหรอ” พยักหน้ารัวๆ “ไม่เอาเรื่องส่วนตัวไปทำให้งานพี่เสีย” อ่า เรื่องป้าเฟิร์นสินะ หมอสาไม่รู้เรื่องกำลังจะอ้าปากถาม แต่พี่โชชี้นิ้วให้หยุด จนสาวเจ้าหน้างอเดินหนีไป
“พี่ไปแกล้งหมอสาเขาทำไม”
“รำคาญเสียง พูดมากด้วย”
“ผมว่าน่ารักออก โอ้ย เจ็บเว้ย” พอชมคนอื่นเลยถูกบีบปากจนเจ็บ รุนแรงตลอด
“ห้ามชมคนอื่น จำไม่ได้เหรอ”
“เออ”
ผมกระแทกเสียงก่อนเดินหนี คนอะไรห้ามแม้แต่ชมคนอื่น แต่คนอื่นชมผมได้ โดยเฉพาะอาหาร ตอนนี้ไม่ว่าผมเดินผ่านใคร ทุกคนก็จะชมว่าแกงเขียวหวานอร่อย ผมรู้แล้วครับว่าทำไมแม่พี่โชถึงให้ผมทำ เพราะอยากจะอวดผมนั่นเอง (หมอสาเม้าท์ให้ฟัง) แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ แม่พี่โชจะพาผมไปเข้าสมาคมแม่บ้านด้วย คือผมไม่ใช่ผู้หญิงแล้วผมจะไปเข้าสมาคมแม่บ้านได้ยังไง
ผมคือไอ้กลอยที่เพื่อนๆ เรียก กลอยประเกรียน ผมคือที่สุดของจักรวาล วาล วาล (ก่อนโดนพี่โชตบหัวเพราะมัวแต่ยืดที่โดนชม)
“ไปกินข้าว หรือจะไปกินที่ห้อง .. แต่ถ้ากินที่ห้อง ไม่ใช่กินข้าวนะ”
บุคคลผู้นี้ควรได้รับป้ายติดไว้ที่ตัวว่าเป็นบุคคลหื่นแห่งปีที่ไอ้กลอยเคยเจอมา อยากจะคารวะจริงๆ ว่าท่านกินอันใดมาถึงหื่นได้ทุกเวลาขนาดนี้...
เอาเป็นว่า ตอนนี้ผมถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการฐานะคนของตระกูล เหมือนเจ้าสำนักเลือกผมเข้าไปในพรรคเพื่อฝึกวิทยายุทธ โคตรเท่อ่ะ
....TBCวันนี้มาซะเช้า (วันใหม่) เลย เลยพาน้องกลอยมาส่งเข้านอนค่าาา >w<
เจอกันใหม่ตอนหน้า
