บทที่ 56
พาร์คว้ามือผมไปบีบเบาๆ “กูจะไปกับมึง”
ผมส่ายหน้า “...ให้กูไปคนเดียวก่อน”
“ไม่! เราควรไปด้วยกัน!”
ผมพ่นลมหายใจ “ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากให้มึงไป แต่ถ้าคุณย่าเห็นหน้ามึงก่อนอาจปรี๊ดขึ้นมาจนคุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง”
“กูจะรออยู่นอกห้อง”
ผมลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ในรถมีแต่ความเงียบที่ค่อนข้างตึงเครียด ต่างคนต่างจมในภวังค์
“...กูกลัวใจมึงมากกว่าย่ามึงอีก”
ผมหันไปมองพาร์ “...กลัวโดนทิ้ง?”
“มาก!”
ผมเหล่มองสองมือที่ยังจับประสานกันแน่นไม่ปล่อย ก็อดพึมพำไม่ได้
“...ก็เห็นอยู่ว่าไม่ใช่มึงฝ่ายเดียวที่จับไม่ปล่อย”
“อะไรนะ?”
“กลับกันเถอะ”
พาร์พ่นลมหายใจบ้าง ยอมออกรถตามที่ผมบอก แต่...
“ปล่อยมือสิ ขับมือเดียวอันตรายนะ”
“ไม่เอา”
เราเงียบกันมาตลอดทางจนถึงหน้าบ้าน ผมกำลังจะลงจากรถก็โดนรั้งตัวไว้
“ค้างด้วยได้ไหม?”
ผมส่ายหน้า เห็นความกลัวในแววตาพาร์ก็ก้มหน้าเข้าหา ช่วงชิงริมฝีปากอีกฝ่ายไม่กี่วิก็ผละออกรีบชิ่งลงจากรถ พูดทิ้งท้ายใส่คนตัวแข็งทื่อ ก่อนปิดประตู
“ไปทบทวนเงื่อนไขที่กูบอกมึงในวันที่เราคบกันดู”
ผมเดินผ่านรั้วบ้าน หันกลับไปมองรถสีเงินแวบ...ถ้ามันเข้าใจที่ผมอยากจะบอกก็คงดี
เข้ามาในบ้านพ่อเหมือนรอผมอยู่ ถึงได้รับเดินตรงมา ผมยกมือห้ามไม่ให้พ่อพูด และทำเพียงแค่กอดพ่อผู้ให้กำเนิดแน่นๆ และได้รับกอดแน่นๆ กลับมา
“ผมรักพ่อนะ เพียงแต่...อาจจะน้อยกว่าลุงนิก”
“...พ่อรู้ ไม่เคยโทษทีเรื่องนี้เลย เพราะเป็นพ่อเองที่ยกทีให้พี่ชายตั้งแต่ต้น”
“ถ้าผมเผลอทะเลาะกับคุณย่า...อาจพูดจาไม่ดี และทำพ่อกับแม่เสียใจอีกแล้ว เพราะงั้นพรุ่งนี้อย่าไปเลย”
“ไม่เป็นไรลูก พ่อคงไม่บอกแม่...พ่อจะไปคนเดียว”
“แต่...”
“ลูกไม่เคยผิด ผิดที่พ่อกับแม่เอง ผิดมาตั้งแต่ต้น ลูกก็คงโกรธพ่อกับแม่ตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะแบบนั้นถึงไม่เคยมองเราเป็นพ่อแม่จริงๆ สักครั้ง พ่อขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
ผมกำเสื้อพ่อแน่น น้ำตาแทบจะร่วงลงมา
“ผมก็ผิด...”
ผิดที่รักคนอื่นมากกว่าผู้ให้กำเนิด
-------------
เสียงแปลกๆ ทำให้คนนอนไม่หลับอย่างผมรีบลุกขึ้นจากเตียง เงี่ยหูฟังพบว่ามาจากชั้นล่าง หันมองนาฬิกาตีสามกว่าแล้ว ด้วยความระแวงเลยเปิดประตูห้องนอนแผ่วเบา เดินให้เบาที่สุดจนมาถึงบันได แอบกวาดมองผ่านความมืดจนเห็นเงาคนๆ หนึ่งกึ่งนั่งนอนพิงกับโซฟา เลยเดินเข้าไปใกล้
จมูกสูดอากาศฟุดฟิด...กลิ่นเบียร์นี่น่า
ผมกดเปิดไฟตรงห้องนั่งเล่น เงาตะคุ่มที่ว่าคือพ่อนี่เอง จากท่าทางไม่ใช่พิงกับโซฟาแล้ว นี่มันเมาแอ๋จนพลาดตกจากโซฟาชัดๆ
“พ่อ มานั่งดื่มอะไรตรงนี้เนี่ย เดี๋ยวแม่ออกมาเจอก็โดนด่าหรอก”
ผมช่วยยกตัวพ่อกลับขึ้นมานั่งบนโซฟา กวาดมองกระป๋องเบียร์เปล่าๆ เกลื้อนทั้งบนโต๊ะบนพื้นก้ได้แต่ส่ายหน้า รีบหาถุงมาเก็บพวกมันโดยด่วน นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเด็กชัดๆ พูดถึงเด็ก ผมหันไปมองกรงฮิเมะ เจอเจ้าเหมียวซุกหัวมุดหลบในที่นอนหันก้นออกมาด้านนอก หางสะบัดไปมาเหมือนหงุดหงิดได้ที่
...ท่าทางจะเกลียดกลิ่นเบียร์ล่ะมั้งนั่น
ผมรีบกวาดพวกกระป๋องลงถุงขยะ จัดการมัดแล้วเอาไปหย่อนถังขยะบ้านตรงข้าม ฝากไกลถึงนู้นแม่จะได้ไม่สงสัย ต่อไปก็ลากคนแก่ไปอาบน้ำ ใช้ห้องน้ำข้างล่างนี่แหละ เสื้อผ้าก็เอาที่พึ่งตากแห้งวันนี้ ยังอยู่ในตะกร้ารอรีดพรุ่งนี้ก่อน ถึงจะเอาไปแขวนตามห้องเจ้าของ จากนั้นก็ลากตัวมานอนบนโซฟาที่ทำความสะอาด แถมฉีดสเปรย์ดับกลิ่นให้แล้ว
“ช่วยกลบหลักฐานให้ขนาดนี้ ถ้าแม่จับได้อีก ผมก็ไม่รู้แล้ว”
พ่อส่งเสียงอืออาอะไรสักอย่าง ฟังไม่ถนัด
“แล้วนึกยังไงถึงลงมาดื่มเบียร์ตั้งเยอะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะพ่อ”
เหมียว
ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ฮิเมะยืนเกาะกรงร้องเรียกหา ผมเลยเดินเข้าไปหา แหย่นิ้วผ่านช่องว่างไปเกาคอให้ “ไปนอนได้แล้ว ไม่มีกลิ่นรบกวนแล้วไม่ใช่เหรอ”
พอหันกลับมาก็ตัดสินใจเอาผ้าห่มนอนกลางวันของน้องอันมาคลุมตัวพ่อ ปล่อยให้หลับอยู่ที่โซฟานี่แหละ ถ้าแม่ลงมาเจอก็หาข้ออ้างเอาเองนะพ่อ ผมขึ้นห้องแล้ว
“ที...พ่อขอโทษ”
ผมชะงักมือที่กำลังดึงผ้าห่มขึ้นถึงอก...อย่าบอกนะว่ามากินเบียร์เพราะคิดมากเรื่องนี้
“...ก็บอกแล้วว่าไม่โกรธ”
“พ่อผิดบาปต่อลูกจริงๆ พ่อ...”
ถ้อยคำที่เบาไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ทำผมปล่อยผ้าห่มหลุดมือ เบิกตากว้างมองผู้เป็นพ่อที่นอนละเมอสารภาพบาป น้ำตาไหลรินออกมาเงียบๆ
หมายความว่ายังไง...
ผมผละจากผู้เป็นพ่อด้วยความรู้สึกหลากหลาย สับสนมึนงง แฝงด้วยความไม่อยากเชื่อ
“พ่อพูดอะไรออกมาน่ะ”
ถ้อยคำขอโทษดังมาซ้ำๆ เสมือนค้อนยักษ์ทุบหัวให้ตื่นจากความฝันสู่ความเป็นจริง
ผมสูดลมหายใจลึกๆ พยายามตั้งสติให้กับตัวเอง จัดการขยับผ้าห่มให้เข้าที่เสร็จก็รีบเดินไปปิดไฟ กลับขึ้นชั้นสอง เข้าห้องตัวเองได้ก็จัดการล็อกประตูอีกครั้ง หลังพิงชนประตูไหลพรืดลงมานั่งที่พื้นอย่างหมดแรง
หูยังได้ยินเสียงพ่อตามหลอกหลอน...คำสารภาพบาปที่ผมไม่ได้อยากรู้เลยสักนิดเดียว
‘เราเกือบจะทำแท้งแล้ว ถะ ถ้านิกไม่ยื่นข้อเสนอว่าจะรับลูกไปเลี้ยงดูเอง’
-------------
“มึงหลับยัง?”
[ใครจะหลับลง]
“งั้นลงมาเปิดประตูบ้านให้หน่อย กูยืนอยู่หน้าบ้านมึง”
[ฮะ!]
สัญญาณตัดทันที รอไม่ถึงสองนาทีก็ได้ยินเสียงกุญแจกระทบกันมาแต่ไกล ทันทีที่ประตูรั้วเปิดก็เจอหน้าตกใจของพาร์เป็นอย่างแรก
“มึงมาทำอะไรหน้าบ้านกูตอนตีสี่เนี่ย?”
“มาหามึงไง”
ผมส่งกระเป๋าเป้ใบใหญ่กับใบเล็กให้พาร์ช่วยถือ ก่อนหันไปยกจักรยานเข้าบ้านพาร์ แอบเห็นมันมองของในมือสลับกับหน้าผมอึ้งๆ หลังหาที่จอดให้จักรยานตัวเองได้ ก็ดึงเป้ทั้งสองใบจะถือเอง แต่พาร์ไม่ยอมปล่อยเป้ใบใหญ่
“เดี๋ยวกูช่วยถือ แล้วมึงเอาอะไรใส่เป้มาเนี่ย? ทำไมมันหนักๆ”
“ก็มีทั้งเสื้อผ้า หนังสือเรียน ของใช้จิปาถะที่จำเป็นแต่มึงไม่มีให้ยืม”
พาร์มองผมด้วยแววตาแปลกๆ แถมยังหัวเราะฝืดๆ
“...มึงทำให้กูนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง มันมีปัญหากับพ่อก็โผล่มาในเวลาแปลกๆ หิ้วเป้มาขออยู่ด้วยเลยวะ”
“อ้อ งั้นกูก็คงไม่ต่างจากเพื่อนมึงคนนั้นเท่าไหร่”
“เอ๊ะ...”
“กูหนีออกจากบ้านมา”
-------------
ห้องนอนพาร์แอร์เย็นฉ่ำ เปิดเย็นกว่าที่ห้องผมอีก หันไปสำรวจชุดนอนพาร์ตอนนี้ ท่อนบนเป็นเสื้อยืด ท่อนล่างกางเกงเลเหมือนเดิม มิน่าเวลามันอยู่บ้านผมถึงใส่แค่เสื้อกล้ามนอน แถมชอบถีบผ้าห่มออกบ่อยๆ
...ร้อนก็ไม่บอก
ผมส่ายหน้า เดินเข้าห้องน้ำไปล้างมือล้างเท้าเสร็จก็กระโดดขึ้นเตียงซุกตัวหลบหนาวในผ้าห่มทันที
เฮ้อ...ค่อยอุ่นหน่อย
พาร์ปิดไฟในห้อง จนเหลือเพียงแสงไฟจากห้องน้ำ เดินตรงมานั่งกอดอกมองผมนิ่งๆ จ้องกดดันกันขนาดนี้ ไม่ยอมเล่าคงไม่ได้ ผมขยับตัวนั่งบ้าง...
ผิวปะทะความเย็นในอากาศ ผมก็รีบหดตัวกลับไปอยู่ในผ้าห่ม คว้าเจ้าชานม...ตุ๊กตาหมีที่ผมกับพาร์ช่วยกันอาบน้ำมาจับนอนคว่ำแทนหมอนหนุน หันมองพาร์ที่เขม็งตาใส่
“มานอนคุยกันเถอะ”
แก้มผมโดนดึงจนร้องโอ๊ย ถึงอย่างนั้นมันก็ขยับตัวมานอนตะแคงข้างหันหน้ามาหาผม
“เล่ามาได้ยัง?”
“ก็...” ผมพยายามเรียบเรียงความคิด “พ่อกูเมา กูนอนไม่หลับ เลยบังเอิญได้ยินคำสารภาพบาปเข้าน่ะสิ ถึงกูจะรักพวกเขาน้อยกว่าลุงนิกกับทาจัง แต่ผู้ให้กำเนิดก็ยังมีอิทธิพลต่อเด็กเสมอ..กูเลยช็อกหน่อยๆ”
“ร้ายแรงมากหรือน้อย?”
“มากอยู่...” ผมนอนมองเพดานมืดๆ “ตัวกูเกิดมาจากความผิดพลาดก็จริง แต่ก็คิดมาตลอดว่าเพราะความรักถึงมีกูขึ้นมา และที่พวกเขายกกูให้คนอื่นก็เพราะจำเป็น แต่ความเป็นจริง มันไม่ใช่วะ ความเชื่อที่ยึดถือมาเลยเหมือนพังทลาย มันทำให้กูมองหน้าพ่อกับแม่ไม่ติดแน่ๆ เลยเลือกหนีออกมาก่อนดีกว่า”
“แล้วมึงจะทำไงต่อ?”
“กูอยากทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ไม่ไหว ขอเวลาทำใจก่อน”
“เก็บปัญหาไว้ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ”
“...คิดว่าพ่อแม่คงไม่อยากกูรู้หรอก แต่เมื่อรู้แล้วก็ช่วยไม่ได้ และ...ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว กูไม่อยากทำให้มันแย่ลงไปกว่านี้ เพราะผลกระทบไม่ใช่แค่กูหรือพ่อแม่ แต่จะกระจายไปถึงน้องๆ ด้วย”
“กูถามได้ไหมว่าเรื่องอะไร”
ผมหันไปมองพาร์ เม้มปากครู่หนึ่ง ก่อนพูดออกมา
“พ่อกับแม่ตัดสินใจจะทำแท้งกู แต่เพราะลุงนิกขอไว้ กูเลยได้เกิดมา”
แววตาพาร์ไหววูบ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปกอดซะแน่น ผมกอดพาร์ตอบ ซึมซับไออุ่นที่ทำให้ใจหายเจ็บลงบ้าง
“กูเคยสงสัยหลายเรื่อง เช่น ทำไมพ่อผู้ให้กำเนิดถึงได้ยอมพี่ชายมากขนาดนี้”
‘ทีต้องโทรไปบอกนิกก่อน นิกอนุญาต พ่อถึงจะเซ็นชื่อให้’
“ทำไมพ่อแม่ถึงมักบอกว่าสิทธิ์ของกูอยู่กับลุงนิก ทำไมถึงไม่เคยโต้แย้งสักครั้ง และทำไมพวกเขาถึงเอาแต่บอกว่า ถึงกูเป็นลูกแท้ๆ แต่พ่อกับแม่ไม่มีสิทธิ์ในตัวกูแม้แต่น้อย กู...เข้าใจมาตลอดว่าพวกเขาพูดเพราะน้อยใจ แต่ความจริงกลับไม่ใช่”
น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผู้ให้ชีวิตเคยคิดจะทวงชีวิตที่ให้ไปกลับคืน พวกเขาจะมีสิทธิ์ได้ยังไง
“ล...ลุงนิก...ไม่ได้เป็นแค่ผู้เลี้ยงดู” ผมกัดฟันกลั้นเสียงสะอื้น ฝืนพูดต่อให้จบ “เขาช่วยชีวิตกูไว้ต่างหาก”
พาร์แค่กอดผมเงียบๆ บางครั้งก็จูบซับน้ำตาให้ ปล่อยผมพูดระบายออกมาเรื่อยๆ ผ่านไปนานจนผมปวดตาจนต้องปรือตาลง พร้อมกับความเพลียที่เริ่มจู่โจมจนสติจะดับเต็มที่
“ใครไม่ต้องการมึงก็ช่างเขา แต่กูต้องการมึงนะ”
เสียงกระซิบแผ่วเบา เลือนลางจนเหมือนมันเป็นเพียงความฝัน
-------------
เสียงเสียดโสตประสาทปลุกผมให้รู้สึกตัว นิ่วหน้าด้วยความรำคาญ
ใครมาเปิดเพลงอะไรแถวนี้คนจะหลับ!
เสียงเงียบหาย คิ้วคลายออก กำลังจะหลับอีกรอบ เสียงนั่นก็มาอีกรอบ ผมลืมตาอย่างหงุดหงิด เจอใบหน้าใครบางคนในระยะประชิดก็ทำเอาลืมหายใจไปชั่วขณะ ผละออกห่างแทบไม่ทัน ลูบหน้าตั้งสติก็เริ่มจดจำได้ว่าทำไมเจอพาร์นอนอยู่นี่
เมื่อหายเมาขี้ตาก็เริ่มรับรู้ว่าเสียงเพลงที่ว่ามาจากมือถือตัวเอง กวาดตามองหาที่มาของเสียงก็เจอมันวางอยู่บนหัวเตียงจึงคว้ามาพลิกดูว่าใครโทรเข้ามา
ลูกหว้านี่เอง
ผมพ่นลมหายใจกดรับสาย “ว่าไง”
[ทำไมไม่มาเรียนคะคุณเพื่อน]
เรียน...
“เฮ้ย! กี่โมงแล้วเนี่ย!!”
[เที่ยงแล้ว นี่มึงพึ่งตื่น?]
ผมกำลังจะตอบ โทรศัพท์กลับถูกดึงออกจากมือ ตัวผมลงมานอนแหมะบนฟูกในอ้อมกอดเจ้าของเตียง
“วันนี้ทีไปเรียนไม่ไหวหรอก ให้โดดสักวันแล้วกัน”
[เอ๋!!]
ผมได้ยินเสียงลูกหว้าร้องแค่นั้น พาร์ก็กดตัดสาย ซุกมือถือผมไว้ใต้หมอน อ้าปากหาววอดๆ ไม่สนใจเสียงโวยวายของผมเลย
“มึงไปพูดแบบนั้นได้ไง!!”
“กูพูดอะไรผิด สภาพหน้ามึงเป็นแบบนี้ โผล่ไปให้ใครเห็นก็รู้ว่าร้องไห้มาทั้งนั้น”
ผมเงียบกริบ พอรู้สึกเหมือนกันว่าตาบวม
“นอนต่อเถอะ”
หัวผมถูกกดให้ซบซอกคอพาร์ ตัวก็ถูกพาดกอด เป็นความใกล้ชิดที่ทำเอาร้อนวูบ แม้แต่ใจยังสั่นจนต้องผลักออก
“มะ ไม่ต้องกอดก็ได้”
“กูกอดมึงมาทั้งคืนแล้ว”
ไม่ได้อยากรู้!!
“กูหิวแล้ว จะ...จะไปอาบน้ำ”
กำลังจะลงจากเตียงก็โดนดึงแขนไว้ก่อน แก้มถูกหอมฟอดใหญ่ให้หน้าร้อนผ่าวกว่าเดิม แต่คนทำกลับทำตัวได้ปกติมาก พาร์ลุกจากเตียงทั้งที่ยังทำหน้าง่วง แย่งเข้าห้องน้ำก่อนหน้าตาเฉย คล้อยหลังพาร์ผมก็ทิ้งหัวโขกใส่หลังเจ้าชานม
ไม่ดี...ไม่ดีเลย อยู่กับมันนานๆ ผมคงได้เป็นโรคหัวใจ
วูบหนึ่งเกิดความคิดอยากไปค้างที่อื่นแทน แต่พอนึกถึงหน้าคนขี้หวงยามผมบอก...ยังไงก็ไม่ได้ไป แล้วถ้าไปแบบไม่ได้บอก แค่นึกภาพตอนมันหึงจนหน้ามืดคิดจะจับทำเมียท่าเดียวก็หนาววูบแล้ว
...ผมมีทางเลือกซะทีไหน เฮ้อ
เสยผมออกจากหน้า ลุกมานั่งดีๆ ระหว่างรอพาร์ออกจากห้องน้ำก็พยายามทำให้ใจกลับมาเต้นตามจังหวะปกติ
“ที” พาร์กวักมือเรียกผมจากหน้าห้องน้ำ ดูจากเสื้อที่เปียกคงล้างหน้าแปรงฟันแล้ว
พอเข้าไปหาก็เจ้าของห้องก็พูดแนะนำห้องคร่าวๆ ให้รู้ว่ามีของวางไว้ตรงไหน ผมควรเก็บของตัวเองยังไง...ท่าทางเหมือนพาร์อยากให้ผมมาอยู่ด้วยยาวๆ
ลงมาข้างล่างก็ไม่เจอใครแล้วครับ
ผมเปิดตู้เย็นในครัว และปิดทันที...ตู้เย็นเหมือนไม่ใช่ตู้เย็น แต่เป็นตู้เก็บขนม!
“ขนมในตู้เย็นคือเก็บไว้กินเอง หรือจะเอาไปขายเนี่ย?”
“ทั้งสองอย่าง” พาร์ส่งแก้วน้ำเปล่ามาให้
ผมถามอย่างสนใจ “ขายที่ไหน?”
“ร้านเชนไง ที่มึงเคยไปทำสัญญากับกูน่ะ”
อ้อ ร้านที่อยู่ใกล้ๆ บ้านทากะซัง
“จะไปส่งขนมกับกูไหมล่ะ จะได้ไปหาข้าวกินด้วย”
“ไป”
ผมเลยถูกใช้แรงงานช่วยจัดขนมลงถุง ช่วยหิ้วไปไว้ที่รถ ผมพึ่งรู้ว่ามันต้องทำขนมมาส่งที่ร้านพี่สาวเชนทุกวันอาทิตย์ แต่เมื่อวานมาไม่ได้เลยเลื่อนมาส่งวันนี้แทน ไปถึงก็โดนพี่สาวเชนค้อนใส่ เพราะมันรับปากจะมาส่งตอนเช้า แต่ดันมาซะเกือบบ่ายโมง
“แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนกัน?”
“ขอหยุดวันหนึ่งครับ” พาร์พูดแค่นั้น พี่สาวเชนกลับเข้าใจว่ามันเหนื่อยเลยไม่ติดใจถามอะไรอีก
สั่งข้าวคนละจาน กินเสร็จพวกผมก็กลับ
“อยากแวะบ้านทากะซังไหม?” คนขับถาม
“ทากะซังไม่อยู่ไทย ไปหาก็ไม่เจอตัวหรอก”
“งั้นอยากไปไหนไหม”
“...บ้านคุณย่า”
รถแฉลบไปทางขวานิดหน่อย แต่พาร์หักพวงมาลัยให้รถกลับมาวิ่งเป็นปกติได้ท่วงที
“เล่นอะไรของมึงเนี่ย อันตรายนะโว้ย!”
“ก็มึงทำกูตกใจ!” พาร์สวนกลับมาทันที “แล้วนี่จะไปจริงๆ หรือพูดแกล้งกู”
ผมเงียบเพียงครู่เดียว ก็พูดอย่างจริงจัง “...กูอยากไปจริง”
บรรยากาศในรถเครียดขึ้นมาทันที
“เพราะถ้าไปตอนเย็น...จะเจอพ่อ”
“...มึงหนีไปตลอดไม่ได้หรอก”
“กูรู้”
คนข้างๆ ผม สูดลมหายใจเข้า
“งั้นก็ไปบ้านย่ากัน กูยังจำทางไม่ค่อยได้ มึงคอยบอกทางด้วย”
-------------
“ผู้หญิงรึก็ใช่จะหายาก ทำไมต้องเลือกผู้ชาย!”
ผมก้มหน้ารับฟังถ้อยคำโมโหของผู้เป็นย่า ตั้งใจจะไม่พูดตอบโต้ใดๆ ทั้งนั้น
“เลิกซะ ย่าไม่ชอบ”
ผมยังคงเงียบ แต่มือเริ่มกำชายเสื้อแน่น พยายามอดทน
“หรือเพราะถูกเจ้านิกเลี้ยงมา หึ ย่าคิดไว้แล้วให้ทีอยู่กับเจ้าอรรถดีกว่าเป็นไหนๆ อย่างน้อยก็คงโตมาไม่ผิดเพศ เฮ้อ ดูลุงกับพ่อเราสิ คนหนึ่งมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม อีกคนจะเรียกว่าครอบครัวได้หรือเปล่าย่ายังไม่แน่ใจเลย ถ้าอนาคตทีต้องเป็นอย่างนิก ย่ายอมไม่ได้!”
ผมกัดริมฝีปาก พยายามห้ามตัวเองไม่ให้โต้เถียง แต่ยิ่งฟังคุณย่าพูดเปรียบเทียบลุงนิกกับพ่อมากแค่ไหน ใจก็ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ทนฟังไม่ไหว เผลอเถียงออกไป
“สมบูรณ์พร้อมงั้นเรอะ ย่าเอาอะไรมองถึงเห็นว่าครอบครัวพ่อสมบูรณ์? อ้อ ถ้าไม่นับทีเข้าไปด้วยก็สมบูรณ์อยู่หรอก”
“พูดจาอะไรแบบนี้ ต้องมีทีด้วยอยู่แล้วสิ หรือป่านนี้เรายังคิดว่าเป็นคนนอกอยู่อีก”
“ทีก็นอกคอกอยู่แล้วนี่ พวกเขาไม่ได้ต้องการทีมาตั้งแต่ต้น ทีก็ไม่ได้ต้องการพวกเขาเหมือนกัน”
พูดไปตาก็ร้อนผ่าว พยายามฝืนไม่ให้ร้องไห้ออกมา
“ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วเกี่ยวอะไรกับใคร เขาเป็นความสุขของที เป็นความสบายใจของที แม้แต่ครอบครัวที่คุณย่าพยายามยัดเยียดให้ก็ทำแบบนี้ให้ทีไม่ได้”
“ย่าไปยัดเยียดครอบครัวอะไรให้!”
“ก็ครอบครัวที่ย่ามองว่าสมบูรณ์พร้อมไง” ผมหัวเราะอย่างขมขื่น “มันไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่คุณย่าคิดหรอก หรือคุณย่ามองว่า แค่มีพ่อ แม่ ลูกๆ ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว?”
“ก็ใช่น่ะสิ ดูเจ้านิกสิมีลูกได้ซะที่ไหน ต่อให้อยากมีก็มีไม่ได้”
“คนมีได้ก็ใช่ว่าอยากจะได้ลูก!” ผมเถียงออกไปทันที “อย่างทีนี่ไง เขาต้องการซะที่ไหน”
“เจ้าอรรถแค่ไม่พร้อมเลี้ยงทีตอนนั้น”
“แล้วทำไมลุงนิกเลี้ยงทีได้ล่ะ ถึงกับหิ้วตัวไปอยู่เมืองนอกด้วยกัน ทำงานไปเลี้ยงทีไปกับคนรักของเขา ในขณะที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลือกที่จะผลักไสภาระออกจากตัว”
“เจ้าที!”
“ทีไม่โทษคุณย่าหรอก คุณย่าไม่รู้ ไม่เคยรู้เลย ไม่คิดถามด้วยซ้ำว่าทีคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไรบ้าง คุณย่าเพียงคิดแทนว่าอย่างนั้นดีกับทีแล้ว อย่างนี้เหมาะสมกับที แต่เคยคิดบ้างไหมว่าทีไม่ต้องการ!”
ผมสบตาผู้เป็นย่า ระบายความในใจออกมา
“ย่าคิดว่าทีอยู่กับพ่อแม่แล้วดีงั้นเหรอ รู้ไหมระหว่างผมกับพวกเขามีช่องว่างที่ทำยังไง ต่อให้พยามแค่ไหนก็ไม่มีทางถมเต็ม ผมเหนื่อย แต่ก็พยายามเปิดใจให้พวกเขา ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวเดียวกันเลย มันก็แค่พยายามให้เป็นแบบนั้น แต่เวลาทีอยู่กับลุงนิก ทีไม่เคยต้องพยายาม กับพาร์ก็เหมือนกัน แค่อยู่ด้วยกันก็ดีมากๆๆ แล้ว”
ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาด้วยมือสั่นๆ ดึงรูปใบหนึ่งที่เก็บไว้อย่างดีมาตลอดออกมา
“นี่คือครอบครัวของที” ผมวางรูปใบนั้นใส่มือคุณย่า “เด็กที่ยิ้มมีความสุขคนนั้น วันหนึ่งก็ยิ้มไม่ออกเมื่อเห็นผู้ที่เสมือนพ่อกับแม่แยกทางกันด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แถมต้องย้ายกลับมาอยู่ต่างถิ่น ทุกอย่างรอบตัวไม่คุ้นเคยเลย แค่นั้นก็เครียดพออยู่แล้ว...แต่ญาติผู้ใหญ่ที่ได้พบเจอกลับทำให้เครียดหนักกว่าเดิม”
ผมสบตาคุณย่าที่เงยหน้าขึ้นมามอง
“...ญาติผู้ใหญ่ซ้ำเติมเด็กคนนั้นด้วยการพาคนแปลกหน้าสองคนมาแนะนำว่าเป็นพ่อกับแม่แท้ๆ ไม่สนใจเลยว่าทำจิตใจเด็กคนนั้นเจ็บขนาดไหน และเหยียบย้ำหัวใจเด็กคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งบังคับให้เรียกคนที่เหมือนพ่อว่าลุง ทั้งแย่งเวลาที่เด็กคนนั้นต้องการอยู่กับคนที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุดเพื่อเยี่ยวยารักษาจิตใจ ไม่ให้รักษายังจะราดเกลือลงบาดแผลด้วยการทิ้งให้อยู่กับคนที่บอกว่าเป็นพ่อแม่”
น้ำตาผมร่วงลงมาจนได้ ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น
“โลกทั้งใบของผมแตกสลายไปแล้ว แสงสว่างก็แทบไม่เห็น มืดไปหมด หาทางออกก็ไม่ได้ ผมอยากหนีไปจากตรงนั้น อยากย้อนกลับไปช่วงเวลาก่อนหน้าจะมาที่นี่ และถ้ารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ผมจะไม่ยอมกลับมาแน่ๆ ทุกวันนี้ย้อนกลับไปคิดเมื่อไหร่ก็จะมีคำถามหนึ่งผุดออกมาตลอด ถ้าตอนนั้นทีไม่กลับมา ทีจะมีความสุขมากกว่านี้ไหม”
ผมปาดน้ำตาออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“เมื่อก่อนผมยังเด็กเกินไปที่จะปกป้องหัวใจตัวเอง แต่วันนี้ผมโตพอแล้ว ผมจะไม่ให้ใครทำลายหัวใจมีแต่แผลดวงนี้อีก ทีเจอที่พักรักษาใจของตัวเองแล้ว และไม่คิดจะจากมันไปไหนด้วย แต่ถ้าคุณย่าอยากเหยียบย่ำหัวใจเด็กคนหนึ่งอีกก็เอาเลย ทีจะปกป้องมันให้ดู”
ผมยกมือไหว้ลา “ทีขอกลับก่อนนะครับ”
หมุนตัวเดินผละมาทันที ต่อให้ถูกรั้งตัวก็ไม่คิดอยู่ต่อ ผมออกจากห้องพักผ่อนมาได้ก็เจอคุณปู่กับพาร์กำลังยืนคุยกันอยู่ บรรยากาศค่อนข้างดีจนผมลังเลที่จะเข้าไป
พาร์หันมาเห็นผมก็รีบเดินเข้ามาหาทันที คุณปู่ทำหน้าตกใจแวบหนึ่ง ก่อนลูบหัวผมเบาๆ แล้วเดินผ่านเข้าไปในห้องพักผ่อน
“ร้องไห้อีกแล้ว...” พาร์ปาดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือออกให้
ผมขยับเข้าไปกอดพาร์ วางหัวลงกับไหล่มัน พึมพำแผ่วเบาอย่างเหนื่อยอ่อน
“ขออยู่แบบนี้สักพัก”
พาร์ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงลูบหลังผมอย่างปลอบโยน
“ที!!”
เสียงคุณปู่ร้องเรียกดังลั่นจากในห้องทำผมสะดุ้ง รีบผละจากพาร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง เจอคุณปู่กำลังกอดคุณย่าที่กำลังหมดสติแนบอก
“โทรหาลุงหมอเดี๋ยวนี้!”
ผมลนลานรีบหยิบมือถือกดโทรออกฉุกเฉิน ปลายสายมีคนรับก็รีบละล่ำละลั่ก
“ลุงหมอ!! คุณย่า...”
[ตั้งสติ แล้วรีบพามาโรงพยาบาล]
สายตัดทันที ผมหันไปหาพาร์ ไม่ทันอ้าปาก มันก็พูดขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยวกูไปเอารถมารับ”
ผมมองพาร์วิ่งออกไปก็รีบตรงไปช้อนตัวคุณย่าขึ้นมาอุ้ม เดินเร็วๆ ตรงไปยังทางเข้าหน้าบ้าน มีคุณปู่พยายามเดินตามมาติดๆ รอไม่นาน รถสีเงินก็มาจอดเทียบ คุณปู่ช่วยเปิดประตูให้ หลังจากขึ้นรถกันเรียบร้อยก็ตรงไปโรงพยาบาลทันที
ครั้งนี้พาร์ไม่ได้ขับเร็วท้านรก ผมเข้าใจว่าพาร์กลัวคุณปู่ตกใจ ผมคอยบอกทางไปโรงพยาบาล ใช้ทางลัดได้ก็ใช้ ไปถึงโรงพยาบาลก็เห็นลุงหมอพร้อมทีมแพทย์มือหนึ่งประจำร้องพยาบาลออกมายืนรอรับพร้อมอุปกรณ์การแพทย์ และเตียงเคลื่อนที่พร้อม
ผมกับพาร์ช่วยหิ้วปีกคุณปู่เดินกึ่งวิ่งตามเตียงคุณย่าจนมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ถึงปล่อยคุณปู่ให้นั่งพักตรงม้านั่ง
“...คุณปู่ คุณย่าเป็นแบบนี้เพราะทีใช่ไหม?”
“อย่าคิดมาก แค่โรคคนแก่กำเริบเท่านั้นเอง”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่...
“...ทีไปหาพี่แพรก่อนนะ”
ผมพูดแค่นั้นก็เดินจากมา พาร์ทำท่าจะตามมา แต่ผมส่ายหน้าบุ้ยใบ้ให้มันอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่ โรงพยาบาลที่นี่ต่อให้หลับตาเดินผมก็ไปถูก กดลิพต์ลงมาถึงชั้นทำงานของจิตแพทย์ประจำตัวก็เดินไปเคาะหน้าห้องทำงานพี่แพรทันที ถ้ามีเสียงให้เข้าไปได้แสดงว่าพี่แพร์ว่าง แต่ถ้าไม่ก็ต้องไปหาที่นั่งรอจนกว่าคนไข้จะออกมา
“เชิญค่ะ”
ผมเปิดประตูเข้าไปทันที เจอหน้าคนคุ้นเคยกันดีก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมา พูดสั้นๆ
“ทีไม่ไหวแล้ว”
############
ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมสนุกค่ะ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นที่โพสมา
ทุกคอมเม้นต์ถือเป็นยาชูกำลังสำหรับเราเลยค่ะ 555
ก็ขอฝาก 'ชลนที' ไว้กับทุกท่านจนกว่าจะถึงปลายทางนะคะ : )
[ประกาศผลผู้ได้รับหนังสือ]
Thanna
uknowvry
รบกวนผู้ได้รางวัลทั้งสองติดต่อมาที่เพจเราด้วยนะคะ