จูบที่สิบห้า สายฝนโปรยปรายลงมาตอนผมเดินออกจากห้างพร้อมกับรอง สวนทางกับคนจำนวนมากที่พากันวิ่งเข้าห้างเพื่อหลบฝน เราไม่ได้จับมือกันแม้จะอยู่ในสภาวะที่อาจทำให้พลัดหลงกันได้ง่ายๆ แบบนี้ อันที่จริงเราปล่อยมือกันทันทีที่พ้นสายตาของธีร์...ความรู้สึกบางอย่างบีบให้ผมทำแบบนั้น อาจเป็นความอึดอัด...ไม่ก็ความรู้สึกผิด
เรามาถึงจุดรอรถสาธารณะเพื่อนั่งแท็กซี่กลับหอพักมหา’ลัย มันอยู่ใต้สะพานลอยที่สามารถข้ามไปยังจุดรอรถอีกฝั่งซึ่งคนแน่นหนา แต่ฝั่งเรากลับมีแค่ผมกับเขา นั่นยิ่งทำให้ความกระอักกระอ่วนระหว่างเรามีมากขึ้น เพราะตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย
หลังจากจูบที่คาดเดาไม่ได้ของผม รองเงียบผิดปกติ
ผมมองฟ้าสีมืดครึ้ม ส่วนรองยืนมองเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นถนนด้วยความนิ่งงัน อย่างน้อยเสียงของฝนก็ทำให้ความเงียบระหว่างเราไม่เงียบจนเกินไป ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศแบบนี้มันแย่ชะมัด
“ขอโทษนะ รองไม่ควรจะมาเจออะไรแบบนี้” ผมเปิดบทสนทนา มองเขาที่อยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตสีเดนิมตัวโคร่งของตัวเอง สายตาคนตัวเล็กยังคงจับจ้องอยู่ที่ความฉ่ำแฉะบนพื้นถนน รถคันหนึ่งแล่นผ่านไป
“เรื่องที่ผมโดนเป๊บซี่สาด” รองกล่าว ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าผม “หรือเรื่องที่พี่จุ๊บจูบผมเพื่อประชดธีร์เมื่อกี้ล่ะครับ”
“...”
“...”
“พี่ขอโทษ” ผมกระซิบ
“ผมรู้ว่าพี่จุ๊บกับธีร์กิ๊กกัน”
“...”
“ผมรู้นะ มีคนเคยบอกว่าผมทึ่ม แต่เชื่อไหมว่าผมน่ะรู้อะไรมากกว่าพวกเขาคิดว่าผมรู้ตั้งเยอะ ผมมองคนออก“ เขายิ้มออกมา แม้ในเวลาที่น่าจะเศร้าที่สุด “แค่เห็นแววตาที่พี่มองธีร์แค่แวบเดียว ผมก็รู้แล้ว”
“...”
“ผมรู้ด้วยพี่จุ๊บไม่อยากมาดูหนังกับผมจริงๆ หรอก”
“มะ...” อ้าปากจะปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาของคนตัวเล็กที่มองผมได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็เป็นอันต้องเก็บคำพูดนั้นไว้
“น่าขำดีนะครับ รู้ว่าพี่ไม่ได้อยากมาจริงๆ หรอก แต่ผมก็ยังจะมา”
“...”
“รู้ว่าพี่คงไม่ได้ชอบผมแบบแฟนหรอก แต่ก็ยังจะหวัง”
“...”
“อย่าทำหน้าลำบากใจแบบนั้นดิพี่ ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น”
ผมเม้มปากแน่น
“หรือพี่คิดครับ”
รองเอียงหน้ามองผมอย่างขี้เล่น กลั้วหัวเราะในลำคอ หากผมสัมผัสได้ว่าในรอยยิ้มและคำพูดทีเล่นทีจริงแบบนั้นมันก็ยังเจือไปด้วยความคาดหวังที่จริงจังของเขา
ผมตัดสินใจแล้วว่ามันถึงเวลาที่ต้องพูดความจริงสักที
"รอง"
“...นั่นไง” เขายังมีทีเล่นเหมือนผมกำลังจะบอกรักยังไงยังงั้น
"พี่ว่า...เป็นพี่น้องมันคบกันได้ยาวดีว่ะ" ผมพูดมันออกไปในที่สุด รอยยิ้มของรองหายไปพร้อมกับความวูบไหวในแววตาที่ปรากฏให้เห็นแวบหนึ่ง แต่ไม่กี่วินาทีเขาก็กลับมาอมยิ้ม สูดหายใจ และผงกหัวลงเชิงยอมรับ
"นั่นคือคำปฏิเสธสินะ"
ผมพยักหน้า
"ว่าแล้วเชียว” เขาประนมมือเข้าหากันและตบลงเบาๆ “ไม่เป็นไรครับ”
รถอีกคันแล่นผ่านเรา เสียงล้อเบียดกับน้ำฝนดังเข้าหู ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องดังสนั่น หากเราไม่มีใครปิดหู
“เรา...จะยังเป็นพี่น้องกันใช่ไหม” ผมถามเขาด้วยความซื่อตรง ทำให้รองหัวเราะแห้งออกมา
“ก็พี่เพิ่งบอกว่าไม่ได้คิดกับผมเกินกว่านั้น”
“...ขอโทษ”
“จริงๆ คำว่าเป็นพี่น้องคบได้ยาว เป็นได้ตลอดชีวิตมันก็ความหมายเดียวกับเขาไม่เอานั่นแหละครับ เราจะเป็นอะไรตลอดชีวิตก็ได้หมดแหละถ้าคิดจะเป็นซะอย่าง...ผมเข้าใจดี ผมโดนจนชินแล้ว" เขาปลอบเมื่อเห็นความลำบากใจบนหน้าผม “แค่พูดเฉยๆ นะ ผมไม่เป็นไรจริงๆ พี่”
“ขอโทษ...พี่ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยสาบาน" ผมซบหน้าลงกับฝ่ามืออย่างรู้สึกแย่เต็มที แต่คนตัวเล็กก็จับมือผมออก ใช้นิ้วชี้จิ้มรอยย่นบนคิ้วให้คลายลง ผมมองเขาอย่างอ่อนใจ แม้ในสถานการณ์ที่เขาควรจะโกรธที่สุด แต่เขาก็ยังเลือกจะทะนุถนอมความรู้สึกของคนอื่น...แถมยังเป็นคนที่ทำร้ายใจของเขาเอง
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว นี่ไม่ใช่ความผิดพี่ซะหน่อย” คนหน้าสวยแก้ ยิ้มแฉ่ง “ความรู้สึกผม ผมรับผิดชอบเอง แล้วพี่ไม่ต้องห่วง ผมยังอยากเป็นน้องรหัสพี่อยู่ พี่จุ๊บยังเป็นพี่รหัสที่ผมรักและเคารพเสมอ"
"...ขอบใจ"
“ลืมไปว่ารักไม่ได้ เคารพอย่างเดียวก็ได้ครับ” รองแก้ ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยทำได้แค่ยิ้มขื่นให้แล้วตบบ่าน้องเบาๆ จังหวะนั้นเองที่รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบท่าพอดี
“ไปเลย เดี๋ยวพี่ต้องข้ามไปฝั่งนู้น”
“อ้าว สรุปมาส่งผมเหรอ”
“ใช่” ผมตอบ “กลับบ้านดีๆ”
“แล้วเสื้อนี่...เดี๋ยวผมซักมาคืนนะครับ” คนตัวเล็กจับชายเสื้อแจ็คแก็ตสีเดนิมของผมที่เขาใส่อยู่ “แต่อาจจะนานหน่อย” เขาโคลงหัวเมื่ออ้างถึงเวลาที่เขาอาจจะหายไปเลียแผลใจ
“เก็บไว้เลยก็ได้” ผมบอก “ไม่ต้องคืนหรอก พี่ให้”
“บ้า ผมก็ยังอยากเอามาคืนพี่นะ”
“ฮ่าๆๆ โอเค” ผมตอบรับ และอวยพรเขา “ดูแลตัวเองดีๆ นะ”
“เนี่ย ชอบทำตัวแบบเนี้ยอยู่เรื่อย จะไม่ให้รักได้ไง” รองจับมือผมที่วางนิ่งอยู่บนบ่าเขา แล้วยกขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบา ผมชะงักไปแต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เขาทำแบบนั้น ไอร้อนจากปากคนตัวเล็กถ่ายลงบนหลังมือของผมชั่วครู่ก็หาย
"ธีร์เผลอแล้วเจอกันนะพี่"
เขาขยิบตา แล้วก้าวขึ้นรถไป ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่ยานพาหนะสีเขียวเหลืองแล่นออกท่ามกลางแรงกระหน่ำของพายุฝน มองภาพน้องรหัสค่อยๆ ไกลออกไป ในใจรู้สึกเศร้าประหลาด
เราล่ำลากันตรงนั้น มันเป็นการล่ำลาที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนานแค่ไหนจนกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งโดยที่ไม่มีความรู้สึกใดคั่งค้าง สิ่งที่พอจะทำได้เพียงหวังว่าอย่าให้นานจนเกินไป
รองเป็นคนดี เขาสมควรจะได้รับความรักดีๆ และไม่ควรจะได้รับการปฏิบัติด้วยการให้เป็นรองหัวใจใครทั้งนั้น
คงจะดีถ้ามีคนพูดประโยค ‘ชอบทำตัวแบบเนี้ยอยู่เรื่อย จะไม่ให้รักได้ไง’ กับเขา
เพียงแต่คนๆ นั้นไม่ใช่ผม...แค่นั้นเอง
สายฝนกระหน่ำรุนแรงขึ้นหลายเท่าเมื่อผมกลับมาถึงบ้าน
ผมลงจากแท็กซี่ เดินฝ่าพายุเข้าบ้านโดยไร้ที่กำบัง ปล่อยให้สายฝนชโลมร่างกายหวังว่าจะระบายความรู้สึกหนักอึ้งในใจไปได้ กว่าจะถึงประตูก็อยู่ในสภาพเปียกม่อล่อกม่อแลก
“จุ๊บ!” ผมได้ยินเสียงแม่ทันทีที่เปิดประตู พบว่าผู้หญิงร่างท้วมผมบ๊อบเทกำลังนั่งอยู่ตรงโซฟาที่ประจำ ท่านสวมชุดทำงานสีกากีเหมือนทุกวัน ข้างๆ มีป้าเด้าที่วันนี้ตีผมขึ้นเป็นกระบังลมคล้ายทรงนางงามไทยสมัยก่อน ร่างเพรียวนั่งไขว่ห้างกับโซฟาอยู่ในชุดเดรสสีเงินแวววับ กับจีบที่นั่งกดโทรศัพท์ใหญ่เหมือนกำลังเล่นเกม และป้าแก้วที่นั่งถักโครเชอยู่ถัดออกไป
“ไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมเปียกมาขนาดนี้” แม่โวยวาย แล้วกระวีกระวาดหาผ้าเช็ดตัวให้ผมใหญ่ ท่านดึงผมไปนั่งบนโซฟา ซึ่งผมก็เดินตามอย่างว่าง่าย
“ไปถ่ายเอ็มวีอกหักมาเหรอวะ” ป้าเด้าแซว ผมยิ้มเจื่อนให้อย่างไม่รู้จะตอบยังไง...ความรู้สึกตอนนี้มันเรียกว่าอกหักได้หรือเปล่า
“มา แม่เช็ดให้” แม่กลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวสะอาดผืนใหญ่ ทันทีที่เนื้อผ้านุ่มและมืออุ่นของแม่สัมผัสลงบนใบหน้าของผม ลำคอของตัวเองก็ตีบตันขึ้นมาเสียเฉยๆ
“จุ๊บ...เป็นอะไร” แม่ถามเมื่อเห็นผมนิ่งไปเหมือนคนไร้วิญญาณขณะที่เธอเช็ดเส้นผมหยอยอันเปียกโชก ผมรู้สึกคัดจมูกคล้ายหายใจไม่ออก ทันใดนั้นน้ำตาเม็ดโตก็ทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เธอ ร้องไห้ทำไม”
“อ้าว เอ็มวีอกหักจริงด้วย” ป้าเด้าพูดเสียงช็อค
“แม่...” ผมโผเข้ากอดท่าน ตาร้อนผะผ่าวเพราะมวลน้ำตาที่พรั่งพรูลงมาอย่างกับเขื่อนแตก “คู่ชีวิตนี่มันเลิกเป็นกันได้ไหมครับ”
“เธอ...”
“จุ๊บ...จุ๊บไม่ไหวแล้ว” ผมสารภาพ สะอึกสะอื้นจนตัวโยน “จุ๊บทำอย่างที่แม่บอกไม่ได้...ไม่ได้จริงๆ”
“ใจเย็นๆ...”
หลังจากนั้นแม่ไม่ถามอะไรผมอีก ท่านปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่อย่างนั้น พร่ำบอกว่าไม่เป็นไรและตบหลังผมเบาๆ อย่างปลอบโยน จีบทิ้งโทรศัพท์ของเธอและเข้ามากอดผมด้วยความปลอบใจ รวมไปถึงป้าเด้าและป้าแก้วที่มองอยู่ห่างๆ ด้วยความสงสาร
“ใครทำคนดีของน้อง น้องจะไปต่อยมัน” จีบกระซิบถามแล้วจับมือผมไว้แน่น ผมส่ายหัวอย่างอธิบายลำบาก
“ไม่เป็นไรเนาะ อยากร้องก็ร้องออกมา...ร้องเสร็จค่อยเล่าให้แม่ฟัง เราจะได้แก้ปัญหากัน”
“ฮึก... แก้ไม่ได้ครับ จุ๊บ...จุ๊บพยายามแล้วจริงๆ...”
“ร้องไห้ทำไม”
หากเสียงแหบแห้งของใครบางคนก็ทำให้ผมชะงัก
ในม่านน้ำตาเลือนราง ผมมองเห็นเงาของใครบางคนเดินออกมาจากด้านหลังบ้าน...ชายผอมซูบผู้มีผิวสีเข้มจากการปฏิบัติงานภาคสนามมาหลายสิบปี โครงหน้าแบบชายไทยแท้ดุดันที่มีริ้วรอยตามกาลเวลาปรากฏแก่สายตาอย่างชัดเจนเมื่อผมปาดน้ำตาออกหมดแล้ว
ผู้ชายที่ผมเลี่ยงการเผชิญหน้าตั้งแต่การเจอกันครั้งสุดท้าย
...พ่อกลับบ้านมาบ้านแล้ว
นาทีนั้นทั้งห้องโถงเงียบกริบ มีเพียงเสียงทีวีของละครหลังข่าวที่ดังทำลายความเงียบอยู่เนืองๆ ความรู้สึกของผมตอนนี้มีทั้งความดีใจและความกลัว หมายถึงผมดีใจที่พ่อกลับมารักษาตัวได้ที่บ้านสักทีหลังจากนอนโรงพยาบาลหลายเดือน ในขณะเดียวกันผมก็ไม่อยากให้พ่อเห็นสภาพของผมตอนนี้ซึ่งมันแย่มากเหลือเกิน
ตั้งแต่เด็ก พ่อไม่ชอบเห็นผมร้องไห้ มันแสดงถึงความไม่เข้มแข็ง
“เป็นผู้ชายอย่าร้องไห้” พ่อดุผมด้วยประโยคนี้เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ไล่สำรวจรายละเอียดของตัวผมที่เปียกปอนแล้วมองด้วยสายตาดุๆ
ผมเช็ดน้ำมูกน้ำตา แล้วยกมือขึ้นไหว้พ่อ พยายามกลั้นแรงสะอื้นจากในอกที่ออกฤทธิ์เป็นพักๆ
“ร้องไห้ทำไมบอกพ่อซิ” จู่ๆ พ่อก็มานั่งปุลงข้างผม กลายเป็นว่าผมโดนทั้งพ่อและแม่นั่งขนาบข้างในตอนนี้ และมีป้าเด้านั่งฝั่งตรงข้ามอีกที
แม่บีบมือผมเชิงให้กำลังใจ ผมมองหน้าท่านและได้รับการพยักหน้ากลับมา แต่กระนั้นก็ยังกังวล
“ไม่...ไม่มีอะไรครับ” ผมตอบไม่เต็มปาก
“จะไม่มีอะไรได้ยังไง ก็ลูกพ่อร้องไห้ขนาดนี้” พ่อเอ่ยแล้วยกมือขึ้นมายีผ้าขนหนูบนหัวผม ยิ่งมีคำว่า ‘ลูกพ่อ’ ที่ผมไม่ได้ยินมานานหลายปี มันยิ่งทำให้ผมกลั้นน้ำตาตัวเองไม่ไหวอีกครั้ง
“เพราะไอ้หนุ่มดารานั่นเหรอ” พ่อถาม แค่นั้นผมก็เสียการควบคุม แม้รู้ว่าจะได้ยินเสียงดุจากพ่อตามมาก็ตาม…
แต่...คราวนี้พ่อกลับไม่ดุ เขากลับยกมือขึ้นมายีหัวแล้วดึงผมเข้าไปกอดหลวมๆ แล้วตบหลังผมแรงๆ เหมือนที่ท่านชอบทำตอนผมเด็ก เพียงแค่นั้นผมก็หลับตาแน่นและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเต็มที่ ครั้งนี้มันมีส่วนผสมที่มากกว่าความเสียใจ
“จุ๊บขอแป๊บเดียวนะครับ สัญญาว่าจะไม่ร้องอีก”
ผมสะอึกสะอื้นท่ามกลางการประคองของผู้ให้กำเนิด พ่อส่งเสียงชู่จากปากเป็นสัญญาณให้ผมเงียบในแบบผู้ชายปลอบกัน ทว่ามือยังลูบหลังผมเบาๆ คล้ายบอกว่าร้องให้เต็มที่ ชั่วขณะนั้นเองหูผมแว่วเสียงกดกริ่งจากหน้าบ้าน และได้ยินป้าเด้าเสนอตัวไปรับแขก
เวลาผ่านไปไม่กี่นาที ตาผมบวมเป่งจากการแสดงความรู้สึกจนมวลพายุในอกสงบลง ผมรวบรวมสติควบคุมอารมณ์ และหยุดการร้องไห้ของตัวเองได้ในที่สุด ยืดตัวขึ้นเองนั่งสูดหายใจท่ามกลางสายตาห่วงใยแฝงความสงสัยของทุกคนในครอบครัว ขณะนั้นก็รู้สึกขายหน้าขึ้นมา
งอแงเป็นเด็กๆ เลยว่ะ
ผมกำลังคิดว่าจะตอบคำถามจากทุกคนยังไง ทว่าป้าเด้าก็เข้ามาเรียกซะก่อน
“จุ๊บ มีเพื่อนมาหา” ป้าผู้มีทรงผมกระบังลมบอก “ผู้ชายหล่อๆ สูงๆ โคตรขาว ชวนเขาเข้ามาแล้วแต่เขายืนยันจะรอข้างนอก”
ผมรู้ทันทีว่าเป็นใคร วินาทีนั้นความคิดว่าไม่อยากออกไปเจอเขาก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมหันไปมองแม่ราวกับขอความเห็น ท่านมองผมแล้วเดาออกทันที ยกมือขึ้นจับแก้มแผ่วเบาและถามออกมาเรียบง่าย
“ถ้าไม่อยากไปเจอก็ไม่ต้องไป” แม่บอก “ถ้าคิดว่ายอมแพ้แล้วคนนี้ ไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว และเขาไม่ควรได้รับโอกาสอะไรจากเราอีกแล้ว เดี๋ยวแม่จะไปบอกเขาให้กลับไปเอง”
ผมเงียบ จู่ๆ ความรู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่านก็ผุดขึ้นมาตีกับความรู้สึกก่อนหน้า แม่มองผมแล้วลุกขึ้นช้าๆ เหมือนจะออกไปแทน
แต่...ผมรั้งมือแม่ไว้ในจังหวะสุดท้าย หญิงวัยกลางคนปรนลมหายใจแล้วพยักหน้ายอมรับพร้อมรอยยิ้ม แกะมือผมออกแล้วเดินไปหยิบร่มสีใสส่งมาให้
“เอานี่ออกไปด้วย และอย่าใช้อารมณ์คุยกันล่ะ”
สายฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงโดยง่าย ผมเดินกางร่มออกไปหยุดที่ประตูบ้าน โครงเหล็กสีน้ำเงินคั่นกลางระหว่างตัวผมกับรถสีขาวของเขาที่จอดเลียบกำแพงรั้ว
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าธีร์หาบ้านผมเจอได้ยังไง บางทีผมอาจจะเผลอบอกไปสักครั้งในที่เรายังคุยกันดีๆ หรือบางทีเขาอาจจะถามกับคนรู้จักของผม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นคือเขามาอยู่ที่นี่ ในตอนนี้ที่เราเพิ่งผ่านสงครามประสาทครั้งล่าสุด และผมไม่แน่ใจว่าเขาจะมาดีหรือร้าย
ร่างสูงก้าวลงลงจากรถมาในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่และกางเกงแสล็คสีดำธรรมดา ไม่มีร่มหรือสิ่งกำบังอย่างอื่นที่ทำให้เขาปลอดภัยจากฝนฟ้าคะนอง เขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้าผม ไม่กี่วินาทีคนเป็นดาราก็เปียกโชก แต่ก็ยังยืนยันจะอยู่ในสภาพแบบนั้น
เราประสานสายตากันผ่านโครงเหล็กท่ามกลางเสียงกระหน่ำของธรรมชาติและความหนาวเหน็บ
“ตอนเรายังเด็ก ก่อนหน้าที่พ่อกับแม่จะเลิกกัน พี่จุ๊บรู้ไหมว่าเราเคยเป็นเด็กที่โดยสปอยล์มาก” ธีร์เริ่มเล่า “อยากไปไหนก็ต้องได้ไป อยากได้อะไรก็ต้องได้ กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ จนกระทั่งเราโตขึ้น พ่อแม่เราเริ่มระหองระแหง เรารู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีอำนาจทำอะไรได้เลย แม้แต่การบอกให้เขาอยู่ด้วยกันเพื่อเรา...
“พอเข้าวงการ เราก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่ควบคุมชีวิตของตัวเราเอง มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่ยิ่งเราควบคุมอะไรไม่ได้แล้วก็ยิ่งมีความอยากจะกลับไปทำแบบนั้น ถ้าเป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การทำงาน ทุกอย่างที่เราอยากจะได้ เราก็ต้องได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม...
“แต่บางทีเราก็ลืมไปว่าสิ่งที่เราทำมันคือการทำร้ายความรู้สึกคนอื่น และที่แย่คืออะไรรู้ปะ คนๆ นั้นเป็นคนที่เรารัก”
เขาเล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดา มุมปากมีรอยหยักยิ้มแบบขมขืน แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนล้าที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นคนผิวขาวสว่างก็ยังพยายามจะเล่าต่อ ไม่ได้สะทกสะท้านต่อแรงกระทบของน้ำฝนบนใบหน้าเลยสักนิด
“เคยคิดว่าเราเป็นคนมีความอดทนสูง เราอดทนกับทุกอย่างได้จริงๆ แต่สายตาที่พี่จุ๊บมองเราวันนี้ สายตาแบบนี้” เขาพยักพเยิดมาที่ความว่างเปล่าในแววตาผม “เราทนไม่ได้จริงๆ ว่ะ”
ธีร์ยกมือลูบเส้นผมเปียกโชกแล้วจัดไปด้านหลังราวกับอยากตั้งสติ ผมเม้มปากมองเขาด้วยความเห็นใจที่ค่อยๆ เติบโตภายใน แต่ประสบการณ์เลวร้ายก่อนหน้านี้มันก็ยังทำให้ผมคิดหนัก
“นายพูดถูกทุกอย่างเกี่ยวกับเรา..พูดถูกตลอดเวลา เรารู้ว่าเราแม่งเหี้ย และเราโคตรเสียใจที่ทำลงไป”
“...”
“และถ้าพี่จุ๊บยังมีความรู้สึกดีๆ กับเราเหลืออยู่ เราอยากให้กลับมาคุยกันดีๆ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร”
“...”
“เพราะเรายอมทำทุกอย่าง เพื่อไม่ต้องเจอกับสายตาแบบนั้นอีก”
เขาก้มหน้ามองลงอย่างรู้สึกผิด ดูรู้ว่าไม่กล้าสบตาผมเพราะกลัวคำตอบที่ผมอาจจะให้ ผมถอนหายใจออกมาแล้วเปิดประตูบ้านออก เดินเข้าในประจันหน้ากับเขาโดยไม่ให้เขตประตูรั้วกั้นขวางเราอีกต่อไป
เรามองหน้ากันด้วยความลำบากใจที่ปิดไม่มิด ที่เขาพูดมันอาจเป็นแค่ลมปากที่มาจากความรู้สึกผิดชั่วครั้งชั่วคราว เรื่องทั้งหมดนี้มันอาจลงเอยด้วยการทำผิดพลาดของเขา และจะกลับมาทำร้ายจิตใจผมอีกครั้ง ผมสามารถไม่ยกโทษให้เขา บอกให้เขาไปไกลๆ และไม่ต้องมาเจอกันอีกตลอดไป
หรือผมจะเลือกให้อภัย จับมือเขาแล้วตั้งต้นกับเรื่องความสัมพันธ์ของเราใหม่ ซึ่งมันอาจมีเรื่องเหนื่อยใจประดังประเดเข้ามามากกว่านี้
โอกาสของเขาขึ้นอยู่กับผมแล้ว
“อย่าเงียบนานแบบนี้สิ เรากลัว” ธีร์กระซิบด้วยท่าทางหงอเหมือนหมาตกน้ำ “บอกเราทีว่าเรายังมีโอกาสทำอะไรเพื่อชนะใจพี่จุ๊บได้อีกไหม”
“เราเป็นอะไรกัน” ผมครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจตอบเขาด้วยคำถามที่เขาชอบถามบ่อยๆ หลังจากปล่อยให้ตัวเองเป็นผู้ฟังมานาน
“ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว” เขาบอก “เรายอมเป็นทุกอย่าง แค่อยู่ในชีวิตพี่จุ๊บ”
“เราเป็นมากกว่าแฟน...”
“แต่ไม่ใช่พี่น้อง เรารู้”
“เป็นปะ...”
“...ฮะ?”
“แฟนอะ เป็นปะ” “...”
“...”
“...ตอบช้าเปลี่ยนใจไม่รู้ด้วยนะ”
“เป็น...เป็น! กำลังตกใจอยู่” เขาร้องออกมาเสียงดังเหมือนเด็กได้รางวัล ไม่เหลือภาพพจน์ของความเท่แบบดาราใดๆ หลงเหลืออยู่เลยสักนิด อันที่จริง เขาก็ไม่เคยมีมาดอะไรตอนอยู่กับผมทุกครั้ง
แต่นั่นแหละทำให้ผมรักเขา
ธีร์อาจเป็นคนโมโหร้าย ทำอะไรหุนหันพลันแล่น และเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง แต่เขาก็คือคนๆ เดียวกับเด็กผู้ชายธรรมดาที่สลัดมาดดาราออกก็ไม่ได้เท่ตลอดเวลา ชอบเล่นมุกเสี่ยว และร้องเพลงเพี้ยน เด็กคนนั้นที่ยอมเผยตัวตนอีกด้านหนึ่งให้ผมเห็น คนที่ยอมซ้อมเต้นเพื่อชนะใจผม คนที่ไปต่อยคนอื่นเพียงเพราะเขาเผาผ้าเช็ดหน้าที่ผมเย็บ คนที่เห็นปัญหาของผมเป็นเรื่องของตัวเอง...
...คนที่รักผม
ผมก้าวไปประชิดตัวเขา ระยะห่างของเรามีไม่ถึงสิบเซนติเมตร รับรู้ถึงความชื้นจากตัวเขาและรอยยิ้มกว้างแห่งความยินดี แล้วความคิดประหลาดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว
“ไม่ต้องทำอะไรแล้ว” ผมอมยิ้มบอก “ธีร์ชนะใจเราตั้งนานแล้ว”
วินาทีนั้นผมโยนร่มของตัวเองทิ้ง สัมผัสกับความรุนแรงของสายฝนที่โปรยปรายลงมากระทบร่างกาย ผมจับโครงหน้าของเขา รู้สึกถึงความเย็นชืดจากผิวหนัง และประกบริมฝีปากไปเพื่อถ่ายทอดความร้อนและความรักของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่าย
นั่นคือจูบแรกหลังจากเราเป็นแฟนกัน และมันเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เรารู้ว่าเวลาหยุดลง แต่เราไม่ได้สนใดสิ่งใดนอกจากกันและกัน
รอยจุมพิตถูกประทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า สัมผัสของสายฝนดังตามจังหวะที่ถูกควบคุมจากการจูบนั้น ท่ามกลางปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ผกผัน จู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดของยายที่เคยพูดไว้เหลือหลายปีที่แล้ว ประโยคสุดท้ายก่อนที่ยายจะจากไป
‘จูบกับหัวใจน่ะ เก็บไว้ให้เฉพาะคนที่คู่ควรเท่านั้นนะ’ บอกตามตรงผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงเป็นคนที่คู่ควร แต่ใจผมบอกว่าต้องเป็นคนนี้...แค่คนนี้เท่านั้นจริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะคงไม่มีใครบนโลกนี้ที่ทำให้หัวใจผมแตกสลายได้เท่ากับเขาอีกแล้ว
จูบกับหัวใจที่เก็บไว้...ตอนนี้ผมให้เขาไปอย่างเป็นทางการแล้วครับยายโปรดติดตามตอนต่อไปอยากให้อัพเร็วๆ เม้นท์กันด้วยนะ
หรืออยากติชมหรือกรี๊ดกร๊าดไปที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์นะคะ