บทที่ 30
ทางที่เลือก
“โ ทรมาทำไมแต่เช้าเนี่ยไอ้เหมา”ผมตอบรับปลายสายทั้งที่ยังไม่ลืมตา เพราะยังรู้สึกไม่พร้อมที่จะมีสติ ตอนนี้ผมยังรู้สึกอยากหลับต่อ เพราะปวดหัวเหลือเกิน ผลพวงจากเมื่อคืนโดยแท้ นี่กลับมาถึงโรงแรมได้อย่างปลอดภัยได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
“คุณเพื่อนครับ บ้านมีนาฬิกาไหมครับ”เมื่อไม่เห็นว่ามันจะพูดจุดประสงค์ในการโทรมาของมัน ผมเลยเลือกที่จะเงียบ ไม่ต่อปากต่อคำกะว่าจะนอนต่อเนี่ยแหละครับ
“ไอ้เชี่ยมึงฟังกูอยู่ป่ะเนี่ย หรือหลับไปแล้ว ไอ้ตี้ ไอ้ปาร์ตี้ ไอ้ปรีติ ตื่นมาคุยกะกูก่อน”เล่นตะโกนมาเสียทุกชื่อขนาดนี้ ใครจะไปนอนต่อได้ละครับ
“มีอะไรก็ว่าไป”ผมตอบสนองมันด้วยน้ำเสียงงัวเงียอย่างชัดเจน เพื่อให้มันรีบพูด เสร็จแล้วผมจะได้นอนต่อ
“ข้อแรก ขณะนี้เวลา 11 นาฬิกา 59 นาที 20 วินาที นั่นหมายความว่าอีก 30 วินาทีจะเที่ยงแล้ว ซึ่งที่กูพูดกับมึงอยู่ตอนนี้อนุมานได้ว่า นี่เที่ยงวันแล้ว ขอคุณเพื่อนจงทำความเข้าใจใหม่ว่ากูไม่ได้โทรมาแต่เช้า”ผมพยายามลืมตา ควานหานาฬิกาข้อมือที่วางอยู่ข้างเตียงมาดู โอเคเที่ยงแล้วอย่างที่ไอ้เหมามันบอก แต่แล้วไงอ่ะ ผมเพิ่งกลับมานอนตอนเช้านี่เอง
“แต่เรื่องเวลา นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือวันนี้ วันอะไร มึงลืมไปหรือเปล่า”นี่ถ้ามันเป็นแฟนผม ผมคงคิดว่าผมลืมวันสำคัญอะไรสักอย่าง ประเภทวันครบรอบ วันเกิด หรือวันที่มีความพิเศษสำหรับการเป็นแฟน แต่นี่เราเป็นเพื่อนกัน เพราะงั้น
“วันอะไรวะมึง กูขอโทษ กูลืม ตอนนี้ไม่ทันแล้วใช่ไหม กูต้องทำไงดี มึงโกรธกูหรือเปล่า”ผมแกล้งทำเสียงโอเวอร์ เล่นใหญ่จนยิ่งกว่ารัชดาลัยเธียเตอร์ ก่อนจะหลุดขำออกมา จนไอ้เหมามันถอนหายใจใส่ผม
“มึงตลกพอรึยัง”และดูว่าเพื่อนเหมาของผมจะไม่ขำด้วยสักเท่าไหร่
“ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่างานเค้าไม่ได้จัดทางการ มีแต่ญาติๆ เราไม่ต้องไปก็ได้ แล้วนี่จะมาบ่นอะไรกู”เมื่อพอจะรู้แล้วว่าไอ้เหมาโทรมาทำไม ผมหลับตาลงสูดลมหายใจ วันนี้คือวันหมั้นของคุณแว่นกับน้องปลา แต่อย่างที่บอกครับว่าเค้าไม่ได้จัดพิธีการอะไรมาก เหมือนแค่มีญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอ แล้วก็หมั้นหมายกันไว้แค่นั้น
“ก็ถูก แต่ตอนเย็นเรามีปาร์ตี้สละโสดให้ไอ้แว่นมันนะ และถ้ามึงยังจำได้ เราตกลงกันว่าจะช่วยกันจัดงานนี้ให้ไอ้แว่นมัน”ผมถอนหายใจอีกครั้ง จนคนที่นอนอยู่ข้างๆ เริ่มขยับ ผมหันหน้าไปมองซึ่งเค้าเองก็มองผมอยู่เช่นกัน เราแค่ยิ้มให้กันเฉยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรกันเพราะผมยังติดสายอยู่กับไอ้เหมา
“และถ้ามึงจำได้เช่นกันนะเพื่อนเหมา กูบอกไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานว่าไม่ว่าง และถ้าจะจำให้ได้อีก กูว่ากูบอกแล้วว่ากูมาพัทยาตั้งแต่เมื่อวาน และถ้าจะจำได้อีกสักอย่างนึง เรื่องสละโสดเนี่ยเราแจ้งทางร้านไปแล้วว่าอยากได้คอนเซปต์แบบไหน ร้านเค้าก็บอกแล้วว่าจัดให้ได้”ผมอธิบายย้ำเพื่อให้มันเข้าใจ จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะรับหน้าที่ในการจัดการเรื่องนี้หรอกนะครับ แต่ติดที่ไอ้เหมานี่แหละที่เจ้ากี้เจ้าการ แน่นอนมันไม่ยอมแพ้ผม เพราะยังหาเหตุผล ร้อยแปดมาแย้งผมอยู่ดีว่า ผมควรรีบกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปช่วยมันดูสถานที่และความเรียบร้อย
“คนที่ไปเค้าแค่อยากไปกินเหล้าแค่นั้นแหละมึง จะคิดมากทำไม เจอกันเย็นนี้ละกัน”ผมชิงตัดสายก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมตะแคงตัวมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งเค้าก็ตะแคงมองผมอยู่เช่นกัน ผมมาที่นี่กับเค้าตั้งแต่เมื่อคืน เค้าพาลูกค้ามาเลี้ยงรับรองที่พัทยา ส่วนผมแค่ติดสอยห้อยตามมา เพราะอยากเลี่ยงบางอย่าง
“เสียดายเมื่อคืนเมามากไปหน่อย”นิ้วเรียวยื่นมาเกลี่ยไปตามใบหน้าของผม ผมยิ้มเยาะให้กับเค้า เพราะคำพูดที่เค้าหมายถึงมันตีความหมายจากแววตาหื่นๆ นั่นได้ แต่ระหว่างเราสองคนเมื่อคืนไม่ได้มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้น ก็จะให้มีอะไรได้ยังไงเมาพับกันทั้งคู่ขนาดนั้น พากันกลับมาถึงโรงแรมได้นี่ก็เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว เล่นอยู่กันจนสว่างขนาดนั้น เรียกว่าเป็นการเที่ยวที่สุดเหวี่ยงมากๆ ของผมอีกครั้งในรอบหลายปีเลยทีเดียว ไม่ได้ทำอะไรสุดๆ หลุดๆ แบบนี้ตั้งแต่เรียนจบแล้วละครับ
“ปากดี”ผมบอกกับเค้าอย่างท้ายทาย แม้ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเป็นแฟนกับเค้าแต่ตอนนี้ผมก็ปล่อยให้เค้าเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวทีละน้อย ทีละน้อย
“ใครกันแน่ที่ปากดี”และไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวเค้าขยับขึ้นมาคร่อมตัวผมไว้ สายตาเราประสานกัน ก่อนเค้าจะค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม ผมหลับตาลงพร้อมกับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก แล้วค่อยๆ เปลี่ยนมาที่เปลือกตาของผม ก่อนผมจะต้องสะดุ้งลืมตาเพราะแรงกัดที่ซอกคอผม แม้จะไม่ได้รุนแรงมากแต่มันก็รู้สึกได้ว่ารอยคงชัดมากแน่ๆ
“ขออะไรอย่างได้ไหม”เค้าทิ้งน้ำหนักตัว นอนทับกับตัวของผม แล้วกระซิบที่ข้างหู ผมรู้ว่าเค้าจะไม่ทำอะไรผมมากไปกว่านี้ เพราะเราตกลงกันไว้แล้วว่า ถ้าวันนึงเราจะมีความสัมพันธ์ทางกายที่มันลึกซึ้ง วันนั้นสถานะของเราต้องไม่ใช่เพื่อนกันแล้ว แม้จริงๆ สิ่งที่เราทำกันอยู่มันจะเกินขอบเขตคำว่าเพื่อนมาแล้วก็ตามที แต่สิ่งที่ผมขอไว้คือถ้าผมยอมรับเค้าในฐานะแฟนอีกรอบเมื่อไหร่ นั่นแสดงว่าผมพร้อมที่จะรับเค้าเข้ามาในชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว
“ขอเป็นแฟนเหรอ”ผมแกล้งแหย่
“เป็นปะละ โปรโมชั่นพิเศษ เป็นแฟนวันนี้ดูแลฟรีตลอดชีวิตเลยนะ”เค้าพลิกตัวลงนอนข้างๆ พร้อมบอกกับผมยิ้มๆ บางทีผมก็คิดนะครับ ว่าเค้าจะทนผมที่เป็นแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน ตัวเค้าเองทั้งรูปร่างหน้าตา การทำงานที่ดูมั่นคง เรียกว่าน่าจะมีคนพร้อมเป็นแฟนกับเค้าเยอะแยะ ที่ไม่ต้องมาทนเสียเวลารอคนอย่างผม
“สรุปจะขอไร”ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงดึงชุดนอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะถามย้ำ เพราะเค้าคงมีเรื่องจะขอ ที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมแหย่ไป ผมว่าส่วนนึงที่เค้ายังรอผมอยู่แบบนี้มันก็คงเพราะผมเองนี่แหละ ที่มีส่วนทำตัวให้ความหวังเค้า
“เย็นนี้...งานสละโสดอะไรนั่น ตี้ไม่ไปได้ไหม”ผมหันมองเค้าอย่างสงสัย ปกติเค้าแทบไม่เคยอะไรกับการไปไหนมาไหนของผม อาจจะมีถามบ้าง แต่ก็ไม่เคยว่าอะไรเลย
“อรรถรู้ว่า เรายังไม่ใช่แฟนกัน อรรถไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายเรื่องของตี้กับเพื่อน แต่ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว...ได้ไหม”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ก็พอรู้ว่าเค้าคงไม่สบายใจที่ผมจะไปเจอคุณแว่น แม้ผมจะยืนยันกับเค้าไปแล้วว่าระหว่างผมกับคุณแว่น มันไม่มีทางที่จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ในเมื่อผมเองก็ไม่ได้ชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์กับอรรถ เค้าก็คงต้องมีความไม่มั่นใจในตัวผมอยู่บ้าง ผมก็เข้าใจเค้านะครับ แต่ถ้างานนี้ผมไม่ไป คนขี้สงสัยอย่างไอ้เหมา คงจับสังเกตุอะไรได้อีกแน่นอน
“คือ...เรา”ผมไม่รู้จะตอบกับเค้าว่ายังไง ใจจริงผมก็ไม่อยากไปหรอกนะครับ เพียงแต่ไม่อยากให้คนอื่นผิดสังเกตุ
“งั้นอรรถขอใหม่ ไม่ว่าตี้จะไปหรือไม่ไปงานสละโสดอะไรนี่ก็แล้วแต่ แต่อรรถจะไปรอตี้ที่ร้านเดิม ที่เราไปด้วยกันบ่อยๆ ถ้าตี้ไปเจออรรถที่ร้านนั่นหมายความว่าตี้ยอมตกลงเป็นแฟนกะอรรถ แต่ถ้าตี้ไม่มาอรรถจะไม่มากวนใจตี้อีก”นี่เค้ากำลังให้ผมตัดสินใจใช่ไหม มันคงมาถึงจุดที่เค้าอยากได้ความชัดเจนจากผมแล้ว ถ้าผมตัดสินใจจะเดินต่อ เค้าก็คงพร้อมจะเดินไปพร้อมผม แต่หากผมยังไม่พร้อม ผมเองก็คงไม่มีสิทธิ์ ที่จะเหนี่ยวรั้งเค้าเอาไว้
“ค่อยๆ คิด แต่ถ้าไม่อยากให้อรรถรอนานตี้ก็ไปตั้งแต่ร้านเปิดเลยนะ”เค้าบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ผมว่าจริงๆ ในใจเค้าก็คงกังวลไม่น้อยหรอกครับ เพราะถ้าเค้าไม่คิดจะจริงจังกับผมคงไม่ยอมรอผมแบบนี้ ทั้งที่รู้ว่าในใจผมยังมีบางคนตกค้างอยู่
เราอาบน้ำแต่งตัวเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม ก่อนจะหาอะไรทาน จากนั้นก็มุ่งตรงกลับเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างทางผมแทบจะเงียบมาตลอดทาง เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะตัดสินใจยังไง ผมเลือกที่จะหลับตาลงเหมือนนอนหลับ ทั้งๆ ที่ความจริงยังคงรับรู้ทุกอย่าง แต่เค้าก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรผม จนถึงบ้าน
“เจอกันคืนนี้นะ”เค้าบอกพร้อมกับยิ้มให้ผมก่อนจะขับรถออกไป ผมยกนาฬิกาข้อมมือขึ้นดู นี่ก็บ่าย 3 กว่าๆ แล้ว ผมมีเวลาอีกประมาณไม่ถึง 10 ชม.ในการตัดสินใจ เพราะร้านที่เค้านัดผมปิดตอนเที่ยงคืน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือผมก็ดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้เหมาเจ้าเก่า เจ้าเดิมอีกนั่นแหละครับ
“กูจะถึงบ้านมึงแล้วนะ พร้อมยัง”เดี๋ยวนะครับ คืออะไรใครพร้อมอะไร แล้วมันมาบ้านผมทำไม นี่ผมยังไม่เปิดประตูบ้านเลยด้วยซ้ำ อย่าบอกว่าผมต้อง ออกไปกับไอ้เหมาต่อนะเนี่ย ดูเหมือนการคาดเดาของผมจะแม่นเหลือเกินเมื่อสิ่งที่ไอ้เหมาบอกผมคือ มันจะมารับผมไปที่ร้านที่จะจัดปาร์ตี้สละโสดให้กับคุณแว่นในคืนนี้ แม้ผมจะบ่ายเบี่ยงว่าเพิ่งมาถึงบ้าน และตอนนี้ก็เหนื่อยมาก แต่มันก็ไม่ฟังผมเลย สุดท้ายผมก็มาอยู่ที่ร้านกับมันเป็นที่เรียบร้อย
ร้านที่ไอ้เหมาเป็นคนเลือกเป็นร้านอาหารที่แบ่งออกเป็นหลายๆ ส่วน และมีในส่วนที่ไว้สำหรับจัดปาร์ตี้ส่วนตัว ห้องที่เราอยู่ตอนนี้เป็นห้องที่น่าจะจุคนได้สัก 30 คน ถูกตกแต่งด้วยโลโก้ทีมฟุตบอลทีมต่างๆ ตามที่ระบุกับทางร้านไว้ นอกจากนี้ยังมีลูกฟุตบอล ประตูฟุตบอล เป็นพรอพประกอบในห้องด้วย ส่วนคนที่จะมาปาร์ตี้สละโสดให้กับคุณแว่นในวันนี้ส่วนใหญ่ก็คงเป็นเพื่อนสมัยเรียน มีบ้างที่เป็นคนที่ทำงานเดียวกัน และเพื่อไม่ให้เป็นการหลุดคอนเซปต์ของงาน ไอ้เหมาเตรียมชุดนักฟุตบอลไว้ให้คนที่จะมาในวันนี้ด้วย เพราะกะว่าต้องมีคนที่ไม่ยอม แต่งตามธีมที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งก็จริงเพราะผมคนนึงแหละที่ไม่ได้ ไปหาชุดนักฟุตบอลมาใส่
“อ่ะชุดมึง เปลี่ยนซะ”ชุดบอลถูกโยนให้กับผม ตอนนี้ยังไม่ 5 โมงเย็นเสียด้วยซ้ำ แต่ไอ้เหมาคงไม่ปล่อยผมออกจากร้านแล้ว มันว่าผมกับมันต้องช่วยกันต้อนรับเพื่อนๆ ของคุณแว่นที่จะมาในวันนี้ ดูไอ้เหมามันจริงจังกับงานนี้ มากครับ คงเพราะคุณแว่นเป็นเพื่อนรักของมันคนนึง ผมมัวแต่วุ่นวายอยู่กับไอ้เหมา จนเกือบจะลืมสิ่งที่ต้องตัดสินใจในคืนนี้ ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง
ทีแรกเค้าขอให้ผมไม่มาที่นี่ แต่ตอนนี้ผมก็มาติดอยู่ที่นี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วตอนนี้ผมยังไม่ทันได้ตัดสินใจคิดอย่างถี่ถ้วนเลยว่า ผมจะเอายังไงกับนัดของอรรถ
“อ่ะ เรามาก่อนต้องรีบล่วงหน้ากันก่อน”ไอ้เหมาส่งแก้วเครื่องดื่มสีอำพันให้กับผม พอเวลาเลยมาจน 6 โมงก็เริ่มมีคนมาที่ร้าน อาหารเครื่องดื่มถูกทยอยออกมาจัดวาง หลายๆ คนต่างทักทายกันอย่างสนุกสนานเพราะการจะได้มารวมตัวแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผมกับไอ้เหมากลายเป็นพ่องานอย่างเสียไม่ได้ ใครขาดเหลืออะไรเป็นต้องมาถามที่เราสองคน ตอนนี้คุณแว่นเองก็มาที่นี่แล้ว แต่เจ้าของงานอย่างเค้าก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยคนที่อยากจะร่วมแสดงความยินดี
การดื่มกิน พูดคุยดำเนินไปเรื่อยๆ รวมทั้งการสับเปลี่ยนกันร้องเพลงอย่างสนุกสนาน และที่ขาดไม่ได้กับการแยกปาร์ตี้แบบนี้ ในเมื่อคู่หมั้นของอีกฝ่ายไม่ได้มา และคนที่ในวันนี้ก็มีแต่เพื่อนผู้ชาย ไอ้เหมาเลยจัดให้มีโชว์พิเศษจากพริตตี้สาวสวยมาด้วย เวลาล่วงเลยมาจนจะ 4 ทุ่ม ไม่ใช่ว่าผมลืมนัดกับอรรถนะครับ เพียงแต่ผมรู้สึกว่าผมยังไม่สามารถตัดสินใจได้
ผมเดินออกจากห้องมากดโทรศัพท์หาอรรถ แม้ไม่รู้ว่าที่สุดแล้วผมจะไปหาเค้าหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ควรทิ้งเค้าไว้คนเดียวแบบนี้ แต่เค้าไม่รับโทรศัพท์ผม แสดงว่าเค้าคงยังรอผมอยู่
“มายืนทำไรวะมึง”ไอ้เหมาที่เดินถือบุหรี่ออกมาเอ่ยถาม แต่ผมไม่ได้ตอบ ผมฉวยหยิบบุหรี่จากมือของมันเดินตรงไปยังที่สูบบุหรี่ มันไม่ได้ถามอะไรผมอีกแต่เดินตามผมมา
“กูถามไรหน่อยดิ”ผมตัดสินใจเอ่ยถามไอ้เหมาออกไป ซึ่งไอ้เหมาก็พยักหน้าตอบรับอย่างสบายๆ พร้อมพ่นควันบุหรี่ออกมา
“ถ้าให้มึงเลือกระหว่าง คนที่มึงรู้สึกดีๆ ด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้าคิดยังไงกับเรากันแน่ กับอีกคนที่ดีกับเรามากๆ แต่เราเองก็ยังไม่ได้รู้สึกกับเค้าเท่าคนแรก เป็นมึง มึงจะเลือกใคร”จริงๆ ผมก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากมันหรอกครับ เพียงแค่อยากพูดคุยกับใครสักคน เพื่อคลายความกังวลลงบ้างแค่นั้น
“เรื่องนี้เกี่ยวกับ...”
“อะไร”เมื่อเห็นมันไม่พูดต่อ ผมเลยต้องถามกลับไปอย่างสงสัย ซึ่งมันปฏิเสธว่าไม่มีอะไรในทีแรก แต่สุดท้ายมันก็บอกว่า ที่มันจะถามนี่คือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างผมกับอรรถหรือเปล่า และสิ่งที่มันแนะนำผมก็เหมือนเอาคำพูดผมตอนแนะนำมันเรื่องแพท มาย้อนผมเลยก็ว่าได้ ผมหยุดทบทวนกับตัวเองอีกพัก วันนี้ที่ผมยังอยู่ที่นี่เพราะผมยังหวังอะไรรึเปล่า หวังในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ผมควรหันไปสนใจในสิ่งที่มันดีกว่านี้ไหม
“กูไปก่อนนะ พอดีมีนัด”ผมวิ่งออกจากร้าน พร้อมยกข้อมือขึ้นดูเวลา ทำไมผมเพิ่งมาคิดได้เอาป่านนี้ ผมมัวทำอะไรอยู่กันเนี่ย ผมเหลือเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมง ที่จะไปให้ทันก่อนร้านจะปิด แล้วแทกซี่นี่ก็เป็นอะไรไปกันหมดโบกกี่คันต่อกี่คัน ก็ไม่ไป ถ้าจะไม่อยากรับผู้โดยสารก็จอดไว้บ้านไหมครับ
“ขับเร็วกว่านี้อีกไม่ได้เหรอครับพี่”ทันทีที่ผมขึ้นแทกซี่ได้ ผมก็เร่งให้พี่คนขับ ให้ขับเร็วขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้เวลาที่เหลืออยู่แทบจะฉิวเฉียดกันเลยก็ว่าได้ แต่ออกมาได้ไม่เท่าไหร่ กลับกลายเป็นเจอรถติดซะงั้น ดึกดื่นขนาดนี้ทำไมถึงรถติดได้เนี่ย ผมเริ่มร้อนใจเพราะกลัวจะไปไม่ทันเวลา แถมอีกคนที่ผมนัดไว้ก็ติดต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าปิดเครื่องหรือแบตหมด
“มีอุบัติเหตุ รถชนเสาไฟฟ้าล้มขวางถนนครับ คงจะเคลียร์ถนนอีกพักใหญ่”พี่แทกซี่หันมาบอกกับผมซึ่งจริงๆ ผมก็ได้ยินที่แกคุยวิทยุแล้วแหละครับ นี่มันอะไรกัน มีใครเล่นตลกกับผมรึไงเนี่ย นี่ถ้าผมไปไม่ทัน เค้ายังจะรับคำตอบรับจากผมอยู่หรือเปล่านะ ผมเริ่มรู้โทษตัวเองที่มัวไปเสียเวลากับอะไรไม่รู้อยู่ตั้งนาน
ผมตัดสินใจให้พี่แทกซี่ขับอ้อมไปอีกทาง แม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าคงไปถึงไม่ทันแน่นอน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากไปให้ถึงจุดหมาย ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง เที่ยงคืนครึ่งแล้ว ผมมองเห็นร้านที่เรานัดกันแล้ว แต่ร้านปิดไฟไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเลยเวลาเปิดบริการของร้านแล้ว ผมจ่ายค่าแทกซี่ก่อนจะเดินเข้าไปที่หน้าร้าน ทั้งที่รู้ว่าผมมาไม่ทัน แต่ผมก็ยังหวัง หวังว่าจะมีปาฏิหาริย์
“ร้านปิดแล้ว ทำไมยังไม่กลับ”ผมเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มรอคนที่นั่งก้มหน้าอยู่หน้าร้าน ผมฉีกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าเค้ายังรอผมอยู่ จริงๆ ถ้าอยากมีความสุข ผมก็ควรเลือกเค้าตั้งนานแล้ว ทำไมนะทำไมผมถึงปล่อยให้มันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ เค้าลุกขึ้นเดินมาหยุดตรงหน้าผม เค้าขยับเข้ามายืนชิดจนจมูกเราจะชนกันอยู่แล้ว
“รู้ว่าร้านปิดแล้ว ยังจะมาทำไม”สิ้นคำพูดของเค้า เราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
THE END [PART I]
เห็นชื่อตอนแล้วตกใจกันรึเปล
อะไรคือจบแล้ว 555
เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็มาต่อเหมือนเดิมครับ
แต่ที่เลือกตัดแบ่งพาร์ท เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาส่วนที่ลงไปแล้วเนี่ยมันมีบทสรุปของมันแล้ว
ส่วนที่จะลงต่อจากนี้ก็จะเป็นอีกบทสรุปนึง และตั้งแต่ตอนหน้าจะมีการปรับ
การเล่าเรื่อง ที่ไม่ได้เล่าผ่านปาร์ตี้แค่คนเดียวแล้ว
ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยนะคร๊าบบบ