"เอ่อ.."
ฮือออออ กลับตัวตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วสินะ!
เพราะฉะนั้น ในวินาทีต่อมา ผมจึงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะปล่อยให้เหล้าเดินเข้ามาใกล้ขึ้น แต่พอเราสองคนกำลังจะเข้าคู่กัน.. ทุกอย่างมันก็ดูเก้ๆ กังๆ ไปซะหมด จนเริ่มมีเสียงอื้ออึงดังตามมา
ตายๆ ขะ..ขายหน้าชะมัด!
"ไหนคุณบอกผมว่าคุณเต้นรำเป็นไงครับวาฬ"
เหล้ารัมขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าผมเก้ๆ กังๆ แบบนั้น ซึ่งก็ใช่ ผมบอกเขาไปว่าผมเต้นรำเป็น แล้วผมก็เต้นรำเป็นจริงๆ เพียงแต่.. "ผมเต้นรำเป็นครับ แต่ลืมไปว่าเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ เลยไม่รู้จะวางมือยังไงดี"
ก็จริงมั้ยล่ะ ชายหญิงเขาวางมือบนตัวอีกฝ่ายต่างกันนะครับ แล้วนี่ผมกับนายพ่อมดเหล้าเป็นชายทั้งคู่ ให้ผมทำไงล่ะ!
"จริงด้วย" เหล้ารัมทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ "งั้นเอางี้ก็แล้วกัน.." ก่อนจะหาทางออกให้คู่ของเราโดยการใช้มือขวาของเขา..อะ..โอบเอวผมไว้!
งั้นแบบนี้ผมก็ต้องเป็นฝ่ายหญิงสินะ!?
"ทีนี้คูณก็รู้แล้วนะว่าควรวางมือไว้ตรงไหน : )" ก่อนที่เขาจะยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมา
แล้วผมจะไปทำอะไรได้ล่ะ นอกจากวางมือซ้ายบริเวณไหลขวาของเขา และมือข้างที่เหลือของเราก็จับกัน
เสียงบทเพลงอันแสนไพเราะเป็นตัวกำหนดการเคลื่อนย้ายของผมและเหล้ารัมให้เป็นไปอย่างถูกต้องและสวยงาม แม้ว่าตอนแรกจะยังเกร็งๆ อยู่ก็เถอะ แต่ต้องยอมรับว่าท่วงทำนองที่เข้มข้นขึ้นช่วยให้ผมสามารถตัดขาดสิ่งที่อยู่รอบตัวออกไปได้
เหลือเพียงแค่.. ผมกับเหล้ารัมเท่านั้น..
แล้ววินาทีนั้น.. มันก็เกิดเป็นภาพที่คงจะมีแต่ผมเท่านั้นที่มองเห็น.. มันจะเรียกว่า..
ภาพความจำที่ผมอยากจะเก็บไว้ก็ได้นะ.. เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือเหล้ารัมที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ในขณะที่เราสองคนกำลังเคลื่อนไหวไปอย่างเชื่องช้าตามท่วงทำนองของเพลงที่เข้ามาประกอบกับภาพตรงหน้าจนหัวใจผมมันเต้นผิดจังหวะไปไกลแสนไกล..
มันสวยงามมากเลยรู้มั้ย สิ่งที่ผมเห็นและรู้สึกอยู่ในขณะนี้น่ะ.. สวยงามเสียจนผมไม่กล้าที่จะกระพริบตา เพราะกลัวว่าหากทำแบบนั้น ทุกอย่างจะพลันหายไปราวกับความฝันที่ไม่มีอยู่จริง.. เพราะการที่เหล้ารัมก้าวเข้ามาในชีวิตผม ก็ไม่ต่างอะไรจากภาพฝันสวยงามที่ผมไม่เคยได้จินตนาการไว้..
ถ้าวันนี้ไม่มีเขา.. ผมก็คงไม่มีวันได้มีช่วงเวลาที่น่าจดจำเช่นนี้.. ก็คงจะแค่นอนอยู่บ้านเพื่อนรอความตายไปวันๆ เท่านั้น..
ขอบคุณนะครับ
ขอบคุณที่ก้าวเข้ามาในชีวิตผม
ขอบคุณจริงๆ : )
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ผมหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเองในทันทีที่คนตรงหน้าถามขึ้น ราวกับสังเกตความผิดปกติอะไรได้
"เปล่าครับ"
"แล้วทำไมถึงยิ้มแบบนั้นล่ะ"
อ้าว นี่ผมยิ้มอยู่หรอเนี่ย?
ไม่รู้ตัวเลยแฮะ : )
"ก็ผมมีความสุขนี่ครับ แล้วก็.. เพลงนี้มันก็เพราะจับใจจริงๆ"
"งั้นหรอครับ" เหล้ารัมเริ่มยิ้มตาม "ผมดีใจนะที่คุณมีความสุขน่ะ ว่าแต่.. คุณอยากรู้ประวัติความเป็นมาของเพลงนี้มั้ยล่ะ"
"อยากรู้สิครับ" เป็นอีกครั้งที่ผมตอบกลับเหล้ารัมอย่างกระตือรือร้น จะว่าไป.. เขานี่ก็ขยันหาเรื่องมาให้ผมสนใจได้ไม่หยุดเหมือนกันนะ
"โอเค งั้นผมจะเล่าให้ฟัง"
"ดีครับ เล่าเลยๆ"
"คืองี้.. ผมเคยได้ฟังเรื่องเล่ามาจากไอ้วินเซนต์และย่าของมันว่า เพลงๆ นี้มีชื่อว่า
'รักในห้วงอนันต์' ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดย
คุณมอลลิน่าหญิงงามผู้เป็นต้นตระกูลของเกรวินเกอร์"
"..."
"เขาเล่ากันว่า เธอแต่งเพลงนี้ให้กับผู้ชายคนนึงที่มีโอกาสได้เต้นรำกันโดยบังเอิญ ในงานเลี้ยงเต้นรำสวมหน้ากากปีแรกของตระกูล"
"..."
"เพราะว่าในขณะที่ได้เต้นรำกันไป พูดคุยกันไป คุณมอลลิน่าเธอก็เกิดตกหลุมรักชายผู้นั้น จนอยากที่จะจุมพิตเค้าเพื่อบอกความรู้สึกที่มีในใจ"
"..."
"แต่สุดท้ายเธอก็ไม่กล้า จนการเต้นรำนั้นสิ้นสุดลง เขาก็เดินจากเธอไป.. โดยที่เธอไม่สามารถตามหาเขาได้อีก เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร เนื่องจากทั้งคู่สวมหน้ากากไว้ และก็ลืมที่จะถามชื่อของกันและกัน"
"..."
"ท่วงทำนองของเพลงนี้จึงทั้งสุขและเศร้า เพราะว่าคุณมอลลิน่าตั้งใจจะส่งผ่านความรู้สึกนี้ออกไปให้ชายผู้นั้นได้รับรู้ ว่าเธออยากให้ช่วงเวลาที่เขาและเธอเต้นรำอยู่ด้วยกันตอนนั้นกลายเป็นช่วงเวลาที่ไร้ขีดจำกัด ดังอนันต์ที่จะทำให้ทั้งคู่เต้นรำกันอย่างไม่จบสิ้น เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องจากเธอไป"
"..."
"อ้อ แล้วไอ้วินเซนต์มันยังบอกผมอีกนะว่า เพลงนี้มีจุดประสงค์อีกอย่างนึงที่คุณมอลลิน่าตั้งใจจะบอกกับหนุ่มสาวทุกคู่ที่เข้าร่วมงานเต้นรำสวมหน้ากากของเกรวินเกอร์ว่า.. จงอย่าปล่อยให้ช่วงเวลาของคุณและคนที่คุณรักหลุดลอยไป แต่จงบอกรักเค้าด้วยจุมพิตที่แสนหวาน เพราะช่วงเวลาอนันต์นั้น..มันไม่มีอยู่จริง"
"..."
"เป็นไง ฟังเรื่องเล่าแล้วรักเพลงนี้มากขึ้นมั้ยครับ : )"
"..."
"..."
เพราะแบบนี้นี่เอง.. ทวงทำนองของเพลงนี้ถึงได้ไพเราะนัก.. มันทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งสวยงามไปพร้อมๆ กัน อีกทั้ง.. ยังให้ความรู้สึกอ้อยอิ่งเหมือนต้องการที่จะยื้อเวลาในการเต้นรำเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ที่แท้.. ก็เพราะว่าในทุกท่วงทำนอนนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวและความรู้สึกของผู้ประพันธ์นี่เอง..
แล้วดูผมสิ อินกับสิ่งที่เหล้ารัมเล่าจนน้ำตาคลออีกแล้ว... พักหลังๆ นี่รู้สึกว่าบ่อน้ำตาผมมันตื้นมากเลยแฮะ
แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับการที่เราสองคนพากันเงียบไปในเวลาต่อมา..
"..."
"..."
ผมไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดเหมือนกันที่ทำให้เกิดความเงียบนั้น.. แต่สิ่งที่ผมแน่ใจคือ.. สายตาของเราทั้งคู่...กำลังจับจ้องยังริมฝีปากของกันและกัน..ในจังหวะที่ท่วงทำนองค่อยๆ ช้าลงเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะจางหายไป..
แรงดึงดูดบางอย่างทำให้ทั้งผมและเหล้ารัมค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าหากัน.. ผมรู้นะว่าถ้าทำแบบนี้ มันต้องส่งผลให้เกิดบางอย่างขึ้นกับปฏิกิริยาของคนในงานแน่ แต่ผมคิดว่าผม..ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว..
"ขอคุยด้วยหน่อยสิ : )"
ทว่า..! ในขณะที่อีกไม่นานริมฝีปากของผมกับเหล้ารัมกำลังจะแตะกัน ใครคนนึงก็กระชากเหล้ารัมออกไปนอกฟลอร์ทำให้ผมที่ถูกนายพ่อมดเหล้าโอบเอวอยู่ติดร่างแหตามไปด้วย
ทำให้แทนที่คนอื่นจะได้เต้นรำกับเพลงต่อไปที่มีจังหวะสนุกสนานขึ้น กลับต้องตีวงออกห่างเพื่อหันมาสนใจเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแทน
น่ะ..นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!?
"ไอ้ซองซู" เหล้ารัมสะบัดมือออกจากผู้ชายคนนั้นอย่างแรง แถมเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงดุดันแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่เข้ามาขัดจังหวะเราสองคนก็คือ 'ตัวป่วน' ที่เหล้ารัมไม่อยากจะพูดถึงนั่นเอง
ซองซูที่กำลังยืนยิ้มร้ายอยู่ต่อหน้าผมกับเหล้ารัมตอนนี้เป็นผู้ชายที่ไม่สูงเท่าไหร่นัก เขาอยู่ในชุดสูทสีดำและทับอีกชั้นด้วยเสื้อคลุมยาวสีเดียวกัน ซึ่งก็ดูเข้ากับเขาดี เพียงแต่.. มันออกจะดูเยอะเกินไปหน่อยสำหรับสภาพอากาศที่ไม่ได้หนาวนักแบบในตอนนี้
ส่วนใบหน้าของเขานั้นก็ไม่ได้สวมหน้ากากเหมือนกับคนอื่นๆ ทำให้ผมสามารถเห็นใบหน้าหล่อเหลาเกาหลีของเขาได้อย่างชัดเจน
อืม.. เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยเห็นพ่อมดสัญชาติเกาหลีมาก่อนนะ เลยไม่รู้ว่าส่วนใหญ่เขาหน้าตาเป็นยังไงกัน แต่ในส่วนของซองซูนั้นเหมือนศิลปินเกาหลีที่ผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้ว ทั้งใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวจัด มีสันกรามที่สวยเป๊ะ ตาเรียวคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง และปากเป็นกระจับได้รูป ซึ่งก็ถือว่าหล่อดี แต่ผมว่าจุดเด่นของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ที่หน้าตานะ แต่เป็นจิวที่เจาะอยู่ตรงกระดูกอ่อนของหูด้านบนมากกว่า เพราะมันทำให้เขาดูมีเสน่ห์ขึ้นเยอะเลย
แต่เดี๋ยว.. แล้วนี่ผมมายืนบรรยายหน้าตานายพ่อมดคนนี้ทำไมกันล่ะเนี่ย ลืมหรือไงว่าเขาไม่ได้เป็นมิตรกับเหล้ารัมนะ!
"สวัสดีเหล้ารัม หายหน้าหายตาไปนานเลย ไม่คิดว่ากลับมาอีกทีแล้วจะควงผู้ชายมาด้วย ไอ้เราก็นึกว่าไปตั้งหน้าตั้งตาหาเมียที่เป็นผู้หญิงซะอีก : )"
"เรื่องของฉัน อย่ายุ่ง"
"โธ่~ อะไรกันนายนี่ แค่พูดนิดพูดหน่อยทำเป็นอารมณ์เสีย โอเคๆ ไม่พูดละ มาเข้าเรื่องของเรากันเลยก็ได้ : )"
"หึ! ฉันไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกับแกทั้งนั้น"
"เฮ้ย มีเรื่องอะไรกันวะ" แต่ในขณะที่เหล้ารัมกำลังหัวเสียได้ที่ เจ้าชายเบเนดิกต์ก็เดินเข้ามาหาเรา พร้อมกับคุณวินเซนต์ที่เดินตามมาด้วย
ผมถึงได้สังเกตเห็นว่าตอนนี้งานเลี้ยงเต้นรำเหมือนว่าจะไปต่อไม่ได้เลย หากว่าเหตุการณ์ของเหล้ารัมกับซองซูยังไม่จบลง
จนผมรู้สึกเกรงใจคุณย่าแทนเหล้ารัมจริงๆ ที่ทำให้กลายเป็นแบบนี้ แต่ก็หวังว่าท่านจะเข้าใจ เพราะงานนี้เหล้ารัมของผมไม่ได้เริ่มก่อนเลยสักนิด
"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระองค์ กรุณาอย่ายุ่ง" แล้วดูเอาเถอะ ขนาดกับเจ้าชายมาเองแท้ๆ ยังไม่เห็นหัวเลย นายซองซูนี่มันหมาบ้าชัดๆ!
"ก็อยากยุ่งอะ มีปัญหาอะไรมั้ย" ส่วนเจ้าชายเองก็ใช่ย่อย เห็นวางตัวดีแบบนี้ก็ออกจะเลือดร้อนเหมือนกันนะ ร้อนถึงคุณวินเซนต์ที่ต้องคอยดึงพระองค์ไว้ไม่ให้เข้าไปลุยกับซองซู
"นี่ ย่าของฉันไม่ได้ส่งการ์ดเชิญนายเพื่อให้มาทำตัวแย่ๆ แบบนี้นะซองซู"
"ฉันเนี่ยนะวินเซนต์ที่ทำตัวแย่? ก็แค่ลากเหล้ารัมมาคุยกันสองคน ไม่ได้ขอให้ใครมาสนใจสักหน่อย อยากเต้นรำก็เต้นกันไปสิ!"
ไม่พูดเปล่า ซองซูยังมีการกวาดสายตาไปมองพ่อมดแม่มดที่ยืนมุงกันอยู่ด้วย ซึ่ง.. มันก็ถูกของเขานะ เพราะจริงๆ เขาก็แค่ลากเหล้ารัมออกมาคุยกันสองคน เพียงแต่.. เหตุการณ์แบบนี้มันเป็นอะไรที่อยู่ในความสนใจของผู้คนไง ถึงได้ไม่มีใครเต้นรำกันต่อน่ะ
"พอเถอะ" เหล้ารัมที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ เลยเอาแขนมากันเจ้าชายกับคุณวินเซนต์ไว้ เพื่อเป็นการห้ามไม่ให้เข้ามายุ่ง "เดี๋ยวเรื่องนี้ฉันจัดการเอง"
"ดี" พอได้ยินแบบนั้น ซองซูก็ยิ้มพึงพอใจ "เพราะฉันเองก็ไม่อยากมีเรื่อง"
"งั้นนายต้องการอะไร"
"ก็เหมือนเดิม ฉันต้องการให้นายรับคำท้าดวลเวทมนตร์กับฉัน แล้วฉันก็จะจากไปอย่างสงบ ตกลงมั้ย?"
"ไม่"
แต่ในขณะที่ซองซูกำลังพูดความต้องการด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เหล้ารัมก็ตอบกลับสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเสียงดังฟังชัด ไม่ต่างอะไรจากคำตอบรับของเหล่าทหารหาญ
งานนี้ก็เลยทำเอาพ่อมดเกาหลีมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปทันที เขาดูไม่พอใจมากขณะเดียวกัน.. นัยน์ตาก็ฉายแววความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างชัดเจนราวกับเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะปิดบังมันกับใคร
"แน่ใจนะ"
"ใช่ ฉันแน่ใจ ต่อให้นายท้าดวลฉันกี่ครั้ง ฉันก็จะตอบแบบเดิม"
"โอเค ถ้านายยืนยันแบบนั้น งั้นฉันก็ชักจะสนใจขึ้นมาแล้วล่ะว่าคู่ควงของนายเป็นใครกันแน่ : )"
แล้วก็ตามระเบียบครับ พอทำอะไรเหล้ารัมไม่ได้ ซองซูก็หันมายิ้มร้ายให้ผม ทว่า..
"อย่า มา ยุ่ง" ..เหล้ารัมกลับเอาตัวเข้ามาบังผมไว้ทันที ก่อนที่เขาจะสั่งห้ามซองซูแบบเน้นทีละคำ
มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเลย เมื่อได้เห็นว่ามีแผ่นหลังกว้างๆ ของนายพ่อมดเหล้ามากั้นเอาไว้แบบนี้..
..ดีจัง
"โอ้ววว ดูท่าว่าผู้ชายคนนี้จะสำคัญสำหรับนายจริงๆ แฮะ" แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซองซูยอมเลิกรา "งานนี้ชักสนุกใหญ่แล้วสิ ไหนๆ คุณคนที่อยู่ข้างหลังน่ะ ช่วยเปิดหน้าให้ผมดูหน่อยได้มั้ยครับ ว่าคุณเป็นใครกันแน่ : )"
"ฉันบอกว่าอย่ายุ่งไงซองซู!"
"แล้วถ้าฉันจะยุ่ง นายจะทำไม? ดวลกับฉันงั้นหรอ? หึ ก็ดีสิ ฉันกำลังต้องการแบบนั้นอยู่เลย : )"
"..." เหล้ารัมเงียบ ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปทั้งนั้น และด้วยความที่ผมยืนอยู่ด้านหลังไง เลยทำให้ไม่เห็นว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันแน่
แต่จากที่ฟังเขาสองคนเถียงกัน ก็ทำให้พอจะเข้าใจว่าสิ่งที่ซองซูต้องการจากเหล้ารัมคือให้รับคำท้าดวลเวทมนตร์จากเขา ในขณะที่พ่อมดเหล้ากลับปฏิเสธ ซึ่งมันก็น่าสงสัยอยู่นะว่าทำไมเหล้ารัมถึงไม่เอาด้วย ทั้งๆ ที่เหตุผลว่ากลัวก็ไม่น่าใช่ แล้ว..มันอะไรกันล่ะ?
"เงียบ ไม่ตอบ หึ! โอเค เหล้ารัม นายไม่ให้ทางเลือกฉันเองนะ แล้วอย่ามาหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน : )"
ฟึ่บ!แต่ในขณะที่ผมกำลังคิดหาเหตุผลเกี่ยวคำปฏิเสธของเหล้ารัมอยู่นั้น ร่างสูงที่ยืนบังผมอยู่ก็ถูกเวทมนตร์ของอีกฝ่ายจู่โจมให้เซไปทางซ้าย ทำให้ตอนนี้ผมกับนายพ่อมดเกาหลียืนหันหน้าเข้าหากันโดยไม่มีอะไรขวางกั้นอีกต่อไป
ฟึ่บ!แล้วจังหวะที่เหล้ารัมจะพุ่งตัวกลับเข้ามาขวาง ซองซูก็สะบัดมือหนึ่งครั้ง ส่งผลให้หน้ากากสีทองที่ปิดบังใบหน้าของผมเอาไว้ร่วงหล่นลงตามแรงโน้มท่วงของโลก จนเกิดเสียงฮือฮาจากผู้คนในงาน
แต่ผมเองก็ไม่รอช้าเหมือนกัน เพราะพอหน้ากากร่วง ผมก็ก้มหน้าลงโดยพลัน ก่อนจะใช้มือขวาคว้าหน้ากากกลับเข้ามาแปะไว้ แล้วใช้มืออีกข้างคว้ามือของเหล้ารัมที่พุ่งเข้ามาจนถึงตัวผม แล้วพาเขาวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต!
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!"
ทำให้ซองซูตะโกนไล่หลังเราสองคนมาว่าให้หยุด แต่ใครจะหยุดล่ะ หยุดก็โง่สิ!
แต่ทว่า..
"เหล้ารัม ข้างหน้า!"
ผมที่พาอีกฝ่ายวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตก็ถึงกับต้องร้องลั่น เพราะเพิ่งจะเห็นว่าข้างหน้าเป็นเวทีวงออเคสตร้า!
แล้วจากความเร็วของการวิ่งในตอนนี้คือมันหยุดไม่ได้แล้วไง จะเปลี่ยนทางวิ่งก็ไม่ทันด้วย มีแต่ชนกับชนเท่านั้น!
"ไม่ต้องห่วง"
วูบบบบ~!ซึ่งพอเหล้ารัมตอบกลับมาว่า 'ไม่ต้องห่วง' ผมก็รู้สึกถึงแรงดูดบางอย่างที่พาให้เราสองคนทะลุกลับมาตกลงบนโซฟาของคอนโด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เรายังอยู่ที่งานเลี้ยงเต้นรำของเกรวินเกอร์อยู่เลย!?
แต่ยังไม่ทันที่ผมกับเหล้ารัมจะได้พูดอะไรกัน อีกฝ่ายก็กวาดมือขึ้นฟ้า ก่อนที่แสงสีทองจากปลายนิ้วของเขาจะพุ่งชนเข้ากับเพดาน แล้วแตกกระจายออกเป็นละอองฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง.. ซึ่งผมเคยเห็นอะไรแบบนี้มาแล้วครั้งนึงตอนที่แม่มดคู่พันธะสัญญาของพ่อผมร่ายคาถาป้องกันพื้นที่ที่บ้านไว้
"ผมร่ายคาถาป้องกันน่ะ ซองซูจะได้ตามรอยการหายตัวมาไม่ได้" นั่นไง ใช่จริงๆ ด้วย
แล้วพอละอองสีทองจางหายไป ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง.. ผมเห็นเลยว่าเหล้ารัมทิ้งตัวลงกับโซฟาพลางถอนใจยาวเหยียด ก่อนจะถอดหน้ากากของตัวเองออก ผมที่เห็นแบบนั้นก็เลยเอาหน้ากากออกบ้าง
"ผมขอโทษ"
"เรื่องอะไรครับ" ผมหันไปถาม เมื่อจู่ๆ เหล้ารัมก็กล่าวคำขอโทษขึ้นมา ทั้งๆ ที่ก็ไม่เห็นว่าเขาทำอะไรผิดเลยสักนิด
"ก็เรื่องที่ผมทำให้งานเลี้ยงเต้นรำสวมหน้ากากครั้งแรกของคุณพังลงไม่เป็นท่าน่ะสิ แม่ง.. นึกแล้วก็เจ็บใจไอ้ซองซูนัก ท้าดวลเวทมนตร์อยู่ได้ ก็ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่ ก็ยังตามตื้อไม่เลือก นี่ ต่อไปถ้าเกิดว่าคุณเจอมันล่ะก็ หนีให้ไกลเลยนะ เพราะผมสังหรณ์ใจว่ามันต้องมาคอยตามรังควานเราสองคนไม่เลิกแน่"
"ตกลงครับ ถ้าเจออีก ผมจะหนีให้ไกลเลย ว่าแต่.. ผมถามได้มั้ย ว่าทำไมคุณถึงไม่รับคำท้าดวลของเขา"
"คือ.." ผมรู้สึกใจหายวาบเลยเมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นสั่นไหวราวกับเปลวเทียนต้องลม.. นี่ผม.. กำลังไปแตะบางอย่างที่มีผลต่อจิตใจของเขาหรือเปล่านะ? "ผมไม่ชอบน่ะ" แต่ก็เพียงไม่นานนัก แววตาแบบนั้นก็จางหายไป เหลือไว้เพียงคำตอบที่ฟังดูง่ายเสียจนไม่น่าจะใช่เรื่องจริงจากปากเขา
แต่ผมก็ไม่เซ้าซี้นะ แถมเปลี่ยนเรื่องคุยด้วย "อ๋อ แบบนี้นี่เอง เออนี่ ว่าแต่ที่คุณขอโทษผมนะ ผมไม่รับนะ" เพราะไม่อยากไปแตะในสิ่งที่เขาเองก็ดูจะไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่
"อ้าว ทำไมล่ะ" แต่กลายเป็นว่านายพ่อมดเหล้ากลับเด้งตัวขึ้นจากโซฟาเพื่อมองผมด้วยสายตารู้สึกผิดแทน
"เดี๋ยวๆ ไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดแบบนั้นเลยครับ เพราะที่ผมพูดน่ะ หมายถึงผมไม่ได้โกรธคุยต่างหาก"
"จริงหรอ"
"จริงครับ ผมไม่ได้โกรธคุณเลยสักนิด อันที่จริงผมว่ามันตื่นเต้นดีออก เหมือนอยู่ในหนังเลย ฮ่าๆๆๆ~" ผมนี่ก็โรคจิตเหมือนกันเนอะ "เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องคิดมาก แล้วก็เลิกทำหน้าแบบนี้ด้วย"
ไม่พูดเปล่า ผมยังถือวิสาสะใช้มือจับหน้าของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งดันมุมปากทั้งสองข้างของเขาให้กลับไปยิ้มเหมือนเดิม จนเหล้ารัมต้องจับมือผมไว้ แล้วยิ้มออกมาด้วยตัวเอง
"ยิ้มแล้ว พอใจมั้ย : )"
"เยี่ยม มันต้องแบบนี้สิ : )" พาลให้ผมยิ้มตามไปด้วยเหมือนกัน
แต่เพียงไม่นาน.. เหล้ารัมก็เปลี่ยนจากหน้ายิ้มเป็นหน้าเซ็งแบบฉับพลัน ทำเอาผมที่กำลังยิ้มตามเขาอยู่ถึงกับปรับอารมณ์ตามไม่ทันเลย
"เป็นไรไป?"
"เซ็งครับ"
"เซ็งเรื่อง?"
"..."
แล้วเหล้ารัมก็ไม่ตอบ แต่ลดระดับสายตาลงมามองช่วงปากของผมแทน.. นั่นทำให้ผมเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาเซ็งเรื่องที่ซองซูเขามาขัดจังหวะตอนที่เราสองคนกำลังจะจูบกัน..
ซึ่งมันก็น่าเซ็งจริงๆ นั่นแหละ
แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ในเมื่ออารมณ์ช่วงนั้นมันหายไปแล้ว ถ้าจะให้จูบกันตอนนี้มันก็ได้อยู่หรอก แต่มันจะไม่ใช่อารมณ์นั้นไง เพราะฉะนั้น.. ผมก็เลยต้องใช้นิ้วชี้แตะที่ปากของเหล้ารัมเพื่อห้ามเขาเอาไว้ ก่อนที่เขาจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากกว่านี้..
"ขอโทษนะครับ แต่ผมว่า.. เราสองคนคงต้องหาห้วงอนันต์ของเราใหม่แล้วล่ะ" ก่อนจะยิ้มแหยๆ ส่งไปให้
ทำเอานายพ่อมดเหล้าของเรายกมือยอมแพ้ เพราะดูก็รู้ว่าเขาเองก็คงจะคิดเหมือนกันว่าความรู้สึกมันไม่ได้แบบตอนนั้นแล้ว
ก็เลยกลายเป็นว่า.. สิ่งที่เหล้ารัมทำต่อจากนั้นก็คือการทิ้งตัวลงนอน ก่อนจะตะโกนด่าสาปนายตัวป่วนของเขาออกมาด้วยความคับแค้นใจ..
"ไอ้บ้าซองซู!!!"
จบตอนที่ 9
#แฮมสเตอร์บอกตรงๆ เลยว่า ลงอาทิตย์ละตอนแบบนี้ก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน
เพราะปกติพอลงเป็นจุดหนึ่งจุดสองก็จะลงได้เรื่อยๆ
แต่หลังจากไตร่ตรองมาหลายตลบ ก็คิดว่าวิธีการการลงแบบนี้น่าจะโอเคและลงตัวที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว
ขอบคุณที่อ่านกันนะครับ

*พูดคุยที่ทวิตเตอร์กันได้ โดย #พ่อมดเหล้า นะครับ
มายเพจ :
#แฮมสเตอร์