ตอนที่ 5 สักวัน...มันก็ผ่านไป
“มาถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วนะครับ เผื่อใครเพิ่งเปิดมาฟังบอกอีกทีว่านี่คือช่วงคุณขอมาเราจัดให้กับผมดีเจปาล์มและดีเจเมืองครับ” เสียงคุ้นเคยของนักจัดรายการสมัครเล่นที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือของหนึ่งในสองหนุ่มที่กำลังนั่งตัดกระดาษอยู่ที่พื้นทำให้คุณหมอทั้งสามต้องหยุดการสนทนาแล้วหันมาฟังอย่างตั้งใจ
“ก่อนปิดสถานีมาอ่านข้อความจากมิวสิคบ็อกซ์กันอีกสักข้อความดีไหมครับคุณปาล์ม”
“ดีเลยครับ เอาข้อความนี้ก็แล้วกัน ผมว่าน่าจะมีคนกำลังติดตามเรื่องนี้กันอยู่เยอะ เป็นข้อความจาก...อืม...ไม่ได้ลงชื่ออีกแล้วนะครับว่าจากใคร”
“แต่ดูท่าทางจะป่วยหนักเสียด้วยสิ ผมอ่านข้อความเลยแล้วกันป่านนี้เจ้าตัวเขารอแย่แล้ว ข้อความจากคุณบุรุษลึกลับเขียนมาว่า...เป็นสิวต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังแต่ถ้าเป็นโรครักเธอเรื้อรังต้องไปปรึกษาหมอไหนดี...ผมว่าคงไม่ต้องปรึกษาใครแล้วละครับก็ปรึกษากับคนที่คุณมอบเพลงนี้ให้นี่แหละ เรามาลากันด้วยเพลงนี้ครับ รักเธอ...มอบให้คุณหมอฟ้าใสจากชายหนุ่มนิรนาม”ทันทีที่เสียงเปียในท่อนอินโทรของเพลงรักที่เคยได้รับความนิยมในช่วงเวลาหนึ่งถูกเปิดขึ้นทุกคนก็พาหันมองเจ้าของหน้าหวานที่นั่งเอกเขนกอยู่ที่โซฟากลางห้องเป็นตาเดียว กันตภณส่ายหัวหนัก ๆ พลางนั่งลงข้าง ๆ วาดแขนตวัดรัดคอระหงก่อนจะเนี่ยวเข้ามาใกล้จนคนตัวเล็กกว่าต้องรีบใช้มือรั้งแขนแกร่งให้คลายออกเพื่อให้หายใจได้สะดวก
“อะไรของแกไอ้กันต์ ฉันหายใจไม่ออก”
“แกตายแน่ถ้าไม่ยอมบอกว่าไอ้คนที่ขอเพลงให้แกมันเป็นใคร”
“จะไปรู้ได้ยังไง เมื่อกี้น้องปาล์มก็บอกอยู่ว่าเขาไม่ได้ลงชื่อ” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์กล่าวพลางมองตามร่างสูงของเจ้าของห้องที่เดินมานั่งลงอีกข้าง กลายเป็นว่าขณะนี้เขาถูกประกบด้วยสองหนุ่มที่นิสัยใจคอต่างกันสุดขั้ว
“บอกมาเถอะฟาร์ม เราก็อยากรู้ว่าใช่พี่กันต์หรือเปล่า” แม้จะวางหน้านิ่งหากแต่กลับดูกรุ้มกริ่มอยู่ในที
คำพูดของขวัญนพทำเอาสองคนที่ถูกกันตภณขอร้องแกมบังคับให้มาร่วมหัวจมท้ายด้วยถึงกับตาลุกวาวแต่ก็ทำได้แค่เงี่ยหูฟังแบบเนียน ๆ เท่านั้น
“อ้าวไอ้นพ! ทำไมพูดอย่างนั้นวะ ฉันบอกแกแล้วว่าฉันไม่ได้ขอเพลงให้มัน”
“แล้วพวกแกจะอยากรู้ไปทำไมกัน ฉันยังไม่เห็นอยากรู้เลย” ตัวต้นเหตุทำเสียงดังโวยวายพร้อมกับพยายามขยับตัวให้หลุดจากวงแขนของเพื่อนสนิท
“ไอ้นี่ก็พูดจามีพิรุธ จะบอกหรือไม่บอก”
“จะเอาจากไหนมาบอก ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” ศัลยแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือกเมื่อเห็นว่าดิ้นรนไปก็ไม่เป็นผลจึงยอมอยู่นิ่ง ๆ
“พี่กันต์ปล่อยฟาร์มเถอะ เดี๋ยวฟาร์มหายใจไม่ออก”
“แกเข้าข้างมันเหรอ”
“ผมไม่ได้เข้าข้าง แต่ฟาร์มอาจจะไม่รู้จริง ๆ ก็ได้” ขวัญนพกล่าวหลังจากพิจารณาแล้วว่าคาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์
“ใช่...นพพูดถูก ขอบใจนะนพที่เข้าใจเรา” ณรงฤทธิ์รีบสนับสนุน “นพเป็นคนดีมีเหตุผลเสมอเลย มีแต่แกนั่นแหละไอ้หมาบ้า! จ้องแต่จะกัดฉัน”
“ปล่อยก็ได้วะ” กันตภณกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับคลายวงแขนออก “เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อนนะ”
“เอ๊ะ! ไอ้นี่! ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จริง ๆ เขาก็แค่ขอเพลงไม่ได้สานต่ออะไรอย่างอื่น”
“แล้วถ้าเขาสานต่อแกจะว่าไง”
“ก็ดีสิ โสดมาหลายปีแล้ว จะได้ทิ้งพวกแกลงจากคานสักที”
“พูดดีไปเถอะ ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ระวังก็แล้วกัน ระวังจะเป็นแค่หมาหยอกไก่ สุดท้ายช้ำใจก็ต้องกลับมาซบอกเพื่อนบนคนเหมือนเดิม”
“อ...ไอ้กันต์! แก!”
“เอาละครับ ๆ” โอเอ่ยขึ้น “พวกพี่อย่าทะเลาะกันเลย รอให้ไอ้เมืองกับไอ้ปาล์มมาก่อนค่อยถามมันก็ได้ เผื่อจะรู้เบาะแสเจ้าของกระดาษโน้ตนั่น ตอนนี้ผมว่าพวกพี่จับฉลากแบ่งสายกันดีกว่า” คนที่กำลังใช้กรรไกรตัดกระดาษสีเป็นรูปเลขาคณิตรีบห้ามทัพแล้วหันไปส่งสัญญาณ นักดนตรีรุ่นน้องจึงคว้าแก้วกาแฟพลาสติกที่มีม้วนกระดาษเล็ก ๆ เท่ากับจำนวนคนในห้องไปหยุดยืนตรงหน้าคุณหมอทั้งสาม
“จับฉลากแบ่งสายอะไรกันน้องก้อง” หมอฟาร์มมุ่นคิ้ว
“ก็จับฉลากว่าใครต้องแสดงเป็นอะไรในเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระไงครับ”
“อ้าว ไม่ใช่ว่าพี่เล่นเป็นสโนว์ไวท์ นพเป็นเจ้าชาย ส่วนไอ้กันต์กับน้อง ๆ เป็นคนแคระหรอกเหรอ”
คนฟังส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะตอบ “ไม่ครับ พวกผมปรึกษากันแล้วว่าจะให้น้องยี่หวาเป็นสโนว์ไวท์ ส่วนคนที่เหลือจับฉลากเอา อืม...ถ้าอย่างนั้นเรียงไปเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากพี่นพก่อน เดี๋ยวผมกับพี่โอปิดท้าย”
ขวัญนพพยักหน้าแล้วล้วงมือลงไปหยิบกระดาษม้วนเล็กขึ้นมาถือไว้ รอกระทั่งครบทุกคนจึงเปิดของตนเองออกดู
“พี่นพได้อะไรครับ”
“คนแคระ”
สิ้นเสียงแพทย์รุ่นน้องกันตภณก็หัวเราะไม่หยุด
“แล้วพี่ฟาร์มล่ะครับ”
เมื่อถูกถามถึง ณรงค์ฤทธิ์จึงคลี่ม้วนกระดาษออก “กระจก! มันมีตัวละครนี้ด้วยเหรอ”
“มีสิพี่ สำคัญเลยล่ะ” ก้องยิ้มมีเลศนัย
“คนหนึ่งก็คนแคระ คนหนึ่งก็กระจก ของฉันมันต้องเป็นเจ้าชายแน่ ๆ” ไม่วายหัวเราะเยาะก่อนจะคลี่กระดาษออกดู “เฮ้ย! แม่มด!”
เพียงเท่านั้นก็สามารถทำให้นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ที่ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับบทบาทที่ตนเองได้รับถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาได้
“ขำมากนักหรือไงเป็นแม่มดเนี่ย”
“ขำ...ขำสิ” คนพูดหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล “โอ๊ย! แม่แกได้ไปอำเภอแจ้งเกิดแกอีกรอบแน่ไอ้กันต์เอ๊ย”
“อะ...ไอ้ฟาร์ม” กันตภณเข่นเขี้ยวแต่แล้วก็จำต้องยอมอ่อนให้ “แลกกันไหม”
“ไม่!” อีกคนทำเสียงแข็งแม้อยากจะตอบตกลงใจจะขาด
“ทำไมวะ ฉันรู้นะว่าแกอยากแต่งหญิง”
“แต่ปีนี้ฉันว่าเด็ก ๆ น่าจะอยากเห็นคุณลุงหมอกันตภณในคราบแม่มดสาวแสนสวยมากกว่า” พูดจบก็หัวเราะเสียงดังจนคนถูกล้อหน้าหงิก “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี ก็ลุงหมอกันตภณน่ะสิ ทั้งทั้งปฐพีไม่มีใครปากหมาเกิน!!!”
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งทำฟึดฟัดพร้อมกับลุกขึ้นเดินแยกไปนั่งที่โซฟาอีกตัว “แล้วก้องกับโอได้อะไร”
“ผมเป็นคนแคระเหมือนพี่นพครับ” ก้องพูดพร้อมกับหงายกระดาษในมือให้ดู “ที่เหลือของพี่โอก็ต้องเป็นเจ้าชาย”
“มีใครอยากแลกไหม” กันตภณถามห้วน ๆ และคำตอบที่ได้รับจากสองหนุ่มที่พร้อมใจกันตอบก็คือ...
“ไม่!”
หลังจากจัดสรรหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว บรรดาคุณหมอและเหล่านักดนตรีก็นัดซักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้นในตอนค่ำของทุกคืน ถึงจะมีถกเถียงกันให้เหล่าคนมาช่วยทำอุปกรณ์ประกอบฉากอย่างประจำเมืองและปาล์มต้องปวดหัวอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนกระทั่งถึงวันงาน
ประจำเมืองกอดอกยืนมองเวทียกพื้นสูงขึ้นเล็กน้อยและฉากหลังสีสันฉูดฉาดที่ทำจากกระดาษปะติดภายในห้องโถงของหอผู้ป่วยเด็กซึ่งถูกเนรมิตจนเสร็จเมื่อราว ๆ เกือบรุ่งสางของวันใหม่ อิเล็กโทนตัวใหญ่ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหนึ่งของเวที นึกขอบคุณลูกชายคุณตาสุธีเจ้าของวงดนตรีท้องถิ่นที่ให้ยืมมาใช้ก่อน ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากหาว หันกลับไปมองข้างหลังก็พบว่าก้องกับปาล์มต่างพากันนอนสลบไสลอยู่กับพื้นโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดินผ่านไปผ่านมาหรือไม่
“ดื่มกาแฟหน่อยไหม” ขวัญนพที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์เอ่ยขึ้นพร้อมกับชูถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้น
“ขอบคุณครับ แต่ผมฝากพี่ช่วยดื่มได้ไหม”
“ทำไมล่ะ” นายแพทย์หนุ่มถามอย่างแปลกใจ
“คือ...ผมไม่ดื่มกาแฟครับ”
“ไอ้เมืองมันเด็กอนามัย” คนที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำกล่าวพลางลูบหน้าลูบตาที่พราวไปด้วยหยดน้ำ “เข้าร้านกาแฟก็กินแต่นมร้อน” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ พี่จะไปซื้อมาให้ใหม่” กำลังจะหันหลังกลับก็โดนห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมก็จะกลับกันแล้ว พี่นพรีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ อยู่ช่วยพวกผมมาเกือบทั้งคืนแล้ว” พูดจบประจำเมืองก็ก้มลงเขย่าตัวคนที่กำลังหลับสบายหวังจะให้ตื่นแต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะได้ผลจนพี่ใหญ่ในกลุ่มต้องออกโรงเอง
“เฮ้ย! ตื่น ๆ กลับกันได้แล้ว” ไม่พูดเปล่ายังใช้ปลายเท้าช่วยสะกิดด้วย
“เช้าแล้วเหรอพี่” ก้องกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ยังไม่เช้าหรอก แต่กลับกันได้แล้ว รีบกลับไปนอนเดี๋ยวตอนสายต้องมาเตรียมตัว”
คนฟังจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ยังพยักหน้าหันไปเขย่าตัวของอีกคนให้ตื่น “ไอ้ปาล์มกินข้าว”
“เที่ยงแล้วเหรอวะ”
“พอกันเลยไอ้สองคนนี้” โอส่ายหน้าก่อนจะรั้งคอเสื้อให้ทั้งคู่ยืนขึ้นแล้วโอบไหล่ลากกันเดินไปที่ลิฟต์ ในขณะที่ประจำเมืองช่วยเก็บข้าวของของเพื่อน ๆ ไม่ลืมจะหันมากล่าวกับคุณหมอที่อาสามาช่วยตกแต่งสถานที่ตั้งแต่ออกเวรดึก
“ผมไปก่อนนะครับ”
ขวัญนพเพียงแต่พยักหน้า ทอดตามองคนที่กำลังเดินห่างออกไป รอกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลงจึงได้ยกถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้นดู สงสัยว่าคงต้องเอากลับไปดื่มเองเสียแล้ว...
บรรดาคุณหมอและหนุ่มนักดนตรีกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในตอนสายเพื่อให้เหล่านางพยาบาลช่วยกันแปลงโฉมให้ด้วยอุปกรณ์และเสื้อผ้าที่พอจะหาได้ในเวลาจำกัด ซึ่งกันตภณดูท่าจะไม่พอใจกับชุดแม่มดของตนเองนัก เพราะนอกจากจะเป็นชุดเดรสยาวสีดำแนบไปกับลำตัวแล้วยังคว้านคอลึกโชว์อกอวบซึ่งถูกยัดด้วยลูกโป่งใส่น้ำอีกด้วย นายแพทย์หนุ่มแทบไม่อยากเดินไปไหน ไม่ใช่เพราะเกรงว่าลูกโป่งที่เด้งชนกันอยู่บนแผงอกจะทำให้เกิดภาพไม่เหมาะสม หากแต่กลัวว่าตะเข็บของชุดที่สวมจะปริแตกกลายเป็นภาพอุจาดตาเสียมากกว่า แต่ก็นับว่ายังแพ้ชุดมนุษย์กระจกของหมอฟาร์มอยู่ดี
“ชุดบ้าอะไรวะเนี่ย”
“เอาน่าพี่ มันหาได้ดีที่สุดแค่นี้นี่นา” ก้องกล่าว เขาเองสวมเสื้อซานตาคลอสสีแดงตัวใหญ่กับกางเกงสีดำตัวโคร่งคาดด้วยเข็มขัดหลวม ๆ
ณรงค์ฤทธิ์มองภาพสะท้อนบนกระจกหน้าต่างแล้วอดนึกสงสารตัวเองไม่ได้ นอกจากต้องใส่ชุดแนบเนื้อแบบยอดมนุษย์ห้าสีแล้วเขายังต้องสวมหัวอำพรางใบหน้าด้วยถุงน่องอีกด้วย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือต้องถือกรอบไม้สี่เหลี่ยมบ้า ๆ ที่หุ้มด้วยกระดาษสีทองซึ่งคนทำพยายามจะเลียนแบบกรอบหลุยส์แต่ดันออกมาเหมือนขนมกรอบเค็มหงิก ๆ งอ ๆ เดินไปเดินมาทั้งเรื่องเพียงเพื่อพูดแค่ว่า ‘สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งปฐพีไม่มีใครงามเกิน’
“มีใครสั่งเครื่องดื่มไว้หรือเปล่าจ๊ะ น้องพนักงานร้านกาแฟเอาเครื่องดื่มมาส่งจ้ะ” วารุณีชะโงกหน้าเข้ามาถามภายในห้อง
ไม่มีใครตอบรับหรือปฏิเสธเพราะกำลังสาละวนอยู่กับกับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง ดังนั้นขวัญนพจึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วก็ออกไปจ่ายเงินที่ด้านนอก จากนั้นเครื่องดื่มหลายชนิดที่ถูกชงใส่มาในขวดพลาสติกและแก้วกระดาษทรงสูงที่มีน้ำแข็งอยู่เกือบเต็มก็ถูกแจกจ่ายให้กับทุก ๆ คนที่มาช่วยงานโดยสาวสวยเจ้าของร้านกาแฟ
“นมร้อนนี่ของน้องเมืองจ้ะ”
“ของผมเหรอครับ” ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาจากข้างนอกกล่าว
“ใช่จ้ะ”
“ขอบคุณครับ” พูดจบก็รับถ้วยกระดาษใส่นมร้อนเดินไปนั่งบนโต๊ะตรงกลางห้อง
“พี่นพ กางเกงพี่น่ะเดินแล้วจะหลุดไหมเนี่ย” ก้องเอ่ยขึ้น
“นั่นน่ะสิ มีเข็มขัดเส้นเดียวเสียด้วย” คนพูดก้มลงมองกางเกงตัวใหญ่ความยาวกรอมเท้าที่เกือบทำให้เดินสะดุดจนหน้าทิ่มอยู่หลายรอบ บิดตัวซ้ายขวาสำรวจตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่ใครสักคนหอบหิ้วมาให้ยืมสำหรับใช้ในห้องแต่งตัว อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองนิ่งมองเงาสะท้อนของชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเอี๊ยมสีเข้มที่ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิและยกนมร้อนขึ้นจิบอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่วางแก้วกระดาษลงเขาก็ยกกระดาษมีบรรทัดห้าเส้นขึ้น ส่วนอีกมือเคลื่อนที่ไปมาในอากาศราวกับปลายนิ้วของเขาในขณะนี้กำลังสัมผัสอยู่บนลิ่มนิ้วเปียโนก็ไม่ปาน และในจังหวะที่คนในกระจกเงยหน้าขึ้นมาสบตากันพอดีขวัญนพจึงก้มลงมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง
“ผมว่าเอาเชือกผูกไว้หน่อยดีไหม กันหลุด” กล่าวจบประจำเมืองก็กระโดดลงจากโต๊ะเดินไปหยิบเชือกป่านเส้นหนึ่งที่เหลือจากใช้ทำเส้นผมของแม่มดมาให้
คนแคระแต่ตัวสูงรับไว้ก่อนจะปลดเข็มขัดที่คาดเอาไว้หลวม ๆ ออก จัดการผูกเชือกอ้อมรอบเอวกางเกง แต่เพราะชายเสื้อที่ยาวรุงรังทำให้การม้วนเก็บเอวกางเองเพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดเป็นไปอย่างทุลักทะเล เห็นแล้วให้รำคาญลูกตานัก
“พี่ดึงเสื้อขึ้น เดี๋ยวผมม้วนให้” นักดนตรีหนุ่มว่า รอกระทั่งอีกฝ่ายรั้งชายเสื้อแสนเกาะกะขึ้นได้สำเร็จจึงช่วยม้วนขอบกางเกงให้
หอม...ยิ่งใกล้ปลายจมูกยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม ขวัญนพกดตาลงต่ำมองเจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงศอก
“เรียบร้อย” ประจำเมืองยืดตัวตรงสำรวจความเรียบร้อยพร้อมกับยิ้มให้
“ขอบคุณมาก” คนอายุมากกว่ากล่าวพร้อมกับก้มหน้าก้มตาคาดเข็มขัดกลับคืนดังเดิมพลันเสียงของคนที่ทุกคนกำลังรอก็ดังขึ้น
“หลบหน่อยครับ พระเอกนางเอกมาแล้ว” ชายหนุ่มในชุดเจ้าชายเต็มยศเดินเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้สาวน้อยในชุดสโนว์ไวท์ที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาบรรดานางพยาบาลสาว ๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นจึงพากันไปขอถ่ายรูปกับเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก
อีกประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากเด็ก ๆ ในหอผู้ป่วยรับประทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อย แพทย์หญิงวารุณีก็ก้าวขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน และเมื่อเห็นนักแสดงพร้อม เธอเองซึ่งเป็นคนเล่านิทานก็เริ่มทำหน้าที่ทันที วารุณีเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ยังเป็นเด็กและค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่สวยงาม จนกระทั่งโชคร้ายต้องมาพบกับแม่เลี้ยงใจร้ายเข้า สิ้นเสียงคนเล่านิทานเสียงดนตรีชวนตื่นเต้นก็แทรกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของแม่มดใจร้ายในคราบของราชินีและกระจกคู่ใจ
เป็นไปตามคาด เมื่อณรงค์ฤทธิ์และกันตภณก้าวขึ้นไปบนเวที เสียงหัวเราะของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ดังครืน เล่นเอาเหล่านักแสดงเขินอายไปตาม ๆ กัน เด็กชายปูไข่และเพื่อน ๆ ต่างชี้ชวนกันดูสองคนที่กำลังยืนเงอะงะพร้อมกับคาดเดาว่าทั้งคู่คือใคร แต่แล้วเสียงแหลมฟังน่ากลัวก็ทำเอาทั้งห้องโถงเงียบกริบ
“แห! แห! แห!!!”
“ราชินี ท่านจะเอาแหไปทำไมกัน” กระจกถาม
“เอามาทอดจับเจ้านั่นแหละ เจ้าปลาไหล ถุย! ข้าหัวเราะ! ไอ้กระจกบ้า!” ราชินีใจร้ายตวาดเสียงแหวพร้อมกับยกมือขึ้นช้อนหน้าอกที่เริ่มจะเด้งไปมาไร้ซึ่งสามัคคีให้กลับเข้าที่ จากนั้นจึงเชิดหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”
“สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งกาแลคซีไม่มีใครงามเกิน”
“จ...เจ้าว่ายังไงนะ นี่นังสโนว์ไวท์มันยังไม่ตายรึ ไม่ได้แล้ว เรื่องนี้เห็นทีข้าต้องลงมือเอง” ราชินีกล่าวอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไป
“พวกเจ้าอยากรู้ใช่ไหมเด็ก ๆ ว่าตอนนี้สโนว์ไวท์เป็นตายร้ายดียังไง เข้ามาใกล้ ๆ สิ เดี๋ยวกระจกวิเศษจะพาไปดู” ว่าแล้วกระจกวิเศษหมุนอยู่กลางเวที 2-3 รอบ ก่อนจะเซออกจากฉากไปในที่สุด
“เดี๋ยวเราตามพี่กระจกไปกันดีกว่าค่ะเด็ก ๆ ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับสโนว์ไวท์” เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ สนใจจะติดตามเรื่องราวต่อ คนเล่าจึงหันไปส่งสัญญาณให้นักแสดงอีกคู่เตรียมตัว พลันเสียงบรรเลงเพลงทำนองสนุกสนานจากอิเล็กโทนที่บรรเลงโดยประจำเมืองก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของสองคนแคระและเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ทั้งสามพากันเต้นไปตามจังหวะเพลง จากนั้นขวัญนพในชุดคนแคระก็อุ้มสโนว์ไวท์ยี่หวาลอยขึ้นกลางอากาศ
“อยู่นี่เองแม่หนูสโนว์ไวท์” แม่มดที่เดินถือตะกร้าใส่แอปเปิ้ลผลโตมาจากอีกด้านของเวทีกล่าว “ยายมีแอปเปิ้ลหวาน ๆ มาให้จ้ะ” พูดจบมือสั่นเทาก็ยื่นลูกกลม ๆ สีแดงสดให้
“คุณแม่บอกว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าค่ะ” คำพูดไร้เดียงสาของหนูน้อยทำเอาบรรดาบุคลากรทางการแพทย์และผู้ปกครองที่ยืนมองต่างพากันอมยิ้ม
“แต่แกต้องกิน!” แม่มดตัวโย่งขึ้นเสียงจากนั้นก็เดินดิ่งเข้าประชิดตัวเจ้าหญิงในอ้อมแขนของคนแคระ เล่นเอาเด็ก ๆ ที่นั่งลุ้นจนตัวโก่งเผลอร้องห้าม “กินเข้าไป! แล้วปฐพีนี้ก็จะมีแต่ข้าที่งามที่สุด แห! แห! แห!!!”
เมื่อเจ้าหญิงสโนว์ไวท์หมดสติ ทำนองเพลงเศร้าค่อย ๆ ดังขึ้น ร่างของเธอถูกยกขึ้นวางบนแท่นโดยคนแคระ ทั้งสองพากันร้องไห้จนกระทั่งชายหนุ่มก้าวขึ้นบนเวที
“เราคือเจ้าชายโอสุดหล่อ พวกท่านมีสิ่งใดเราช่วยหรือไม่”
“โปรดช่วยเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ของเราด้วยเถิดท่าน นางถูกแม่มดใจร้ายกลั่นแกล้ง” คนแคระขวัญนพอ้อนวอน
“ได้ เราจะช่วยนางเอง” พูดจบเจ้าชายก็ช้อนร่างของเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ ขึ้น จากนั้นก็ฝังจมูกลงที่แก้มนุ่มเบา ๆ เท่านั้นดวงตาทอประกายก็เปิดขึ้นแล้วสองคนก็ส่งยิ้มหวานให้กันโดยมีเสียงดนตรีชวนเคลิบเคลิ้มคลอเบา ๆ ส่งให้บรรยากาศยิ่งโรแมนติก
วารุณีเดินออกมาที่กลางเวทีอีกครั้ง “เมื่อแรกที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้สบตากันก็ก่อเกิดเป็นความรัก ทั้งคู่จึงแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล จำไว้นะคะเด็ก ๆ อย่ารับของจากคนแปลกหน้าเด็ดขาด”
สิ้นเสียงกุมารแพทย์หญิง นักแสดงทั้งหมดก็เดินออกมายืนที่หน้าเวทีพร้อมกับโยกตัวตามจังหวะโดยมีเด็ก ๆ ปรบมือตามไปด้วย กระทั่งเสียงเพลงค่อย ๆ แผ่วหายไป นักแสดงเดินลงจากเวที วารุณีจึงได้กล่าวแนะนำการแสดงชุดสุดท้ายซึ่งเป็นการแสดงดนตรีของพี่ ๆ นักศึกษาปริญญาโท เมื่อเห็นว่าเจ้าชายและคนแคระซึ่งเป็นสมาชิกของวงดนตรีเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและถือกีตาร์และฟรุตขึ้นมายืนประจำที่บนเวทีเรียบร้อยแล้ว เธอจึงยกหน้าที่ต่อให้กับนักร้องนำประจำวง
“สวัสดีครับน้อง ๆ วันนี้พี่ปาล์ม พี่โอ พี่ก้องและพี่เมือง เราทั้งสี่คนจะมาเล่นดนตรีให้ทุกคนฟังนะครับ เรามาเร่มที่เพลงแรกกันเลยดีกว่า ใครร้องได้ช่วยพี่ปาล์มร้องด้วยนครับ”
พูดจบปาล์มก็หันไปส่งสัญญาณกับเพื่อน ๆ แล้วเพลงจังหวะสนุก ๆ ก็ถูกเล่นอย่างต่อเนื่องเพลงแล้วเพลงเล่า ผู้ใหญ่บางคนโยกตัวตาม บางคนขยับขาตามจังหวะเพลง ในขณะที่เด็ก ๆ หลายคนลุกขึ้นมาเต้นขยับแข้งขยับขาชนิดลืมโรคภัยไข้เจ็บของตนเองไปเลย บรรยากาศที่อวลไปด้วยรอยยิ้มของทุกคนทำเอาเจ้าของวันเกิดและตัวตั้งตัวตีในการจัดงานอย่างแพทย์หญิงวารุณียิ้มจนแก้มแทบปริ
(มีต่อค่ะ)