[เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2  (อ่าน 17197 ครั้ง)

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
ตอนแรกคิดว่าหมอฟาร์มแต่งหญิงนะเนี่ยย

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)

กว่าบรรดาหมอ ๆ จะแยกย้ายกันกลับหอพักบุคลากรก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม เหลือก็แต่ขวัญนพที่ขอจัดหนังสือลงกล่องต่ออีกหน่อย เพราะยังมีหนังสืออีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้นำออกจากชั้นวางหนังสือภายในห้องที่ดูใกล้เคียงกับห้องสมุดขนาดย่อมเข้าไปทุกที ดังนั้นประจำเมืองและเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้มีธุระรีบร้อนจึงอาสาช่วยขนลงจากห้องทำงานไปใส่รถให้


“ขอบคุณมากนะที่ช่วย” ขวัญนพกล่าวขณะรับกล่องพลาสติกใบใหญ่ที่มีหนังสืออยู่เต็มจากมือของชายหนุ่มที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังก่อนจะใส่ลงที่ท้ายรถ


“ไม่เป็นไรครับ ถ้าพี่จะให้ช่วยยกอีกละก็บอกได้นะ เดี๋ยวพวกผมมาช่วย”


“ขอบคุณเรื่องที่ช่วยยกหนังสือนี่ก็ด้วย แล้วก็เรื่องที่ช่วยพูดให้ฟาร์มเปลี่ยนใจ”


ประจำเมืองพยักหน้า ทอดตามองคนที่กำลังขยับกล่องใบโตเข้าไปด้านใน เพื่อเว้นที่สำหรับอีกหลายใบที่เพื่อน ๆ ของเขากำลังลำเลียงลงมา


“คือ...ผมพูดอะไรหน่อยได้ไหม”


“ว่ามาสิ” อายุรแพทย์ฯ หนุ่มตอบเสียงเรียบ


“ผมว่าพี่ไม่เห็นต้องตามใจคนอื่นไปเสียหมดก็ได้ ทำอะไรแบบที่ตัวเองอยากทำ หรือปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำบ้าง ผมรู้นะว่าที่จริงแล้วพี่ก็ไม่ได้อยากทำอะไรแบบนั้นหรอก แต่ที่ทำก็เพราะอยากให้ทุกคนสบายใจ ผมเข้าใจพี่นะ คิดว่าพี่น่าจะเป็นประเภทที่ใครขอร้องให้ช่วยอะไรก็ช่วยเขาไปเสียทุกอย่าง แต่ก็อย่างที่ว่าแหละ ทำตามใจตัวเองบ้างก็ได้”


ขวัญนพได้แต่ฟังเงียบ ๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกล่าว หากแต่กันตภณซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทที่สุดก็เคยพูดประโยคทำนองนี้กับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง...


“ถ้ามัวแต่อมพะนำแล้วคุณสิรันทรเขาจะรู้ไหมว่านายชอบเขา”


“พี่จะให้ผมบอกว่าผมชอบเขาทั้งที่เขาเป็นคนรักของเพื่อนสนิทอย่างนั้นเหรอ”


“ก็ถ้ามันถึงขนาดที่ว่าเขาอาศัยเหตุการณ์รถตกหน้าผาแล้วแกล้งจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับคนรักไม่ได้อย่างที่นายว่า แค่นี้ก็น่าจะชัดเจนว่าเขาหมดรักเพื่อนนายแล้ว”


“ถึงจะอย่างนั้นผมก็ทำไม่ได้ ยังไงผมก็ทำแบบนั้นกับนับพลไม่ได้”


   
“พี่นพ...”


“พี่นพ...”


คนใจลอยดึงความคิดให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้งเมื่อเสียงที่เรียกชื่อของตนเองดังขึ้นกว่าในตอนแรก ดวงตาภายใต้กระจกใสมองตามฝ่ามือขาวที่โบกไหวก่อนจะปรับโฟกัสไปยังใบหน้าที่ฉาบด้วยแสงจากโคมไฟที่ปลายเสา 


“หลับในเหรอพี่”


“เปล่า” ขวัญนพพูดพร้อมกับคว้ามือของอีกฝ่ายที่ยังคงเคลื่อนผ่านไปหน้าจนแทบจะปัดโดนกรอบแว่นของเขาอยู่แล้ว


ประจำเมืองชะงักเล็กน้อยพร้อมกับชักมือกลับอย่างสุภาพ “ขอโทษนะ ผมพูดมากไปหน่อย”   


“ไม่เป็นไร มันก็จริงอย่างที่เราว่านั่นแหละ” คนพูดแตะปลายนิ้วดันแว่นให้เข้าที่ก่อนจะเบนหน้าไปอีกทางเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายจากกลุ่มคนที่เพิ่งเดินอ้อมตัวอาคารตรงมาทางที่พวกเขายืนอยู่


“หนังสือเยอะขนาดนี้เปิดเป็นห้องสมุดได้เลยนะพี่” โอกล่าวพร้อมกับวางกล่องใบใหญ่ลงที่ท้ายรถแล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ถ้าขนคนเดียวอีกกี่วันพี่นพจะขนเสร็จเนี่ย”


ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เสียงหนึ่งในสองคนที่ช่วยกันหิ้วเชือกมัดรอบลังกระดาษคนละข้างก็แทรกขึ้นเสียก่อน “ไอ้ปาล์ม เดินเร็ว ๆ หน่อยสิวะ เดินอย่างกับคนหมดแรง”


“มันหนักนี่หว่า” กล่าวพลางรวบรวมกำลังยกลังกระดาษใบที่บรรจุหนังสือมากที่สุดขึ้นวางลงยังพื้นที่ที่เหลืออยู่


“แล้วตอนขนขึ้นห้องพี่จะขนยังไงครับ” ประจำเมืองกล่าวพลางทอดตามองหนังสือจำนวนมากที่ท้ายรถ


“เดี๋ยวให้พี่รปภ.ช่วยยกก็ได้ ไม่อย่างนั้นก็ค่อย ๆ ทยอยขนขึ้นไป” พูดจบก็กดผากระโปรงด้านหลังให้ปิดลง


“ที่เหลืออยู่บนห้องทำงานก็อีกตั้งเยอะนะ”


“กำลังคิดว่าจะบริจาคให้โรงพยาบาล อีกหน่อยอาคารหลังนี้ก็จะกลายเป็นอาคารอนุรักษ์ ใช้จัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ แล้วก็จะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งทำเป็นห้องสมุด พี่แยกเอาไว้แล้วละส่วนใหญ่เป็นตำราแพทย์แล้วก็หนังสือที่มีคนให้มาน่ะ เหลือที่เป็นของตัวเองจริง ๆ อีกไม่มากหรอก  ยังไงก็ขอบใจมากนะที่ช่วย เอาไว้จะเลี้ยงข้าวตอบแทนก็แล้วกัน”


ได้ยินแบบนั้นทั้งสี่คนก็พากันหูผึ่ง ต่างคนต่างยิ้มกริ่มที่การได้ใช้แรงงานครั้งนี้แลกเป็นของฟรีได้


“ถ้าอย่างนั้นพวกผมกลับก่อนนะครับ พรุ่งนี้ว่าง ๆ จะมาช่วยจัดหนังสือลงกล่อง” ประจำเมืองกล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินตามเพื่อน ๆ ไปที่รถซึ่งจอดอยู่ห่างออกไป 


บ่ายคล้อยของวันต่อมาประจำเมืองก็ทำตามที่ตนเองพูดไว้จริง ๆ ชายหนุ่มกลับมาที่อาคารโบราณใกล้กับลานจอดรถของโรงพยาบาลอีกครั้ง และเพราะได้พบกับขวัญนพระหว่างเขาจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายกลับมา ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ เพิ่งสังเกตว่าห้องนี้เกือบครึ่งหนึ่งเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือจนดูเหมือนห้องสมุดอย่างที่โอพูดเอาไว้ไม่มีผิด โต๊ะทำงานตั้งอยู่ริมหน้าต่างวงกบไม้แกะสลักประดับด้วยม่านสีขาวปักลวดลายฉลุ มองออกไปเห็นท้องทะเลแสนกว้างใหญ่


ประจำเมืองพยายามหลบหลีกลังกระดาษหลายใบที่เจ้าของห้องเตรียมไว้สำหรับใส่หนังสือ นั่งลงที่กลางห้องพับแขนเสื้อเชิ้ตแล้วหยิบหนังสือที่วางระเกะระกะใส่ลงในลังกระดาษ ถือโอกาสเปิดอ่านบ้างเมื่อชื่อและภาพที่หน้าปกก่อให้เกิดความสนใจใคร่รู้ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไร กว่าหนึ่งชั่วโมงที่หนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าถูกบรรจุจัดเรียงลงในกล่องทรงสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยกระทั่งเต็มทุกใบ บางส่วนที่ไม่สามารถใส่ลงในกล่องได้อีกชายหนุ่มก็ใช้เชือกมัดให้แน่นเพื่อรอการขนย้ายต่อไป


ร่างสูงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจพลางมองลังกระดาษและกองหนังสือที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า นี่ขนาดเจ้าของบอกว่าเหลืออีกไม่มากยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเก็บจนเสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ทำแล้วจึงแทรกตัวหายเข้าไประหว่างชั้นวางหนังสือที่สูงท่วมหัว ขณะที่ขาก้าวไปบนพื้นซึ่งปูด้วยไม้ขัดมันดวงตาก็ไล่มองที่สันปกเพื่อสำรวจว่ามีเล่มไหนที่น่าสนใจไปด้วยจนมาหยุดที่หนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นฝั่งที่ติดกับผนังห้อง ประจำเมืองจึงดึงออกมาดูพบว่าที่หน้าปกมีข้อความ 'กายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา' ภาพประกอบเป็นภาพมนุษย์ตั้งแต่ช่วงไหล่ขึ้นมาปราศจากผิวหนังห่อหุ้ม ซีกหน้าครึ่งหนึ่งเป็นมัดของกล้ามเนื้อส่วนอีกซีกเป็นกะโหลกศีรษะและฟันมันช่างเหมือนกับหนังสือที่เคยเห็นวางอยู่บนโต๊ะทำงานของพ่อไม่มีผิด ดวงตากลมโปนนั่นชวนให้ต้องรีบสอดกลับคืนที่เดิมทันที


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองสำรวจบชั้นวางที่อยู่ถัดขึ้นไปกระทั่งสายตาสะดุดเข้าหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงกับความสนใจของตนเองจึงหยิบออกมาเปิดอ่านคร่าว ๆ ก่อนที่มือเรียวของนักดนตรีจะพลิกไปหน้าใหม่ ทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงกระดาษเสียดสีกัน พลันเสียงฝีเท้าก้าวช้า ๆ แต่เป็นจังหวะสม่ำเสมอก็ทำให้รู้ว่าในห้องไม่ได้มีเพียงตนเองอีกต่อไป


ประจำเมืองปิดหนังสือเงี่ยหูฟังเสียงพื้นรองเท้าหนังกระทบพื้นไม้ขัดมันที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ชายหนุ่มก้าวเท้าไปตามทางเดินระหว่างชั้นหนังสือพร้อมกับสอดส่ายสายตามองรอดชั้นวางเพื่อหาที่มาของเสียง และเมื่อผ่านช่องทางเดินตรงกลางก็เหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงฝีเท้านั้นเงียบลงแทนกลับที่ด้วยเสียงดังหง่างเหง่งของนาฬิกาลูกตุ้มบนผนังเล่นเอาสะดุ้งโหยง ในที่สุดเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่อาจจับทิศทางได้ ตัดสินใจหันกลับไปมองทางทิศที่เพิ่งเดินจากมาซึ่งก็ปรากฏเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น หนุ่มนักดนตรีกำหนังสือแน่นในใจคิดจะวิ่งออกจากเขาวงกตที่เต็มไปด้วยหนังสือนี้ให้เร็วที่สุดหากแต่สองขากลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในหัวจินตนาการตามภาพเหตุการณ์ที่มักพบบ่อย ๆ ในภาพยนตร์สยองขวัญไปล่วงหน้าแล้ว   


“เมือง”


เสียงเรียกที่ดังอยู่ใกล้ ๆ ทำเอาใจหาย เจ้าของชื่อหมุนตัวกลับอย่างรีบร้อนจนชนเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร แรงปะทะทำให้หนังสือหลุดจากมือร่างเซไปทางด้านข้างจนเกือบจะชนเข้ากับชั้นหนังสือโชคดีที่คนเรียกคว้าเอวเอาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นชั้นหนังแถวนี้คงจะล้มครืนเป็นโดมิโนแน่ ๆ


“พี่นพ” ประจำเมืองเบิกตากว้าง รู้สึกได้ว่าหัวใจกำลังสูบฉีดความกลัวไปทั่วร่าง    


“เป็นอะไรหรือเปล่า” พูดพลางค่อย ๆ ปล่อยมือ


“โอ้ย…หัวใจจะวาย” ว่าแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดแรง


“เป็นอะไรไป”


“พี่นพเล่นมาให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ผมตกใจหมด”


“นึกว่าพี่เป็นผีหรือไง” ขวัญนพกล่าวกลั้วหัวเราะพลางผายมือออกให้อีกฝ่ายจับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้นที่บอกว่าไม่ยอมนอนแยกห้องเพราะอยากอยู่ใกล้กับพ่อกับแม่ก็คือข้ออ้างน่ะสิ ที่แท้เด็กชายจำเมืองกลัวผีต่างหาก” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายืนได้อย่างมั่นคงแล้วจึงคลายมือออก ก้มลงหยิบหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นยื่นให้


“ใครบ้างไม่กลัวผี” คนหน้าซีดถอนใจ รับหนังสือมาถือไว้


“เคยเจอแล้วเหรอถึงกลัว”


“ไม่! ไม่อยากเจอ แล้วก็ไม่ต้องมาให้เจอด้วย” พูดคล้ายกับจะบอกให้รู้โดยทั่วกัน


“จะไปไหน” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ้ายกำลังจะเดินย้อนกลับเข้าไปด้านใน


“เอาหนังสือไปเก็บ”


“เอาไปอ่านก่อนก็ได้นะ”


“ได้เหรอ” ถามด้วยความลังเล เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เป็นคล้ายสิ่งยืนยันคำพูดเมื่อครู่จึงกล่าวต่อ “เดี๋ยวผมจะรีบอ่านจะได้รีบเอามาคืนนะ”


“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบหรอก พี่ไม่ได้ใช้ทำอะไร อ่านจบเมื่อไรค่อยคืนก็ได้”


หนุ่มนักดนตรีพยักหน้ายังไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณก็ต้องรีบถอยเท้าหนีจนแผ่นหลังชิดกับชั้นหนังสือเมื่อใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นขยับเข้ามาใกล้ ประจำเมืองแทบไม่กล้าหายใจเมื่อมือใหญ่ยกข้ามไหล่ของตนเอง เหลือบตาไล่มองไปตามแนวสันกรามที่เชื่อมกับริมฝีปากได้รูปและจมูกโด่งเป็นสันที่อยู่ห่างกันเพียงคืบกระทั่งได้ยินเสียงนุ่มของอีกฝ่าย


“นี่อีกเล่ม เป็นจิตวิทยาสำหรับเด็ก” ขวัญนพกล่าวขณะดึงหนังสือเล่มหนึ่งจากบนชั้นด้านหลังออกมาก่อนจะวางซ้อนลงบนเล่มที่ประจำเมืองถืออยู่


“ข...ขอบคุณครับ” ในที่สุดก็ได้กล่าวคำนี้สักที


“พี่สิต้องขอบคุณ เรื่องที่มาช่วยจัดหนังสือ ตอนแรกคิดว่าจะชวนเพื่อน ๆ มาด้วยกันเสียอีก”


“วันนี้พี่โอกับไอ้ก้องไม่ว่างครับ ต้องกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ส่วนปาล์มท้องเสีย เลยให้นอนอยู่บ้าน ผมแวะไปเปิดสถานีตอนเช้าแล้วก็เอาเอกสารไปให้ผู้ปกครองของน้อง ๆ ที่สมัครใจเข้าร่วมวิจัยเซ็น กว่าจะรอปิดสถานีก็ค่ำโน่น ไม่มีอะไรทำผมก็เลยมาที่นี่”


“ไปนั่งข้างนอกดีกว่า ในนี้มันอับ มีแต่หนังสือเก่า ๆ ทั้งนั้น” ขวัญนพกล่าวก่อนจะเดินนำไปตามช่องทางเดิน


“พี่ชอบอ่านหนังสือเหรอ”


“อืม รู้สึกว่ามันเป็นงานอดิเรกที่ทำให้ได้มีสมาธิอยู่กับตัวเอง” ตอบทั้งที่เท้ายังคงก้าวไปเรื่อย ๆ


“แล้วอย่างอื่นล่ะ อย่างเช่นดูหนัง วาดรูป หรือฟังเพลง ไม่ชอบเลยเหรอ”


“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่พวกนั้นมันต้องมีอุปกรณ์ประกอบหลายอย่าง แต่อ่านหนังสือเราก็มีแค่หนังสือเล่มเดียว”


“ดูเป็นคุณหมอรักสงบจังเลยเนอะ”


เสียงบ่นอู้อี้ของคนเดินตามหลังทำให้ขวัญนพต้องหยุดแล้วเหลียวกลับมามอง


“อ้าว หยุดทำไมล่ะพี่”


“ป...เปล่า แค่รู้สึกเหมือนเคยได้ยินประโยคนั้นที่ไหน” แท้จริงก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นคำที่สิรันทรเคยให้นิยามเกี่ยวกับตัวเขา


“คุณหมอรักสงบน่ะเหรอ” ประจำเมืองหัวเราะ “ผมว่าใครที่ได้รู้จักพี่ก็คงรู้สึกแบบนี้แหละ เพลงก็ไม่ฟัง หนังก็ไม่ดู อ่านแต่หนังสือ จริง ๆ ฟังเพลงก็มีสมาธิได้นะพี่”


เจ้าของฉายายิ้มนิด ๆ “ไปเถอะ ก่อนมานี่พี่แวะไปหายี่หวาถามเรื่องนิทาน พอดีแกเอาติดมาด้วยก็เลยขอยืมมาก่อน ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่า” พูดจบเจ้าของห้องก็เดินนำไปที่โต๊ะทำงาน หยิบหนังสือเล่มโตแล้วไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับเชิญให้คนเดินตามนั่งลง


“นี่ไง มีเยอะจนไม่รู้ว่าจะเลือกเรื่องไหนเลยละ” พูดพลางพลิกไปยังหน้าสารบัญ


“ก็เลือกเรื่องที่เด็ก ๆ รู้จักสิครับ”


“เรื่องที่รู้จักอย่างนั้นเหรอ” ขวัญนพกล่าวขณะไล่มอง “ในนี้มีแต่นิทานฝรั่งทั้งนั้น เจ้าหญิงนิทรา เจ้าชายกบ อืม...สโนว์ไวท์กับคนแคระ”


“สโนว์ไวท์กับคนแคระเหรอครับ” ประจำเมืองยิ้มกริ่มราวกับมีแผนการผุดขึ้นในหัว...


กว่าจะปรึกษากันเรื่องนิทานที่จะเล่าในงานวันเกิดแพทย์หญิงวารุณีเรียบร้อยก็ใกล้ค่ำเต็มที ประจำเมืองแยกกับขวัญนพที่หน้าอาคารฤดีบรรเทาก่อนจะเดินตัดลานจอดรถไปยังอาคารสร้างใหม่เพื่อทำหน้าที่จัดรายการวิทยุก่อนที่จะถึงเวลาปิดสถานี ส่วนคุณหมอเองก็ต้องไปทำหน้าที่ตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเหมือนเช่นเคย


“และเพลงสุดท้ายสำหรับคืนนี้” นักจัดรายการวิทยุสมัครเล่นหยุดยิ้มกับตัวเอง “ไม่มีใครขอครับ แต่ผมอยากเปิดให้ท่านผู้ฟังทุกท่านได้ฟัง และหวังว่าวันหนึ่งจะมีใครสักคนส่งเพลงนี้คืนมาให้ผมบ้าง ฝันดีนะครับ” พูดจบก็ดึงช่องสัญญาณไมโครโฟนลงแล้วดันช่องสัญญาณเสียงขึ้น เมื่อได้ยินเสียงอินโทรจากหูฟังที่ยังคงแนบอยู่กับหู ร่างสูงก็โยกไปตามจังหวะเพลง ถ้าเขาเดินออกจากห้องจัดรายการไปตามที่ร้านกาแฟหรือแผนกต่าง ๆ ของโรงพยาบาลในตอนนี้ คงได้เห็นบรรดาหนุ่มสาวซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์หลายคนยืนล้อมวงฟังเพลงที่เขาเปิดจากลำโพงที่ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหรือไม่ก็เสียบหูฟังที่ต่อจากโทรศัพท์มือถือ แม้จะฟังผ่านอุปกรณ์ที่ต่างกันแต่สิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็รอยยิ้ม


นายแพทย์ขวัญนพมองเข้าไปภายในร้านกาแฟขณะเดินผ่าน วันนี้เขาไม่ได้แวะไปซื้อแซนด์วิชเหมือนที่เคยทำหลังตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเสร็จแต่กลับไปนั่งรับประทานอาหารที่โรงอาหาร ตั้งใจจะเดินกลับไปที่หอพักให้ทันก่อนสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลจะหยุดกระจายเสียง แต่เมื่อดูนาฬิกาแล้วเห็นว่าคงไม่ทัน ชายหนุ่มจึงหยุดนั่งที่ม้านั่งในสวนหย่อมของโรงพยาบาล ดึงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาและจัดการเสียบหูฟังเข้ากับหูแต่ก็ฟังทันเพียงท่อนสุดท้ายของบทเพลงสุดท้ายเท่านั้น แม้จะไม่ใช่คนชอบฟังเพลงแต่ก็จำได้แม่นว่าร้านหนังสือที่เขาเข้าเป็นประจำนำมาเปิดอยู่บ่อย ๆ หากแต่ทุกครั้งจะเป็นเพียงทำนองที่ไม่มีเนื้อร้องเท่านั้น เพิ่งจะมีโอกาสได้รู้เนื้อหาบางส่วนก็วันนี้


ในท้ายที่สุดเมื่อสัญญาณการกระจายเสียงของรายการวิทยุเงียบหายขวัญนพก็ใช้ปลายนิ้วแตะบนหน้าจอสัมผัสก่อนจะพิมพ์ข้อความบางอย่างลงไป และเมื่อเขาแตะปลายนิ้วกับหน้าจอเป็นครั้งที่สองเพลงเดิมที่มีทั้งคำร้องและทำนองครบถ้วนก็ดังขึ้นอีกครั้ง


เสียงกระเพาะอาหารที่กำลังบดขยี้น้ำย่อยทำให้ประจำเมืองต้องรีบปิดอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องและตรวจดูความเรียบร้อยของระบบไฟ หน้าปัดดิจิทัลของนาฬิกาข้อมือแสดงตัวเลขบอกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นเวลายี่สิบนาฬิกาแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่โรงอาหารจะยังพอมีร้านเปิดขายอาหารให้สามารถสั่งมาระงับความหิวระดับสุงสุดในขณะนี้ได้หรือไม่


ชายหนุ่มลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องจัดรายการ เมื่อเปิดประตูห้องฝ่ายเครือข่ายออกมาก็พบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว ถ้าไม่ลงไปหาอะไรรับประทานเจ้าหน้าที่ก็คงพากันไปขลุกอยู่ที่ห้องเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นราวกับกล่องดวงใจที่ต้องคอยระแวดระวังชนิดมดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม

 
ประจำเมืองเอื้อมมือบิดลูกบิดประตูพร้อมกับออกแรงผลักเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาด้านนอก และเมื่อเขากำลังจะปิดมันลงสายตาก็เหลือบไปเห็นถุงใส่ห่อข้าวพร้อมกับน้ำซุปแขวนอยู่กับลูกบิดอีกฝั่ง


“ของใครวะ” พูดพลางรั้งถุงขึ้นมาดูและพบว่าข้างมีกระดาษโน้ตเล็ก ๆ เขียนใส่เอาไว้ ใต้ข้อความมีลายเส้นปากกาที่ขีดตัดกันไปมาเป็นรูปดาวเล็ก ๆ ฝีมือไม่ต่างกับเด็กที่เพิ่งหัดวาดรูปใหม่ ๆ เท่านั้นก็พอจะรู้ได้ว่าใครเป็นคนนำมาแขวนไว้ให้


‘ข้าวมันไก่ไม่ใส่แตงกวา ตอบแทนที่อุตส่าห์มาช่วยจัดหนังสือ’


....


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2016 08:56:02 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ nooklepper

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
น่ารัก  มีความฟิวกู๊ด แต่ก็มีเรื่องราวให้ติดตาม

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
น่ารักกก เด็กชายประจำเมือง

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
นั่นแน่ เริ่มจะมีความคืบหน้านิด ๆ ละ

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter

ฮืออออออออออออออ ดีงามพระรามแปด
มีความรู้สึกว่าต้องค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ละเลียด เหมือนเวลาชิมขนมเค้กเจ้าอร่อยบอกไม่ถูกค่ะ
แต่มาอ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดแบบนี้ความรู้สึกมันค่อยๆ ซึมซับนะ ดีกับใจจังเลย

 :hao5: :hao5: :hao5:

ความสัมพันธ์ของหมอนพกับประจำเมืองเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดละเนอะ

อดเสียดายที่ไม่ได้เห็นสามหนุ่มเต้นโคฟเวอร์ 55555555555555
เชื่อว่าเด็กๆ (รวมถึงคนอ่าน) จะต้องรู้สึกบันเทิงมากแน่ๆ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ >_<



ปล. อยากจะบอกว่าชอบคุณหมอกันตภณมากเลยยยย แอบเชียร์ให้เป็นพระเอกสักเรื่อง แอร๊ยยย

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 5 สักวัน...มันก็ผ่านไป


“มาถึงช่วงสุดท้ายกันแล้วนะครับ เผื่อใครเพิ่งเปิดมาฟังบอกอีกทีว่านี่คือช่วงคุณขอมาเราจัดให้กับผมดีเจปาล์มและดีเจเมืองครับ”


เสียงคุ้นเคยของนักจัดรายการสมัครเล่นที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือของหนึ่งในสองหนุ่มที่กำลังนั่งตัดกระดาษอยู่ที่พื้นทำให้คุณหมอทั้งสามต้องหยุดการสนทนาแล้วหันมาฟังอย่างตั้งใจ


“ก่อนปิดสถานีมาอ่านข้อความจากมิวสิคบ็อกซ์กันอีกสักข้อความดีไหมครับคุณปาล์ม”


“ดีเลยครับ เอาข้อความนี้ก็แล้วกัน ผมว่าน่าจะมีคนกำลังติดตามเรื่องนี้กันอยู่เยอะ เป็นข้อความจาก...อืม...ไม่ได้ลงชื่ออีกแล้วนะครับว่าจากใคร”


“แต่ดูท่าทางจะป่วยหนักเสียด้วยสิ ผมอ่านข้อความเลยแล้วกันป่านนี้เจ้าตัวเขารอแย่แล้ว ข้อความจากคุณบุรุษลึกลับเขียนมาว่า...เป็นสิวต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังแต่ถ้าเป็นโรครักเธอเรื้อรังต้องไปปรึกษาหมอไหนดี...ผมว่าคงไม่ต้องปรึกษาใครแล้วละครับก็ปรึกษากับคนที่คุณมอบเพลงนี้ให้นี่แหละ เรามาลากันด้วยเพลงนี้ครับ รักเธอ...มอบให้คุณหมอฟ้าใสจากชายหนุ่มนิรนาม”



ทันทีที่เสียงเปียในท่อนอินโทรของเพลงรักที่เคยได้รับความนิยมในช่วงเวลาหนึ่งถูกเปิดขึ้นทุกคนก็พาหันมองเจ้าของหน้าหวานที่นั่งเอกเขนกอยู่ที่โซฟากลางห้องเป็นตาเดียว กันตภณส่ายหัวหนัก ๆ พลางนั่งลงข้าง ๆ วาดแขนตวัดรัดคอระหงก่อนจะเนี่ยวเข้ามาใกล้จนคนตัวเล็กกว่าต้องรีบใช้มือรั้งแขนแกร่งให้คลายออกเพื่อให้หายใจได้สะดวก


“อะไรของแกไอ้กันต์ ฉันหายใจไม่ออก”


“แกตายแน่ถ้าไม่ยอมบอกว่าไอ้คนที่ขอเพลงให้แกมันเป็นใคร”


“จะไปรู้ได้ยังไง เมื่อกี้น้องปาล์มก็บอกอยู่ว่าเขาไม่ได้ลงชื่อ” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์กล่าวพลางมองตามร่างสูงของเจ้าของห้องที่เดินมานั่งลงอีกข้าง กลายเป็นว่าขณะนี้เขาถูกประกบด้วยสองหนุ่มที่นิสัยใจคอต่างกันสุดขั้ว


“บอกมาเถอะฟาร์ม เราก็อยากรู้ว่าใช่พี่กันต์หรือเปล่า” แม้จะวางหน้านิ่งหากแต่กลับดูกรุ้มกริ่มอยู่ในที


คำพูดของขวัญนพทำเอาสองคนที่ถูกกันตภณขอร้องแกมบังคับให้มาร่วมหัวจมท้ายด้วยถึงกับตาลุกวาวแต่ก็ทำได้แค่เงี่ยหูฟังแบบเนียน ๆ เท่านั้น 


“อ้าวไอ้นพ! ทำไมพูดอย่างนั้นวะ ฉันบอกแกแล้วว่าฉันไม่ได้ขอเพลงให้มัน”


“แล้วพวกแกจะอยากรู้ไปทำไมกัน ฉันยังไม่เห็นอยากรู้เลย” ตัวต้นเหตุทำเสียงดังโวยวายพร้อมกับพยายามขยับตัวให้หลุดจากวงแขนของเพื่อนสนิท


“ไอ้นี่ก็พูดจามีพิรุธ จะบอกหรือไม่บอก”


“จะเอาจากไหนมาบอก ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” ศัลยแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือกเมื่อเห็นว่าดิ้นรนไปก็ไม่เป็นผลจึงยอมอยู่นิ่ง ๆ


“พี่กันต์ปล่อยฟาร์มเถอะ เดี๋ยวฟาร์มหายใจไม่ออก”


“แกเข้าข้างมันเหรอ”


“ผมไม่ได้เข้าข้าง แต่ฟาร์มอาจจะไม่รู้จริง ๆ ก็ได้” ขวัญนพกล่าวหลังจากพิจารณาแล้วว่าคาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์


“ใช่...นพพูดถูก ขอบใจนะนพที่เข้าใจเรา” ณรงฤทธิ์รีบสนับสนุน “นพเป็นคนดีมีเหตุผลเสมอเลย มีแต่แกนั่นแหละไอ้หมาบ้า! จ้องแต่จะกัดฉัน”


“ปล่อยก็ได้วะ” กันตภณกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์พร้อมกับคลายวงแขนออก “เดี๋ยวนี้มีอะไรไม่ยอมบอกเพื่อนนะ”


“เอ๊ะ! ไอ้นี่! ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จริง ๆ เขาก็แค่ขอเพลงไม่ได้สานต่ออะไรอย่างอื่น”


“แล้วถ้าเขาสานต่อแกจะว่าไง”


“ก็ดีสิ โสดมาหลายปีแล้ว จะได้ทิ้งพวกแกลงจากคานสักที”


“พูดดีไปเถอะ ยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ระวังก็แล้วกัน ระวังจะเป็นแค่หมาหยอกไก่ สุดท้ายช้ำใจก็ต้องกลับมาซบอกเพื่อนบนคนเหมือนเดิม”


“อ...ไอ้กันต์! แก!”


“เอาละครับ ๆ” โอเอ่ยขึ้น “พวกพี่อย่าทะเลาะกันเลย รอให้ไอ้เมืองกับไอ้ปาล์มมาก่อนค่อยถามมันก็ได้ เผื่อจะรู้เบาะแสเจ้าของกระดาษโน้ตนั่น ตอนนี้ผมว่าพวกพี่จับฉลากแบ่งสายกันดีกว่า” คนที่กำลังใช้กรรไกรตัดกระดาษสีเป็นรูปเลขาคณิตรีบห้ามทัพแล้วหันไปส่งสัญญาณ นักดนตรีรุ่นน้องจึงคว้าแก้วกาแฟพลาสติกที่มีม้วนกระดาษเล็ก ๆ เท่ากับจำนวนคนในห้องไปหยุดยืนตรงหน้าคุณหมอทั้งสาม


“จับฉลากแบ่งสายอะไรกันน้องก้อง” หมอฟาร์มมุ่นคิ้ว


“ก็จับฉลากว่าใครต้องแสดงเป็นอะไรในเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระไงครับ”


“อ้าว ไม่ใช่ว่าพี่เล่นเป็นสโนว์ไวท์ นพเป็นเจ้าชาย ส่วนไอ้กันต์กับน้อง ๆ เป็นคนแคระหรอกเหรอ”


คนฟังส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะตอบ “ไม่ครับ พวกผมปรึกษากันแล้วว่าจะให้น้องยี่หวาเป็นสโนว์ไวท์ ส่วนคนที่เหลือจับฉลากเอา อืม...ถ้าอย่างนั้นเรียงไปเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากพี่นพก่อน เดี๋ยวผมกับพี่โอปิดท้าย”


ขวัญนพพยักหน้าแล้วล้วงมือลงไปหยิบกระดาษม้วนเล็กขึ้นมาถือไว้ รอกระทั่งครบทุกคนจึงเปิดของตนเองออกดู


“พี่นพได้อะไรครับ”


“คนแคระ”


สิ้นเสียงแพทย์รุ่นน้องกันตภณก็หัวเราะไม่หยุด


“แล้วพี่ฟาร์มล่ะครับ”


เมื่อถูกถามถึง ณรงค์ฤทธิ์จึงคลี่ม้วนกระดาษออก “กระจก! มันมีตัวละครนี้ด้วยเหรอ”


“มีสิพี่ สำคัญเลยล่ะ” ก้องยิ้มมีเลศนัย


“คนหนึ่งก็คนแคระ คนหนึ่งก็กระจก ของฉันมันต้องเป็นเจ้าชายแน่ ๆ” ไม่วายหัวเราะเยาะก่อนจะคลี่กระดาษออกดู “เฮ้ย! แม่มด!”


เพียงเท่านั้นก็สามารถทำให้นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ที่ยังรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับบทบาทที่ตนเองได้รับถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาได้


“ขำมากนักหรือไงเป็นแม่มดเนี่ย”


“ขำ...ขำสิ” คนพูดหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล “โอ๊ย! แม่แกได้ไปอำเภอแจ้งเกิดแกอีกรอบแน่ไอ้กันต์เอ๊ย”


“อะ...ไอ้ฟาร์ม” กันตภณเข่นเขี้ยวแต่แล้วก็จำต้องยอมอ่อนให้ “แลกกันไหม”


“ไม่!” อีกคนทำเสียงแข็งแม้อยากจะตอบตกลงใจจะขาด


“ทำไมวะ ฉันรู้นะว่าแกอยากแต่งหญิง”


“แต่ปีนี้ฉันว่าเด็ก ๆ น่าจะอยากเห็นคุณลุงหมอกันตภณในคราบแม่มดสาวแสนสวยมากกว่า” พูดจบก็หัวเราะเสียงดังจนคนถูกล้อหน้าหงิก “กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี ก็ลุงหมอกันตภณน่ะสิ ทั้งทั้งปฐพีไม่มีใครปากหมาเกิน!!!”


“ไอ้บ้าเอ๊ย!” นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งทำฟึดฟัดพร้อมกับลุกขึ้นเดินแยกไปนั่งที่โซฟาอีกตัว “แล้วก้องกับโอได้อะไร”


“ผมเป็นคนแคระเหมือนพี่นพครับ” ก้องพูดพร้อมกับหงายกระดาษในมือให้ดู “ที่เหลือของพี่โอก็ต้องเป็นเจ้าชาย”


“มีใครอยากแลกไหม” กันตภณถามห้วน ๆ และคำตอบที่ได้รับจากสองหนุ่มที่พร้อมใจกันตอบก็คือ...


“ไม่!”


หลังจากจัดสรรหน้าที่กันเรียบร้อยแล้ว บรรดาคุณหมอและเหล่านักดนตรีก็นัดซักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้นในตอนค่ำของทุกคืน ถึงจะมีถกเถียงกันให้เหล่าคนมาช่วยทำอุปกรณ์ประกอบฉากอย่างประจำเมืองและปาล์มต้องปวดหัวอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจนกระทั่งถึงวันงาน


ประจำเมืองกอดอกยืนมองเวทียกพื้นสูงขึ้นเล็กน้อยและฉากหลังสีสันฉูดฉาดที่ทำจากกระดาษปะติดภายในห้องโถงของหอผู้ป่วยเด็กซึ่งถูกเนรมิตจนเสร็จเมื่อราว ๆ เกือบรุ่งสางของวันใหม่ อิเล็กโทนตัวใหญ่ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหนึ่งของเวที นึกขอบคุณลูกชายคุณตาสุธีเจ้าของวงดนตรีท้องถิ่นที่ให้ยืมมาใช้ก่อน ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากหาว หันกลับไปมองข้างหลังก็พบว่าก้องกับปาล์มต่างพากันนอนสลบไสลอยู่กับพื้นโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดินผ่านไปผ่านมาหรือไม่


“ดื่มกาแฟหน่อยไหม” ขวัญนพที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์เอ่ยขึ้นพร้อมกับชูถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้น


“ขอบคุณครับ แต่ผมฝากพี่ช่วยดื่มได้ไหม”


“ทำไมล่ะ” นายแพทย์หนุ่มถามอย่างแปลกใจ


“คือ...ผมไม่ดื่มกาแฟครับ”


“ไอ้เมืองมันเด็กอนามัย” คนที่เพิ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำกล่าวพลางลูบหน้าลูบตาที่พราวไปด้วยหยดน้ำ “เข้าร้านกาแฟก็กินแต่นมร้อน” พูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ


“ถ้าอย่างนั้นรอเดี๋ยวนะ พี่จะไปซื้อมาให้ใหม่” กำลังจะหันหลังกลับก็โดนห้ามไว้เสียก่อน


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพวกผมก็จะกลับกันแล้ว พี่นพรีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ อยู่ช่วยพวกผมมาเกือบทั้งคืนแล้ว” พูดจบประจำเมืองก็ก้มลงเขย่าตัวคนที่กำลังหลับสบายหวังจะให้ตื่นแต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะได้ผลจนพี่ใหญ่ในกลุ่มต้องออกโรงเอง


“เฮ้ย! ตื่น ๆ กลับกันได้แล้ว” ไม่พูดเปล่ายังใช้ปลายเท้าช่วยสะกิดด้วย


“เช้าแล้วเหรอพี่” ก้องกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงีย


“ยังไม่เช้าหรอก แต่กลับกันได้แล้ว รีบกลับไปนอนเดี๋ยวตอนสายต้องมาเตรียมตัว”


คนฟังจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ยังพยักหน้าหันไปเขย่าตัวของอีกคนให้ตื่น “ไอ้ปาล์มกินข้าว”


“เที่ยงแล้วเหรอวะ”


“พอกันเลยไอ้สองคนนี้” โอส่ายหน้าก่อนจะรั้งคอเสื้อให้ทั้งคู่ยืนขึ้นแล้วโอบไหล่ลากกันเดินไปที่ลิฟต์ ในขณะที่ประจำเมืองช่วยเก็บข้าวของของเพื่อน ๆ ไม่ลืมจะหันมากล่าวกับคุณหมอที่อาสามาช่วยตกแต่งสถานที่ตั้งแต่ออกเวรดึก


“ผมไปก่อนนะครับ”


ขวัญนพเพียงแต่พยักหน้า ทอดตามองคนที่กำลังเดินห่างออกไป รอกระทั่งประตูลิฟต์ปิดลงจึงได้ยกถุงใส่กระติกเก็บความร้อนและแก้วกระดาษขึ้นดู สงสัยว่าคงต้องเอากลับไปดื่มเองเสียแล้ว...


บรรดาคุณหมอและหนุ่มนักดนตรีกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในตอนสายเพื่อให้เหล่านางพยาบาลช่วยกันแปลงโฉมให้ด้วยอุปกรณ์และเสื้อผ้าที่พอจะหาได้ในเวลาจำกัด ซึ่งกันตภณดูท่าจะไม่พอใจกับชุดแม่มดของตนเองนัก เพราะนอกจากจะเป็นชุดเดรสยาวสีดำแนบไปกับลำตัวแล้วยังคว้านคอลึกโชว์อกอวบซึ่งถูกยัดด้วยลูกโป่งใส่น้ำอีกด้วย นายแพทย์หนุ่มแทบไม่อยากเดินไปไหน ไม่ใช่เพราะเกรงว่าลูกโป่งที่เด้งชนกันอยู่บนแผงอกจะทำให้เกิดภาพไม่เหมาะสม หากแต่กลัวว่าตะเข็บของชุดที่สวมจะปริแตกกลายเป็นภาพอุจาดตาเสียมากกว่า แต่ก็นับว่ายังแพ้ชุดมนุษย์กระจกของหมอฟาร์มอยู่ดี


“ชุดบ้าอะไรวะเนี่ย”


“เอาน่าพี่ มันหาได้ดีที่สุดแค่นี้นี่นา” ก้องกล่าว เขาเองสวมเสื้อซานตาคลอสสีแดงตัวใหญ่กับกางเกงสีดำตัวโคร่งคาดด้วยเข็มขัดหลวม ๆ


ณรงค์ฤทธิ์มองภาพสะท้อนบนกระจกหน้าต่างแล้วอดนึกสงสารตัวเองไม่ได้ นอกจากต้องใส่ชุดแนบเนื้อแบบยอดมนุษย์ห้าสีแล้วเขายังต้องสวมหัวอำพรางใบหน้าด้วยถุงน่องอีกด้วย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือต้องถือกรอบไม้สี่เหลี่ยมบ้า ๆ ที่หุ้มด้วยกระดาษสีทองซึ่งคนทำพยายามจะเลียนแบบกรอบหลุยส์แต่ดันออกมาเหมือนขนมกรอบเค็มหงิก ๆ งอ ๆ เดินไปเดินมาทั้งเรื่องเพียงเพื่อพูดแค่ว่า ‘สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งปฐพีไม่มีใครงามเกิน’


“มีใครสั่งเครื่องดื่มไว้หรือเปล่าจ๊ะ น้องพนักงานร้านกาแฟเอาเครื่องดื่มมาส่งจ้ะ” วารุณีชะโงกหน้าเข้ามาถามภายในห้อง
ไม่มีใครตอบรับหรือปฏิเสธเพราะกำลังสาละวนอยู่กับกับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง ดังนั้นขวัญนพจึงเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วก็ออกไปจ่ายเงินที่ด้านนอก จากนั้นเครื่องดื่มหลายชนิดที่ถูกชงใส่มาในขวดพลาสติกและแก้วกระดาษทรงสูงที่มีน้ำแข็งอยู่เกือบเต็มก็ถูกแจกจ่ายให้กับทุก ๆ คนที่มาช่วยงานโดยสาวสวยเจ้าของร้านกาแฟ


“นมร้อนนี่ของน้องเมืองจ้ะ”


“ของผมเหรอครับ” ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาจากข้างนอกกล่าว


“ใช่จ้ะ”


“ขอบคุณครับ” พูดจบก็รับถ้วยกระดาษใส่นมร้อนเดินไปนั่งบนโต๊ะตรงกลางห้อง   


“พี่นพ กางเกงพี่น่ะเดินแล้วจะหลุดไหมเนี่ย” ก้องเอ่ยขึ้น


“นั่นน่ะสิ มีเข็มขัดเส้นเดียวเสียด้วย” คนพูดก้มลงมองกางเกงตัวใหญ่ความยาวกรอมเท้าที่เกือบทำให้เดินสะดุดจนหน้าทิ่มอยู่หลายรอบ บิดตัวซ้ายขวาสำรวจตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่ใครสักคนหอบหิ้วมาให้ยืมสำหรับใช้ในห้องแต่งตัว อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองนิ่งมองเงาสะท้อนของชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเอี๊ยมสีเข้มที่ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิและยกนมร้อนขึ้นจิบอยู่บนโต๊ะ ทันทีที่วางแก้วกระดาษลงเขาก็ยกกระดาษมีบรรทัดห้าเส้นขึ้น ส่วนอีกมือเคลื่อนที่ไปมาในอากาศราวกับปลายนิ้วของเขาในขณะนี้กำลังสัมผัสอยู่บนลิ่มนิ้วเปียโนก็ไม่ปาน และในจังหวะที่คนในกระจกเงยหน้าขึ้นมาสบตากันพอดีขวัญนพจึงก้มลงมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง


“ผมว่าเอาเชือกผูกไว้หน่อยดีไหม กันหลุด” กล่าวจบประจำเมืองก็กระโดดลงจากโต๊ะเดินไปหยิบเชือกป่านเส้นหนึ่งที่เหลือจากใช้ทำเส้นผมของแม่มดมาให้


คนแคระแต่ตัวสูงรับไว้ก่อนจะปลดเข็มขัดที่คาดเอาไว้หลวม ๆ ออก จัดการผูกเชือกอ้อมรอบเอวกางเกง แต่เพราะชายเสื้อที่ยาวรุงรังทำให้การม้วนเก็บเอวกางเองเพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดเป็นไปอย่างทุลักทะเล เห็นแล้วให้รำคาญลูกตานัก


“พี่ดึงเสื้อขึ้น เดี๋ยวผมม้วนให้” นักดนตรีหนุ่มว่า รอกระทั่งอีกฝ่ายรั้งชายเสื้อแสนเกาะกะขึ้นได้สำเร็จจึงช่วยม้วนขอบกางเกงให้
หอม...ยิ่งใกล้ปลายจมูกยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอม ขวัญนพกดตาลงต่ำมองเจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงศอก


“เรียบร้อย” ประจำเมืองยืดตัวตรงสำรวจความเรียบร้อยพร้อมกับยิ้มให้


“ขอบคุณมาก” คนอายุมากกว่ากล่าวพร้อมกับก้มหน้าก้มตาคาดเข็มขัดกลับคืนดังเดิมพลันเสียงของคนที่ทุกคนกำลังรอก็ดังขึ้น


“หลบหน่อยครับ พระเอกนางเอกมาแล้ว” ชายหนุ่มในชุดเจ้าชายเต็มยศเดินเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้สาวน้อยในชุดสโนว์ไวท์ที่เขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลาบรรดานางพยาบาลสาว ๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นจึงพากันไปขอถ่ายรูปกับเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึก


อีกประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากเด็ก ๆ ในหอผู้ป่วยรับประทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อย แพทย์หญิงวารุณีก็ก้าวขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน และเมื่อเห็นนักแสดงพร้อม เธอเองซึ่งเป็นคนเล่านิทานก็เริ่มทำหน้าที่ทันที วารุณีเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เมื่อครั้งเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ยังเป็นเด็กและค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่สวยงาม จนกระทั่งโชคร้ายต้องมาพบกับแม่เลี้ยงใจร้ายเข้า สิ้นเสียงคนเล่านิทานเสียงดนตรีชวนตื่นเต้นก็แทรกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของแม่มดใจร้ายในคราบของราชินีและกระจกคู่ใจ


เป็นไปตามคาด เมื่อณรงค์ฤทธิ์และกันตภณก้าวขึ้นไปบนเวที เสียงหัวเราะของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ดังครืน เล่นเอาเหล่านักแสดงเขินอายไปตาม ๆ กัน เด็กชายปูไข่และเพื่อน ๆ ต่างชี้ชวนกันดูสองคนที่กำลังยืนเงอะงะพร้อมกับคาดเดาว่าทั้งคู่คือใคร แต่แล้วเสียงแหลมฟังน่ากลัวก็ทำเอาทั้งห้องโถงเงียบกริบ


“แห! แห! แห!!!”


“ราชินี ท่านจะเอาแหไปทำไมกัน” กระจกถาม


“เอามาทอดจับเจ้านั่นแหละ เจ้าปลาไหล ถุย! ข้าหัวเราะ! ไอ้กระจกบ้า!” ราชินีใจร้ายตวาดเสียงแหวพร้อมกับยกมือขึ้นช้อนหน้าอกที่เริ่มจะเด้งไปมาไร้ซึ่งสามัคคีให้กลับเข้าที่ จากนั้นจึงเชิดหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”


“สโนว์ไวท์น่ะสิ ทั่วทั้งกาแลคซีไม่มีใครงามเกิน”


“จ...เจ้าว่ายังไงนะ นี่นังสโนว์ไวท์มันยังไม่ตายรึ ไม่ได้แล้ว เรื่องนี้เห็นทีข้าต้องลงมือเอง” ราชินีกล่าวอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไป


“พวกเจ้าอยากรู้ใช่ไหมเด็ก ๆ ว่าตอนนี้สโนว์ไวท์เป็นตายร้ายดียังไง เข้ามาใกล้ ๆ สิ เดี๋ยวกระจกวิเศษจะพาไปดู” ว่าแล้วกระจกวิเศษหมุนอยู่กลางเวที 2-3 รอบ ก่อนจะเซออกจากฉากไปในที่สุด


“เดี๋ยวเราตามพี่กระจกไปกันดีกว่าค่ะเด็ก ๆ ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับสโนว์ไวท์” เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ สนใจจะติดตามเรื่องราวต่อ คนเล่าจึงหันไปส่งสัญญาณให้นักแสดงอีกคู่เตรียมตัว พลันเสียงบรรเลงเพลงทำนองสนุกสนานจากอิเล็กโทนที่บรรเลงโดยประจำเมืองก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของสองคนแคระและเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ทั้งสามพากันเต้นไปตามจังหวะเพลง จากนั้นขวัญนพในชุดคนแคระก็อุ้มสโนว์ไวท์ยี่หวาลอยขึ้นกลางอากาศ


“อยู่นี่เองแม่หนูสโนว์ไวท์” แม่มดที่เดินถือตะกร้าใส่แอปเปิ้ลผลโตมาจากอีกด้านของเวทีกล่าว “ยายมีแอปเปิ้ลหวาน ๆ มาให้จ้ะ” พูดจบมือสั่นเทาก็ยื่นลูกกลม ๆ สีแดงสดให้


“คุณแม่บอกว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าค่ะ” คำพูดไร้เดียงสาของหนูน้อยทำเอาบรรดาบุคลากรทางการแพทย์และผู้ปกครองที่ยืนมองต่างพากันอมยิ้ม


“แต่แกต้องกิน!” แม่มดตัวโย่งขึ้นเสียงจากนั้นก็เดินดิ่งเข้าประชิดตัวเจ้าหญิงในอ้อมแขนของคนแคระ เล่นเอาเด็ก ๆ ที่นั่งลุ้นจนตัวโก่งเผลอร้องห้าม “กินเข้าไป! แล้วปฐพีนี้ก็จะมีแต่ข้าที่งามที่สุด แห! แห! แห!!!”
เมื่อเจ้าหญิงสโนว์ไวท์หมดสติ ทำนองเพลงเศร้าค่อย ๆ ดังขึ้น ร่างของเธอถูกยกขึ้นวางบนแท่นโดยคนแคระ ทั้งสองพากันร้องไห้จนกระทั่งชายหนุ่มก้าวขึ้นบนเวที


“เราคือเจ้าชายโอสุดหล่อ พวกท่านมีสิ่งใดเราช่วยหรือไม่”


“โปรดช่วยเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ของเราด้วยเถิดท่าน นางถูกแม่มดใจร้ายกลั่นแกล้ง” คนแคระขวัญนพอ้อนวอน


“ได้ เราจะช่วยนางเอง” พูดจบเจ้าชายก็ช้อนร่างของเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ ขึ้น จากนั้นก็ฝังจมูกลงที่แก้มนุ่มเบา ๆ เท่านั้นดวงตาทอประกายก็เปิดขึ้นแล้วสองคนก็ส่งยิ้มหวานให้กันโดยมีเสียงดนตรีชวนเคลิบเคลิ้มคลอเบา ๆ ส่งให้บรรยากาศยิ่งโรแมนติก


วารุณีเดินออกมาที่กลางเวทีอีกครั้ง “เมื่อแรกที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้สบตากันก็ก่อเกิดเป็นความรัก ทั้งคู่จึงแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล จำไว้นะคะเด็ก ๆ อย่ารับของจากคนแปลกหน้าเด็ดขาด”


สิ้นเสียงกุมารแพทย์หญิง นักแสดงทั้งหมดก็เดินออกมายืนที่หน้าเวทีพร้อมกับโยกตัวตามจังหวะโดยมีเด็ก ๆ ปรบมือตามไปด้วย กระทั่งเสียงเพลงค่อย ๆ แผ่วหายไป นักแสดงเดินลงจากเวที วารุณีจึงได้กล่าวแนะนำการแสดงชุดสุดท้ายซึ่งเป็นการแสดงดนตรีของพี่ ๆ นักศึกษาปริญญาโท เมื่อเห็นว่าเจ้าชายและคนแคระซึ่งเป็นสมาชิกของวงดนตรีเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและถือกีตาร์และฟรุตขึ้นมายืนประจำที่บนเวทีเรียบร้อยแล้ว เธอจึงยกหน้าที่ต่อให้กับนักร้องนำประจำวง


“สวัสดีครับน้อง ๆ วันนี้พี่ปาล์ม พี่โอ พี่ก้องและพี่เมือง เราทั้งสี่คนจะมาเล่นดนตรีให้ทุกคนฟังนะครับ เรามาเร่มที่เพลงแรกกันเลยดีกว่า ใครร้องได้ช่วยพี่ปาล์มร้องด้วยนครับ”


พูดจบปาล์มก็หันไปส่งสัญญาณกับเพื่อน ๆ แล้วเพลงจังหวะสนุก ๆ ก็ถูกเล่นอย่างต่อเนื่องเพลงแล้วเพลงเล่า ผู้ใหญ่บางคนโยกตัวตาม บางคนขยับขาตามจังหวะเพลง ในขณะที่เด็ก ๆ หลายคนลุกขึ้นมาเต้นขยับแข้งขยับขาชนิดลืมโรคภัยไข้เจ็บของตนเองไปเลย บรรยากาศที่อวลไปด้วยรอยยิ้มของทุกคนทำเอาเจ้าของวันเกิดและตัวตั้งตัวตีในการจัดงานอย่างแพทย์หญิงวารุณียิ้มจนแก้มแทบปริ


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2016 00:39:34 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


หลังจากงานแสดงดนตรีที่หอผู้ป่วยเด็กเสร็จสิ้นลง สี่หนุ่มก็ชวนคุณหมอทั้งสามไปรับประทานอาหารที่โรงอาหาร แต่มีเพียงขวัญนพคนเดียวเท่านั้นที่ยังพอมีแรงไปกับพวกเขา ไม่ได้ขอตัวกลับไปนอนสลบที่ห้องดังเช่นอีกสองคนที่เหลือ ดังนั้นนายแพทย์หนุ่มจึงถือโอกาสนี้เลี้ยงข้าวขอบคุณทุกคนที่มาช่วยขนย้ายหนังสือรวมถึงช่วยงานในวันนี้


ข้าวมันไก่ห้าจานถูกประจำเมืองและปาล์มลำเลียงมาวางบนโต๊ะ ส่วนโอกับก้องช่วยกันยกถาดใส่แก้วน้ำอัดลมจำนวนเท่ากันมาเสิร์ฟ เมื่อเห็นว่าทุกคนนั่งประจำที่แล้วขวัญนพจึงหยิบช้อนและส้อมขึ้นมองชายหนุ่มที่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังใช้ส้อมเขี่ยแตงกวาในจานราวกับเด็ก ๆ ที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการกินผัก


“ไอ้ปาล์ม ช่วยกินหน่อย” กำลังย้ายแตงกวาสามชิ้นไปใส่ในจานของเพื่อน แต่อีกฝ่ายกลับยกหนีเสียอย่างนั้น


“ไอ้เมือง ไม่เอา แกกินไปสิ” ว่าแล้วก็หันไปยักคิ้วหลิ่วตากับเพื่อน ๆ


“อะไรวะ ช่วยกินหน่อยก็ไม่ได้” 


“เมื่อคืนก่อนแกล้งทำผีหลอกตอนลงจากตึกยังไม่ได้เอาคืนเลย”


“โห...ล้อเล่นแค่นิดเดียวเอง”


“ไม่ให้อภัยโว้ย! กินเองเลยวันนี้ ไม่ต้องเอามาให้ พี่โอ ไอ้ก้อง ห้ามช่วยไอ้เมืองกินเด็ดขาด” ปาล์มยื่นคำขาด


“เมือง เอ็งก็กลั้นหายใจเคี้ยว ๆ ไปเถอะน่า” โอกล่าวพลางตักข้าวเข้าปาก


“พี่ก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมเคยทำตามแบบที่พี่ว่าแล้วผลมันเป็นยังไง”


“อ้วกไง” ก้องหัวเราะ “อ้วกใส่หน้าพี่โอเลย ตอนรับน้อง”


“เออว่ะ” อดีตพี่ว้ากทำหน้าแหยง ๆ


ขวัญนพที่นั่งฟังอยู่นานโคลงศีรษะยิ้ม ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อจบปัญหา “มานี่ พี่ช่วยกิน” พูดจบก็จัดการตักชิ้นแตงกว่า 2-3  ชิ้นมาไว้ในจานตัวเอง


“ขอบคุณครับ” ประจำเมืองยิ้มหน้าบาน เมื่อสบายใจที่สามารถกำจัดของที่ไม่ชอบออกจากจานได้ก็ทำท่าจะตักข้าว แต่แล้วก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่าดวงตาจ้องจับผิดของเพื่อนทั้งสามคนกำลังมองมาที่ตนเอง


“อะไรวะ”


ปาล์มยักไหล่ไม่ตอบแต่กลับยื่นหน้าไปถามคนที่นั่งเยื้องกันแทน “พี่นพไปช่วยมันทำไม”


“ก็จะได้ไม่ต้องเถียงกัน”


“ไม่ชอบกินก็เอาไว้ในจานก็ได้”


“เอาไว้ในจานก็ยังมีกลิ่น ยังไงก็ต้องหาทางเอามันออกจากจานให้ได้อยู่ดี”


“พี่นพรู้ได้ยังไงครับ”


“เมืองบอกไง” คนถูกซักตอบซื่อ ๆ “คนไม่ชอบกินจะบังคับไปทำไม”


“มีเข้าข้างกันด้วย” ก้องพูดงึมงำแต่ก็ได้ยินชัดเจน


“ถ้าอย่างนั้น เจ้าของกระดาษโน้ตแผ่นนี้ใช่พี่หรือเปล่า” ปาล์มลากเสียงพลางควักบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อวางลงกลางโต๊ะ


“เฮ้ย! แกไปเอามาจากไหน” ประจำเมืองกำลังจะเอื้อมมื้อคว้าแต่อีกคนเร็วกว่าสามารถดึงมันกลับคืนได้


“ฉันเห็นมันร่วงจากกะเป๋าสตางค์ ตอนที่แกหยิบเศษเหรียญเมื่อกี้” ว่าแล้วก็หันไปถามคุณหมอที่ยังคงวางหน้านิ่ง “ใช่ลายมือพี่หรือเปล่าครับพี่นพ”


ขวัญนพสบตาคนตรงหน้าแวบหนึ่งก่อนจะตอบตามจริง “ใช่ ลายมือพี่เอง”


ได้ยินดังนั้นสามหนุ่มก็ส่งสายตาให้กันอย่างมีเลศนัย


“อะไรกัน ๆ ไอ้ปาล์มแกไปซักพี่นพให้มันได้อะไรขึ้นมาวะ” โอเอ่ยขึ้นก่อนจะขยับเบียดคุณหมอที่นั่งอยู่ข้างกัน “นมร้อนนั่นก็ด้วย


ใช่ไหมพี่ ผมเห็นนะ ตอนที่ออกไปจ่ายเงินน่ะ”


“นมร้อนอะไรวะ” ประจำเมืองมุ่นคิ้ว


“ก็เมื่อเช้ามืดพอรู้ว่าแกไม่ดื่มกาแฟ พี่นพก็เลยสั่งนมร้อนมาให้ไง ใช่ไหมพี่” ไม่วายหันไปเอาแขนสะกิดคนข้าง ๆ


“อืม” ชายหนุ่มตอบหน้านิ่งขณะตักข้าวเข้าปาก คำตอบนั้นทำเอาคนนั่งตรงข้ามเริ่มทำหน้าไม่ถูก


“เฮ้ย! กินข้าวเถอะ มั่วแต่คุยกันอยู่ได้” ประจำเมืองบ่นพลางตักส่งข้าวเข้าปากจนแก้มตุ่ย


“คำถามสุดท้ายเลยดีกว่า ตรง ๆ จะได้จบ” ก้องพูดขึ้นบ้าง “พี่คิดอะไรกับเพื่อนผมหรือเปล่า”


แทบสำลักข้าว...


... 


แม้จะผ่านงานวันเกิดของแพทย์หญิงวารุณีมาหลายวันแล้ว แต่บรรดาเด็ก ๆ ที่หอผู้ป่วยยังคงพูดถึงราชินีใจร้าย กระจก เจ้าหญิงสโนว์ไวท์และเจ้าชายกันอย่างไม่ขาดปาก เด็กชายปูไข่เลี่ยงออกจากกลุ่มของเพื่อน ๆ ที่นั่งเล่นกันอยู่ที่มุมหนังสือจากนั้นจึงเดินมาเกาะเตียงจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังอธิบายวิธีใช้งานเครื่องเล่นเพลงชนิดพกพาให้แก่คุณแม่ของเด็กหญิงปลาดาวและผู้ปกครองคนอื่น ๆ ที่ล้อมวงกันเข้ามาอย่างสนอกสนใจ แต่เมื่อเห็นว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ปูไข่จึงเดินกลับไปนั่งที่เตียง


ดวงตาเจือด้วยความหม่นหมองทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งที่วันนี้ท้องฟ้าและทะเลก็สวยเหมือนกับทุกวันหากแต่มันไม่ได้ทำให้รู้สึกสดใสตามเลยสักนิด เด็กชายถอนหายใจเบา ๆ เหลียวกลับไปมองยังหัวเตียงซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือนิทานที่ยี่หวานำมาให้อ่านแก้เหงาและเขาก็อ่านมันจนจบหมดทุกเล่มแล้วรอก็แต่ว่าเมื่อไรเจ้าของจะมารับมันคืนไปสักที


“พี่นั่งด้วยคนได้ไหม”


เสียงของใครคนหนึ่งเรียกให้ต้องเหลียวกลับไปมองอีกทางหนึ่ง เจ้าของแก้มยุ้ยไม่ได้ตอบแต่ขยับเว้นที่ให้เป็นเชิงอนุญาต


ประจำเมืองยิ้มก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ “วันนี้ยี่หวาไม่มาเหรอครับ”


คนตัวเล็กส่ายหน้าน้อย ๆ “คุณอาหมอวารุณีบอกว่าวันนี้ยี่หวาต้องไปซื้อชุดนักเรียนกับหนังสือครับ”


“ปูไข่ก็เลยไม่มีเพื่อนเล่นเลยใช่ไหม”


“เปล่าฮะ ปูไข่เล่นกลับเพื่อน ๆ ก็เหมือนก็เล่นกับยี่หวา แต่ยี่หวาชอบร้องเพลงให้ฟังครับ อยู่ที่นี่มีเพื่อน ๆ มีพี่ ๆ พยาบาล มีอาหมอนพ แต่ปูไข่ก็อยากไปโรงเรียนมากกว่า”


ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ มือยื่นเครื่องเล่นเพลงตัวจิ๋วให้ “พี่ให้”


“ให้ปูไข่เหรอครับ” เด็กชายมองอย่างลังเล


“พี่ให้ปู่ไข่เอาไว้ฟังเพลง จะได้ไม่เหงาเวลาที่ยี่หวาไม่อยู่”


“ขอบคุณฮะ” พลันรอยยิ้มสดใสก็แต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง เด็กชายยกมือไหว้และรับมันมาถือไว้แต้


“ลองฟังไหม”


“ฮะ”


“ถ้าอย่างนั้นปูไข่ก็เอาหูฟังเสียบที่หู แล้วก็กดปุ่มนี้ ถ้าดังไปก็เบาเสียงจากตรงนี้” พูดพลางชี้ไปยังปุ่มเล็ก ๆ ที่เรียงกันอยู่บนเครื่องเล่นเพลง


ปูไข่ทำตามที่บอกโดยเสียบหูฟังเข้ากับหูแล้วกดปุ่มให้เครื่องทำงาน เพียงไม่นานเสียงเปียโนแว่ววานก็ดังขึ้นเป็นท่วงทำนองต่อเนื่อง


“พี่เมืองเล่นเปียโนเองเหรอครับ”


“อื้อ ปูไข่ชอบไหม”


“ชอบครับ ก่อนหน้านี้พ่อก็เคยพาปูไข่ไปเรียนเปียโน แต่เรียนได้ไม่นานก็ต้องเลิกเพราะปู่ไข่ไม่สบาย ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่สอนให้เอาไหม”


“แต่เราไม่มีเปียโนนะครับพี่เมือง”


“ใครว่าล่ะ” ประจำเมืองยิ้มพลางดึงเอียร์บัดข้างที่เหลือมาเสียบหูแล้วยกมือทั้งสองขึ้นกลางอากาศอยู่ในท่าเตรียมราวกับตรงหน้าเป็นเปียโนตัวใหญ่ เมื่อเด็กชายเห็นดังนั้นก็อมยิ้มทำตามคุณครูบ้าง “ปูไข่พร้อมไหม”


“พร้อมครับ”


“ถ้าอย่างนั้นเรามาเล่นเพลงนี้พร้อมกันนะ”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจริงจัง หนุ่มนักดนตรีก็เริ่มขยับปลายนิ้วไปตามโน้ตเพลงที่ตนเองพูดออกมาซึ่งก็คือเพลงเดียวกันกับที่ทั้งเขาและปูไข่กำลังฟังนั่นเอง ผ่านไปจนกระทั่งเย็นย่ำ ถาดอาหารที่ถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเข็นมาแจกจ่ายเต็มโต๊ะทำให้ประจำเมืองรู้ว่าถึงเวลาที่ตนเองจะต้องไปสักที


ชายหนุ่มร่ำลาเด็กชายจากนั้นจึงออกจากตึกกุมารเวชกรรม เห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่ตนเองจะต้องไปปิดสถานีในช่วงสามชั่วโมงสุดท้ายของรายการวิทยุออนไลน์จึงมุ่งหน้าสู่สวนสุขภาพซึ่งอยู่ใกล้กับชายหาด ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งทอดตามองเกลียวคลื่นที่โถมซัดเข้าหาฝั่ง ดึงสมุดโน้ตกับโทรศัพท์มือถือออกจากเป้ที่วางอยู่ข้างตัวก่อนเสียบเอียร์บัดเข้ากับหู ปล่อยปลายนิ้วข้างหนึ่งขยับพริ้วไหวไปในอากาศ ในขณะที่อีกมือจับดินสอเขียนข้อความบางอย่างในหน้ากระดาษปากก็ฮัมเพลงเบา ๆ ไปด้วยไม่รู้เลยสักนิดว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมา


ขวัญนพขยับแว่นสายตาก้มลงมองแนวทางเดินเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังหยุดอยู่ตรงนี้นานเกินไปแล้ว ขายาวเริ่มก้าวอีกครั้งเพื่อมุ่งสู่ตึกกุมารเวชกรรมซึ่งอยู่เบื้องหน้า กดลิฟต์ขึ้นไปบนชั้นสี่เพื่อตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเด็กเหมือนเช่นเคย ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเข้าไปภายในก็พบว่ามีหลายเตียงที่ว่างลง ได้แต่ภาวนาให้คนที่เคยนอนแข็งแรงและสามารถกลับบ้านได้แทนการถูกย้ายไปหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติ อายุรแพทย์ฯ หนุ่มแวะทักทายพยาบาลสาวที่เคาน์เตอร์ก่อนจะพากันเดินไปตามทางเดินแคบระหว่างเตียงผู้ป่วยจนในที่สุดก็มาหยุดยังเตียงสุดท้ายใกล้หน้าต่างซึ่งเป็นเตียงของคนไข้ในความดูแล


ชายหนุ่มรับแฟ้มประวัติจากหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวก่อนจะกางออกกวาดตาอ่านข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้


“วันนี้ปูไข่เป็นยังไงบ้างครับ อืม...มีปวดหัวด้วยเหรอ”


“ครับ แต่ตอนนี้หายแล้ว”


“ทานข้าวได้หรือเปล่า” ขวัญนพถามพลางมองไปยังถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งพร่องไปเพียงเล็กน้อย ส่วนเด็กชายนั้นได้แต่เพียงส่ายหน้าจนต้องถามเอากับคุณพยาบาลอีกครั้ง


“เย็นนี้สำลักไปสองรอบแกก็เลยเลิกทานค่ะ”


ได้ยินดังนั้นจึงหันไปกล่าวกับคนไข้ “ต้องระวังหน่อยนะครับ อย่าทานรีบร้อน”


คนฟังพยักหน้าช้า ๆ นึกสงสัยใคร่รู้จึงเอ่ยขึ้น “ปูไข่เป็นอะไรเหรอฮะอาหมอ”


นายแพทย์หนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้หญิงสาวที่ยืนใกล้กันออกไปก่อน จากนั้นก็คว้าเก้าอี้มานั่งลงชิดขอบเตียงยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ


“แล้วปูไข่คิดว่าตัวเองเป็นยังไงบ้างครับ”


“อืม...บางครั้งมันรู้สึกว่าแขนกับขา ไม่...ไม่ค่อยมีแรงครับอาหมอ หลัง ๆ ก็ปวดหัวด้วย”


“ปวดทุกวันเลยหรือเปล่า”


“ไม่ทุกวันครับ”


“ปวดมากหรือเปล่า”


“ไม่ฮะ แต่บางทีก็ ก็...ปวดจนปู่ไข่นอนไม่หลับเลย”   


“อย่างอื่นล่ะ มีอะไรอีกไหม อย่างเช่นรู้สึกอยากอาเจียน” พูดพลางเอื้อมมือจับมืออวบพร้อมกับบีบเบา ๆ


“ไม่ครับอา...อาหมอ”


ขวัญนพพยักหน้าเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกไปนั่นก็คือการพูดที่ติด ๆ ขัด ๆ ของเด็กชาย คนทั่วไปอาจจะคิดว่ามันคือลักษณะเฉพาะของเด็กแต่ละคนที่นานวันก็จะจางหายไปไปเองเมื่อได้เรียนรู้และฝึกบ่อย ๆ แต่นายแพทย์หนุ่มรู้ดีว่ามันคือความผิดปกติที่เป็นผลจากโรคที่ปูไข่เป็นอยู่ 


“อาหมอฮะ ปูไข่เป็นโรคเดียวกับแม่ใช่ไหมฮะ”


“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงปูไข่เสียใจไหม”


มือเล็กที่แสนจะเย็นเฉียบจับลงที่ท่อนแขนแกร่งก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่คนฟังยากจะทำใจตอบได้ “มันรักษาไม่หายใช่ไหมครับอาหมอ”


ขวัญนพนิ่งงัน เมื่อทอดมองเจ้าของดวงตาที่ปราศจากแววแห่งความหวาดหวั่นก็ให้รู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย หากในยามนี้ถามหาคนที่หัวใจอ่อนแอที่สุดคงจะเป็นตัวเขากระมัง


“ถึงมันจะรักษาไม่หาย แต่เราก็สามารถสู้กับมันได้”


“ทำยังไงครับอาหมอ”


ขวัญนพยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นประคองสองแก้มยุ้ย “ปูไข่ต้องยิ้มให้มาก ๆ แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น อย่างที่เคยสัญญากับอาจำได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน”


“ปูไข่จำได้ครับ” ว่าแล้วก็ยกมือสองข้างขึ้นประกบบนหลังมือของคุณอา “ปูไข่จะยิ้มให้มาก ๆ”


...


ในวันสุดท้ายของเดือน...


สถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสุทรารักษ์เริ่มดำเนินการอีกครั้งเมื่อใครคนหนึ่งกดปุ่มเครื่องส่งสัญญาณออกอากาศและอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่กรุด้ายฉนวนใยแก้วทั้งสามด้าน ส่วนด้านหน้าติดกระจกใสบานใหญ่ความกว้างเท่ากับขนาดของห้อง บทเพลงแรกสำหรับการต้อนรับเช้าวันใหม่ค่อย ๆ เงียบเสียงเมื่อนักจัดรายการสมัครเล่นใช้ปลายนิ้วดึงปุ่มช่องสัญญาณเสียงที่เครื่องสลับสัญญาณลงก่อนจะดันปุ่มช่องสัญญาณไมโครโฟนที่อยู่ข้างกันขึ้นจากนั้นจึงกล่าวทักทายคนฟังเหมือนเช่นเคย


เสียงไวโอลินคลอด้วยเสียงเปียโนที่ดังแว่วมาจากลำโพงตัวเล็กทำเอาทุกคนในร้านกาแฟจำต้องหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่แล้วเงี่ยหูตั้งใจฟัง ต่างคนต่างแสดงความเห็นว่าไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน แต่กระนั้นก็เป็นบทเพลงที่ไพเราะจนบางคนเผลอใช้ปลายนิ้วเคาะลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ เพลงนั้นถูกบรรเลงไปได้เพียงไม่ถึงนาทีก็ค่อย ๆ เลือนหายไปแทนที่ด้วยเสียงของนักจัดรายการวิทยุสมัครเล่นคนเดิม...


“สวัสดีครับท่านผู้ฟัง กลับมาพบกับสถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสุทรารักษ์และผมดีเจปาล์มในเช้าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสกันอีกแล้วนะครับ สำหรับบทเพลงที่จบไป เป็นเพลงที่คุณเมืองแต่งขึ้นเองนะครับ เสียดายที่ยังไม่มีคำร้อง เอาไว้ถ้าเขียนคำร้องเสร็จเมื่อไรพวกเราคงจะได้มาเล่นให้ท่านผู้ฟังได้ฟังกันอีกครั้งนะครับ” ปาล์มหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเริ่มพูดต่อ


“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะทำหน้าที่เปิดเพลงเพราะ ๆ ให้ทุกท่านฟังได้ฟังกัน พวกเราขอขอบคุณผู้ฟังทุกท่านที่ให้การตอบรับเป็นอย่างดีในระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ต่อจากนี้เราคงต้องส่งมอบหน้าที่คืนให้กับพี่ยักษ์และพี่ส้มซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เน็ตเวิร์คของที่นี่กันสักที ซึ่งท่านผู้ฟังยังคงขอเพลงผ่านทางทุกช่องทางเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือสถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสมุทรารักษ์นี้จะทำการขยายเวลาออกอากาศไปจนถึงเที่ยงคืนของทุกวัน  ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ” พูดเลื่อนไมโครโฟนให้กับคนที่พาเขาและเพื่อน ๆ มาที่นี่ ได้มีโอกาสมาสัมผัสประสบการณ์ที่ต่างออกไปในครั้งนี้


“วันนี้พวกเรายังอยู่กับท่านผู้ฟังถึงปิดสถานี และสำหรับเพลงแรกของเช้าวันนี้พวกเราขอมอบให้กับทุก ๆ คนนะครับ ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ พูดภาษาไทยหรือพูดกันคนละภาษา แต่ดนตรีจะทำให้เราเข้าใจกันเพราะดนตรีเป็นภาษาสากลครับ ดังนั้นพวกเราจึงอยากจะส่งความปรารถนาดีไปถึงผู้ป่วยทุกคนผ่านบทเพลงสุดท้ายในวันนี้ ขอให้มีสุขภาพที่แข็งแรง รวมถึงอยากจะส่งมอบกำลังใจให้กับพี่ ๆ บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านขอให้มีพลังในการทำงานเพื่อผู้อื่นตลอดไปครับ” พูดจบประจำเมืองก็ส่งสัญญาณให้เพื่อน ๆ เตรียมตัว


โอหันไปคว้ากีตาร์โปร่งตัวเก่งขึ้นวางบนหน้าตัก ส่วนก้องถือฟรุตยืนอยู่ด้านหลัง เห็นว่าทุกคนพร้อมแล้วเขาจึงให้สัญญาณอีกครั้งด้วยการนับก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกี่ยวสายโลหะเกิดเป็นเสียงสูงต่ำตามการจับคอร์ด เมื่อสอดประสานกันกับเครื่องดนตรีอีกสองชิ้นก็ให้บทเพลงแสนไพเราะส่งผ่านไปถึงผู้ฟังทุกคน เพียงได้ยินทำนองก็ทำให้รู้ว่ามันคือบทเพลงให้กำลังใจที่ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต้องคุ้นหูกันเป็นอย่างดี และเมื่อปาล์มเริ่มร้องในท่อนแรกก็ทำเอาทั้งคนที่ได้ฟังอยู่ในขณะนั้นรวมถึงผู้ขับร้องและนักดนตรีเองถึงกับน้ำตารื้น แม้บทเพลงสุดท้ายของพวกเขาจะจบลงแต่ความประทับใจจะยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคนไปอีกนานแสนนาน


หลังจากช่วยเพื่อนเปิดสถานีแล้ว ประจำเมืองก็ไปที่หอผู้ป่วยตึกกุมารเวชกรรมเพื่อทำการบันทึกข้อมูลทางกายภาพหลังจากเริ่มดำเนินการวิจัยโดยให้เด็ก ๆ ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้ฟังเพลงที่เขาและเพื่อน ๆ ร่วมกันบรรเลง


“แล้วครั้งต่อไปจะเข้ามาอีกเมื่อไรล่ะ” กันตภณถามขณะยืนคุยกับชายหนุ่มที่ระเบียง


“ก็คงจะ 1-2 สัปดาห์/ครั้งครับ เพราะผมต้องไปเก็บข้อมูลที่โรงพยาบาลอื่นด้วย”


“อืม งานวิจัยนี้ได้ผลเป็นไปตามสมมติฐานที่นายตั้งไว้ ก็คงจะเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยคนอื่น ๆ อีกมากเลยนะ”


“ครับ ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นครับ”


“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็มาหาพี่ได้นะ หรือจะโทรมาก็ได้”


“ขอบคุณพี่กันต์มากนะครับ แค่พี่ช่วยดูแลพวกผม แถมแนะนำเพื่อนพี่ที่อีกโรงพยาบาลให้นี่ก็ช่วยผมได้มากแล้วละครับ”


กันตภณพยักหน้าเมื่อหันไปเห็นขวัญนพอีกเรียก เจ้าของชื่อคืนแฟ้มเอกสารให้พยาบาลที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเดินตรงเข้ามา รับไหว้หนุ่มนักดนตรีก่อนจะหันไปถามถึงสาเหตุที่เรียกเขาเอาไว้ “พี่กันต์มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“อยากคุยเรื่องปูไข่ด้วยหน่อยน่ะ เห็นพี่วาบอกว่าพักนี้แกบ่นว่าปวดหัวบ่อย ๆ”


น้ำเสียงเคร่งขรึมดูตรงกันข้ามกับบุคลิกของอีกฝ่ายทำให้ต้องรีบตอบ “ได้ครับ”


“ถ้าอย่างนั้นไปนั่งคุยกันที่ห้องพี่วาก็แล้วกันนะ” พูดจบนายแพทย์ตัวโย่งก็หันมากล่าวกับประจำเมือง “เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะเมือง เข้ามาอีกเมื่อไรก็โทรมานะ ไว้จะพาไปเลี้ยงข้าว”


“ครับ ขอบคุณครับพี่กันต์”


ประจำเมืองคลี่ยิ้มน้อย ๆ มองตามสองคุณหมอที่เดินผ่านไป จู่ ๆ ก็นึกถึงคำสั้น ๆ ที่ขวัญนพตอบคำถามของก้องในวันนั้น


“ไม่ได้คิด”


และนั่นก็คือคำตอบที่ทำให้ทุกคนหันกลับไปรับประทานอาหารกันต่อและไม่มีใครคิดถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก


ประจำเมืองเตร็ดเตร่อยู่ที่หน้าตึกกุมารเวชกรรมพักใหญ่ ๆ รอกระทั่งคนที่เขากำลังรอเดินออกจากลิฟต์จึงหยุดยืนรอ สีหน้าเคร่งเครียดของนายแพทย์ขวัญนพที่เดินตรงเข้ามาทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหรือสิ่งที่ตนเองกำลังเป็นกังวลอยู่นั้นจะเป็นความจริง


“พี่นพ”


“มีอะไรหรือเปล่า”


“คือผม...” คนอายุน้อยกว่าอึกอัก เริ่มลังเลว่าควรพูดหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดมันออกไป "เมื่อหลายวันก่อนผมสอนปูไข่เล่นเปียโน แล้วก็สังเกตว่ากล้ามเนื้อมือของแกน่าจะผิดปกติ มันสั่นกระตุกแบบที่แกไม่สามารถ...”


“เรื่องปูไข่เอาไว้คุยกันวันหลังได้ไหม พอดีพี่ต้องรีบไปตรวจคนไข้”


“อ...เอ้อ...ครับ ขอโทษที่รบกวนครับ” ประจำเมืองรับคำเบา ๆ ฟังคำขอโทษสั้น ๆ แล้วได้แต่ยืนมองกระทั่งอีกฝ่ายเดินลับตาไป เมื่อเป็นเช่นนั้นนักดนตรีหนุ่มจึงมุ่งหน้าสู่สวนสุขภาพของโรงพยาบาล ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ทอดตามองเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วจัดการเสียบเอียร์บัดเข้ากับหูเพื่อฟังเสียงเปียโนบรรเลงเพลงที่เขาแต่งเอง น่าเสียดายที่มันเป็นบทเพลงซึ่งมีเพียงทำนองแต่ยังขาดคำร้อง และไม่รู้ว่าจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อไร


ประจำเมืองหลับตาลงฟังเพลงเดิมซ้ำ ๆ ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไร ร้อย...หรือพัน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด รวมถึงไม่ทันได้เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงผอมเดินมานั่งลงยังเก้าอี้ตัวถัดไปตั้งแต่เมื่อไรจนกระทั่งได้ยินเสียงของเขาเปลือกตาจึงเปิดขึ้นให้เห็นนัยน์ตาสีเข้มอีกครั้ง


“หมอทำธุระให้เสร็จก่อนเถอะ ผมรอได้ ผมรอหมอที่เดิมนะ” พูดจบเจ้าของใบหน้ารูปไข่ก็กดวางสายก่อนเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง หันไปจัดกระเช้าใส่กล่องพลาสติกใบเล็กกับผลไม้ที่วางอยู่ข้างตัว ไม่รู้ว่าเขากำลังรอคุณหมอท่านไหน แต่เมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ประจำเมืองก็ได้คำตอบ


“รอนานไหม”


เสียงคุ้น ๆ ที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ชายหนุ่มต้องกดปุ่มที่สายของหูฟังเพื่อลดระดับเสียงลง 


“ไม่นานครับ แล้วนี่ตรวจคนไข้เสร็จแล้วเหรอครับ” หนุ่มแปลกหน้ากล่าวพร้อมกับลุกขึ้นรอกระทั่งคุณหมอเดินมาถึงจึงเชิญให้เขานั่งลง


ขวัญนพเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ห่างออกไป ไม่คิดว่าจะมานั่งอยู่ที่นี่ หลังจากแยกกันเมื่อตอนสายก็คิดได้ว่าตนเองผิดที่เผลอทำหงุดหงิดใส่ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกเรื่องอาการผิดปกที่สังเกตได้ของคนไข้ในความดูแลของเขาแท้ ๆ แต่จากการพูดกับกันตภณและวารุณีก่อนหน้านั้นทำรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังประดังประเดเข้ามาจนตั้งตัวไม่ทันจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ หากมีโอกาสก็อยากจะกล่าวคำขอโทษอีกครั้ง หวังว่าประจำเมืองคงจะยังนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าเขาจะพูดธุระกับสิรันทรเรียบร้อย 


“เสร็จแล้วครับ ว่าแต่คุณเถอะมีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาผม หรือว่ามีอาการอะไรผิดปกติหรือเปล่า”


น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยทำให้ปลายนิ้วยังคงค้างอยู่ที่ปุ่ม ทั้งที่โปรแกรมสำหรับเล่นเพลงแสดงให้เห็นเลขเวลาว่าเพลงยังคงถูกเล่นไปเรื่อย ๆ หากแต่เสียงดนตรีกลับค่อย ๆ เบาลงกระทั่งเงียบหายไปในที่สุด


“เปล่าหรอกหมอ พอดีผมกับพลช่วยกันทำขนมสูตรใหม่ นึกถึงหมอเลยแวะเอามาให้ช่วยชิม”


“ขอบคุณนะครับ” ขวัญนพกล่าวก่อนจะรับตะกร้าที่อีกฝ่ายส่งให้มาถือไว้ “แล้วเป็นยังไงบ้าง”


“เอาเรื่องไหนล่ะครับ”


ขวัญนพได้แต่ยิ้มจาง ๆ ส่วนประจำเมืองที่ไม่ได้อยากรู้เรื่องอะไรด้วยกดเร่งระดับเสียงเพลงให้ดังตามเดิมก่อนจะลุกขึ้นเดินจากมา


อายุรแพทย์ฯ หนุ่มคิดจะร้องห้ามแต่ก็ทำได้เพียงมองตามร่างสูงที่ค่อย ๆ ห่างออกไป หลังจากส่งสิรันทรกลับแล้วขวัญนพก็ไปขลุกอยู่ที่ห้องสมุดของโรงพยาบาลจนใกล้ค่ำ นึกได้ว่ามีเวรตรวจที่หอผู้ป่วยจึงตรงดิ่งไปที่ร้านกาแฟเพื่อหาออะไรรองท้อง พลันเสียงเพลงที่ดังจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กก็ทำให้นึกถึงบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำขึ้นมาได้


“จบลงไปแล้วนะครับกับเพลงที่คุณเดี่ยวแผนกเภสัชกรรมมอบให้คุณบัวศูนย์กายภาพบำบัดซึ่งขอเข้ามาทางมิวสิคบ็อกซ์ และในที่สุดเราก็มาถึงบทเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้แล้วนะครับ เราอ่านข้อความสุดท้ายกันเลยดีกว่าครับคุณเมือง ข้อความนี้ผมชอบมาก”


“เขาเขียนมาว่ายังไงครับ”


“จากคุณป่านให้คุณบีนะครับ ท่าทางจะเป็นเพื่อนกัน เขาบอกว่า แกไม่ต้องเสียใจนะ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ยังอยู่ข้างแกเสมอ อืม...แต่ไม่ได้ขอเพลงมา เราจะมอบเพลงอะไรให้กับข้อความนี้ดีครับคุณเมือง”


“ผมนึกถึงอยู่เพลงหนึ่งครับ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้คุณบีกำลังเจอกับเรื่องทุกข์ใจอะไรอยู่ แต่ผมเชื่อว่าสักวันคุณจะสามารถผ่านมันไปได้ เรื่องบางเรื่องผ่านมาแล้วผ่านไปเพื่อให้บทเรียนแก่เรา ในขณะที่คนบางคนก็ผ่านมาแล้วผ่านไปเพื่อทำให้เราแข็งแกร่ง แต่คนที่จะผ่านเข้าแล้วไม่เคยจากไปก็คือเพื่อนครับ คุณบีโชคดีที่ยังมีคุณป่านอยู่ข้าง ๆ ผมเอาใจช่วยให้คุณเข้มแข็งขึ้น และเราจะมาลากันด้วยเพลงนี้ครับ”


สักวัน...มันก็ผ่านไป


ขวัญนพถอนใจเบา ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอีก มือหนึ่งดึงเอียร์บัดออกจากหูในขณะที่อีกมือกำกระดาษในมือแน่น ทั้งที่ตั้งใจจะหย่อนมันลงในกล่องใบนั้นแท้ ๆ แต่ตอนจะทำกลับไม่กล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ดวงตาคมเข้มภายใต้กรอบแว่นตาทอดมองมือใหญ่ค่อย ๆ คลายออก แม้กระดาษในมือจะยับย่นแต่ก็ยังสามารถมองเห็นข้อความที่ถูกเขียนไว้ได้อย่างชัดเจน...


“ขอโทษนะ”


...แต่ก็คงไม่ทันเสียแล้วกระมัง   



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

ตอนจบขอยกไปตอนหน้านะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2016 00:56:04 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องนี้จะต้องเป็นตอนดึกเลยเที่ยงคืนไปแล้วตลอด
และทั้งๆ ที่บรรยากาศรอบตัวนั้นแสนเงียบเชียบ แต่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงดนตรีอวลอยู่ในบรรยากาศ
จนกระทั่งอ่านถึงบรรทัดสุดท้ายทีาบทเพลงจะเงียบลง เหมือนที่คุณถ้าเธอเป็นท้องฟ้า เคยบรรยายว่า

...เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายปลิวหายไปในอากาศ...

อ่านจนถึงตอนล่าสุดแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตกลง หมอนพรักใคร เหมือนจะหยอด แต่ก็ยังมีความตัดใจไม่ได้ มันเลยกลายเป็นเหมือนหลอกเด็กไปวันๆ

ณ จุดนี้เราจึงอนุญาตแนะนำให้น้องรุกค่ะ พี่หมอไม่ได้ซึน นางแค่ท่ามาก อย่ามาทำป็นลีลาแอบฟังไม่จบแล้วเดินหนี ค.ศ. 2016 แล้วต้องกล้าชนค่ะ ไม่รู้จะทำไงขอคำปรึกษาจากหมอฟ้าใสได้555

หมอฟ้าใส-หมอกันต์นี่ก็อีกคู่... ขิงก็ราข่าก็แรงเหอะ เชอะ! อย่าคิดนะว่าเรารู้ไม่ทันเรื่องแกล้งของเพลงให้ตัวเองให้อีกฝ่ายหึงน่ะ....ใช่ไหม? หมอฟาร์ม ตอบบบบบบ
หมอกันต์ก็เหอะ ถ้าจีบหมอนพไม่ติด ก็ยอมๆ หมอฟาร์มไปซะ อย่าเป็นภาระให้เราต้องตามเชียร์จนถึงภาค 3เลย 5555(แต่ถ้ามีจะดีมาก)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-06-2016 07:47:51 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อะไรกันอ่าา หมอนพ ไหงทำงี

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
 :mew1:

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
เป็นเรื่องเศร้าที่ทำเอาน้ำตาหยดไปเยอะเลยค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
รุมเร้า ๆ เห็นใจหมอนพ
น้องเมืองก็กำลังจะไป
ไม่ลงมือทำแล้วเมื่อไหร่จะมีโอกาส
สงสารปูไข่

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

..ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดาวว...

น้องประจำเมือง จะบำบัด คุณหมอ อย่างไรน้อ...

จนจะถึงตอนสุดท้าย  เหมือนหนุ่มหนุ่ม ยังไม่รุ้หัวใจตัวเองเลยนะ
  :hao5:


// สงสารปูไข่  ไม่มีคุณพ่อ คุณแม่ เหมือนเราเลย :mew2:

   รอบทสรุปของ ดนตรีบำบัด

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 6 ดาวกับเม็ดทราย (ตอนจบ ครึ่งแรก)


เป็นอีกวันที่เสียงหวานของนักจัดรายการวิทยุสมัครเล่นทำให้ขวัญนพรู้ว่ากำลังมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ชายหนุ่มถอนใจแรงสองมือยังคงประคองถ้วยกาแฟหากแต่ข้างในมีนมร้อนอยู่เกือบเต็ม กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ความรู้สึกผิดยังคงรบกวนใจ และเป็นสองสัปดาห์ที่ใครคนหนึ่งไม่บังเอิญผ่านมาให้ได้เจอสักที ทั้งนี้ก็เพียงอยากจะกล่าวคำขอโทษอีกครั้งมืออุ่นหยิบกระดาษโน้ตใบเล็กที่เคยได้รับจากกันตภณออกจากสมุดบันทึก มองโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่าง ในหัวมีแค่สองคำสั่งที่ยังไม่สามารถประมวลผลได้ว่าควรจะทำตามทำสั่งใดระหว่างกดโทรออกไปกับไม่โทร พลันเสียงของเจ้าของลายมือที่ไม่รู้มาว่ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ทำให้ต้องสะดุ้ง


“อยากคุยก็โทรไปสิ มัวมานั่งจ้องเบอร์แล้วเขาจะรู้ไหมว่าอยากคุยด้วย” พูดจบนายแพทย์กันตภณก็เดินอ้อมไปนั่งลงตรงหน้า “ถามจริง ๆ เถอะ รู้สึกผิดหรือว่าคิดถึง”


“ผมก็แค่อยากจะขอโทษเขาที่พูดไม่ดี” ขวัญนพตอบเรียบ ๆ


แพทย์รุ่นพี่ไหวไหล่ “ก็ตามนั้น ตัวนายรู้ดีที่สุด” ว่าแล้วก็หันไปค้อมศีรษะให้พนักงานที่ยกถ้วยกาแฟร้อนมาเสิร์ฟก่อนจะเริ่มกล่าวอีกครั้ง “คนเรารู้สึกสับสนลังเลกันได้ แต่ถ้ามั่นใจเมื่อไรละก็อย่ามัวแต่ลีลาอยู่ จะทำอะไรก็รีบทำเข้า”


เมื่อเห็นคนใบหน้าอิดโรยเพราะต้องอยู่เวรทั้งคืนยังคงนิ่งเฉยจึงยกใช้ช้อนคนของเหลวในถ้วยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “วันนี้เขาเข้ามานะ เมื่อกี้สวนกันที่หอผู้ป่วยเด็ก เห็นมา...เก็บ...”
             

“ผมไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น รู้แค่ว่าอยากจะขอโทษ” สบตาคนอ้าปากค้าง “แค่ขอโทษ” ท้ายประโยคนั้นเบาจนคล้ายว่ากำลังพูดอยู่กับตัวเอง ไม่รอฟังว่าอีกคนจะมีความเห็นเป็นอย่างไร ตอนนี้รู้เพียงแค่จะต้องไปให้ถึงหอผู้ป่วยเด็กให้ได้ทันก่อนที่คนที่ต้องการพบจะกลับเสียก่อน


“อะ...อ้าว” กันตภนมองร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นทิ้งกาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มเดินผ่านกรอบประตูกระจกออกไป ใบหน้าที่แสดงถึงความงุนงงระคนตกใจในตอนแรกค่อย ๆ แปรเปลี่ยน คุณหมอหนุ่มโคลงหัวพร้อมกับยิ้มนิด ๆ ยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ รู้จักกันมาตั้งกี่ปีมีหรือจะไม่รุ้ว่าท่าทางแบบนั้นมันคืออะไร ในฐานะเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษาทำได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นเพียงภาวนาให้อีกฝ่ายรู้ใจตัวเองสักทีก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
             

อารุยแพทย์ระบบประสาทและสมองเดิมดุ่มมุ่งหน้าสู่ที่หมายภายในเวลาอันรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มายืนอยู่ข้างห้องพักของผู้ป่วยซึ่งเป็นแบบนอนรวมกันที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างบานเกล็ดยาวตลอดแนว มองผ่านกระจกเข้าไปก็เห็นประจำเมืองกำลังพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้ในความดูแลของกันตภณ เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งและต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด ส่วนที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันก็คือหัวหน้าพยาบาลประจำหอผู้ป่วยและกุมารแพทย์หญิงวารุณีนั่นเอง ขวัญนพหมุนตัวกลับตั้งใจจะเดินไปรอที่มุมหนึ่ง แต่แล้วเสียงเรียกจากคนข้างในก็ทำให้เขาต้องหยุด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นบังเอิญสบเข้ากับดวงตาของชายหนุ่มที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นจากสมุดจดพอดีก่อนจะเปลี่ยนเป็นมองตามร่างเล็กของหญิงสาวที่กวักมือเรียกให้เข้าไปด้านใน
             

“ลืมอะไรหรือเปล่าจ๊ะถึงได้ย้อนกลับมา เมื่อเช้าตอนออกเวรบอกพี่ว่าวันนี้ว่างนี่นา” วารุณีเอ่ยขึ้นเมื่อแพทย์รุ่นน้องเดินเข้ามาภายในห้อง
             

“ค...คือผม ผมแวะมาดูปูไข่แกอีกรอบน่ะครับ เมื่อคืนแกบ่นว่าปวดหัวจนนอนไม่หลับ”
             

“พี่ไปตรวจเมื่อตอนสายเห็นว่าดีขึ้นแล้วนะจ๊ะ เมื่อกี้ทานข้าวกลางวันแล้วยังมารบเร้าขอให้พี่เมืองพาไปเดินเล่นที่ชายหาดอยู่เลย อืม...ไปไหนแล้วนะ” สาวสวยชะเง้อมองในที่สุดก็เห็นว่าคนที่พูดถึงกำลังนั่งฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาและอ่านหนังสือนิทานอยู่ที่เตียง “นั่นไง อยู่นั่น”


นายแพทย์ขวัญนพพยักหน้าก่อนจะขอตัวและเดินไปยังทิศที่เด็กชายอยู่
             

ผ่านไปพักใหญ่หลังจากให้ข้อมูลแก่นักศึกษาปริญญาโทแล้ว ก่อนที่แพทย์หญิงวารุณีจะไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ เธอก็ไม่ลืมทำตามสัญญาที่ได้ให้กับเด็กชายไว้ นั่นคือการอนุญาตให้ไปที่ชายหาด แต่กระนั้นก็ต้องยังให้เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของแพทย์เจ้าของไข้
           
 
“อานพอยู่พอดี ปูไข่ถามอาหมอนพอีกคนสิจ๊ะว่าอนุญาตไหม”
             

ได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเซียวอีกครั้ง เกือบจะละทิ้งความคิดนั้นไปเสียแล้ว ดีใจที่คุณหมอวารุณีไม่ลืมเรื่องที่รับปากกันไว้ เจ้าของร่างที่บัดนี้ซูบซีดลงกว่าเดิมเล็กน้อยจึงหันไปถามคุณอาหมอที่กำลังนั่งพลิกหน้าหนังสือนิทานไปเรื่อย ๆ ราวกับกำลังฆ่าเวลาระหว่างรออะไรบางอย่าง
             

“ปูไข่ไปเดินเล่นที่ชายหาดได้ไหมฮะอาหมอ”
   

“จะไปคนเดียวน่ะเหรอ” นายแพทย์เจ้าของไข้ถามอย่างแปลกใจ
   

“ผมพาไปก็ได้ครับ”


ขวัญนพเงยหน้าขึ้นสบตาเด็กชายที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนจะมองเลยไปยังร่างสูงที่เพิ่งเดินมาหยุดยืนเยื้องไปทางด้านหลังหญิงสาว


“แต่ต้องนั่งรถเข็นไปนะ” พูดจบก็ปิดหนังสือแล้ววางไว้บนหัวเตียง


“ถ...ถ้าอย่างนั้นผมไปเอารถเข็นนะครับ” หนุ่มนักดนตรีกล่าวก่อนจะเดินไปเข็นรถเข็นที่อยู่ด้านนอกมาให้ด้วยความกระตือรือร้น


เมื่อรถเข็นพร้อมขวัญนพก็ช้อนร่างผู้ป่วยในความดูแลขึ้นแล้ววางลงบนรถเข็นแบบนั่ง จากนั้นก็ย่อตัวลงเอื้อมมือทั้งสองจับที่บ่าเล็กเพื่อขอความมั่นใจ “รับปากอานะว่าจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟังพี่เมือง ต้องไม่วิ่ง ระวังไม่ให้หกล้มนะครับ”


สิ้นเสียงคุณหมอปากเล็กก็ยิ้มกว้าง “ปูไข่สัญญาครับอาหมอ”


ได้ฟังเช่นนั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นแล้วหันกลับมาพูดกับอีกคน “ฝากด้วยนะ”


“ครับ” ประจำเมืองรับคำเบา ๆ ก่อนก้มลงยิ้มให้คนตัวเล็กก่อนจะเข็นรถเข็นออกไป
   

อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองยืนมองชายหนุ่มที่กำลังเข็นรถเข็นพาเด็กชายลัดเลาะไปตามทางเดินในสวนสุขภาพจากบนระเบียง กระทั่งไม่มีทางให้ไปต่อเด็กชายปูไข่จึงลุกจากรถเข็นจับมือพี่ชายนักดนตรีแล้วพากันเดินลงไปยังชายหาด
   

แม้จะรับปากคุณอาหมอไว้แล้วว่าจะเชื่อฟังคนพามา แต่เมื่อเห็นฟองคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งก็อดใจไม่ได้ มือเล็กสะบัดจนหลุดจากมือใหญ่ก่อนจะวิ่งเข้าหาเกลียวคลื่น กระโดดโลดเต้นเสียจนน้ำกระเซ็นเปียกปอนทั้งคนหนีและคนไล่ กว่าจะคว้าตัวไว้ได้ก็เล่นเอาประจำเมืองถึงกับหอบ ชายหนุ่มกอดร่างของเด็กชายเอาไว้แน่นในขณะที่เจ้าตัวก็ส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากราวกับกำลังอยู่ในโลกที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องทุกข์ใจใด ๆ


สองคนจูงมือกันกลับเข้าฝั่ง ทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทราย ดวงตาสองคู่ทอดมองไปยังจุดเดียวกันนั่นคือตรงเส้นแบ่งระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้า ครู่หนึ่งหนุ่มนักดนตรีก็ละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้าหันกลับมามองคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาทอประกายของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่ปลายขอบฟ้า มือที่เปื้อนทรายค่อย ๆ ยกขึ้นในตำแหน่งของเส้นขอบฟ้า นิ้วอวบค่อย ๆ งอเข้าหากันจนกลายเป็นกำแน่นพลันยิ้มฝีปากบางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ที่แทบจะสังเกตไม่เห็น


“ปูไข่อยากดึงท้องฟ้าเข้ามาใกล้ ๆ จังเลยพี่เมือง”


“ทำไมล่ะ” พูดจบประจำเมืองก็ทอดตามองไปข้างหน้าอีกครั้ง


“พ่อเคยบอกว่าแม่ของปูไข่ไปอยู่ที่อีกฝั่งของท้องฟ้าครับ ป่านนี้พ่อก็คงไปอยู่ตรงนั้นด้วยกันกับแม่ ปูไข่อยากดึงท้องฟ้าให้ใกล้เข้ามาจะได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อกับแม่”


“จำที่อาหมอนพเคยบอกไม่ได้เหรอครับว่าพ่อกับแม่ของปูไข่จะอยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มใช้มือขวาคว้ามือเล็กก่อนจะรั้งเข้ามาแนบกับอกของเจ้าตัวในตำแหน่งหัวใจ “ตราบเท่าที่หัวใจของเรายังเต้นอยู่ ปูไข่ได้ยินไหม”


“ได้ยินฮะ” เด็กชายยิ้มน้อย ๆ พลางกุมมือของพี่ชายนักดนตรีเอาไว้ “พี่เมืองสอนปูไข่เล่นเปียโนอีกได้ไหมฮะ”


“ได้สิ” พูดจบประจำเมืองก็ดึงร่างอีกฝ่ายให้ขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดเพลงเพลงเดิมที่ขณะนี้มีเพียงทำนองแต่ยังขาดคำร้องแล้ววางไว้บนหน้าขา “ปูไข่ยกมือขึ้นนะ”


เด็กชายปูไข่ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เมื่อมือเล็กยกลอยขึ้นในอากาศ ประจำเมืองก็ทาบมือทั้งสองข้างของตนเองลงไป จากนั้นจึงกดปลายนิ้วของเด็กชายไปตามตัวโน้ตที่เขาร้องล้อตามเสียงเปียโนที่ดังมากจากโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสามารถจดจำโน้ตได้จึงละมือออกแล้วเท้าลงกับผืนทรายหลับตาฮัมเพลงที่มีบรรเลงจากเครื่องดนตรีคลาสิกผสมกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง


หนุ่มนักดนตรีพาเด็กชายกลับขึ้นไปส่งยังหอผู้ป่วยเมื่อตอนบ่ายคล้อยและพบว่าคนที่เจอกันก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ประจำเมืองรอกระทั่งปูไข่รับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยจึงขอตัวกลับ และเมื่อออกจากตึกกุมารเวชกรรมเขาก็แวะไปที่สวนสุขภาพอีกครั้ง เจ้าของร่างสูงทิ้งตัวลงที่บนเก้าอี้ตัวเดิม ทอดตามองออกไปเห็นที่บนท้องฟ้ามีเพียงริ้วเมฆสีส้มที่บดบังดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังคลื่นต่ำลงทุกขณะ บนผืนน้ำปรากฏระลอกคลื่นเล็ก ๆ หยกล้อกับกับสายลมเคลื่อนไหวไปตามบทเพลงที่ได้ยินจากเอียร์บัดอยู่ในขณะนี้


“ขอนั่งด้วยคนนะ”


คนนั่งเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงที่เดินมาหยุดอย่างแปลกใจพลางดึงหูฟังที่เสียบกับหูออก “ครับ?”


“พี่บอกว่า ขอนั่งด้วยคนได้ไหม”


“ด...ได้ครับ” พูดจบก็ขยับที่ให้อีกคนนั่ง


ประจำเมืองกำโทรศัพท์มือถือในมือแน่นละสายตาจากหน้าคมมองไปยังจุดเดิมที่เคยมอง ครั้งสุดท้ายที่พบกันนั้นเป็นความรู้สึกที่จบลงด้วยความไม่ประทับใจสักเท่าไร ดังนั้นความเงียบและการไม่รู้จุดประสงค์ในการมาของอีกฝ่ายในคราวนี้จึงทำให้ความอึดอัดแล่นขึ้นที่กลางอก แต่แล้วก็เป็นขวัญนพที่เป็นผู้ทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน


“พี่ขอโทษนะ”


“ขอโทษผมเรื่องอะไรครับ”


“เรื่องที่พูดไม่ดีวันนั้น”
   

คำพูดนั้นแผ่วเบาหากแต่มีพลังมากพอที่จะทำให้กำแพงที่กั้นตรงกลางระหว่างสองคนทลายลง


“ผมลืมไปหมดแล้วละครับ” คนอายุน้อยกว่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนแรกก็คิดว่ามีแต่ตนเองที่คิดมากเรื่องนี้ สุดท้ายก็พบว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน “คนที่ต้องขอโทษควรจะเป็นผมมากกว่า ผมต่างหากที่วุ่นวาย”


“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ไม่ได้คิดแบบนั้น”


“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะครับ พี่นพอย่าคิดมากเลยมันผ่านมาแล้ว”


“ถึงจะอย่างนั้นก็ต้องขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”


“ครับ” ประจำเมืองรับคำสั้น ๆ


“วันนั้นโกรธพี่หรือเปล่า”


ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ คำถามนี้จึงได้ทำให้สองแก้มร้อนผ่าว ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แทนคำตอบแล้วเบนหน้าหนีสายตาที่กำลังมองมา “พี่นพคงจะรักปูไข่มากสินะครับ”


“อืม...ก็พยายามจะรักให้ได้สักครึ่งของที่พ่อกับแม่ของแกรักน่ะ”


“พี่รู้จักพ่อกับแม่ของปู่ไข่เหรอครับ ผมทราบว่าคุณพ่อแกเพิ่งเสียชีวิต แล้วคุณแม่ล่ะครับไปไหนถึงได้ปล่อยลูกชายไว้ที่โรงพยาบาลคนเดียว”


“รดาเสียไปเกือบสองปีแล้วละ” แพทย์หนุ่มตอบเสียงขรึม “เธอเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเหมือนกับที่ปูไข่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้”
ประจำเมืองแทบไม่เชื่อหู คิดจะถามอยู่พอดีว่าเด็กชายที่ลักษณะภายนอกอ้วนท้วนสมบูรณ์แบบนั้นป่วยด้วยโรคชนิดใดกันจึงต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลแทนที่จะได้ไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เช่นนี้
             

“ส่วนอาการสั่นกระตุกที่เราสังเกตได้ก็เป็นผลมาจากโรคด้วย”
   

“จะมีโอกาสรักษาให้หายไหมครับ” ประจำเมืองสบตาอย่างรอคอย แต่การที่อีกฝ่ายนิ่งเงียบก็พอจะคาดเดาคำตอบได้ ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนจะเบนหน้าออกสู่ผืนน้ำเบื้องหน้าอีกครั้ง เหนือขึ้นไปไม่ปรากฏดวงอาทิตย์ที่สาดแสงแต่กลับมีเพียงริ้วสีส้มแดงแต้มอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น
   

“โรคนี้รักษาให้หายขาดไม่ได้ อาจจะเป็น ๆ หาย ๆ แต่บางครั้งอาการก็จะรุนแรงขึ้นด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง”
   

“เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง แล้วทำไมตอนพี่กันต์ส่งรายชื่อผู้ป่วยที่เข้าข่ายกลุ่มทดลองของผมถึงได้มีปูไข่รวมอยู่ด้วยล่ะครับ”
   

“โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทมัส ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ แล้วก่อนหน้านี้เราตรวจพบเนื้องอกที่ก้านสมองของปู่ไข่ มันมีขนาดใหญ่และอยู่ในจุดที่เป็นอันตรายถึงจะผ่าตัดออกก็ได้ไม่หมด” ขวัญนพหยุดไว้เพียงเท่านั้น เพราะยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งย้อนกลับสู่สถานการณ์ในวันที่เขารู้ข่าวร้ายนี้ “มันแย่นะที่เป็นหมอแต่ไม่สามารถช่วยคนไข้ได้ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรักษาตามอาการแล้วก็รอว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง”


ประจำเมืองมองคนที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ด้วยความที่ทั้งพ่อและแม่ของเขาเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องเผชิญกับกรณีเหล่านี้มานักต่อนัก ชายหนุ่มจึงพอจะเข้าใจความรู้สึกที่อีกฝ่ายเป็นอยู่ได้อย่างไม่ยาก
   

“พ่อของผมก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพี่ พ่อเล่าให้ฟังว่าผลการตรวจแสดงให้รู้ว่าเธอเป็นมะเร็งในระหว่างกำลังตั้งครรภ์ แต่เพราะต้องการจะรักษาทารกเอาไว้ เธอจึงปฏิเสธการรักษาทั้งเคมีบำบัดและการฉายรังสี” หยุดนิดหนึ่งเมื่อไม่อาจควบคุมน้ำเสียงในตอนท้ายให้เป็นปกติได้ ริมฝีปากเม้มเข้า กดตาลงมองมือของตนเองที่กำโทรศัพท์แน่น ในที่สุดจึงกล่าวต่อ “เพราะการเสียสละชีวิตของแม่ ผมถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้”
   

“เสียสละชีวิต?”
   

“ครับ อันที่จริงผมไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อกับแม่หรอก” นักดนตรีหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มแต่ดวงตากลับเจือความเศร้า “แม่ของผมเสียชีวิตหลังจากคลอดผมได้ไม่กี่ชั่วโมง อาจารย์หมอปราการที่เป็นทั้งคุณหมอเจ้าของไข้และเป็นคนทำคลอดกับอาจารย์เรวดีซึ่งเป็นพยาบาลประจำห้องคลอดในขณะนั้นก็เลยตัดสินใจรับผมไว้เป็นลูก”
   

เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดขวัญนพก็แทบอยากจะตบปากตัวเอง แม้รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนพูดแต่ในใจคนฟังกลับรู้สึกผิดซ้ำสอง เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายว่าต้องการให้เห็นว่าหมอทุกคนย่อมผ่านสภาวะกดดันมาแล้วทั้งนั้น แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยกกรณีที่นึกถึงแล้วจะมีผลต่อสภาพจิตใจของตนเองเช่นนี้
   

“พ...พี่ขอโทษนะที่ถาม”
   

“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ผมต้องปิดบัง” เห็นสีหน้าของคุณหมอยังไม่คลายความกังวลจึงกล่าวต่อ “ผมอุตส่าห์เล่าให้พี่สบายใจ อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ ฟังเพลงหน่อยไหมมันช่วยได้นะ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มาเรียนดนตรีที่โรงเรียนที่ผมสอนส่วนใหญ่มักมีอาการซึมเศร้า มีความวิตกกังวลจากการรักษาอาการป่วยเรื้อรัง หรือมีความเครียดจากการทำงาน ดนตรีช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายลง ถึงร่างกายจะป่วยแต่ก็ไม่ควรปล่อยให้จิตใจป่วยตามนะครับ”
   

คุณหมอผ่อนลมหายใจยาว บนใบหน้าพอจะคลายความตึงเครียดลงบ้าง “ปกติเคยแต่พูดให้กำลังใจคนอื่น ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะกลายมาเป็นคนที่ถูกให้กำลังใจเสียเอง”


“ผมว่าไม่ใช่แค่ผู้ป่วยและญาติ ๆ ที่ต้องการกำลังใจ ทั้งหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน วันนี้พี่นพลองทิ้งความเป็นหมอไว้ข้างหลัง หลับตาแล้วฟังผมเล่นดนตรีสักห้านาทีนะครับ” พูดจบประจำเมืองก็วางโทรศัพท์ลงที่ข้างตัวก่อนจะยื่นเอียร์บัดและยิ้มให้
   

นายแพทย์ขวัญเผลอยิ้มตามรับเอียร์บัดจากมือคนพูดมาเสียบกับหู เฝ้ามองอากัปกิริยาของคนอายุน้อยกว่าที่กำลังขยับตัวนั่งหลังตรงยกมือข้างหนึ่งยกลอยขึ้นเหนือหน้าขาราวกับตรงหน้าคือลิ่มนิ้วสีขาวของเปียโนตัวใหญ่แบบที่เคยเห็นผ่านตามาบ้างในบันทึกการแสดงสดของวงดนตรีตะวันตก และเมื่อเรียวนิ้วเริ่มขยับก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงเปียโนจากหูฟังดังขึ้น สังเกตให้ดีจะพบว่านิ้วทั้งสิบนั้นไม่ได้ขยับขึ้นลงเรื่อยเปื่อยหากแต่เป็นการพรมปลายนิ้วลงตามโน้ตทุกตัว ในบางช่วงมือหนึ่งก็กดค้างตามเสียงที่ลากยาวในขณะที่อีกมือสะบัดพริ้วบนแป้นตัวโน้ตเสียงสูง คุณหมอหลับตาลงช้า ๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ปล่อยตัวตามสบายฟังเพลงที่นักดนตรีคนเก่งกำลังบรรเลง
   

“ชื่อเพลงอะไรเหรอ” ขวัญนพถามขึ้นเมื่อเพลงจบ
   

“ยังไม่มีชื่อครับ เนื้อร้องก็ยังเขียนไม่เสร็จ”
   

“นี่เพลงที่แต่งเองหรอกเหรอ” กล่าวพลางดึงหูฟังออกจากหู
   

“ใช่ครับ”
   

“มีแค่ดนตรีก็เพราะแล้วนะ พี่ว่าถ้ามีเนื้อร้องคงต้องเพราะกว่านี้แน่ ๆ”


“ถ้าอย่างนั้นแต่งเสร็จเมื่อไรผมจะมาเล่นให้ฟังอีกรอบดีไหม ดูซิว่าพี่นพยังจะพูดแบบเดิมอยู่หรือเปล่า”


“เอาสิ” ขวัญนพตอบตกลงพร้อมกับส่งหูฟังคืนให้


“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ”


คนอายุมากกว่าพยักหน้าพลางดึงแว่นสายตาออกแล้วเสียบลงที่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต นัยน์ตาสีเข้มมองไปยังระลอกคลื่นที่ยกตัวขึ้นลงสะท้อนแสงสุดท้ายของวันอีกครั้ง แม้ว่าภาพนั้นจะพร่ามัวไม่ชัดเจนพอ ๆ ความรู้สึกของตนเองในตอนนี้ แต่มันก็ดีกว่าการมองเห็นอยู่เพียงแค่ในระยะบังคับของกรอบเท่านั้น 


“ขอบใจนะ” หันมาคนข้าง ๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะถูกเจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเสียแล้ว แต่ในหัวของคุณหมอก็ยังคงจดจำได้อย่างชัดเจน 


“ไม่เป็นไรครับ ตอบแทนสำหรับข้าวมันไก่ไม่ใส่แตงกวา” ประจำเมืองกล่าว และเมื่อดวงตาสองคู่บังเอิญได้สบกันอีกหนต่างคนก็ต่างยิ้มให้กัน


ดวงอาทิตย์ลับหายไปที่ปลายขอบฟ้าพร้อมกับหนุ่มนักดนตรีที่กล่าวคำอำลา ท้องฟ้าทิศตะวันตกปรากฏดวงดาวทอแสงสว่างสุกใส ขวัญนพยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แขนแกร่งพาดไปตามแนวยาวพนักเก้าอี้ฝั่งที่เคยมีอีกคนนั่งอยู่เคียงข้าง รอยยิ้มน้อย ๆ ยังคงแต้มอยู่บนใบหน้า หูได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งในขณะที่ดวงตาก็ยังคงทอดมองแสงจากไฟตะเกียงติดหัวเรือหาปลาที่ลอยลำอยู่ลิบ ๆ มือใหญ่เผลอยกขึ้นถูกต้นคอตัวเองเมื่อคิดได้ว่าทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในที่ของมันจะมีก็แต่หัวใจเจ้ากรรมที่ไม่รู้ว่าติดมือใครไปด้วย...


...


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2016 11:35:36 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
กว่าสามเดือนที่ประจำเมืองเทียวไปเทียวมาที่โรงพยาบาลสมุทรารักษ์ กระทั่งวันสุดท้ายของการบันทึกข้อมูลทางกายภาพของคนไข้ที่สมัครใจเข้าร่วมการวิจัยดนตรีบำบัดเพื่อลดอาการวิตกกังวลของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด หลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นักศึกษาหนุ่มก็กล่าวขอบคุณทั้งเด็ก ๆ ผู้ปกครองและบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ความร่วมมือจนทำให้งานของเขาสำเร็จลุล่วงลงได้ พยายามมองหาคนคุ้นหน้าเพื่อจะกล่าวคำอำลาแต่กลับไม่พบใครสักคนแม้แต่เด็กชายที่มักจะวิ่งมาเกาะแขนขอร้องให้เขาพาไปเดินเล่นที่ชายหาดเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ได้พบกัน มองไปยังเตียงริมหน้าต่างก็มีเพียงความว่างเปล่า


เมื่อประจำเมืองเดินไปถามที่เคาท์เตอร์พยาบาลจึงทราบว่าเด็กชายปูไข่อาการทรุดหนักจึงถูกย้ายไปอยู่หอผู้ป่วยวิกฤต ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบเดินออกจากหอผู้ป่วยเด็กลงบันไดไปตามคำแนะนำของนางพยาบาล ขายาวก้าวไปตามทางเดินที่ขนาบด้วยเก้าอี้นั่งเป็นระยะกระทั่งมาหยุดที่บริเวณห้องโถง บรรยากาศภายในช่างแตกต่างจากชั้นที่เขาเพิ่งเดินจากมายิ่งนัก มันเงียบเชียบจนได้ยินเสียงพื้นรองเท้าของใครบางคนกระทบกระเบื้องยางได้อย่างชัดเจน ซ้ำอุณหภูมิจากเครื่องปรับเอากาศก็ทำเอาขนที่แขนตั้งชันไปหมด ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบ ๆ เห็นบรรดาญาติผู้ป่วยซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด บ้างจับกลุ่มกันพูดคุยด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ บ้างก็เหม่อลอยกระนั้นประจำเมืองก็ยังเห็นคราบน้ำตาที่บ่งบอกว่าเขาเหล่านั้นกำลังประสบทุกข์หนัก


ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่หน้าห้องซึ่งมีป้ายเขียนติดที่เหนือกรอบประตูว่า ‘หอพักผู้ป่วยวิกฤต (ICU)’ ถัดไปเป็นช่องกระจกขนาดใหญ่มองเข้าไปภายในห้องเห็นมีเตียงผู้ป่วยอยู่เพียงไม่มาก หัวเตียงถูกเรียงชิดติดกับผนังด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเว้นเป็นช่องทางเดินเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข็นเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ได้อย่างสะดวก ซึ่งแต่ละเตียงก็มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เขาไม่รู้จักและไม่คุ้นตาวางอยู่เต็มไปหมด นัยน์ตาเป็นกังวลหยุดที่แผ่นหลังกว้างของร่างสูงในชุดเสื้อกาวน์ยาวที่กำลังส่งคืนแฟ้มประจำตัวคนไข้ให้หญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาว รอกระทั่งเธอกลับเดินไปยังห้องเล็ก ๆ ที่จัดไว้เป็นพื้นที่สำหรับนางพยาบาล เขาจึงโน้มตัวลงก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าอกคนบนเตียง


ประจำเมืองหรี่ตามองให้แน่ว่าคนที่เห็นอยู่ขณะนี้ใช่ขวัญนพกับปูไข่หรือไม่หากในใจกลับภาวนาให้ไม่ใช่ทั้งคู่ แต่เมื่ออีกคนหันกลับมาสิ่งที่คิดทั้งหมดก็ดับวูบลง นัยน์ตาคมเคลื่อนตามร่างสูงของคุณหมอหนุ่มที่เดินใกล้เข้ามา และเมื่อประตูห้องเปิดออกเขาก็เห็นแววตาหม่นหมองของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน


“ผมขอเข้าไปเยี่ยมแกได้ไหมครับ” หนุ่มนักดนตรีเอ่ยขึ้นแทนคำทักทายในขณะที่อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองได้แต่เพียงพยักหน้าก่อนจะดันประตูกระจกให้เปิดออกอีกครั้งรอกระทั่งร่างสูงพอ ๆ กันเดินผ่านเข้าไปจึงได้เดินนำไปยังเตียงที่อยู่เกือบในสุด


ประจำเมืองมองร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง จากเด็กชายที่เคยอ้วนท้วนบัดนี้กลับผ่ายผอมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งที่ตัวเขาเองก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นระยะในการพบกันแต่ละครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับยากเกินจะทำใจยอมรับได้ไหว ส่วนหนึ่งคงเพราะท่อช่วยหายใจที่เสียบคาอยู่ในปากเล็กกับสายระโยงระยางของเครื่องติดตามสัญญาณชีพและการทำงานของหัวใจที่โผล่ออกจากใต้ผืนผ้าห่ม


“ปูไข่เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรครับ”


“เมื่อสามวันก่อน แกมีอาการหายใจลำบากเสี่ยงต่อภาวะหายใจล้มเหลวต้องใส่ท่อช่วยหายใจ พวกเราลงความเห็นว่าควรจะย้ายแกมารอดูอาการที่นี่ เด็ก ๆ คนอื่น ๆ จะได้ไม่ขวัญเสีย”


“แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”


“พยาบาลบอกว่าตลอดบ่ายนี้พยายามปลุกแต่แกไม่ตอบสนอง มีอาการเกร็งของร่างกายเพราะความเจ็บปวดเป็นบางช่วง”


ประโยคนั้นยังไม่ทันจบดีประจำเมืองก็ให้รู้สึกชาไปทั้งร่าง ในหูอื้ออึงไปหมดแม้อีกคนจะพูดจบลงไปแล้ว ดวงตาทอดมองไปยังคนที่นอนหลับใหล ใบหน้านั้นซีดเผือดราวกับไม่มีเลือด ในบางช่วงเวลาหัวคิ้วก็เคลื่อนเข้าหากันจนชายหนุ่มต้องโน้มตัวลงวางมือบนศีรษะค่อนมาทางหน้าผากใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบา ๆ ที่ระหว่างคิ้วเพื่อให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นคลายออก จากนั้นจึงเปลี่ยนไปลูบที่ศีรษะของเด็กชายพร้อมกับกระซิบแผ่วเบา


“ปูไข่ พี่เมืองมาแล้วนะ เราสัญญากันแล้วนี่นาว่าถ้าพี่เมืองมาเมื่อไรเราจะไปเดินเล่นที่ชายหาดด้วยกัน ปูไข่นอนอยู่แบบนี้แล้วพี่เมืองจะไปเดินกับใคร”


เด็กชายปูไข่ยังคงนอนนิ่ง ที่หางตาปรากฏหยาดน้ำเล็ก ๆ ซึมทั้งสองข้าง พลันเปลือกตาใสก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น นัยน์ตาคู่ที่เคยทอประกายสดใสกลับเหม่อลอยไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ เพียงไม่กี่วินาทีเด็กชายก็หลับตาลงอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ใบหน้าบิดเบี้ยวนั้นบ่งบอกว่าเขาคงกำลังต่อสู้กับอาการเจ็บปวดเกินกว่าที่เด็กตัวเล็ก ๆ จะสามารถทนได้


“เราทำได้แค่รอใช่ไหมครับ” หันมาถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


นายแพทย์หนุ่มพยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ หัวใจที่เฝ้ารอของใครบางคนอาจถูกหล่อเลี้ยงด้วยความหวัง ปลายทางของการรอคอยสำหรับพวกเขาเหล่านั้นอาจมีหลายผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการการด่วนสรุป แต่สำหรับขวัญนพ...จุดสิ้นสุดการอรคอยของเขากลับมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น และในหัวใจในขณะนี้ก็ไม่มีแม้แต่คำว่าปาฏิหาริย์ 


“ไม่เป็นไร” ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เจ้าตัวไม่แน่ใจว่าคำ ‘ไม่เป็นไร’ ที่กล่าวออกมาเมื่อครู่นั้นตั้งใจจะบอกคนป่วยหรือใครกันแน่ “ถ้าปูไข่เหนื่อยก็พักผ่อนนะพี่เมืองจะอยู่เป็นเพื่อนตรงนี้ เอาไว้ตื่นขึ้นมาเมื่อไรเราจะไปเดินเล่นที่ชายหาดด้วยกัน” พูดจบชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกง เสียบเอียร์บัดเข้ากับหูของคนที่นอนอยู่บนเดตียง ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงที่หน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมให้เล่นเสียงคลื่นลมทะเลที่บันทึกเอาไว้เมื่อคราวก่อน ตั้งใจจะนำไปผสมกับเพลงที่แต่งขึ้นแต่เพราะยังเขียนคำร้องไม่เสร็จก็เลยยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที


“หลับเถอะนะ” สิ้นเสียงของประจำเมืองดวงตาคู่นั้นก็ค่อย ๆ ปิดลง นักดนตรีหนุ่มทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ รั้งมือเล็กมากุมเอาไว้ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเบา ๆ บนหลังมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการเจาะ “ได้ยินเสียงคลื่นไหม พี่เมืองอัดเสียงนี้ไว้เมื่อครั้งก่อนที่เราไปทะเลกัน ตอนนี้ที่ข้างนอกบนท้องฟ้ามีดาวเต็มไปหมด” ชายหนุ่มสูดลมหายใจพยายามกลั้นสะอื้น “ดวงที่สว่างที่สุดคือดาวศุกร์ พ่อเคยบอกว่ามันเป็นดาวประจำตัวของพี่ แต่วันนี้พี่จะยกดาวดวงนั้นให้เป็นดาวประจำตัวของปูไข่นะ พี่จะขอให้ดวงดาวคอยปกป้องคุ้มครองให้ปูไข่นอนหลับฝันดีจนถึงเช้า ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นนะ” 


ขวัญนพจำใจเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า หากเด็กชายได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็คงมีความรู้สึกไม่แตกต่างจากตัวเขาในเวลานี้ มือหนายกขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก


“พี่นพ ผมว่าคนสุดท้ายที่แกอยากอยู่ด้วยน่าจะเป็นพี่” พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นสลับให้คุณหมอเจ้าของไข้มานั่งแทนที่
และเมื่อขวัญนพกุมมือเด็กชายเอาไว้ เขาก็รู้สึกถึงแรงบีบเบา ๆ เหมือนเมื่อวันที่ต่างคนต่างให้คำมั่นสัญญาว่าจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะเข้มแข็งไปด้วยกัน นัยน์เศร้าหมองทอดมองใบหน้าเซียวพร้อมกับเอื้อมมือประคองศีรษะของหนูน้อยก่อนจะกระซิบเบา ๆ


“อาจะเข้มแข็งให้เท่ากับปูไข่ ไม่ต้องห่วงอะไรนะ”


สิ้นเสียงของนายแพทย์เจ้าของไข้มือเล็กที่เคยบีบมือของเขาแน่นก็คลายออกพร้อมกับเสียงจากเครื่องติดตามสัญญาณชีพและการทำงานของหัวใจที่เตือนให้รู้ว่าเวลาแห่งการจากลากันตลอดกาลได้มาถึงแล้ว


(มีต่อค่ะ)


อีกครึ่งจะรีบมาต่อนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2016 11:39:05 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
งือ ทำไมพี่หมอดุน้องเมืองจางงงง ดุๆ แบบนี้จริงๆ ต้องมีปลอบขวัญนะโอ๋ๆ ดูสิ น้องอุตส่าห์มาอ่อยขนาดนี้แล้ว ใจอ่อนสักทีเถอะ

มาอัพต่อเร็วๆ นะคะ อยากรุตอนต่อไปแล้ว ถึงจะเดาอนาคตปูไข่ได้ก็เถอะ  เง้อออ 
#บทที่7

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เศร้าเหลือเกิน  แต่ละมุนมาก  เฮ้อ

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
น้ำตาร่วงอีกแล้ว ปูไข่จ๋า  :monkeysad:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ร้องไห้ เราเกลียดความตายและการจากลาตลอดกาลแบบนี้  มันเศร้ามากจริงๆ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
น้องปูไข่ TT เศร้ามากเลย

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โอย ไม่ไหว เศร้ามาก น้องปูไข่ฝันดีนะลูก หนูไม่ต้องเจ็บปวดทรมานอีกแล้ว

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

เสียงเปียโนเงียบหายไปพักใหญ่ นาฬิกาตั้งโต๊ะบอกเวลาเกือบห้าทุ่มครึ่งแต่ไฟที่เรือนหลังเล็กยังคงสว่าง เรวดีใช้ปลายนิ้วเขี่ยผ้าม่านหน้าต่างห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสองของตัวบ้านให้เปิดเป็นช่องก่อนจะมองรอดออกไปด้านนอก เห็นลูกชายกำลังนั่งแกว่งขาอยู่ที่ริมสระบัว มือหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหูในขณะที่อีกมือวักน้ำขึ้นจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับยามเมื่อละอองน้ำต้องแสงจากโคมไฟที่ห้อยลงจากชายคากันสาดซึ่งนั่นนับว่าเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาสำหรับผู้เป็นแม่สักเท่าไรนัก


“ทำอะไรน่ะแม่” นายแพทย์ปราการที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องเอ่ยขึ้น


“มาดูนี่สิพ่อ”


ผู้เป็นสามีมุ่นคิ้วนิด ๆ ด้วยความสงสัย วางหนังสือเล่มใหญ่ลงบนโต๊ะก่อนจะเดินมายืนซ้อนหลังภรรยา ขยับแว่นสายตามองไปยังจุดเดียวกัน “ก็ลูกเราไง”


“ใช่ค่ะลูกเรา” อีกฝ่ายหันมาค้อน “แต่พ่อดูสิ รู้สึกคุ้น ๆ กับท่าทางแบบนั้นบ้างไหม”


“อืม...เหมือนผมสมัยหนุ่ม ๆ ตอนกำลังมีความรัก รักแรกเสียด้วย” ว่าแล้วก็สวมกอดผู้เป็นรักครั้งแรกและรักเดียวของตนเองจากด้านหลังพร้อมกับฮัมเพลงโปรดเบา ๆ


ประจำเมืองเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในขณะที่ขายังคงแช่อยู่ในน้ำ หูแนบกับโทรศัพท์ฟังเสียงของคนที่ปลายสาย จู่ ๆ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงนี้ก็ตอนที่อีกฝ่ายโทรมาถามว่าเขาถึงบ้านหรือยังนับตั้งแต่ลากันในวันสุดท้ายที่เขาเข้าไปบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยที่โรงพยาบาล รู้ตัวอีกทีเสียงนี้ก็กลายเป็นเสียงที่ได้ฟังแทบทุกวันไปเสียแล้ว
   

“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
   

“ยุ่งนิดหน่อยครับ สัปดาห์หน้าจะรับปริญญาแล้วก็เลยต้องสลับวันสอนกับน้อง ๆ ที่โรงเรียน”
   

“เร็วจัง”
   

“ตั้งแต่วันนั้นก็เกือบครึ่งปีแล้วนะครับ”
   

“จริงสินะ” คนพูดเงียบไปราวกับกำลังนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา “พี่ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งได้ฟังเสียงดีเจประจำเมืองจัดรายการอยู่ไม่กี่วัน หรือเพราะคุยกันแทบทุกวันก็ไม่รู้ ยังไงก็ยินดีด้วยนะ”
   

“ขอบคุณครับ แล้วตอนนี้ทางนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”
   

“หมายถึงโรงพยาบาลหรือคน”


“เอาภาพรวมก่อน”
   

“ก็ตั้งแต่เห็นผลการวิจัยของนักศึกษาปริญญาโทคนนั้น อาจารย์สัญชัยก็สนับสนุนให้มีกิจกรรมดนตรีบำบัดในโรงพยาบาล แล้วคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ก็คือคุณลุงสุธีกับลูกชาย เดี๋ยวนี้คุณลุงมีเวทีให้นั่งสีไวโอลินแล้วนะ ส่วนผู้ป่วยในที่สนใจเข้าร่วมกลุ่มดนตรีบำบัด โรงพยาบาลก็จัดสถานที่ ช่วงเวลาแล้วก็อุปกรณ์ให้ ที่ร้านกาแฟก็ยังเป็นที่รวมตัวของบรรดาคนที่อยากจะขอเพลงกับสถานีวิทยุออนไลน์เหมือนเดิมก็เลยพาให้กาแฟขายดีไปด้วย”
   

“ดีจังเลยนะครับ”
   

“รอก็แต่เมื่อไรคนริเริ่มจะกลับมาดูผลงานตัวเอง”
   

“ถ้ามีโอกาสผมต้องกลับไปแน่ ๆ ครับ”
   

“พี่รายงานภาพรวมจบไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นรายงานเป็นรายคนบ้างนะ อยากฟังหรือเปล่า”
   

“ครับ” ประจำเมืองตอบอย่างไม่ลังเล
   

“พี่วากับยี่หวาสบายดี ตอนที่รู้ว่าปูไข่เสียยี่หวาแกก็ซึม แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมายิ้มได้ ส่วนฟาร์มกับพี่กันต์ก็ยังทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้าเหมือนเคย ทุกคนสบายดี จบแล้ว”
   

เสียงที่ปลายสายเงียบลงไปแล้ว ดูท่าทางว่าเขาจะหมดเรื่องพูดจริง ๆ ทั้งที่มีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงเลยสักนิด
   

“ล...แล้วพี่นพล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง”
   

“พี่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
   

คนพูดและคนฟังหยุดไปชั่วขณะ ต่างคนต่างเงียบเพื่อทบทวนความหมายของประโยคนั้นจนในที่สุดก็เป็นขวัญนพที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
   

“จะไม่ชวนหน่อยเหรอ”
   

“ช...ชวนอะไรครับ”
   

“ก็ชวนไปงานรับปริญญาไง”


“ผมคิดว่าพี่นพน่าจะยุ่ง ๆ” ประจำเมืองหลับตาลงชั่วอึดใจ สมองคิดใคร่ครวญหากแต่หัวใจกลับทำหน้าที่สั่งการให้ปากถามคำถามสั้น ๆ “มาไหมครับ”


“อยากให้พี่ไปหรือเปล่าล่ะ”


คำถามนั้นทำเอาร้อนวูบวาบราวกับมีบางอย่างกำลังแล่นริ้วไปทั่วใบหน้า มือขาวยกขึ้นเกาข้างแก้มเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร


“ถ้าพี่นพสะดวก...” ยังพูดไม่ทันจบคนที่ปลายสายก็ขัดขึ้น


“อยากให้ไปหรือไม่อยากให้ไป”


เป็นอีกครั้งที่หัวใจยังคงเป็นใหญ่ “อยากให้มาครับ”
   

จากการปล่อยให้หัวใจมีอำนาจเหนือสมองในวันนั้นก็ทำให้ประจำเมืองต้องคอยชะเง้อคอมองหาคนที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาร่วมงานรับพระราชทานปริญญาบัตรของตนเอง
   

“ไอ้เมือง มัวมองหาใครอยู่วะ พ่อกับแม่แกเดินไปโน่นแล้ว” ปาล์มที่วันนี้รับอาสาเป็นตากล้องกล่าวพร้อมกับใช้มือตบบ่าคนที่เอาแต่ยืดคอมองไปรอบ ๆ
   

“เออ ๆ รู้แล้ว” พูดจบเจ้าของร่างสูงที่คลุมทับด้วยชุดครุยสีดำก็เร่งฝีเท้าเดินตามพ่อกับแม่กระทั่งไปหยุดยืนที่หน้าป้ายคณะดุริยางคศาสตร์
   

“เมืองยืนตรงกลางเลย” ปาล์มกดยิ้มมุมปากรู้สึกภูมิใจนิด ๆ ที่สามารถออกคำสั่งให้เพื่อนทำตามได้ “คุณพ่อกับคุณแม่ยืนชิด ๆ ท่านมหาบัณฑิตหน่อยนะครับ”
   

“เมือง ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า ดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย” ผู้เป็นแม่กระซิบถามลูกชายพลางเอื้อมมือขยับเนคไทให้
   

“ปละ...เปล่านี่ครับ” ชายหนุ่มยิ้มก่อนปล่อยให้แม่จัดคอเสื้อให้เข้าที่ ตายังคงกวาดมองไปท่ามกลางผู้คนมากมาย
   

“ผมนับหนึ่งถึงสามนะครับ คุณพ่อชิดหน่อยครับ พร้อมนะครับ” ตากล้องมือสมัครเล่นตะโกนแข่งกับเสียงอื้ออึงของผู้คนนับพัน เมื่อสิ้นเสียงนับก็รัวกดชัตเตอร์ก่อนจะตรวจดูภาพจากจอแอลซีดีเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ภาพที่ดีที่สุดอีกครั้ง 
   

ประจำเมืองมองตามพ่อกับแม่ที่เดินเข้าไปร่วมวงดูภาพจากกล้อง DSLR ของปาล์มพลางล้วงโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นออกจากกระเป๋า พลันนัยน์ตาก็ค่อย ๆ คลายความกังวลลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นทอประกายสดใสอีกครั้ง ชายหนุ่มกดรับสายกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุดแล้วจึงเงี่ยหูฟังว่าคนที่ปลายสายจะว่าอย่างไร


“เมือง พี่คงไปไม่ได้แล้วนะพอดีติดเคสสำคัญ คนไข้อาการไม่ค่อยดี ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ” น้ำเสียงจริงจังและติดจะเป็นกังวลหน่อย ๆ ทำให้คนฟังรู้ว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่น ดวงตาเคลือบแววแห่งความหวังวูบหม่นลงอีกครั้ง ตอบกลับด้วยถ้อยคำเรียบ ๆ ก่อนจะวางสายกันไป


“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”


...


อีกสองวันหลังจากนั้นโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ก็มีโอกาสได้ต้อนรับหนุ่มนักดนตรีอีกครั้ง เป็นวันที่ประจำเมืองอุตส่าห์หอบหิ้วเอาชุดครุยและปริญญาบัตรมาถ่ายภาพร่วมกับบรรดาหมอและพยาบาลที่เคยให้ความช่วยเหลือเมื่อครั้งเข้ามาเก็บข้อมูลทำวิจัย
   

“ยินดีด้วยนะ” กันตภัณถามขึ้นหลังจากที่ถ่ายภาพคู่กับมหาบัณฑิตป้ายแดงเรียบร้อยแล้ว
   

“ขอบคุณครับ”


“แล้วนี่ได้ถ่ายกับเจ้านพมันหรือยัง”


“ยังครับ ผมไม่ได้บอกเขาว่าจะมา” ประจำเมืองยิ้มแห้ง ๆ ถอดชุดครุยและรับกล้องดิจิทัลคืนจากนายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์
   

“อืม ตอนนี้อาจจะหาตัวยากหน่อยเพราะอาคารหลังเก่ากำลังปรับปรุง ห้องหนังสือก็เลยถูกปิดชั่วคราว ถ้าไม่ไปปลีกวิเวกอยู่ที่สวนสุขภาพก็คงไปที่สะพานปลานั่นแหละ” นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งกล่าวพลางปรายตามองเจ้าของร่างผอมบางที่กำลังล้วงบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อกาวน์


“ถ้าเจอละก็ พี่ฝากไอ้นี่คืนให้นพด้วยนะ”
   

“ไม้เคาะรีเฟล็กซ์? แล้วมาอยู่กับแกได้ยังไงวะ” กันตภณยื่นหน้าเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็น
   

“พี่วาฝากมาคืนน่ะสิ ถ้ายี่หวาไม่แอบเอาไปเล่นก็คงเป็นนพที่ไปลืมไว้ที่หอผู้ป่วยเด็ก”
   

“แล้วทำไมต้องฝากเมืองไปคืนด้วยล่ะ ทำไมแกไม่เอาไปคืนเจ้านพมันเอง”
   

“เดี๋ยวน้องเมืองก็ต้องไปเจอกับนพอยู่แล้ว ใช่ไหมน้องเมือง” ว่าพลางขยิบตาให้คนอายุน้อยที่สุด จนอีกคนยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
   

“ทำไมแกแน่ใจแบบนั้น” คุณหมอร่างสูงหรี่ตามองด้วยความรู้สึกไม่ไว้ใจ


ณรงค์ฤทธิ์ไม่ตอบแต่กลับยัดอุปกรณ์ที่มีด้ามจับเป็นโลหะปลายด้านหนึ่งบานออกคล้ายรูปหยดน้ำส่วนปลายอีกด้านเป็นแท่งยางทรงสามเหลี่ยมใส่ในมือหนุ่มนักดนตรี เมื่อเห็นเพื่อนทำตัวมีพิรุธ กันตภณจึงใช้แขนรัดเข้าที่ลำคอระหงจนคนถูกกระทำค้อนขวับอย่างขัดใจ


ศัลยแพทย์หน้าสวยพยายามขืนตัวแต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงไหว อยากจะเฉลยให้รู้อยู่เหมือนกันว่า ‘ก็เพราะเขาตั้งใจมาหากันยังไงก็ต้องเจอ’ แต่นึกหมั่นไส้คนอยากรู้อยากเห็นจึงตอบกลับด้วยถ้อยคำที่พาให้คนฟังยิ่งคันหัวใจ “ไม่รู้สักเรื่องได้ไหม”
   

“นี่ถามดี ๆ นะ”


“ฉันก็ตอบแกดี ๆ ไอ้กันต์ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย ฉ...ฉัน หายใจ ม...ไม่ออก” ท้ายประโยคนั้นติด ๆ ขัด ๆ เพราะแขนแกร่งที่แกะเท่าไรก็ไม่ยอมคลายออกสักที
   

“พี่ไปก่อนนะเมือง มีเรื่องต้องเคลียร์กับไอ้ฟาร์มหมาสักหน่อย” ว่าแล้วนายแพทย์กันต์ภณก็รั้งตัวเพื่อนสนิทที่กำลังคิดขัดขืนให้เดินตาม
   

“อะไรวะ ฉันไม่มีอะไรต้องเคลียร์กับแก แล้วนี่จะไปไหน”
   

“อยากกินกาแฟ” คนตัวใหญ่กว่าตอบห้วน ๆ
   

“แกอยากกินแกก็ไปคนเดียวสิ ฉันไม่ได้อยากกินด้วย”
   

“ต้องกับไอ้หมีขั้วโลกนั่นหรือไงถึงจะอยากกิน” ขายาวยังคงก้าวฉับ ๆ เดินรัดสวนหย่อมมุ่งหน้าสู่ร้านกาแฟใต้ตึกซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล
   

“แกพูดถึงใครวะ”
   

“ก็ไอ้คนที่แกนั่งกินข้าวด้วยที่โรงอาหารเมื่อตอนเช้านั่นไง” พูดพลางผลักประตูกระจกก่อนจะพากันถูลู่ถูกังเข้าไปด้านใน เมื่อได้ที่เหมาะ ๆ ซึ่งเป็นโต๊ะแบบเคาน์เตอร์หันหน้าเข้าหาผนังกระจกกันตภณจึงคลายวงแขนปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ “นั่งอยู่นี่ห้ามไปไหนนะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก”
   

ณรงค์ฤทธิ์ยกมือก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่อย่างไม่สบอารมณ์นักในขณะที่ตาคู่สวยจ้องเขม็งไปยังแผ่นหลังกว้างของคนที่เดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไปด้วย แม้อีกฝ่ายจะปฏิบัติและพูดจาขวานผ่าซากเป็นปกติ หากแต่ครั้งนี้ความจริงจังในแววตากลับทำให้รู้สึกหวาดเกรงพิกล ชายหนุ่มถอนใจเฮือกมองตามร่างสูงที่เดินกลับมานั่งลงทางฝั่งขวามือของตนเองเห็นไม่พูดอะไรสักทีก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องจึงถามถึงเรื่องที่เขากล่าวค้างเอาไว้เมื่อครู่
   

“แกมีอะไรจะคุยกับฉัน”
   

“ไอ้หนุ่มนั่นมันเป็นใคร”
   

“หนุ่มไหน”
   

“ก็คนที่นั่งกินโจ๊กกับแกเมื่อเช้าที่ตลาดนั่นไง ใช่คนที่ขอเพลงให้แกหรือเปล่า”
   

“เขาเป็นหมอศัลย์ เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพฯ” ตอบอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเมื่อเช้าฉันกินข้าวที่ตลาด แกเพิ่งออกเวรเมื่อตอนตีห้าไม่ใช่เหรอ”
   

“ก...ก็...เดินผ่าน เออใช่ เดินผ่าน”
   

“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะไปไหนไกลจากโรงพยาบาลเกินรัศมีห้าร้อยเมตร”
   

“หิว ก็เลยไปหาอะไรกิน” กันตภณตอบด้วยถ้อยคำห้วน ๆ เพื่อตัดรำคาญ ในขณะที่นายแพทย์ณรงฤทธิ์เองก็ได้แต่พยักหน้าส่ง ๆ ก่อนจะเบนสายตามองออกไปนอกผนังกระจก รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตั้งใจตามดูอย่างแน่นอน
   

“มาแล้วค่ะ ลาเต้ร้อนกับแซนด์วิชของหมอกันต์” เจ้าของร้านกล่าวเสียงแจ๋วก่อนจะวางถ้วยกาแฟกับกล่องใส่แซนวิชลงบนโต๊ะแล้วก้มหน้าก้มตาควานหาบางอย่างในกระเป๋าหน้าท้องผ้ากันเปื้อน “ส่วนนี่ของหมอฟาร์มค่ะ” พูดจบก็ส่งกระดาษแผ่นเล็กกับปากกาให้
   

“อะไรเหรอครับ” เป็นกันตภณที่ชิงถามขึ้นก่อนด้วยความสงสัย
   

“เอาไว้เขียนขอเพลงค่ะ เห็นขอบ๊อยบ่อย ตั้งแต่มีสถานีวิทยุของโรงพยาบาลพี่ก็เปิดทุกวันรอฟังว่าหมอฟาร์มขอเพลงให้ใครแต่ก็ยังไม่เคยได้ยินดีเจพูดถึงสักที มีแต่คนขอเพลงให้หมอฟาร์ม หรือพี่พลาดตอนไหนไปก็ไม่รู้”
   

“อ...เอ้อ...ขอบคุณครับ” เจ้าของชื่อยิ้มแหย ๆ ก่อนจะรับมาแล้ววางลงบนโต๊ะ รีบลากมันไปไว้อีกทางเพื่อให้ห่างจากสายตาของคนขี้สงสัยที่นั่งข้างกัน
   

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินกลับไปประจำที่ของตนเอง
   

ตาคมมองตามร่างเล็กที่เดินห่างออกไปก่อนจะเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็งราวกับกำลังค้นหาคำตอบของบางคำถามจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน
   

“มองไรวะ”
   

“แกมีอะไรปิดบังฉันอยู่หรือเปล่า”
   

“ทำไมต้องทำเสียงเครียดด้วย” ณรงค์ฤทธิ์พึมพำแต่ไม่ยอมสบตาคนถาม
   

“เราเป็นเพื่อนกันจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย ทำไมมีอะไรไม่บอก”
   

“จะให้บอกว่าอะไร” ชักเริ่มอึดอัดเมื่อวันนี้กันตภณดูไม่เหมือนกันตภณที่เขารู้จัก
   

“ก็บอกมาว่าแกแอบชอบใครอยู่ไง”
   

คนฟังกำปากกาแน่นพร้อมกับถอนใจเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังจะจนมุม
   

“พูดออกมาสิ ฉันจะได้รู้ว่าฉันควรจะทำยังไงต่อไป” ท้ายประโยคบางเบาจนคนพูดเองก็ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรออกไปกันแน่
   

“แกหมายความว่ายังไง”
   

“ก...ก็...” ตาทอดมองสองมือที่อังอยู่กับถ้วยกาแฟ สังเกตได้ว่ามันสั่นนิด ๆ
   

“ว่ายังไงล่ะ”


นายแพทย์กันตภณเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถามแต่แล้วก็จำต้องเสมองทางอื่น กระนั้นหูก็ยังได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ
   

“เพราะแกไม่พูดนี่ไง ฉันถึงต้องขอเพลงให้ตัวเอง”
   

ประโยคนั้นทำเอาคนที่กำลังหนีหน้าถึงกับหันขวับ “แกว่ายังไงนะ”
   

“แกอยากร็ไม่ใช่เหรอว่าใครเป็นคนขอเพลงพวกนั้นให้ฉัน ฉันก็บอกอยู่นี่ไงฉันขอมันให้ตัวเอง”
   

“ทำแบบนั้นทำไม” แม้พอจะคาดเดาคำตอบได้แต่ก็อยากจะถามให้แน่ใจ
   

“ก็แค่อยากรู้ว่าถ้าทำแบบนี้แล้วใครบางคนจะรู้สึกอะไรบ้างไหม”
   

“แก...ไอ้ฟาร์ม! แกหรอกฉันเหรอ” ว่าแล้วก็วาดแขนรั้งคอตัวการที่ทำให้หัวปั่นเข้ามาใกล้ ๆ หากแต่ครั้งนี้แรงที่ใช้กลับน้อยลงกว่าครั้งก่อน ๆ เป็นไหน ๆ
   

“แกกับนพก็ไม่ได้ต่างกันเลย พวกปากหนัก รู้ตัวช้า โดยเฉพาะแก...ทำเป็นเก่งไปเที่ยวแนะนำชาวบ้านเขา” ณรงค์ฤทธิ์เงยหน้าขึ้นสู้สายตาของเจ้าของใบหน้าที่ห่างกันเพียงคืบ


“ฉันขอเถียงเรื่องรู้ตัวช้า เพราะฉันรู้ตัวว่าชอบแกมาตั้งนานแล้วต่างหาก” พลันรอยยิ้มก็จุดที่มุมปาก แขนที่เคยพาดอยู่กับบ่าเล็กค่อย ๆ เลื่อนลงมาโอบรัดรอบเอวคอดก่อนจะกระซิบ “ส่วนที่ว่าฉันปากหนัก แกยังไม่เคยพิสูจน์ทำไมด่วนสรุปนัก”


“ฟังแล้วขนลุกว่ะ ออกไปห่าง ๆ เลย” หมอฟาร์มใช้มือดันแผงอกที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามก่อนจะเบือนหน้าหนี ยอมรับว่าตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาก็แตะเนื้อต้องตัวกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่สัมผัสในวันนี้กลับดูไม่ค่อยจะปกตินั่นเพราะต่างคนต่างได้เปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อกันออกไป


แต่กันตภณแล้วยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งณรงค์ฤทธิ์พยายามปัดป้องหรือออกห่าง กันตภณก็ไม่ละความพยายามที่จะขยับตามเข้าไปใกล้


“แกจะทำอะไรของแก”


“จะหยิบกระดาษกับปากกา” พูดจบก็โถมตัวเข้าหาก่อนจะใช้อีกมือเอื้อมหยิบกระดาษกับปากกาที่อีกฝ่ายเลื่อนไปไว้เสียไกล แต่แทนที่จะได้แล้วจะรีบรั้งมาตรงหน้ากลับค้างอยู่อย่างนั้นราวกับจงใจให้คนตัวเล็กกว่าตกอยู่ในวงล้อมของอ้อมแขนอุ่น


“รีบ ๆ เอาไปสักที”


กันตภณยิ้มน้อย ๆ จ้องมองแก้มขาวของเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งตัวลีบ เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีสายตาคู่ไหนพุ่งความสนใจมาทางนี้จึงกดปลายจมูกลงบนเนื้อนิ่มพร้อมกับสูดกลิ่นหอมเข้าเต็มปอดแล้วรีบผละออกทำลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ไอ้กันต์!” หมอฟาร์มเค้นเสียงรอดไรฟันยกมือขึ้นถูแก้มตัวเอง “แกมันชั่วร้ายที่สุด”


“ก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีแล้วมาชอบทำไม” ยิ้มหวานของกันตภณเล่นเอาคนมองหน้าแดงจนถึงใบหูชนิดแยกไม่ออกเลยว่าที่เป็นเช่นเพราะโกรธหรือว่าเขินกันแน่ แต่นั่นก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคุณหมอหนุ่มที่ดูจะอารมณ์ดีเสียเต็มประดา  “เขียนขอเพลงดีกว่า”


“ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบฉันจะไม่บอกอะไรแกทั้งนั้น” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์บ่นกับตัวเอง


“ไม่ทันแล้ว” พูดจบก็เขียนข้อความบางอย่างลงในกระดาษ


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

“และก่อนที่จะจากกันไปในค่ำคืนนี้นะครับ เรามาอ่านข้อความสุดท้ายจากมิวสิคบ็อกซ์กันดีกว่าครับน้องส้ม”


“ได้ค่ะพี่ยักษ์ เอาข้อความนี้ก็แล้วกัน” เสียงหวานของนักจัดรายการวิทยุมือสมัครเล่นเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “เพลงนี้มอบให้กับหมอฟ้าใสจากชายหนุ่มผู้เลี้ยงหมาในปากนะคะ ส้มอ่านไม่ผิดนะคะท่านผู้ฟัง เขาเขียนมาแบบนี้จริง ๆ และเพลงที่ขอก็คือเพลงเธอเป็นแฟนฉันแล้ว ไปฟังกันเลยค่ะ”


ประจำเมืองคลี่ยิ้มเมื่อเสียงเพลงสุดท้ายเงียบลง มือขาวยกขึ้นดึงเอียร์บัดออกจากหู นัยน์ตาทอประกายทอดมองไปในความมืด เสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งทำให้รู้ว่าตรงหน้านั้นคือทะเล ในความเวิ้งว้างมีเพียงแสงไฟจากเรือประมงซึ่งลอยลำอยู่ไกลออกไปที่พอจะช่วยไล่ความน่ากลัวของท้องทะเลในยามค่ำคืนไปได้บ้าง ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองโทรศัพท์ในมือที่ปิดเสียงไว้เพิ่งเห็นว่ามีสายเรียกเข้าแต่เมื่อกำลังจะกดรับอีกฝั่งก็กดตัดสายไปเสียแล้ว ใจคิดจะโทรกลับแต่ก็ทำได้แค่คิดเมื่อเสียงของเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง


“จะมาทำไมไม่เห็นบอกกันเลย นี่ถ้าพี่ไม่เจอพี่กันต์ที่หอพักก็คงไม่รู้ว่าเรามา”


“ขอโทษครับ” คนถูกต่อว่ารีบลุกขึ้น “ผมแวะไปหาพี่ยักษ์กับพี่ส้มที่สถานี คุยกันเพลินไปหน่อย เห็นว่าค่ำแล้วก็เลยไม่ได้โทรหา คิดว่าพี่นพคงกลับไปแล้วเลยกะว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”


“กลับแล้วก็มาได้”


“ครับ”


“กลับกรุงเทพฯ คืนนี้เลยหรือเปล่า”


“ไม่ครับ วันนี้ผมค้างที่บ้านก้อง”


ขวัญนพพยักหน้าพลางสบตาคนตรงหน้า ต่างคนต่างไม่พูดอะไรจนในที่สุดประจำเมืองก็ทำลายความเงียบด้วยคำถามหนึ่ง


“ไปเดินเล่นกันไหมครับ ผมอยากไปสะพานปลา ไอ้ก้องมันโม้ให้ฟังว่าถ้าโชคดีอาจจะได้เห็นน้ำทะเลเปลี่ยนสี”


“จริงสินะ ช่วงนี้ฝนตกหนักติดต่อกัน แต่วันนี้แดดออกอาจจะเห็นก็ได้”


“พี่นพเคยเห็นแล้วเหรอครับ”


“พี่ไม่เคยเห็นหรอก แค่ได้ยินคนอื่นเขาพูดกันน่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นไปกันเลยนะครับ” หนุ่มนักคนตรีกล่าวด้วยความตื่นเต้น


สองคนพากันเดินไปตามชายหาดกระทั่งถึงคอสะพานคอนกรีตที่ทอดตัวสู่ทะเล แม้ความมืดจะทำให้มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด แต่ประจำเมืองก็ยังคงยืนยันว่าจะไปให้ได้เมื่อคุณหมอผู้เป็นเจ้าถิ่นหันกลับมาถามให้แน่ใจอีกครั้ง และเมื่อกำลังจะก้าวเท้าเดินต่อ เสียงของหนูน้อยในชุดนักเรียนก็ทำให้ทั้งคู่ต้องชะงัก


“พี่ครับ ช่วยซื้อดอกไม้จากสวนของผมหน่อยนะครับ เหลือดอกสุดท้ายพอดี”


“ดอกละเท่าไรครับ” ขวัญนพถามพลางดึงกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋าด้านหลังกางเกง


“ดอกละยี่สิบบาทครับ”


ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับเปิดกระเป๋าหยิบธนบัตรเท่ากับจำนวนที่ได้ยินเมื่อสักครู่แล้วส่งให้ก่อนจะรับกุหลาบสีแดงสดจากมือเด็กชายที่เมื่อพอได้เงินแล้วก็วิ่งหายไปทันที


“ไปกันเถอะ” อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองกล่าวก่อนจะเริ่มเดินอีกครั้ง


โคมไฟปลายเสาที่ตั้งเรียงรายขนานชายหาดทำให้พอจะมองเห็นเรือประมงลำเล็กที่เกยตื้นอยู่บนผืนทราย เสียงโครมครืนของคลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่โถมซัดเข้าหาแนวโขดหินดำทมึนให้ความรู้สึกน่ากลัวยิ่งนักสำหรับผู้ที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกอย่างประจำเมือง ยิ่งเดินห่างจากฝั่งยิ่งเหมือนตกอยู่ในวงล้อมของความมืดมิด ไม่รู้ว่าสะพานนี้จะยาวไปถึงไหน มองไม่เห็นเลยว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด กระนั้นก็ยังอุ่นใจอยู่บ้างเมื่อปลายจมูกได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของกุหลาบดอกโตในมือของคนที่เดินข้างกันเจืออยู่ในกระแสลม


“มันจะยาวไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิกเลยหรือเปล่าครับ” ประจำเมืองพูดติดตลกหวังจะพังกำแพงความเงียบที่กั้นกลางระหว่างสองคนลง และมันก็ได้ผลเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาจากคนข้าง ๆ


“ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ถ้ามันยาวไปถึงนั่นจริง จะยังเดินไปด้วยกันอยู่หรือเปล่า”


“ไปสิครับ ผมบอกแล้วว่าจะไป ยังไงก็ต้องไปให้ถึง” หนุ่มนักดนตรีกล่าวอย่างหนักแน่น


สองคนคุยกันไปกระทั่งไม่มีทางให้เดินต่อ ที่นั่นมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่หน้าต่างห้องเครื่องของเรือประมงลำใหญ่ซึ่งทอดสมออยู่ถัดไปไม่ไกลที่พอจะทำให้เห็นหน้ากันได้บ้าง ประจำเมืองและขวัญนพเดินไปหยุดที่คันกั้นซึ่งสูงจากพื้นไม่ถึงเข่า ต่างคนต่างยืนกันคนละมุมหากแต่สายตากลับจับจ้องไปยังทิศเดียวกัน นั่นคือตรงเส้นขอบฟ้าที่มองเห็นแสงสว่างเรียงรายอยู่ลิบ ๆ ยากจะคาดเดาได้ว่าไกลสุดสายตานั้นคือแผ่นดินหรืออะไรกันแน่ แต่นั่นยังไม่น่าสนใจเท่ากับบนผิวน้ำที่เต็มไปด้วยริ้วสีน้ำเงินที่ดูคล้ายกับประกายไฟแต้มอยู่บนสันคลื่น 


เมื่อหันไปเห็นว่าบริเวณสุดปลายสะพานด้านหนึ่งเปิดเป็นช่องมีบันไดทอดลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ประจำเมืองจึงเดินไปนั่งที่ลงที่บันไดขั้นบนสุด มองดูเกลียวคลื่นที่ซัดกระแทกเสาคอนกรีตเป็นระยะ ๆ บางครั้งก็เบาแต่บางครั้งก็หนักเสียจนละอองน้ำกระเซ็นกระทบผิวหน้า ที่โคนเสาเกิดกระแสน้ำเจือสีน้ำเงินเรืองแสงผุดพรายกระจายไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มทราบดีว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในน้ำทะเลมีแพลงก์ตอนพืชอยู่เป็นจำนวนมากเป็นเกร็ดความรู้ที่อ่านเจอในนิตยสารท่องเที่ยว ที่สำคัญเขาพอจะได้เห็นภาพเหล่านี้มาบ้างแล้วแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับการได้สัมผัสด้วยตาอย่างที่กำลังทำอยู่


“สวยจัง พี่นพมาดูเร็ว”


เมื่อได้ยินเสียงเรียก ขวัญนพจึงก้าวลงไปนั่งเคียงกัน คุณหมอกดปลายนิ้วดันแว่นสายตาให้เข้าที่เพื่อจะได้มองภาพนั้นให้ชัด อดคิดไม่ได้ว่าทั้งที่ตนเองก็ทำงานที่นี่มาตั้งหลายปีแต่ก็ไม่เคยได้มาเห็นภาพน้ำทะเลเรืองแสงด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง อย่างดีก็แค่ฟังจากที่คนอื่นเล่าเท่านั้น


“สวยจริง ๆ ด้วย”


ความงามของธรรมชาติที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ต่างคนต่างลืมเรื่องที่จะพูดไปเสียสนิท จนเมื่อคลื่นลมเริ่มสงบ ประจำเมืองจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับดึงของสำคัญออกจากกระเป๋ากางเกงส่งคืนให้เจ้าของ


“พี่ฟาร์มฝากมาคืนครับ ให้บอกพี่นพว่าพี่วาฝากมาอีกที”


“ที่แท้ก็อยู่กับพี่วาเองหรอกเหรอ พี่คิดว่าไปทำหล่นไว้ตรงไหนเสียอีก” กล่าวพลางรับอาวุธประจำกายคืนจากอีกฝ่าย


“เป็นอายุรแพทย์ระบบประสาทฯ แต่ลืมเครื่องมือสำคัญได้ยังไงกันครับ”


“สงสัยมัวเล่นกับยี่หวาเพลินน่ะ ขอบคุณมากนะที่เอามาให้”


“ไม่เป็นไรครับ” ประจำเมืองกล่าว ตายังคงมองของในมือคนข้าง ๆ อย่างสนใจ “ว่าแต่มันเอาไว้ทำอะไรเหรอครับ”


“เอาไว้สำหรับทดสอบการรับสัมผัสของเส้นประสาทในกล้ามเนื้อน่ะ อย่างเช่นไบเซปส์ รีเฟล็กซ์ อืม...ลองนั่งตัวตรง ๆ นะ” พูดจบขวัญนพก็วางดอกไม้ในมือลงแล้วเริ่มสาธิตโดยการขยับเข้าใกล้แล้วรั้งแขนของประจำเมืองขึ้น จัดท่าให้เหมือนที่ทำกับคนไข้ คือทำให้ข้อศอกอยู่ห่างจากลำตัวของคนไข้เล็กน้อย จากนั้นจึงให้คนไข้ทิ้งน้ำหนักแขนตามสบายพาดไปกับหน้าขา จากนั้นคุณหมอก็ใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่ข้อพับเพื่อคลำหาจนพบเส้นเอ็น


“ไม่ต้องเกร็งนะครับ”


แทนที่จะเคาะลงที่ข้อพับตรง ๆ อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองกลับใช้ไม้เคาะรีเฟล็กซ์เคาะลงบนนิ้วหัวแม่มือของตนเองแต่มันกลับทำให้ที่ปลายมือของคนที่กำลังสมมติตัวเองเป็นคนไข้กระตุก


“เป็นยังไงบ้างครับ”


“ปกติดี” คุณหมอตอบเพียงสั้น ๆ


“แบบนี้นี่เอง ผมลองบ้าง” ว่าแล้วก็คว้าไม้เคาะจากมือของอีกฝ่ายก่อนจะทำท่าจริงจังเลียนแบบ “ปล่อยแขนตามสบายนะครับ”


ขวัญนพพยักหน้าพลางมองทุกกริยาอาการของคนอายุน้อยกว่าอย่างเอ็นดู สิ่งที่ประจำเมืองทำนั้นไม่ได้ถูกต้องตามหลักการเลยสักนิด แต่ก็มองเพลินจนกระทั่งเสร็จสิ้นกระบวนการทดสอบ


“เป็นยังไง”


หนุ่มนักดนตรีกระแอมเบา ๆ ก่อนจะวางหน้าขรึม “มีการตอบสนองที่ดี”


คุณหมอตัวจริงโคลงหัวน้อย ๆ อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะรู้ไหมหนอว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นพาให้คนมองพลอยยิ้มตามไปด้วย


“ถ้าไม้เคาะนี่สะท้อนความรู้สึกของคนเราได้ก็คงดีนะครับ” ปากพูดไปตาก็มองอุปกรณ์การแพทย์ที่อยู่ในมือไปด้วย


“ยังไงเหรอ” ขวัญนพเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย


“ก็แบบนี้ไง” หยุดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะจับที่แขนของคนถามแล้วจัดท่าให้เหมือนเมื่อสักครู่ จากนั้นก็กดนิ้วหัวแม่มือลงบนข้อพับพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “พี่นพชอบผมใช่ไหมครับ” จากนั้นจึงเคาะปลายไม้ลงบนนิ้วของตนเอง ทันทีที่เห็นปลายมือของคุณหมอขยับรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็จุดขึ้นที่มุมปาก กระนั้นก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมาสบตากัน


ขวัญนพละสายตาจากใบเสี้ยวหน้าอาบแสงสีนวลของไฟตะเกียงเมื่อประจำเมืองถามซ้ำอีกครั้ง นัยน์ตาคมมองไปยังมือที่กระตุกขึ้นทันทีที่แท่งยางติดปลายด้ามจับซึ่งทำด้วยโลหะกระแทกลงบนนิ้วหัวแม่มือที่กดอยู่กับข้อพับของตนเอง มันกระตุกเป็นครั้งที่สองพร้อม ๆ กับการบีบตัวเป็นจังหวะกระชั้นของก้อนเนื้อในอกด้านซ้าย ไม่ใช่แค่เส้นประสาทที่ตอบสนอง หัวใจ...ก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน


นายแพทย์หนุ่มนิ่งงันไม่คิดว่าจะถูกจู่โจมด้วยคำถามที่เขาก็เพิ่งหาคำตอบให้กับตัวเองได้ไม่นาน ในหัวแว่วเสียงซ้ำ ๆ ว่าจากนี้ควรจะพูดหรือทำอย่างไรดี แต่แล้วถ้อยคำที่พรั่งพรูออกจากปากของอีกคนก็เรียกสติที่กำลังล่องลอยไปไกลให้กลับคืนมาอีกครั้ง


“ถ้ามันพูดยากขนาดนั้น ก็ให้เส้นประสาทในกล้ามเนื้อไบเซปส์ของพี่พูดกับผมดีไหมครับ” ประจำเมืองเงยหน้าขึ้นสบตาคุณหมอที่ยังคงเอาแต่เงียบ ความเงียบงันนั้นมีผลให้ทะเลแสนกว้างใหญ่กลายเป็นดั่งห้องแคบ ๆ ที่ขังคนสองคนเอาไว้ในทันที “ถ้าถามผมว่าผมทำแบบนี้ไปทำไม ผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเหมือนกัน หรือที่จริงแล้วผมก็แค่อยากจะมั่นใจ...”


ชายหนุ่มหยุดไว้เพียงแค่นั้น น่าแปลกเหลือเกินที่คำพูดของตนเองกลับทำให้รู้สึกเจ็บที่กลางอก กระนั้นประจำเมืองก็ยังฝืนยิ้มขื่น ๆ “ตอบหน่อยได้ไหมครับว่ามาทำดีกับผมทำไมครับ รู้หรือเปล่าว่ามันกำลังทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเอง” ปากบางเม้มปากแน่น ใช้เวลาตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง


“ขอโทษครับ ที่จริงผมควรจะเชื่อคำพูดของพี่ที่พูดกับเพื่อนของผมในวันนั้น ผมผิดเอง...ทั้งที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังอยากจะทดสอบอะไรบ้า ๆ” กล่าวพลางวางไม้เคาะรีเฟล็กซ์ลงบนมือใหญ่แล้วจึงลุกขึ้นเดินกลับขึ้นมาบนสะพานคอนกรีต


“ผมว่าเรากลับกันดีกว่า”


“เดี๋ยวก่อนสิ” คนที่รีบลุกตามมาขัดขึ้น “พี่ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับมหาบัณฑิตเลย” พูดพร้อมกับส่งดอกกุหลาบในมือให้


“ขอบคุณครับ” มือขาวรับกุหลาบไร้หนามดอกนั้นมาถือไว้ การทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของขวัญนพทำเอาเจ็บจุกยิ่งกว่าการเงียบของเขาเสียอีก


“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปงานรับปริญญาทั้งที่บอกว่าจะไปแท้ ๆ”


“ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้วละ พ่อก็มักจะเป็นแบบนี้ เพราะสำหรับหมอยังไงชีวิตคนไข้ก็ต้องสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง” ประจำเมืองกล่าวก่อนจะหันหลังให้ ตอนนี้นึกอยากจะไปให้ถึงชายหาดให้เร็วที่สุด แต่ก็ได้แค่คิด...เมื่อข้อมือถูกรั้งเอาไว้


“แล้วกลัวหรือเปล่าถ้าต้องมีแฟนเป็นหมอ โดยเฉพาะอายุรแพทย์ระบบประสาทฯ ที่พูดไม่เก่งเอาเสียเลย จนต้องให้เส้นประสาทในกล้ามเนื้อไบเซปส์ช่วยพูดแทน”


คนฟังชาไปทั้งตัวหากแต่ที่ใบหน้ากลับร้อนวูบวาบ ถ้าเปรียบแล้วคำถามนั้นคงมีอานุภาพเทียบเท่ากับระเบิด เป็นระเบิดที่กำลังทำลายกำแพงความรู้สึกที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นห่อหุ้มหัวใจซึ่งยังไม่เสร็จดีเสียซ้ำ ประจำเมืองไม่ตอบแม้จะรู้แก่ใจว่าที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ล้วนด้วยฝีมือของตนเองและคำแนะนำของณรงค์ฤทธิ์ทั้งนั้น


“ก่อเรื่องไว้แล้วคิดจะหนีดื้อ ๆ แบบนี้น่ะเหรอ”


“ผมไม่ได้ก่อเรื่อง”


“ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนใหม่” นายแพทย์ขวัญนพกดยิ้มมุมปากก่อนจะขยับมาขวางหน้าคนคิดหนีเอาไว้ “มาทดสอบความรู้สึกของพี่แล้วคิดจะทิ้งกันไปอย่างนี้เหรอ”


“ม...ไม่ได้ทิ้ง”


“ถ้าไม่ได้ทิ้งก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วฟังสิ่งที่พี่กำลังจะพูดสักหน่อยนะ”


ประจำเมืองเสมองไปทางอื่น เพิ่งคิดได้ว่าความยากไม่ได้อยู่ที่การทำให้อีกฝ่ายยอมพูด แต่ความยากอยู่ที่การต้องยืนต่อหน้าแล้วฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่างหาก เมื่อไม่มีทางหนีก็ขอยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อยก็แล้วกัน


“พ...พี่นพฟังเพลงไหม ผ...ผมแต่งเสร็จแล้วนะครับ” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า
ฟังประโยคนั้นจบนายแพทย์หนุ่มก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อย ๆ มองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเลื่อนหาเพลงบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ


“เป็นนักวิจัยแต่ทำไมไม่ยอมรับผลการทดลองของตัวเองนะ” ว่าแล้วก็ดึงโทรศัพท์จากมือเจ้าของ “ได้ฟังก็ได้ แต่ต้องฟังด้วยกันนะ” พูดจบก็จัดการเสียบเอียร์บัดข้างหนึ่งที่หูของตัวเอง ส่วนอีกข้างที่เหลือเสียบที่หูของอีกฝ่าย ก้มลงมองที่หน้าจอจึงเห็นว่ามีชื่อ ‘เพลงดาวทำนองคลื่น’ อยู่เพียงเพลงเดียว “เพลงนี้ใช่ไหม มีอยู่เพลงเดียวทำไมหานานจัง”
ขวัญนพเงยหน้าขึ้นในขณะที่ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอเพื่อเปิดโปรแกรมเล่นเพลงแล้วหย่อนโทรศัพท์มือถือของประจำเมืองลงในกระเป๋ากางเกง


“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อย สายมันสั้น” กล่าวพร้อมกับดึงสองแขนของคนอายุน้อยกว่าขึ้นพาดที่บ่าของตนเอง จากนั้นจึงเลื่อนสองมือลงประคองเอวสอบ ออกแรงนิดหน่อยก็สามารถรั้งตัวนักดนตรีหนุ่มที่ตอนนี้เหมือนถูกสาปจนกลายเป็นหินให้ขยับเข้ามาใกล้กันได้อย่างง่ายดาย นัยน์ตาสีเข้มทอดมองแก้มขึ้นสีที่เจ้าของพยายามเก็บซ่อนด้วยการหันไปทางอื่นราวกับไม่อยากเห็นหน้ากัน กระนั้นสองแขนกลับเกี่ยวรัดรอบลำคอของเขาไว้ไม่ยอมให้หลุดและนั่นก็ทำให้ขวัญนพค่อยยิ้มออก


สองคนยืนนิ่งฟังเสียงคลื่นลมในท่อนอินโทรกระทั่งโน้ตแถวแรกบนบรรทัดห้าเส้นดังขึ้นดวงตาสองคู่จึงได้กลับมาสบประสานกันอีกหน ขวัญนพยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าทำนองเพลงที่เคยได้ฟังบัดนี้กลับมีทั้งคำร้องเพิ่มขึ้นมา ถ้อยคำง่าย ๆ ถูกเรียงร้อยและถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงทุ้มนุ่มของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผสมผสานกันอย่างลงตัวกับเสียงกังวานหวานของเปียโน เป็นบทเพลงที่ให้ความรู้สึกไพเราะจับใจนัก


“เพราะจัง” กระซิบแทรกเสียงดนตรี


“ชอบหรือเปล่าครับ”


"หมายถึงเพลงหรือคนแต่งเพลง"


"ทั้งสองอย่าง"


"ชอบสิ ชอบมากด้วย โดยเฉพาะคนแต่งเพลง"


เจ้าของบทเพลงหลบลี้หนีจากสายตาหวานหยดด้วยการเสมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดมิด “เสียดายที่วันนี้ไม่มีดาวเลยสักดวง”


“ก็มีอยู่ดวงหนึ่งแล้วนี่ไง” ขวัญนพกล่าว เลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นประคองแก้มเย็นเฉียบเอาไว้พร้อมกับใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยวนเบา ๆ  “อยากรู้จังว่าประจำเมืองดวงนี้จะมาเป็นดาวประจำตัวของพี่ได้ไหม”


ไม่ถึงอึดใจคนอายุมากกว่าก็โน้มหน้าเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังปล่อยให้รอยยิ้มละไมตอบคำถามทั้งหมด ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งขยับใกล้เข้าทุกขณะ ตาคมจ้องริมฝีปากบางไม่วางตา มองเพลินจนไม่รู้ว่าแขนของอีกฝ่ายคลายออกจากคอแกร่งของตนเองตั้งแต่เมื่อไร รู้อีกทีก็ตอนที่เผลอกดจูบลงบนกลีบดอกสีแดงที่ประจำเมืองยกขึ้นมาบดบังริมฝีปากชวนหลงใหลนั้นเสียแล้ว


“เอาคืนได้ไหมเนี่ย” ขวัญนพพูดกลั้วหัวเราะพร้อมกับขยับเข้าใกล้จนหน้าผากชนหน้าผากในขณะที่ริมฝีปากยังถูกคั่นด้วยกุหลาบดอกโต


“ไม่ได้ครับ ให้แล้วห้ามเอาคืน” 


คนฟังวางหน้านิ่งแต่ในหัวครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไรกับเจ้าของรอยยิ้มน่ารัก จนในที่สุดขวัญนพก็เอ่ยขึ้น “ไม่เอาคืนก็ได้ แต่ขอเอาไปไว้ที่อื่นสักพักนะ”


ประจำเมืองเลิกคิ้วทันทีที่สังเกตเห็นแววเจ้าเล่ห์ในดวงตาของอีกฝ่าย ไม่ทันแม้แต่จะคิดขัดขืนมือขาวที่กำก้านยาวของกุหลาบก็ถูกรวบไปไว้ที่ด้านหลัง คางมนถูกจับให้เชิดขึ้นรับจุมพิตจากริมฝีปากที่ประกบลงมา พลันปลายลิ้นก็สัมผัสได้ถึงรสเค็มนิด ๆ แต่เพียงประเดี๋ยวเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นหวานหอมจนยากจะถอนตัว เอียร์บัดถูกขวัญนพดึงออกแล้วสอดลงในกระเป๋ากางเกง นั่นเพราะว่าเวลานี้คงไม่มีบทเพลงไหนไพเราะเท่ากับเพลงรักบทนี้ที่เขาทั้งคู่สัญญาว่าจะช่วยกันบรรเลง         



...จบ...


จบไปอีกหนึ่งเรื่องนะคะ

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับการติดตามค่ะ

และคนที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือน้อง leGGyDan ขอบคุณที่คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาจนเรื่องนี้สำเร็จลงได้ด้วยดี ขอบคุณนะคะ

คิดว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะเขียนในปีนี้ค่ะ

เรามีนิยายที่ยังไม่ได้รวมเล่ม 1 เรื่องยาว กับเรื่องสั้นอีก 1 ชุด อยากขอความเห็นจากผู้อ่านค่ะ

ว่าอยากให้รวมเล่มเรื่องไหนก่อน ถ้ามีเวลาว่าเราจะได้หยิบเรื่องนั้นขึ้นมาทำก่อน

โดยผู้อ่านสามารถแสดงความคิดเห็นได้ตามลิงก์นี้ http://goo.gl/forms/ebfE02RfhsS1aGGw1 ขอบคุณมากค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2016 00:28:58 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
งืออออ ไอ้กุหลาบบ้า ขอซื้อคืนด้วยคน~

ขอบ่นหมอฟ้าใสก่อน... โอ๊ยย อ้อยเค้ามาตั้งขนาดนี้ อะไรคือมาตายน้ำตื้นยอมแพ้หมอกันต์ได้ง่ายๆ ว้า~ สรุปที่ผ่านๆ มานั่นหมอกันต์ไม่ได้เคลื่อนที่ช้าเรื่องหัวใจ แค่มัวแต่ลีลาท่ามากสินะ เอาเถอะหมอกันต์หล่อ เราอภัยให้ทุกสิ่งอย่าง
 
หมอนพก็หนอออ หลอกเด็กได้เสมอค้นเสมอปลายดีจริงๆ ชิส์~ มันเขี้ยวเห็นละอยากให้น้องเมืองจับกดให้จบๆ ไป #ทีมเมืองนพ

ปล. ตกลงไอ้หมีขั้วโลกนั่นคือใคร

#บทที่7
#ตอนพิเศษ
#NC

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด