[เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] เพลงดาวทำนองคลื่น (จบ) 03-07-2559 หน้า 2  (อ่าน 17187 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2016 23:53:23 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
เพลงดาวทำนองคลื่น

เรื่องย่อ :
‘ประจำเมือง’ นักศึกษาปริญญาโทด้านดนตรีบำบัดต้องเข้าไปเก็บข้อมูลเพื่อทำวิทยานิพนธ์ที่โรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ที่นี่เขามีโอกาสได้พบกับ ‘ขวัญนพ’ อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมองผู้มีความมุ่งมั่นที่จากรักษาคนไข้ให้หายจากอาการเจ็บป่วย นอกจากหนังสือมากมายในห้องทำงานก็แทบจะไม่มีเวลาให้แก่ความสุนทรีย์ใด ๆ แต่แล้วการพบกันครั้งนี้ของพวกเขากลับเป็นเหมือนการเริ่มต้นจรดปลายนิ้วลงบนลิ่มนิ้วของเปียโนเกิดเป็นท่วงทำนองเพลงหวานแว่วคลอเคล้าไปกับเสียงคลื่นและเสียงลม 


เรื่องอื่น ๆ


สารบัญ

ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง
ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว
ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา
ตอนที่ 4 ส่งเพลงนี้คืนมาให้ฉันที
ตอนที่ 5 สักวัน...มันก็ผ่านไป
ตอนที่ 6 ดาวกับเม็ดทราย (จบ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2016 09:32:03 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 1 ความทรงจำสีจาง


ขายาวก้าวไปตามพื้นคอนกรีตที่ทอดจากถนนเลียบชายหาดสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ ท่ามกลางความมืดได้ยินเสียงคลื่นโถมซัดเข้าหาฝั่ง หลายต่อหลายครั้งที่เสียงโครมครืนนี้ได้ดึงเอาความกลัวแวบเข้ามาในความคิด กระนั้นแล้วสมองยังคงสั่งการให้เดินไปข้างหน้าทั้งที่ดวงตาแทบจะมองไม่เห็นปลายเท้าของตนเอง เงยหน้าขึ้นมองบนผืนฟ้าก็ไม่มีแม้แต่รัศมีของดวงดาวที่จะช่วยนำทาง ในยามนี้คงได้แต่อาศัยแนวขอบกั้นสีโพลนที่ก่อสูงขึ้นจากพื้นเกือบสองไม้บรรทัดเป็นเข็มทิศ ยกตำแหน่งเพื่อนร่วมทางให้แก่สายลมแรงที่กำลังพัดปะทะร่าง


เมื่อระยะทางเพิ่มขึ้นความเกรี้ยวกราดของท้องทะเลก็ค่อย ๆ จางลง  ระลอกสีนิลที่เคลื่อนซ้อนกันจนเกิดคลื่นลูกใหญ่บัดนี้กลายเป็นเพียงกระแสน้ำกระเพื่อมไหวไปตามแรงลมที่ทอดตัวลงหยอกเย้าเท่านั้น ยิ่งห่างจากจุดเริ่มต้นก็ยิ่งเหมือนกำลังเดินเข้าสู่อุโมงค์ทมึนที่ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดลงที่ใด

 
ก้าวแล้ว...ก้าวเล่า...


กระทั่งไม่มีทางให้ไปต่อร่างสูงจึงหยุดยืนที่ปลายสุดของสะพานคอนกรีตทอดตามองความเวิ้งว้างว่างเปล่าราวกับตกอยู่ในวงล้อมแห่งรัตติกาล ที่เห็นอยู่ริบ ๆ คือแสงจากไฟติดหัวเรือประมงนับสิบที่ทอดสมอยกตัวขึ้นลงตามจังหวะคลื่นเป็นเงาตะคุ่ม กลิ่นคาวเค็มของน้ำทะเลผสมกับกลิ่นชันยาเรือเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้ทุนปีสองไม่เคยนึกชอบใจเลยสักนิด แต่ชายหนุ่มกลับมักจะมาที่สะพานปลาแห่งนี้ทุกครั้งที่มีเรื่องให้ต้องขบคิด เป็นเช่นนี้นับแต่เริ่มการทำงานแพทย์ใช้ทุนเมื่อสองปีก่อน


ขวัญนพทรุดตัวลงนั่งปล่อยให้กระแสลมพาเอาไอทะเลปะทะเข้ากับผิวกายและหน้า เงี่ยหูฟังเสียงผืนธงติดปลายเสากระโดงเรือประมงที่ลอยลำอยู่ไม่ไกลกระพือพัดเกิดเป็นเสียงดังฟังน่ากลัวยิ่งนัก จะว่าไปทะเลยามนี้ไม่ต่างอะไรกับอารมณ์ของเขาที่แปรปรวนและรุ่มร้อนจนไม่รู้ว่าจะหาความสงบได้จากไหน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหญิงชราผู้ซึ่งเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการมีไข้สูงแบบเป็น ๆ หาย ๆ รวมถึงแขนขาอ่อนแรงและคลำพบก้อนแข็งบริเวณขาหนีบตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน


“จากอาการโดยรวมและผลจากการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจสอบแสดงให้เห็นว่าคนไข้เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองค่ะ และที่เห็นว่าระยะนี้คอบวมก็น่าจะเป็นผลมาจากโรคด้วยเช่นกัน”


นั่นเป็นประโยคที่ได้ยินแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคเลือดกล่าวกับลูกสาวของคุณยายมณีที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงติดริมหน้าต่างในห้องพักของโรงพยาบาลหลังจากศัลยแพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อบริเวณขาหนีบไปตรวจสอบ


“ร...ระยะไหนคะหมอ” ว่าแล้วคนพูดก็มองลอดกระจกบานเกล็ดเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งกินพื้นที่บริเวณปีกด้านหนึ่งของอาคาร ภายในเรียงรายไปด้วยเตียงผู้ป่วยซึ่งเข้ารับการรักษาด้วยอาการหนักเบาแตกต่างกัน


“ระยะที่สามค่ะ คุณยายอายุมากแล้ว หมอจะให้เคมีบำบัดที่ไม่แรงนักเพื่อชะลอการแพร่กระจายของมะเร็ง ในครั้งแรกก็คงจะต้องประเมินสถานการณ์ร่วมกันไปว่าคนไข้สามารถรับได้มากน้อยแค่ไหน เพราะคนไข้แต่ละรายมีอาการแพ้แตกต่างกัน หรือที่ไม่แพ้เลยก็มี”


คำพูดก่อนหน้าว่าทำให้คนฟังยากจะทำใจยอมรับได้แล้ว ที่ตามมาหลังจากนั้นกลับบั่นทอนกำลังใจยิ่งกว่าตอนแรกนัก สิ้นเสียงคุณหมอ มณีรัตน์ซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณยายมณีก็แทบยืนไม่อยู่ เธอกุมมือสามีเอาไว้แน่นพยายามตั้งสติฟังแพทย์เฉพาะทางอธิบายรายละเอียดของโรคและแนวทางการรักษาต่อไป


กว่าหกเดือนที่ภาพของหญิงสาวกับมารดาเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลกลายเป็นภาพชินตาของเหล่าบุคลากรของโรงพยาบาล ทั้งที่มาแบบนัดตรวจติดตามอาการตามปกติและการล้มป่วยชนิดปัจจุบันทันด่วน หลายครั้งที่คุณยายมาโรงพยาบาลด้วยอาการไข้ขึ้นสูง ต้องให้ยาฆ่าเชื้อเข้าทางเส้นเลือด และบ่อยครั้งที่เห็นมณีรัตน์ต้องเดินเลี่ยงออกมานั่งหลบมุมด้วยความสงสารผู้เป็นแม่


แม้จะไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญกับโรคร้ายแต่สภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คงพอทำให้หญิงชราวัยแปดสิบสองปีสามารถคาดเดาเอาเองได้ กระนั้นคุณยายมณีก็ยังมีกำลังดี เธอยังคงช่างพูดช่างคุยจนกลายเป็นขวัญใจชาววอร์ด ในขณะที่หลายคนก็แทบดูไม่ออกว่าคุณยายป่วยด้วยโรคชนิดใด ความผิดปกติที่แสดงให้เห็นภาพนอกก็เป็นเพียงแค่อาการบวมตามร่างกายเท่านั้น ซึ่งหลังจากการตรวจติดตามอาการครั้งสุดท้ายคุณยายก็ถูกนำตัวส่งโรงพยบาลอีกหนเนื่องขาทั้งสองข้างบวมจนไม่สามารถลุกขึ้นเดินเหินได้


“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับคุณยาย ถ่ายบ้างไหม” ขวัญนพกล่าวทักทายเมื่อเดินมาถึงเตียงคนไข้เตียงสุดท้ายในหอพักผู้ป่วย เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มประวัติที่เพิ่งรับจากพยาบาลซึ่งน่าจะอายุมากกว่าตนเองอยู่ไม่กี่ปีทอดตามองหญิงชราที่นั่งอยู่บนเตียง ดวงตาสีหม่นทอประกายอย่างคนมีความหวังในขณะที่ใบหน้ายับย่นยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย เธอหันหน้าไปทางหน้าต่าง ภาพที่เห็นคือท้องฟ้าสดใสตัดกับน้ำทะเลสีครามในยามสาย สวยงามราวกับภาพวาดราคาแพงแม้จะล้อมด้วยกรอบไม้ธรรมดาก็ตาม


“ถ่ายแล้วจ้ะหมอ” เจ้าของริมฝีปากแห้งผากหันมายิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นไขว้คว้าอากาศ ในที่สุดก็คว้าได้แขนแกร่งของคุณหมอที่ขยับเข้ามาใกล้ มือกร้านลูบคลำไปตามผิวเนื้อกระทั่งหยุดกุมมือของคนที่ยังคงยืนนิ่งพลางบีบเบา ๆ ก่อนจะปล่อยให้คุณหมอได้ทำหน้าที่ของตนเองเหมือนเคย ดังนั้นเจ้าของร่างสูงจึงจัดการวางแฟ้มประวัติลงที่ข้างเตียง เสียบสเตโทสโคปเข้ากับหูก่อนจะแตะปลายอีกด้านที่เป็นแผ่นไดอะแฟรมลงบนแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะย้ายมาด้านหน้าเพื่อฟังเสียงการทำงานของปอดและหัวใจ


“ยายนอนลงก่อนนะครับ” ว่าแล้วแพทย์ใช้ทุนปีที่สองก็รั้งหูฟังลงมาคล้องคอก่อนจะช่วยประคองผู้สูงอายุให้นอนลง “ยกแขนไหวไหมครับยาย ยกแขนให้ผมดูหน่อย”


“มันยกไม่ค่อยขึ้นน่ะหมอ ไม่ค่อยจะมีแรง” พูดจบคุณยายมณีก็พยายามยกแขนข้างขวาขึ้น ยกได้ไม่สุดก็จำต้องปล่อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก


“แล้วขาล่ะครับ”


“ขาก็เหมือนกัน”


คนถามพยักหน้าก่อนจะใช้มือหนึ่งจับที่ข้อพับอีกมือจับที่ข้อเท้ายกขาที่บัดนี้บวมเป่งเหมือนใกล้แตกให้ตั้งขึ้น เมื่อเทียบด้วยสายตาแล้วอีกข้างกลับดูซูบซีดกว่าอย่างเห็นได้ชัด ขวัญนพรั้งขาให้พับเข้าหาตัวคนนอนแล้วค่อย ๆ ปล่อยเหยียดตามสบาย ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง


“ต้องขยับบ้างนะครับยาย เดินไม่ไหวก็ต้องหมั่นยกแขนยกขา แขนขาเราจะได้มีกำลัง หรือถ้ายกไม่ไหวก็ให้ลูกสาวช่วยยกให้แบบนี้ แล้วข้าวละครับทานได้หรือเปล่า” ปากพูดไปมือก็รั้งขาข้างที่ดูลีบเล็กของคุณยายตั้งขึ้นแล้วจัดการทำเหมือนอีกข้าง


“ทานได้ วันนี้อร่อย” คนป่วยตอบด้วยรอยยิ้ม


“แล้วทุกวันไม่อร่อยเหรอครับ”


“ทุกวันก็อร่อย แต่วันนี้อร่อยกว่า”


ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะมองเลยไปยังถาดอาหาร ซึ่งก็เป็นอาหารแบบเดียวกับเมื่อวันก่อน รสชาติก็คงจืดชืดแบบที่นักโภชนาการพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม เขาดึงสายตากลับเมื่อพยาบาลสาวที่ยืนอยู่ที่อีกฟากของเตียงพูดขึ้น


“เมื่อวานก็เหมือนกับวันนี้นะคะยาย หรือว่าวันนี้รู้ว่าจะได้เจอหมอนพ ทานอะไรก็อร่อยไปหมด”


“น่าจะใช่จ้ะ” ผู้อาวุโสทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่


 “ทำไมอย่างนั้นล่ะครับยาย” ขวัญนพถามพลางหยุดมือ เลิกคิ้วหน้าเก้อ


“หมอนพรูปหล่อมาทีไรก็ชอบมาชวนยายคุย ยายนึกถึงแล้วมันเจริญอาหารจ้ะ”   


“อย่างนี้คงต้องให้คุณหมอขวัญพนมาตรวจทุกวันเสียแล้วสิคะคุณยาย” 


คำพูดนั้นทำเอาคนฟังออกอาการเขินไม่ใช่น้อย รีบคว้าแฟ้มประวัติคนไข้มาลงบันทึกการตรวจทำหูทวนลมกับคำพูดของอีกคนที่อยู่ไม่ไกลกัน


ทุก ๆ วันจะมีคนเข้าออกโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก ที่หอพักผู้ป่วยในเต็มไปด้วยคนป่วยที่นอนพักรักษาตัว เมื่อหายเป็นปกติแล้วแพทย์ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ดังนั้นเตียงที่ว่างลงจะถูกเตรียมเอาไว้ให้แก่คนอื่น ๆ จะมีก็แต่คุณยายมณีที่ยังคงอยู่ที่นี่ อาการของคุณยายค่อย ๆ ทรุดลง แต่ใบหน้าซีดเซียวก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนร่างกายที่ต่อสู้กับโรคร้ายมานานก็เริ่มไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาใด ๆ รับประทานอาหารไม่ได้จนต้องให้สารอาหารเข้าทางกระแสเลือด สภาพสะลืมสะลือเหมือนคนไม่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา


ดวงตาแฝงความกังวลของขวัญนพเฝ้ายังคงเฝ้ามองคุณหมอร่างเล็กที่กำลังตรวจดูอาการของหญิงชราที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ริมฝีปากแห้งผากขึ้นขุยเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำลายและไม่สามารถยิ้มให้ใคร ๆ ได้เหมือนเคย นั่นเป็นเพราะท่อช่วยหายใจที่เสียบคาเอาไว้ เปลือกตาปรือขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา หน้าอกยกขึ้นลงเป็นจังหวะหนัก ๆ แต่ห่าง คล้ายจะบอกให้รู้ว่าตนเองเหนื่อยเต็มทีกับการมีชีวิตอยู่ ที่แขนข้างหนึ่งยังคงคาเข็มสำหรับให้สารอาหารและยาทางกระแสเลือด ส่วนอีกข้างมีสายโยงขึ้นไปยังขวดน้ำเกลือซึ่งแขวนอยู่กับเสาอะลูมิเนียม ส่วนปลายนิ้วเสียบกับเครื่องวัดออกซิเจน ใต้เสื้อมีสายระโยงระยางเชื่อมกับเครื่องเฝ้าติดตามการทำงานของหัวใจและสัญญาณชีพที่อยู่ข้างเตียง


“หมอคิดว่าเราควรจะให้คุณยายท่านได้นอนสบาย ๆ นะคะ” เธอกล่าวกับญาติคนไข้ก่อนจะหันมาสบตาคุณหมอหนุ่มในชุดลำลองที่ขออนุญาตเข้ามาดูอาการของคุณยายมณีด้วย


ขวัญนพรู้ดีว่าคำพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่าจะไม่มีการกระตุ้นหัวใจหากผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่บรรดาลูกหลานที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้นเห็นด้วย มณีรัตน์กุมมือเย็นเฉียบเอาไว้แน่นก่อนจะโน้มตัวกระซิบที่ข้างหูของคุณผู้เป็นแม่ไม่ให้ต้องเป็นห่วงใด ๆ จากนั้นบทสวดมนต์จากหนังสือที่วางอยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้นบทแล้วบทเล่าจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของคุณยายมณีปลิดปลิวไปในอากาศและไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก


ชายหนุ่มก้มมองสองหมัดที่กำแน่นบนหน้าขา สายลมกระโชกแรงจนระลอกคลื่นซัดขึ้นมาถึงขอบสะพานจนละลองน้ำแตกกระเซ็นกระทบกับผิวเนื้อ ที่ฟ้าด้านหนึ่งปรากฏแสงแปลบปลาบเป็นสัญญาณว่าพายุกำลังจะมาในอีกไม่ช้า และเมื่อสายฝนโปรยปรายลงมาน้ำตาลูกผู้ชายก็รินไหลอาบทั้งสองแก้ม ในหัวยังคงปรากฏภาพของหญิงชราเจ้าของรอยยิ้มละไมที่โรคร้ายได้พรากเธอไปจากคนที่รักเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ป่านนี้ร่างของคุณยายมณีคงถูกนำไปเก็บไว้ในห้องสายลมเพื่อรอให้ญาติมารับกลับไปทำพิธีทางศาสนาในตอนเช้า


“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่รู้หรือไงว่าพายุกำลังจะมา”


เสียงตะโกนที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องครามครืนทำให้ขวัญนพต้องเหลียวกลับไปมองต้นเสียง ชายหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นก่อนจะหันกลับไปประจันหน้ากับคนพูดที่กำลังเดินอาด ๆ เข้ามา แต่แสงไฟจากปลายกระบอกไฟฉายที่สาดเข้าเต็มหน้าก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นกัน เมื่อเจ้าของเสียงมาหยุดอยู่ต่อหน้าพร้อมกับลดไฟฉายในมือลงจึงได้รู้ว่าเขาคือกันตภณแพทย์ใช้ทุนปีสุดท้ายนั่นเอง

 
“พี่กันต์”


“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อเช้าไม่ได้ฟังพยากรณ์อากาศหรือไงว่าคืนนี้พายุจะเข้า ออกเวรแล้วทำไมไม่กลับไปพักผ่อน แล้วก็บ่นกันจังว่าเวลาพักผ่อนมีน้อย”


ขวัญนพพยายามสบตาคนถาม แม้จะถูกขวางกั้นด้วยความมืดมิด แต่ก็ยังสามารถเห็นแววตาขึงขังนั้นได้ไม่ยาก ดังนั้นตัวเขาเองจึงเลือกที่ปิดปากให้สนิทไม่คิดคำแก้ตัวใด ๆ


“กลับได้แล้ว” ว่าแล้วเจ้าของไฟฉายก็สาดแสงสีนวลลงกระทบพื้น ทำท่าจะหมุนตัวกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะคำพูดของแพทย์ใช้ทุนรุ่นน้อง


“พี่กลับไปก่อนเถอะ ผมอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก”


“นายจะบ้าหรือไง เห็นอยู่ว่าพายุกำลังจะมา ขืนไม่รีบกลับเข้าฝั่ง มีหวัง ไม่โดนฟ้าผ่าก็คงถูกคลื่นซัดหายไปในทะเลแน่ แล้วไหนบอกว่าไม่ชอบทะเลไง ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้”


“ผมเคยคิดว่าทะเลโหดร้าย กลืนกินทั้งเรือประมง...กับผู้คนอีกมากมาย แต่ก็ยังดีที่ทะเลก็ยังส่งสัญญาณเตือนให้เราคอยรับมือ ผิดกับชีวิตคน ไม่มีสัญญาณอะไรบอกเลยว่าเราต้องจากกันวันไหน เอาเข้าจริง ผมว่าชีวิตคนเราโหดร้ายกว่าทะเลเป็นไหน ๆ”


กันตภณถอยใจเฮือกก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบไหล่คนพูดเอาไว้ “ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้หรอกนะ การเรียนวิทยาศาสตร์ของพวกเราอาจจะช่วยต่อลมหายใจของคนได้ แต่สุดท้ายเราก็จะพบว่าวิทยาศาตร์ไม่อาจฝืนวิถีแห่งการเวียนว่ายได้ ถึงนายจะเป็นหมอที่เก่งขนาดไหนนายก็ฝืนความตายไม่ได้ เมื่อนายเลือกที่จะเป็นหมอแล้ว ภาพพวกนี้มันคือสิ่งที่นายต้องพบเห็นไปตลอดชีวิต หน้าที่ของหมออย่างเราก็คือการรักษาคนไข้ให้ดีที่สุด ทำใจเถอะ ยายแกไปสบายแล้ว”



และนั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน...


นายแพทย์ขวัญนพ นภศิริ ทอดสายตามองออกไปยังผืนน้ำทะเลกว้างใหญ่ เขายังจำคำของแพทย์รุ่นพี่ได้ดี และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องหยิบเอาประโยคนั้นขึ้นมาเตือนสติตัวเอง เมื่อสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นได้เผยแพร่ภาพอุบัติเหตุตึกที่กำลังก่อสร้างเกิดถล่มลงมาส่งผลให้คนงานจำนวนมากได้รับบาดเจ็บส่วนวิศวกรผู้ควบคุมงานเสียชีวิตอยู่ใต้ซากปรักหักพังเพราะไม่สามารถหนีออกมาได้ทัน สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือลูกชายเพียงคนเดียวที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งกำลังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 


....


ทันทีที่รถจอดสนิทในโรงรถ นายแพทย์ปราการก็หันไปคว้ากระเป๋าเอกสารกับเสื้อนอกตัวเก่งจากที่นั่งด้านหลัง เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าผู้เป็นภรรยาที่ยืนรอเพื่อจะเข้าบ้านพร้อมกัน เธอคือเรวดีอดีตพยาบาลวิชาชีพประจำห้องคลอดที่ผันตัวมาเป็นอาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เจ้าของร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทางทิศตะวันตกที่ปรากฏดวงดาวสุกสว่างพลางเอ่ยกับคนที่เดินเข้ามาโอบไหล่ของตนเอง


“คืนนี้ดาวสวยนะพ่อ”


ปราการกระชับวงแขน มองตามสายตาของคู่ชีวิตก่อนจะแสดงความเห็น “จริงด้วย”


“นึกถึงวันนั้นเลยนะคะ”


“วันที่เจ้าเมืองเกิดใช่ไหม”


“ค่ะ เมืองเกิดตอนหัวค่ำ วันนั้นดาวก็สวยแบบนี้”


สองคนก็ส่งยิ้มให้กัน พลันเสียงเปียโนบรรเลงเพลงโปรดของคนทั้งคู่ก็ดังแว่วมาจากเรือนเล็กหลังบ้าน เป็นบทเพลงเก่าที่ขับร้องโดยศิลปินในอดีต “วินัย จุลละบุษปะ”

คืนค่ำฟ้าเลือนขาดเดือนพราว
ประดับวับวาวแต่ดาวดวง
ทอส่องแสงงามอร่ามแดนสรวง
แม้เดือนเลื่อนลอยลับล่วง เหลือดวงดาวพราวไสว

ดวงหนึ่งนั้นดาวประจำเมือง
แววโรจน์แสงเรืองเรื่ออำไพ
ลอยเด่นนภา แจ่มจ้าสุกใส
สวยเกินดาราน้อยใหญ่ สูงไกลเกินใครหมายปอง

ประกายพราวแสงวาบวับ
ฟ้าระยับงามจับตาล้วนชวนมอง
แสงระยิบลอยอยู่ ไกลลิบเรืองรอง
ดาวครองท้องฟ้าดาดาษเรียงราย

ประหนึ่งเพชรแพรวส่องแวววาม
ประดับฟ้าครามพร่างพราวพราย
เป็นเพื่อนฟ้าคราขาดเด่นเดือนฉาย
ทุกคราราตรีแสงพราย หลายร้อยหลายพันแสนดวง...





สูตินรีแพทย์วัยหกสิบครวญเพลงอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเลื่อนมือลงโอบเอวภรรยาก่อนจะพากันเดินลัดสนามหญ้าอ้อมไปยังด้านหลังของบ้าน ผ่านแนวทางเดินที่ปูด้วยไม้ระแนงริมสระบัวกระทั่งหยุดที่หน้าเรือนหลังเล็กซึ่งเพิ่งต่อเติมแยกจากบ้านใหญ่ได้ไม่กี่ปี นอกจากจะยกให้เป็นเรือนส่วนตัวของลูกชายเพียงคนเดียวแล้ว ทั้งครอบครัวยังใช้ที่นี่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันในยามว่าง


เมื่อเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปภายในก็พบเจ้าของเรือนหลังเล็กกำลังนั่งอยู่ที่เปียโนสีดำตัวโปรดซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับประตูกระจกบานเลื่อนด้านที่ติดกับสระน้ำ นายแพทย์ปราการถอยห่างออกจากหญิงอันเป็นที่รักก่อนจะโค้งคำนับและผายมืออกขอเธอเต้นรำ เรวดีโคลงศีรษะพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ จากนั้นจึงวางมือของเธอบนมือใหญ่ที่เกี่ยวกุมกันมาพอ ๆ กับอายุของชายหนุ่มที่กำลังกดปลายนิ้วลงบนลิ่มนิ้วของเปียโน นายแพทย์ปราการใช้มือที่เหลือประคองแผ่นหลังคนในอ้อมแขนไว้ไม่ให้ห่างก่อนจะค่อย ๆ สืบเท้าก้าวย่างนำอีกฝ่ายให้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเสียงเพลง ดวงตาสองคู่สบประสานกันหวานซึ้งราวกับในที่แห่งนี้มีเขาและเธอเพียงสองคน


ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีละสายตาจากคีย์บอร์ดมองหญิงชายวัยกลางคนที่เต้นรำอยู่กลางห้องพลางยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่ปลายนิ้วยังคงสัมผัสไปบนลิ่มนิ้วตามตัวโน้ตบนกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้า ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของผู้เป็นพ่อคลอตามเป็นคำร้องที่ฟังตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่รู้สึกเบื่อ...   


เธอเปรียบเหมือนดาวประจำใจ
เลอเลิศวิไลอยู่ในทรวง
เป็นเอกพธูอยู่ แนบใจหวง
เหนือนารีใดทั้งปวง ขวัญดวงชีวันมั่นหมาย

ดวงเนตรของเธอจ้องคมวาว
เรืองโรจน์ล้ำดาวเด่นพราวพราย
ทอส่องแสงรักประจักษ์ใจหมาย
ฝังซึ้งตรึงใจมิวาย มิคลายรักเธอแท้จริง

จอดจิตใจหลงเสน่ห์โฉม
รักน้อมโน้มใจใฝ่ถนอมเอนอิง
ฟ้าระยิบดาวสั่งกระซิบวอนวิง
เธอจงรักจริงใจอย่ากลับกลาย

ครองสุขสัมพันธ์คู่กันไป
เป็นมิ่งขวัญใจไม่คืนคลาย
จนกว่าฟ้าดินดับสิ้นสลาย
สัญญารักเดียวมิคลาย หมายเธอร่วมเรียงนิรันดร์


กระทั่งโน้ตตัวสุดท้ายลอยหายไปในอากาศ...


“ยังพริ้วเหมือนเดิมเลยนะพ่อ” ลูกชายกล่าวพลางเอื้อมมือปิดแฟ้มสำหรับเก็บโน้ตเพลงที่วางอยู่ตรงหน้า มองพ่อกับแม่ที่กำลังเดินเข้ามา


“ถ้าไม่พริ้วก็เสียชื่อประธานชมรมลีลาศหมดสิไอ้ลูกชาย” นายแพทย์ปราการว่าพลางเท้าแขนลงกับเปียโนตัวใหญ่


“เรื่องขี้โม้ละต้องยกให้พ่อเขา” เรวดีทำค้อนก่อนเดินอ้อมไปอีกทางยกแขนขึ้นโอบไหล่ลูกชายที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เพราะหากเขายืนขึ้นเต็มความสูงเธอจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้ “ช่วงนี้รู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะจ๊ะหนุ่มน้อย”


“ช่วงนี้งานที่โรงเรียนยุ่ง ๆ น่ะแม่ พอดีมีน้อง ๆ ลาออกไปทำที่อื่นหลายคน บางคนก็ได้ไปเล่นให้ศิลปินดัง ๆ ด้วยนะ ส่วนบางคนก็ได้ไปเล่นให้คณะละครเวที ดูโก้มากเลยละแม่”


“แล้วเมืองล่ะลูก คิดว่าจะสอนที่โรงเรียนสอนดนตรีนั่นไปอีกนานแค่ไหน”


“อืม...ก็คงเรื่อย ๆ ไปน่ะครับ จนกว่าโลกนี้จะไม่มีคนป่วย ก็เหมือนที่พ่อกับแม่ทำอยู่ไง”


“เหมือนยังไง ไหนแกลองว่ามาซิ พ่ออยากฟังความเห็นของว่าที่มหาบัณฑิตสาขาวิชาดนตรีบำบัดหน่อย” ผู้เป็นพ่อขยับเข้ามาใกล้ทำท่าตั้งใจฟัง


“โธ่พ่อ แซวกันได้” ลูกชายยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเริ่มอธิบาย “พ่อกับแม่เป็นหมอ ใช้ความรู้ใช้ยารักษาอาการป่วยทางร่างกายของคนไข้ ส่วนเมืองเป็นนักดนตรี เมืองก็จะใช้ดนตรีรักษาอาการป่วยทางจิตใจของคนไงครับ”


ปราการพยักหน้าขรึมหากแต่ข้างในกลับรู้สึกพอใจในคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความคิดของคนที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก “แล้วเรื่องเรียนล่ะ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”


“กำลังจะออกไปเก็บข้อมูลแล้วละพ่อ ส่วนสถานที่ก็...โรงพยาบาลของคุณลุงหมอสัญชัยที่พ่อแนะนำให้ไง เมืองเอาไปคุยกับอาจารย์แล้ว แล้วก็โทรไปคุยกับคุณลุงหมอแล้วด้วย คุณลุงหมอบอกว่าเรื่องของเมืองน่าสนใจดีและน่าจะเป็นประโยชน์กับคนไข้ที่โรงพยาบาล ปลายสัปดาห์หน้าเมืองก็เลยว่าจะเอาเอกสารเข้าไปคุยกับคุณลุงหมอครับ”


“อืม จะไปเมื่อไรบอกพ่อด้วยนะ พ่อมีของจะฝากไปให้ลุงหมอสัญชัยแกหน่อย ไม่ได้เจอกันนานแล้ว”


“ครับพ่อ”


“แล้วนี่ทานข้าวหรือยังจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ถาม


“เรียบร้อยแล้วครับ ว่าแต่พ่อกับแม่ล่ะครับทานอะไรกันมาหรือยัง วันนี้กลับค่ำจัง”


“พ่อกับแม่ทานมาจาหที่โรงพยาบาลแล้วจ้ะ”


“แม่ไปรอพ่อที่โรงพยาบาลเหรอครับ”


“จ้ะ เย็นวันนี้พ่อเขามีลงตรวจคนไข้ที่หอพักผู้ป่วย แม่สอนเลิกไวก็เลยนั่งแท็กซี่ไปรอพ่อเขาที่โรงพยาบาล”


“วันหลังถ้าแม่เลิกสอนเร็ว แม่โทรหาเมืองก็ได้นะครับ เมืองจะได้ไปรับกลับมาก่อน ไม่ต้องไปนั่งรอที่โรงพยาบาล”


“ไม่เป็นไรหรอกลูก ที่นั่นแม่ก็มีเพื่อนคุยเยอะแยะ ดีเสียอีก ได้นั่งรำลึกความหลัง นึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ” เรวดีกล่าวพลางหันไปสบตาสามี ชายผู้ซึ่งมีทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตร่วมกัน


....
   

นาฬิกาบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว แต่ไฟที่ระเบียงของเรือนหลังเล็กยังคงสว่าง เรวดีในชุดนอนเดินไปตามทางเดินไม้ระแนงเข้าสู่เรือนหลังเล็กก่อนจะมองหาลูกชาย ในที่สุดเธอก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่ที่ระเบียงซึ่งยื่นออกสู่สระบัวขนาดใหญ่


“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก พรุ่งนี้ต้องไปที่โรงเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็นั่งลงข้าง ๆ มองลูกชายอย่างเอ็นดู


“เมืองยังไม่ง่วงน่ะแม่ ก็เลยออกมานอนดูดาว วันนี้ดาวสวย” ว่าแล้วก็ย้ายศีรษะจากหมอนใบโตมาหนุนตักของแม่แทน “นั่นดาวศุกร์ใช่ไหมแม่”


เรวดีมองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปบนท้องฟ้าสีดำสนิทประดับด้วยดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง แต่ในจำนวนนั้นมีดาวดวงหนึ่งที่เปล่งแสงทอประกายเด่นชัดจนคนมองไม่อาจละสายตา กระนั้นกลับไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่แทรกนิ้วลงในกลุ่มผมลื่นมือของคนบนตัก


“พ่อกับแม่เหนื่อยไหมครับ เมืองหมายถึงเหนื่อยหรือเปล่าที่ต้องเลี้ยงเมืองมา แถมยังต้องทำงานหนักเพื่อให้เมืองได้เรียนหนังสือ พ่อกับแม่รู้สึกว่าตัดสินใจผิดบ้างไหมครับที่รับเมืองเป็นลูก”


ผู้เป็นแม่ส่ายหน้าเบา ๆ รอยยิ้มแสนอ่อนโยนยังคงประดับอยู่บนใบหน้า เมื่อเรื่องราวในอดีตถูกฉายขึ้นในหัวอีกครั้ง “ถึงลูกจะไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ แต่รู้ไหม...ลูกน่ะคือของขวัญที่มีค่าสุดสำหรับเรา ลูกรู้ไหมตอนที่แม่แท้ ๆ ของลูกขอให้พ่อซึ่งเป็นหมอที่ทำคลอดในตอนนั้นช่วยตั้งชื่อลูกชายที่เพิ่งเกิดให้ พ่อเขาตื่นเต้นมาก คืนนั้นก็คล้าย ๆ กับคืนนี้ ทั้งฟ้ามืดดำดูน่ากลัวแต่ก็มีดาวศุกร์ที่ทอประกายสว่างไสว พ่อเขาก็เลยตั้งชื่อลูกตามชื่อของดาว น่าเสียดายที่แม่แท้ ๆ ของลูกไม่มีโอกาสได้เรียกชื่อนี้...”
   

...ประจำเมือง...


...


สวัสดีค่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า

ตาไม่ฝาด ๆ เมื่อวานดูซีรีส์แล้วปวดใจ

วันนี้เราเลยได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในเรื่องสั้นเรื่องใหม่

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2016 22:32:48 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
โอ้ย ขึ้นตอนแรกก็อยากจะกรี๊ดกับชื่อตัวละครแล้ว ละมุนละไมจังเลย รอตอนต่อไปค่าา #มีมั้ย อิอิ

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ aiLime13

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1146/-11
    • twitter

แค่อ่านตอนแรกก็รู้สึกละมุนละไม สวยงามไปทุกอย่างเลยค่ะ
ชอบบรรยากาศในเรื่องนี้จังเลยน้า >_<
ท้องฟ้า สายลม ทะเล กับดวงดาว รู้สึกได้กลิ่นโรแมนติกนุ่มนิ่มลอยมาเลยค่ะ


ชอบชื่อประจำเมืองมาก! อยากเอาไปตั้งเป็นชื่อลูกชายบ้าง แต่ติดที่แฟนยังไม่มี กร้ากกกกกกกกกก

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

 กรี๊ดดดดดดดด กะ เรื่องใหม่

 ตกใจนึกว่า ตาฝาด

  ถ้าเธอฯ มี อาถรรพณ์  คิดถึง เรื่องใหม่  เรื่องรัก แบบ สั้น ก็มาแบบ cool ...พี่ ประจำเมืองงงงงงงงงงง
  :กอด1:



   :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven


  ว่าแต่ เราไม่มีโอกาสติดตาม "ความทรงจำที่หายไป"  อ่ะ

  ทำไง ถึงจะได้อ่านภาคแรก แล้วฟินนนนน กะ เขาบ้างนะ

 please...:hao5:


 

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0

ออฟไลน์ xinpitar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นอะไรที่น่าติดตามค่ะ คือบรรยายได้ดีมากกกกกกกก  :call:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดีใจมากที่มีเรื่องใหม่มาแล้ว คึคึ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 2 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว


สัญชัย กิตติดนู นอกจากจะเป็นศัลยแพทย์มือดียังเป็นผู้รั้งตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในจังหวัดเล็ก ๆ ทางภาคตะวันออกที่เพิ่งปรับเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้เพียงไม่นาน แม้อายุอานามจะเลยวัยที่ต้องปลดระวางมาหลายปีแต่ด้วยความที่เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงได้รับการต่ออายุราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลต่อระหว่างรอการสรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมารับตำแหน่งนี้ต่อไป


นอกจากนายแพทย์สัญชัยจะมีความสามารถเป็นที่ยอมรับแล้ว การเป็นคนไม่ถือตัว จิตใจดี ซ้ำยังมีมนุษยธรรมยังทำให้เขาเป็นที่รักของทั้งผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงคนไข้ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ดังนั้น “คุณลุงหมอ” จึงเป็นคำคนไข้มักจะใช้เรียกเขาแทนคำว่า “อาจารย์” หรือ “ท่านผู้อำนวยการ” ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนมาจากความปรารถนาของเจ้าตัวทั้งสิ้น


ศัลยแพทย์วัยหกสิบสองปีละสายตาจากแฟ้มเอกสารทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น และเมื่อเขาเอ่ยปากอนุญาตประตูก็ค่อย ๆ แง้มออก สัญชัยมองชายหนุ่มแปลกหน้าเจ้าของรูปร่างสูงโปร่งในชุดกางเกงขายาวสีครีมสวมเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่ก้าวมาหยุดต่อหน้า เขายกมือไหว้อย่างนอบน้อมก่อนจะเริ่มแนะนำตัวเอง


“ผมชื่อประจำเมืองครับ เป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาดนตรีบำบัดที่โทรมาคุยกับคุณลุงหมอเมื่อประมาณกลางเดือน”


“ลูกชายปราการใช่ไหม” ผู้อาวุโสว่าพลางปิดแฟ้มเอกสาร


“ครับคุณลุง คุณลุงเรียกผมว่าเมืองก็ได้ครับ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นนายแพทย์สัญชัยก็ผายมือพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญคนมาให้ให้นั่ง ในขณะที่ประจำเมืองเองก็ค้อมศีรษะขอบคุณ จัดการปลดเป้แล้วเลื่อนเก้าอี้ก่อนจะนั่งลง


“เคยเจอตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ไม่คิดว่าโตขึ้นมาแล้วจะหล่อเหลาขนาดนี้”


“คงสู้คุณลุงไม่ได้หรอกครับ พ่อเล่าว่าสมัยหนุ่ม ๆ คุณลุงเป็นดาวเด่นของคณะ” พูดจบดึงหนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่หนังสือที่ระลึกครบรอบเก้าสิบปีของมหาวิทยาลัยครับ พ่อฝากมาให้คุณลุงด้วย”


“ฝากขอบใจพ่อของเธอด้วยนะหลานชาย” นายแพทย์วัยหกสิบสองปีกล่าวพลางรับหนังสือเล่มนั้นมาวางตรงหน้า มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยหากแต่เคยช่วยชีวิตคนมาแล้วนักต่อนักลูบไล้ไปบนตัวอักษรพิมพ์นูน “กลิ่นแก้วรำลึก” ก่อนจะพลิกดูด้านในที่อัดแน่นด้วยเรื่องราวในอดีต


“เห็นแล้วก็นึกถึงสมัยก่อน คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ชอบนึกถึงแต่ความหลัง” เจ้าของใบหน้าแต้มยิ้มกล่าวทั้งที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่กับภาพถ่ายขาวดำในหน้ากระดาษอาร์ตมัน “พ่อเธอเป็นไหม”


“เรียกว่าบ่อยเลยละครับคุณลุง”


“เจอกันทีไรก็คุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ ชวนดูกันแต่รูปเก่า ๆ เป็นพวกไม่มีอนาคตให้นึกถึง” คนพูดหัวเราะในลำคอขณะปิดหนังสือที่เป็นเหมือนบันทึกความทรงจำแต่หนหลังลง “เอ้อ...เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ เดี๋ยวจะเสียเวลาของเธอ”


“ไม่หรอกครับคุณลุง วันนี้นี้ผมตั้งใจมาคุยกับคุณลุงโดยเฉพาะ ไม่ได้รีบไปไหน”


“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันเลยดีกว่า เราอยากจะให้ลุงช่วยอะไรก็ว่ามาได้เลย”


“ตามที่ผมเรียนให้ทราบทางโทรศัพท์นั่นแหละครับ ผมอยากจะขออนุญาตเข้ามาเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิจัยในโรงพยาบาลของคุณลุง ส่วนนี่คือรายละเอียด หัวข้อวิจัยของผมคือการศึกษาผลของดนตรีบำบัดที่มีต่อความวิตกกังวลและความเจ็บปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็งครับ”


นายแพทย์สัญชัยพยักหน้าพลางกวาดตาดูรายละเอียดคร่าว ๆ “วางแผนเอาไว้ว่าจะเริ่มเมื่อไรล่ะ”
   

“ถ้าคุณลุงอนุญาต ผมก็อยากจะเริ่มให้เร็วที่สุดครับ”
   

“ได้สิ”
   

“ถ้าอย่างนั้นในช่วงเดือนแรกผมจะขอพาเพื่อน ๆ เข้ามาทำการเก็บข้อมูลทั่วไปรวมถึงความต้องการของผู้ป่วยก่อนนะครับ จากนั้นก็จะเอาข้อมูลที่ได้กลับไปวิเคราะห์เพื่อดำเนินการต่อ”
   

“ไม่มีปัญหาหรอก แต่ช่วงนี้ลุงอาจจะยุ่ง ๆ หน่อย เพราะโรงพยาบาลมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในองค์กร มีการยุบรวมแล้วก็มีการเกิดขึ้นใหม่ของงานย่อย ๆ ที่เห็นชัดก็คงจะเป็นฝ่ายที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องสารสนเทศของโรงพยาบาลแทนการจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากข้างนอกเหมือนที่แล้วมา นี่ก็เพิ่งได้เงินบริจาคสำหรับโครงการใหม่น่ะ จะว่าไปมันก็น่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำนะ”


“โครงการอะไรหรือครับคุณลุง”


“โครงการจัดตั้งสถานีวิทยุน่ะ คนบริจาคเขาแสดงความต้องการมาเลยว่าอยากให้ทำสถานีวิทยุออนไลน์เพื่อให้ความรู้กับคนทั่วไป เพราะตอนนี้ทั้งสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเป็นอุปกรณ์ที่มีติดตัวกันแทบทุกคน  เสียดายที่ตอนนี้อะไร ๆ ยังไม่ลงตัว ไม่อย่างนั้นลุงจะพาไปดู”
   

“ดีจังเลยนะครับคุณลุง ผมเองก็คงต้องเทียวไปเทียวมาที่นี่ไปอีกนาน ต้องมีโอกาสได้ไปแน่ ๆ ครับ”
   

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลุงจะหาใครสักคนมาเป็นพี่เลี้ยงให้ มีอะไรจะได้ปรึกษาเขาได้”
   

“ได้ครับคุณลุง” ประจำเมืองยิ้มน้อย ๆ มองชายวัยกลางคนที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา
   

“ขอโทษทีนะ ว่าจะชวนดื่มกาแฟด้วยกันสักหน่อย เพิ่งนึกได้ว่ามีประชุมที่ศาลากลางจังหวัด”
   

“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลากลับเลยก็แล้วกันนะครับ คุณลุงจะได้มีเวลาเตรียมตัว”


ลูกชายสูตินรีแพทย์เดินออกจากห้องพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลก่อนจะกดลิฟต์ลงมาที่ชั้นล่างซึ่งเป็นส่วนของงานเวชระเบียน ชายหนุ่มเดินออกประตูด้านข้างตั้งใจจะไปยังลานจอดรถ หากแต่เสียงไวโอลีนที่กำลังบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์กลับทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจเดินอ้อมไปที่หน้าอาคารโบราณสองชั้นสีขาวหม่นซึ่งน่าจะสร้างขึ้นตามแนวคิดศิลปะแบบตะวันตก สังเกตได้จากระเบียงที่ทำเป็นซุ้มโค้งรับน้ำหนักของหลังคายาวตลอดแนวปีกซ้ายและขวา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเหนือกรอบประตูทางเข้าบริเวณหน้ามุขที่ประดับด้วยลวดลายปูนปั้นก็เห็นตัวอักษรสลักเป็นร่องลึกว่า "ฤดีบรรเทา" ซึ่งเป็นชื่อของอาคาร และเมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็พบผู้คนจำนวนมากกำลังนั่งรอเรียกตรวจอยู่ภายในห้องโถงซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกอายุรกรรม และแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน


คันชักที่ทำจากหางม้ายังคงเสียดสีกับสายสังเคราะห์ทำให้เกิดท่วงทำนองหวานแหลมแต่ในเวลาเดียวกันกลับให้รู้สึกเศร้าจับใจยิ่งนัก ประจำเมืองกวาดตามองไปรอบ ๆ กระทั่งหยุดที่ร่างท้วมผมสีดอกเลาเจ้าของไวโอลินที่เป็นต้นกำเนิดเสียงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้แถวสุดท้าย ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะนั่งลงโดยเว้นที่ว่างเอาไว้เพื่อให้เกิดระยะห่าง ยังคงมองอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ และเมื่อจบเพลงชายชราวัยแปดสิบสี่ก็หันมาส่งยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น


“ชอบฟังเพลงรึหนุ่ม”


“ครับคุณตา แต่เพลงที่คุณตาเล่นเมื่อกี้ฟังดูเศร้าจังเลยนะครับ”


“รู้จักด้วยเหรอ” มือเหี่ยวย่นวางไวโอลินลงบนหน้าตักก่อนจะหันมาคุยอย่างจริงจัง


“รู้จักสิครับ เพลงพระราชนิพนธ์อาทิตย์อับแสง”


“ไม่น่าเชื่อว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้จะรู้จักเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย”


“ผมเรียนดนตรีน่ะครับ ก็เลยพอจะได้ศึกษาเรื่องนี้อยู่บ้าง”
   

“ลองเล่นดูสักเพลงไหมล่ะ ผมเองก็เล่นอยู่ไม่กี่เพลงซ้ำไปซ้ำมา คนที่นี่เขาคงพากันเยื่อแล้วมั้ง”
   

“คุณตามาเล่นดนตรีที่นี่ทุกวันเหรอครับ”


“เปล่าหรอก ผมมาเฉพาะวันที่หมอนัดน่ะ เดือนละครั้งสองครั้งตามแต่หมออยากจะเจอ” ทำพูดติดตลกในขณะที่มือก็ส่งไวโอลินตัวเก่งให้


“จะดีเหรอครับ”


“ดีสิ นาน ๆ ได้ฟังฝีมือคนหนุ่มบ้าง”
   

“ครับ” ประจำเมืองยิ้มพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ รับเครื่องดนตรีจากมือชายชราก่อนจะแนบส่วนที่เป็นที่รองคางลงกับสันกราม


“คุณตาเล่นเพลงอาทิตย์อับแสงไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่นเพลงนี้ก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าวันนี้ถึงดวงอาทิตย์จะหมดแสงแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องกลับมาเจอกันใหม่แน่นอน” พูดจบชายหนุ่มก็วางคันชักลงบนเส้นสังเคราะห์แล้วลากยาวจนเกิดเป็นทำนองหวานหูฟังดูมีจังหวะกว่าเพลงที่คุณตาเพิ่งเล่นจบลงไป


ปลายนิ้วที่กำลังสัมผัสกับแป้นพิมพ์ต้องชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงไวโอลินบรรเลงเพลงที่มีท่วงทำนองผิดแผกไปจากที่เคยได้ฟัง ขวัญนพจำได้แม่นว่าทุก ๆ เดือนหรืออาจจะน้อยกว่านั้น เขาจะต้องได้ยินเสียงไวโอลินดังมาจากชั้นล่างของตึก ซึ่งผู้ที่นำเครื่องดนตรีมาบรรเลงระหว่างรอตรวจก็คือคุณตาสุธีอดีตไต้ก๋งเรือประมงที่เพิ่งสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปเมื่อต้นปีก่อนด้วยโรคชรา หลังการจากไปของคู่ชีวิตคุณตาสุธีเองก็มีอันต้องล้มหมอนนอนเสื่อเพราะภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรวมถึงมีอาการของโรคกระดูกเสื่อมทำให้ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจติดตามอาการตามคำสั่งของแพทย์


เสียงเคาะประตูเรียกสติของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาทที่กำลังลอยไปไกลให้กลับคืนมาอีกครั้ง มือหนายกขึ้นขยับแว่นสายตามองประตูที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ค่อย ๆ ถูกเลื่อนออกก่อนที่พยาบาลสาวจะเข็นรถเข็นพาเด็กชายรูปร่าจ้ำม่ำเข้ามา


“สวัสดีครับอาหมอ” หนุ่มน้อยวัยเก้าปีกล่าวเสียงใส ไม่ว่ารอยยิ้ม พวงแก้มน่าหยิกหรือแม้แต่สภาพทั่วไปของร่างกาย ไม่มีสิ่งใดเลยที่บ่งบอกว่าเขากำลังป่วยนอกเสียจากชุดที่เขาสวม
   

“พาตัวป่วนมาหาคุณหมอค่ะ” หญิงสาวกล่าวขณะล็อกล้อรถเข็น
   

“ขอบคุณนะครับพี่ผึ้ง”
   

“ไม่เป็นไรจ้ะหนุ่มน้อย” เธอว่าพลางหันไปหาคุณหมอเจ้าไข้ของเด็กชาย “ถ้าน้องจะกลับแล้วเรียกผึ้งนะคะคุณหมอ”
   

“ขอบคุณนะครับ” รอกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกไปจึงเอ่ยขึ้นกับเด็กชาย “ไงปูไข่ ทำไมวันนี้มาถึงห้องอาได้”
   

“เมื่อเช้าปูไข่มาตรวจวัดสายตากับคุณหมอฟ้าใสครับ ก็เลยขอพี่พยาบาลแวะหาอาหมอก่อนกลับ”
   

“แล้วคุณหมอฟ้าใสให้ทำอะไรบ้าง”
   

“คุณหมอฉีดยา ให้ปูไข่นอนนิ่ง ๆ แล้วพาเข้าไปเที่ยวในอุโมงค์ฮะ”
   

“แล้วปูไข่กลัวหรือเปล่า”
   

“ไม่กลัวครับอาหมอ คุณหมอฟ้าใสบอกว่าเป็นอุโมงค์ง่วงนอน เข้าไปปั๊บก็หลับปุ๊บเลย พอตื่นมาอีกทีปูไข่ก็ไปนอนเล่นอยู่บนเตียงแล้ว คุณหมอฟ้าใสบอกว่าสายตาน่าจะสั้นลงก็เลยเห็นภาพมัว ๆ แล้วก็ปวดหัวบ่อย ๆ แต่ไม่ยักจะสั่งตัดแว่นให้ปูไข่ ปูไข่ก็เลยอดใส่แว่นเลย”
   

เจ้าของห้องพยักหน้า เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่การตรวจวัดสายตาแบบที่เด็กชายกล่าว หากแต่เป็นการทำกระนั้นก็ยังฝืนยิ้มก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้าหนูน้อย ยกมือขึ้นโยกศีรษะของอีกฝ่ายเบา ๆ “ตัวแค่นี้จะอยากสวมแว่นไปทำไมกัน”
   

“ก็ปูไข่อยากเท่แบบอาหมอนพนี่ฮะ” พูดจบเด็กชายก็ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายมองชายหนุ่มวัยย่างสามสิบห้าปีเจ้าของผมสีเข้มตัดรองทรงสูงไม่ได้จัดทรงจนส่วนหน้าตกลงมาระกับกรอบแว่นตาสีดำหนาเตอะ เขากำลังโคลงศีรษะน้อย ๆ
   

“อยากกลับห้องหรือยัง อาพาไปส่ง”
   

“ปูไข่อยากฟังคุณตาสุธีสีไวโอลินก่อน วันนี้คุณตาคงอารมณ์ดีเลยเล่นเพลงเพราะ”
   

“แล้วทุกครั้งล่ะ ไม่เพราะเหรอ” ถามเพียงเพราะคิดว่าเพลงก็เหมือนกันทุกเพลงแค่จังหวะแตกต่างกันก็เท่านั้นเอง
   

เด็กชายส่ายหน้าเบา ๆ “เพราะครับ แต่ทุกครั้งเศร้ากว่านี้ ปูไข่ไม่ชอบเพลงเศร้า”
   

ขวัญนพพยักหน้าส่ง ๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ก็อดนึกถึงคำที่คุณครูเคยพูดในชั่วโมงดนตรีเมื่อสมัยที่เขายังเป็นนักเรียนชั้นประถมไม่ได้

...ท่วงทำนองของดนตรีสามารถสะท้อนสภาพจิตใจของผู้บรรเลงในขณะนั้น ไม่ว่าจะทุกข์ สุข หรือเศร้าก็ส่งผ่านไปถึงผู้ฟังได้...

   

“ขอบคุณคุณตามากนะครับที่ให้ผมยืมเล่น” ประจำเมืองกล่าวขณะส่งไวโอลินคืนเจ้าของ “ไวโอลินของคุณตาทำให้ผมนึกอยากจะค้นเอาไวโอลินตัวแรกที่พ่อกับแม่ซื้อให้ออกมาปัดฝุ่น นานแล้วที่ไม่ได้สีไวโอลิน เหมือนได้เคาะสนิมเลยครับ”
   

“นี่ไม่ได้สีไวโอลินประจำหรอกรึ” ชายชรากล่าวพลางรับเครื่องดนตรีคืน
   

“เครื่องดนตรีเอกของผมคือเปียโนน่ะครับ”   


“ขนาดไม่ได้เล่นนานฝีมือยังไม่เบาเลยนะพ่อหนุ่ม เอาไว้ว่าง ๆ ถือติดมือมาสิ คนที่นี่เขาจะได้ฟังเพลงใหม่ ๆ”
   

“ได้ครับ ถ้าคุณตาชอบ คราวหน้าผมจะเอาโน้ตเพลงเพราะ ๆ ติดมาด้วย คุณตาจะได้เอาไว้เล่นให้คนอื่น ๆ ฟัง”
   

ประจำเมืองกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะกล่าวอำลาคุณตาสุธี ถ้าหากเขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงได้มีโอกาสพบกับสองคู่หูต่างวัยที่กำลังจูงมือกันเดินลงมาจากบันไดไม้สักที่ทอดเวียนลงมาจากชั้นสองของตึกเพื่อจะมาฟังเพลงที่เขาเล่น


....
   

สองสัปดาห์ต่อมานักศึกษาหนุ่มกลับมาที่โรงพยาบาลสมุทรารักษ์อีกครั้งพร้อมกับเพื่อน ๆ  พวกเขาถูกนายแพทย์สัญชัยพาไปแนะนำให้รู้จักกับบุคลากรที่ดูแลเกี่ยวกับสารสนเทศและวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาล ประจำเมืองและเพื่อน ๆ จึงได้ขออนุญาตนายแพทย์สัญชัยในการเข้ามาช่วยงานของสถานีวิทยุระหว่างการเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัย ในที่สุดสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ก็เริ่มขึ้น...         


“สวัสดีตอนเช้าในวันที่อากาศแจ่มใสคลื่นลมสงบนะครับ ผม...ดีเจปาล์มครับ วันนี้เป็นวันที่สองแล้วสำหรับการดำเนินงานของสถานีวิทยุออนไลน์โรงพยาบาลสมุทรารักษ์ ยังไงก็ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ชาวโรงพยาบาลสมุทรารักษ์ทุกคนด้วยนะครับ หากต้องการขอเพลงก็สามารถขอได้ที่เบอร์โทรศัพท์ภายในหรือหย่อนจดหมายน้อย ๆ ลงในมิวสิคบ็อกซ์ที่เราตั้งไว้ที่ร้านกาแฟของโรงพยาบาลก็ได้นะครับ และสำหรับเพลงแรกในวันนี้ คุณวิทย์แผนกฉุกเฉินมอบให้คุณก้อยการเงิน ไปฟังกันเลยครับ”


เสียงฉะฉานดีเจหนุ่มค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยจังหวะเพลงสนุก ๆ ที่มีเนื้อหาในเชิงบอกรัก ทำเอาบรรดาพยาบาลสาว ๆ ที่จับกลุ่มยืนรอซื้อกาแฟต่างก็พากันหัวเราะคิกคัก


นายแพทย์ขวัญนพวางถ้วยกาแฟร้อนลงบนโต๊ะพลางมองไปยังกลุ่มของสาว ๆ แล้วหันกลับมาพูดกับคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในฝั่งตรงข้าม “เกิดอะไรขึ้นน่ะพี่”


กันตภณรวบหนังสือพิมพ์เก็บ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะตอบคำถาม “สถานีวิทยุของโรงพยาบาลน่ะ เพิ่งเริ่มดำเนินการเมื่อวาน”


“ผมเเพิ่งรู้ว่าโรงพยาบาลของเรามีอะไรแบบนี้ด้วย”


“วัน ๆ สนใจอะไรบ้างนอกจากคนไข้กับหนังสือกองมหึมา" นายแพทย์กันตภณกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก "เห็นอาจารย์สัญชัยบอกว่าได้เงินบริจาคจากนักการเมืองท้องถิ่น เขาขอให้โรงพยาบาลดำเนินงานเกี่ยวกับสถานีวิทยุเพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารความรู้ที่เกี่ยวกกับสุขภาพน่ะ พอดีมีนักศึกษาปริญญาโทเขามาขอทำวิจัยเกี่ยวเรื่องดนตรีบำบัดด้วย อาจารย์ท่านเห็นว่ามีประโยชน์กับทั้งตัวนักศึกษาและผู้ป่วยในระยะนี้ก็เลยให้เขาเข้ามาช่วยงานสถานีน่ะ”


“ก็ดีเหมือนกันนะพี่” ขวัญนพกล่าวพลางทอดตามองกล่องซึ่งห่อด้วยกระดาษลายสวยที่ตั้งอยู่หน้าเคาท์เตอร์ มีข้อความตัวโตที่พิมพ์บนกระดาษเอสี่แปะไว้ “มิวสิคบ็อกซ์ เพียงคุณบอก...เราจัดให้” ส่วนด้านล่างมีรายละเอียดและวัตถุประสงค์เกี่ยวการดำเนินงานของสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาล


“นายว่าดีเหรอ”


“ครับ ทำไมล่ะ”


“ก็ปกติฉันไม่เห็นนายจะมีอารมณ์สุนทรีย์กับใครเขา ตรวจคนไข้เสร็จก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องหนังสือ”


ขวัญนพยอมรับในสิ่งที่กันตภณพูดมาทั้งหมด “ผมหมายถึงอย่างน้อยก็ดีสำหรับคนไข้ไงพี่”


“แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันจะดีกับตัวนายเองเหมือนเคย” แพทย์รุ่นพี่หัวเราะในลำคอก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ ทิ้งให้คนที่ในหัวมีแต่คำว่าหน้าที่นั่งนิ่งคิดทบทวนในคำพูดเมื่อสักครู่


หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเก็บข้อมูลก็ถึงเวลาที่เหล่าดีเจมือใหม่จะต้องกลับมาปิดสถานีตามที่ได้รับอาสากับหัวหน้างานสารสนเทศของโรงพยาบาลเอาไว้ แต่แทนที่ตอนนี้พวกเขาจะไปอยู่กันที่ห้องวิทยุออนไลน์ซึ่งอยู่ชั้นห้ากลับต้องแวะชั้นที่สามเพื่อรับกุญแจจากเจ้าหน้าที่ ยิ่งตกกลางคืนบรรยากาศของชั้นนี้ยิ่งเงียบสงัดกันเข้าไปใหญ่ เพราะทั้งชั้นถูกจัดให้เป็นพื้นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลระบบเครือข่าย ต่างคนต่างมองผ่านไอน้ำที่เกาะประตูกระจกเข้าไปในห้องเครื่องแม่ข่าย เห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่ง พลันฝ่ามือใหญ่ก็ทาบลงมาบนระนาบขุ่นปาดฝ้าไอน้ำออกก่อนจะมองลอดช่องออกมา เล่นเอาหัวใจของทั้งสี่คนแทบจะตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม


“ขอโทษที พอดีพี่นั่งย้ายข้อมูลในเครื่องเซิร์ฟเวอร์เพลิน ลืมไปเลยว่านัดพวกเราไว้” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กล่าวเมื่อสแกนนิ้วเปิดประตูออกมาพร้อมกับยื่นกุญแจให้ “เอ้านี่ กุญแจ ฝากปิดห้องด้วยนะ”


“ครับพี่ แล้วกุญแจนี่จะให้ผมเอาไว้ที่ไหนครับ” คนอายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นขณะรับกุญแจมาถือไว้


ริมฝีปากสีคล้ำเพราะเกิดจากการสูบบุหรี่จัดสแยะยิ้มมีเลศนัยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกพอ ๆ กับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศภายในห้องที่เขาเพิ่งเดินออกมา “ถ้าไม่อยากแวะมาอีกก็ลงฝากไว้กับพนักงานรักษาความปลอกดภัยข้างล่างก็ได้ เดี๋ยวตอนกลับพี่จะแวะไปเอาที่เขา”


“ได้ครับพี่”


เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทั้งสี่คนก็พากันเดินไปที่ลิฟต์ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของอาคาร


“บรรยกาศบนนี้มันวังเวงพิลึกว่ะ ห้องพวกพี่ ๆ เจ้าหน้าที่เน็ตเวิร์คอยู่ไกลเหลือเกิน” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น


“แกจะบ่นอะไรนักหนาวะไอ้ก้อง” คนถือกุญแจกล่าว


“ก็มันจริงนี่พี่ ถ้าไฟติด ๆ ดับ ๆ หน่อยนะ เป๊ะเลย ฉากในหนังสยองขวัญชัด ๆ”


“พูดแบบนี้แสดงว่าอยากเจอ”


“จ...เจออะไรวะพี่”


“ผีไง กุ๊ก ๆ กู๋ก็ได้ จะได้ดูน่ารัก”


“น่ารักอะไรวะพี่ ผมยิ่งกลัว ๆ อยู่” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นลูบขนแขนที่จู่ ๆ ก็ตั้งชันขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ


“ตึกนี้เขาเพิ่งสร้างเสร็จจะมีผีได้ยังวะ แกคิดเป็นตุเป็นตะ”


“ใครว่าล่ะพี่ ตึกนี้แหละเฮี้ยนสุด เมื่อกลางวันพี่คนเมื่อกี้ยังเล่าให้ผม ไอ้ปาล์ม ไอ้เมือง ฟังอยู่เลยว่าตึกนี้น่ะสร้างทับตึกเก่าของโรงพยาบาลที่เขาว่ากันว่า...”


“พอ ๆ ไอ้ก้อง ฉันไม่ได้อยากรู้” แม้จะเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แต่โอก็เลือกที่จะไม่รู้ข้อมูลเสียดีกว่า ชายหนุ่มมองตามเสียงฝีเท้าที่กำลังใกล้เข้ามา ที่แท้ก็เป็นประจำเมืองที่แยกไปห้องน้ำเมื่อหลายนาทีก่อนนั่นเอง


“ไอ้ปาล์มกดลิฟท์” คนที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาสมทบกับอีกสามคนที่ยืนรออยู่เอ่ยขึ้น ดังนั้นเจ้าของชื่อที่ยืนเงียบมานานจึงเอื้อมมือกดปุ่ม รอกระทั่งประตูเปิด ทั้งสี่คนจึงพากันก้าวเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับขนส่งระหว่างชั้นต่าง ๆ ภายในอาคาร 
ต่างคนต่างจ้องมองประตูเหล็กที่เลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิท ภายในกล่องสี่เหลี่ยมเงียบสนิทจนได้ยินเพียงเสียงของเข็มวินาทีจากนาฬิกาที่แต่ละคนสวมติดข้อมือเท่านั้น และเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทั้งสี่คนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพวกเขายังคงอยู่ที่ชั้นเดิม


“ฮือ...” เสียงครางเบา ๆ พาให้คนอื่น ๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก


“ไอ้ก้อง แกจะครางทำไมวะ” โอซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งกล่าวก่อนจะเดินเข้ามายืนใกล้ ๆ เพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งในระหว่างนั้นใครคนหนึ่งก็กดปุ่มให้ประตูลิฟต์ก็ปิดลง...


แต่เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาทุกคนอุทานขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


“เฮ้ย...ทำไมมันไม่ไปไหนเลยวะ” สิ้นเสียงของปาล์ม ทั้งหมดก็พากันขยับเข้ามากระจุกกันที่ด้านหนึ่ง


“น...นั่นไง จริง ๆ ด้วย” ก้องกล่าวเสียงสั่นก่อนจะเหลือกตามองเพดาน “ต...ตึกนี้ ฮ...เฮี้ยนสุดนะจริง ๆ ด้วย”


“จะพูดทำไมวะ” โอที่ไม่เคยกลัวอะไรชักเริ่มใจคอไม่ดี


และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อปาล์มซึ่งยืนอยู่ใกล้ฝั่งที่มีปุ่มกดต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ท้ายทอย เขายกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเองก่อนจะหันกลับไปมองเพื่อน ๆ ซึ่งกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวไม่ต่างกัน ทุกคนต่างพากันมองสำรวจไปรอบ ๆ ชายหนุ่มตัวเล็กที่สุดในกลุ่มจึงได้แต่ก้มหน้าพร้อมกับหลับตาลงและเริ่มสวดมนต์เบา ๆ แต่กระนั้นบางสิ่งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรามือ


ปาล์มสะดุ้งโหยงก่อนจะกระซิบลอดไรฟันทั้งที่ยังหลับตาปี๋ “ค...โครตบหัวผม ฮือ...พ่อจ๋าแม่จ๋า...ช่วยปาล์มด้วย” สิ้นเสียงชายหนุ่มอาการเดิมก็เกิดขึ้นซ้ำ


“ฉันตบแกเองไอ้ปาล์ม แกไม่กดเลือกชั้นแล้วลิฟต์มันจะขึ้นให้แกไหมวะ” ประจำเมืองกล่าวอย่างหัวเสีย ในขณะที่อีกสามคนได้แต่ร้องอ้าวพร้อมกัน สุดท้ายก็เป็นปาล์มที่ต้องยอมตกเป็นเป้านิ่งให้เพื่อน ๆ รุมประชาทัณฑ์


“ใครจะไปรู้วะ บรรยากาศมันก็ชวนสยอง แถมไอ้ก้องก็บิ๊วต์จนขี้จะขึ้นไปอยู่บนสมองอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบ่นอุบขณะเอื้อมมือกดปุ่ม และเมื่อลิฟต์ถึงที่หมายเรื่องลี้ลับประจำค่ำคืนนี้ก็ปิดฉากลง...


ห้องพักบนอาคารที่พักบุคลากรของโรงพยาบาล นายแพทย์ขวัญนพที่เพิ่งออกจากห้องน้ำเดินตรงไปยังระเบียงก่อนจะจัดการตากผ้าเช็ดตัวกับราวที่ซื้อมาประกอบเอง  ชายหนุ่มกลับเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นราวกับอาณาจักรอันเป็นส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ คว้าแว่นตามาสวมแล้วเปิดตำราเล่มหนาที่อ่านค้างไว้เมื่อคืนก่อนออกอ่าน แม้สายลมเย็นจะพยายามพัดผ่านมากวักมือเรียกแต่ก็ไม่อาจฉุดให้เขาออกไปยืนรับลมชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนเหมือนกับที่หลาย ๆ คนทำเพื่อให้ผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวันได้


คิ้วหนาเรียงเส้นเผลอเคลื่อนเข้าหากันเมื่อพบว่านอกจากสายลมยามค่ำคืนจะพัดเอากลิ่นไอทะเลมารบกวนจมูกแล้วยังหอบเอาเสียงของใครคนหนึ่งมาทักทายกันด้วย ชายหนุ่มละสายตาจากตัวอักษรที่เรียงกันแน่นจนเต็มหน้ากระดาษแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยุดที่ระเบียงเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากห้องข้าง ๆ ที่แท้ก็เป็นเสียงของนักจัดรายการมือใหม่ประจำสถานนีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลนั่นเอง 


“...หลายคนมีความกลัวซ่อนอยู่ภายในใจ บางคนกลัวการเริ่มต้นใหม่ บางคนกลัวความสูง ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ แต่หากลองคิดทบทวนให้สักหน่อย เราอาจจะเห็นความสวยงามอยู่ในสิ่งที่เรากลัวก็ได้นะครับ การเริ่มต้นใหม่จะไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอีกต่อไปหากคุณลองก้าวข้ามความกลัวของตัวเองออกไปพบสิ่งใหม่ ๆ ลองยิ้มให้ใครสักคน หรือถ้าคุณกลัวความสูง ลองสลัดความกลัวแล้วมองไปข้างหน้า บางทีคุณจะได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตากว่าการมองลงไปที่ปลายเท้าของตัวเองก็ได้ แล้วถ้าคุณกลัวความมืด...ผมก็แค่อยากจะบอกว่า...คืนนี้ดาวสวยนะครับ”


จบประโยคนั้น คุณหมอหนุ่มผู้ไม่เคยเห็นเห็นความงดงามในสิ่งรอบตัวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างไม่รู้ตัว ในหัวเกิดคำถามว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เห็นดวงดาวมากมายเช่นนี้...


“ยิ่งมืดเท่าไร เราก็จะยิ่งเห็นดวงดาวชัดเจนขึ้นเท่านั้นและมันทำให้ผมนึกถึงเพลงหนึ่งมา ก่อนจะจากกันไป ผมขอส่งท่านผู้ฟังทุกท่านเข้านอนด้วยเพลงนี้ครับ พรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นมาอย่างสดใสรับวันใหม่ด้วยกัน ราตรีสวัสครับ”


สิ้นเสียงดีเจ เพลงเก่าเพลงหนึ่งก็แว่วมาตามสายลม...



...


ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2016 16:18:30 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1


..ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดาวว...

ช่าง เป็นการบำบัด ที่ดีจริงๆๆๆ

น้องประจำเมือง จะมาช่วยบำบัดคุณหมอ  อย่างไรน้อ...



ป่านนี้ ยังไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้ยินเสียง กันเลย  :sad4:

สงสัย ติดต่อ ผ่านทางเสียงไวโอลิน สินะ :ruready


  :-[  เราจะรอ นิยายความยาว 580 หน้า .#เจอกันหน้าสุดท้าย   ..

ออฟไลน์ xinpitar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ ความอบอุ่นแผ่ซ่าน ~~

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 3 คนไม่มีเวลา (1)


เมื่อผู้ป่วยรายสุดท้ายเดินออกจากห้องตรวจเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงของใครคนหนึ่งจะแทรกผ่านเข้ามาพร้อมกับยักคิ้วให้ชายหนุ่มในชุดกาวน์สูทสั้นแขนยาวที่เงยหน้าขึ้นมองพอเป็นพิธีเพียงแค่ให้รู้ว่าที่เดินเข้ามานั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรรีบกำจัดออกไป


กันตภณหยุดยืนที่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานคั่นกลาง มองคนที่กำลังง่วนอยู่กับการคีย์ข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นว่าการมาของตนเองไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนักเขาจึงยกแขนขึ้นกอดอกถอนหายใจพลางขยับปลายเท้าขึ้นลงให้พื้นรองเท้าหนังกระทบกับหินแกรนิตเกดเป็นจังหวะห่าง ๆ เพื่อเตือนให้อีกฝ่ายรู้ว่าในห้องยังมีเขาอยู่อีกคน


“มีอะไรหรือเปล่าพี่” ขวัญนพถามพร้อมกับใช้ปลายนิ้วชี้ดันแว่นให้กระชับกับใบหน้า หากแต่ดวงตายังคงเพ่งผ่านกระจกเลนส์ไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์


“จะมาถามว่าเย็นนี้นายว่างหรือเปล่า”


“ผมมีตรวจที่หอผู้ป่วยเด็ก”


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”


“ก็ต้องขึ้นไปเก็บของบนห้องทำงานเตรียมย้ายไปตึกใหม่ไง”


เป็นอีกครั้งที่ต้องทอดถอนใจกับชายหนุ่มผู้ที่ไม่ยอมปล่อยให้บนหน้าปัดนาฬิกามีพื้นที่สำหรับคำว่าพักผ่อนเลยแม้สักนาทีเดียว “ก่อนจะไปตรวจที่หอผู้ป่วยนี่ล่ะ เมื่อกี้น่ะเคสสุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ”


“ผมมีนัดกับฟ้าใส” พูดจบก็เคาะปลายนิ้วลงกับเมาส์ในขณะที่ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งปรากฏภาพที่ได้จากการเอกซเรย์สมอง


“ฟ้าใส?” ชื่อนั้นทำเอาชะงัก เสียงกระดิกปลายเท้าหยุดลงเอาเสียดื้อ ๆ เมื่อจู่ ๆ หน้าสวยของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว “นัดไปไหนกัน เดทหรือไง คบกันตอนไหนทำไมฉันไม่รู้”


คนฟังส่ายหน้าเอือม ๆ ก่อนจะตอบคำถามของอดีตพี่ระเบียบคณะแพทยศาสตร์ “ใช่เสียที่ไหนล่ะครับ มีธุระต้องคุยกันต่างหาก”


“ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วย” กัณตภณกล่าวแทบจะไม่ต้องคิด


“ทำไม? อย่าบอกนะว่าหึง” ขวัญนพหัวเราะในลำคอก่อนจะลุกขึ้นยืนรอฟังคำตอบจากปากของอีกฝ่าย


“หึงบ้าอะไรวะ คนอุตส่าห์จะตามไปเป็นไม้กันหมา เอ๊ย! กันหมอให้ต่างหาก”


“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่พี่กันต์เถอะครับ จะไปเป็นอะไรก็” แพทย์รุ่นน้องโคลงหัวน้อย ๆ พลางคลิกปิดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป


สองคนพากันไปยังอาคารสร้างใหม่ซึ่งอยู่ถัดไปทางด้านหลัง มุ่งหน้าสู่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกซึ่งติดป้ายชื่อของคนที่ต้องการมาพบ ขวัญนพเคาะเบา ๆ ก่อนเลื่อนประตูให้เปิดออก เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องนั่งรออยู่แล้วจึงส่งยิ้มให้แล้วหันไปเรียกอีกคนที่มาด้วยกัน 


“พี่กันต์ เข้ามาสิพี่ มัวยืนทำอะไรอยู่”


“กำลังดูว่ามาถูกห้องหรือเปล่า” ว่าพลางลากปลายนิ้วไล่ไปตามตัวอักษรบนป้ายชื่อพร้อมกับแกล้งอ่านเสียงดัง  “นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ เดชาสกุล”


และนั่นก็ทำเอาทำเอาคนในห้องถึงกับหน้าเบ้ “ไม่ผิดหรอกค่ะ!”


ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำโต้กลับ กันตภณก็กดยิ้มที่มุมปากแล้วโผล่หน้าเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงยียวน “นี่ห้องคุณหมอณรงค์ฤทธิ์เหรอครับ”


เท่านั้นลมหายใจเหนื่อยหน่ายก็ถูกพ่นออกจากปลายจมูกโด่งราวกับปั้นมาโดยประติมากรมืออาชีพ “อีกันต์! แกเข้ามานั่งเดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่เข้ามาฉันจะส่งแกไปแผนกทันตกรรม ให้หมอนภัทรผ่าเอาหมาออกจากปากแก บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเรียกชื่อจริง” เจ้าของห้องออกคำสั่ง และเขาก็คือเจ้าของชื่อ “ฟ้าใส” ที่ใคร ๆ พากันเรียก จะมีก็แต่กันตภณซึ่งเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มาตั้งสมัยเรียนมัธยมกระมังที่ยังคงเรียกชื่อเดิมให้ต้องเปิดฉากปะทะคารมกันร่ำไป


“รอนานไหม”


ยังคงเป็นขวัญนพที่คอยห้ามทัพเช่นทุกครั้ง


“ไม่นานหรอก เราเพิ่งตรวจคนไข้เสร็จพอดี” แม้ร่างกายจะเป็นชายแต่น้ำเสียงและท่วงท่ากลับอ้อนแอ้นนุ่มนิ่มราวกับผู้หญิง หากผมยาวระต้นคอนั่นไม่ถูกตัดสั้นเสียก่อนที่จะยาวประบ่า ใครที่ไม่รู้ก็คงจะพากันเข้าใจว่าเขาเป็นคุณหมอสาวสวยขวัญใจคนไข้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ไม่ผิดแน่


“เรานึกว่านพจะมาคนเดียวเสียอีก” ปากพูดกับคนที่กำลังนั่งลงแต่สายตากลับมองไปยังร่างสูงที่เดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์เข้ามา “ไม่คิดว่าจะมีปลิงติดขามาด้วย”


“น้อย ๆ หน่อยครับคุณหมอณรงค์ฤทธิ์ หล่อขนาดนี้มองยังไงเป็นปลิง แกน่ะดีตายละไอ้แมงกะพรุนไฟ เดินส่ายไปส่ายมายิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก” พูดจบก็กอดอกกึ่งนั่งกึ่งยืนพิงกับเตียงที่อยู่ติดกับผนังด้านหนึ่ง


“เขาเรียกว่าความพริ้วของบั้นท้ายค่ะ!” คุณหมอหน้าหวานกระแทกเสียง “แล้วถ้าจะให้ดี แกช่วยเรียกฉันว่าฟ้าใสแบบคนอื่น ๆ ด้วย หรือถ้ามันทำให้แกระคายปากนักก็เรียกฉันว่าฟาร์มแบบที่แกเคยเรียกก็ได้ ชื่อจริงน่ะมีไว้ให้คนไข้เรียกก็พอ จำใส่หัวโต ๆ ของแกเอาไว้”


ขวัญนพมองสองคนที่กำลังแยกเขี้ยวใส่กันแล้วได้แต่ส่ายหน้า “สองคนหยุดเถียงกันได้หรือยังครับ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันยังไงเนี่ย เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกที นี่ผมมาคุยเรื่องผล CT Brain ของคนไข้นะครับ”


สิ้นเสียงของคนอายุน้อยแต่ดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในห้องทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ที่ไม่ปกติคงจะเป็นสีหน้าของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลกรรมประสาทและสมองอย่างณรงค์ฤทธิ์ เขาเอื้อมมือขยับเมาส์ก่อนจะผลักหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ทุกคนได้เห็น มันคือภาพที่ได้จากการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ภาพเดียวกับที่ขวัญนพดูก่อนจะมาที่นี่


“ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่นายกำลังกังวล” เสียงขรึมของเพื่อนสนิททำให้กันตภณต้องเดินเข้ามาดูด้วยความใคร่รู้


ขวัญนพพยักหน้าพ่นลมหายใจร้อนออกจากปลายจมูกอย่างไม่รู้ตัว “คิดอยู่แล้วว่าน่าจะมี แต่ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้”


“คนไข้คนไหนนพ” กันตภณแทรกขึ้น


“ปูไข่ครับ ลูกชายของคุณปิยะ” ขวัญนพถอนใจ


“คุณปิยะ...คุณปิยะ อืม...คุณปิยะที่เป็นวิศวกรใช่ไหม”


“ครับ”


“โชคชะตานี่ชอบเล่นตลกกับชีวิตคนเนอะ กำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก ส่วนพ่อก็มาด่วนจากไปเพราะอุบัติเหตุ” เจ้าของหน้าสวยว่าพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “นี่แกรู้หรือยังว่าพ่อแกเสียชีวิตแล้ว”


ขวัญนพส่ายหน้า ตอบตามความจริง “ยัง...ยังหาโอกาสบอกไม่ได้”


คนถามพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วพูดต่อ “น่าสงสารนะ ไม่เหลือญาติที่ไหนเลย แต่ก็ยังดีนะที่อาจารย์หมอสัญชัยท่านเมตตารับไว้ในความดูแล”


จบประโยคนั้นจู่ ๆ ความเงียบงันก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ได้ยินเพียงเสียงพื้นรองเท้าหนังกระทบกับหินแกรนิตระหว่างที่กันต๓ณเดินกลับไปยืนที่เดิม


“ตัดออกได้ไหม”


นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ยืดตัวตรงจัดเสื้อกาวน์ยาวให้เข้าที่พร้อมกับสบตาคนถามก่อนจะมองเลยไปยังเพื่อนสนิทที่อยู่ห่างออกไป กันตภณเองก็คงอยากรู้คำตอบของมันเช่นกัน ที่จริงแล้วคำถามนี้ถือว่าเป็นคำถามที่ไม่น่ายากเกินกว่าที่ทั้งคู่จะตอบได้ ณรงค์ฤทธิ์เชื่อว่าต่างคนต่างรู้คำตอบอยู่ในใจหากแต่ต้องการการยืนยันโดยให้คนที่รู้ดีที่สุดอย่างเขาเป็นคนพูดมันออกมา


“อันตรายเกินไป คนไข้มีโอกาสเสี่ยงที่จะพิการเพราะก้อนเนื้อนั่นมีขนาดใหญ่มากและอยู่ใกล้กับก้านสมอง แถมคนไข้ยังมีอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วยอีก โรคนี้รักษาไม่หายอยู่แล้ว อย่างดีหน่อยก็อาจจะอยู่ได้สัก 2-5 ปี หรือบางคนก็อาจแค่เป็นเดือน จริง ๆ จะตัดหรือไม่ตัด...”


“แต่ถ้าตัดออกมาแล้วส่งตรวจเราก็จะได้รู้ว่าจะรักษายังไงต่อไม่ใช่เหรอ” ขวัญนพทะลุขึ้นกลางปล้อง


“ถึงจะตัดออกมาส่งตรวจเพื่อดูว่าเป็นเนื้อแบบไหนกันแน่ สมมติมันเลวร้ายกว่าที่คิดเราก็ไม่สามารถตัดออกได้หมด ช้าหรือเร็ว...” หยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “คนไข้ก็ต้องไปอยู่ดี อย่าให้คนไข้เจ็บตัวเลย สู้ปล่อยให้เขาได้มีความสุขในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ดีกว่า หรือแกว่าไงกันต์”


“เรื่องที่จะตัดหรือไม่ตัด ถ้าแกพิจารณาแล้วว่ามันมีความเสี่ยงสูงทุกคนก็ต้องยอมรับ” ในน้ำเสียงกวนอารมณ์นั้นยังมีความจริงจังซ่อนอยู่ “ส่วนเนื้อนั่นจะเป็นอะไร ฉันตอบไม่ได้จนกว่าจะเห็นผลการตรวจชิ้นเนื้อ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับแกว่าจะตัดออกมาหรือไม่ตัด ถ้าตัดมาแล้วส่งตรวจ ผลออกมาไม่เป็นอะไรก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้ามฉันก็ต้องรักษา แต่ฉันเชื่อว่าไอ้นพมันมันน่าคาดเอาไว้แล้วว่านั่นน่าจะเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะโรคนี้เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทมัส มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะทำให้เกิดมะเร็งที่อวัยวะอื่น ๆ ภายในร่างกาย” พูดจบก็สืบเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะวางมือลงบนบ่าของรุ่นน้องพร้อมกับออกแรงบีบเบา ๆ ด้วยตัวเขาเองเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดี


“แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เรารู้ปลายทางของมันอยู่แล้ว”


ขวัญนพเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนรุ่นพี่ก่อนจะพยักหน้าแสดงความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แม้ตัวเขาเองจะอยากช่วยเพียงใด แต่ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญต่างก็เห็นไปในทางเดียวกัน จากนี้ก็คงทำได้เพียงรักษากันตามอาการเพื่อให้ผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยที่สุดและมีความสุขที่สุดก่อนจะจากโลกนี้ไปเท่านั้น


....


ทันทีที่เดินออกจากหอผู้ป่วยเด็กในช่วงหัวค่ำขวัญนพก็ต้องประหลาดใจที่พบว่ากันตภณยังคงรอเขาอยู่ตามที่ได้บอกเอาไว้ก่อนจากแยกกันที่หน้าห้องของณรงค์ฤทธิ์เมื่อราวสองชั่วโมงที่ผ่านมา ร่างสูงยืนกอดอกพิงกำแพงเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงสิบหกชั้นที่เมื่อหลายปีก่อนครั้งที่เขายังเป็นแพทย์ใช้ทุนมันเป็นเพียงแค่ตึกสามชั้นเก่าคร่ำคร่าของโรงพยาบาลเท่านั้น โชคดีที่ได้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งมีวิสัยทัศน์กว้างไกลจากโรงพยาบาลเล็ก ๆ จึงได้ขยายขนาดเป็นโรงพยาบาลที่มีจำนวนเตียงเพิ่มขึ้น มีเครื่องมือที่ทันสมัย รวมถึงมีแพทย์ที่ชำนาญเฉพาะทางอย่างในวันนี้


"คิดว่าพี่กลับไปแล้วเสียอีก" ขวัญนพเอ่ยขึ้นเมื่อหยุดเดิน


"เห็นอยู่ว่ายืนหล่ออยู่นี่จะกลับไปไหนวะ"


"พรุ่งนี้พี่ต้องไปประชุมที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอครับ"


"ก็เพราะต้องไปประชุมนี่แหละถึงมีเรื่องอยากให้นายช่วยหน่อย”


"ระดับพี่กันต์ยังต้องมีอะไรให้ผมช่วยอีก"


กันตภณไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ยิ้มกว้างชวนสงสัย "ดื่มกาแฟกันหน่อยไหม คืนนี้ท่าทางจะดึกไม่ใช่เหรอ"


คนฟังพยักหน้าก่อนจะเดินตามชายหนุ่มที่อายุมากกว่าไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใต้อาคารที่สร้างใหม่ เมื่อผลักประตูกระจกเข้าไปข้างใน ภาพที่เห็นก็ทำเอาทั้งกันตภณและขวัญนพต้องแปลกใจ เพราะบรรดาหญิงสาวในชุดบุคลากรทางการแพทย์ต่างไปยืนกระจุกกันอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์คิวรอรับปากกาที่มีอยู่เพียงไม่กี่ด้ามเพื่อใช้เขียนบางสิ่งลงในกระดาษแผ่นแผ่นเล็ก ๆ ในมือ และเมื่อกระดาษเหล่านั้นถูกหย่อนลงกล่องกระดาษสีสวยที่เขียนหน้ากล่องว่า “มิวสิคบ็อกซ์” เป็นที่เรียบร้อย พวกเธอก็พากันเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับไปนั่งที่โต๊ะเงี่ยหูฟังเสียงของนักจัดรายการวิทยุที่ดังมาจากลำโพงตัวจิ๋วที่ต่อจากคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเจ้าของร้าน


“นายไปนั่งรอก่อน เดี๋ยวฉันไปสั่งกาแฟให้” กันตภณกล่าวก่อนจะแยกไปอีกทาง


ขวัญนพเดินมาหยุดที่โต๊ะริมกำแพงเอื้อมมือดึงเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงเงี่ยหูฟังท่อนสุดท้ายของเพลงที่ค่อย ๆ แผ่วลง ไม่นานคนมาด้วยกันก็เดินตามมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงของนักจัดรายการมือสมัครเล่นดังขั้น


“ชั่วโมงสุดท้ายก่อนจะจากกันไปเรามาเปิดมิวสิคบ็อกซ์กันดีกว่าปาล์ม ดูซิว่าวันนี้ใครขอเพลงอะไรกันมาบ้าง”


“ดีเลยครับ เริ่มจากอันนี้ก็แล้วกัน อันนี้จากคุณบิ๊กแผนกวิสัญญีครับ ขอเพลงอยากถูกเธอเรียกว่าแฟนให้คุณพลอยฝ่ายบัญชีพร้อมกับมีข้อความสั้น ๆ ฝากมาด้วย เดี๋ยวให้เมืองช่วยอ่านก็แล้วกันนะครับ”


“ทำไมคุณไม่อ่านเองครับ”


“ผมว่าคุณอ่านเถอะ”


“ถ้าอย่างนั้นเรามาอ่านไปพร้อม ๆ กันนะครับท่านผู้ฟัง คุณบิ๊กฝากข้อความถึงคุณพลอยว่าทำงานจนไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ไหน ก็เลยจะได้เธอมาช่วยทำบัญชี เจอแบบนี้เข้าไปไม่รู้ว่าคุณพลอยจะตอบยังไงนะครับ เราไปฟังเพลงกันดีกว่าครับ อยากถูกเธอเรียกว่าแฟน”



สิ้นเสียงนักจัดรายการหนุ่มคนที่นั่งจับกลุ่มตั้งใจฟังก็พากันบิดม้วนราวกับเธอทุกคนชื่อพลอยและทำงานอยู่แผนกบัญชีก็ไม่ปาน
ขวัณนพละสายตาจากกลุ่มของกลุ่มสาว ๆ มองถ้วยกาแฟร้อยที่พนักงานยกมาวางลงตรงหน้าเมื่อเสียงอินโทรเพลงดังขึ้น


“ตกลงพี่จะให้ผมช่วยอะไรกันแน่”


“อาจารย์หมอสัญชัยให้ฉันช่วยดูแลนักศึกษาปริญญาโทที่ขอมาทำวิจัยกับกลุ่มผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคมะเร็งน่ะ ก็พวกที่กำลังจัดรายการอยู่นี่แหละ ฉันเคยเล่าให้นายฟังแล้ว” กันตภณหยุดไปชั่วขณะ ใช้ช้อนคนน้ำสีดำในถ้วยระหว่างรอการยืนยัน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “แต่ฉันจะไม่อยู่หลายวันก็เลยจะฝากนายให้ช่วยดูแลแทนหน่อย เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ นายจะว่ายังไง”


“ผมยังปฏิเสธได้เหรอ”


“ไม่ได้ เพราะฉันบอกเจ้าพวกนั้นไว้แล้ว ที่สำคัญคือบอกอาจารย์หมอสัญชัยไปแล้วด้วย”


“แล้วพี่กันต์จะมาถามผมทำไม” ขวัญนพถอนใจก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ


“ถามเป็นมารยาทน่ะ”


“ก็นั่นน่ะสิ” คนอายุน้อยกว่ากล่าวเมื่อวางถ้วยกาแฟลง


“เอาน่า จะได้มีอะไรให้ทำ ชีวิตจะได้ยุ่ง ๆ”


“ทุกวันนี้ที่ทำอยู่ยังเห็นผมยุ่งไม่พอหรือไง”


“ก็ไอ้ทำอยู่ทุกวันก็เพราะอยากจะยุ่งจนไม่มีเวลาให้คิดถึงเรื่องอื่นไม่ใช่เหรอ”


“เรื่องอะไรของพี่” ถามไปทั้งที่ในใจก็มีคำตอบอยู่แล้ว


“ก็เรื่องคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุรถตกคันกั้นริมทะเลเมื่อครึ่งปีก่อนไง ชื่ออะไรนะ”


“สิรันทร”


“นั่นไง จำไม่ลืมเลยต้องทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ลืม”


“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ก็เมื่อกี้พี่กันต์ถามผม”


“เอาเถอะน่า จะอะไรก็ช่าง สรุปว่านายรับปากแล้วนะ”


ขวัญนพพยักหน้าเบา ๆ เรื่องที่กันตภณขอให้ช่วยไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอะไรซ้ำยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนักมากเมื่อเทียบกับหลาย ๆ เรื่องที่อีกฝ่ายเคยให้ความช่วยเหลือกันมาตั้งแต่ครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัย กระนั้นลมหายใจร้อนถูกผ่อนผ่านปลายจมูกเป็นครั้งที่สองในขณะที่ดวงตาคมทอดมองของเหลวในถ้วย


"ยังคิดถึงเรื่องเด็กคนนั้นอยู่อีกเหรอ"


"ผมว่าโลกนี้มันไม่มีความยุติธรรมเลย"


กันตภณไม่ได้แสดงความเห็นแต่กลับผ่อนลมหายใจยาวพลางยกกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากลำโพงตัวเล็ก


“ก่อนจะจากกันไปในวันนี้ครับ เรามาอ่านข้อความจากมิวสิคบ็อกซ์กันอีกสักข้อความดีกว่า” เสียงทุ้มนุ่มของดีเจคนเดิมดังแทรกเสียงเพลงที่ค่อย ๆ แผ่วลง “เป็นข้อความจากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามนะครับ เขาขอเพลงเธอคือหัวใจของฉันให้กับ... แหม ชื่อน่ารักจังเลยนะครับ อยากเห็นตัวจริงจังว่าจะน่ารักเหมือนชื่อหรือเปล่า”


“คุณอ่านเลยครับคุณเมือง ผมลุ้นจะแย่แล้ว”


“อ่านข้อความก่อนก็แล้วกันนะครับ เขาบอกว่า มีเนื้อร้ายยังใช้มีดตัดออกได้ แต่ถ้ามีเธอในใจจะใช้อะไรตัดดีครับ...คุณหมอฟ้าใส”



พรวดดด   !!!


นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งวางถ้วยกาแฟลงก่อนจะรีบคว้ากระดาษชำระที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาเช็ดปาก เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกทีก็พบว่านอกจากขวัญนพแล้วยังมีสายตาอีกหลายคู่กำลังจับจ้องมายังตนเอง


“พี่หรือเปล่า” หนุ่มรุ่นน้องกระซิบเสียงแผ่ว


“ไม่ใช่โว้ย!” กันตภณส่ายหัวดิกเชื่อแล้วว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมจริง ๆ


....

(มีต่อ)

เดี๋ยวว่าง ๆ จะรีบมาต่อนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2016 11:31:56 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ LEO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

อายุรแพทย์ระบบประสาทฯ ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นหาว ถึงจะไม่ได้อยู่เวรแต่เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบขึ้นวันใหม่ นั่นเพราะอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีพิธีเปิดอาคารสร้างใหม่ ทำให้บรรดาแผนกต่าง ๆ ที่ย้ายไปกระจุกกันอยู่ตามอาคารต่าง ๆ ต้องเตรียมย้ายกลับ รวมถึงตัวขวัญนพเองก็ต้องย้ายตำหรับตำราและหนังสือมากมายจากห้องทำงานชั่วคราวที่อาคารโบราณหลังนี้เพื่อไปยังพื้นที่ที่โรงพยาบาลจัดให้ ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือลุกขึ้นยืนก่อนจะถอดกาวน์สูทตัวสั้นพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ จัดการพับแขนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนจากนั้นจึงเดินออกจากห้องตรวจ เมื่อผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลเห็นบรรดาสาว ๆ กำลังจับกลุ่มพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียงนักจัดรายการวิทยุแว่วมาจากศัพท์มือถือของใครสักคนในกลุ่ม แต่ขวัญนพก็หาได้สนใจเพราะในหัวมีแต่เป้าหมายที่จะไปให้ถึงเท่านั้น


นับตั้งแต่มีร้านกาแฟมาเปิดใหม่ก็ทำให้เขาไม่ต้องรวบมื้อเช้าและกลางวันไปไว้ในเวลาเย็นหรือค่ำเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งอาหารสำหรับคุณหมอที่แทบจะไม่มีเวลาหยุดพักนั้นหนีไม่พ้นกาแฟกับแซนด์วิชโฮมเมดซึ่งทำจากขนมปังโฮลวีต จะให้หนักท้องกว่านั้นหน่อยก็บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีขายอยู่ภายในร้าน ขายาวก้าวไปตามทางเดินระหว่างตึกผ่านลานจอดรถกระทั่งจนถึงอาคารสิบหกชั้นที่ตั้งตระหง่านรอคอยให้การช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมองผ่านผนังกระจกเข้าไปในร้านเห็นโต๊ะตัวเดิมยังว่างก็นึกถึงเรื่องที่กันตภณขอร้องให้ช่วยขึ้นมาได้ คิดได้ดังนั้นขวัญนพจึงดึงกระดาษใบหนึ่งที่คนไม่อยู่ให้มาตั้งแต่เมื่อคืนจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตพร้อมกับผลักประตูกระจกเข้าไปในร้าน


“ประจำเมือง” หมอขวัญนพทวนข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดในใจ เพิ่งเห็นว่าใต้ชื่อนั้นไม่มีรายละเอียดอื่นใดนอกจากหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้าของชื่อ ชายหนุ่มเดินไปหยุดที่เคาน์เตอร์ รอพนักงานสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการแต่งหน้ากาแฟ เงยหน้าขึ้นมองรายการเครื่องดื่มไปพลาง ๆ จึงไม่ทันได้สนใจสี่หนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่กระทั่งประโยคหนึ่งดังขึ้น


“ไอ้เมือง สั่งน้ำแล้วเปิดมิวสิคบ็อกซ์เอากระดาษโน้ตออกมาด้วยนะ”


“อื้อ” ได้ยินเสียงตอบรับเบา ๆ ก่อนจะที่ใครคนหนึ่งจะเดินมาหยุดข้าง ๆ กัน


“โกโก้ปั่นสอง ชาเขียวเย็นหนึ่งแล้วก็นมร้อนไม่ใส่น้ำตาลเหมือนเดิมนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะวางถ้วยกาแฟลงบนถาดรอให้อีกคนมายกไปเสิร์ฟ


“ครับ แต่ว่าผมมาทีหลังครับ” หนุ่มแปลกหน้ายิ้มน้อย ๆ พลางกระชับสายสะพายกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีบนบ่าและหันไปเปิดฝากล่องกระดาษที่อยู่ถัดไปไม่ไกล


“อุ้ย! ขอโทษค่ะ คุณหมอรับกาแฟร้อนกับแซนด์วิชเหมือนเดิมใช่ไหมคะ”


“ครับ” ขวัญนพตอบพลางเบนสายตาไปยังคนที่กำลังหยิบกระดาษโน้ตที่สาว ๆ เขียนขอเพลงขึ้นมาเรียงบนฝ่ามือ


“คนขอเพลงเยอะไหมคะน้องเมือง” หญิงสาวที่เดินกลับมาพร้อมถาดใส่จานขนมและแก้วเปล่าเอ่ยขึ้นก่อนจะอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์


“เยอะเหมือนกันครับ” ปากพูดไปมือก็ยังคงเรียงกระดาษใบเล็ก ๆ ไปด้วย


“พี่น่ะเปิดฟังทุกวันเลยนะ ว่าแต่เมื่อคืนคนที่ขอเพลงให้คุณหมอฟ้าใสน่ะใครกันเหรอคะ”


“อืม...เขาไม่บอกจริง ๆ ครับพี่ เขาใช้ชื่อว่าผู้ไม่ประสงค์จะออกนามตามที่ผมอ่านนั่นแหละครับ”


“แหม...เสียดายจัง อดรู้เลยว่าใครกันนะขอเพลงให้คุณหมอฟ้าใส”


“แสดงว่าคุณหมอต้องน่ารักมาก ๆ เลยใช่ไหมครับ พวกผมไปไหนก็มีแต่คนถามว่าใครขอเพลงให้คุณหมอฟ้าใส” ประจำเมืองปิดฝากล่องลงเหมือนเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม


“น่ารักจ้ะ น่ารักมากด้วย จริงไหมคะหมอนพ”


อายุรแพทย์หนุ่มที่กำลังจะเดินไปหาที่นั่งชะงักกึกจำต้องหันกลับมาตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม ในจังหวะนั้นดวงตาสองคู่ก็สบกันเข้าโดยบังเอิญ แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มแปลกหน้าจะไม่ได้จริงจังกับคำตอบสักเท่าไร ซ้ำยังหมุนตัวทำท่าจะเดินไปอีกทาง


“เดี๋ยวก่อนครับ”


ประจำเมืองหันกลับมาอีกครั้งมองหน้าคนเรียกให้แน่ใจว่าเคยเจอชายคนนี้มาก่อน “ครับ? จะขอเพลงเหรอครับ” กล่าวเมื่อสายตาเลื่อนลงมายังกระดาษในมือของอีกฝ่าย


“เปล่า” ขวัญนพเสียบกระดาษแผ่นน้อยลงในกระเป๋าเสื้อ “แค่จะถามว่าพวกคุณคือนักศึกษาปริญญาโทในความดูแลของคุณหมอกันตภณใช่หรือเปล่า”


“ครับ”


“ผมชื่อขวัญนพ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นประจำเมืองก็ยิ้มกว้างยกมือไหว้คนอายุมากกว่าก่อนจะเชิญให้อีกฝ่ายไปนั่งร่วมโต๊ะ


“นี่พี่โอครับ ส่วนคนโน้นก้อง นี่ปาล์ม ส่วนผมชื่อเมืองครับ”


สามคนที่นั่งอยู่ก่อนพากันยกมือไหว้จากนั้นจึงเชิญให้ผู้มาใหม่นั่งลง


“สัปดาห์นี้พี่กันต์ต้องไปประชุมที่กรุงเทพฯ ก็เลยฝากให้ผมดูแลพวกคุณ ทราบแล้วใช่ไหม”


“ทราบครับ พี่กันต์บอกพวกเราไว้แล้ว” โอซึ่งถือว่าเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มเอ่ยขึ้น


“แล้วนี่พักกันที่ไหน”


“บ้านไอ้ก้องครับ แต่เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ก็จะเหลือไอ้เมืองคนเดียวแล้ว เพราะพวกผมต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ผมกับไอ้ก้องเป็นครูสอนดนตรีครับ เดือนหน้าโรงเรียนจะเป็นเทอมแล้วคงอยู่ช่วยไอ้เมืองมันได้แค่ช่วงนี้ ส่วนไอ้ปาล์มคงไป ๆ มา ๆ เพราะต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะถูกป๊าตัดออกจากกองมรดก”


ท้ายประโยคของโอทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อเสียงพนักงานสาวก็แทรกขึ้น “กาแฟร้อนกับแซนด์วิชของคุณหมอค่ะ”


“ขอบคุณครับ” พูดจบก็ส่งธนบัตรจำนวนพอดีกับราคาของให้


“ทานแค่นี้อิ่มเหรอคะหมอ”


เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ปล่อยให้การสนทนาเยิ่นเย้อ เขายิ้มน้อย ๆ แล้วหันกลับมากล่าวกับกลุ่มนักศึกษา


“ผมต้องไปแล้วนะ”


“ทานข้าวด้วยกันก่อนไหมครับ” เป็นประจำเมืองที่เอ่ยขึ้นในขณะที่คนอื่น ๆ พยักหน้าสนับสนุน


“ไม่ดีกว่า ผมต้องกลับไปตรวจคนไข้อีก ขอบคุณมากนะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ ปกติผมจะอยู่ที่ตึกสองชั้นที่อยู่ถัดจากลานจอดรถ”  พูดจบนายแพทย์ขวัญนพก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้าน


“เป็นอาชีพที่ดูเหนื่อยว่ะ พ่อแม่แกเป็นแบบนี้หรือเปล่าวะไอ้เมือง” ปาล์มสะกิดถามคนนั่งข้างกัน


“อือ ก็ประมาณนี้แหละ” ลูกชายสูตินรีแพทย์กล่าวพลางมองตามร่างสูงที่ค่อย ๆ ลับตาไป...


....

(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2016 11:27:38 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


กว่าจะตรวจผู้ป่วยนอกเรียบร้อยก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย ขวัญนพเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทอดตามองเศษซากแซนด์วิชที่กัดไปได้เพียงครึ่งชิ้นกับแก้วกระดาษบุบบี้ ทั้งหมดยังคงอยู่ในถุงพลาสติกที่แขวนอยู่กับลิ้นชักข้างโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะคว้าถุงแล้วหย่อนลงในถังขยะหน้าห้องตรวจ เดินลงมาตามบันไดไม้สักที่ทอดเวียนลงสู่โถงด้านล่าง


มองไปรอบ ๆ พบว่าคนไข้บางตากว่าเมื่อช่วงเช้ากระนั้นท่วงทำนองจากไวโอลินของคุณตาสุธีก็ยังคงแว่วกังวานต่อเนื่อง หากแต่วันนี้กลับเป็นบทเพลงที่ฟังมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าที่ผ่านมาจนน่าแปลกใจ ขวัญนพกวาดตามองหาต้นกำเนิดเสียง ในที่สุดก็พบชายชรากำลังนั่งขยับคันชักขึ้นลงอยู่ที่มุมหนึ่ง ใกล้ ๆ กันคือหนุ่มนักศึกษาที่เพิ่งพบกันเมื่อตอนก่อนเที่ยง ทันทีที่เสียงแหลมคมปลิวหายไปในอากาศบรรดาผู้ป่วยและญาติที่นั่งกันอยู่แถวนั้นต่างก็พากันปรบมือให้ และเมื่อลูกชายของคุณตาสุธีกลับมาจากเคาท์เตอร์จ่ายยาก็ถึงเวลาที่หนุ่มนักศึกษาต้องกล่าวคำอำลาก่อนจะเดินตรงมายังบริเวณที่ขวัญนพยืนอยู่


“มาทำอะไรที่นี่” 


“คุณหมอนั่นเอง ผมแวะเอาโน้ตเพลงมาให้คุณตาครับ คราวก่อนบอกคุณตาเอาไว้ ขืนเล่นแต่เพลงเศร้า ๆ เดี๋ยวจะพาคนอื่น ๆ เศร้าตามไปด้วย” ประจำเมืองตอบพลางมองไปยังสองพ่อลูกที่ลูกชายกำลังช่วยผู้เป็นพ่อเก็บไวโอลินลงกระเป๋า


“เพื่อน ๆ ไปไหนกันหมด”


“ไปจัดรายการครับ” คนอายุน้อยกว่าหันมาตอบ ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม


“แล้วคุณล่ะ ไปไหนต่อ”


“ผมจะไปหอผู้ป่วยเด็กครับ นัดกับเด็ก ๆ เอาไว้ว่าจะไปเล่นดนตรีให้ฟัง”


“ถ้าอย่างนั้นไปพร้อมกันเลยไหม ผมกำลังจะไปที่นั่นอยู่พอดี”


ประจำเมืองพยักหน้าก่อนจะปล่อยให้เจ้าถิ่นพาลัดเลาะไปตามทางเดินระหว่างตึกกระทั่งมาถึงสวนสุขภาพของโรงพยาบาล จากตรงนี้เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงชายหาดสีขาวทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ตั้งแต่มาที่นี่หนุ่มกรุงเทพฯ ยังไม่มีโอกาสให้เท้าได้สัมผัสผืนทรายเลยสักครั้ง 


“ดีจังเลยนะครับ อยู่ใกล้ทะเลแบบนี้คุณหมอแล้วก็ใคร ๆ ที่นี่คงลงมาเดินเล่นทุกวัน”


“เราไม่มีเวลามากขนาดนั้นหรอก อยู่ใกล้ทะเลแต่วัน ๆ แทบจะไม่ได้เห็นทะเลเลย” ขวัญนพตอบพร้อมกับขยับแว่นสายตาหยุดมองเกลียวคลื่นสีขาวที่กำลังซัดเข้าหาฝั่ง


“ผมก็มีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง คุณหมอก็มีเวลายี่สิบชั่วโมง ทุกคนมีเวลาเท่า ๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันยังไง”


“อืม...ก็จริง” เข้าใจทุกอย่างดีแต่ตัวเขาเองกลับเลือกที่จะใช้ยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีให้หมดไปกับการทำงาน เหตุผลง่าย ๆ ก็คงเป็นอย่างที่กันตภณเคยพูดเอาไว้...แค่อยากจะทำตัวยุ่ง ๆ ให้ลืมเรื่องบางเรื่องหรืออาจจะหลายเรื่อง คุณหมอหนุ่มหล่อผ่อนลมหายใจยาว นึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันมาพูดกับคนที่ยืนห่างไปไม่ไกล


“อันที่จริงเรียกพี่ก็ได้นะ”


“ถ้าอย่างนั้นแลกกัน พี่เรียกผมว่าเมือง ตกลงไหม”


ได้ฟังดังนั้นนายแพทย์ขวัญนพก็คลี่ยิ้มพลางพยักหน้าน้อย ๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าจะทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ จากนั้นสองคนก็เดินต่อไปจนกระทั่งถึงอาคารกุมารเวชกรรมก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสี่ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอผู้ป่วยเด็ก ไม่ทันที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกดีเสียงแจ๋วของคนรอก็ดังแว่วมาแต่ไกล


“พี่เมืองมาแล้ว!”


ขวัญนพมองตามร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสี่ขวบในชุดกระโปรงสีขาวแต้มลายจุดสีชมพูที่กำลังวิ่งหน้าเริดเข้ามาจนผมหน้าม้ากระจาย เธอยิ้มกว้างหยุดรอให้เจ้าของชื่อย่อตัวลงก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่นราวกับสนิทสนมกันมานาน


“คิดถึงพี่เมืองเหรอคะคนสวย”


“คิดถึงค่ะ อยากให้พี่เมืองมาไว ๆ”


ประจำเมืองยิ้มพลางมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นจัดผมม้าเต่อให้เข้าที่ พลันหูก็ได้ยินเสียงกระแอมเบา ๆ ดังมาจากร่างสูงที่เดินมาหยุดยืนข้าง ๆ


“อานพก็มา” ว่าแล้วหนูน้อยก็ผละออกจากอ้อมอกเขย่งปลายเท้าพร้อมกับชูสองแขนขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้คุณอารูปหล่อช่วยอุ้มเธอขึ้น


“นึกว่าลืมอานพเสียแล้ว” พูดจบขวัญนพก็อุ้มเด็กหญิงเข้าเอว ใช้ปลายนิ้วเขี่ยแก้มยุ้ยอย่างมันเขี้ยว


“ไม่ลืมค่ะ”        


“วันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอคะ”


“โรงเรียนปิดเทอมแล้วค่ะ วันนี้ยี่หวามาช่วยคุณแม่ทำงาน”


“แล้ววันนี้ยี่หวาช่วยคุณแม่ทำอะไรบ้างคะ”


“วิ่งเล่นค่ะ”


คำตอบตรงไปตรงมาของเด็กหญิงทำเอาผู้ใหญ่สองคนที่ได้ฟังเผลอสบตากันก่อนจะหัวเราะ


 “ยี่หวา หนูสวัสดีอานพกับพี่เมืองหรือยังลูก” หญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดเดรสสีเข้มสวมทับด้วยเสื้อกาวน์ตัวยาวเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามา เธอรับไหว้นักศึกษาหนุ่มที่เคยพบกันแล้วหลายครั้งก่อนจะหันไปถามคำถามนั้นกับลูกสาวอีกครั้ง ในขณะที่เด็กหญิงเองก็ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับเกาศีรษะตัวเองเขิน ๆ เพราะมัวแต่ดีใจจนลืมที่คุณแม่เคยสอนไปเสียสนิท


“ไม่เป็นไรเนอะ เราเพื่อนกัน” ขวัญนพหัวเราะในลำคอก่อนจะกดปลายจมูกลงบนแก้มใส ส่วนเจ้าของพวงแก้มน่าฟัดก็ตอบกลับด้วยการใช้สองมือเล็ก ๆ แตะเข้ากับข้างแก้มสากบีบเบา ๆ เท่าที่แรงตัวเองมี


“เดี๋ยวตีตายเลยนพนี่ ทำหลานเคยตัว” ว่าแล้วกุมารแพทย์สาวสวยก็หันไปพูดกับชายหนุ่มอีกคน “เมืองห้ามเอาเป็นตัวอย่างเด็ดขาดนะ ไม่ไหว ๆ ผู้ใหญ่แบบนี้”


“โธ่...พี่วา ผมล้อเล่นน่า” พูดจบก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงปล่อยเด็กหญิงในอ้อมแขนให้ยืนด้วยตัวเอง หลังจากเท้าสัมผัสพื้นได้ไม่นาน หนูน้อยก็คว้ามือพี่ชายนักดนตรีก่อนจะพากันเดินเข้าไปในหอผู้ป่วยเด็กซึ่งเพื่อน ๆ ของเธอกำลังรออยู่


“นพรู้จักเมืองแล้วใช่ไหมพี่จะได้ไม่ต้องแนะนำ”


“รู้จักกันแล้วครับ พอดีพี่กันต์ไม่อยู่เลยฝากให้ผมช่วยดูแลนักศึกษาแทน” ขวัญนพอธิบาย


แพทย์หญิงวารุณีพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อ “นพมาก็ดีแล้ว”


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“วันนี้ปูไข่แกซึมทั้งวัน บ่นว่าอยากเจอคุณพ่อ พี่ว่าเราคงยื้อเวลาต่อไปไม่ได้แล้วละ นี่ตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมพูดกับใครเลย กับยี่หวาที่เคยเล่นกันก็ไม่ยอมเล่นด้วย”


“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะคุยกับแกเอง”


ขวัญนพเดินตามวารุณีเข้าไปภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เรียงรายไปด้วยเตียงคนป่วย เด็กบางคนที่ต้องได้รับยาและสารอาหารทางเส้นเลือดจำต้องนั่งหรือนอนอยู่บนเตียงตามที่คุณหมอสั่งแม้อยากลุกขึ้นไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ มากเพียงใดก็ตาม ในขระที่เด็กอีกหลายคนที่สามารถเดินเหินได้เป็นปกติก็พากันจับกลุ่มเล่นของเล่นอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งพี่ ๆ พยาบาลจัดไว้ให้ ทั้งหมดล้วนเป็นภาพที่เห็นจนเจนตา เจ้าของร่างสูงลอบถอนหายใจเบา ๆ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีที่ถูกปลดออกแล้ววางพิงไว้ข้างเตียงที่ยังว่างโดยมีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในชุดกระโปรงลายจุดคอยด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ไม่ห่างราวกับว่ามันเป็นวัตถุประหลาด ส่วนเจ้าของกระเป๋านั้นกำลังนั่งล้อมวงพูดคุยอยู่กับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่มาเฝ้าบุตรหลานของตนเอง ในที่สุดแพทย์หญิงวารุณีก็พาคุณหมอเจ้าของไข้ของเด็กชายปูไข่เดินผ่านวงสนทนานั้นกระทั่งหยุดที่หน้าช่องทางเดินหนึ่งซึ่งขนาบข้างด้วยเตียงคนไข้ทั้งสองฝั่ง 


“พี่ฝากด้วยนะนพ” เธอกล่าวพลางเบนสายตาไปยังเตียงที่อยู่ติดริมหน้าต่าง ขวัญนพรับคำเบา ๆ ก่อนจะเดินไปตามแนวทางเดินระหว่างเตียงคนไข้ จิตใจของเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับเด็กชายร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังยืนเกาะขอบหน้าต่างทอดตามองออกไปด้านนอก จึงไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองตามในทุก ๆ ย่างก้าวของตนเอง


อายุรแพทย์ระบบประสาทฯ หยุดยืนข้างเด็กชายก่อนจะมองผ่านกระจกหน้าต่างไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ แม้ซี่เหล็กดัดจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นแต่ก็ยอมรับว่ามันไม่อาจลดความสวยงามของสิ่งที่เห็นตรงหน้าลงได้


“อาหมอ” เด็กชายแก้มยุ้ยหันมายกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำสวัสดี


ขวัญนพยิ้มให้จากนั้นจึงถอยไปนั่งลงที่เตียง “ไหน มานั่งข้าง ๆ อาซิ อามีเรื่องจะถาม”


เมื่อได้ฟังดังนั้น เด็กชายก็เดินตามมานั่งอย่างว่าง่าย “อาหมอจะถามอะไรปูไข่เหรอฮะ”


“อาอยากรู้ว่าวันนี้ปูไข่ดื้อกับพี่พยาบาลหรือคุณอาหมอวารุณีหรือเปล่า” พูดพลางยกแขนขึ้นโอบไหล่เล็กเอาไว้


“เปล่าครับ ปูไข่ไม่ดื้อ พ่อเคยบอกว่าอยู่ที่นี่ห้ามดื้อ เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน”


“เก่งมาก ถ้าคุณพ่อรู้คุณพ่อต้องภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มากแน่ ๆ”


“แล้วพ่อของปูไข่ไปไหนฮะ ทำไมไม่มากับอาหมอด้วย พ่อไม่มาหาปูไข่หลายวันแล้ว ที่คุณแม่ของข้าวฟ่างบอกว่าพ่อปูไข่ตายแล้วจริงหรือเปล่าครับอาหมอ”


เด็กชายถามเสียงเครือมือกำแขนเสื้อกาวน์จนยับยู่ยี่ ยิ่งอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำในสิ่งที่ได้ฟังมา พลันน้ำใส ๆ ก็เอ่อคลอรอบดวงตาก่อนจะล้นนองอาบสองแก้ม กระนั้นหนุ่มน้อยก็ยังฝืนนั่งตัวตรงกลั้นเสียงสะอื้นเสียจนใบหน้าแดงก่ำ หัวคิ้วขมวดมุ่นกับเส้นเลือดปูดโปนที่ปรากฏขึ้นกลางหน้าผากแสดงให้เห็นว่าเขากำลังใช้ความพยายามอย่างเหลือแสนในการหักห้ามความรู้สึกของตนเอง


“ร้องออกมาเถอะ เป็นลูกผู้ชายเข้มแข็งแต่อย่าไร้หัวใจ” ขวัญนพกล่าวเบา ๆ พร้อมกับรั้งร่างจ้ำม่ำเข้ามากอด เท่านั้นคนที่หัวใจกำลังอ่อนแอก็ไม่อาจสะกดความรู้สึกของตนเองได้อีกต่อไป เด็กชายสะอื้นฮักซบหน้าลงกับอกแกร่งกอดเอวคุณอาหมอของเขาเอาไว้แน่น ความโศกเศร้าโรยตัวลงโอบล้อมสองคนเอาไว้ ทั้งที่บุคลากรทางการแพทย์ คนไข้และญาติ ๆ ต่างก็อยู่กันเต็มไปหมด แต่ภายในหอผู้ป่วยกลับเงียบเชียบราวกับทุกคนกำลังร่วมเสียใจและเอาใจช่วยหนูน้อยให้ผ่านช่วงเวลาแสนเลวร้ายนี้ไปให้ได้


เป็นเวลานานเหลือเกินกว่าที่เด็กชายจะคลายสะอื้น ขวัญนพยิ้มจาง ๆ พร้อมกับวางมือลงบนแผ่นหลังเล็กแล้วลูบขึ้นลงเพื่อปลอบประโลม พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ปูไข่ชอบทะเลไหม”


ถึงจะอยู่ในอารมณ์เศร้าแต่ด้วยความไร้เดียงสาเจ้าของแก้มยุ้ยก็ยังอุตส่าห์เงยหน้าขึ้นตอบคำถามของคุณอาหมอด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ช...ชอบฮะ ป...ปูไข่ชอบเล่นน้ำทะเล เล่นทราย”


“ผิดกับอา ตอนเด็ก ๆ อาไม่ชอบทะเลเลย”


“ท...ทำไม ทำไมล่ะครับ” เด็กชายปูไข่ถามพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา


“ตอนที่อาอายุเท่าปูไข่ พ่อพาอากับแม่ไปเที่ยวทะเล วันนั้นแม่ตื่นแต่เช้าเตรียมอาหารใส่ปิ่นโต ส่วนอากับพ่อเราช่วยกันเตรียมอุปกรณ์สำหรับก่อกองทรายแล้วก็ช่วยกันขนของขึ้นรถ” ชายหนุ่มกล่าว ดวงตาของเขาทอประกายหากแต่ประกายในตานั้นไม่ได้เกิดจากความแช่มชื่นยามเมื่อได้นึกถึงภาพครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้า แต่กลับเป็นประกายจากหยาดน้ำใสที่เคลือบกลบทั้งสองตาซึ่งทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง “พอถึงทะเลเราก็ขนของลงจากรถ ปูเสื่อบนหาดทราย ก่อกองทรายเป็นรูปปราสาท จากนั้นเราก็จูงมือกันลงไปเล่นน้ำ ไม่มีใครรู้เลยว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้จับมือกัน”


“ทำไมล่ะฮะ” ปูไข่ถามพาซื่อ


“เราเล่นน้ำกันจนใกล้ค่ำ ไม่ทันได้สังเกตว่ากระแสลมเริ่มแรงขึ้น ท้องฟ้าขมุกขมัว จู่ ๆ คลื่นลูกใหญ่ก็ซัดเข้ามาจนทุกคนจมอยู่ใต้น้ำ พ่อของอากอดอาเอาไว้แน่นก่อนจะถีบตัวขึ้นเหนือน้ำ อาเห็นพ่อหน้าซีดมาก ปากก็เรียกหาแม่ไปด้วยแต่ก็ไม่รู้ว่าแม่อยู่ไหน พ่อพาอาขึ้นมาส่งที่ชายหาดก่อนจะกลับลงไปหาแม่อีกครั้ง ได้ยินเสียงกรีดร้องของคนแถวนั้นตอนที่คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามาแล้วก็พาพ่อจมหายไปในทะเล แล้วตั้งแต่วันนั้นพ่อกับแม่ของอาก็ไม่กลับมาอีกเลย”


“อ...อาหมอ...” เด็กชายยืดตัวขึ้นก่อนจะเอื้อมมือเช็ดน้ำตาที่ข้างแก้มของคนพูด


“ไม่ใช่แค่ปูไข่หรอกนะที่ต้องร้องไห้เสียใจในวันที่พบว่าพ่อจากไปแล้ว อากับอีก ๆ หลายคนก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาเหมือนกัน ทุกครั้งที่อาร้องไห้ อาจะบอกตัวเองเสมอว่าพรุ่งนี้เราจะเข้มแข็งขึ้น”


“แล้วตอนนี้อาหมอยังไม่ชอบทะเลอยู่หรือเปล่าครับ”


“ทุกวันนี้ก็ยังไม่ชอบ” ขวัญนพผ่อนลมหายใจยาว หลังจากภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ตนเองพยายามจะเก็บซ่อนเอาไว้ในซอกหลีบของความทรงจำถูกกางออกอีกครั้งด้วยมือของเขาเอง “มันก็แปลกนะ อาไม่ชอบทะเล แต่ทุกครั้งที่เศร้าหรือมีเรื่องให้ต้องคิด อามักจะไปที่นั่น”


เจ้าของแก้มยุ้ยที่กรังไปด้วยคราบน้ำตาขยับถอยห่างออกมาก่อนจะถามเสียงอ่อย “อาหมอคิดถึงพ่อกับแม่ไหมครับ”


“คิดถึงสิ” ชายหนุ่มตอบตามความจริง ยกสองมือขึ้นจับต้นแขนของอีกฝ่าย “แต่อาเชื่อว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ทิ้งอาไปไหน ท่านทั้งสองยังอยู่ใกล้ ๆ อาเหมือนที่พ่อยังอยู่กับปูไข่ในนี้” พูดจบก็เลื่อนปลายนิ้วแตะลงที่ตำแหน่งหัวใจของเด็กชาย


ขวัญนพจ้องมองใบหน้าเลอะคราบน้ำตาอย่างเอ็นดู ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะบอกหรือไม่ ทำได้ดีที่สุดก็เพียงแค่ภาวนาให้เด็กชายปูไข่รับรู้ได้ถึงกำลังใจและความห่วงใยที่คนรอบข้างส่งผ่านมาให้ และเก็บเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้เป็นพลังในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันต่อไป


“สัญญากับอาได้ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เราจะเข้มแข็งไปด้วยกัน”


มือใหญ่ยกลอยค้างในอากาศ รอจนกระทั่งมือเล็กประทับลงมาเป็นการให้คำมั่นสัญญา อายุรแพทย์หนุ่มจึงค่อยยิ้มออก


“ปูไข่สัญญาฮะ”


และเมื่อสิ้นเสียงใสของเด็กชาย ภาพที่สองคนกอดกันกลมก็ทำเอาบรรดาคนที่เฝ้ามองเหตุผลการณ์อยู่ตั้งแต่ต้นถึงกับน้ำตารื้น...
   

...


มือนิ่มที่กำลังเขย่าต้นแขนทำให้ประจำเมืองต้องละสายตาจากชายหนุ่มกับเด็กชายที่นั่งอยู่ห่างออกไป เขาดึงสายตากลับยังสาวน้อยหน้าม้าเต่อก่อนจะใช้มือปัดผมยาวซึ่งมัดเป็นแกระสองข้างไปทางด้านหลัง


“ว่ายังไงคะคนสวย”


“พี่เมืองก็มีสัญญาที่ต้องทำให้ได้นะคะ” พูดจบก็ชี้ที่กระเป๋าใส่เครื่องดนตรี ท่าทางและถ้อยคำไร้เดียงสานั้นสามารถเรียกรอยยิ้มของหนุ่มนักดนตรีได้ไม่ยาก ประจำเมืองโยกศีรษะเล็กอย่างมันเขี้ยวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดกระเป๋ารั้งเอาไวโอลินแสนรักออกมาแล้วเดินกลับไปนั่งลงยังเก้าอี้ที่อยู่กลางห้อง


มือขาวลากคันชักผ่านสายสังเคราะห์จนเกิดเสียงแหลมกังวานกว้างเรียกให้บรรดาเด็ก ๆ ที่เฝ้ารอมากว่าหนึ่งสัปดาห์พากันล้อมวงเข้ามา ในขณะที่คนที่ไม่สามารถลุกไปไหนได้ก็ยันตัวขึ้นนั่งชะเง้อมองจากบนเตียง ส่วนคนที่ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ ผู้ปกครองก็ช่วยปรับเตียงให้พวกเขามองเห็นได้ถนัด ไม่นานทำนองเพลงคุ้นหูก็ถูกบรรเลงขึ้นด้วยเครื่องดนตรีคลาสสิก เด็ก ๆ พากันปรบมือตาม ส่วนผูใหญ่บางคนก็ขยับขาหรือเคาะนิ้วเป็นจังหวะ อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาได้มีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พอจะลืมความทุกข์โศกและละทิ้งความวิตกกังวลไปได้บ้าง


ขวัญนพเหลียวมองชายหนุ่มกับไวโอลินของเขาก่อนจะหันกลับมาถามเด็กชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “ปูไข่อยากไปฟังเพลงกับยี่หวาไหม”


เด็กชายปูไข่มองไปยังกลุ่มของเพื่อน ๆ ก่อนจะตอบ “อยากครับ”


ได้ฟังดังนั้นคุณหมอเจ้าของไข้ก็ผายมือออก รอจนมือเล็กวางทาบลงเกาะเกี่ยวจึงพากันเดินมุ่งหน้าไปสมทบกับคนอื่น ๆ แต่เมื่อถึงครึ่งทางขวัญนพก็ค่อย ๆ คลายมือออกปล่อยให้เด็กชายได้เดินเข้าไปหาเพื่อน ๆ ด้วยตัวเอง และทันทีที่เด็กหญิงยี่หวาเห็นพี่ปูไข่ของเธอ รอยยิ้มน่ารักก็ปรากฏแจ่มชัดขึ้นบนใบหน้ากลม ร่างเล็กกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาคว้าข้อมืออวบก่อนจะพากันโยกย้ายไปตามทำนองเพลงที่คุณครูเคยสอนให้ร้องเมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียน เสียงหัวเราะคิกคักดังแทรกเสียงแหลมสูงของเครื่องดนตรีเป็นครั้งคราวราวกับที่นี่เป็นที่ที่ความเศร้าไม่เคยได้กล้ำกรายเข้ามา


นายแพทย์หนุ่มเหลียวมองหญิงสาวที่เดินมาหยุดยืนเคียงข้างกัน เธอส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำในวันนี้มันคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่สำหรับขวัญนพ เขากลับนึกขอบคุณเด็กหญิงตัวน้อย เพราะนอกเหนือจากการมาวิ่งเล่นตามที่เจ้าตัวบอก อีกสิ่งที่ยี่หวาช่วยคุณแม่ของเธอก็คือการมอบรอยยิ้มแสนสดใสให้กับทุกคนในหอผู้ป่วยเด็ก เจ้าของร่างสูงเบนสายตาไปยังอีกคนที่ไม่ขอบคุณคงไม่ได้ นั่นคือหนุ่มนักดนตรีที่นั่งอยู่ท่ามกลางเด็ก ๆ ไม่รู้ว่าเพราะเสียงเพลงหรือเพราะรอยยิ้มของเขากันแน่ที่ตรึงให้เท้าคู่นี้ไม่อาจก้าวห่างไปไหนได้


...


หลังจากตรวจคนไข้ที่หอผู้ป่วยเด็กเป็นที่เรียบร้อย ขวัญนพออกจากอาคารห้าชั้นตั้งใจจะกลับไปยังห้องทำงานของตนเอง แต่แล้วเมื่อผ่านสวนสุขภาพเขาก็จำต้องเปลี่ยนจุดหมาย ขายาวก้าวไปตามทางที่ปูด้วยอิฐตัวหนอนกระทั่งพบใครคนหนึ่งกำลังนั่งทอดตามองท้องทะเลกว้างใหญ่อยู่ที่เก้าอี้ตัวยาว มือหนึ่งประคองคอไวโอลินที่พาดอยู่บนบ่า ปลายนิ้วเรียวกดลงบนบนสายตามตำแหน่งของตัวโน้ตเกิดเป็นบทเพลงแว่วหวานเมื่ออีกมือลากคันชักขนม้าขึ้นลงเสียดสีกับสายสังเคราะห์ แต่การคลอนเสียงเอื้อนเหมือนลูกคอนั้นกลับให้ความรู้สึกเศร้าหมองพอ ๆ กับบรรยากาศยามอาทิตย์อัสดง ร่างสูงหยุดอยู่กับที่ในระยะที่พอจะสามารถฟังได้ชัดเจนแต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่านั่นคือเพลงอะไร รอจนสายลมพัดพาเอาเสียงหวานแหลมของโน้ตตัวสุดท้ายลอยล่องไปในอาาศจึงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ


“ขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้”


“เรื่องอะไรครับ” ประจำเมืองถามอย่างแปลกใจ


“ก็เรื่องที่ช่วยเล่นดนตรีให้เด็ก ๆ ฟังยังไง นานแล้วที่พวกผู้ใหญ่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้น”


นักศึกษาหนุ่มมิได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ กระทั่งดึงกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีมาวางบนตัก “เด็ก ๆ คงอยากหายไว ๆ นะครับ ป่านนี้พวกแกคงคิดถึงหญ้านุ่ม ๆ ในสนามกว้าง ๆ อยากเอาเท้าสัมผัสกับทราย อยากชิมรสเค็มของน้ำทะเล” พูดพลางวางไวโอลินลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนา “เหมือนกับที่เด็กคนอื่น ๆ หรือผู้ใหญ่บางคนสามารถทำได้ ผมว่าเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องยิ้มบ้างนะ เด็ก ๆ เขารับรู้ได้ว่าผู้ใหญ่รู้สึกยังไง ถ้าผู้ใหญ่ยิ้มเดี๋ยวพวกเขาก็ยิ้มตามเองนั่นแหละครับ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นสะพายกระเป่าแล้วหันมากล่าวทิ้งท้าย...


“ผมไปจัดรายการก่อนนะพี่”


ขวัญนพมองตามร่างสูงที่กำลังเดินห่างออกไป ในที่สุดคุณหมอก็ผุดลุกขึ้น ริมฝีปากหยักที่เม้มเข้าหากันค่อย ๆ คลายออกก่อนจะตัดสินใจรั้งอีกฝ่ายไว้ด้วยคำสั้น ๆ


“เมือง”


เจ้าของชื่อหันกลับมาพร้อมกับเลิกคิ้ว


“บอกได้ไหมว่าเพลงที่เล่นเมื่อกี้ชื่อเพลงอะไร”


ประจำเมืองคลี่ยิ้มก่อนจะตอบ “พี่รอฟังสิ เดี๋ยวผมเฉลยให้ก่อนปิดรายการ”


ประโยคสั้น ๆ กับรอยยิ้มที่ดูเป็นปริศนาทำให้ขวัญนพจำต้องนั่งลงอย่างเดิม ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักพร้อมกับดึงแว่นสายตาออกแล้วเสียบไว้กับกระเป๋าเสื้อกาวน์ ปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามกระแสลมที่หอบเอาเกลียวคลื่นขึ้นมาทักทายหาดทรายเม็ดละเอียด เพียงไม่กี่อึดใจดวงอาทิตย์ที่เคยแผ่รัศมีไปทั่วท้องฟ้าก็เลือนหายไปหลังริ้วเมฆ นานเหลือเกินที่ไม่ได้เห็นการขึ้นและตกของดาวฤกษ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ นานเสียจนไม่แน่ใจว่าสิ่งต่าง ๆ บนโลกนี้ยังคงดำเนินเป็นวัฏจักรตามที่เคยเรียนจากในตำราหรือตามที่ตาเคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้หรือไม่


กว่าสามสิบนาทีที่อายุรแพทย์หนุ่มผู้ไม่เคยให้เวลากับความสุนทรีย์ใด ๆ ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม ในเวลานี้เสียงคำรามครามครืนของคลื่นลมผสมกับเสียงเครื่องยนต์เรือประมงที่กำลังเคลื่อนที่มุ่งหน้าออกสู่ผืนทะเลกว้างใหญ่กลับให้รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาที่ไม่เคยออกห่างจากตัวหนังสือบนหน้ากระดาษทอดมองไปในความมืด มันคงเป็นภาพที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อยหากบนท้องฟ้าเบื้องหน้าไม่ปรากฏแสงสกาวของดาวดวงหนึ่ง ขวัญนพถอนหายใจยาวก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นจากกระเป๋ากางเกง แตะปลายนิ้วลงบนหน้าแป้นพิมบนหน้าจอสัมผัสแล้วจึงเสียบหูฟังที่หูทั้งสองข้าง ถึงมันจะเก่าเก็บเต็มทีแต่ก็นับว่ายังใช้การได้ดีเมื่อเสียงนักจัดรายการสมัครเล่นดังขึ้น


“...ท่านผู้ฟังเชื่อเรื่องดาวประจำตัวไหมครับ ตอนเด็ก ๆ พ่อของผมท่านมักจะชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วก็บอกผมว่า ดวงดาวที่ส่องสว่างที่สุดบนนั้นคือดาวประจำตัวของผม ดาวดวงนั้นจะคอยปกป้องดูแลผม แต่พอโตขึ้นผมถึงได้รู้ว่านั่นน่ะเป็นแค่คำพูดหลอกเด็ก...เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ทำตัวงอแงไม่ยอมแยกห้องนอนเอาแต่อ้างว่ากลัวผี ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่อยากนอนใกล้ ๆ พ่อกับแม่ แต่ก็ยอมรับนะครับว่าคำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งในวันต้องอยู่คนเดียว มาตอนนี้ผมกลับคิดว่าพ่อกับแม่ต่างหากที่เป็นดาวประจำตัวของผม เพราะฉะนั้นมันจึงไม่น่าเสียดายเลยครับที่กาลครั้งหนึ่งเราได้พบกัน และคืนนี้เราจะมาลากันไปด้วยเพลงเพลงนี้ครับ...”


...กาลครั้งหนึ่ง...



...

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

กว่าจะเขียนเสร็จ หืดขึ้นคอจริง ๆ
 
ขอบคุณน้อง leGGyDan ที่ช่วยเป็นที่ปรึกษาสำหรับตอนที่จบไปนี้ด้วยค่ะ

อยากคุยเยอะ ๆ กว่านี้เพราะเบื้องหลังของตอนนี้มันมีเรื่องราวมากมาย

แต่เราง่วงมาก 555 ไว้ว่าง ๆ มาเล่าในเพจนะคะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2016 10:44:15 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
กาลครั้งหนึ่งที่ได้พบคุณ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ xinpitar

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นตอนนี้ที่ยาวมากๆ และรับรู้ได้ถึงความเศร้าความคิดถึงจริงๆ
แต่ก็ยังมีความอบอุ่นซ่อนอยู่ หมอนพต้องก้าวออกมาให้ได้นะ

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 4 ส่งเพลงนี้คืนมาให้ฉันที (1)


บนผืนทรายปรากฏรอยเท้าก้าวด้วยจังหวะสม่ำเสมอเกิดเป็นเส้นนำสายตาไปยังชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดคอกลมสวมกางเกงขาสั้น นิ้วมือข้างหนึ่งเกี่ยวส้นรองเท้ากีฬาคู่เก่าเอาไว้ส่วนอีกมือยกขึ้นดันแว่นขณะก้มลงมองทุกย่างก้าวของตนเอง กระทั่งหูได้ยินเสียงนกทะเลที่บินโฉบอยู่เหนือเกลียวคลื่นร่างสูงจึงหยุดแล้วเบนหน้าออกสู่เวิ้งน้ำกว้างใหญ่ สูดลมหายใจรับอากาศยามเช้าตรู่ที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นไอทะเล ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำสนิททอดมองเหนือขึ้นไปบนเส้นแบ่งระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้าซึ่งในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผ้าใบผืนใหญ่ที่ฉาบทับด้วยสีเทาขมุกขมัวไร้ชีวิตชีวา นาน ๆ จะมีนกสักตัวบินผ่านมาสร้างความเคลื่อนไหวให้แก่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า จู่ ๆ ภาพการสนทนาระหว่างเขากับสิรันทรก็แทรกเข้ามาในหัว


“คนมาทะเลเขาว่ามีสองแบบนะหมอ ถ้าไม่หนีร้อนก็หนีรัก หมอเป็นแบบไหน”


“สงสัยจะเป็นแบบที่สอง”   



ขวัญนพเผลอถอนใจเบา ๆ ทิ้งความคิดล่องลอยไปกับกระแสลม ปล่อยให้คลื่นซัดเข้าหาจนเท้าเปล่าค่อย ๆ จมลงใต้เม็ดทราย แม้ไม่ใช่คนคิดมากหากแต่สิ่งที่เจออยู่ในขณะนี้กลับทำให้ไม่อาจสลัดมันหลุดจากห้วงคำนึงได้


เด็กชายเจ้าของพวงแก้มน่าหยิก...ยังจำวันแรกที่พบกันเมื่อเก้าปีก่อนได้ไม่ลืม นั่นเพราะเป็นลูกชายของ “รัมภ์รดา” เหตุผลหนึ่งเดียวที่ทำให้เขาตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเป็นหมอที่นี่ เธอคืออดีตคนรักที่เลิกรากันไปตั้งแต่ปีต้น ๆ ของการเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นรัมภ์รดาก็คบหากับหนุ่มรุ่นพี่ร่วมคณะและตัดสินใจแต่งงานกันทันทีที่เรียนจบ ขวัญนพเคยไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลหนหนึ่งในวันที่เด็กชายปูไข่ลืมตาดูโลก และนั่นคือการพบกันครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องไปเป็นแพทย์ใช้ทุน


เมื่อต่างคนต่างมีชีวิตมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบก็ทำให้แทบจะลืมเรื่องราวของกันและกันไปเสียสนิทกระทั่งเมื่อสองปีก่อนความบังเอิญทำให้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เพราะรัมภ์รดาเกิดล้มป่วยขณะติดตามสามีซึ่งเป็นวิศวกรมาควบคุมการก่อสร้างศูนย์การค้าและคอนโดแห่งใหม่จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่การได้หวนมาเจอกันกลับเป็นเพียงการพบเพื่อบอกลาชั่วนิรันดร์เท่านั้น


ขวัญนพมารู้ในภายหลังว่ารัมภ์รดาพยายามทำความเข้าใจกับอาการป่วยของตนเองมาโดยตลอดหลังจากได้ฟังคำวินิจฉัยครั้งที่เธอเริ่มเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน เธอและสามีต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกันทั้งยังฝึกลูกชายให้เข้มแข็งโดยการบอกเขาเกี่ยวกับโรคที่แม่เป็น ฝึกให้เขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองในวันที่ปราศจากใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รู้สึกแปลกใจนักเมื่อเห็นเด็กชายแก้มยุ้ยสามารถปรับตัวได้ไวและกลับมาร่าเริงอีกครั้งหลังผู้เป็นแม่จากไปได้ไม่นาน


แต่โชคชะตาก็ดูจะเล่นตลกไม่เลิกเมื่อจู่ ๆ ปูไข่ก็มีอันต้องสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิตด้วยการป่วยเป็นโรคเดียวกับแม่ของตนเอง ซึ่งแพทย์เจ้าของไข้อย่างขวัญนพรู้ดีว่ายาดีแค่ไหนก็ไม่อาจรักษาหายขาดได้ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือการที่เด็กชายต้องสูญเสียพ่อไปในยามที่ชีวิตต้องการกำลังใจ


เสียงถอนหายใจขณะบิดขี้เกียจที่ได้ยินทำให้ขวัญนพต้องทิ้งภาพตรงหน้าหันไปมองคนที่เดินมาหยุดยืนข้างกัน


“วันนี้นึกยังไงถึงได้ออกมาวิ่ง” กันตภณพูดไปหาวไป


“วันนี้ผมหยุด แล้วพี่ล่ะมายืนหาวอะไรอยู่ตรงนี้”


“ฉันเพิ่งออกเวร เมื่อคืนมีคนโทรไปตามให้มาช่วยดูน้องปลาดาว”


“อาการไม่ดีเหรอครับ”


“อืม” คุณหมอหนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งตอบเสียงขรึมก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่านึกยังไงถึงออกมาวิ่ง ไหนบอกไม่มีเวลา”


“ก็...” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ก็แค่อยากจะใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงให้มันคุ้มค่าน่ะพี่”


“ไอ้นี่พูดจาแปลก ๆ”


“เอาน่า ช่างผมเถอะ พี่อย่าสนใจผมเลย สนใจตัวเองดีกว่า นี่น่ะเหรออดีตเดือนคณะแพทย์ที่สาว ๆ คลั่งไคล้ ผมนึกว่าหมีแพนด้า”


กันตภณมุ่นคิ้วพลางยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตา “นี่ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”


คนอายุน้อยกว่าเพียงแต่กดยิ้มมุมปากก่อนกล่าว “ไปหากาแฟร้อนดื่มหน่อยไหมจะได้สดชื่นขึ้น ผมเลี้ยงเอง” พูดจบเจ้าของร่างสูงเดินนำไปทันทีราวกับรู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว


ทันทีที่เดินเข้าไปในร้านกาแฟก็ได้ยินเสียงนักจัดรายการสมัครเล่นของสถานีวิทยุออนไลน์ของโรงพยาบาลเหมือนเช่นเคย สองคนสั่งกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำ รอไม่นานกาแฟร้อนก็ถูกยกมาเสิร์ฟ


“เดี๋ยวไปไหนต่อ” แพทย์รุ่นพี่เอ่ยขึ้นก่อนยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ


“กลับไปอาบน้ำแล้วก็ว่าจะแวะไปเก็บของที่ห้องทำงานครับ” ขวัญนพกล่าวพลางยืดตัวขึ้นมองคุณแม่คนสวยที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา


วารุณีจูงมือลูกสาวตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ เมื่อเด็กหญิงยี่หวาหันมาเห็นอานพของเธอ หนูน้อยก็รั้งมือผู้เป็นแม่เดินดิ่งมายังโต๊ะที่สองหนุ่มนั่งอยู่


“อานพ! อากันต์!”


“ค่อย ๆ เดินสิคะลูก” วารุณีร้องปรามทันทีที่มือเล็กหลุดจากการเกาะกุมของตนเอง กระนั้นเด็กหญิงก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี เธอชะลอฝีเท้าลงกระทั่งมาหยุดต่อหน้าคุณอาทั้งสอง คราวนี้ไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นประนมและกล่าวคำสวัสดี ปากเล็กฉีกยิ้มกว้างพอ ๆ กับคุณแม่ที่ถือแก้วกาแฟเย็นเดินตามมาสมทบ


“ใกล้จะถึงวันเกิดพี่วาแล้วนี่หว่า นายว่าปีนี้งานจะเข้าเราสองคนอีกหรือเปล่าวะ” กันตภณกระซิบ ที่ถามขึ้นมาเช่นนี้ก็เพราะอดหวั่นใจกับสาวนักกิจกรรมคนนี้ไม่ได้  แต่ยังไม่ทันที่แพทย์รุ่นน้องจะได้แสดงความคิดเห็น คุณแม่คนสวยก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน


“ซุบซิบอะไรกันจ๊ะหนุ่ม ๆ”


ขวัญนพส่ายหน้ายิ้ม ๆ หาอะไรทำด้วยการยกกาแฟขึ้นจิบจึงเป็นหน้าที่ของอีกคนที่ต้องตอบคำถามนั้น


“เปล่านี่ครับ” พูดจบก็คว้าตัวเด็กหญิงมานั่งบนตักทำเปลี่ยนเรื่อง “โอ้โฮ! ตัวหนักน่าดูเลย วันนี้คุณแม่ทำอะไรให้ทานคะ”


“ข้าวผัดอเมริกันค่ะ อร่อยมากด้วย” ว่าแล้วก็ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้นเป็นการการันตี


“อร่อยขนาดลูกสาวยังยกนิ้ววันหลังพี่วาต้องทำมาให้พวกผมพิสูจน์บ้างแล้วนะครับ”


“สัปดาห์หน้าได้ทานแน่จ้ะ พี่ว่าจะทำมาเลี้ยงเด็ก ๆ ที่หอผู้ป่วย วันเกิดของพี่ปีนี้ต้องพิเศษแน่ ๆ”


สิ้นเสียงแพทย์หญิงวารุณีขวัญนพก็แทบสำลัก ชายหนุ่มรีบวางถ้วยกาแฟลงคว้ากระดาษชำระเช็ดปากพร้อมกับลอบมองกันตภณที่แอบทำหน้าเบ้


“เจอสองคนนี้ก็ดีแล้ว พี่มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือน่ะ พอดีคุยกับฟาร์มไว้แล้วม่รู้ว่าฟาร์มมาคุยให้เราสองคนฟังหรือยัง”


“อ...ไอ้ฟาร์ม” กันตภณพูดไปส่ายหน้าไป นักกิจกรรมกับนักกิจกรรมมาเจอกันทีไรเพื่อนฝูงตายหมู่ทุกที


“จ้ะ บอกฟาร์มไว้ว่าให้ชวนกันต์กับนพแสดงอะไรให้เด็ก ๆ ดูเหมือนปีก่อน”


“ค...คือวันเกิดพี่วาสัปดาห์หน้าพวกผม...ม...ไม่...”


“ไม่ติดอะไรใช่ไหมจ๊ะ พี่ให้ฟาร์มแอบไปดูตารางของสองคนมาแล้วละ กันต์ก็เพิ่งกลับจากสัมมนานี่เนอะ”


“ไม่ติดก็ไม่ติดครับ” กันตภณตอบเสียงอ่อยจนขวัญนพแอบยิ้ม


“ปีที่แล้วอานพ อากันต์ อาฟาร์ม เต้นเพลงอะไรนะคะ”


“อาลืมไปแล้ว” พูดแล้วก็หาวหวอด ๆ


“สมองเสื่อมขึ้นมากะทันหันเลยนะพี่” ขวัญนพเย้าเมื่อนึกถึงการแสดงเมื่อปีก่อนที่เละไม่เป็นท่าเพราะปล่อยให้นักอนุรักษ์นิยมอย่างกันตภณเป็นคนดำเนินการทั้งหมด


“ฝากเลี้ยง” จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น ทุกคนในวงสนทนาต่างพากันหันไปมองชายหนุ่มหน้าบอกบุญไม่รับที่กำลังเดินเข้ามา เห็นได้ชัดเจนว่าผมที่ยาวระต้นคอนั้นบัดนี้ถูกตัดแต่งกลายเป็นรองทรงสูงดูแปลกตาแต่ก็ยังถือว่าเข้ากับรูปหน้าของเขาอย่างเหมาะเจาะ


“อาฟาร์ม!!!” เด็กหญิงยี่หวากล่าวเสียงใสก่อนจะผละจากตักแกร่งวิ่งตรงเข้าไปกอดคอคนที่กำลังย่อตัวลงนั่ง


ณรงค์ฤทธิ์ยกร่างเล็กลอยขึ้นในอากาศก่อนจะดึงเข้าหาตัว เห็นหน้าของหนูน้อยแล้วพลอยทำให้ยิ้มได้ขึ้นมาหน่อยแต่ก็อดหันไปแขวะเพื่อนสนิทไม่ได้ “เลือกเองแท้ ๆ จำไม่ได้หรือไง เด็ก ๆ พากันนั่งอ้าปากหวอเพราะลุงหมอดันเอาเพลงรุ่นคุณพ่อมาเต้น”


“น้อย ๆ หน่อยไอ้ฟาร์ม อย่างน้อยฉันก็ทำให้ท่าเต้นของพี่เจเป็นที่รู้จักในหมู่เด็ก ๆ นะโว้ย”


“ภูมิใจว่างั้น” ศัลยแพทย์หนุ่มทำหน้ายู่ก่อนจะนั่งลง


“เออ” กันตภณตอบห้วน ๆ “แล้วเป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับซิลิโคนเคลื่อน”


“ซิลิโคนบ้านป้าแกสิ” ถอนใจพลางยกมือขึ้นเสยผม “คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ยังจะมากวน”


“ไปอารมณ์ไม่ดีอะไรมาฟาร์ม” ขวัญนพถามด้วยความสงสัย หวังว่าตนเองอาจจะพอช่วยอะไรอีกฝ่ายได้


“เราไปตัดผมมา ร้านข้างหลังโรงพยาบาลน่ะ ตัดเสียสั้นเชียว ดูสิจะยาวทันงานวันเกิดพี่วาหรือเปล่าก็ไม่รู้”


“เหมาะกับฟาร์มดีออก หรือพี่ว่าไงพี่กันต์”


แทนที่จะออกความเห็นคนถูกถามกลับละเลียดจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์กระทั่งเจอสายตาพิฆาตของณรงค์เข้าจึงยอมวางถ้วยกาแฟลงแล้วตอบส่ง ๆ “ก็ไม่ได้แย่”


“อือ คงไม่มีอะไรแย่เท่ากับการแสดงที่แกคิดเมื่อปีก่อนแล้วละ”


“แกไม่มาซ้อมเอง เรื่องอะไรมาโทษฉัน”


“แหกตาดูบ้างว่าทั้งโรงพยาบาลมีศัลยแพทย์ประสาทและสมองกี่คน กว่าแกจะตัดสินใจได้ว่าจะโชว์อะไรฉันต้องผ่าตัดไม่รู้กี่เคส เล่นมาสรุปได้เอาก่อนวันเกิดพี่วาแค่คืนเดียว ใครมันจะไปซ้อมทัน”


“เอาละ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันจ้ะ ยังมีเวลาให้แก้ตัวอีกหลายครั้งตราบสิ้นอายุขัยของพี่แหละ” วารุณีตัดบท


“โอ้โห! ใจคอพี่วาจะให้พวกผมแสดงกันทุกปีเลยเหรอครับ”


“บ่นอะไรจ๊ะ ดูนพสิยังไม่เห็นบ่นสักคำ”


“พูดอะไรบ้างสิวะ”


“ผมยังไงก็ได้พี่ ว่าแต่ปีนี้เราจะแสดงอะไรกัน”


“เป็นอย่างนั้นไป” คนที่จ้องจะหาพวกกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนใจเฮือกใหญ่


“ปีนี้ต้องเต้นคัพเวอร์เพลงเกาหลีเท่านั้น”


“ไม่!” กันตภณสวนทันควันเตรียมจะลุกขึ้นแต่ขวัญนพรั้งแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน   


“ถ้าไม่ แกก็คิดการแสดงมาอีกชุดแล้วแสดงคนเดียวไปก็แล้วกัน ฉันกับนพจะเต้นคัพเวอร์เพลงเกาหลีเอง”


“ฮ...เฮ้ย!” ไม่ใช่ขวัญนพคนเดียวที่ตกใจ กันตภณเองก็ตกใจไม่แพ้กัน


“จ...จะดีเหรอฟาร์ม” อายุรแพทย์หนุ่มกล่าวอ้อมแอ้ม


“ดีสิ! ดีตรงที่ไอ้กันต์จะได้แสดงคนเดียวนี่แหละ” นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ยิ้มเยาะก่อนจะคลายวงแขนปล่อยคนตัวเล็กในอ้อมกอดเป็นอิสระ “ดีไหมคะยี่หวา”


“ดีค่ะอาฟาร์ม อย่างนี้เราก็มีการแสดงตั้งสามชุดแน่ะ”


“สามชุด?” สามหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกัน


“ใช่จ้ะ พี่ขอให้พวกนักศึกษาปริญญาโทที่เข้ามาทำวิจัยช่วยน่ะ นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี ตายยากจริง” วารุณีโบกไม้โบกมือให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินผ่านหน้าร้านพร้อมกับพูดแบบไม่มีเสียงให้รู้ว่าเธอต้องการให้เขาแวะเข้ามาข้างในสักครู่


ประจำเมืองยกมือไหว้ทักทายทุกคนเมื่อมาถึง มองกันตภณกับอีกคนที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่กันโดยไม่ได้สนใจในการมาของเขาเลยสักนิด


“ในนี้คงมีฟาร์มคนเดียวสินะที่เมืองยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่แนะนำก่อนก็แล้วกัน” สาวสวยกล่าวขณะวางมือลงบนบ่าของคนที่นั่งหันข้างให้เป็นสัญญาณบอกอีกฝ่ายให้รู้ตัว “นี่หมอฟาร์มหรือหมอฟ้าใสจ้ะ ฟาร์มนี่น้องเมือง นักศึกษาปริญญาโทที่พี่เล่าให้ฟัง”   


ท้ายประโยคเล่นเอาประจำเมืองหน้าเหวอ ไม่คิดว่าหมอฟ้าใสที่ใคร ๆ ต่างพูดถึงซึ่งตัวเขาเองเข้าใจมาตลอดว่าต้องเป็นคุณหมอแสนสวยจะกลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาอ่อนวัยไปได้


“ส...สวัสดีครับคุณหมอฟ้าใส”


“ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นร่างจริง” คำพูดลอย ๆ ของเพื่อนสนิททำเอาณรงค์ฤทธิ์ที่กำลังค้อมศีรษะรับการทักทายของผู้มาใหม่ต้องรีบหุบยิ้ม “น้องเมืองเรียกพี่ฟาร์มก็ได้ เดี๋ยวจะระคายหูจนหมาแถวนี้เห่าหอนไม่รู้จบ”


“แกว่าใครเป็นหมา ไอ้ฟาร์ม”


เจ้าของชื่อยักไหล่ไม่ยี่หระเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์หญิงวารุณีเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ “เอาละจ้ะ มีเวลาอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ยังไงก็ลองปรึกษากันดูนะจ๊ะ ฝากด้วยนะ เราคือทีมเดียวกันแล้ว พี่ต้องไปตรวจคนไข้แล้วละ” กล่าวจบเธอก็หันไปจูงมือลูกสาวเดินออกไปจากร้านกาแฟด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ ไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทิ้งระเบิดลูกโตเอาไว้ให้คนข้างหลัง


“เราคือทีมเดียวกัน” กันตภณทวนคำแล้วหัวเราะหึ “ยังไงฉันก็ไม่เต้นคัพเวอร์กับแก”


“ก็แล้วแต่แก อยากแสดงคนเดียวก็แสดงไป” หมอฟาร์มกล่าวไม่แยแส


“ก็ได้ แกจะเอาอย่างนั้นก็ได้” สวนกลับด้วยน้ำเสียงท้าทายก่อนจะหันไปหาที่พึ่งสุดท้าย “ถ้าอย่างนั้นเมืองมาแสดงกับพี่”


“เอ่อ...คือ...ไม่น่าจะได้นะครับพี่กันต์ พอดีผมกับเพื่อน ๆ คิดการแสดงกันไว้แล้ว” ประจำเมืองพยายามปฏิเสธให้สุภาพที่สุด “แต่ถ้าจะให้ช่วยเตรียมอะไรละก็บอกได้เลยครับ พวกผมยินดี”


ขวัญนพละสายตาจากคนพูดมองมายังณรงค์ฤทธิ์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันได้ยินอีกฝ่ายทำจมูกฟุดฟิดก็ให้อดถามไม่ได้ “เป็นอะไรหรือเปล่าฟาร์ม”


“เหม็น เหม็นอะไรไม่รู้ สงสัยเหม็นหัวหมาแถวนี้”


“ไอ้ฟาร์ม!” คนร้อนตัวจ้องหน้าตาเขม็ง


“อะไรไอ้หมาหัวเน่า”


ทันทีที่รู้คำตอบขวัญนพก็ตัดสินใจคว้าถุงใส่แซนด์วิชแล้วลุกขึ้นตั้งใจปล่อยให้สองคนทะเลาะกันไปจนกว่าจะพอใจ


“พี่ไม่ห้ามหน่อยเหรอ ดูสิเถียงกันใหญ่แล้ว” ประจำเมืองท้วงขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเดินผ่านไป


นายแพทย์หนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วกระซิบ “สุดท้ายพี่กันต์ก็แพ้ฟาร์มอยู่ดี ไปเถอะ”


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2016 16:42:34 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)

คนอายุน้อยกว่าเกาหัวแกรก ๆ เดินตามหมอขวัญนพออกไปกระทั่งพ้นตัวอาคาร พลันเสียงโครกครากในท้องก็ทำให้นึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่เขาเดินมาทางนี้


“ทานข้าวไหมพี่”


คนเดินนำชะงักก่อนจะหันมาถามให้แน่ใจ “ว่าไงนะ”


“ผมจะไปทานข้าว พี่ไปทานด้วยกันไหม เจอทีไรเห็นทานแต่แซนด์วิช อิ่มเหรอ”


เมื่อถูกถามเช่นนั้นขวัญนพก็ก้มมองทะลุเลนส์แว่นตาไปยังถุงแซนด์วิชในมือก่อนจะส่ายหน้า “ไม่อิ่มหรอก แต่มันชินแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้นยิ่งต้องไปทานข้าวเลย คนเป็นหมอนี่ก็แปลกเนอะ เตือนคนไข้ให้ทานของมีประโยชน์บ้างละ ทานอาหารให้ครบทุกหมู่บ้างละ แต่ตัวเองกลับไม่ยอมทำอย่างที่บอกคนอื่น พ่อผมก็เหมือนกันชอบอ้างว่าไม่มีเวลาตลอด จนตอนนี้แม่ต้องทำอาหารใส่ปิ่นโตไปให้ทานที่โรงพยาบาล”


“พ่อเหรอ” ขวัญนพถามขณะเดินตามอีกฝ่ายมุ่งหน้าสู่โรงอาหารของโรงพยาบาล


“ครับ พ่อผมก็เป็นหมอทำคลอดน่ะ อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วแต่ยังต้องทั้งทำคลอดทั้งสอนหนังสือไปด้วย”


“ท่านคงเก่งมากเลยละสิ อืม...จะว่าไปสูตินรีแพทย์ระดับอาจารย์ที่นักเรียนแพทย์ยึดเป็นต้นแบบก็มีอยู่ไม่กี่คน แต่ถ้าเป็นผู้ชายละก็...พี่นึกออกอยู่คนเดียว อาจารย์หมอปราการหรือเปล่า”


“ทำไมพี่ถึงรู้จักพ่อผมล่ะ”


“ทราบว่าท่านเป็นเพื่อนรักกับอาจารย์สัญชัยน่ะ แต่ไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวหรอก เคยเห็นท่านบ้างสมัยที่ยังเป็นนักเรียนแพทย์ เพื่อน ๆ พี่วาที่เป็นหมอสูติฯ อยู่ที่นี่ก็พูดถึงอาจารย์หมอปราการให้ฟังอยู่บ่อย ๆ”


“ในแง่ไหน” ประจำเมืองถามพลางปลดเป้สะพายหลังวางบนโต๊ะเงยหน้าขึ้นรอฟังคำตอบ


“ก็...ทั่ว ๆ ไป” ขวัญนพเสมองไปทางอื่น “ระลึกถึง อะไรทำนองนั้น”


คนฟังยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังอีกฝ่ายพูดถึงพ่อของตนเช่นนั้น “ไม่ต้องเกรงใจหรอกพี่ ใคร ๆ ก็ว่าพ่อผมทั้งโหดทั้งดุ”


ขวัญนพจำต้องหันมายิ้มเมื่อโดนจับได้ “จะโหดจะดุยังไงก็สร้างบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพมาไม่รู้กี่รุ่นแล้วนะ”


ประจำเมืองพยักหน้า รู้สึกภูมิใจในตัวผู้เป็นพ่อทุกครั้ง “ภายนอกอาจดูขรึม ๆ นะ แต่จริง ๆ แล้วพ่อเป็นคนตลกมาก” ว่าพลางหันมองไปรอบ ๆ พร้อมกับคิดว่าจะกินอะไรดี “พี่ทานร้านไหนเป็นประจำไหม เดี๋ยวผมไปซื้อให้”


“ไม่รู้สิ ไม่ค่อยได้มานั่งทานข้าวที่โรงอาหาร ปกติออกเวรก็กลับไปทานที่ใต้หอพักบุคลากรไม่ก็ฝากเขาซื้อน่ะ เลยไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อย”


“พี่พลาดแล้ว ที่นี่ของอร่อยเยอะพอ ๆ กับโรงอาหารที่มหาวิทยาลัยผมเลยนะ”


“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นเราทานอะไร พี่ก็เอาตามนั้นแหละ”


“ได้ นั่งก่อนนะ เดี๋ยวผมมา” พูดจบประจำเมืองก็เดินดิ่งไปที่ร้านข้าวมันไก่ซึ่งมีอยู่เพียงร้านเดียวในโรงอาหาร ไม่ถึงห้านาทีชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมถาดใส่ข้าวมันไก่สองจานและถ้วยน้ำซุปจำนวนเท่ากัน เห็นว่าขวัญนพซื้อน้ำเตรียมไว้แล้วจึงนั่งลงเลื่อนส่วนที่เป็นของอีกฝ่ายให้


“ลองชิมดู ร้านนี้อร่อยที่สุดตั้งแต่ที่ผมกินมา”


“กินมากี่ร้านถึงได้กล้าฟันธง”


“สามร้าน แถวบ้าน ที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ที่นี่” คนพูดกล่าวหน้าตาเฉยในขณะที่ขวัญนพได้แต่หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบช้อนและส้อมขึ้นตักข้าวเข้าปาก พยักหน้ากับตัวเองเมื่อพบว่าข้าวมันไก่จานนี้อร่อยจริงตามที่หนุ่มต่างถิ่นว่า เสียดายที่ผักซึ่งเป็นเครื่องเคียงมีเพียงแตงกวาไม่กี่ชิ้นกับผักชีที่โรยหน้ามาเพื่อความสวยงาม ส่วนน้ำซุปที่แม่ค้าตักมาให้ก็มีเพียงเศษโครงไก่เท่านั้น


“เขี่ยทำไม”


“ผมไม่กินแตงกวา พี่กินไหม”


“ผักมีวิตามินนะ”


“ถ้าอย่างนั้นพี่เป็นหมอยิ่งต้องกินเลย ร่างกายจะได้แข็งแรง” พูดจบลูกชายสูตินรีแพทย์ก็ย้ายแตงกวาสามชิ้นในจานของตนเองไปไว้ในจานของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


“เมื่อกี้ยังบ่นอยู่เลยว่าหมอได้แต่เตือนคนไข้ แต่นี่คนบ่นกลับทำเสียเอง”


“พี่ไปบอกให้ป้าเขาเปลี่ยนเป็นผักอย่างอื่นนะ รับรองว่าผมกินยันรากเลย” ชายหนุ่มผู้ไม่ชอบแตงกวาทำหน้าเบ้ขณะสูดกลิ่นที่ยังคงติดปลายช้อน


เห็นแบบนั้นขวัญนพก็ได้ส่ายหัวก่อนจะลงมือจัดการข้าวมันไก่ต่อ สักพักจึงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “เป็นยังไงบ้าง วิจัยไปถึงไหนแล้ว”


ประจำเมืองถอนใจยาวแล้ววางช้อนลง “ผมคิดว่ามาที่นี่จะหนีคำถามนี้พ้นแล้วเสียอีก”


“ก็ต้องถามสิ เผื่อติดปัญหาอะไรจะได้ช่วยกัน พี่กันต์น่ะเก่งมากเลยนะ ปรึกษาได้ตลอด”


“ตอนนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนแล้วครับ ผมทำความเข้าใจกับบรรดาผู้ปกครองและให้ผู้ป่วยลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรตามความสมัครใจที่จะเข้าร่วมวิจัยเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็จะให้เด็ก ๆ เลือกเพลงที่ชอบแล้วเริ่มการทดลองครับ ก็คงไป ๆ มา ๆ เพราะต้องเก็บข้อมูลที่โรงพยาบาลอื่นด้วย”


“แล้วงานสถานีวิทยุทางนี้ล่ะ”


“เราคุยกันว่าจะถือโอกาสที่สิ้นเดือนนี้พี่โอกับไอ้ป้องต้องกลับไปทำงาน ส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดให้กับดีเจตัวจริงกันสักทีครับ”
ขวัญนพนั่งฟังเงียบ ๆ มองปลายช้อนที่ใช้เขี่ยข้าวในจานก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำไมถึงได้สนใจทำเรื่องนี้”


“ก่อนหน้านี้ผมเรียนดนตรีแล้วก็เคยสอนดนตรีให้กับเด็ก ๆ ที่มีอาการเจ็บป่วยพบว่ามันก็สามารถช่วยเขาได้ในระดับหนึ่งเลยตัดสินใจเรียนต่อทางด้านดนตรีบำบัด ผมว่าการเจ็บป่วยมันคือความทรมานอย่างหนึ่ง ทำให้เราเสียโอกาสต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะการป่วยเป็นโคคมะเร็ง” หยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “จริง ๆ ก็ทุกโรคนั่นแหละ แต่ที่เลือกกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งเพราะผมคิดว่าโรคนี้เป็นโรคที่น่ากลัว แต่บางครั้งมันก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ถ้าเรามีกำลังใจที่ดี มีจิตใจที่เข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้กับมัน ผมก็เลยอยากจะลองเอาดนตรีมาช่วยลดความเจ็บปวดและความวิตกกังวลหลังได้รับเคมีบำบัดของเด็ก ๆ ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง”


ขวัญนพพยักหน้าเข้าใจ จริงอย่างที่ประจำเมืองว่า การเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ว่าจะด้วยโรคใดก็ตามล้วนก่อให้เกิดความสูญเสียในหลาย ๆ ด้าน หากเลือกได้คนทุกคนก็ปรารถนาจะมีสุขภาพที่ดีเพื่อจะได้อยู่กับคนที่รักให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในความเป็นจริงก็คือเราทุกคนไม่สามารถเลือกได้


....   


กันตภณกอดอกจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ปรากฏภาพเคลื่อนไหวบันทึกการแสดงสดของกลุ่มนักร้องบอยแบนด์แดนกิมจิในคอนเสิร์ตใหญ่ที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ท่าเต้นที่ต่างจากท่าเต้นของพี่เจ เจตริน ศิลปินในดวงใจอย่างสิ้นเชิงทำให้นายแพทย์วัยสามสิบสี่ถึงกับส่ายหัวดิก ปากพร่ำบ่นเจ้าของความคิดที่จะนำเพลงและท่าเต้นสุดล้ำของศิลปินกลุ่มนี้มาคัพเวอร์เพื่อแสดงในงานวันเกิดของแพทย์หญิงวารุณีเพื่อนรุ่นพี่ที่เข้ามาทำงานที่นี่พร้อม ๆ กันซึ่งจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า


“แกเอาเวลาบ่นฉันมาซ้อมดีกว่า”


“ไม่ ยังไงฉันก็ไม่เต้น”


“ถ้าอย่างนั้นแกก็คิดการแสดงของแกเองไปก็แล้วกัน” ว่าแล้วกันหันไปหาเจ้าของห้องที่ให้ยืมสถานที่สำหรับการซักซ้อมในยามวิกาลเช่นนี้ “เรามาเริ่มกันดีกว่านพ”


เมื่อฟังเจ้าของชื่อก็ผละจากกองหนังสือที่รอการจัดลงกล่องเดินมาสมทบกับคนอื่น ๆ ที่นั่งล้อมวงกันอยู่ที่โซฟา


“แกว่าบอยแบนด์วงนี้จะรอดไหมวะไอ้ก้อง” โอกระซิบถามรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างกัน


“ผมว่าหมอฟาร์มน่ะสบาย ๆ แต่สองคนที่เหลือดูหน่วยก้านแล้วน่าเป็นห่วง” กล่าวพลางมองนายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ที่พยายามรั้งแขนของเพื่อนให้ยืนขึ้น ดูเหมือนลูกม้ากำลังยื้อเชือกคุมบังเหียนที่ผูกติดกับเสาหินก็ไม่ปาน “แต่ก็ไม่แน่ ของอย่างนี้มันต้องดุกันยาว ๆ สามคนนี่อาจจะเป็นบิ๊กแบงเวอร์ชันไทยก็ได้ใครจะไปรู้”


“นั่นมันมีห้าคนไม่ใช่เหรอวะ”


“อีกสองคนก็ผมกับพี่ไง”


“อั๊ยย่ะ! วันนี้พูดเข้าหูว่ะไอ้ก้อง” พูดจบโอก็ยกสองมือขึ้นให้ก้องประทับผ่ามือลงมาจนเกิดเสียงดังแล้วหัวเราะคิกคักกันอยู่สองคนจนทำให้คนอื่น ๆ ต้องหันมองเป็นตาเดียว


“สองคนนี้คุยอะไรกันวะ” กันตภณเอ่ยขึ้น


“เปล่าพี่ พี่เริ่มเต้นกันสักทีเถอะ พวกผมอยากดูจะแย่แล้ว” ก้องเป็นคนตอบ


“เร็วสิไอ้กันต์ แกอย่าลีลาน่า ฉันง่วงจะแย่แล้ว”


“เออ ๆๆ ก็ได้” กล่าวอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง ในที่สุดสามหนุ่มก็พากันไปยืนที่กลางห้อง ตั้งท่าเตรียมพร้อมตามแบบมิวสิควิดีโอที่ดูวนมาตลอดสองวัน


“พร้อมนะพี่ เดี๋ยวมันจะมีอินโทรอยู่ช่วงหนึ่ง พอผมเริ่มนับพวกพี่ก็เริ่มเต้นได้เลย” ปาล์มร้องบอกพลางคลิกเมาส์  ทันทีที่เขาเริ่มนับจังหวะความวินาศสันตะโรก็บังเกิด


“พี่ฟาร์มก็ไม่รอดว่ะ” โอส่ายหัวพร้อมกับเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างคนหมดแรง


ท่าเต้นที่ไปกันคนละทิศคนละทางทำเอานักศึกษาทั้งสี่คนที่อุตส่าห์มานั่งรอตั้งแต่จัดรายการเสร็จถึงกับต้องยกมือขึ้นกุมขมับ ในที่สุดประจำเมืองก็อดรนทนไม่ไหวจำต้องเอ่ยขึ้น


“อ...ไอ้ปาล์มหยุดเพลงก่อน”


“อ้าว หยุดทำไมล่ะเมือง เครื่องกำลังร้อนเลย” ณรงค์ฤทธิ์ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอ่ยขึ้น


“แกหยุดเต้นแล้วฟังน้องมันพูดก่อนสิวะ” กันตภณว่าพลางใช้แขนเหนี่ยวคออีกฝ่ายเข้าหามาใกล้เล่นเอาคนไม่ทันตั้งตัวสำลักอากาศ


เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติประจำเมืองจึงยื่นข้อเสนอ “ผมว่าพวกพี่ลองหาอะไรอย่างอื่นทำกันดีไหมครับ”


“ห่วยมากจนทนดูไม่ได้เลยใช่ไหม” ขวัญนพถาม อดนึกไม่ได้ว่าความรู้สึกของเด็ก ๆ ที่ได้ดูการแสดงของพวกเขาเมื่อปีก่อนก็คงไม่ต่างกับทั้งสี่คนในตอนนี้


“มันก็...น่ารักดีนะพี่ แต่ผมว่าน่าจะมีอะไรที่เหมาะกับพวกพี่มากกว่านี้ อืม...อย่างเช่น...” ทำท่าครุ่นคิดเพื่อหวังจะหาข้อสรุปให้ได้ “เล่านิทาน ใช่ ๆ เล่านิทาน”


“นิทานอะไร” หมอฟาร์มมุ่นคิ้วก่อนจะแกะท่อนแขนที่ยึดลำคอของตนเองเอาไว้


“เรื่องที่เด็ก ๆ คุ้นเคย หรือพวกพี่อาจจะแต่งขึ้นมาเองก็ได้”


“โอ๊ย! ไม่เอาแล้วนะ พี่เสียเวลากับการซ้อมเพลงนี้มาสองวันแล้วนะเมือง ถ้าจะเปลี่ยนเป็นเล่านิทานก็ให้สองคนนี้จัดการก็แล้วกัน” คนเดิมยังคงโวยวาย


นี่ขนาดซ้อมแล้วนะ...ประจำเมืองยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันไปหาคนที่คิดว่าน่าจะพึ่งพาได้ที่สุดในยามนี้


“เดี๋ยวผมลองถามยี่หวาดูก็ได้ว่าพอจะมีหนังสือนิทานสนุก ๆ ให้เรายืมบ้างไหม” ขวัญนพกล่าวรู้สึกขอบคุณประจำเมืองที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้


“ฉันเห็นด้วย ใครเห็นด้วยบ้าง” กันตภณชูสองแขน แต่ก็ไม่มีใครกล้ายกมือสนับสนุน “เอาเป็นว่าฉันกับไอ้นพสองเสียงชนะแกเสียงเดียวไอ้ฟาร์ม แต่ถ้าแกไม่พอใจ แกจะเต้นคัพเวอร์คนเดียวก็ได้นะ ส่วนฉันกับนพจะเล่านิทานด้วยกัน”


หมอฟาร์มกัดริมฝีปากแน่นจ้องเขม็งไปยังร่างสูงที่กำลังเดินยิ้มร่าเข้าไปโอบไหล่คุณหมอรุ่นน้อง บรรดาคนที่เหลือต่างก็พากันมองสองเพื่อนสนิทที่จ้องหน้ากันไม่ลดละราวกับจะปล่อยพลังแห่งการทำลายล้างใส่กันจนไม่มีใครทันสังเกตว่ามีดวงตาอีกสองคู่กำลังสบกันด้วยความรู้สึกที่ต่างไป...



(ยังมีต่อนะคะ)


...


ตอนนี้ยาวหน่อย เดี๋ยวอีกครึ่งจะรีบมาต่อให้นะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2016 11:00:45 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
หมอฟาร์มน่ารักดี
เอ่อ ถ้าไม่มีประจำเมืองนี่คิดว่าสองหมอ กันต์กับนพน่าลุ้นนะ

ออฟไลน์ LEO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-3
รอหมอฟ้าใส ตอนต่อไป

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
หมอฟาร์มน่ารักอ่าาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด