บทที่ 21
ข่าวเรื่องมู่ชินอ๋องมอบสาวงามให้เหล่าขุนนางที่ไปเข้าเฝ้าฮองเฮากระจายไปทั่วเมืองหลวง ภายในวันเดียวเหล่ายอดหญิงงามแห่งหอคณิกาต่างๆ ถูกซื้อตัวโดยมู่ชินอ๋องและส่งไปยังจวนขุนนางอย่างครบถ้วนไม่มีขาดแม้แต่ผู้เดียว ภรรยาหลวงของเหล่าขุนนางได้แต่แอบบริภาษอยู่ในใจ ถึงแม้ตอนที่สามีทูลเรื่องรับสนมนางในเพิ่มพวกนางจะไม่คัดค้าน ผู้ใดบ้างไม่อยากให้หญิงสาวตระกูลของตนแต่งเข้าวังหลวง แต่ยามนี้คิดหาภรรยาน้อยให้ผู้อื่นมิใช่ตนเองกลับได้มาเองหรอกหรือ อีกทั้งผู้มอบหญิงงามเหล่านี้ให้คือมู่ชินอ๋อง มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านอ๋องผู้นี้รักหน้าตาเพียงใด สิ่งที่เขามอบให้ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธ
ส่วนผู้ที่ทำให้ผู้อื่นอยากร่ำไห้คร่ำครวญยามนี้กลับกำลังนั่งจิบชาเลือกของกำนัลเพื่อมอบให้มารดาของตนเองอย่างไม่รับรู้ความทุกข์ร้อนของผู้อื่นอยู่ในห้องหนังสือ ของล้ำค่าที่เขาสะสมมาจากการรับงานของพรรคจันทร์กระจ่างฟ้านั้นมีมากมาย เมื่อต้องการเลือกให้มารดาสักหลายชิ้นจึงต้องคัดสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดจากสิ่งที่ดีอยู่แล้ว เวลานี้ของที่เขาสั่งให้คนนำมาจากพรรคกองเต็มห้อง ปลายนิ้วเรียวยาวลูบไล้ของแต่ละชิ้นอย่างรักถนอม มิเสียแรงที่เขายอมลงทุนลงแรงไปคลุกคลีอยู่ในยุทธภพ คนเหล่านั้นล้วนร่ำรวยไม่ต่างจากบรรดาขุนนางในวังหลวง ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนทำให้เขาเบิกบานใจ
“เรียนท่านอ๋องหยวนกงกงขอเข้าพบขอรับ”
“ให้เขาเข้ามา”
หยวนกงกงเมื่อทำความเคารพเสร็จก็ก้มหน้าก้มตานิ่ง มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขาอยากร้องไห้เพียงใด เป็นถึงขันทีข้างพระวรกายฝ่าบาท อยู่ในวังนับว่าใหญ่โตไม่น้อย แม้แต่กับฮ่องเต้เขาก็ไม่เคยต้องระวังตัวเท่ากับอยู่กับมู่ชินอ๋อง ไม่รู้ว่าวันใดจะโดนท่านอ๋องกลั่นแกล้ง
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา เอาแต่ก้มหน้าก้มตา หรือเจ้าโดนจ้าวเทียนหลงตัดลิ้นไปแล้ว” มู่อิงหยิบปิ่นปักษาคาบมุกขึ้นมาอันหนึ่ง ตัวปักษานับว่าทำได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต ส่วนไข่มุกในปากก็กลมเกลี้ยงไร้ตำหนิ อีกทั้งมีขนาดใหญ่เท่านิ้วหัวแม่โป้ง หากมารดาเขาใช้ก็คงทำให้บรรดาฮูหยินทั้งหลายตาร้อนผ่าว
มู่อิงเอาแต่สำรวจปิ่นปักษาคาบมุกไปมา ไม่ได้สนใจหยวนกงกงที่คุกเข่าลงกับพื้นเมื่อได้ยินพระนามของฮ่องเต้ พระนามของฝ่าบาทใช่ว่าอยากเอ่ยก็เอ่ยได้ หากมีผู้ไม่หวังดีมาได้ยินมิต้องหัวหลุดจากบ่าหรอกหรือ
“ท่านอ๋องโปรดเมตตาบ่าวด้วย” หยวนกงกงตอนนี้ตกใจแทบตายได้แต่หน้าซีดเผือด ถึงแม้มู่ชินอ๋องจะเอ่ยพระนามฝ่าบาทจนเป็นเรื่องปกติ หากแต่ข้ารับใช้ตัวเล็กๆ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำใจให้ชินได้ เรื่องบังอาจเหิมเกริมถึงเพียงนี้คนปกติไหนเลยจะกล้า
“เจ้าเป็นถึงขันทีคนสนิท แต่ทำตัวราวกับมุสิกเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน” มู่อิงวางปิ่นปักผมลงในกล่อง ก่อนจะโบกมือให้คนนำของทั้งหมดออกไป แล้วจึงหันไปบอกซูปี้ฮวาที่ยืนอยู่ข้างกายว่า “เจ้าไปดูสิว่าโสมที่เคี่ยวให้ประมุขหลิวได้ที่หรือยัง แล้วบอกเขาให้นอนพักสักหน่อย ส่วนคนจากพรรคเรือนเมฆาที่มาตอนเช้าไล่กลับไปให้หมด” คนบาดเจ็บยังต้องจัดการเรื่องงานในพรรคอยู่หรือ คนพรรคเรือนเมฆาไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดจึงขึ้นเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้กัน ท่านจอมมารได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ” ชูปี้ฮวารับคำสั่งก่อนจะหมุนกายจากไปทำงานของตน คนของพรรคเรือนเมฆามาตอนเช้าหรือ เหตุใดนางจึงไม่รู้ หน้าประตูจวนก็ไม่มีใครมาขอพบประมุขหลิว อีกทั้งท่านประมุขก็ออกไปประชุมขุนนางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง
คนในยุทธภพพวกนี้...ไม่เคยเข้าตามตรอกออกตามประตูกันเลยหรือไร แม้แต่จวนอ๋องก็ยังหาญกล้าปีนกำแพงเข้ามา
เมื่อคนในห้องออกไปหมดแล้ว มู่อิงจึงให้หยวนกงกงลุกขึ้นนั่งที่เก้าอี้ทางด้านขวามือ หยวนกงกงถึงแม้หายตกใจแล้ว แต่ในใจก็สวดมนต์ให้พระพุทธองค์คุ้มครองอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าสักวันท่านอ๋องคงทำให้เขาตกใจจนตาย
“เรียนท่านอ๋อง ฝ่าบาทให้บ่าวนำหลักฐานที่สืบได้จากคดีคนหายมามอบให้ขอรับ มีทั้งรายชื่อและประวัติของบุคคลเหล่านั้น...”
“เป็นผู้หญิงทั้งหมด”มู่อิงเท้าคางมองหยวนกงกงที่กำลังรายงานก่อนจะเอ่ยแทรกขึ้นโดยไม่ปรายตามองหลักฐานแม้แต่น้อย
“ใช่ขอรับ ส่วนใหญ่เป็นนางกำนัลที่ทำหน้าที่ไม่สำคัญนักกว่าจะรู้ว่าคนหายไปก็ล่วงมาหลายวันแล้ว”
“มิใช่ว่าเป็นฝีมือธิดาเทพ”
“ท่านอ๋อง!!! ต้องมีหลักฐานจึงจะกล่าวหาผู้อื่นได้” หยวนกงกงตื่นตกใจยิ่งแล้ว ท่านอ๋องนี่อย่างไร คิดจะพูดสิ่งใดก็พูด ฝ่าบาทแม้สงสัยธิดาเทพแต่ก็ไม่เคยเอ่ยออกมา แต่ท่านอ๋องกลับ...กลับ...
“สังหารทิ้งก็สิ้นเรื่อง”
“ท่านอ๋อง!”
“จ้าวเทียนหลงมัวแต่พิรี้พิไร หลักฐานไม่สามารถสาวถึงตัวนางได้แล้วอย่างไร! เยว่เอ๋อของข้าบาดเจ็บกลับมามิใช่เพราะนางมีส่วนหรอกหรือ ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายในราชสำนัก แต่พวกเจ้ากลับไม่ยอมละเว้นข้า ยังจะต้องมามัวคิดคำนวณถึงผลได้ผลเสียอันใดอีก ความพอใจของข้ามู่อิงก็คือความถูกต้อง!” มู่อิงยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งชั่วร้าย ถ้อยคำยโสโอหังถึงเพียงนี้แม้แต่โอรสสวรรค์ยังไม่แน่ว่าจะยอมพูดออกมา
พิษสามทิวากร่อนจิตนั้นอาจารย์พึ่งให้คนส่งข่าวมาบอกเขาว่าตัวกระสายยาเป็นหญ้าค้ำเมฆา สมุนไพรล้ำค่าหายากที่มีใช้แต่เพียงภายในตำหนักเทพ อีกทั้งมุกกลืนโลหิตเม็ดนั้น เพียงพรรคตำหนักจันทราเล็กๆ จะสามารถนำคนมากมายมาสังหารกลั่นมุกกลืนโลหิตได้อย่างไรโดยที่ผีไม่รู้เทวดาไม่เห็น สถานที่ที่จะทำเช่นนี้ได้จะต้องเป็นสถานที่ใหญ่โตที่หากคนหายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเช่นวังหลวงอีกทั้งนางกำนัลเล็กๆ ในแต่ละปีป่วยตายไปก็มาก ยิ่งตำหนักเทพเป็นที่เคารพนับถือ แต่ละปีนางกำนัลถูกส่งเข้าไปหลายร้อยนาง แต่ละนางล้วนอุทิศตนให้กับตำหนักเทพตราบจนวันตาย พวกนางหายไปจะมีผู้ใดสนใจ อีกทั้งยังไม่มีคนนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องภายในของตำหนักเทพ การกระทำที่ต้องปิดหูปิดตาผู้อื่นเพียงนั้นนอกจากธิดาเทพยังจะมีผู้ใดกล้ากระทำ
มู่อิงนั่งเท้าคางอย่างเกียจคร้านมองดูหยวนกงกงที่ก้มหน้านิ่ง นัยน์ตาดำสนิทดูลึกล้ำราวกับบ่อที่มองไม่เห็นก้น แม้ดูงดงามราวปีศาจแต่กลับแฝงความอันตรายไว้รอบด้าน
“ฝ่าบาทตรัสว่าทรงหวังว่าท่านอ๋องจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
“ยุ่งยาก”
“....”
มู่อิงจ้องมองหยวนกงกงที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง แต่ก่อนเสี่ยวหยวนจื่อดูจะเปิดเผยมากกว่านี้ โดนเขากดดันถึงเพียงนี้สมควรจะร้องไห้โฮไปนานแล้ว แต่ยามนี้เอาแต่ก้มหน้านิ่ง วังหลวงสมกับเป็นสถานที่เคี่ยวกรำผู้คนอย่างแท้จริง แม้แต่เสี่ยวหยวนจื่อที่ชอบร้องไห้ยังอดกลั้นได้ถึงเพียงนี้ ทำให้ความสนุกของเขาลดลงไปหนึ่งอย่าง
“กลับไปบอกจ้าวเทียนหลงว่าเรื่องที่ข้ารับปากแล้วต้องจัดการให้เขาแน่ แต่ก็อย่าลืมเรื่องที่รับปากข้าไว้เช่นกัน” ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือธิดาเทพก็แค่หาทางกระชากหน้ากากอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางออกก็พอ
เมื่อหยวนกงกงจากไปแล้วมู่อิงก็ออกจากห้องหนังสือ ยามนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักอีกทั้งวันนี้ยังไม่เจอหน้าหลิวเฉินซางเลยซักแวบเดียว มิสู้ไปชื่นชมเส้นผมของเขาให้เพลิดเพลินใจเสียหน่อย เมื่อคิดว่าจะกินเต้าหู้หลิวเฉินซางเช่นไร อารมณ์ของท่านจอมมารแห่งยุทธภพก็ดูจะเบิกบานขึ้นไม่น้อย
ท่ามกลางสระน้ำใสสะอาด มีปลาไนสีสดใสแหวกว่ายไปมาท่ามกลางสระน้ำและต้นหลิวเขียวชะอุ่มมีศาลารับลมหลังหนึ่งตั้งอยู่ แม้มิได้แตกต่างจากศาลาทั่วไปที่พบเห็นได้ตามจวนใหญ่โต แต่บรรยากาศกลับดูร่มรื่นไม่น้อยกอปรกับยามนี้มีบุรุษชุดขาวนั่งจิบชาทอดสายตาไปเบื้องหน้าราวกับเซียนผู้หลุดพ้นจากโลกหล้า ยามมีสายลมพัดผ่านพาเอาชายอาภรพลิ้วไหวน้อยๆ ราวกับจะพัดพาจิตใจผู้คนให้ปลิวไปตามชายอาภรเหล่านั้น
สาวใช้และบ่าวรับใช้พากันมารวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งของสระน้ำแห่งนี้ ท่านอ๋องสั่งให้พวกเขาคอยปรนนิบัติรับใช้แขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่นายท่านผู้นี้พึ่งสั่งให้บรรดาบ่าวรับใช้ถอยห่างออกมา บรรดาสาวใช้จึงจ้องมองแขกของท่าอ๋องจนเคลิบเคลิ้มราวกับเจอบุรุษในดวงใจ มิใช่ไม่เคยเห็นบุรุษรูปงามเนื่องจากแขกของท่านอ๋องที่เข้าออกจวนแห่งนี้แต่ละท่านล้วนหน้าตาโดดเด่น ท่านอ๋องขึ้นชื่อเรื่องชื่นชอบคนที่มีรูปโฉมเจริญหูเจริญตามาแต่ไหนแต่ไรบุรุษหล่อเหลาหญิงสาวงดงามพวกเขาล้วนเห็นมาหมดแล้ว หากแต่คนที่หล่อเหลาจนคนมองใจสั่นสะท้านเช่นนี้เหล่าคนรับใช้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก นอกจากท่านอ๋องที่งดงามจนคนตกตะลึงแล้ว ไม่หน้าเชื่อว่ายังมีบุรุษที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้อยู่ ชาตินี้ได้เป็นบ่าวรับใช้ที่จวนอ๋องแห่งนี้มิรู้ว่าพวกตนใช้บุญกุศลจากชาติที่ผ่านมาแลกมาหมดแล้วหรือไม่ ดังนั้นพวกบ่าวรับใช้จึงรวมกันอยู่มุมหนึ่งของสระน้ำ ราวกับกำลังจดจ้องภาพวาดอันงดงามของนักวาดผู้ลือชื่อ
มู่อิงยืนมองหลิวเฉินซางที่อยู่ในศาลารับลมครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหา
...พวกคนพรรคเรือนเมฆายังเรียกว่ารู้จักรักษาชีวิต ยามนี้รอบกายหลิวเฉินซางจึงไร้คนคอยรบกวน คนป่วยก็ควรพักผ่อนให้มาก แต่คนผู้นี้กลับยังคงจัดการเรื่องวุ่นวายไม่หยุดใช้ได้ที่ไหนกัน
“เหตุใดจึงมาตากลมอยู่ข้างนอก หากเบื่อหน่ายที่จวนข้ามีบ่าวไพร่มากมายให้พวกเขามาแสดงอะไรให้ดูก็ใช้ได้แล้ว” ออกมาตากลมข้างนอกเช่นนี้หากเจ็บป่วยไปจะทำเช่นไร
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”ถึงแม้การที่มู่อิงห่วงใยเช่นนี้จะทำให้เขาดีใจไม่น้อย หากแต่เขาไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น หรือการที่เขาแกล้งทำตัวอ่อนแอจะทำให้คนผู้นี้คิดว่าว่าเขาเป็นอิสตรีไปแล้ว ถึงอย่างไรเสียมู่อิงก็ต้องถูกเขาจับกินอยู่แล้ว มิรู้ว่าเหตุใดจึงต้องเปลืองแรงไปกับการทำตัวราวกับพวกจอมเจ้าชู้ ท่านจอมมารผู้นี้แม้แต่ตอนที่จับมือหรือเส้นผมเขาก็ทำราวกับโจรราคะที่กินเต้าหู้สำเร็จ ถึงแม้จะดูน่ารักไม่น้อย หากแต่ก็ดูน่าขำมากเช่นกัน คนผู้นี้แม้แต่จูบยังทำไม่เป็นยังคิดว่าจะทำเรื่องเหล่านั้นกับผู้อื่นได้หรือ
“เช่นนั้นคืนนี้เรามาจิบชาชมจันทร์กัน” ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็มีเรื่องวุ่นวายให้สะสางไม่มีเวลาให้สุขสำราญเช่นเดิม หากหลิวเฉินซางหายดีเมื่อไหร่เขาจะรีบกลับพรรคจันทร์กระจ่างฟ้าทันที อย่างน้อยงานทุกอย่างในพรรคก็โยนให้เฉียนหลีจัดการแทนได้
“มิใช่จิบสุราหรอกหรือ” ท่าทางยามเมาสุราของท่านจอมมารนั้นช่างทำให้คนอยากให้เขาเมาสุราอยู่ร่ำไป
มู่อิงที่ได้ยินคำว่าสุรานั้น ใบหน้าเจือนลงเล็กน้อย เขามู่อิงฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง แม้แต่ฮ่องเต้เขาก็เคยทุบตีมาแล้ว หากแต่ยามนี้กลับรู้สึกว่าไม่สามารถต่อสู้กับสุราเพียงจอกเดียวได้ ถึงแม้เขาจะมีกำลังภายในล้ำเลิศเพียงใด หากแต่เมื่อสุราไหลลงคอยามใดกลับเมาก่อนจะได้ใช้กำลังภายในขับสุราออกทุกครั้งไป สุราในใต้หล้านี้สมควรถูกกำจัดให้หมด
“สุรานั้นไม่ดีต่อร่างกายเจ้า” เขาเพียงเป็นห่วงสุขภาพหลิวเฉินซางเท่านั้น ใบหน้าท่านจอมมารยามนี้เปลี่ยนจากจืดเจื่อนมาเป็นท่าทางห่วงใยหลิวเฉินซางอย่างแท้จริง เมื่อหาบันไดให้ตนเองได้เหตุใดเขาจะไม่รีบลงเล่า เรื่องน่าขายหน้าอันใดเขาจะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด
คนผู้นี้ถึงอย่างไรก็รักหน้าตาเกินกว่าจะยอมรับได้ว่าตนเองคออ่อน
“ในเมื่อไม่มีสุรา ข้าก็หวังว่าจะได้พังเสียงพิณของเจ้า” ยามเห็นใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมู่อิง เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าเขาหลิวเฉินซางก็มีวันนี้เช่นกัน วันที่จะเปิดใจรับคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง ยิ่งไม่คาดคิดว่าคนผู้นั้นจะเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ยิ่งคิดว่าคนผู้นี้เป็นชินอ๋องของแคว้นเว่ยยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ซ้ำยามนี้ยังอยู่ในบ้านของผู้อื่นอย่าว่าง่าย ไม่ว่าข้อใดก็เป็นสิ่งที่ในอดีตเขาไม่เคยคิดว่าจะทำ
“เสียงพิณของข้าเป็นหนึ่งในใต้หล้า หากเจ้ายอมยกขลุ่ยหยกเลานั้นให้ข้า...” ยามเขาเห็นขลุ่ยหยกของหลิวเฉินซางตอนบรรเลงเพลงร่วมกันก็อยากได้แล้ว แต่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเสียก่อนกอปรกับยามนั้นไม่มีเหตุผลให้ช่วงชิงของของผู้อื่น เขามู่อิงจะไม่เอาของของผู้อื่นหากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่เขาพึงพอใจ
“ย่อมยกให้เจ้า” หลิวเฉินซางหยิบขลุ่ยหยกจากในอกเสื้อส่งให้มู่อิงทันที ของสิ่งนี้ถึงจะงดงามเพียงใดก็เป็นเพียงขลุ่ยเลาหนึ่ง หากทำให้มู่อิงเบิกบานใจได้ก็นับว่าดีมากแล้ว คนผู้นี้มิใช่พึ่งรับปากฮ่องเต้ทำเรื่องยุ่งยากเพื่อช่วยเขาหรอกหรือ ยามมองรอยยิ้มงดงามของมู่อิงเมื่อรับขลุ่ยหยกไปสายตาหลิวเฉินซางจึงอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นายท่านสองคนอยู่ในบรรยากาศชื่นมื่นแต่บรรดาบ่าวไพร่ล้วนเบิกตาจ้องมองมิให้รอยยิ้มของท่านอ๋องคลาดสายตาไปแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องนั้นยิ้มอย่างงดงามเช่นนี้นับครั้งได้ ปกติเพียงปรายตามองพวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว ยามนี้ไร้บรรยากาศน่ากลัว อีกทั้งคุณชายหลิวผู้นั้นช่างหล่อเหลาสายตายามทอดมองท่านอ๋องแทบจะทำให้คนหลอมละลาย บ่าวไพร่แต่ละคนเบิกตากว้างได้เท่าไหร่ก็พยามเบิกให้กว้างได้เท่านั้น ภาพอันงดงามเช่นนี้แม้เกิดมาสิบชาติก็ใช่ว่าจะพบเห็นได้ง่ายๆ
เจ้านายพูดคุยกันในศาลาบรรยากาศยามนี้ย่อมไม่มีผู้ใดอยากเข้าไปทำลาย บรรดาบ่าวไพร่ล้วนถอยห่างออกมาปล่อยให้ทั้งสองท่านพูดคุยหยอกล้อกัน ถึงจวนแห่งนี้เป็นเพียงจวนในเมืองหลวงที่ท่านอ๋องจะมาพักเป็นครั้งคราวมิใช้ตำหนักทางเหนือที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้ แต่บรรดาบ่าวไพร่ล้วนหวังให้ท่านอ๋องจะมีรอยยิ้มเช่นนี้ตลอดไป ยามที่ฮ่องเฮาแต่งออกไปบรรยากาศในจวนตรึงเครียดจนแม้แต่ยุงยังไม่กล้าบินเสียงดัง ยามนี้นับว่าสงบสุขยิ่งนัก
+++++++++++++++++++++++
แอบมาอัพเงียบๆ ให้รู้ว่ายังไม่ดองนะคะ
เพียงแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาเลยค่ะ ยอมรับว่าแอบอู้ด้วย
ช่วงนี้คนเขียนขาดอินเนอร์ อ่านแล้วตะขวิดตะขวงใจก็บอกได้นะคะ
คนอ่านทุกท่านรักษาสุขภาพด้วยนะคะ ช่วงนี้เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก
ตอนต่อไปอาจต้องรอนานเช่นเคย แต่เพราะยังมีคนรออ่าน เราก็จะพยายามเขียนให้จบ
แอบสารภาพว่าตอนเปิดเรื่องนี่ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านเยอะขนาดนี้ กะเขียนเอาอารมณ์อยากเขียนเข้าว่า แต่ยามนี้หากเขียนไม่จบคนเขียนอาจโดนสาปส่งได้ ดังนั้นยังไงก็จะแต่งจนกว่าจะจบค่ะ แพลนจบเรื่องนี้ยังเป็นก่อนสิ้นปีเช่นเคย