Chapter 12
เช้าวันนี้ กนธีขับรถมาดักรอพวกเด็กๆอยู่หน้าปากซอย เขาติดเครื่องค้างไว้ขณะจอดเลียบฟุตปาธ กระทั่งเจ็ดโมงกว่า ถึงได้เห็นหนุ่มวัยรุ่นเดินอ้าปากหาวมาแต่ไกล ข้างหน้ามีเด็กเล็กสองคนเดินจูงมือกัน สะพายกระเป๋านักเรียนใบโต
ชายหนุ่มบีบแตรเบาๆ พร้อมกับชะโงกออกไปเรียก “อ้น..อุ้ม ทางนี้ครับ”
สองพี่น้องดีอกดีใจ รีบวิ่งหน้าตั้งมาทางเขา “สวัสดีคร้าบพี่กุนต์~”
กนธียิ้มให้ พยักพเยิดพลางปลดล็อก “ขึ้นมาสิ พี่จะพาไปส่งที่โรงเรียน”
เขาหันไปทางพี่เลี้ยงจำเป็นอีกหนึ่งคนที่ยืนเกาเอวตัวเองแกรกๆท่าทางเกียจคร้าน รู้ได้ทันทีว่าคือพี่ข้างห้องที่อินทัชจ้างให้มาดูแลน้องชาย สภาพแบบนี้ อย่าว่าแต่ดูแลคนเลย เต่าญี่ปุ่นสักตัวยังจะทำตายเสียเปล่า
“คุณมานั่งข้างหน้าไหม ให้น้องๆนั่งข้างหลัง” เผื่อเขาเบรคแรงๆ ไอ้จอมขี้เกียจนี่จะได้หัวโขกกระจกเป็นคนแรก
“อ้าว..ผมต้องไปด้วยหรือ” อีกฝ่ายถามอย่างงุนงง “มีคนมารับแล้วก็ไปกันเองได้เลยนี่ครับ ผมขอตัวดีกว่า” ปฏิเสธแล้วก็ตั้งท่าจะเดินกลับ แต่คนด้านหลังเรียกเอาไว้ก่อน
“ตอนเย็นคุณไม่ต้องไปรับแล้วกันนะ ผมจะรับน้องๆเอง” กนธีบอก ส่ายหัวระอาเมื่อฝ่ายตรงข้ามพยักหน้ารับคำ แบบไม่คิดจะตรวจสอบด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน เห็นแค่ว่าเด็กๆรู้จักก็ปล่อยทิ้งให้มาด้วยเลย
“รับทราบครับ บายครับ” ว่าพลางหาวหวอด
“อดหลับอดนอนช่วยข้างห้องทำขนมหรือคุณ” กนธีเอ่ยปากแซว “เห็นน้องอ้นบอกว่าขนมใส่ไส้ขายดีน่าดู” ว่าแล้วก็หันไปขยิบตากับเด็กน้อยที่ยิ้มเผล่ ท่าทางภูมิใจกับการทำงานเสริมของตัวเอง
เด็กหนุ่มปรือตามอง “ทำขนมอะไรครับ หมายถึงน้าพันน่ะหรือ ก็ไม่เห็นแกทำอะไรนี่ ใส่ไส้นั่นคนอื่นเขาเอามาส่งเป็นถุงๆเลย น้องอ้นเขาก็เดินส่งตามออเดอร์แกนั่นแหละ”
กนธีพยักหน้ารับ เอาเป็นว่าตอนนี้ข้อมูลสองฝั่งไม่ตรงกัน คนชื่อพันบอกกับน้องอ้นว่าตัวเองเป็นพ่อครัว ทำขนมตอนเช้า พอน้องกลับมาก็เจอขนมรออยู่ ตัวเองมีหน้าที่เดินส่งอย่างเดียว ในขณะที่ไอ้หนุ่มนี่บอกว่านายพันรับขนมมาจากแหล่งอื่นแล้วให้เด็กมาส่งต่อ..ไอ้จุดที่น่าคิดก็คือ ในเมื่อหมอนั่นไม่ได้ทำกับมือ ก็ต้องมีเวลาเดินส่งด้วยตัวเอง แล้วทำไมไม่ไปจัดการ ทำไมต้องมานั่งจ้างเด็กเดินครั้งละสองร้อยให้เปลืองกำไรอันน้อยนิดที่ควรได้
เอาเป็นว่าข้อสงสัยนี้ถึงจะเล็กนิดเดียว แต่เขาก็จะทดไว้ในใจก่อนแล้วกัน
“กลับไปนอนเถอะคุณ ระวังชนหม้อข้าวเขาล้มคว่ำล่ะ” เขาบอกขำๆก่อนหันมาหาเด็กน้อยด้านหลัง “รัดเข็มขัดด้วยครับ ลุงขับซิ่งมากกก ห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง”
อ้นกับอุ้มหัวเราะชอบใจ ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ว่ามันซิ่งแค่ไหน
กนธีพาเด็กๆไปส่งที่โรงเรียนพญาไท อันที่จริงจากวัดตะพานไปยังถนนศรีอยุธยานี่ ถ้าถนนโล่ง ใช้เวลาห้านาทีก็ถึง แต่ถ้ารถติดมากๆก็เป็นอีกเรื่อง เขาเลยคิดหนักนิดหน่อย หากว่าอินทัชย้ายไปอยู่แถวปทุมวัน อ้นกับอุ้มอาจจะต้องตื่นเช้ามากกว่าปกติเพราะแถวนั้นรถหนาแน่นจัด ไหนจะมหาวิทยาลัย ไหนจะคนทำงาน
“เมื่อคืนพี่โอ๊ตถึงห้องกี่โมงครับ”
“หนูหลับไม่รู้เรื่องเลย” อุ้มเป็นคนตอบ
อ้นพยักหน้ารับ “พี่โอ๊ตมีกุญแจครับ เข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ มาถึงก็นอนเลย ตอนอ้นอาบน้ำ พี่โอ๊ตยังนอนไม่รู้เรื่อง”
“อืม..แสดงว่าพวกเราไม่ได้ลงกลอนประตู แค่กดล็อกลูกบิดสินะ” มันอันตรายจริงๆด้วยนั่นแหละ
ชีวิตในกรุงเทพมันไม่เหมือนต่างจังหวัด ที่ที่มีคนอยู่หนาแน่น มันก็ต้องมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปน หากเอาเข้าจริง ต่อให้เขาย้ายเด็กๆไปอยู่ห้องราคาแพงระยับ มีแต่คนมีฐานะเดินให้เกร่อ บางทีก็อาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นได้ อย่างข่าวรปภ.ย่องเข้าหาสาวในคอนโดนั่นปะไร การตัดสินว่าพื้นที่ชุมชนจะอันตรายกว่าคอนโดหรูใจกลางเมืองก็ดูจะอคติไปสักนิด แต่อย่างไรก็ตาม คดีความก็น่าจะมีเปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นได้น้อยกว่าอยู่ดี
“อ้นกับอุ้มอยากย้ายบ้านไหม” กนธีเปรยขึ้น “พี่มีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ตอนนี้กำลังให้คนเข้าไปทำความสะอาดแล้วก็ตกแต่งห้องใหม่ อยู่ใกล้ๆที่เรียนของพี่โอ๊ตเลย ถ้าพวกเราสนใจอยากไปอยู่ พี่จะจัดการให้”
อ้นกับอุ้มมองหน้ากัน ที่อยู่ทุกวันนี้ เด็กๆก็มีความสุขดี เพราะว่าตั้งแต่ย้ายมาจากต่างจังหวัดก็อาศัยบ้านเช่าตรงนี้มาโดยตลอด ป้าเจ้าของถึงจะปากจัด เข้มงวด แต่ก็ใจดีอยู่เหมือนกัน ส่วนเรื่องย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ต้องให้พี่โอ๊ตตัดสิน
“พี่เสนอไว้ให้อีกทางแล้วกันนะครับ ถ้าตกลงอยากย้ายก็บอกพี่ได้นะ” อย่างไรเสีย ตอนนี้ก็ต้องรอเฟอร์นิเจอร์ชุดใหม่เข้ามาก่อน เขาเพิ่งจะสั่งรื้อข้าวของและทาสีห้องด้วย คงต้องใช้เวลาประมาณอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์
“ย้ายไปอยู่กับพี่กุนต์ได้ไหมอ่า”
กนธีหัวเราะร่วน ถามแบบนี้ เดี๋ยวก็จัดการรับเป็นลูกบุญธรรมเสียเลย ตัวเขาเอง ถึงจะอยากมีลูกแต่ก็ใช่ว่าจะถูกชะตากับเด็กทุกคน แต่กับอ้นและอุ้ม มันรู้สึกรักและเอ็นดูอย่างน่าประหลาด ส่วนหนึ่งคงมาจากการที่น้องๆเป็นเด็กเล็กที่มีความคิดดี พูดดี ทำดีมากกว่าผู้ใหญ่บางคน และโดยพื้นฐานก็เป็นคนน่าสงสารอยู่ทุนเดิม เขาเลยนึกอาทร
ชายหนุ่มจอดรถหน้าโรงเรียน ปลดล็อกให้พลางบอก “โรงเรียนเลิกแล้วพี่จะมารับนะครับ ให้รอตรงป้ายโรงเรียน ถ้าเห็นคนขับรถที่หล่อน้อยกว่าพี่ก็ไม่ต้องตกใจไปล่ะ..หมาหัวเน่าที่บ้านพี่เอง” ไอ้ไผ่คงจามยกใหญ่
เด็กๆหัวเราะ กระพุ่มมือไหว้ขอบคุณแล้วถึงได้โบกมือลา
กนธีมองตามจนอ้นพาน้องอุ้มเข้าไปในเขตรั้ว มีคุณครูยืนรอรับเรียบร้อยแล้วจึงเบาใจ
วันนี้เขาไม่มีนัดกับลูกค้า เลยว่าจะขับรถไปซื้ออาหารสัตว์กับทรายแมวสักสองกระสอบ พวกลูกแมวเริ่มเดินได้คล่อง ตอนนี้ยังกินนมเก่งเหมือนเดิม กินแทบจะทุกๆสองชั่วโมง กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ตื่นมาไม่เจอแม่ก็ส่งเสียงร้องงอแง ถึงเขาจะไม่ได้กลับบ้านใหญ่บ่อยๆ แต่ป้าแม่บ้านก็อัดคลิปวีดีโอส่งมาให้ทุกวันเลยรู้ว่าพวกมันโตแค่ไหนแล้ว
เสร็จจากบ้านใหญ่ เขาวางแผนกลับไปนอนเล่น ดูทีวีที่คอนโดจนกว่าโรงเรียนของเด็กๆจะเลิก ค่อยเอาเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้สักชุดสองชุดกับของใช้นิดๆหน่อยๆ เพราะตั้งใจว่าคืนนี้จะไปปิคนิค
..ที่บ้านเช่าของอินทัช..
......
อ้นกับอุ้มยืนงงเมื่อออกมารอหน้าโรงเรียนแล้วเห็นพี่กุนต์ในลุคใหม่
ปกติกนธีจะชอบใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว สีอ่อนบ้าง สีเข้มบ้างกับกางเกงสแล็ค ไม่ก็ยีนส์พอดีตัว ถึงจะดูสบายๆด้วยการปลดกระดุมบนและชอบพับแขนเสื้อไว้ที่ข้อศอกแบบหลวมๆ แต่ก็ยังเนี้ยบและดูดีได้โดยไม่ต้องอาศัยแบรนด์เนมราคาแพงเกินความจำเป็น
แต่ตอนที่โผล่มารับเด็กๆอีกครั้ง เขาใส่เสื้อยืดคอย้วยกับกางเกงสีเขียวขี้ม้าขาสั้น ลากรองเท้าแตะแอดด้า ที่ดูขัดกว่านั้นคือเจ้าตัวลงมาจากรถเบนซ์คันงามที่มาจอดเทียบอยู่หน้าโรงเรียน
“เท่มั้ยล่ะ” กนธีก้มมองรองเท้าที่หมุดหลุดไปข้างหนึ่งแต่เขายังลากต่อได้
“พี่กุนต์จะไปไหนครับ”
“ไปเที่ยวแถวนี้แหละ”
อ้นจูงน้องมาขึ้นรถ เจอพี่อีกคนยิ้มให้เลยยกมือสวัสดี
“นี่หมาหัวเน่าที่พี่บอกเมื่อเช้า” เขาแนะนำตัวน้องชายให้เด็กๆรู้จัก “ชื่อไผ่ลู่ลม”
พสิษฐ์มองเขม่น “แค่ไผ่ก็พอ” วันนี้เขาถูกพี่ชายตัวเอ้โทรสั่งให้ไปรับที่คอนโด แล้วก็มารอเด็กน้อยเลิกเรียน ตามด้วยภารกิจไปส่งน้องๆถึงห้องเช่าเพราะวันนี้พี่กุนต์วางแผนจะไปนอนค้างที่นั่นด้วย
ตอนที่รู้เขาก็อึ้งไปพักใหญ่ คนอย่างกนธี แค่ยกแก้วขึ้นเฉยๆ พวกเด็กหนุ่มก็พร้อมใจจะเข้ามาออบริการอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องไปป้อคนโปรดรายใหม่ถึงบ้านไม้ผุพังนั่นเลย
“คิดอะไรให้มันมีกุศลในหัวหน่อย” กนธีด่า “พี่บริสุทธิ์ใจล้วนๆ ไม่มีวาระซ่อนเร้นเว้ย!”
นึกว่าเขาจะเชื่อหรือ “ใกล้ชิดกันแบบนี้ คอยดูสักวันเถอะ รายที่ห้า..แน่นอน!” “บอกน้องๆเขาหรือยังว่าจะขอไปค้างด้วย” พสิษฐ์หันมาถาม
อ้นกับอุ้มดีใจจนเห็นได้ชัด ยิ่งเห็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่าย ยิ่งดีใจหนัก
“พี่กุนต์จะมาค้างกี่วันครับ”
กนธีหัวเราะร่วน “คืนเดียวครับ แต่ยังไม่ได้ขอพี่โอ๊ตเลย พี่โอ๊ตจะยอมหรือเปล่า”
อุ้มทำหน้าขึงขัง “ถ้าพี่โอ๊ตไม่ให้ หนูจะให้พี่โอ๊ตไปนอนนอกห้อง”
พสิษฐ์ได้ยินแล้วก็นึกขำ เออ..ดี เข้าทางน้อง เต๊าะไปทางพี่ อีกไม่เกินเดือนหรอก รอดูก็แล้วกัน
“แล้วคุณอาไผ่จะมาค้างด้วยไหมครับ” อ้นฉีกยิ้ม
กนธีหลุดหัวเราะ มองไอ้ไผ่ที่ทำหน้าห่อเหี่ยว เด็กโกหกไม่เป็นหรอก เพราะว่าเขาหน้าเอ๊าะกว่าเลยได้เป็นพี่ แต่ไอ้ไผ่มันหน้าย่นกว่าเลยกลายเป็นคุณอา ของแบบนี้มันแข่งกันยาก
“คุณอาไม่ได้ค้างครับ แค่พาไปส่ง” ผู้ชายตัวโตสามคนนอนเบียดกัน มีเด็กน้อยอีกสอง มันคงตลกพิลึก
ภารกิจของพสิษฐ์จบลงแค่นั้น พอพาทุกคนมาถึงปากซอยวัดตะพาน พี่กุนต์ก็โบกมือไล่เขากลับ นัดแนะแค่ว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าให้แวะมารับ
“ใช้งานเสร็จ ถีบหัวส่ง คนอะไรวะ”
“แกอยากได้ตัวปั๊มเด็กดีหรือไง บ่นเป็นตาแก่ไปได้ กลับไปได้แล้ว” เขาบุ้ยใบ้ ยืนรอจนไอ้น้องขี้น้อยใจของเขาขับรถออกไปแล้วถึงหันมาจูงเด็กๆกลับเข้าบ้านเช่า
อ้นกับอุ้มดูร่าเริงเป็นพิเศษ วันนี้เด็กๆไม่ต้องเหงาแล้ว เพราะว่าพี่กุนต์จะมากินข้าว มาคุย มาเล่น แล้วก็มานอนเป็นเพื่อนจนถึงตอนเช้าเลย
ตอนที่ขึ้นบันไดบ้าน กนธีเห็นผู้ชายหนวดเครารกเรื้อคนที่เขาเคยเจอเมื่อวานยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง หมอนั่นปรายตามามองเขาอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็จ้องไปที่เด็กๆ ชายหนุ่มเลยกระชับมืออ้นกับอุ้มเข้ามาโดยอัตโนมัติ
“น้าพัน” อ้นยิ้มทัก “ผมเพิ่งกลับจากโรงเรียน เดี๋ยวขอไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะครับ”
ตอนนี้กนธีก็จำได้แล้วว่าน้าพันของอ้นหน้าตาเป็นอย่างไร เขาทำทีเป็นยิ้มให้แล้วก้มหัวทักทายตามมารยาท
“พาเพื่อนมาเที่ยวบ้านหรืออ้น” พันมองกระเป๋าที่อีกฝ่ายสะพายอยู่
“ใช่ครับ คืนนี้พี่กุนต์จะมาค้างด้วย”
พันพยักหน้ารับ เสมองทางอื่น แต่พอทั้งสามเดินผ่านไป เขาก็หันมองตาม รู้สึกไม่ค่อยชอบใจนักที่มีคนนอกเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง ร่างใหญ่กลับเข้าห้องพัก ปิดประตูลงกลอนเสียสนิท
ข้างฝ่ายกนธี พอเข้าห้องของเด็กๆได้ก็เอากระเป๋าไปวางกองกับพื้น เขานั่งขัดสมาธิบนไม้กระดาน รับน้ำจากน้องอุ้ม..วอเตอร์บอยประจำบ้านมาดื่ม
“คืนนี้พี่กุนต์นอนบนเตียงนะครับ อ้นกับอุ้มจะนอนข้างล่าง”
“ไม่ดีหรอก พี่มากวน ขอนอนที่ฟูกนี่แหละ”
เตียงเหล็กในห้องนอนได้ประมาณสองคน หรือสามแบบเบียดๆ แต่ยังมีฟูกกลางเก่ากลางใหม่อยู่ด้วย เขามันคนง่ายๆอยู่แล้ว อาศัยแค่ฟูกก็หลับได้สนิท ไม่มีหมอนก็เอาเสื้อมาพับให้หนา ไม่มีผ้าห่มก็ใช้ผ้าเช็ดตัวได้
“แต่ว่าเตียงใหญ่กว่านะครับ นอนบนเตียงกับพี่โอ๊ตดีกว่า”
“ขอนอนฟูกเถอะ” แค่นี้ไอ้ไผ่ก็จินตนาการไปไกลสุดกู่แล้ว
“เป่ายิ้งฉุบฮะ” อุ้มเสนอ
ปรากฏว่ากนธีเป็นผู้ชนะ น้องอ้นเลยให้คนชนะนอนบนเตียง แต่กนธีบอกว่าชนะแล้วต้องได้เลือก ดังนั้น เขาจะนอนข้างล่าง อ้น อุ้ม กับพี่โอ๊ตนอนเตียงแทน หรืออุ้มจะมานอนเป็นหมอนข้างให้พี่กุนต์กอดก็ได้
“ฮื่อ..พี่กุนต์อ่ะ” อ้นทำปากยื่น เด็กชายเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปส่งขนมแบบทุกวัน “เดี๋ยวอ้นไปช่วยน้าพันก่อนนะครับ ส่งเสร็จแล้ว อ้นจะพาพี่กุนต์ไปกินข้าวแกงร้านอร่อยสุดๆ”
กนธีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด “พี่ว่าจะไปซื้อของที่ร้านค้าแถวนี้หน่อย เดี๋ยวออกไปพร้อมกับอ้นเลยก็ได้”
“ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพี่กุนต์รอข้างล่างนะ อ้นไปเอาขนมแป๊บนึง” เด็กชายหันมากำชับน้อง “ถ้าพี่ไม่เรียก อุ้มอย่าเปิดประตูนะ ถ้าจะลงไปฉี่ก็ปิดให้สนิทแล้วรีบขึ้นมาล่ะ เดี๋ยวจะซื้อนมน้ำผึ้งมาให้”
อุ้มพยักหน้ารับ เด็กน้อยเอาโต๊ะญี่ปุ่นออกมากาง ทำการบ้านรอไปพลางๆ
กนธียิ้มน้อยๆ เขาทำตามที่อ้นบอกด้วยการลงไปนั่งรออยู่ที่เชิงบันได ถึงอย่างนั้น หูก็ยังคอยฟังการเคลื่อนไหวของคนด้านบน เขาได้ยินเหมือนว่านายพันจะเปิดประตูห้องออกมา ตามด้วยการบอกออเดอร์ว่าเจ้าไหนจะเอาถุงไหน
เหมือนเดิมกับที่เห็นวันนั้น..ทุกถุงเป็นสีเดียวกัน ยกเว้นถุงหนึ่งที่แตกต่างจากเพื่อน
..นี่แหละ..จุดประสงค์ที่เขามาวันนี้..
ชายหนุ่มทำเป็นนั่งแคะนู่นเกานี่ ทำตัวเรียบๆไม่ให้ส่อเจตนาชัดเกินไป กระทั่งน้องอ้นลงมาและแบกถุงขนมมาเต็มสองแขน เขาก็ยังทำเฉยเสีย ไม่ได้แสดงท่าทีจะเข้าไปช่วยถือ หรือใส่ใจเด็กอะไรมากมาย
“นี่..คุณน่ะ” พันเรียกคนแปลกหน้า “จะออกไปกับอ้นด้วยหรือครับ”
กนธีเกาคางแกรกๆ “จะไปซื้อทิชชู่ที่ร้านโชว์ห่วย มีอะไรหรือเปล่า”
“อ้อ..” คนฟังยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฝากซื้อบุหรี่ด้วยซองหนึ่ง” เขายื่นแบงค์ร้อยให้ และอีกฝ่ายก็เดินขึ้นไปรับเงิน
คนทั้งสองมองหน้ากัน กนธียกเท้าขึ้นเกาหน้าขาตัวเองให้ดูวุ่นวายเข้าไว้ จากนั้นก็เดินลงบันไดไปแบบเนือยๆ
พ้นออกมาจากซอยบ้าน เขาก็หันมาทางน้องอ้นที่แบกถุงขนมตัวแอ่น “พี่ช่วยถือนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ อ้นถือได้”
“แขนแดงหมดแล้ว ให้พี่ช่วยเถอะนะ” กนธีดึงถุงที่น้องคล้องแขนไว้ด้านหนึ่งมาถือ แน่นอนว่ามันมีถุงต้องสงสัยที่เขาหมายตาเอาไว้ด้วย “เอาไปส่งที่ไหนบ้างครับ”
อ้นยิ้มตาปิด บอกร้านที่สั่งของเอาไว้ ส่วนใหญ่อยู่แถวปากซอย เป็นร้านในตึกแถวบ้าง เป็นรถเข็นบ้าง ส่วนเจ้าสุดท้ายก็รอรับอยู่ข้างวัดเหมือนเดิม นัดไว้เวลาเดิม ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงเท่าไร
กนธีพยักหน้ารับรู้ เขาช่วยถือของเดินไปส่งตามร้านที่ว่า หากในจังหวะที่น้องอ้นเผลอ เขาก็ล้วงมือลงในถุงสีประหลาด ลองสำรวจแต่ละห่ออย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ฉวยเอาขนมใส่ไส้ที่มีใบตองหนา ห่อใหญ่และหนักกว่าเพื่อนออกมาได้สองชิ้น จากนั้นจัดการสลับกับอีกถุงหนึ่งโดยแอบทำสัญลักษณ์ด้วยการพับใบตองด้านบนให้หักทั้งสองอัน
“อ้นเอาไปส่งก่อนนะ เดี๋ยวพี่แวะซื้อของแล้วจะตามไปช่วย” เขาส่งถุงขนมทั้งหมดคืนให้เด็กและปลีกตัวออกมา
กนธีไม่ได้ไปไหนไกล เขาตามเด็กชายอยู่ห่างๆ พอถุงที่เขาสลับไว้ถูกส่งต่อให้ร้านขายข้าวแกงตามออเดอร์ที่ร้านสั่ง คล้อยหลังน้องอ้นได้ประมาณห้านาที เขาก็เดินไปหน้าร้าน หยิบขนมใส่ไส้ที่ใบตองถูกพับไว้มาสองห่อ จ่ายเงินตามปกติเหมือนลูกค้าคนหนึ่ง
ชายหนุ่มก้าวไปยังที่ลับตาผู้คน จัดการแกะห่อใบตองออกมาสำรวจเพื่อคลายข้อสงสัยของตนทันที
..แต่มันไม่มีอะไรสักอย่าง นอกจากขนมใส่ไส้ที่เละเทะเพราะเขาทั้งเขี่ยและบีบบี้จนเหลว..
กนธีขมวดคิ้วมุ่น ทั้งที่เขาเตรียมใจไว้แล้วกับการเจออะไรก็ตามภายใต้ใบตองที่พับทบกันจนหนา แต่กลับคว้าอะไรไม่ติดเลย ไม่มีอะไรนอกจากไส้ขนม..กับกะทิสีขาว
..หรือว่าเขาจะคิดมากไปเอง..
เขาถอนหายใจ สรุปว่าเรื่องนี้ เขาอาจจะหวาดระแวงไปเอง เพราะถ้าลงรูปแบบนี้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เดินไปบอกตำรวจให้ตรวจค้น เพราะสงสัยว่านายพันจะจ้างให้เด็กส่งยาทั้งที่ไม่มีหลักฐาน มันคงแย่น่าดู ไอ้เรื่องจะมานั่งบีบขนมใส่ไส้จนกระจายเป็นร้อยห่อเพื่อหาข้อปรักปรำ และอาจต้องจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้ถ้าไม่มีอะไรนั้น เขายังมีปัญญาจ่าย แต่ความรู้สึกของคนที่ถูกกล่าวหา คงแก้ตัวกลับไม่ได้อีก ตัวน้องอ้นเองก็อาจจะรู้สึกไม่ดีไปด้วย
..เอาเถอะ..ไม่มีก็คือไม่มี..
กนธีเบาใจขึ้นเปลาะหนึ่ง แม้จะยังไม่คลายความระแวงทั้งหมดลง
......
อาหารเย็นวันนี้เป็นข้าวเสาไห้หุงร่วน กินกับแกงป่าปลากรายรสจัดจ้าน ตัดความเผ็ดด้วยรสหวานของไข่พะโล้และหมูสามชั้นชิ้นเบ้อเร่อ กินกับผัดดอกหอมใส่ตับหมู
กนธีเคยกินอาหารที่อร่อยกว่านี้หลายเท่า แต่รสชาติของชีวิตไม่ได้มีเหมือนกันทุกครั้ง เขากำลังนั่งขัดสมาธิกับพื้น ใช้ช้อนสแตนเลสตักน้ำพะโล้มาราดข้าวในจานเมลามีนที่ใช้บ่อยเสียจนมีรอยแตก ปากเคี้ยวเอื่อย ตามองคู่สนทนา หูฟังเสียงเล็กๆสองเสียงที่ชวนเขาคุยด้วยท่าทางมีความสุข
อ้นเล่าถึงวิชาวิทยาศาสตร์ คุณครูให้การบ้าน เอาผักกะสังที่มีลำต้นใสไปทำการทดลอง โดยแช่ต้นที่ยังมีรากในน้ำแดง จากนั้นจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วไปรายงานอาทิตย์หน้า
ส่วนอุ้ม เล่าเรื่องการปั้นดินน้ำมัน หัวข้อสัตว์เลี้ยงของผม
“หนูเลยปั้นแกงส้ม แล้วก็ถั่วๆสี่ตัวแหละ” เด็กชายคลานไปคว้ากระเป๋านักเรียนออกมา ในนั้นมีกล่องโฟมที่คุณครูอนุญาตให้เอาดินน้ำมันกลับมาอวดผู้ปกครองได้
กนธีรับมาดู ดินน้ำมันสีตุ่นๆถูกปั้นเป็นทรงเรียวรี มีทรงกลมแปะไว้ด้านหนึ่ง แล้วก็มีติ่งยื่นออกมาสี่จุด มีเส้นยาวๆติดอยู่ด้านหลังอีกอัน ไซส์ใหญ่แล้วก็เรียงไปเป็นตัวน้อยๆ
“นี่อะไรน่ะครับ” เขาอมยิ้ม ยกกล่องขึ้นมองจุดน้อยๆบนตัวแกงส้ม
“หมัดของแกงส้มฮะ เป็นสัตว์เลี้ยงของหนูเหมือนกัน”
ชายหนุ่มร้อง ‘อ้อ’ พยายามกลั้นหัวเราะแทบแย่ เขารับก้อนดินน้ำมันที่เหลือมาจากน้องอุ้ม น้องบอกว่า อยากเห็นพี่กุนต์ปั้นให้ดูเหมือนกัน เขาเลยคลึงดินให้เป็นรูปหมาไส้กรอก..ซึ่งมันก็คือทรงกระบอกธรรมดานั่นแหละ จากนั้นก็ติดหู ติดตาโปนๆ ติดขาสั้นป้อมเข้าไปอีกสี่ที่
“หมาหัวเน่าชื่อไผ่ครับ”
อีกด้านหนึ่ง..พสิษฐ์ถึงกับจามฟึดติดกันสามครั้ง
กินข้าวเสร็จ กนธีเก็บจานชามลงไปล้าง ส่วนอ้นกับอุ้มรับหน้าที่เอาผ้าขี้ริ้วมาถูพื้นให้สะอาด ช่วยกันลากฟูกนอนอันย่อมออกมาจากที่เก็บและปูผ้าเอาไว้ให้ หมอนมีอยู่สามใบ ผ้าห่มมีสองผืน ต้องแบ่งกันให้ลงตัว
“เอายังไงดีอ่ะพี่อ้น” อุ้มเกาหัวแกรก
“พี่กับอุ้มใช้หมอนใบเดียว ผ้าห่มผืนหนึ่ง” อ้นตัดสินให้ “อีกใบของพี่กุนต์ แล้วก็เอาผ้าห่มให้พี่กุนต์ด้วย”
“เหลือหมอนใบเดียวของพี่โอ๊ต แล้วผ้าห่มอ่า”
“มีสามทางแหละ” อ้นฉีกยิ้ม “หนึ่ง..พี่โอ๊ตห่มกับพวกเรา สอง..พี่โอ๊ตไม่ต้องห่มผ้า”
ปกติแล้ว น้องเล็กสองคนจะนอนบนเตียง ส่วนพี่โอ๊ตนอนบนฟูก แต่คืนนี้พี่กุนต์ขอนอนข้างล่าง ถ้าอย่างนั้น พี่โอ๊ตก็ต้องขึ้นมานอนกับอ้นและอุ้ม หรือไม่ก็..นอนเบียดพี่กุนต์เอาเอง
“สาม..ห่มกับพี่กุนต์”
อุ้มพยักหน้าหงึกหงัก เพราะสองทางเลือกแรกมันลำบากนิดหนึ่ง “ใช่ๆ..ห่มกับพี่กุนต์ก็ได้เนอะ”
กนธีหอบเอาจานชามที่ล้างเสร็จแล้วกลับขึ้นมา เห็นเด็กๆนั่งปรึกษากันเลยออกปากทัก
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
อ้นกับอุ้มส่ายหัวดิกเพราะตกลงกันเรียบร้อยแล้ว
“พี่กุนต์จะอาบน้ำเลยไหมครับ” อ้นมุดเข้าไปรื้อผ้าเช็ดตัวออกมาให้
“พี่สะบัดเอาก็ได้” ปกติก็ไม่ได้ใช้ผ้าเช็ดตัวเท่าไรหรอก เขามันมักง่ายแบบไอ้ไผ่ว่านั่นแหละ
“เดี๋ยวขึ้นรานะครับ”
“ห๋า..” เขาก้มลงมองกลางหว่างขาตัวเองโดยอัตโนมัติ “ไม่มั้ง..”
อ้นหัวเราะชอบใจ ยื่นผ้าขนหนูผืนย่อมกับผ้าขาวม้าให้ มีขันอาบน้ำใบหนึ่งกับสบู่ก้อนใหม่ ส่วนแปรงสีฟันกับยาสีฟัน กนธีพกมาด้วย
“ในห้องน้ำไม่มีที่แขวนครับ พี่กุนต์ถอดเสื้อผ้าไว้ตรงนี้เลยก็ได้”
“โอเค..ว่าไงว่าตามกัน” ครั้งก่อนเขาก็ใช้พาดกับประตู เปื้อนหยากไย่หมด คราวนี้แก้ผ้ามันตั้งแต่ชั้นสองนี่แหละ
ร่างสูงโปร่งถอดเสื้อยืดออกทางหัว คว้าเอาผ้าขาวม้ามาพันเอวก่อนจะปลดกางเกงขาสั้นลงกองกับพื้น เขานั่งยองๆลงพับเสื้อผ้าใช้แล้วกับชั้นในที่ถอดออกให้เรียบร้อยก่อนเอาใส่กระเป๋าเป้เอาไว้ หันกลับมาอีกทีก็เห็นเด็กๆมองกันตาไม่กะพริบ
“ไหงทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” กนธีหัวเราะ
“พี่กุนต์ขาวเหมือนเผือกเลย” อ้นทึ่ง
“นึกว่าจะบอกว่าซีดเหมือนท้องปลาตาย” เขายิ้ม คว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า
น้องอุ้มเอานมน้ำผึ้งมาเจาะกล่องดูด หลังจากนี้จะกินนมเยอะๆ เพราะอยากสูงแบบพี่กุนต์
ถ้าเทียบกันแล้ว พี่โอ๊ตสูงกว่าพี่กุนต์พอประมาณ แต่ตัวจะใหญ่กว่าเพราะเล่นกีฬาประจำ แถมสีผิวก็ออกแทนจากแรงแดด เด็กๆที่เคยชินกับพระเอกสมัยใหม่จะชอบคนลักษณะอย่างพี่กุนต์มากกว่า ตัวขาวๆ สูงๆ มีกล้ามเนื้อแต่ไม่เทอะทะ ไม่ผอมแบบไม้เสียบลูกชิ้น เวลาพี่กุนต์ใส่เสื้อเชิ้ตพอดีตัวจะดูดีมาก ไหล่ไม่หนาไม่บางเกิน ท่อนขาเพรียวยาวพอสวมกางเกงเข้ารูปแล้วเท่อย่าบอกใคร
ตอนอยู่ที่น่าน ฝาบ้านของยายมีโปสเตอร์รูปดาราฝรั่งติดไว้ด้วย เป็นไอ้หนุ่มแรมโบ้สะพายกระสุนปืนกล ทำหน้าตาถมึงทึง กับคนเหล็กที่ทำผมตั้งเกรียน ใส่แว่นสีดำ หน้าซีกหนึ่งเป็นเหล็กกล้า พี่โอ๊ตเล่าว่าตอนเด็กๆ พี่โอ๊ตเคยงอแง อยากได้แว่นดำกับมอเตอร์ไซค์ฮาเล่ย์ขนาดไม่ยอมกินข้าวเย็น ยายเลยเอ็ดเสียจนน้ำตาร่วงผล็อย
สมัยยังตัวน้อยๆ ทุกคนก็มีไอดอลเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น โดยเฉพาะกับเด็กๆที่ไม่มีตัวแบบจากคนเป็นพ่อ ดังนั้น ไม่ว่าใครที่ดูเท่ คนนั้นก็เป็นเหมือนตัวแทนของพ่อได้หมด ตอนนี้ไอดอลของเด็กๆไม่ใช่แรมโบ้หรือหุ่นยนต์ T800 อีกแล้ว แต่เป็นคนใกล้ตัวแทน นั่นก็คือพี่ชาย..และเพิ่มมาอีกหนึ่ง ก็คือพี่กุนต์
นอกจากพี่กุนต์จะรูปร่างหน้าตาเท่แล้ว นิสัยพี่กุนต์ยังเท่มากๆด้วย ทั้งใจดี ใจเย็น พูดเพราะ สุภาพ แล้วก็ชอบเอาใจ ดูแลเก่ง อยู่กับพี่กุนต์ทีไร รู้สึกปลอดภัย อบอุ่น สบายใจ แล้วก็มีความสุขเหมือนได้อยู่กับครอบครัวทุกที
“ขอค่ามองห้าบาท” กนธียื่นมือออกไปหาเด็กๆ
อ้นกับอุ้มหัวเราะชอบใจ ผลัดกันแปะมือที่รอรับอยู่
“พี่ไปวิ่งผ่านน้ำแป๊บเดียว เดี๋ยวมานะ”
ตอนที่เดินออกมาจากห้อง เขาเจอนายพันยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงเหมือนเคย กนธีนึกรำคาญใจ เขาไม่ชอบสายตาที่มองมา ติดที่ว่าครั้งนี้ ไอ้หมอนั่นมันยิ้มชอบกล
“คุณเป็นลูกค้าของเด็กนั่นหรือ”
กนธีมุ่นหัวคิ้ว..ลูกค้าอะไรของมันวะ “หมายถึงใคร”
“พี่ชายของเจ้าอ้นยังไงล่ะ” เขาปล่อยควันออกมาทางจมูก “เห็นว่าทำงานกลางคืน..ขายด้วยสินะ ตอนนี้เด็กมันยังไม่กลับหรอก คุณต้องรอสักตีสองตีสามนู่น”
ถ้าไม่กลัวคดีทำร้ายร่างกาย กนธีก็อยากซัดปากไอ้นี่สักหมัดเหมือนกัน
เขาได้แต่กระตุกยิ้มมุมปากแล้วเดินกอดขันพลาสติกลงบันไดไป
พันมองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย เขาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก
“พักนี้ซาไว้ก่อน มีคนนอกเข้ามาป้วนเปี้ยน”
ร่างใหญ่กดมวนบุหรี่ลงกับขอบระเบียงก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง
พอกนธีอาบน้ำเสร็จก็เป็นคิวของอ้นกับอุ้ม เด็กๆจูงมือลงไปใช้ห้องน้ำด้วยกัน เห็นพี่น้องดูแลกันอย่างดีแล้ว เขาก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้
“รีบๆอาบเข้านะ ดึกแล้วเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาครับ” เขารื้อเสื้อยืดกางเกงขาสั้นออกมาสวม ปกติอยู่บ้านจะใส่ชุดนอนอย่างดี แต่มาอาศัยคนอื่นก็ต้องทำตัวง่ายๆเข้าไว้
อ้นกับอุ้มใส่ชุดนอนลายเป็ดเหลือง กนธีเห็นแล้วก็เข้าใจได้ว่าทำไมน้องอุ้มชอบเป็ดเหลืองนัก
“พี่กุนต์ทาแป้งฮะ” น้องอุ้มเอาแป้งท็อปคันทรีมาเทใส่ฝ่ามือผู้ใหญ่ตรงหน้า
“ทาให้พี่หน่อย” เขานั่งยองๆ ให้เด็กๆผลัดกันโปะแป้งลงแก้มเป็นรอยนิ้วมือเล็กๆ “ฮื่อ..หอมดี”
“พี่กุนต์จะไม่นอนบนเตียงจริงๆหรือครับ” อ้นถามอย่างเป็นห่วงตอนที่ปีนขึ้นไปบนฟูก
น้องอุ้มตบหมอนปุๆ จากนั้นก็สวดนะโมตัสสะตามที่พี่โอ๊ตสอน
“ไม่เป็นไร พี่นอนข้างล่างได้ เดี๋ยวก็เช้าแล้วแหละ” เขายิ้ม รอให้เด็กสองคนห่มผ้าเรียบร้อย “พี่ต้องปิดไฟไหม แล้วตอนพี่โอ๊ตกลับเข้ามาจะมองเห็นหรือเปล่า”
“พี่โอ๊ตดมกลิ่นเอาฮะ” น้องอุ้มหัวเราะคิกคัก
คนฟังหลุดขำ “โอเค..ถ้าอย่างนั้นก็..กู๊ดไนท์ครับทุกคน”
ชายหนุ่มขึ้นมาเอนหลังบนฟูกนอน อาศัยผ้าห่มที่น้องๆยกให้มาห่อตัว ในห้องมีเพียงพัดลมตัวเดียว โชคดีที่คืนนี้ลมค่อนข้างแรง ด้านนอกเองก็มีฝนตกปรอยๆ อากาศเลยไม่ร้อนนัก
มีเสียงกรนเบาๆจากน้องอุ้ม กับเสียงหายใจดังฟี้ของน้องอ้น เขาเลยยิ้มด้วยความเอ็นดู
..ชีวิตแบบนี้ บางทีก็สบายดีเหมือนกัน..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]