เช้าวันต่อมากระดาษคัดลายมือกลับกลายเป็นประโยคคำชมที่ผมไม่ต้องการ
‘คุณน่ารักจัง’
ผมบี้กระดาษเละกว่าทุกที แถมยังฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโปรยใส่ตัวเอกอย่างฉุนเฉียว
ฝันไปเถอะว่าผมจะระทวยเหมือนเด็กวัยรุ่น!
“อะไรน่ะ”
เที่ยงวันนั้น ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นเลขา ‘โอบ’ กล่องของขวัญขนาดใหญ่เข้ามา
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะท่านประธาน”
...เล่นลูกไม้อะไรอีกเอกภพ
ผมโบกมือให้เลขาออกไปก่อนจะแกะกล่องดู ปรากฏว่าเจอกล่องขนาดเล็กอีกอันอยู่ข้างใน
แกะอีก เจอกล่องซ้อนอีก
ชั้นแล้วชั้นเล่า
ผมชักโมโห นึกได้ว่ามันคงเอาคืนที่ผมฉีกกระดาษเมื่อเช้าเลยเขวี้ยง กระแทกพื้น เสียงขลุกขลักดังขึ้น ผมมองอย่างนึกฉงน ที่แท้มันไม่ได้ใส่กล่องเปล่ามาแกล้งหรอกหรือ
นั่งชั่งใจคิดอยู่พักใหญ่ ผมก็ตัดสินใจเดินไปหยิบมาแกะต่อ ต้องสะกดอารมณ์ไม่ให้เดือดดาลเพราะเจอซ้อนอีกสองชั้น กว่าจะเจอกับตุ๊กตาล้มลุกตัวหนึ่ง...หน้าตา...ไม่นับว่าดี เพราะรอยยิ้มกว้างเกินเหตุ ดูไม่ทุกข์ร้อน แถมยังสวมเสื้อเขียนหมายเลข ‘หนึ่ง’ ไว้ซะด้วย
ส่งตัวแทนมารึไง
ผมโยนทิ้ง แต่พอมันล้มกลิ้งสามตลบก็ลุกขึ้นมาปั้นหน้าระรื่นใส่
ผมเดินไปเตะ เจ้าตุ๊กตาโอนเอียงเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ตั้งตรงเหมือนเดิม
“...”
ผมโทรเรียกเลขาให้มาจัดการเศษขยะที่กองเต็มห้องเพราะถังขยะถูกช่อดอกไม้จับจองพื้นที่จนไม่สามารถยัดอะไรลงไปได้อีก เลขาเดินยิ้มๆ เข้ามา ก่อนจะเอ่ยชมตุ๊กตาล้มลุกบนโต๊ะทำงานของผม
“น่ารักดีนะคะ”
ผมไม่ตอบ ลับหลังเลขาก็ดีดนิ้วใส่ตุ๊กตาที่ตั้งอยู่ริมโต๊ะทำงานอย่างไม่ใส่ใจ มันหมุนรอบตัวเองสามร้อยหกสิบองศา โยกเยกไปมาน่าหมั่นไส้จนเผลอเล่นหลายครั้งพร้อมอารมณ์ขมุกขมัวที่เบาบางลง
ของชิ้นนี้ไม่เลวเลย
“คุณชอบมั้ย”
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมหยิบหูฟังใส่เพื่อบ่งบอกว่าวันนี้ไม่ว่ามันจะพล่ามอะไรก็แล้วแต่อย่าคิดว่าผมจะมีส่วนร่วมอีก แม้จะได้ยินเสียงพูดลอดเข้ามาเบาๆ ก็ตาม
เอกส่ายหน้าน้อยๆ ผมรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ เงาที่สะท้อนกับกระจกรถทำให้เห็นโดยไม่ตั้งใจน่ะสิ
สักพักเอกก็ฮัมเพลงออกมา
รู้ตัวอีกทีผมเบาเสียงหูฟังไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่แน่ใจ
ตกกลางคืน ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกแน่นท้องจนนอนไม่สบาย
ดูเหมือนสามวันกับอาหารขยะจะทำพิษ เริ่มมีอาการท้องอืดตามประสาร่างกายที่เริ่มเสื่อมสภาพและย่อยยาก ผมเดินไปหายาในห้องน้ำ ก่อนจะจำได้ว่าเอกย้ายไปไว้ในห้องครัว แต่พอรื้อดูก็พบแต่ยาแก้ไข้กับยาแดงทาแผล ผมทั้งง่วงทั้งจุกในท้องจึงอารมณ์ไม่ดี ควานหาอยู่นานจนกระทั่งได้ยินเสียงคนใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้ามา
เอกเอาเสื้อนอกพาดบ่า อ้าปากหาว ก่อนจะชะงักในท่านั้น พวกเราสองคนสบตาโดยไม่ตั้งใจ
“คุณตื่นขึ้นมาหายาเหรอ” เอกตาไว พอเห็นผมถือกล่องยาเลยรีบเข้ามาแตะหน้าผากและซอกคอโดยไม่มีความคิดอกุศลเจือปน แต่สัมผัสอุ่นๆ ที่ไม่ได้เจอมานานกลับทำเอาผมลอบสะดุ้งเหมือนไม่คุ้นชินซะได้ จะว่าไปผมก็ไม่แตะต้องตัวใครมาหลายวันทั้งที่เคยหักโหมกับกิจกรรมบนเตียงอย่างต่อเนื่อง
“ก็ไม่มีไข้นี่”
ผมไม่ตอบ วางกล่องยาทิ้งไว้และรีบเดินเข้าห้องเพื่อหลีกเลี่ยงการใกล้ชิด แต่เอกกลับจับต้นแขนรั้งเบาๆ
“รู้สึกไม่สบายตรงไหนบอกผมสิ ผมลงไปซื้อยาให้คุณได้นะ”
ผมสะบัดแขนหนี แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงมือมันก็ไม่ต่างกับปลาหมึก
“อย่าฝืนตัวเองน่าคุณ ถ้าป่วยเรื้อรังจะทำยังไง”
...แค่เรื่องถ่ายท้องคงไม่เรื้อรังหรอกมั้ง
คงเพราะเห็นผมไม่ยอมพูดยอมจาแถมยังไม่หันไปมองสักครั้งเอกก็ยอมแพ้ ถอนหายใจเฮือก ยอมปล่อยมือให้ผมกลับไปนอนต่อ
ได้ยินเสียงกุกกักเพราะเอกเข้ามาอาบน้ำ ทุกวันหลังจากสวมกางเกงตัวเดียวมันจะยืนกอดอกจังก้ามองผมยามหลับห่างๆ บ่นพึมพำแล้วกลับออกไป
“อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนักจะได้มั้ย ตาแก่หัวดื้อ”
...ปากมันน่าจับตีจริงๆ
อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด กระดาษคัดลายมือของเช้าวันต่อมาคือประโยคหวานๆ จากเมื่อคืน
‘ผมห่วงคุณนะ’
เห็นแล้วรู้สึกแสลงชอบกลเหมือนว่าอาการท้องอืดครั้งนี้หนักหนาสาหัส ผมขยำกระดาษโยนใส่เอกตามเคย พอจะออกจากห้องก็นึกลังเล วกกลับมาดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าให้มันนอนหายใจสะดวก เพราะขนาดผมเองเห็นแล้วยังรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ได้
ใบหน้ายามหลับที่เรียบนิ่งเหมือนคนไร้พิษสงและไม่คิดอะไรพิเรนทร์นั้นคล้ายไม่ได้เห็นมานาน ปกติแล้วผมจะตื่นก่อนมันเสมอเลยคุ้นชินกับภาพนี้ ชวนให้รู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจ
ผมยืนมองสักพักก่อนจะออกไปทำงาน ไม่ลืมแวะซื้อยาแก้ท้องอืดและบอกเลขาให้สั่งอาหารชีวจิตมาเป็นมื้อเที่ยง ผมมองอาหารที่เต็มไปด้วยสีเขียวอย่างไร้รสยิมแล้วนึกแหยง คนกินตามใจปากขอแค่รสชาติอร่อยอย่างผมทำแบบนี้ก็เหมือนให้ฝืนกินยาขมชัดๆ
ไม่นานเลขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องข้าวกล่องหนึ่ง
“มาส่งแล้วไม่ใช่รึไง”
“เอ่อ...อันนี้มาจากคุณคนเดิมน่ะค่ะ”
ผมเลิกคิ้ว รอจนเลขาออกไปจึงเปิดกล่องดู เป็นข้าวกับเต้าหู้ผัดและสารพัดเห็ด เทียบกับอาหารที่สั่งในราคาหลักร้อยกับกล่องข้าวในราคาสักสิบแล้ว...ผมเลือกรับประทานอันหลัง
ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่เอกก็รู้ใจผมจริงๆ
เย็นวันนั้นผมตัดสินใจแวะร้านอาหารที่มันพูดชวนตั้งแต่วันแรกเพื่อไม่ให้รู้สึกติดค้างบุญคุณ
“ผมเลี้ยงนะ”
ผมสั่งเมนูแนะนำปลาทอดสมุนไพรเป็นคำตอบ ปล่อยให้เอกที่นั่งตรงข้ามยิ้มเล็กยิ้มน้อยน่าขนลุกสิ้นดี พออาหารมาเสิร์ฟก็รีบกระตือรือร้นช่วยตักกับข้าวให้ผม แกะก้างปลาวางเป็นชิ้นๆ
ข้อดีของเอกคือไม่ได้เอาใจส่งๆ เหมือนพวกคู่นอนคนอื่นที่ชอบตักเอาทุกอย่างมากองบนจานผม แต่มันคอยตักทีละอย่างสลับกันเพื่อไม่ให้อาหารเสียรสชาติ และสังเกตตลอดเวลาว่าผมชอบอะไรเป็นพิเศษ
พอเดินกลับมาที่รถเอกก็ฉวยกุญแจในมือผมไปถือ
“ผมขับให้นะ”
เมื่อมีคนเสนอตัวเป็นสารถีผมก็ไม่ขัด
อาจเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ พอหนังท้องตึงหนังตาเลยเริ่มหย่อน ตอนแรกแค่อยากพักสายตา แต่กลายเป็นว่าเผลอหลับลึกโดยไม่รู้ตัว
สะดุ้งตื่นอีกครั้งตอนกลางดึก ผมกะพริบตาปริบมองรอบกาย ไม่น่าเชื่อว่าผมจะหลับสนิทชนิดที่เอกอุ้มขึ้นมาบนเตียงโดยไม่รู้ตัวสักนิด ผมสำรวจตัวเอง พบว่ายังสวมเสื้อตัวเดิมแต่สูทถอดพาดวางข้างๆ แสดงว่ามันยังไม่กล้าจับผมแก้ผ้าเปลี่ยนเสื้อตามใจชอบ
ผมลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ พอเห็นแสงจากใต้ประตูก็ลอบประหลาดใจเพราะนี่ปาไปตีห้า เอกควรจะนอนแล้ว
ผมแง้มประตู เห็นคนคนหนึ่งกำลังนั่งตรงโต๊ะอาหาร ถือปากกาบรรจงเขียนอะไรบางอย่าง
“วะ อีกแล้วเหรอเนี่ย!”
เอกขยี้หัวเมื่อมือเลอะปากกาแล้วเผลอปาดกระดาษจนเป็นทางยาว ใต้เท้าของมันมีกระดาษเสียขย้ำทิ้งเต็มไปหมด บางแผ่นคัดไม่ตรง บางแผ่นเขียนผิด บางแผ่นไม่สวย ผมมองภาพนั้นแล้วรู้สึกขำอย่างบอกไม่ถูก เผลอยืนอยู่นานจนชักเมื่อยจึงกลับไปนอนต่อ
คราวนี้หลับสนิทยาวถึงเช้า
‘อยากดูแลคุณ’
ผมมองข้อความในกระดาษด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
เอกเก็บกวาดหลักฐานซะเรียบ อาจจะขนไปทิ้งในถังขยะใหญ่ตรงทางหนีไฟข้างนอกก่อนจะกลับเข้ามา ใครเลยจะเชื่อว่าแค่กระดาษแผ่นเดียวทำเอาผู้ชายสัปหลับคนหนึ่งทะเลาะกับมันได้ค่อนคืน
ครั้งนี้ผมขยำไม่ลง แต่ถ้าวางไว้เฉยๆ เอกคงได้ใจ เลยจำใจเก็บไว้กับตัว
ให้มันนึกว่าผมเอาไปทิ้งแล้วกัน
แต่ประโยคแรกที่มันทักทันทีที่ขึ้นรถในตอนเย็นคือ...
“คุณเก็บกระดาษไว้เหรอ”
...ดูถูกมันไม่ได้เลยจริงๆ!
“ผมดีใจนะที่อย่างน้อยคุณก็ไม่ขยำทิ้งแล้ว”
ผมไม่ตอบ เลี้ยวเข้าร้านอาหารเพราะเริ่มรู้ตัวว่าจะทรมานตัวเองไปทำไม เมื่อตอนเที่ยงเอกทำอาหารมาให้ เจอรสชาติอร่อยเข้าไปก็ไม่อยากจะกลับไปกินอาหารขยะพรรค์นั้นแล้ว
“ผมเลี้ยงนะ”
ผมพยักหน้าส่งๆ ก่อนจะชะงักเมื่อเผลอแสดงกิริยาตอบรับมันไป
ครั้งนี้เอกไม่ล้อเลียนหรือกล่าวชม มันเพียงหัวเราะเบาๆ เหมือนสายลมอุ่นลอยเฉื่อย
...ผมชักลืมแล้วว่าเราสองคนกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง ก่อนจะฉุกใจคิดได้ว่าผมกำลังโกรธ อยากจะตัดขาดกับผู้ชายคนนี้อยู่ต่างหาก
อย่าลืมจุดประสงค์แรกเริ่มสิเจ้านาย-------
เจอคนอย่างพี่เอกนี่รับมือยากสุดๆ! พี่แกทุ่มคือทุ่ม! ตั้งแต่เปิดเรื่องมาคือใส่เกียร์เดินหน้าไม่มีหยุด เป็นคนที่ทั้งรักทั้งหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน 555
อย่าว่าแต่นายที่แพ้ ไอ้เราก็พ่ายแพ้ยกให้ทั้งใจเลยค่า เจอแบบนี้ใจแข็งแค่ไหนก็อ่อนยวบค่ะ อยากด่าไปจูบไป หมั่นไส้ปนเอ็นดู 555
ตอนหน้ากลับมาเจอมุมพี่เอกจอมมารยาและคุณนิดกับสมรกันค่ะ
เพจนักเขียนที่อิจฉาตาร้อนเจ้านายเหลือเกิน