‘นาย’ Part 3
ทุกครั้งที่ผมคิดว่ารู้จักเอก สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นไม่ใช่เลย
ท่าทางของมันตอนที่ขมวดคิ้วขุ่นเคือง ชักสีหน้าใส่ผม มองเหม่อไม่สนใจตอนป่วย ทำให้ผมลอบคิดในใจว่านี่คือธาตุแท้ชัดๆ
แต่พอหันมาเห็นผมจ้องเขม็งทีไร มันก็สะดุ้งเฮือก รีบปั้นหน้าเอาอกเอาใจ ดูลื่นไหลเป็นธรรมชาติจนอดคิดไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วเอกรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ที่ทำอยู่นั้นเต็มใจหรือโดนบังคับ แค่อยากตกเหยื่ออย่างผม อยากเอาชนะ หรือทำตามใจโดยไม่มีข้อแม้อื่น
ผมไม่เข้าใจมันจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้น...
“อยู่นิ่งๆ”ผมไม่ชอบให้ใครออกคำสั่ง โดยเฉพาะกับคนที่เด็กกว่าเป็นสิบปี แต่ไม่รู้ทำไมเวลามันขึ้นเสียงไปพลางดูแลผมไปพลาง ผมถึงทำตัวไม่ถูก ไม่ตวาดด่าให้หลาบจำสักที คงเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานี้...ไม่เคยมีใครเอ็ดผมด้วยความเป็นห่วงอย่างนี้เลยสักครั้ง
มันทำให้ผมรู้ว่าไม่ว่าเอกจะแสดงออกแบบไหน แต่ถ้าเป็นผม สุดท้ายแล้วมันก็หันมาใส่ใจเหมือนเดิมอยู่ดี
แล้วผมจะคิดมากทำไม
ก็ดีแล้วไม่ใช่รึไงที่มีคนทุ่มเทให้มากขนาดนี้ ยอมเอาตัวเองมาปกป้อง ทนให้ผมดุด่าเอาแต่ใจ
“ถ้าผมเป็นสายให้บอสเพื่อกันคุณให้ออกห่างจากควีนจริงๆ ผมจะลงไปซื้อยา แกะโจ๊ก นั่งรินน้ำอยู่ตรงนี้ แล้วรอล้างจานให้คุณทำไม”
“ผมคงไม่ตกใจที่คุณล้มโครมจนรีบเข้ามาเปลี่ยนเสื้อ เช็ดพื้น ลงไปซื้อยาแล้วกลับขึ้นมาให้คุณถามย้ำอย่างนี้หรอก ถ้าผมเป็นสายจริงๆ ผมคงถือโอกาสนั้นหนีกลับคลับไปแล้ว ที่สำคัญ...”
“คุณเป็นคนเริ่มชวนผมก่อน และเป็นคนมาหาผมถึงที่คลับเอง ความจริงแล้วคุณต่างหากที่ใช้ผมเป็นสะพานไปหาควีน ลืมแล้วเหรอครับนาย...”ใช่ ผมจะเดือดร้อนทำไมในเมื่อผมต่างหากที่เป็นคนเริ่ม
ผมแค่อยากจะเจอนิลกาฬ
แต่ในช่วงหลังกลับแทบลืมไปแล้วว่าทำไมถึงยอมให้เอกเข้ามาใกล้ขนาดนี้ บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของผม และก็ตระหนักได้อีกครั้งว่า ไม่ใช่มันหรอกที่รุกคืบเข้ามา เป็นผมต่างหากที่เป็นฝ่ายเปิดประตูต้อนรับ
ผมเป็นคนกระชากเอกออกมาจากห้องพักโทรมๆ นั่นเอง!
คงเพราะคำพูดเหมือนรู้ทันไปหมดของมัน ทำให้ผมนึกฉุนเฉียวจนจ้างนักสืบบ้าง แต่ด้วยความที่วุ่นกับคดีความ ผมเลยยังไม่ได้สนใจ จนกระทั่งกลับมาที่คอนโด ผมถึงค่อยเปิดดูและพบว่าความจริงแล้วเอกนั้นเป็นสายตำรวจ เขาเป็นเด็กที่อยู่ใต้ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการคนหนึ่ง
ถึงผมจะเป็นนักธุรกิจที่ทำการค้าแบบสุจริต แต่ก็ไม่ถึงกับกลัวสายสืบตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
เพราะถ้ามันคิดจะจับผมคงไม่ตามไปช่วยถึงต่างจังหวัดหรอก
คำแก้ตัวของเอกทำให้ผมสงบ แต่ที่ยอมไม่ได้ คือการที่เขาเข้าห้องของผมด้วยคีย์การ์ดที่โผล่มาจากความว่างเปล่า แถมยังทำเหมือนไม่สำนึกผิดอะไรเลย จริงอยู่ว่าผมเป็นฝ่ายเปิดประตูต้อนรับให้มันเข้ามา แต่ใช่ว่าคิดจะเข้าก็เข้ามาง่ายๆ เหมือนเป็นบ้านตัวเอง!
เอกมีสิทธิ์อะไรถึงกล้าถือครองคีย์การ์ดห้องของผม
ผมโกรธมาก ใครล่ะที่จะไม่โกรธ แต่ที่โกรธยิ่งกว่า คือมันยังคงวนเวียน แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ทำสนิทสนมกับคู่นอนของผมแล้วยังลอบเข้ามาตอนดึกๆ ดื่นๆ!
ไอ้บ้านี่ไม่มีความละอายเลยรึไง!!!
แม้จะมีพัทรอยู่ข้างๆ จนหลับ แต่พอปัดป่ายพบว่าข้างกายไม่มีใคร ผมก็มักนอนกระสับส่ายหลับไม่สนิททุกครั้ง แล้วกับคนที่อาจหาญขนาดเข้ามาในห้องผม นั่งอยู่ข้างเตียง แล้วยังบ่นใส่ผมต่อหน้ามีหรือจะไม่รู้ตัว
ในใจเดือดดาลเป็นที่สุด แต่พอมันห่มผ้า วัดอุณหภูมิให้...สัมผัสอุ่นๆ นั้นก็ทำให้ผมผ่อนคลายและเคลิ้มหลับ
เมื่อลืมตาตื่นพัทรจะคอยเตรียมโจ๊กให้อย่างดี มันบอกว่าสั่งมาจากร้านอาหารเพราะออกไปเองไม่ได้ แต่ผมรู้ว่าคงเป็นใครบางคนที่รู้จักดีซื้อมาฝากซะมากกว่าในเมื่อมันขี้เหนียวจะตายไป ส่วนเด็กพัทรเองที่ตื่นก่อนผมเสมอก็เพื่อปกปิดว่ามันนอนบนโซฟาหลังผมหลับในตอนแรก ทำไมผมจะไม่รู้ในเมื่อเดินออกมาทีไรห้องข้างนอกก็มีไอเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เปิดตลอดคืน
การกระทำลับๆ ล่อๆ ทำให้ผมทั้งโมโหทั้งเคือง แต่ก็ยังไม่อยากเปิดโปงต่อหน้าเมื่อไร้หลักฐาน ในคืนต่อมาและต่อๆ มา...ผมจึงเฝ้าคอยเอกเพื่อเตรียมจับผิด ถ้ามันกล้าล่วงเกินหรือคิดทำอะไรไม่ดีขึ้นมาจะได้มีข้ออ้างก่นด่า เสือกไสไล่ส่งมันอย่างจริงจังสักที
แต่ก็ไม่มีโอกาสสักครั้ง
จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกถึงสัมผัสบางเบาบนหน้าผาก...กับน้ำเสียงนุ่มหวานกล่าวราตรีสวัสดิ์
การกระทำที่ไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรีอย่างที่สุด เหมือนกับคนบ้าเพ้อพกโดยไม่สนใจว่าคนที่นอนอยู่นั้นจะรู้สึกตัวหรือไม่
ผมไม่รู้จะทำยังไงกับมันจริงๆ
เอกภพ...แกฟั่นเฟือนไปแล้วใช่มั้ยหลายครั้งที่อยากจะถาม แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไปเพราะอยากรู้ว่ามันจะบ้าได้นานแค่ไหน
หรือนี่อาจจะเป็นวันสุดท้าย
ผมนั่งรอนิลกาฬทที่ร้านขนมปังซึ่งเคยมาดูลาดเลา ทั้งตื่นเต้นระคนตื่นกลัว ลุ้นระทึกที่จะได้พบหน้าคนที่เฝ้าคอย และหวาดหวั่นกับปฏิริยารังเกียจจากคนคนนั้น แต่ภายใต้ความรู้สึกทั้งสองอย่างนั้นแอบแฝงซึ่งความในใจลึกๆ ที่อยากรู้ว่าเอกภพจะทำหน้าแบบไหนเมื่อเจอกับผมโดยไม่ต้องแอบย่องเข้ามาตอนดึกๆ ดื่นๆ
ตอนนี้เป็นเวลาตีสามครึ่ง คนในคลับน่าจะมาถึงร้านข้าวต้มเป็ดกันแล้ว แน่นอนว่าผมยังไม่ได้นอน แถมยังมารอตั้งแต่ตีสอง สั่งกาแฟมากินเป็นถ้วยที่สามเข้าไปแล้ว
คนอย่างเจ้านายนั่งดื่มกาแฟที่ร้านขนมปังข้างทาง...หันหน้าเข้าหาพัดลมพร้อมกับเหงื่อที่ซึมจนต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าซับบ่อยๆ
ตีสามสี่สิบห้า ผมเริ่มอยู่ไม่สุก จ้องโทรศัพท์ตลอดเวลา ก่อนจะตัวเกร็งเมื่อเห็นร่างคุ้นตาเดินเข้ามาแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก
นิลกาฬ
เขายังเหมือนเดิม ออกจะระรื่นกว่าเก่าซะด้วยซ้ำ เพราะพอเห็นผมนั่งอยู่มุมร้านด้านในสุดก็ยิ้มกว้าง ยกมือทักทายเหมือนไม่มีความหมางใจกันซะอย่างนั้น แล้วผมจะทักตอบยังไงล่ะ ให้ยกมือก็ไม่ใช่ ผมได้แต่ตีหน้านิ่ง บอกอย่างใจกว้างว่าจะเลี้ยงเครื่องดื่ม...
คนอย่างเจ้านายเลี้ยงเครื่องดื่มแก้วละยี่สิบห้าบาท
ยังไงก็ตาม ผมค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นเขามาคนเดียว
“พี่เอกติดธุระ ก็เลยให้ผมล่วงหน้ามาก่อนเพราะกลัวนายจะรอนาน”
ท่าทางของเขาไม่เหมือนคนที่อิดออดไม่อยากเจอผมเลยสักนิด
ความรู้สึกตงิดใจเริ่มปรากฎอย่างเชื่องช้าเหมือนตะกอนที่เริ่มก่อตัว แต่ผมยังคงทำหน้าเคร่งขรึม เอ่ยกับนิลกาฬอย่างที่ซักซ้อมอยู่หน้ากระจกเป็นเวลานาน
“เธอสบายดีมั้ย”
ผมยังจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เห็นเขาล้มลงยังไง เลือดสีแดงสดไหลออกมายังไงตอนที่โดนแทง
เพราะอย่างนั้นถึงได้ห่วงแสนห่วงเหลือเกิน
“สบายมากครับนาย ไอ้คิงดูแลผมดีก็เลยหายไว ถึงจะลำบากที่เสียเลือดเยอะไปหน่อย แต่นอนโรงพยาบาลไม่กี่วันก็ออกมาอยู่คอนโดแล้ว ไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงชีวิตหรอก แผลเล็กเท่านิ้วก้อยเอง”
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็โดนแทงเพราะผม
เพราะความดื้อดึงของผม
“ฉันขอโทษ”
เอกเคยถามว่าว่าหากเจอนิลกาฬแล้ว...ผมจะขอความเห็นใจหรือขอคืนดี
ผมตอบไม่ได้
แต่เมื่อได้เจอนิลกาฬ กลับมีเพียงคำเดียวที่ผมพูดออกมา
คำขอโทษ
“ฉันขอโทษจริงๆ ทั้งเรื่องที่คลับ...รวมถึงเรื่องในอดีตทั้งหมด เธอจะยกโทษให้ฉันได้มั้ย”
นิลกาฬเงียบ นานจนผมใจเสีย
รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหาย เหลือเพียงสายตาที่จ้องผมอย่างเกลียดชังเมื่อถูกขุดคุ้ยถึงสิ่งที่ไม่อยากนึกถึง
เห็นแบบนั้นผมก็เจ็บปวดทั้งใจ
ผมรักเขาจริงๆ
ถ้าไม่รักก็คงไม่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น ถ้าไม่รักคงไม่กักขัง ดึงดันให้เป็นของตัวเอง
แต่มันคือความรักที่นิลกาฬไม่ต้องการ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงความต้องการของผมเพียงฝ่ายเดียว
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมได้เจอกับแม่ เธอเองก็พูดแบบนี้ แต่รู้มั้ยผมตอบว่าอะไร” นิลกาฬเอ่ยขณะหลุบตาต่ำ มือจับกำไลข้อมือที่เป็นหนังถักไล่ตามความยาวเหมือนไม่สนใจกับหัวข้อที่เกริ่นขึ้นมานัก “ผมบอกว่าผมรักแม่ แต่ก็ไม่ยกโทษให้เธอ”
ผมใจหายวาบ
“สำหรับนาย” นิลกาฬเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สายตาจ้องตรงแน่วแน่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงช้าชัด “ผมยกโทษให้ แต่ไม่มีวันรักคุณ”
คำตอบสมเป็นเขา
คนสองคนที่ทำให้ชีวิตของนิลกาฬตกต่ำอย่างที่สุด คนหนึ่งไม่ได้รับการยกโทษ แต่ได้ความรัก
ขณะที่อีกคนไม่ได้รับความรัก แต่ก็ยอมถือโทษให้
ผมควรจะพอใจแล้วใช่มั้ย
แต่ทำไมถึงได้เจ็บขนาดนี้ล่ะ...ผมรู้อยู่แล้วว่าไม่มีหวัง รู้ว่านิลกาฬกำลังคบกับผู้ชายอีกคนหนึ่งที่มอบความรักอย่างที่เขาใฝ่หามาตลอดอย่างที่ผมไม่มีวันให้ได้ แล้วทำไมผมถึงยังเสียใจกันนะ
พวกเราต่างหลบตาไปคนละทาง ความเงียบครอบคลุมชั่วอึดใจ ผมเริ่มไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อ จนกระทั่งเจ้าของร้านนำนมปั่นมาเสิร์ฟให้นิลกาฬ รอยยิ้มจึงหวนคืนมาบนใบหน้านั้นอีกครั้ง
“กลับมาเรื่องของนายดีกว่า”
ผมเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน
“นายชอบพี่เอกมั้ย”
ผมมองรอยยิ้มซุกซนของนิลกาฬแล้วยิ่งเจ็บปลาบ สรุปแล้วที่เขามาในวันนี้ก็เพื่อคำถามนี้สินะ
“ฉันกลับล่ะ”
“เดี๋ยวสินาย!” นิลกาฬผุดลุกอย่างตกใจ รีบยกมือขวางดักผมไว้ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงผลักไปแล้ว แต่เพราะเป็นเขา...คนที่ผมเคยทำผิดมาก่อน แถมยังทำให้เจ็บตัวจนต้องนอนโรงพยาบาล ผมเลยไม่กล้าที่จะแตะต้องด้วยกลัวว่าทำให้เขาเจ็บอีกครั้ง
“นาย...ในเมื่อคุณอยู่คนเดียวไม่ได้ ทำไมไม่ลองพิจารณาพี่เอกดูล่ะ”
“มันเล่าอะไรให้ฟัง”
ผมชักเสียงดุ เริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่เมื่อคิดว่าเอกขายอะไรผมบ้าง
“ก็...ไม่มีอะไรมากหรอก” นิลกาฬจ้องตอบอย่างบริสุทธิ์ใจ “แต่ในเมื่อนายตัดใจจากผมแล้วก็ควรเปิดใจมองคนใหม่บ้างนะ”
ถ้าตัดใจได้ภายในสิบนาที ผมคงไม่ลงทุนมานั่งตบยุงในร้านขนมปังตั้งแต่ตีสองหรอก!
“มันบอกให้เธอมากล่อมฉันรึไง”
“ไม่ๆๆ” นิลกาฬโบกมือปัด “ผมบอกแล้วไงว่ายกโทษให้นาย ก็เลยอยากเห็นนายมีคนที่รักจริงๆ สักคน และคนที่เข้าตาที่สุดก็คือพี่เอก ผมเลยอยากสนับสนุนต่างหาก”
“พูดแบบนี้ฉันยิ่งเกลียดมัน”
“ผมรู้” นิลกาฬหัวเราะ “ผมอยู่กับนายตั้งนาน คุณเป็นคนหัวดื้อ ถ้ามีคนพูดอย่างก็จะทำอีกอย่างเพราะไม่อยากคล้อยตามใครง่ายๆ พี่เอกเองก็รู้ ถ้าเขาอยู่ด้วย คงไม่กล้าให้ผมพูดออกมาด้วยซ้ำเพราะกลัวโดนเหม็นขี้หน้า”
ผมมองหน้านิลกาฬ อยากถามว่าทั้งที่รู้อยู่แล้วยังจะเอ่ยออกมาอีกทำไม
“ตอนนี้พี่เอกอยู่โรงพยาบาล”
“...”
“วันนี้มีคนท้าชิงตำแหน่งอัศวิน เป็นเด็กวัยรุ่นใจร้อนที่เก่งไม่หยอก ถ้าเป็นปกติพี่เอกคงชนะง่ายๆ แต่เขาบาดเจ็บที่มือ เลยเปิดช่องว่างให้โดนเล่นงาน” นิลกาฬยังคงเอ่ยต่อไป “พี่เอกหลบทัน แต่ก็พลาดท่าบาดเจ็บหนัก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล xxx ห้อง 204”
นิลกาฬพูดพลางเก็บเก้าอี้ที่เกะกะให้เรียบร้อย ทั้งที่จะเดินหลบฉากไปตอนนี้ก็ยังได้ แต่ผมยังคงรอฟัง
“ก่อนจะถูกหามขึ้นรถพี่เอกสารภาพว่านายรออยู่ ขอให้ผมรับปากว่าจะมาไม่งั้นไม่ยอมไป ผมเลยต้องมาหานายโดยเฉพาะ วันนี้ไม่ได้มีการเลี้ยงข้าวต้มเป็ดอะไรทั้งนั้น ความจริงไอ้คิงจอดรถรออยู่ที่ปั๊มใกล้ๆ นี่เอง มันก็อยู่ในเหตุการณ์ ถึงไม่พอใจแต่เถียงผมไม่ได้”
“...”
“ขอบคุณสำหรับเครื่องดื่มนะครับ ผมขอตัว”
ผมยืนมองนิลกาฬที่เดินจากไปนิ่งๆ น่าเหลือเชื่อที่แทบไม่อาวรณ์อะไรเขาเลยทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนซึมเศร้าแทบเป็นแทบตาย
โรงพยาบาล xxx ห้อง 204
นิลกาฬจงใจบอกชัดขนาดนี้ แสดงว่าเอกอยากเจอผมรึเปล่านะ
-------------
มาอย่างไวไปอย่างไวพร้อมความวุ่นวายอีกร้อยแปด คือสโลแกนของนิลกาฬนักแหลแห่งชาติ
โปรดคำนวณเศษสามส่วนสี่จากคำพูดว่ามีความจริงอยู่สักเท่าไหร่กัน เพิ่งรู้เรื่องอะไรล่ะ ความจริงนั่งนับวันรอจะมาเจอนายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอควีน!!!
ปล.ช่วงนี้เราหายตัวไปเพราะมีญาติผู้ใหญ่เสียกะทันหันค่ะ อันนี้เป็นตอนที่แต่งตุนไว้อยู่แล้วเลยเอามาลงก่อนเพราะกลัวทุกท่านจะรอนาน อ่านแล้วชอบยังไงก็เม้นให้กำลังใจกันได้นะคะ ขอเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ไม่เอาเรื่องแสดงความเสียใจเนอะ ตอนต่อไปอาจเว้นอีกสักหน่อยแต่จะไม่ปล่อยนานเป็นเดือนแน่นอน
เพจนักเขียนที่ใจหายไปเลยหายไปในอากาศ