-12-
บรรยากาศที่ร้อนอบอ้าวเต็มไปด้วยผู้คนที่มาแสดงความยินดีกับเหล่าบัณฑิตที่จะเข้าพิธีรับมอบใบปริญญาบัตร วันนี้ถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของกันต์ธีร์เพราะเขาสำเร็จการศึกษาตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนคณะของอติวิชญ์นั้นเรียนหลักสูตรห้าปีซึ่งจะเข้ารับมอบในปีถัดไป ครอบครัวของเขากับครอบครัวของอติวิชญ์มาร่วมแสดงความยินดีด้วยขาดก็แต่พ่อและพี่ชายคนโตของอติวิชญ์ที่ต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัด หลังที่จากที่พี่ชายคนโตของครอบครัวเรียนจบก็มาช่วยธุรกิจของครอบครัวอย่างเต็มตัว
ถึงแม้วันนี้บรรยากาศจะร้อนอบอ้าวแต่การที่ได้เห็นรอยยิ้มดีใจของคนที่รักก็ทำให้เขาอดภูมิใจไม่ได้ที่เขาไม่ทำให้พ่อกับย่าผิดหวังรวมถึงอติวิชญ์แฟนของเขาด้วย กันต์ธีร์เดินไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆหรือคนรู้จักที่มาร่วมแสดงความยินดีอย่างมากมาย
“ร้อนไหม”
“ร้อนสิ ถามแปลกๆ ปีหน้ามิกก็จะเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ฮ่าๆ ครับๆ” ระหว่างที่ถ่ายรูปอยู่ก็มีเสียงประกาศให้บัณฑิตทุกคนไปรวมตัวกันหน้าหอประชุมเพื่อเตรียมตัวเข้าพิธีรับมอบใบปริญญาบัตร
“เขาเรียกแล้ว เดี๋ยวเราไปเตรียมตัวแล้วนะ”
“ก่อนไปขออะไรอย่างได้ไหม”
“ขออะไร”
“จบแล้วเราย้ายไปอยู่ด้วยกันนะ”
“เดี๋ยวจะออกมาตอบนะ แต่จริงๆก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนี่ ..ผมเข้าไปก่อนนะครับทุกคน” ตอบคำถามอติวิชญ์ก่อนจะหันไปบอกทุกคน กันต์ธีร์โบกมือให้ร่างสูงใหญ่ก่อนจะเดินแยกไปที่ลานหน้าหอประชุมเพื่อเตรียมตัว อติวิชญ์มองร่างโปร่งเดินไปจนสุดสายตา
อาจจะถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตคู่อย่างสมบูรณ์แบบ…
.
.
.
.
.
“เหม่ออะไรอยู่ วันนี้เจ้าแฝดเปิดเทอมวันแรก เดี๋ยวก็สายหรอก” เสียงทุ้มปลุกให้กันต์ธีร์ตื่นจากภวังค์ หันไปมองคนรักที่แต่งตัวด้วยชุดสูทสุภาพยืนยิ้มให้อยู่ จะว่าไปเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบสิบปีแล้วหลังจากที่ตกลงย้ายไปอยู่กับอติวิชญ์ ทั้งสองคนก็กลายเป็นคุณพ่อวัยสามสิบเอ็ดปีที่มีลูกชายที่น่ารักสามคน เหตุการณ์ที่ทำให้ได้เลี้ยงลูกชายทั้งสามนั้นเกิดจากวันเกิดครบยี่สิบเจ็ดปีของกันต์ธีร์ทั้งคู่ตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น กันต์ธีร์ฝันเห็นคนนำเด็กผู้ชายสามคนมาห่อใส่ผ้าแล้วนำมาวางทิ้งไว้ที่โคนต้นไม้ใหญ่ ในความฝันนั้นเขาเดินเข้าไปอุ้มห่อผ้าขึ้นมาหวังจะนำไปคืนคนนั้นแต่ก็ต้องตื่นขึ้นมาก่อน ซึ่งความฝันนั้นฝันทุกวันจนกระทั่งกลับมาถึงประเทศไทย กันต์ธีร์จึงชวนอติวิชญ์ไปบริจาคของช่วยเหลือเด็กที่บ้านเด็กกำพร้า
เหมือนโชคชะตาลิขิตเอาไว้ บ้านเด็กกำพร้าที่ไปบริจาคของนั้น เขาได้พบกับเด็กผู้ชายวัยสามขวบนั่งเล่นกับน้องน้อยแฝดทารกอยู่ในบ้านของเล่นหลังเล็กๆ กันต์ธีร์เห็นดังนั้นจึงเข้าไปเล่นด้วยแล้วเกิดอาการคุ้นเคยและถูกชะตาอย่างประหลาด เมื่อไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่พบว่าเด็กทั้งสามถูกนำมาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านได้ประมาณหกเดือนที่แล้ว พร้อมกับหลักฐานการเกิดและขวดนมที่บรรจุนมแม่ไว้เต็มขวดสองขวด คาดว่าจะเป็นของเด็กทารก เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าคนที่นำลูกมาทิ้งยังดูรักและดูแลลูกดีขนาดนี้ ทำไมถึงนำมาทิ้งไว้ที่สถานที่แห่งนี้
กันต์ธีร์แทบจะรอไม่ไหวที่จะรับเด็กๆเป็นบุตรบุญธรรม เขาอดสงสารไม่ได้ที่เด็กตัวแค่นี้จะต้องใช้ชีวิตที่นี่จนเติบใหญ่ เพราะสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้นก็มีแต่เด็กโตไม่เหลือเด็กเล็กหรือวัยเดียวกันเลย ใบสูติบัตรของเด็กมีเพียงชื่อและมารดาผู้ให้กำเนิด ทางเจ้าหน้าที่เคยลองพยายามติดต่อไปยังมารดาแต่ก็ไม่มีทางที่จะติดต่อได้เลย กันต์ธีร์และอติวิชญ์จึงทำเรื่องขอรับเลี้ยงทั้งสามคนเป็นบุตร ใช้เวลาร่วมเดือนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ส่วนเรื่องการให้นมทารกนั้นตอนแรกกันต์ธีร์ก็กลัวจะเป็นปัญหาเพราะว่าเด็กไม่ได้กินนมแม่แต่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าหลังจากที่หมดนมแม่ก็ชงนมผงให้กินตลอดซึ่งเด็กก็ไม่มีปัญหาอะไร
หลังจากที่รับเลี้ยงเด็กๆแล้วทั้งคู่จึงพาเด็กๆไปตรวจสุขภาพอีกครั้งเพื่อดูว่าร่างกายจะมีโรคภัยหรือภาวะต่างหรือเปล่า แต่ผลออกมาเป็นว่าเด็กๆปกติดีทุกอย่างและมีพัฒนาการสมวัย สร้างความสบายใจให้กับทั้งคู่ได้เป็นอย่างมาก
“นี่เสร็จแล้ว ลงไปกันเลย” ระหว่างที่แต่งตัวร่างโปร่งก็คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา อดีตสอนให้เขาเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ถึงแม้ความรักจะไม่มีอุปสรรคหนักหนาสาหัสแต่ความไว้ใจและเชื่อใจกันถือเป็นหัวใจสำคัญในการครองชีวิตคู่ไม่ให้มีปัญหาบาดหมางกัน อีกทั้งยังมีเจ้าตัวน้อยสามคนที่เขาต้องดูแลให้ความรักความอบอุ่นเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตให้กับลูกทั้งสาม
“ไปกินข้าวกันก่อนเดี๋ยวค่อยไปส่งลูกพร้อมกัน” เสียงทุ้มเอ่ยตามมาหลังจากที่ออกจากห้องนอนเพื่อไปยังห้องทานอาหารที่ลูกหมีทั้งสามรวมถึงพ่อและย่าของกันต์ธีร์รออยู่ก่อนแล้ว
“หมีมาช้าจังฮะ ผมจะไปเรียนนะฮะ” เด็กชายปัณณวิชญ์หรือปั้น ลูกชายคนโตของกันต์ธีร์และอติวิชญ์ อายุเจ็ดขวบวันนี้เป็นวันที่เจ้าตัวจะเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่งเป็นวันแรกเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ กันต์ธีร์อดยิ้มไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าลูกชายอายุเท่านี้แต่ลักษณะการพูดจาเหมือนเด็กโตแล้ว
“ช่ายฮับ หนูหิวแต่อยากรอหมีก่อน/หนูก็เหมือกัน” การออดอ้อนแบบนี้เป็นใครไม่ได้นอกจากเจ้าลูกหมีแฝดของเขา คนพี่ชื่อเด็กชายปุณณัตถ์หรือญี่ปุ่น ส่วนคนน้องชื่อเด็กชายปาณัสม์หรือเจแปน เห็นออดอ้อนแบบนี้แต่ความซนไม่มีใครเกินเหมือนจับปูใส่กระด้งเลยล่ะ สองแฝดก็จะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่งโรงเรียนเดียวกับพี่ชาย
กันต์ธีร์หันไปยิ้มขำให้กับอติวิชญ์ เขาไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไรกับการไปโรงเรียนวันแรกของแฝดเพราะตอนไปส่งลูกชายคนโตร้องไห้จะกลับบ้านท่าเดียว จนต้องเสนอข้อแรกเปลี่ยนว่าถ้าเลิกเรียนแล้วจะพาไปทานไอศกรีมถึงหยุดร้อง ดีหน่อยที่ครูประจำชั้นรายงานว่าแค่มาเรียนวันแรกก็เข้ากับเพื่อนๆได้ดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ
“โอเคครับ หมีก็มาแล้วนี่ไง รีบกินเลยจะได้ไปโรงเรียน”
“คุณตาฮะ ผมจำได้ว่าคุณตาชอบกินไข่ ผมให้คุณตากินสองฟองเลยฮะ”
“ฮ่าๆ ตัวแค่นี้รู้จักเอาใจตาแล้วหรือ โตขึ้นคงมัวแต่เอาใจสาวๆจนลืมตาล่ะมั้ง” ลูกชายคนโตมีความจำเป็นเลิศและชอบที่จะอ้อนคุณตาของตัวเองเสมอ นายจักรอดยิ้มไม่ได้ รู้สึกเอ็นดูหลานชายทุกคนที่รู้จักอ้อนผู้ใหญ่ มีหลานที่น่ารักแบบนี้ไม่รักก็คงแปลกไปแล้ว
“ไม่ลืมตาหรอก ผมรักคุณตามากๆ รักคุณทวดด้วย รักป๋ากับหมีด้วยฮะ” ปากหวานตั้งแต่เด็กแบบนี้โตขึ้นคงจะกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอมน่าดู
“คุณทวดฮับหนูให้กุ้งนะ/เอาของหนูด้วยๆ” ส่วนเจ้าแฝดก็ชอบอ้อนผู้ใหญ่ไม่ต่างจากพี่ชาย ถ้าเห็นพี่ทำเจ้าตัวก็จะทำตาม กันต์ธีร์ได้แต่อมยิ้มไปกับความน่ารักน่าเอ็นดูของลูกชายทั้งสามคน
“พอแล้วๆ ทวดกินไม่ไหวแล้ว” ย่าของกันต์ธีร์แม้วัยจะเข้าใกล้เลขเจ็ดแล้วแต่ก็ยังมีร่างกายที่แข็งแรง เดินเหินยังสะดวกอยู่และด้วยความที่ย่ามีลูกเร็วและพ่อของเขาก็มีลูกเร็วจึงทำให้ยังดูไม่แก่มาก ท่านเคยพูดแบบติดตลกว่า ‘มีลูกเร็วก็ดีอยู่อย่างคือได้เห็นลูกมีหลานมีเหลนและได้อยู่ดูเขาเติบใหญ่’ ซึ่งก็จริงสำหรับกันต์ธีร์แต่ถ้าหากมีลูกในเวลาที่ยังไม่พร้อมก็ลำบากอยู่เหมือนกัน
“รีบกินนะเด็กๆ เดี๋ยวสายป๋าไม่ไปส่งนะ” บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสุข ภาพครอบครัวที่อบอุ่นกำลังนั่งทานอาหารและพูดคุยกัน ถ้าหากใครมาเห็นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามและมีความสุขไปกับภาพเหล่านี้
“ป๋าฮะ วันนี้ไปส่งน้องก่อนนะ ผมอยากไปส่งน้องด้วย”
“ได้เลยครับลูกชาย” เสียงทุ้มตอบรับลูกชายตัวน้อย กันต์ธีร์มองภาพนั้นก็ยังนึกประหลาดใจไม่หายเมื่อลูกชายคนโตโตขึ้นกลับมีใบหน้าที่คล้ายกับอติวิชญ์บางส่วนอาจจะด้วยสีผิวที่ไม่ขาวเท่าน้องๆ อีกทั้งลักษณะนิสัยที่ถอดแบบกันมาของอติวิชญ์และลูกชายคนโต ทำให้เจ้าตัวยิ่งเหมือนอติวิชญ์เข้าไปใหญ่ ส่วนแฝดได้ผิวที่ขาวมากแบบเขา และนิสัยที่ต่างจากพี่ชายอย่างสิ้นเชิงกันต์ธีร์ได้แต่หวังว่าลูกหมีแฝดจะหายซนบ้างเมื่อโตขึ้น
“หนูอิ่มแล้ว ไปกันเลยฮับ” แฝดพี่วางช้อนทานข้าวต้ม ก่อนจะปีนลงจากเก้าอี้แล้วเดินไปไหว้คุณทวดและคุณตาของตัวเอง
“สวัสดีฮับคุณทวด คุณตา” แฝดน้องก็ไม่น้อยหน้าปีนลงจากเก้าอี้ทานข้าวแล้วเดินไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองเช่นเดียวกัน ก่อนจะวิ่งไปใส่รองเท้าที่เตรียมไว้อยู่หน้าบ้าน
“พี่ปั้นอิ่มยังครับลูก เอาแซนวิชไปกินบนรถอีกไหม” กันต์ธีร์หันไปถามลูกชายคนโต ที่ข้าวต้มในถ้วยพร่องไปไม่มากถ้าเทียบกับเจ้าแฝดรายนั้นไม่ชอบทานข้าว ..ทานแต่ขนม! เขากลัวลูกชายไม่อิ่มเพราะปกติเจ้าตัวทานข้าวหมดตลอด
“อิ่มแล้วฮะ แต่ว่าขอแซนวิชด้วยก็ได้” เสียงเล็กๆตอบอ้อมแอ้มเป็นอันสรุปว่ายังไม่อิ่ม เขาส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะเดินเข้าไปในครัวรีบทำแซนวิชอย่างง่ายให้ลูกชาย เป็นไส้ทูน่าที่เจ้าตัวโปรดปรานที่สุด
.
.
การไปส่งลูกชายไปโรงเรียนถือไม่ว่าไม่มีปัญหาเพราะเจ้าแฝดไม่ร้องไห้สักแอะ เมื่อไปเจอเพื่อนๆวัยเดียวกันก็วิ่งเข้าใส่ทันที ลูกหมีแฝดเข้ากับเพื่อนๆได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัยและไม่มีอาการงอแงให้เห็น ส่วนลูกชายคนโตก็อย่างที่รู้กันว่าอยากไปเรียนมากขนาดไหน
“ดีที่เจ้าแฝดไม่งอแง ไม่อย่างนั้นกายไม่ได้เข้าออฟฟิศแน่ๆ” ตั้งแต่เรียนจบกันต์ธีร์ก็เข้ามาสานต่อกิจการของบิดาร่วมกับทายาทของหุ้นส่วนคนอื่นๆ อติวิชญ์ไม่ได้สืบทอดกิจการของครอบครัวเพราะอยากทำธุรกิจของตัวเองเลยให้พี่ชายคนโตสืบทอดต่อไป ส่วนตัวเองก็มาทำบริษัทออกแบบและตกแต่งภายในรวมทั้งเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกันต์ธีร์อีกด้วย
“ไม่ต่างกันหรอกมั้ง เหมือนลูกจะปล่อยให้มิกไปทำงานอย่างนั้นล่ะ”
“ฮ่าๆ ก็จริงเนอะ”
“ไปส่งด้วยแล้วกัน ขี้เกียจขับรถเอง”
“ได้ครับแม่หมี จะแวะหาอะไรกินอีกไหม”
“ไม่เอาแล้ว แล้ววันนี้ไม่มาออฟฟิศเราหรือ”
“มะรืนนี้ก็ต้องเข้ามาประชุมเรื่องโครงการใหม่อยู่แล้ว อีกอย่างให้เราไปดูบริษัทเราบ้างสิครับคุณ ขืนเจ๊งขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“ก็มาทำที่บริษัทเราไง”
“อันนั้นมันคืองานนอก เขาเรียกว่าจ๊อบพิเศษ ต้องหาเงินหลายๆทางสิเดี๋ยวไม่พอเลี้ยงลูกเมีย”
“เว่อร์”
“หึหึ” แม้เวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วที่ทั้งคู่คบกันมา แต่อติวิชญ์ก็ยังไม่เลิกหยอดเขาเหมือนตอนที่คบกันใหม่ๆ กันต์ธีร์ยังรู้สึกขัดเขินทุกครั้งที่เจ้าตัวพูดจาทำนองนี้ใส่ ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งรู้สึกขวยเขินเข้าไปใหญ่
“วันนี้แฝดเลิกบ่ายสาม พี่ปั้นเลิกสี่โมง มารับเราตั้งแต่บ่ายสามแล้วกัน”
“แล้วข้าวเที่ยงล่ะ ไปกินด้วยกันเปล่า”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกินแถวนี้ล่ะ เจอกันตอนเย็นเลย”
“ได้ครับ เจอกันตอนเย็นนะ”
“อือ ขับรถดีดีแล้วกัน” กิจวัตรประจำวันของทั้งคู่คือต่างคนต่างทำงาน ปกติจะขับรถไปกันคนละคันเพราะทำงานกันคนละที่จะได้ไม่ต้องไปรับไปส่งกันไปมา จะมีเพียงบางครั้งที่อติวิชญ์ต้องไปส่งกันต์ธีร์อย่างเช่นวันนี้ บางวันเจอกันตอนพักกลางวันเพื่อทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ตอนเย็นเจอกันที่บ้านทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
ถึงแม้จะต่างคนต่างทำงานแต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยละเลยซึ่งกันและกันต่างก็เติมความรักให้แก่กันในแบบที่คู่รักพึงกระทำ อีกทั้งยังมีลูกๆให้คอยดูแลเป็นเหมือนโซ่คล้องใจให้ทั้งความรักแน่นแฟ้นเข้าไปอีก กันต์ธีร์อยากดูแลลูกชายทั้งสามให้เติบโตเป็นคนดีมีชีวิตที่ดีและได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อยากเห็นความสำเร็จในชีวิตของลูกๆและเขาเชื่อว่าอติวิชญ์เองก็คิดไม่ต่างกัน
ความรักของเขาและอติวิชญ์ใครๆต่างก็เรียกว่าเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบ แต่ในความสมบูรณ์แบบนั้นก็ยังมีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่ด้วย อุปสรรคต่างๆที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้ว่าทุกอย่างบนโลกไม่ได้มีอะไรที่สมบูรณ์แบบไปสะหมด ดังเช่นชีวิตของทุกคนที่ไม่ได้ดำเนินไปด้วยกลีบกุหลาบแต่จะมีขวากหนามหรืออุปสรรคมาขว้างกันเป็นเหมือนบททดสอบให้เราได้แก้ปัญหา และทุกปัญหามีทางแก้เสมอขอแค่มีสติและรอบคอบ ทุกปัญหาจะคลี่คลายได้เสมอ
ความรักก็เช่นกันเดียวกันในหนทางของชีวิตคู่ก็มักจะมีอุปสรรคขวากหนามให้คนรักก้าวข้ามผ่านมันไป การไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นส่วนช่วยในการประคองชีวิตคู่ไม่ให้เกิดความบาดหมางกัน เหนือสิ่งอื่นใดการให้เกียรติซึ่งกันและกันก็จะช่วยให้ชีวิตคู่ราบรื่นและไม่มีอุปสรรคใดมาขัดขวางได้…
THE END…มาแล้ว ขอโทษที่หายไปนานนะครับ
ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ขอน้อมรับความผิดไว้ตรงนี้เลย
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วเนื้อเรื่องที่แต่งเอาไว้จบเพียงเท่านี้ ต่อไปจะเป็นส่วนของตอนพิเศษ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้มาจนจบนะครับ